ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 14
เฮง ตี๋ใหญ่ ตี๋เล็กและหมวยเล็กช่วยกันจัดโต๊ะอยู่ที่หร้าร้าน
“วันนี้ไม่ยุ่งหรา” เฮงหันมาถามลูกชายคนรอง น้ำเสียงยังแอบงอนนิดๆ
“มีเรียนช่วงบ่ายครับเตี่ย เดี๋ยวช่วงเช้าผมช่วยเตี่ยเต็มที่เลย”
หมวยเล็กเห็นทีท่าของเตี่ย แล้วก็อดกระเซ้าไม่ได้ “ งอนมากริ้วรอยถามหานะเตี่ย”
ตี๋ใหญ่หัวเราะขำ “ไม่มีถามหาแล้ว มาเต็มหน้าซะขนาดนี้”
เฮงแกล้งทำเสียงสะบัดๆ ใส่ “แหม..รับส่งกันเข้าขาดีเหลือเกิน”
พอหันไปเห็นจางเดินเข้ามา ก็ทำเสียงดุ “เฮ้ย ทำไมมาสาย”
“พอดีผมต้องเตรียมความพร้อมอะไรนิดหน่อยน่ะครับ เดี๋ยววันนี้พ่อผมจะมาหา”
หมวยเล็กหันมายิ้มให้ “ดีใจด้วยนะเฮียจาง”
จางยิ้มเจื่อนๆ “จะว่าดีใจมันก็ดีใจแหละครับ แต่มันติดปัญหาอยู่นิดนึง”
“นิดยาวแบบนี้ไม่ธรรมดาล่ะ”
ตี๋ใหญ่พูดอย่างรู้ทัน เฮงหันมาถามต่อทันที
“มีอะไรก็ว่ามา”
“คืออย่างนี้ครับคุณเฮียสุดฟ้อหล่อเฟี้ยว พอดีพ่อผมเนี่ย เป็นโรคหัวใจมาได้ระยะนึงแล้วครับ ผมก็เลย ทำทุกวิถีทางเพื่อให้พ่อสบายใจครับ ผมก็เลย...”
จางอึกอักไม่กล้าพูดต่อ เฮงเลยพูดดักคอ
“จะขอให้พ่อมานอนค้างที่นี่?”
“ไม่ล่ะครับ เกรงใจ”
“จะพาพ่อมากินข้าวฟรีที่นี่?” ตี๋เล็กถามต่อ
“อันนี้ก็เกรงใจครับคุณตี๋เล็ก”
ตี๋ใหญ่ถามบ้าง “จะขอขึ้นเงินเดือนเพื่อจะส่งเงินไปให้พ่อมากขึ้น”
จางส่ายหน้า “โอ๊ย อันนี้ยิ่งเกรงใจใหญ่เลยครับคุณตี๋ใหญ่”
หมวยเล็กชักทนไม่ไหว “เฉลยเลยเถอะเฮียจาง มัวแต่เดาอยู่อย่างนี้ ไม่ต้องทำอะไรกันล่ะ”
“คือผมบอกกับพ่อว่า ผมมีหุ้นส่วนในร้านอาหารของเฮียน่ะครับ”
“โธ่ คิดว่าเรื่องอะไร แค่นี้ไม่ต้องเกรงใจเลย” เฮงยิ้มรับ ก่อนจะสะดุ้งโหยง “ห๊ะ! นี่ลื้อบอกพ่อว่ามีหุ้นส่วนในร้านอาหารของอั๊วเหรอ”
จางพยักหน้าหงึก “ครับ ผมก็เลยอยากขอให้เฮียสุดฟ้อหล่อเฟี้ยวของผมช่วยเล่นละครตบตาพ่อผมนิดนึงน่ะครับ”
“ไอ้บ้า ขอให้พ่อมานอนค้าง ขอให้พ่อมากินข้าว ขอขึ้นเงินเดือนบอกเกรงใจ นี่ขอมีหุ้นส่วนร้านอาหารเนี่ยนะ”
ตี๋ใหญ่รีบช่วยพูด “ก็แค่เล่นละครน่ะเตี่ย ไม่ได้มีหุ้นจริงๆ ซะหน่อย”
ตี๋เล็กช่วยด้วยอีกแรง “นั่นสิ พ่ออาจางมาแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้วมั้ง”
เฮงหันมองตาขวาง จนจางต้องรีบเข้าไปนวดเอาใจ
ฟากแก้วกัลยากับฮันนี่ ก็ช่วยกันลำเลียงกับข้าวมาเสิร์ฟที่โต๊ะเสี่ยชาญ
“นานๆ ทีมากินร้านนี้ จัดให้เต็มที่เลยนะเสี่ย”
เสี่ยชาญหันมายิ้มหวานตอบ
“ก็สลับๆกันไปแล้วกัน เดี๋ยวอั๊วจะมาเกียนร้านลื้อบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น..โอเคนะ”
“โอเครร” ฮันนี่รัวลิ้นตอบ
“ลิ้นแบบนี้ แบ่งมาผัดเผียดให้อั๊วสักจานสิ”
“บ้าเหรอ ลิ้นคนไม่ใช่ลิ้นหมู ถึงจะแบ่งขายกันได้”
พอฮันนี่พูดจบ จางเดินเข้ามาพอดี
“ว้าว เจอเสี่ยชาญพอดีเลยนะครับ”
แก้วกัลยาทำหน้าเซ็ง “ใครจุดธูปเรียกแกมาเนี่ย”
“แหม มาถึงก็หยอกกันแรงเลยนะฮ้าฟ”
“ฉันไม่ได้หยอก แกเข้ามาในร้านฉันทำไม”
ฮันนี่พลอยผสมโรงด้วย “ใช่ จะเข้ามาสืบเสาะอะไรไม่ทราบ”
“ถ้าเข้ามาสืบเสาะจะเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยแบบนี้เหรอครับ ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณพี่คนสวย
ทั้งสองก็เท่านั้นเอง”
แก้วกัลยาได้ยินคำว่า “สวย” ก็ใจละลาย “จะให้ช่วยอะไรล่ะ”
เสี่ยชาญแอบหัวเราะขำ “แหม เมื่อกี๊ยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เลย”
ฮันนี่พูดสวนทันที
“ผู้หญิงแพ้คำชม ไม่เชื่อเสี่ยลองชมฮันนี่ดูสิ ถ้าชอบ เดี๋ยวฮันนี่กดไลค์ แต่ถ้าใช่ คืนนี้หอบเสื้อผ้าไปอยู่ ด้วยเลย”
“จะไปอยู่บ้านอั๊ว? แค่ดอกบนหัวลื้ออันเดียวก็เต็มเตียงอั๊วแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันอึดอัดตาย”
แก้วกัลยาหันมาถามย้ำกับจาง “เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”
“คืออย่างนี้ครับ เดี๋ยววันนี้พ่อผมจะมาเยี่ยมหาผมที่นี่ ซึ่งผมเนี่ย บอกกับพ่อไว้ว่าผมเป็นหุ้นส่วนร้านอาหาร กับเฮียเฮงอยู่ครับ”
“เป็นหุ้นส่วนร้านอาหารกับอาเฮง! แล้วอาเฮงมันเล่นด้วยกับลื้อเหรอ” เสี่ยชาญย้อนถาม
“อันนี้ผมเตี๊ยมกับเฮียเรียบร้อยแล้วครับ ก็เลยมาบอกทางนี้ไว้ด้วย จะได้รู้ข้อมูลตรงกัน”
ฮันนี่เบอะปากใส่ “แหม อยากจะโชว์รวยให้พ่อดูว่างั้น”
จางตีหน้าเศร้า “ก็ผมอยากให้พ่อสบายใจอ่ะ พ่อผมแก่แล้ว ผมอยากให้บั้นปลายชีวิตพ่อมีความสุขมันผิดด้วยเหรอ”
แก้วกัลยามองอย่างรู้ทัน “ไม่ต้องดึงดราม่า เดี๋ยวฉันช่วยโกหกให้ ไม่ต้องห่วง”
จางรีบยกมือไหว้ด้วยความดีใจ “ขอบคุณฮ้าฟ”
เสี่ยชาญหันมาถามต่อ
“แล้วลื้อจะให้พ่อลื้อพักที่ไหน ถ้าให้ไปนอนห้องเช่าลื้อน่ะ พ่อลื้อจะเชื่อมั้ย ว่าลื้อเป็นหุ้นส่วนร้านอาหาร”
“เรื่องนี้ผมก็จะมาปรึกษาหารือ ขอความช่วยเหลือจากเสี่ยนี่แหละครับ”
“ลักษณะเหมือนงานจะเข้า”
เสี่ยชาญเริ่มเครียด จางยิ้มแห้งๆ รีบเข้าไปบีบนวดเอาใจ
หมวยเล็กนั่งเหม่อ คิดถึงคำพูดตี๋ใหญ่ที่บอกว่าที่ชายเล็กทำมีนตึงใส่ก็เพราะหึง ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด จนแก้วที่ซื้อน้ำมาเผื่อ อดถามอย่างสงสัยไม่ได้
“เป็นอะไรวะ ดูเครียดจัง”
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
ชายเล็กเดินผ่านมา พอเห็นหมวยเล็กก็หยุดมองหน้านิ่งๆ ฝ่ายหลังก็มองตอบแบบนิ่งๆ เช่นกัน กระทั่งฝ่ายแรกตัดสินใจเดินผ่านไป
แก้วมองตาม “งอนกันเหรอวะ”
หมวยเล็กส่ายหน้า “เปล่า ฉันไม่ได้งอน”
“ไม่ได้งอนแล้วทำไมไม่ทักกันวะ วันก่อนเห็นยังคุยดีกันอยู่เลย เฮ้ย ไอ้อาการงอนกันเนี่ย ส่วนใหญ่เกิดกับคนรักกันนะเว้ย”
หมวยเล็กรีบปฏิเสธเสียงหลง “เฮ้ย ฉันไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย”
“จริงอ๊ะป่าว”
“เออน่ะ อย่ามาเวิ่นเว้อ”
“แล้วผู้ชายล่ะ คิดอะไรกับแกรึเปล่า” แก้วย้อนถาม
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
“อยากรู้ป๊ะล่ะ”
หมวยเล็กหันมองหน้านิ่ง แก้วยิ้มกริ่มอย่างมีแผนการ
ภรณีนั่งดูราคาตั๋วไปเที่ยวญี่ปุ่นอยู่ ก่อนจะหันไปทำเสียงกรี๊ดกร๊าดกับหญิงใหญ่
“โห เดี๋ยวนี้ไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างกับไปเที่ยวเชียงใหม่ว่ามั้ยแก ทัวร์ถูกม้าก ถูกไปไหนเนี่ย”
“ก็ไปญี่ปุ่นไง ซื้อทัวร์ไปญี่ปุ่นจะให้ถูกไปอูกันด้าเหรอ”
อัครเดชหัวเราะขำ “ตะลุ้งตุ้งแช่ ฮ่าๆๆๆ เจอไปหนึ่งดอก“
ภรณีหันไปมองค้อน “ฉันคุยกับเพื่อนฉัน อย่าเผือก”
“อย่าไปเลยญี่ปุ่นน่ะ เที่ยวเมืองไทยดีกว่าเยอะ”
ภรณีเบะปากใส่ “ญี่ปุ่นไม่ดีตรงไหน”
“อาหารการกินก็โอเคอะนะ แต่พวกสาเกพวกเหล้า กินมากๆ มีหวังไตพัง”
หญิงใหญ่ทำหน้างง “ตับพังรึเปล่า”
“ไตนี่แหละ เพราะเหล้าญี่ปุ่นน่ะเค็มม้าก ไม่เคยได้ยินเหรอ ตอนชนแก้วน่ะ บ่นกันทุกคน เค็มไป เค็มไป”
ภรณีทกท่าถุยใส่ “ถุย..เค้าพูดว่าคัมไป นี่มุกหรือโง่จริงเนี่ย”
“แล้วแต่จะคิด”
อัครเดชไม่สนใจภรณี หันมาถามหญิงใหญ่ “แก้ว กลางวันนี้ไปกินข้าวกันนะ”
ตี๋ใหญ่ที่ออกมาจากห้องทำงานพอดี ถึงกับหยุดกึกซุ่มดูว่าหญิงใหญ่จะตอบรับหรือไม่
“เอ่อ”
ภรณีรีบยุส่ง “ บอกไปเลยว่าไม่ไป ไม่ต้องถนอมน้ำใจมันหรอก”
อัครเดชรีบพูดดักคอ
“แก้วเค้าคนใจดี มีน้ำใจ กับแค่กินข้าวแค่นี้แก้วไม่ปฏิเสธหรอก จริงมั้ยแก้ว”
“แหม พูดดักกันขนาดนี้ ถ้าปฏิเสธ เราไม่กลายเป็นคนไม่ดีเลยเหรอ”
อัครเดชคะยั้นคะยออีก “ไปเถอะนะแก้ว กินข้าวด้วยกันสักครั้ง”
หญิงใหญ่อึกอัก “เอ่อ..”
ตี๋ใหญ่ครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไป
“เอ้อ..โทรสั่งพิซซ่ากินกันมั้ย ผมเลี้ยงเอง”
ภรณีตาวาว “ จริงเหรอคะผู้ช่วย”
“จริงสิ อยู่ๆ ก็อยากกินพิซซ่าขึ้นมา โทรสั่งเลยนะ เดี๋ยวเก็บเงินที่ผม”
อัครเดชรีบสวนทันที “ แก้วเปิดร้านอาหารไทย คงไม่ชอบกินพิซซ่า
หญิงใหญ่รีบหันมาพูดกับภรณี “ฉันเอาหน้าซีฟู้ดนะ”
ภรณีหันไปมองเย้ยอัครเดช “ตะลุ้งตุ้งแช่ เจอไปหนึ่งดอก”
“ขอบคุณนะคะ”
หญิงใหญ่หันมายิ้มหวานให้ตี๋ใหญ่
“ยินดีครับ”
ตี๋ใหญ่ยิ้มหวานตอบ ทำเอาอัครเดชถึงกับเซ็งไป
ขณะที่เฮงกำลังเดินทักทายลูกค้าอยู่ จางในชุดหล่อเฟี้ยว ก็เดินเข้ามา
“เฮีย พ่อผมมาแล้วนะ”
“ไหนล่ะ”
จางหันไปตะโกนเรียก “พ่อ เข้ามาสิครับ”
ฟาง พ่อของจาง เดินเข้ามา พร้อมกับกวาดตามองบรรยากาศรอบๆ ร้าน
“ร้านแกนี่ใหญ่โตใช่ย่อยนะอาจาง”
“มารู้จักหุ้นส่วนร้านผมก่อน นี่เฮียเฮงครับพ่อ”
ฟางหันไปยิ้มทักทาย “หวัดดีครับเฮียเฮง ผมฟางครับ”
“หวัดดีอาฟาง ตามสบายเลยนะ”
“ตามสบายเลยพ่อ ร้านผมเอง”
เฮงทำตาขวาง จนจางหน้าจ๋อย แต่ไม่วายแอบส่งสัญญาณบอกเฮงเป็นเชิงว่าอย่ามีพิรุธ
ฟางหันมาถามลูกชายต่อ “แล้วร้านใหญ่โตอย่างนี้ ทำกันอยู่แค่ 2 คนเหรอลูก”
“อ๋อ มีพนักงานช่วยอยู่คนนึงครับ เฮ้ย..แขกเข้าร้านแล้วเนี่ย มัวทำอะไรอยู่วะ”
สิ้นสียงของจาง เสี่ยชาญในชุดเด็กเสิร์ฟ ก็เดินออกมา
“มาแล้วครับ”
จางหันไปแนะนำ “นี่อาชาญครับพ่อ เป็นบ๋อยที่นี่”
เฮงหันมาบอกเสี่ยชาญ “นี่อาฟาง พ่อของไอ้..เอ้ย พ่อของคุณจาง”
เสี่ยชาญยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
“หวัดดี” ฟางยกมือรับไหว้ ก่อนจะหันมาบอกกับจาง “บ๋อยแกแก่ไปนะ ทำงานไหวเหรอเนี่ย”
“ก็พอไหวอยู่พ่อ ผมสงสารลุงแกน่ะ แก่แล้วไม่มีงานมีการทำ ลูกหลานก็ไม่มีด้วย คิดว่าทำบุญน่ะพ่อ”
เสี่ยชาญกัดฟันพูด “ขอบคุณนะค้าบ อาเหี้ยจาง”
ฟางสะดุ้งโหยง “ว่าไงนะ”
“อ๋อ อั๊วบอกว่าขอบคุณนะครับ อาเฮียจาง”
“โอ๊ย ลูกผมยังเด็กอยู่เลย ไม่ต้องเรียกเฮียหรอก”
“พอดีอั๊วนับถือเฮียจางมากน่ะครับ ให้อั๊วเรียกเฮียนี่แหละ ดีแล้ว”
เสี่ยชาญแอบมองตาขวาง จางทำหน้าเว้าวอนไม่ให้มีพิรุธ
“จะเจี๊ยะอะไรหน่อยมั้ย เดี๋ยวอั้วเข้าไปทำมาให้” เฮงหันมาถามฟาง
“อ๋อ อย่าเพิ่งเลยเฮีย พอดีผมว่าจะลองไปชิมอาหารร้านข้างๆ นี้หน่อยน่ะ”
“แต่ร้านนั้นเป็นคู่แข่งร้านผมนะเตี่ย”
“รู้ว่าเป็นร้านคู่แข่ง ถึงจะไปชิมนี่ไง รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
ฟางพูดแล้วก็เดินสำรรวจรอบๆ ร้าน เฮงกับเสี่ยชาญหันมามองจางตาขวาง หุ้นส่วนร้านกำมะลอได้แต่ทำหน้าเว้าวอน
ฟางนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะภายในร้านแก้วกัลยาร่วมกับจาง ที่กินอย่างเอาเป็นเอาตาย ประมาณว่าไม่เคยได้กินของดีๆ มานานแล้ว จนแก้วกัลยาอดพูดเหน็บไม่ได้
“แหม อาหารอร่อยหรือไม่ค่อยได้กินอะไรแบบนี้คะไอ้...เอ้ย คุณจาง”
“ปกติกินแต่อาหารร้านตัวเองน่ะพ่อ อาหารไทยแบบนี้ ไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่”
ฮันนี่รีบพูดต่อ
“ค่ะ ปิดร้านทีฮันนี่เห็นเสี่ยจางน่ะหิ้วอาหารกลับไปกินที่บ้านล่ะ แต่ถ้าจะให้ดีซ้อนถุงหลายๆ ชั้นหน่อยก็ดีนะคะ หิ้วไปทีนี่หยดเป็นทางเลย”
จางรีบบอก “สงสัยก้างปลามันแทงถุงขาด”
“แกก็เลือกหน่อยสิ ก้างปลาถ้าไม่มีเนื้อก็แยกทิ้งไป.. เย้ย..ที่พูดกันอยู่นี่มันอาหารหมูรึเปล่าวะ”
จางเผลอทำเสียงหมูตอบ “คร็อกๆๆๆ..แฮ่! “ ก่อนจะหันมาทำเสียงดุใส่ฮันนี่ “เฮ้ย แซวอะไร
ให้เกียรติกันนิดนึง ฉันเป็นถึงเจ้าของร้านอาหาร เดี๋ยวภาพพจน์ฉันเสียหมด”
แก้วกัลยารีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วอาหารรสชาติเป็นยังไงบ้างคะ”
“อาหารใช้ได้เลยนะครับ รสชาติดีมากๆ”
จังหวะนั้นเสี่ยชาญก็เดินถือชุดชาจีนเข้ามาเสิร์ฟให้จาง
“เอาอะไรมาคะเสี่ยชาญ”
ฟางทำหน้างง ฮันนี่ไหวตัวรีบเปลี่ยนท่าที “ นี่ ไอ้ชาญ ยกอะไรมายะ”
เสี่ยชาญเอียงหน้ามากระซิบ “ไอ้เลยเหรอ”
ฮันนี่กระซิบตอบ “เพื่อความสมจริงไง”
เสี่ยชาญจำต้องพยักหน้ารับ “อ๋อ น้ำชาไง อั๊วเห็นว่าร้านลื้อไม่มีชาจีน อั๊วก็เลยเอาจากที่ร้านมารับรองให้เตี่ยคุณจาง”
ฟางยิ้มรับ “ขอบใจมากนะ”
จางรีบวางท่าเจ้านาย “ รินด้วยๆ”
เสี่ยชาญกัดฟันพูด “ไอ้เย็กแม่”
แก้วกัลยาหันขวับมาถามย้ำ “ว่าอะไรนะเสี่ย”
“อ๋อ เดี๋ยวเสร็จงานวันนี้ต้องกลับไปเย็บเสื้อให้แม่อีก”
ฟางทำหน้าสงสัย “นี่แม่แกยังไม่ลงไปนอนคุยกับรากมะม่วงอีกเหรอ”
“ยัง แต่ก็มะรอมมะร่อแล้วล่ะ”
พูดแล้วก็แอบทำตาขวาง ขณะรินชาให้จาง
ขณะที่คิมกำลังวอร์มร่างกายเตรียมฝึกเทควันโดอยู่ในโรงยิม ครู่หนึ่งหมวยเล็กก็เดินเข้ามา ก่อนจะมองไปที่คิมแล้วครุ่นคิด พร้อมกับเสียงแก้วที่บอกแผนการดังซ้อนขึ้นมา
“แกต้องแกล้งสนิทสนมกับพี่คิมให้คุณชายเล็กของแกเห็นเว้ย แล้วสถานการณ์ที่เหมาะที่สุดก็ต้องเป็นตอนฝึกเทควันโดกับพี่คิม”
“แล้วถ้าชายเล็กไม่มาล่ะ”
“ฉันเชื่อว่าคุณชายเล็กของแกจะต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวของแกอยู่ห่างๆ และถ้าคุณชายเล็ก
ของแกเห็น และออกอาการล่ะก็ชัดเลย เค้ามีใจให้แกชัวร์”
คิดมาถึงตรงนี้ ก็บังเอิญมีมีนักเรียนหญิงเดินผ่านมาใกล้ๆ พอดี หมวยเล็กบ่นแบบอายๆ
“คุณชายเล็กของฉันอะไรล่ะอีบ้า”
นักเรียนหญิงหันมาถลึงตาใส่ “อ้าว ว่าใครบ้าอ่ะ”
“อ๋อ เปล่า เราไม่ได้ว่าใคร เราบ่นเพื่อนอยู่น่ะ นัดไว้ไม่มาซะที”
“เค แล้วไป”
พอนักเรียนหญิงเดินผ่านไป หมวยเล็กก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาคิม
“หวัดดีค่ะพี่”
คิมยิ้มรับ “มาซ้อมด้วยกันหน่อยมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ หมวยเล็กยังไม่ได้วอร์มมาเลย”
หมวยเล็กทำเป็นวอร์มร่างกายเพื่อรอเวลา พอเห็นชายเล็กเดินผ่านมา ก็รีบปรี่เข้าไปหาคิมตามแผนทันที
“พร้อมล่ะค่ะ”
“เฮ้ย..ยังไม่ได้วอร์มไม่ใช่เหรอ”
“เมื่อกี๊วอร์มไปนิดนึง โอเคแล้ว”
ชายเล็กหยุดมอง เห็นหมวยเล็กทำท่าชกท้องหยอกล้อคิมแบบน่ารักๆ
คิมมองแบบงงๆ “กระบวนท่าอะไรเนี่ย”
ชายเล็กเห็นท่าทีสนิทสนมระหว่างคิมกับหมวยเล็กก็ออกอาการไม่พอใจ รีบเดินออกไป หมวยเล็กเห็นท่าทีไม่พอใจของชายเล็ก ก็รีบบอกคิม
“เหนื่อยล่ะ พักก่อนนะคะ”
“หะ เหนื่อยแล้วเหรอ”
“ค่ะ สงสัยยังวอร์มไม่พอ เดี๋ยวหมวยเล็กวอร์มอีกหน่อยดีกว่า”
จากนั้นก็รีบเดินออกมาตามชายเล็กไป
ชายเล็กยืนรอเสี่ยชาญอยู่ด้วยอาการเซ็งๆ หมดอาลัยตายอยาก ยิ่งคิดถึงภาพบาดตาบาดใจเมื่อครู่ ก็ยิ่งหงุดหงิด
“โธ่เว้ย!”
ว่าแล้วก็ง้างเท้าเตะกระป๋องน้ำอัดลมลอยออกไป จังหวะที่เสี่ยชาญเดินเข้ามา เลยโดนกระป๋องน้ำอัดลมหล่นใส่หัวพอดี
“โอ๊ย”
“เสี่ย”
ชายเล็กรีบวิ่งเข้าไปดูอาการเสี่ยชาญ
“วันนี้มันวันอะไรของอั๊ววะเนี่ย เป็นเสี่ยอยู่ดีๆ กลายไปเป็นเด็กเสิร์ฟ นี่มาเจ็บตัวอีก”
ชายเล็กรีบยกมือไหว้ประหลกๆ “ผมขอโทษนะเสี่ย ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“อั๊วไม่เป็นไรหรอก เจียบเนี้ยดหน่อยเท่านั้นแหละ”
“อ้าว ทำไมวันนี้เสี่ยแต่งตัวแบบนี้ล่ะครับ”
เสี่ยชาญรีบบอก “อ๋อ อั๊วช่วยเล่นละครตบตาพ่อไอ้จางมันน่ะ พอดีไอ้จางมันไปโม้กับพ่อมันว่า มันเป็นหุ้นส่วนร้านอาหารกับอาเฮง”
ชายเล็กตาโต “โห..เรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย”
“ใหญ่สิ อั๊วต้องลงทุนเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร แถมบ้านก็ต้องยกให้ไอ้จางมันแอ๊บเป็นเจ้าของอีก”
“อ้าว แล้วคืนนี้เสี่ยจะไปนอนไหนล่ะ”
“ก็ต้องไปนอนบ้านอาเฮงก่อนน่ะ แล้วนี่ลื้อพร้อมจะซ้อมมวยรึยัง”
ชายเล็กนิ่งไปนิด ก่อนจะตัดสินใจตอบ “ผมไม่อยากเป็นแล้วเสี่ย”
“อ้าว อยู่ดีๆ ทำไมไม่อยากเป็นนักมวยซะแล้วล่ะ”
ชายเล็กนิ่งไปอีก จังหวะนั้นหมวยเล็กเดินผ่านมา แต่ทั้งเสี่ยชาญและชายเล็กต่างมองไม่เห็น
“ ผมคิดทบทวนตัวเองแล้ว ที่ผมมาฝึกมวยก็เพราะผมต้องการเอาชนะใครบางคนเท่านั้นเอง ไม่ได้อยากจะเป็นนักมวยจริงๆ สักนิดเลย”
หมวยเล็กพูดสวนกลับแบบนิ่งๆ “เหรอ”
ชายเล็กกับเสี่ยชาญหันไปตามเสียง หมวยเล็กรีบบอกเสี่ยชาญ
“หมวยขอคุยกับชายเล็กหน่อยได้มั้ยคะเสี่ย”
“เอาเลย ตามสบาย”
เมื่อเห็นเสี่ยชาญยังยืนเฉย เลยพูดย้ำ “ส่วนตัวค่ะเสี่ย”
“โอเค อั๊วไปก็ได้..วันนี้มันไม่ใช่วันของอั๊วอยู่แล้ว”
เสี่ยชาญเดินบ่นถึงความซวยของตัวเองออกไป ขณะที่หมวยเล็กกับชายเล็กมองหน้ากันนิ่งๆ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ หลังจากชายเล็กกับหมวยเล็กปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว
“ เราผิดเองที่ทำตัวไม่ดี งี่เง่ากับเธอ เราขอโทษนะ”
หมวยเล็กยิ้มรับ “ช่างเหอะ แล้วที่ว่าฝึกมวยเพื่อเอาชนะใครบางคนน่ะหมายถึงพี่คิมใช่มั้ย”
ชายเล็กพยักหน้ายอมรับ หมวยเล็กถามต่อ
“ทำแบบนี้เพื่ออะไรอ่ะ”
ชายเล็กอ้ำอึ้ง ไม่กล้าพูด หมวยเล็กทำหน้านิ่ง แต่จริงๆ แล้วตื่นเต้นมาก ก่อนจะรวมความกล้าถามออกไป
“ถามจริงๆนะ ชอบเรารึเปล่า”
ชายเล็กอึ้ง อึกอัก “เอ่อ”
“ยังไม่ต้องตอบก็ได้ เราให้เวลาคิดคืนนึง โอเคมั้ย”
ชายเล็กรีบพยักหน้า “โอเค”
“งั้นเรากลับก่อนนะ”
พูดจบหมวยเล็กเดินออกมา ก่อนจะแอบเป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งอก ทิ้งให้ชายเล็กนั่งเจ็บใจตัวเองที่ไม่พูดอะไรออกไป
ฟางนั่งกินอาหารร่วมโต๊ะกับเฮง และจาง โดยมีตี๋เล็กยืนอยู่ข้างๆ
“ฝีมือดีนะเรา อร่อยทุกอย่างเลย”
ฟ่างหันมาพูดชม ตี๋เล็กยิ้มตาหยี
“ขอบคุณครับ”
จางรีบคุยโว “เดี๋ยวเรียนจบ ผมก็ว่าจะจ้างเป็นพ่อครัวประจำร้านเลยน่ะพ่อ”
“ขอบคุณนะครับคุณจาง แหม..น้ำใจช่างเหลือแดก เอ้ย เหลือรับประทานจริงๆ”
“ผมกับลูกเฮียเฮงหยอกกันเล่นแบบนี้ประจำครับพ่อ”
พูดจบจางก็ทำเป็นเข้าไปกอดคอสนิทสนมกับตี๋เล็ก จังหวะนั้นเสี่ยชาญก็เดินเข้ามาสมทบ
“บ้านคุณจาง ผมไปทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้วครับ”
“ขอบใจมาก”
ฟางหันมาทำหน้าดุใส่ลูกชาย “ขอบใจอย่างเดียวได้ไง ให้ทงให้ทิปซะหน่อยสิลูก”
ตี๋เล็กแกล้งยุส่ง “ให้ทิปนิดหน่อย ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกครับเสี่ยจาง”
จางอึกอัก “เอ่อ พอดีวันนี้ลืมกดเงินสดติดตัวน่ะครับ แบบว่าใช้บัตรเครดิตซะจนเคยตัว” ว่าแล้วก็หันไปกระแซะเฮง “ยืมสองร้อยสิ เพื่อน”
เฮงทำหน้างง “อั๊ว?”
“เดี๋ยวปันผลร้านออกแล้วคืนน่ะ เอามายืมก่อน”
“ยืมสองร้อยรอปันผลร้านออกเนี่ยนะ”
“ก็มันจะปันผลแล้วนี่” จางรีบเข้าเอียงหน้าไปกระซิบ “ เอาน่ะเฮีย ช่วยมาขนาดนี้แล้ว ช่วยให้มันสุดๆไปเลยสิ”
เฮงทำหน้าเซ็ง จำใจหยิบเงินส่งให้ จางรับมายื่นให้เสี่ยชาญ
“อ่ะนี่ ใช้ให้มันประหยัดๆ ล่ะ เงินทองหายาก”
“ครับ เหี้ยจาง”
ฟางสะดุ้งเฮือก “หะ!?”
เสี่ยชาญรีบพุดแก้ “ผมพูดว่าเฮียจางครับ ไม่ต้องตวดใจ”
“อยากไปดูบ้านผมรึยังครับพ่อ” จางหันมาถามพ่อ
“เอ้อ อยากไปสิ ว่าจะอาบน้ำซะหน่อยด้วย”
“งั้นไปครับ เดี๋ยวผมพาไป”
พอจางพาฟางเดินออกไป เฮงก็หันมาถามเสี่ยชาญ
“ไอ้จางไปนอนบ้านลื้อแบบนี้ แล้วคืนนี้ลื้อจะนอนไหน”
“ก็นอนบ้านลื้อน่ะสิ อั๊วไม่เสียเงินเปิดโรงแรมนอนให้เข้าเนื้อหรอกนะ แค่นี้ก็ช่วยสุดๆ แล้ว”
ตี๋เล็กพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
“งั้นก็สวมบทบาทต่อแล้วกันเสี่ย ช่วยกันเก็บจานไปล้างหน่อย”
เสี่ยชาญจำใจช่วยตี๋เล็กเก็บโต๊ะ เก็บไปก็บ่นไป
ชายเล็กนั่งกอดเข่าเซ็งๆ อยู่คนเดียวที่หน้าบ้าน ก่อนจะบ่นออกมา
“โธ่เว้ย..ทำไมไม่พูดออกไปนะ”
หญิงใหญ่กับหญิงเล็กเห็นชายเล็กนั่งบ่นคนเดียว ก็ค่อยๆ ย่องมาแอบฟัง
ชายเล็กตบปากตัวเองเบาๆ
“มันจะยากอะไร กับแค่คำว่าเราชอบเธอ..เฮ้อ”
“ชอบเค้าแค่ไหนหรา” หญิงใหญ่ทำหน้าล้อ
“ก็ชอบมากแล้วกัน เย้ย”
ชายเล็กหันไป ก็เจอหญิงใหญ่กับหญิงเล็กหัวเราะเยาะ
“นี่น้องเรามีความรักใช่มั้ยพี่หญิงใหญ่”
หญิงใหญ่ยิ้มกรุ้มกริ่ม “ชะนีนางไหนทำน้องพี่เพ้อได้ขนาดนี้ บอกพี่มานะ”
“ยังบอกไม่ได้ ขอเป็นเรื่องระหว่างเรา 2 คนก่อนนะ”
“บอกไม่ได้งั้นก็ไม่ยุ่ง เข้าบ้านกันเถอะพี่หญิงใหญ่”
แต่ครั้นหญิงเล็กจะจูงหญิงใหญ่เข้าบ้าน ชายเล็กก็รีบรั้งแขนไว้
“เดี๋ยว มาให้คำปรึกษากันก่อนสิ”
หญิงใหญ่หันมาถาม “จะปรึกษาอะไรพี่หราคะ”
ชายเล็กอ้ำอึ้งเล็กน้อย “คือผมไม่กล้าบอกความในใจกับผู้ หญิงที่ผมชอบน่ะครับ”
“แล้วท่าทีเค้าคิดยังไงกับเราบ้างล่ะ” หญิงเล็กถามน้องชาย
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เค้าถามผมว่าชอบเค้าอยู่รึเปล่าน่ะ”
“เจอถามตรงๆ แบบนี้ อึ้งไปเลยว่างั้น” หญิงใหญ่ดักคอ
“เข้าใจเลยว่าสตั๊นท์ไปสิบวิ อารมณ์มันเป็นยังไง”
“ไม่กล้าพูดก็ไลน์หรือแมสเสจไปสารภาพกับเค้าสิ”
หญิงเล็กเสนอไอเดีย แต่หญิงใหญ่ไม่เห็นด้วย
“แต่พี่ว่าเขียนจดหมายเก๋กว่านะ เคยได้ยินมั้ย การติดต่อที่ง่าย ทำลายความคิดถึงไปมาก”
หญิงเล็กทำหน้างง “ยังไงๆ”
“พี่ว่าการบอกรักทางโซเชี่ยล มันเร็วก็จริงนะ แต่อะไรที่มันเร็วเกินไป พี่ว่ามันขาดการไตร่ตรองอ่ะ”
“ขยายความซิคะคุณป้า เอ้ย คุณพี่”
“พี่ว่าสมัยนี้จีบกันก็พิมพ์ไลน์ส่งกันง่ายๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ารักกันจริงขนาดไหน แต่ถ้าเขียนจดหมายเนี่ย มันต้อง ใช้เวลามากกว่ากันเยอะ มันทำให้เรามีเวลาไตร่ตรองความรู้สึกตัวเองน่ะ”
ชายเล็กคิดตาม “ไตร่ตรองว่าเรารู้สึกชอบกับคนที่กำลังจะส่งหามากขนาดไหนใช่มั้ยพี่”
“ใช่ แล้วข้อความในโทรศัพท์เนี่ย เวลาโกรธหรืองอนกันน่ะลบง่ายมาก แต่ถ้าเป็นจดหมายเนี่ย จะฉีกทีคิด หนักนะ เพราะมันคือความทรงจำที่มีคุณค่ามาก”
หญิงเล็กทำหน้าทะเล้น “อั๊ยย่ะ แบบนี้เรียกป้าไม่ได้ล่ะ”
“เรียกอะไร”
หญิงเล็กทำเสียงคนแก่ “อย่าให้พูดเลย เราไปตำหมากกินกันดีกว่า”
หญิงใหญ่มองค้อน “ยายเลยเหรอ”
จากนั้นก็ไล่ตีน้องสาวเข้าไปในบ้าน ชายเล็กยิ้มกริ่ม คิดจะเขียนจดหมายสารภาพความในใจ
อ่านต่อหน้าที่ 2
ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 14 (ต่อ)
ทางด้านจางก็กำลังนอนหนุนตักฟางอยู่ที่หน้าบ้านขงเสี่ยชาญ ที่ถูกสมมติให้เป็นบ้านของตัวเอง
“พ่อไม่คิดเลยนะ ว่าลูกจะก้าวหน้ามาไกลได้ขนาดนี้”
“ผมทำทุกอย่างก็เพื่อพ่อนะครับ ผมอยากให้พ่อมี ความสุข”
“วันนี้พ่อมีความสุขมาก ถ้าเกิดวันพรุ่งนี้จะต้องตาย พ่อก็ตายตาหลับแล้วล่ะ”
จางลุกขึ้นมากอดพ่อไว้แน่น ฟางกอดตอบลูกชาย
“ไม่นะพ่อ พ่อยังแข็งแรงอยู่เลย พ่อต้องอยู่กับผมไปอีกนานๆ นะ พ่อรอผมหน่อยนะ ถ้าทุกอย่างลงตัว ผมจะรับพ่อมาอยู่ด้วยกัน”
“แค่นี้มันยังไม่ลงตัวอีกเหรอเนี่ย”
จางอึกอัก “เอ่อ..มันก็ยังมีอะไรต้องจัดการอีกเยอะน่ะพ่อ ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่หรอก”
“อืม มีอะไรให้พ่อช่วยก็บอกแล้วกันนะ”
ฟางเงยหน้ามองบรรยากาศรอบบ้าน รู้สึกว่าแค่นี้ก็โอเคแล้ว ยังมีอะไรไม่ลงตัวอีก
เช้ารุ่งขึ้น
เสี่ยชาญนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะที่ร้านเฮง ก่อนที่จางกับฟางจะเดินเข้ามาในร้าน
“เฮ้ย ตื่นๆๆๆ”
จางเขย่าตัวเรียก เสี่ยชาญสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“เฮ้ย อะไรของลื้อเนี่ยไอ้จาง”
จางรีบกระซิบเตือน “เสี่ย”
“เอ่อ..ขอโทษครับคุณจาง”
จางรีบวางท่าเป็นเจ้านาย
“อะไรเนี่ย หลับแต่เช้าเลย หักเงินเดือนซะดีมั้ย”
ฟางรีบช่วยพูด “เอาน่า แกแก่แล้ว ปล่อยๆ แกบ้างเถอะ”
ตี๋เล็กเดินออกมาพอดี “ เป็นไงครับเสี่ยจาง เมื่อคืนหลับสบายรึเปล่าครับ”
“ก็สบายนะ หุ้นส่วนอยู่มั้ยเนี่ย”
“เตี่ยออกไปตลาดครับ”
เสี่ยชาญหันมาทางฟาง “เอ่อ แล้วนี่พ่อคุณจางจะอยู่ที่นี่อีกกี่วันครับเนี่ย”
“ก็ว่าจะอยู่เดือนนึงน่ะ”
เสี่ยชาญสะดุ้งโหยง “ เดือนนึง!! ทำไม่นานจังล่ะครับ”
ฟางมองอาการเสี่ยชาญแล้วยิ้มมุมปาก เพราะ รู้อยู่แล้วว่าบ้านที่นอนเมื่อคืนเป็นของเสี่ยชาญ จางรีบบอก
“พ่อผมล้อเล่นน่ะ เดี๋ยวเย็นนี้ก็กลับแล้ว”
“ครับ เย็นนี้ก็กลับแล้วล่ะ”
“คุณพ่อทานอะไรมารึยังครับ เดี๋ยวผมเข้าไปทำให้”
ตี๋เล็กถามฟาง แต่กลับถูกจางย้อนถามต่อ
“วันนี้มีปลาเก๋ามั้ย”
“มีครับ”
“เอาปลาเก๋าทอดกระเทียมมาจานนึงแล้วกัน แล้วก็...”
จางยังพูดไม่ทันจบ ฟางก็พูดแทรกขึ้นมา
“เอาไข่เจียวราดข้าวมาจานนึงก็พอพ่อหนุ่ม”
“กินไข่เจียวเนี่ยนะพ่อ”
“เออ ไข่เจียวก็พอแล้ว ของไอ้จางก็ไข่เจียวนี่แหละนะ”
“ได้ครับ จัดให้”
ตี๋เล็กรับคำ ก่อนจะเดินเข้าครัวไป
“ ผมขอตัวทำงานก่อนนะครับเสี่ยจาง”
เสี่ยชาญเดินไปจัดโต๊ะ จางคอยคุมชี้นิ้วสั่ง ฟางมองและส่ายหน้าเล็กน้อย
ชายเล็กค่อยๆ เดินย่องเข้ามาในห้องเรียน ขณะที่ไม่มีใครอยู่ ในมือถือจดหมายเข้ามาด้วย จากนั้นก็เดินมาที่โต๊ะหมวยเล็ก เปิดกระเป๋านักเรียนแล้วเอาจดหมายใส่ไว้ในกระเป๋า
พอได้ยินเสียงนักเรียนส่งเสียงพูดคุยกันมาเป็นกลุ่ม ชายเล็กรีบเดินออกจากห้องไป สวนกับนักเรียนชุดแรกที่เดินเข้ามา ส่วนหมวยเล็กกับเพื่อนเดินเข้ามาชุดที่สอง
หมวยเล็กเปิดกระเป๋าแล้วเจอจดหมายก็งงๆ กำลังจะเปิดดู แต่บังเอิญครูเดินเข้ามาในห้องเสียก่อน
“นักเรียนทำความเคารพ”
หมวยเล็กลุกขึ้นทำความเคารพพร้อมกับเพื่อนๆ ก่อนจะนั่งลง มองจดหมายด้วยความรู้สึกอยากเปิดอ่าน แต่จำต้องเก็บใส่กระเป๋าไปก่อน
พอถึงช่วงพักกลางวัน หมวยเล็กถึงมีโอกาสหยิบจดหมายจากชายเล็กขึ้นมาอ่าน
“หวัดดี แปลกใจล่ะสิ ที่เราเขียนจดหมายมา หาแบบนี้ นี่เป็นจดหมายฉบับแรกในชีวิตที่เราเขียน
เลยนะ ที่เราเลือกเขียนจดหมายก็เพราะว่า ข้อความในจดหมายน่าจะอยู่ได้นานกว่าข้อความในโทรศัพท์ ที่เดี๋ยวก็ตกรุ่น และเครื่องเก่าก็จะกลายเป็นขยะ ทำให้ความรู้สึกที่เราจะบอกเธอต้องตกรุ่นไปด้วยน่ะ ฮ่าๆๆ
เราอยากให้ความรู้สึกที่เรากำลังจะบอกกับเธอ คงอยู่กับเธอไปนานๆ นะ”
หมวยเล็กอ่านไป ก็ยิ้มเขินอายไป
“ที่เธอถามเราว่าเราชอบเธอรึเปล่า จริงๆ แล้ว เราอยากจะบอกเธอตั้งแต่ตอนนั้นเลยล่ะ แต่เราป๊อด นี่สารภาพกันตรงๆ เลย หมวยเล็ก เราชอบเธอนะ ถ้าถามว่าชอบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ เราก็ไม่รู้ แต่พอรู้ตัวอีกที ก็รู้ว่าชอบเธอมากเลยล่ะ”
คิมเดินผ่านมา เห็นหมวยเล็กกำลังอ่านจดหมาย พร้อมกับทำท่าขวยเขินก็ทำหน้างง
“หมวยเล็ก”
หมวยเล็กสะดุ้ง ตกใจ “ค คะ”
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ ทำไมเหรอ”
“เหรอ..ขนมเละหมดแล้ว”
หมวยเล็กหันมองมืออีกข้าง ที่ขยำเค้กจนเละคามือด้วยความเขิน
ชายเล็กยืนแอบดูอยู่ห่างๆ เห็นหมวยเล็กกำลังคุยกับคิม ก็นึกลุ้นว่าจะอีกฝ่ายจะคิดยังไงหลังจากอ่านจดหมายแล้ว
ขณะที่หญิงใหญ่กับภรณีนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ อัครเดชก็เดินหน้าเครียดเข้ามา ภรณีเงยหน้ามาเห็นก็พูดแขวะ
“มาทำงานเที่ยงแล้วยังหน้าบูดหน้าเบี้ยวอีกเนอะ”
“ฉันไปพบลูกค้ามา ทำงานตั้งแต่เช้าแล้วเว้ย”
“ง่อ ขยันแบบนี้ ปลายปีโดนัทคงเยอะ”
หญิงใหญ่รีบพูดแก้ “โบนัส”
“อารมณ์ตอนนี้ไม่ดีเหมือนหน้าตา กรุณาอย่าแซว”
ภรณีเบะปากยี้ใส่ “ค่ะ ก็แล้วแต่”
หญิงใหญ่หันมาถาม “ใครทำให้คนอารมณ์ดีอย่างเธออารมณ์เสียได้ขนาดนี้เนี่ย”
“ตำรวจน่ะสิ ขับรถมาดีๆ โดนเรียกปรับซะอย่างนั้น”
“โดนข้อหาอะไรเหรอ”
“บรรทุกน้ำหนักเกินน่ะ”
หญิงใหญ่ตกใจ “หะ แล้วบรรทุกอะไรมาอ่ะ มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ”
อัครเดชยิ้มกรุ้มกริ่ม “ก็บรรทุกความรักมาให้แก้วนี่ไง”
ภรณีทำเสียงโห่ “ฮู่”
“มันต้องฮิ๊วป่ะ”
ภรณีเบะหน้า “มุกกูเกิ้ล..คงจะเซฟเก็บไว้เยอะสินะ ตอนเล่นบัดดี้ก็จัดมาซะเยอะเลย”
“ถึงเราจะเสี่ยว ก็เสี่ยวเพราะอยากเฉี่ยวหัวใจเธอนะ แก้ว เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันนะแก้ว”
หญิงใหญ่อีกอัก “เอ่อ”
“อย่าปฏิเสธเราเลยนะ ครั้งที่แล้วก็พลาดแล้วทีนึง”
ตี๋ใหญ่เดินออกมาเห็น ก็แอบบ่นกับตัวเอง “ไอ้นี่มันตื๊อจริงๆ”
หญิงใหญ่หันมาถามเพื่อน “ ไปด้วยกันมั้ยณี”
“งานฉันเยอะอะแก แกไม่ต้องไปหรอก”
อัครเดชทำหน้าเซ็ง
“ถ้าไม่ไปก็อยู่เฉยๆ อย่ามากั๊กกันแบบนี้ นะแก้ว เป็นเกียรติให้เราสักมื้อ”
ขาดคำ ตี๋ใหญ่ก็เดินตรงมาหาหญิงใหญ่
“ยุ่งอยู่หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
อัครเดชรีบพูดดักคอ “อย่าบอกนะครับว่าจะเลี้ยงพิซซ่า”
ตี๋ใหญ่ไม่สนใจ หันมาพูดกับหญิงใหญ่ “คุยงานกับผมหน่อยสิ”
“ได้ค่ะ”
อัครเดชรีบพูดแทรกขึ้นมา
“แต่นี่มันพักเที่ยงแล้วนะครับผู้ช่วย แก้วต้องกินข้าวก่อนนะครับ”
“ผมจะไปคุยงานที่ร้านอาหารข้างนอก กินไปด้วยคุยงานไปด้วยน่ะ”
หญิงใหญ่รีบเก็บของ “ได้ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”
ตี๋ใหญ่กับหญิงใหญ่เดินออกไป อัครเดชทำหน้าเซ็ง ภรณีหันมาหัวเราะเยาะ
“สวรรค์ล่ม ฮ่าๆๆ”
เฮงกับเสี่ยชาญช่วยกันเก็บจานชามบนโต๊ะ ก่อนที่จางกับฟางจะเดินออกมาจากบ้าน
“ไปช่วยเฮียเค้าหน่อยสิลูก”
จางส่ายหน้า “ผมเป็นผู้บริหารร้านนะเตี่ย ไปทำงานแบบนั้นได้ไง”
“แล้วทำไมเฮียเฮงเค้าถึงทำได้ล่ะ”
จางไม่รู้จะแก้ตัวกับพ่อยังไง ก็เลยเข้าไปช่วยเฮงกับเสี่ยชาญ
“เสี่ยชาญพักก่อนเถอะครับ ให้ลูกผมมันทำบ้าง”
“ไม่เป็นไรครับ อั๊วทำไหว”
เสี่ยชาญพูดแล้วก็หันมองหน้าฟาง พร้อมๆ กันกับเฮง
“เมื่อกี๊ลื้อเรียกอั๊วว่าไงนะ”
“เสี่ยชาญครับ”
จางตกใจ “เสี่ยอะไรกันพ่อ ไอ้นี่มันบ๋อย”
“พ่อรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว”
“ลื้อรู้ .รู้ได้ไง?” เฮงย้อนถาม
“ผมรู้จักนิสัยลูกผมดี ลูกผมเนี่ยรักผมมาก ดูแลส่งเงินกลับบ้านไม่เคยขาด”
“แล้วไงอ่ะพ่อ ผมส่งเงินกลับบ้านก็ดีแล้วนี่ แล้วพ่อรู้ได้ไงว่าผมโกหก”
ฟางหันมองหน้าลูกชาย
“ถ้าลูกมีบ้านขนาดนั้น ก็คงมีเงินส่งกลับไปบ้านมากกว่าที่ส่งอยู่ตอนนี้น่ะ จริงมั้ย”
จางถึงกับพูดไม่ออก เฮงรีบพูดเตือนสติ
“ไงล่ะ คิดจะหลอกพ่อน่ะไม่ง่ายนะอาจาง เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ ย่อมรู้จักลูกของตัวเองดีมากกว่าใคร”
“แค่ลูกมีงานมีการทำ ไม่ทำตัวสำมะเลเทเมา พ่อก็ภูมิ ใจในตัวลูกมากแล้วนะ ไม่เห็นต้องโกหกแบบนี้เลย”
จางหน้าจ๋อย รีบยกมือขอโทษพ่อ
“ผมขอโทษครับพ่อ ที่ผมทำไปก็เพราะอยากให้พ่อสบายใจน่ะครับ พ่อจะได้อยู่กับผมไปนานๆ”
ฟางสวมกอดลูกชายไว้แน่น จางกอดพ่อด้วยความซาบซึ้ง เสี่ยชาญถึงกับน้ำตาซึม เฮงหันมาถาม
“ดีใจที่พ่อลูกเคลียร์กันได้?”
เสี่ยชาญส่ายหน้า
“ดีใจที่ไม่ต้องเป็นบ๋อยแล้วต่างหาก”
ชายเล็กยืนรอด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ครู่หนึ่งหมวยเล็กก็เดินผ่านมา ทั้งคู่ต่างก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่หมวยเล็กพยายามเก็บอาการสุดๆ
“หวัดดี..เป็นไงมั่ง”
หมวยเล็กยิ้มรับ “ก็สบายดีนะ ไม่ได้เป็นอะไร”
“เราหมายถึงเรื่องจดหมายน่ะ”
“อ๋อ..เห็นแล้วล่ะ”
ชายเล็กรุกต่อ “แล้วรู้สึกยังไงมั่งอ่ะ”
“ก็แปลกดีนะ ไม่คิดว่าสมัยนี้จะมีคนเขียนจดหมายมาให้”
“เราหมายถึงรู้สึกยังไงกับเรา หลังจากได้อ่านจดหมายแล้วน่ะ”
“อยากรู้เหรอ” หมวยเล็กย้อนถาม
“อยากรู้สิ”
“อยากรู้ก็รอบุรุษไปรษณีย์ล่ะกัน”
ชายเล็กทำหน้างง “ รอบุรุษไปรษณีย์?”
“ก็เขียนจดหมายมาให้ เราก็ต้องตอบทางจดหมายสิ.. โอเคนะ”
ชายเล็กพยักหน้ารับ “โอเคๆ”
“เราส่ง EMS รอไม่นานหรอก”
หมวยเล็กเก็บอาการไม่ให้เขิน แล้วเดินออกไป ทิ้งให้ชายเล็กตื่นเต้น ด้วยความอยากอ่านจดหมายเร็วๆ
จางออกมาส่งพ่อที่หน้าบ้าน โดยมีเฮงกับเสี่ยชาญตามมาส่งด้วย
“ไปส่งพ่อที่ท่ารถเลยก็ได้อาจาง เสร็จแล้วค่อยกลับมาทำงาน”
ฟางรีบโบกมือห้าม
“ไม่ต้องก็ได้ครับ ให้ลูกผมอยู่ทำงานเถอะ มันอู้มาเยอะแล้ว”
“เป็นไรครับ ผมมีเสี่ยชาญเป็นลูกน้องอยู่ทั้งคน”
เสี่ยชาญยืดอกภูมิใจ “ติดใจที่อั๊วทำงานดีว่างั้น”
“เปล่า นานๆ จะได้จิกหัวใช้ลื้อนี่แหละ”
“ถุย”
ระหว่างนั้นแก้วกัลยากับฮันนี่ก็ออกมาจากบ้านพอดี
“ไงคะเสี่ยจาง เสี่ยเฮง จับกลุ่มถุย เอ้ย จับกลุ่มคุยธุรกิจอะไรกันอยู่เหรอคะ”
เสี่ยชาญรีบหันไปบอก “พ่ออาจางรู้ความจริงหมดแล้วอาแก้ว”
ฮันนี่ยกมือทาบอกตกใจ
“โอ้ว์ มายก๊อด เดอะ ซีเคร็ทแตกแล้วเหรอเสี่ย..เอ้ย ไอ้จาง”
จางหันมาทำหน้าดุใส่ “เฮ้ย..อารมณ์ตอนนี้ไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา อย่าแซวๆ”
ฮันนี่หันไปด่าจางแต่กระทบฟางด้วย
“แหม ไอ้หน้าตาดี ไอ้อ้วนดำ ไอ้คอเลสเตอรอลอุดตัน ไอ้เบาหวาน ไอ้โล้นซ่า ไอ้..”
“แหม อีสวย”
ฟางฟิวส์ขาดง้างขาจะถีบฮันนี่ ทุกคนช่วยกันห้าม
“ถีบฮันนี่ทำไมอะคะ ฮันนี่ด่าไอ้จางนะ”
“ก็ที่ด่ามา มันเข้าตัวฉันด้วยนี่”
เฮงหันมาบอกจางซ้ำ
“อาจาง ลื้อไปส่งพ่อกลับบ้านไป จะได้ทำงานทำการกันต่อ”
“ครับเฮีย ไปครับพ่อ”
ฟางหันมาลา “ผมลานะครับ เฮียเฮง เสี่ยชาญ”
เฮงยิ้มรับ “โชคดีๆ”
จางรีบพาพ่อที่ยังอารมณ์ค้างกับฮันนี่เดินออกไป เสี่ยชาญถอนใจโล่งอก
“หมดเรื่องหมดราวซะที นี่อั๊วพูดเจียนๆนะ คบลื้อ 2 คนเนี่ย วันๆ มีแต่เรื่อง”
เสี่ยชาญพูดจบก็เดินกลับบ้านไป เฮงทำหน้าเซ็ง
“เฮ้ย ลื้อไปแล้วใครอยู่ช่วยอั้วล่ะ”
แก้วกัลยาพูดสวนทันควัน “ก็ช่วยตัวเองไปสิยะ”
เฮงสะดุ้งโหยง “ ว้าย ทะลึ่ง”
แก้วกัลยาหน้าแดง “ไอ้บ้า! ฉันหมายถึงทำงาน”
ว่าแล้วก็รีบจูงฮันนี่เดินกลับเข้าบ้านไป ทิ้งให้เฮงก็บ่นไปเรื่อยว่าไม่มีใครช่วยงาน
ทางด้านตี๋ใหญ่ก็ออกมายืนรดน้ำต้นไม้อยู่ข้างรั้ว และรดเลยเผื่อมาที่บ้านแก้วกัลยาด้วย พักหนึ่ง
หญิงใหญ่ก็เดินมา ตั้งใจจะออกมารดน้ำต้นไม้เหมือนกัน
“นี่ มันเลยมาบ้านชั้นแล้วเห็นมั้ยเนี่ย”
“อ้าว ก็ผมจะรดเผื่อให้ไง”
หญิงใหญ่ทำหน้าทะเล้น “ใครขอไม่ทราบ”
“ไม่มีใครขอหรอก บังเอิญเป็นคนมีน้ำใจน่ะ”
“ค่ะ”
ตี๋ใหญ่รดน้ำต้นไม้ไปเพลินๆ หญิงใหญ่นึกถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันได้ก็เลยหันมาถาม
“นี่ เมื่อตอนกลางวันที่ชวนฉันไปคุยงานน่ะ ไม่เห็นคุณจะคุยงานอะไรเลย คุณลืมป่ะเนี่ย”
“อ๋อ..ผมไม่มีงานอะไรจะคุยกับคุณหรอก”
หญิงใหญ่หน้าเหรอ “ อ้าว”
“ผมเห็นคุณอึดอัดเวลาโดนอัครเดชชวนกินข้าวน่ะ ก็เลยช่วยกันคุณออกมาให้”
“แค่นี้?”
ตี๋ใหญ่พยักหน้า “ ใช่ จะเอาแค่ไหนล่ะ”
หญิงใหญ่แอบเซ็งนิดๆ เพราะคิดว่าจะมีอะไรมากกว่านี้
“แต่กินข้าวกับคุณก็ดีนะ”
หญิงใหญ่ทำหน้างง “ ดียังไง”
“คุณรู้จักร้านอาหารอร่อยๆ เยอะดี แล้วก่อนกินก็ไม่มัวถ่ายรูป อัพรูปอาหาร..ผมชอบ”
หญิงใหญ่อมยิ้มก่อนจะรีบเดินเข้าบ้านไป เพราะกลัวตี๋ใหญ่จะเห็นอาการเขิน
แก้วกัลยานั่งทำบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่ที่โซฟา มีหญิงใหญ่ช่วยดูอยู่ใกล้ๆ หญิงเล็กในชุดนักศึกษา กลับจากมหาลัยเดินเข้ามา ก่อนจะพูดทักทายมารดา
“เป็นไงบ้างคะ วันนี้ยอดทะลุเป้ารึเปล่าเอ่ย”
“ดีเลยล่ะลูก ลูกค้ามากินมากขึ้นเรื่อยๆ เลยล่ะ”
หญิงใหญ่รีบบอก
“เห็นมั้ยคะ เลิกทะเลาะกับบ้านโน้น ลูกค้าก็มาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เลย”
แก้วกัลยามองค้อน
“ย่ะ..แม่นางงามสันติภาพ เดี๋ยวว่างๆจะทำมงกุฎให้ใส่นะ”
หญิงใหญ่รีบกระพุ่มมือไหว้อย่างอ่อนช้อย “ขอบพระคุณค่ะคุณแม่”
จากนั้นโบกมือแบบนางงาม ฮันนี่เดินเข้ามาเห็น ก็ทำหน้างง
“คุณหญิงใหญ่ลาจะไปไหนเหรอคะ”
“ลาไปเลี้ยงเด็กค่ะ เย้ย..!”
แก้วกัลยาส่ายหน้า “ชักจะฮาเกินหน้าเกินตาใหญ่แล้วนะ”
ฮันนี่หันมาถามหญิงเล็ก
“นี่คุณหญิงเล็กเพิ่งกลับจากมหาลัยเหรอคะเนี่ย”
“ใช่ วันนี้เรียนหนักมาก”
แก้วกัลยามองลูกสาวอย่างเป็นห่วง
“อย่าหักโหมมากนะลูก เครียดก็หาอะไรทำพักสมองบ้าง”
“สบายมากค่ะแม่ ตอนนี้หนูผ่านช่วงหนักหน่วงไปได้แล้ว ต่อไปคงมีเวลามาช่วยแม่ดูแลร้านได้มากขึ้น”
หญิงใหญ่ยิ้มดีใจ “จะได้กินอาหารฝีมือน้องสาวแล้วเหรอเนี่ย”
“ล้างท้องรอเลยครัช อีกไม่นานเกินรอ”
ขาดคำ ชายเล็กก็เดินเข้ามา ด้วยท่าทางร้อนใจ
“รอ รอ รอ ต้องรออีกนานแค่ไหนเนี่ย”
“อยากกินฝีมือพี่จนรอไม่ได้ขนาดนั้นเลย?”
ชายเล็กทำหน้าเซ็ง “รอกินอะไรพี่ ผมรอจดหมายอยู่”
ฮันนี่หันมาถาม “จดหมายอะไรคะ”
“ก็จดหมาย อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกพี่ฮันนี่ จดหมายเรื่องเรียนน่ะ พี่หญิงใหญ่ ปกติส่งจดหมาย EMS นี่กี่วันถึงอ่ะ”
“ไม่ข้ามจังหวัดก็น่าจะวันเดียวนะ”
ชายเล็กยิ้มดีใจ “เหรอ..โอเคๆ”
แก้วกัลยาทำหน้าแปลกใจ “จดหมายเรื่องเรียน ทำไมดูตื่นเต้นจังเลยลูก”
ชายเล็กรีบแก้ตัว
“เอ่อ ผมสมัครขอทุนโควต้านักกีฬาไว้น่ะครับคุณแม่ ก็เลยตื่นเต้นนิดหน่อย”
“ดีลูก แม่เอาใจช่วยนะ”
หญิงใหญ่กับหญิงเล็กมองหน้ากันยิ้มๆ เพราะรู้ว่าน้องชายรอจดหมายสาวอยู่
“พี่ 2 คนก็เอาใจช่วยนะ”
2 สาวยิ้มกรุ้มกริ่ม ชายเล็กส่งซิกให้พี่นิ่งๆ ไว้
บุรุษไปรษณีย์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าบ้าน ยังไม่ทันจะกดกริ่งเรียก ชายเล็กวิ่งปรู๊ดเข้ามาหาก่อน
“ไม่ต้องกดครับพี่ ผมนี่รออยู่เลย”
บุรุษไปรษณีย์รีบยื่นจดหมายส่งให้ ชายเล็กดูซองจดหมาย เห็นเป็นซองสำนักงานเร่งรัดหนี้สิน
“นี่มันจดหมายทวงหนี้ป่าวครับ”
บุรุษไปรษณีย์สะดุ้ง “อุ้ย..ผิดซอง โทษทีน้อง”
จากนั้นก็รียส่งจดหมายอีกฉบับให้ “ไม่ผิดละนะ”
ชายเล็กยิ้มแป้น “ไม่ผิดครับพี่ ซองนี้ใช่เลย”
บุรุษไปรษณีย์ขี่รถออกไป ชายเล็กรีบเปิดซองจดหมาย เห็นรูปหัวใจที่หมวยเล็กวาดให้ พร้อมกับข้อความ “มาลองคบกันเล่นๆ ซัก 80 ปีมั้ย ถ้าไม่เวิร์คค่อยเลิกกัน”
หมวยเล็ก
“อั๊ยย่ะ” ชายเล็กยิ้มอย่างปลื้มปริ่ม
ทางด้านหมวยเล็กแอบมองจากบนบ้าน พอเห็นชายเล็กยิ้มปลื้มที่ได้รับจดหมาย ก็พลอยยิ้มดีใจไปด้วย
เฮงเดินมาเห็นหมวยเล็กก็พูดทักทายตามปกติ
“หมวยเล็ก”
หมวยเล็กสะดุ้งตกใจ “เอ่อ ไม่มีอะไรเตี่ย ไม่ได้ยืนทำอะไรเลยค่ะ”
เฮงทำหน้างง “อะไร เตี่ยยังไม่ได้ถามอะไรเลยนะ”
“อ๋อ..ตอบนำไปก่อน เผื่อเตี่ยถามไง เดี๋ยวหมวยลงไปหาอะไรกินหน่อยนะเตี่ย”
“เตี่ยทำไว้ให้แล้ว ลงไปกินได้เลย”
หมวยเล็กเดินยิ้มหน้าบานออกไป เฮงเดินไปที่หน้าต่าง เห็นชายเล็กยืนยิ้มอยู่คนเดียว
“ยืนยิ้มคนเดียวแล้วเว้ย ไปละมั้ง สะมงสมอง”
อ่านต่อตอนที่ 15