xs
xsm
sm
md
lg

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 7

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 7

กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ร้อยกรองในชุดนอนต้องแหกขี้ตาตื่นมานั่งมองชูนามในสภาพเครียดจัด ทุกข์หนัก คุณนายเซียนพนัน ทวนคำพูดลูกชายด้วยสีหน้าตื่นตกใจถึงขีดสุด

“ชูนามเป็นหนี้บ่อนเฮียโม 20 ล้าน”
“รู้อย่างนี้ ไม่น่าเล่นต่ออย่างที่ไอ้เฮียโมมันยุเลย จากหนี้ 10 ล้าน เป็น20 ล้าน” ชูนามขยี้หัวตัวเอง คิดไม่ตก “จะทำยังไงดีวะ”
“แม่จะเป็นลม” ร้อยกรองหงายหลังลงบนโซฟา ชูนามดึงมือแม่ให้กระเด้งตัวขึ้นมานั่ง
“แม่เป็นลมไม่ได้ มาช่วยหนูคิดก่อนว่าจะหาเงิน 20 ล้านที่ไหน ตอนแรกมันจะเอาวันนี้ แต่หนูขอมันไว้ ยอมให้มันยึดรถไว้”
“ยึดรถ แม่อยากจะบ้า” ร้อยกรองหงายหลังลงบนโซฟาอีก แต่ถูกชูนามดึงขึ้นมานั่งอีก
“แม่ยังบ้าไม่ได้ ช่วยหนูคิดก่อนว่าจะเอาเงินที่ไหนคืนมันภายใน 3 วัน”
“3 วัน แม่อยากตาย” ร้อยกรองตกใจกว่าเก่า หงายหลังนอนลงบนโซฟา
ชูนามดึงมือแม่ให้กระเด้งขึ้นมานั่งอีกหน
“ก็บอกแล้วไง! ว่าห้ามเป็นลม ห้ามบ้า ห้ามตาย ต้องช่วยหนูก่อน”
“จะให้แม่ช่วยยังไง เงินตั้ง 20 ล้าน แค่ 20 บาท แม่ยังต้องแคะกระปุกเล้ย...มีคนเดียวเท่านั้นแหละที่จะช่วยชูนามได้”
ชูนามมองหน้าอย่างรู้ทัน ว่าร้อยกรองหมายถึงใคร
“แม่มีอายแชโดว์สีม่วงไหม”
ร้อยกรองมองฉงน “หนูจะเอาไปทำอะไร”

สุดท้ายชูนามหอบใบหน้าที่มีร่องรอยฟกช้ำ มานั่งหน้าเครียดอยู่ ตรงหน้าปานรุ้งซึ่งบัดนี้ท้องโย้ 7 เดือนกว่าแล้ว และกำลังมองสภาพสามี ก่อนจะย้อนถามเสียงเครียด
“รถโดนขโมย”
“ใช่ ก็อย่างที่ผมเล่าให้ฟัง ผมขับรถอยู่ดีๆ มีคนมาวิ่งตัดหน้า พอผมจอดรถลงไปดูว่าเขาเป็นอะไรมากไหม ผมก็โดนพวกมันที่ซุ่มข้างทางกระหน่ำต่อย” ชูนามชี้ที่รอยสีม่วงคล้ำบนหน้า “ดูสิ หน้าผมระบมไปหมด”
ปานรุ้งมองจับผิด “โดนต่อยขนาดนี้ แต่เสื้อผ้ากลับไม่เลอะเทอะอะไรเลยเนอะ”
ชูนามชะงัก แล้วทำเป็นโมโหกลบ
“นี่คุณคิดว่าผมปั้นเรื่องหลอกคุณเหรอรุ้ง”
ปานรุ้งของขึ้น มองหน้าชูนามอย่างโกรธขึ้ง “ก็ไม่รู้สิ สองเดือนที่แล้ว คุณบอกว่าคุณกับเพื่อนจะขนส่งสินค้าล็อตแรก สุดท้ายก็เงียบ หลังจากนั้นก็ยืมเงินของฉันไปร่วมธุรกิจส่งออกผลไม้กระป๋อง สุดท้าย อย่าว่าแต่กำไรเลยแม้แต่เงินทุนมาคืนสักบาท ฉันยังไม่เคยเห็นเลย วันนี้รถโดนขโมยอีก”
ชูนามตัดพ้อ “ใช่ คนอย่างผมมันห่วย ผมผิดเองที่พยายามจะหาทางสร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อลบคำครหาที่ใครๆว่าผมเกาะคุณกิน แต่ผมก็ยังพลาด...ถ้าคุณแต่งงานกับนายทหารเรือ ป่านนี้คุณคงเป็นคุณนายไปแล้ว ผมไม่น่ารักคุณเลย”
ปานรุ้งถอนใจ มองชูนามที่ตีหน้าเศร้าก็ใจอ่อนยวบ จะลองเชื่อสามีอีกครั้ง
“รุ้งขอโทษค่ะ ตั้งแต่รุ้งท้อง รุ้งหงุดหงิดง่ายไปหน่อย อย่าน้อยใจเลยนะคะ”
ชูนามลอบถอนใจ โล่งอก ที่ปานรุ้งไม่สอบสวนเรื่องรถต่อ แล้วตีหน้าเศร้าหาทางเอาเงินไปใช้หนี้อีก
“ผมผิดเอง แต่ครั้งนี้ผมสัญญาจะรบกวนคุณเป็นครั้งสุดท้าย ผมจะลงทุนเปิดไนต์คลับกับเพื่อน ผมศึกษาทุกอย่างรอบคอบแล้ว รับรองว่าไม่มีทางเจ๊ง” สิงห์พนันว่าที่พ่อคนเอามือลูบท้องเอาใจเมีย “ผมทำทุกอย่างเพื่อ ครอบครัวของเรานะรุ้ง รุ้งให้เงินผมยืม 20 ล้านได้ไหม”ปานรุ้งตกใจ “20 ล้าน เงินมากมายขนาดนั้น รุ้งไม่มีหรอก ถ้าจะเอา ต้องไปขอยืมนายแม่โน่น”
ชูนามถอนใจ “ยืมเหรอ ตั้งแต่แต่งงานกันมา แม่คุณยังไม่มองหน้าผมเลย ขืนผมไปยืมเงิน คงโดนหัวเราะเยาะใส่หน้ามา...รุ้งช่วยผมหน่อยได้ไหม คิดซะว่า ช่วยผม ช่วยครอบครัวของเรา”

ปานรุ้งมองชูนามหน้าเครียด

รุ่งเช้า คมขวัญเดินตรวจงานมาบริเวณท่าเรือ มีปริญญาเดินตามคอยรายงานเรื่องชูนาม

“รถไม่ได้โดนขโมยไปครับ”
“ตกลงรถของชูนามไม่ได้หาย”
“คนของผมยืนยัน ว่ารถคันนั้นอยู่ที่บ่อนเฮียโมครับ”
คมขวัญฟังแล้วเครียด
“เธอพูดถูก เงินแสนมันไม่สามารถถอดเขี้ยวเล็บเสือให้เป็นแมวได้เสือก็เป็นเสือ ที่มันกัดเราได้ทุกเมื่อ”
สิ้นเสียงคมขวัญ ก็ได้ยินเสียงปานรุ้งดังขึ้น
“นายแม่ขา” ปานรุ้งกับชูนามเดินเข้ามามองหาคมขวัญ
คมขวัญหันไปมองเห็นปานรุ้งโบกมือให้แล้ววิ่งมาหา โดยมีชูนามตามมาด้วยสีหน้าท่าททางปกติ
คมขวัญมองปานรุ้งกับชูนามสายตาคมปลาบ

ถัดมา ปานรุ้งเดินมากับคมขวัญ โดยมีชูนามเดินตาม ปริญญากับเกื้อมองสองผัวเมียนิ่งๆ
คมขวัญมองชูนามกับปานรุ้งอย่างคิดๆ พอจะเดาออกว่าชูนามคงขอให้ปานรุ้งมาช่วย แต่คมขวัญทำเป็นนิ่ง เหมือนไม่รู้เรื่องอะไร
“รุ้งมาที่นี่ทำไม” แล้วหันไปตำหนิชูนาม “เธอไม่น่าพาเมียและลูกมาลำบากกับเธอเลยนะชูนาม”
ชูนามชะงัก หวั่นว่าคมขวัญจะรู้ทันรึเปล่า “ก็รุ้งเขาอยากมาดูงานนี่ครับ”
“ก็นายแม่พร่ำบอกรุ้งทุกวัน ว่าให้มาช่วยนายแม่ทำงานบ้าง วันนี้รุ้งมานายแม่กลับบ่นรุ้ง ตกลงเอายังไงกันแน่คะ”
คมขวัญมองหยั่งเชิง “รุ้งจะมาช่วยงานแม่งั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิคะ ถ้านายแม่ไม่เชื่อ นายแม่บอกมาเลยค่ะว่านายแม่กำลังจะไปไหน รุ้งจะไปช่วย”
“อย่าเลย แม่ต้องไปตรวจเช็คของที่จะส่งไปโกเบที่ท่าเรือ แดดมันร้อน เดี๋ยวรุ้งจะไม่สบาย”
“เช็คของ ทำไมนายแม่ต้องเช็คเองล่ะคะ” ปานรุ้งปรายตามองปริญญา “ลูกน้องก็มี ใช้งานบ้างเถอะค่ะ ไม่ใช่ให้เดินฆ่าเวลางานไปฟรีๆ”
ปริญญายืนข่มอารมณ์ นิ่งไว้
ชูนามผสมโรง “นั่นสิครับ นายแม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งอยู่อย่างงี้ มันต้องกระจายอำนาจบริหาร ตายๆๆ คอนเทนเนอร์นี่เก่าจัง อันตราย ระบบความปลอดภัยไม่มีเลย แย่นะครับคุณแม่แบบนี้”
“ฉันก็ทำของฉันอย่างงี้มาตั้งแต่พวกแกยังไม่เกิดอีกมั้ง ไม่เห็นมีอะไรนี่ อีกอย่างจะไปวานใครเขามาช่วยได้” คมขวัญบอก
“เหรอครับ ตายแล้วๆ ไม่ได้แล้ว ล้าสมัย ต้องปรับปรุง”
คมขวัญมองปานรุ้งนิ่งๆ ยิงคำถามตรงๆ “รุ้งต้องการอะไร”
ปานรุ้งกับชูนามมองหน้ากัน

คมขวัญลงนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดแฟ้มเอกสารดู โดยไม่สนใจปานรุ้งที่ยืนมองคมขวัญอย่างไม่พอใจ
“แม่บอกแล้วไงว่าแม่ไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น” คมขวัญเลี่ยง ไม่อยากให้ลูกรู้เรื่องสถานะการเงินบริษัท
“รุ้งไม่เชื่อ รุ้งบอกแล้วไงคะว่ารุ้งแค่ขอยืม รุ้งอยากลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อน นายแม่คิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้ รุ้งให้ร้อยละ 20 พอใจไหมคะ”
คมขวัญปิดแฟ้มอย่างเหลืออด “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ย แต่ที่แม่ไม่ให้ เพราะแม่รู้ว่ารุ้งไม่ได้เอาเงินไปลงทุนธุรกิจเอง แต่รุ้งเอาไปให้ชูนาม”
“รุ้งจะเอาเงินมาลงทุนเองหรือให้ชูนาม มันก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะในเมื่อรุ้งกับชูนามเป็นผัวเมียกัน”
“รุ้ง ลูกเป็นคนฉลาด แม่ไม่เชื่อว่าลูกจะไม่สงสัย ว่าชูนามเอาเงินไปลงทุนจริงรึเปล่า”
ปานรุ้งชะงัก เพราะลึกๆ เธอก็สงสัย แต่เพราะถือทิฐิไม่ยอมให้แม่ดูถูกได้ว่าเลือกคนผิด บอกไปว่า
“รุ้งมั่นใจในตัวชูนามค่ะ”
คมขวัญถอนใจ “ที่แม่พูด เพราะรักและหวังดี โจรปล้นสิบครั้งยังไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว และไฟไหม้สิบครั้ง ยังไม่เท่าเล่นการพนัน”
ปานรุ้งแทรก “ตกลงนายแม่จะไม่ให้เงินใช่ไหมคะ”
คมขวัญเสียงอ่อนลง พูดดีๆ และอยากให้ปานรุ้งเข้าใจ “รุ้ง”
ปานรุ้งพูดเสียงเยาะ “รุ้งผิดเองแหละค่ะ ที่คิดว่านายแม่จะช่วย แต่รุ้งลืมไปว่าลูกชัง ยังไงก็เป็นลูกชังอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องห่วงนะคะ รุ้งจะไม่มารบกวนนายแม่อีก ลาล่ะค่ะ”
ปานรุ้งเดินอุ้ยอ้ายออกจากห้องไปทันที
คมขวัญมองตามลูกสาว แล้วหันมามองหมอนหนุนท้องที่เย็บเพิ่งเสร็จ ซึ่งวางซ่อนอยู่หลังโต๊ะทำงานนั่นเอง

ชูนามเดินนำปานรุ้งเข้าบ้านมาในห้องโถงบ้าน ท่าทางหงุดหงิดมาก ไม่ยอมรอปานรุ้งที่ต้องคอยเดินช้าๆ มีเกื้อคอยเดินตามหลังด้วยความห่วงใย
“ทำยังไงดี” ชูนามเครียดจัดหันมาอ้อนปานรุ้งอีก “คุณกลับไปขอร้องคุณแม่อีกครั้งเถอะนะ”
“ไม่ ฉันจะไม่มีวันกลับไปให้นายแม่ มองฉันด้วยสายตาสมเพชอีก”
“แล้วธุรกิจของผมล่ะ”
“ถ้าไม่มีเงิน ก็ไม่ต้องลงทุน”
ปานรุ้งตัดบทพูดด้วยเสียงดังมาก จนรู้สึกเสียดท้องขึ้นมา รีบกุมท้อง
“โอ๊ย”
เกื้อมองปานรุ้งด้วยสายตาเป็นห่วง แล้วเหลียวไปมองชูนามรอดูว่าจะทำอย่างไร
ชูนามมองเพียงนิดเดียว ในใจไม่อยากอยู่ดูแลปานรุ้งเลย เพราะยังเครียดเรื่องหนี้อยู่ แต่คิดบางอย่างออก จึงเข้าไปประคองแล้วพูดเสียงอ่อน
“รุ้งเป็นอะไรไปจ๊ะ”
“เสียดท้องน่ะสิ”
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณเครียด งั้นเดี๋ยวให้เกื้อพาคุณไปหาหมอนะ”
“แล้วคุณล่ะ”
“ผมจะไปบอกเพื่อนว่าจะไม่ลงทุนแล้ว” ชูนามหันไปสั่งเกื้อ “ยืนบื้อทำอะไร มาพาคุณหนูแกไปหาหมอสิ”
“ครับ” เกื้อรีบเข้าไปประคองปานรุ้ง “ค่อยๆ เดินนะครับคุณหนู”
เกื้อประคองปานรุ้งพาออกไปขึ้นรถเพื่อไปหาหมอ ชูนามมองตามด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง

ชูนามเปิดประตูห้องนอนเข้ามา มองไปทางตู้เซฟของปานรุ้งด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำ แต่อีกใจก็กลัวความโหดของเฮียโม ชูนามตัดสินใจไปหยิบกุญแจตู้เชฟจากลิ้นชักโต๊ะทำงานปานรุ้ง แล้วเดินตรงไปเปิดตู้เซฟออก
ชูนามมองกล่องเครื่องเพชรและทองใส่ทองที่วางเรียงในตู้เซฟอย่างลังเล

เกื้อขับรถมาตามทาง จู่ๆ ปานรุ้งคิดบางอย่างออก
“เกื้อ ฉันลืมเอากระเป๋าเงินมา”
“อ้าว เดี๋ยวผมจ่ายให้คุณหนูก่อนก็ได้ครับ”
“ฉันไปโรงพยาบาลฝรั่ง เธอไม่มีเงินจ่ายพอหรอก วนรถกลับไปเอากระเป๋าเงินก่อน”
เกื้อหน้าเสียที่ไม่มีปัญญาจะช่วยเหลืออะไรปานรุ้งได้ จึงขับรถยูเทิร์นกลับบ้าน

ส่วนชูนามมองกล่องเครื่องเพชรและกล่องสร้อยทองที่วางเรียงในตู้เซฟอย่างลังเล
“เอาวะ เอาไปจ่ายถ่วงเวลามันก่อนก็ยังดี”

ชูนามหยิบกล่องเครื่องเพชรมาเปิดดู แล้วหยิบถุงผ้ามาโกยเอาสร้อยเพชรใส่ถุงนั้น

เกื้อขับรถมาจอดหน้าตึก ปานรุ้งยังมีอาการเสียดท้อง ลงจากรถจะเดินไปเอากระเป๋าเงินบนห้อง เกื้อรีบวิ่งมาขวางปานรุ้ง

“คุณหนูรออยู่ตรงนี้ล่ะครับ เดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าเงินให้”
“งั้นก็รีบไป กระเป๋าเงินอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องฉันน่ะ”
“ครับ” เกื้อรีบเดินเข้าบ้าน

ชูนามหยิบกล่องเครื่องเพชรออกมาราว 7-8 กล่อง ซองเอกสารที่ซุกไว้ด้านในเซฟ หล่นออกมาด้วย เขาหยิบซองมาเปิดดู พบว่าเอกสารในซองคือ โฉนดที่ดินบ้านสมุทรเทวา มีชื่อปานรุ้งเป็นเจ้าของ

เกื้อเดินมาถึงหน้าห้องนอนปานรุ้งแล้ว กำลังเอื้อมมือจะเปิดประตู จู่ๆ ปานรุ้งเดินเข้าบ้านมาตะโกนเรียก
“เกื้อ”
เกื้อชะงัก จับลูกบิด แต่ยังไม่เปิดประตูห้อง
ชูนามได้ยินเสียงปานรุ้ง ก็สะดุ้งตกใจ นิ่งฟัง จนได้ยินเสียงปานรุ้งตามมาอีกว่า
“ฉันลืมไป กระเป๋าเงินฉันอยู่ที่โต๊ะนี่”
ชูนามมองไปทางประตูอย่างระแวง กลัวเกื้อหรือปานรุ้งจะเข้ามาเห็นตัวเอง คว้าซองเอกสารใส่โฉนดออกมาด้วยเผื่อเป็นตัวเลือก แล้วรีบปิดตู้เซฟ เผ่นไปแนบหูคอยฟังที่ประตู
“ไปได้แล้ว” เสียงปานรุ้งดังขึ้นมาจากข้างล่าง
ชูนามฟังจนแน่ใจว่าปานรุ้งไปแล้ว ถอนใจโล่งอก มองถุงใส่สร้อยเพชรอย่างครุ่นคิด

คืนนั้นชูนามเอาถุงใส่เครื่องทอง และเพชรของปานรุ้งวางบนโต๊ะตรงหน้าผู้เป็นแม่ ร้อยกรองมองถุงเครื่องทองและเครื่องเพชรตาโตดีใจ
“ไอ้หนูลูกแม่ ไอ้หนูซื้อสร้อยทองกับสร้อยเพชรมาให้แม่เหรอลูก”
ร้อยกรองกระโดดกอดจูบชูนามพัลวัน
ชูนามร้องห้าม “หยุดก่อน หนูไม่ได้ซื้อมาให้แม่ เป็นหนี้เขา 20 ล้าน หนูจะเอาเงินที่ไหนซื้อเครื่องเพชรเม็ดเท่าไข่ให้แม่”
“อ้าว หนูเอาเครื่องเพชรของใครมา แล้วเอามาให้แม่ทำไม”
“ของปานรุ้ง แม่เอาไปให้ช่างทำสร้อยเพชรปลอมของแม่ ทำเลียนแบบของพวกนี้ทั้งหมด แล้วของจริงไปขายให้หนูด้วย”
ร้อยกรองชะงัก ทักท้วง “จะดีเหรอลูก ถ้าหนูรุ้งรู้ว่าของปลอม อาละวาดบรรลัยเลยนะ”
“แต่ถ้าแม่ไม่ขาย เฮียโมฆ่าหนูแน่ แม่จะเลือกกลัวใครมากกว่ากัน”
ร้อยกรองมองชูนามสีหน้าเครียดทั้งคู่

กลางดึกอีกสองสามวันถัดมา ชูนามพาตัวเองมายืนเคาะประตูลับบ่อนเฮียโม ไอ้ขุนเปิดประตูให้ ชูนามเดินเข้าบ่อนมามองหา
“เฮียอยู่มั้ย”
ไอ้ขุนยิ้มกวนประสาท “อ่าฮ้า คุณชูนาม ดิเรกวิทยา เข้ามาก่อนสิครับ”
ชูนามยื่นปึกเงินให้ “เอานี่ ฉันเอาเงินมาให้ก่อน 2 ล้าน ฝากบอกเฮียว่าที่ เหลือจะรีบหาให้วันสองสามวันนี้ ไปละ”
ชูนามรีบร้อนเดินหนี เฮียโมเดินออกมาพอดี เรียกไว้
“จะรีบไปไหนล่ะคุณชูนาม”
ชูนามชะงักกึก
เฮียโมเอาเงิน 2 ล้าน จากมือไอ้ขุนมา “เงินแค่ 2 ล้าน มันไม่ได้ลดหนี้ 30 ล้านคุณได้เลยนะ”
ชูนามอึ้งงง “30 ล้าน บ้าอะไร เมื่อคืนฉันเสียให้ บ่อนแกแค่ 10 ล้าน รวมกับหนี้เก่าอีก 10 ล้าน เป็น 20 ล้าน”
“งั้นคุณก็คงลืมว่า เงินที่คุณเอาไปต่อทุน เป็นเงินที่คุณยืมจากผมไป 10 ล้าน”
“เมื่อคืนฉันยืมเงินแกแค่ 1 ล้านเว้ย ไม่ใช่ 10 ล้าน” ชูนามโวยวาย
เฮียโมมองไปทางไอ้ขุนซึ่งรู้งานการโกงดีเยี่ยม มันหยิบกระดาษสัญญามากางให้ชูนามดู
“นี่คือสัญญากู้เงิน 10 ล้านที่คุณเซ็นไว้”
“เซ็นบ้าอะไร ฉันไม่เคยเซ็นสัญญาอะไรเลยโว้ย พวกแกปลอมลายเซ็นฉัน แกโกงฉัน”
ชูนามโวยวายจะพุ่งเข้าไปเอาเรื่องเฮียโม แต่ถูกกลุ่มบอดี้การ์ดล็อคตัวไว้ เฮียโมเดินเข้าไปหาชูนามด้วยสีหน้านิ่ง ยิ้มเย็นชา แล้วจับนิ้วชูนาม
“ผมก็อยากให้คุณเซ็นเองนะ แต่เสียดาย นิ้วคุณหักซะก่อน” ขาดคำเฮียขาโหดหักนิ้วชูนามทันที
“อ๊าก...นิ้วกู” ชูนามแหกปากร้อง กุมมือแน่น เจ็บปวดสุดจะประมาณ
เฮียโมบีบคางชูนามแน่น ขู่ด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมและอำมหิต
“ถ้ามึงไม่คืนเงินกู ไม่ใช่แค่นิ้ว แต่กูจะหักคอมึงด้วย”
“ได้โปรดเถอะเฮีย อย่าทำอะไรผมเลย” ชูนามกลัวจับจิต รีบอ้อนวอน แล้วฉุกคิดได้ว่าตนมีโฉนดอยู่ในมือ “ผมมีเงินคืนเฮียนะ” ว่าพลางหยิบโฉนดมาให้ดู “ผมมีโฉนดที่ดินของบ้านสมุทรเทวา มันเป็นของเมียผม เฮียปลอมลายเซ็นผมได้ เฮียก็ให้ลูกน้องปลอมลายเซ็นปานรุ้ง จำนองบ้าน แล้วเฮียก็เอาเงินไป”
เฮียโมชะงัก มองโฉนดอย่างสุดทึ่ง ยิ้มพึงพอใจออกมา
“ขโมยโฉนดบ้านสมุทรเทวามาได้ คุณนี่เจ๋งกว่าที่ผมคิดอีกนะ แล้วคุณไม่เสียดายบ้านสมุทรเทวาเหรอ ถ้ามันโดนขายไป”
ชูนามชะงักค้าง “เอ่อ...”
เฮียโมยิ้ม “เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ผมจะยึดโฉนดบ้านสมุทรเทวานี้ไว้เป็นตัวประกัน แล้วผมจะให้คุณทำงานสักอย่างให้ผม ถ้าทำสำเร็จ ผมจะคืนโฉนดบ้านและยกหนี้สินทั้งหมดให้”
ชูนามสนใจ ถามทันที “งานอะไร”
เฮียโมยิ้มเจ้าเล่ห์ มองเข้าไปห้องหนึ่งด้านในบ่อน เหมือนมีใครสักคนซ่อนอยู่ในนั้น

ภายในห้องที่ติดฟิล์มกระจกสีดำสนิท คนภายนอกมองเข้ามาไม่เห็น ห้องนี้เฮียโมสั่งทำเอาไว้สำหรับสำรวจดูเหตุการณ์ข้างนอก และเวลานี้ มิสเตอร์เจสันยืนมองผ่านกระจกติดฟิล์มสีดำออกไป แล้วยิ้มตอบเฮียโมอย่างมีความสุข ที่แผนการฮุบสมุทรเทวาใกล้จะสำเร็จรอมร่อ

ศุภกิจ กับ นพพร มองนายฝรั่ง แล้วหันมายิ้มชั่วให้กัน

อ่านต่อหน้า 2

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 7 (ต่อ)

คืนเดียวกันนี้ ปิ่นเดินนำเกื้อมาจากประตูรั้วหน้าบ้าน สองแม่ลูกเพิ่งกลับจากข้างนอก ยายปิ่นบ่นบ้าตามประสา

“ตาแปะงกจริงๆ เราอุตส่าห์เสียค่าสามล้อ ขนขวด ขนหนังสือพิมพ์ไปชั่งกิโลขายให้ถึงร้าน ขอเพิ่มอีกสิบ ยี่สตางค์ก็ไม่ได้ อย่างน้อยจะได้ช่วยค่ากับข้าวไปได้ทั้งหลายมื้อ”
“เอาน่าแม่ อย่างน้อยเราก็ได้มาตั้งหลายสิบบาทแล้ว”
ปิ่นคิดได้ “เอ้อ เมื่อตอนกลางวันแม่เห็นผักบุ้งที่หนองหลังบ้านขึ้นง๊าม...งาม ยังมีดงดอกโสนอีก พรุ่งนี้เอ็งแอบไปเก็บมาให้แม่หน่อยนะ แม่จะเอาไปฝากแม่ค้าในตลาดขาย”
เกื้อมองแม่ด้วยสีหน้ากังวล
“คุณนายบอกให้แม่ช่วยประหยัดขนาดนี้เลยเหรอแม่”
“คุณนายไม่ได้บอกให้ประหยัดขนาดนี้หรอก แต่จำนวนยาแก้ปวดหัวที่คุณนายเรียกหาแต่ละวัน ทำให้แม่รู้ว่าเราต้องช่วยคุณนายขนาดไหน”
“แต่ฉันก็เห็นข่าวเรือของสมุทรเทวาขนสินค้าได้ดีนะแม่”
ปิ่นมองไปทางตึกสมุทรเทวา ได้ยินปานรุ้งเปิดเพลงเสียงดังแว่วมา บ่นปานรุ้งอย่างไม่พอใจ
“หนึ่งคนทำ แต่สองคนใช้เงิน แกคิดว่ามันจะรอดไหมล่ะ แม่ทำงานงกๆๆ ตัวเองพาผู้ชายมานั่งกินนอนกิน หึ เปิดเพลงเสียงดังอย่างนี้ ผัวคงหายไปอีกล่ะสิ ไม่มีใครดูแลอย่างนี้ อย่าโทษใครเลย มันเป็นกรรม”
เกื้อส่งเสียงปราม “แม่”
“อยากรู้จริงๆ วันนึงถ้าไม่มีแม่ จะอยู่กันยังไง”
ปิ่นเดินหงุดหงิดไปทางเรือนคนใช้ เกื้อมองแม่อย่างระอา ขณะจะเดินตามไป จู่ๆ เขาได้ยินเสียงเรียกของวาสุเทพดังมาจากหน้าประตูรั้วบ้าน
“เกื้อ”
เกื้อจำเสียงได้ จึงรีบวิ่งไปเปิดประตูให้วาสุเทพเดินเข้ามา พร้อมกับมองซ้าย มองขวาอย่างระวังว่ามีใครเห็นรึเปล่า แล้วยื่นปิ่นโตใส่ซุปหูฉลามให้เกื้อ
“ฉันเอาซุปมาให้รุ้ง” วาสุเทพได้ยินเสียงเพลงดังแว่วจากในบ้าน จึงมองไปตามเสียง “นี่ยังไม่นอนกันอีกเหรอ”
“คุณนายยังไม่กลับจากท่าเรือ ส่วนคุณรุ้ง...” เกื้ออึกอักไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่อยากพูดให้อีกฝ่ายกังวลใจ “รอคุณชูนามครับ”

วาสุเทพฟังแล้วชะงัก
“ชูนามกลับบ้านดึกทุกคืนเลยเหรอ”
เกื้อรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บในน้ำเสียงนั้นได้ ไม่อยากให้วาสุเทพเป็นห่วงปานรุ้งมากไปกว่านี้
“ไม่ครับ แค่วันนี้เท่านั้น เห็นคุณชูนามบอกคุณรุ้งว่ามีประชุมงานกับเพื่อนน่ะครับ”
“งั้นก็แปลว่าตอนนี้ชูนามมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว”
เกื้อมองวาสุเทพอย่างเข้าใจ ว่ายังติดตามชีวิตปานรุ้งด้วยความเป็นห่วงมาโดยตลอด
“ครับ คุณชูนามบอกคุณรุ้งว่าจะรีบสร้างฐานะเพื่อลูกและคุณรุ้งครับ”
วาสุเทพอึ้งไป คำพูดเกื้อเหมือนตอกย้ำว่าปานรุ้งมีครอบครัวและคนอื่นดูแลแล้ว เขาควรยอมถอยสักที
“ถ้ารุ้งมีความสุขดี ฉันก็ดีใจ เพราะต่อไป ฉันคงไม่ได้แวะมาอีก”
เกื้อใจหาย มองวาสุเทพด้วยสีหน้าสงสัย
“ทำไมล่ะครับ”
“ฉันจะย้ายไปอยู่สัตหีบ” วาสุเทพมองไปทางบ้านสมุทรเทวาด้วยสายตาห่วงอาทร “ตอนนี้มีอะไรมากมายรอฉันอยู่ ฉันจะได้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ ควรทำสักที”
เกื้อมองด้วยแววตาสงสัยว่าวาสุเทพจะไปทำอะไร แต่ไม่กล้าถาม
วาสุเทพยิ้มให้ “ฉันไปล่ะ” พลางตบไหล่เกื้อ “ฝากดูแลรุ้งด้วยนะ”
เรือเอกหนุ่มมองไปทางบ้านสมุทรเทวาอีกทีด้วยหัวใจที่เป็นห่วงปานรุ้ง ก่อนจะตัดใจเดินกลับไปที่รถ
เกื้อมองตาม แล้วหันหน้าจะเดินเข้าบ้าน แต่ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นปานรุ้งมายืนแอบฟังทุกอย่างอยู่ที่ซุ้มต้นไม้ใกล้ประตูรั้ว นานเท่าไหร่ไม่รู้
“คุณหนู”
ปานรุ้งมองเกื้อ แล้วมองไปที่ปิ่นโตใส่ซุปหูฉลามด้วยแววตาอันเจ็บปวด

ปานรุ้งมาหยุดยืนตรงท่าน้ำหลังบ้าน ทอดสายตามองผิวน้ำด้วยสีหน้าหม่นเศร้า เกื้อยืนอยู่ทางข้างหลัง มองปานรุ้งด้วยความห่วงใย
ปานรุ้งเอ่ยขึ้นในที่สุดว่า “ทำไมเธอไม่บอกฉัน”
เกื้ออึกอัก “เอ่อ...”
ปานรุ้งเสียงเข้มขึ้นอีก เพื่อให้เกื้อตอบ “ฉันถามว่าทำไมเธอไม่เคยบอกว่า คนที่เอาซุปมาให้ฉันคือพี่เทพ”
“คุณวาสุเทพขอไม่ให้บอกครับ คุณวาสุเทพเป็นห่วง กลัวคุณรุ้งจะไม่สบายใจ”
ปานรุ้งฟังคำว่า “วาสุเทพเป็นห่วง” แล้วปวดใจ ทั้งๆ ที่เธอทิ้งวาสุเทพ ทำร้ายความรัก ทำลายหัวใจ แต่เขายังคงเป็นห่วง
ปานรุ้งสะท้อนในใจ ครางออกมาอย่างเจ็บปวด “พี่เทพ ยังห่วงฉัน”
เกื้อมองด้านหลังปานรุ้งด้วยความห่วงใย
“ทั้งๆ ที่ฉันทำกับเขาอย่างนั้น เขาก็ยังห่วงฉัน...”
ปานรุ้งหมุนตัวกลับมาสบตากับเกื้อ เพื่อให้มั่นใจในคำตอบของเกื้อ
“เหรอเกื้อ”
เกื้อสบตาปานรุ้ง ตอบไปว่า “ครับ”
ปานรุ้งเจ็บปวดเหลือเกิน ก้มมองท้องตัวเอง
“ในขณะที่พ่อแท้ๆ ไม่เคยคิดจะดูแลใส่ใจอะไรฉันกับลูกเลย”
เกื้อใจหาย อยากปลอบปานรุ้งเหลือเกิน “คุณรุ้ง”
ปานรุ้งแหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลริน
“ชีวิตฉันตอนนี้มันเหมือนดวงดาวพวกนั้นนะเกื้อ มองไกลๆ มันช่างสุกสกาว แต่ถ้ามองใกล้ๆ มันไม่ได้มีแสงสว่าง มันก็แค่ดาวเคราะห์ผิวขรุขระ ไม่ได้มีแสง ไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครๆ คิดเลย” ปานรุ้งพยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่แล่นมาจุกตรงคอแล้ว “จะโทษใครได้ นอกจากตัวฉันเอง”
“คุณรุ้งอย่าคิดมากเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคนที่คุณรุ้งเลือก หรือไม่ได้เลือก ทุกคนต่างรักคุณหนูทั้งนั้น”
ปานรุ้งมองเกื้อนิ่ง ฟังเขาพูดต่อ
“และทุกคนที่รักคุณรุ้ง ต้องอยากให้คุณรุ้งมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นคุณวาสุเทพ” เกื้ออยากจะบอกว่าตัวเองก็ด้วย แต่รู้ดีว่าไม่ควร “และคุณชูนาม”
ปานรุ้งฟังเกื้อพูดถึงชูนาม แล้วถอนใจ พลางลูบท้องตัวเองคล้ายรำพึงรำพัน

“ฉันกับลูกยังหวังความสุขจากชูนามได้ใช่ไหมเกื้อ”

ฝ่ายชูนามเดินออกจากโรงพยาบาล นิ้วที่โดนเฮียโมหักเข้าเฝือกนิ้วเรียบร้อยแล้ว ชูนามมองนิ้วตัวเอง แล้วคิดถึงคำพูดเฮียโมขึ้นมา

“ผมจะให้โอกาสอีกครั้ง คุณทำยังไงก็ได้ เข้าไปทำงานในสมุทรเทวา แล้วหาจังหวะใช้เรือของสมุทรเทวาส่งของให้ผม ถ้าทำสำเร็จผมยกหนี้ทั้งหมดพร้อมกับคืนโฉนดที่ดินสมุทรเทวา แต่ถ้าทำไม่ได้ บอกลาลูกเมียได้เลย”
ชูนามหน้าเครียด คิดหนักว่าจะทำยังไงดีหนอ

ปานรุ้งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในห้องโถงรอชูนาม ในใจคิดถึงเรื่องวาสุเทพที่เป็นห่วงตัวเอง ต่างจากชูนามที่กลับไม่เคยเหลียวแล เกื้อค่อยๆ คลานเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนูครับ ขึ้นไปนอนบนห้องเถอะครับ เดี๋ยวผมรอคุณชูนามเองครับ”
ปานรุ้งมองเกื้อที่ภักดีเสมอ คอยดูแลตัวเองไม่ห่าง ต่างจากชูนาม ยิ่งคิดปานรุ้งก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองอาจจะ เลือกผิดคน
“ขอบใจนะเกื้อ”
ปานรุ้งค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วสะดุ้งเหมือนเจ็บท้อง
เกื้อเป็นห่วง “คุณหนูเป็นอะไรครับ”
ปานรุ้งทรุดตัวลงนั่งอีก “ลูกเตะท้องฉัน ยิ่งโตยิ่งเตะหนักขึ้น บางทีท้องนูนจนเห็นเป็นลูกเลยนะ”
เกื้อฟังแล้วพลอยตื่นเต้น “เหรอครับ”
“จริงสิ” ปานรุ้งจับท้องตัวเอง ท่าทางยังเจ็บๆ จุกๆ อยู่ “นี่ไง เตะอีกแล้ว”
เกื้อมองที่ท้องนูนโตของปานรุ้งอย่างตื่นเต้น
“เวลาคุณหนูน้อยเตะ คุณรุ้งเจ็บมากไหมครับ”
ปานรุ้งมองเกื้อที่ดูตื่นเต้นมากแล้วขำ
“อยากรู้สึกไหมว่ามันเป็นยังไง” ปานรุ้งจับมือเกื้อมาทาบที่ท้อง “รู้สึกไหม”
เกื้อทั้งตกใจที่ปานรุ้งจับมือตัวเองไปแตะท้อง แล้วเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นทันทีที่ได้สัมผัสว่าทารกในท้องเตะจนรู้สึกได้
“อุ๊ย คุณหนูน้อยเตะมือผมด้วยครับคุณรุ้ง”
ปานรุ้งขำท่าทางเกื้อ
จู่ๆ ชูนามที่ใส่เฝือกนิ้วเดินเข้าบ้านมา เห็นเกื้อกำลังลูบท้องปานรุ้งอยู่
“ทำอะไรเมียฉันวะไอ้เกื้อ”
ชูนามอารมณ์ไม่ดีอยู่ โกรธขึ้นมาทันที เดินเข้าไปถีบหลังเกื้อเต็มแรง จนเกื้อล้มกลิ้ง ปานรุ้งรีบลุกขึ้นมาห้าม
“หยุดเดี๋ยวนี้นะชูนาม เป็นบ้าอะไรขึ้นมา”
“ไอ้ขี้ข้ามันสะเออะมายุ่งกับคุณ มันต้องสั่งสอน” ชูนามถลันจะเข้าไปเตะเกื้อซ้ำ
ปานรุ้งโกรธ ผลักชูนามเต็มแรง จนร่างชูนามเซไป “ถ้าหวงฉันกับลูก แล้วทำไมไม่อยู่ดูแล หายหัวไปไหน”
ชูนามพยายามจะอ้อน “รุ้ง...”
ปานรุ้งตวาดแว้ดใส่ “ขนาดหมาข้างถนน ยังมีคนเอาข้าวให้กิน แต่ฉันกับลูก นั่งคอย นอนคอยคุณทุกวัน ทุกคืน คุณเคยสนใจบ้างไหม ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกัน ก็ไม่ต้องอยู่ ขนของออกไปได้เลย”
ปานรุ้งพูดจบ ก็เดินหนีขึ้นห้องไปทันที

“รุ้ง ฟังผมก่อนรุ้ง”
ชูนามรีบวิ่งตามไปง้อ เกื้อมองตามด้วยสีหน้ากังวล

ปานรุ้งเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนอย่างหงุดหงิดไม่หาย ชูนามเดินตามเข้ามาพร้อมพูดเสียงอ่อนโยน ง้อเต็มที่
“ผมขอโทษ คุณก็รู้ว่าที่ผมไม่อยู่ เพราะผมไปคุยงานกับเพื่อน”
“คำก็งาน สองคำก็งาน มีสักงานไหม ที่คุณทำสำเร็จ” ปานรุ้งชี้ท้องตัวเอง “คุณเห็นนี่ไหมอีกไม่กี่อาทิตย์ ลูกก็จะคลอดแล้ว ไหนละ ความพร้อมที่คุณพร่ำบอกว่าจะสร้างเพื่อฉัน เพื่อลูก”
ชูนามเครียดจัด แต่ต้องพยายามหาทางง้อปานรุ้งให้ได้ “ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ทุกอย่างผมผิดเอง ผมถือดี อวดเก่ง คิดว่าตัวเองเจ๋ง ที่แท้ ผมก็แค่ไอ้ห่วยคนนึง ขนาดโดนเพื่อนโกงเงินไป พยายามจะสู้เพื่อทวงเงินคืนผมยังทำไม่ได้เลย” เขายกมือที่เข้าเฝือกนิ้วขึ้นมา “หนำซ้ำ ยังโดนพวกมัน รุมกระทืบจนนิ้วหัก”
ชูนามลอบมองท่าที ว่าปานรุ้งจะใจอ่อนไหม
ปานรุ้งปรายตามองชูนามด้วยสีหน้าระอา ไม่อยากเชื่ออะไรอีกแล้ว ลุกขึ้นจะเดินหนี
ชูนามเครียดหนัก จึงงัดวิธีสุดท้ายเดินไปยืนตรงหน้าแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าปานรุ้งทันที
ปานรุ้งชะงัก มองชูนามที่คุกเข่าตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ชูนามกอดขาปานรุ้ง อ้อนวอน
“ผมขอร้อง อย่าหมดรัก หมดศรัทธาในตัวผมเลยนะรุ้ง ผมรักคุณกับลูกมากกว่าชีวิตของผม ต่อให้ผมห่างคุณกับลูก แต่ไม่มีวินาทีไหนที่ผมจะไม่คิดถึงคุณกับลูก ผมยอมแล้วรุ้ง ผมยอมให้แม่คุณหรือใครๆ ตราหน้า ว่าผมเป็นผู้ชายเกาะชายกระโปรงเมียกิน ผมจะขอทำงานกับแม่คุณ”
“อะไรนะ” ปานรุ้งแปลกใจมากกว่าตกใจ
“ผมรู้ว่าแม่คุณไม่ยอมรับผมเข้าทำงานง่ายๆ แต่ผมก็จะอ้อนวอนเพื่อให้มีเงินเดือนและความมั่นคงให้กับลูกและเมียของผม” ชูนามคอยเหลือบตามมองท่าทีปานรุ้ง พร้อมกับพูดหยั่งเชิง “คุณไม่จำเป็นต้องช่วยผมเรื่องนี้นะรุ้ง ผมยอมโดนแม่คุณเหยียดหยาม เพื่อคุณกับลูก”
พูดจบ ชูนามก็กอดขาปานรุ้งโดยเอาหน้าแนบกับท้องด้วยสีหน้าเครียดๆ ว่าปานรุ้งจะยอมช่วยไหม?
ปานรุ้งก้มมองชูนามที่ถึงขนาดยอมคุกเข่าให้ ยอมกอดขาอ้อนวอนอย่างไร้ศักดิ์ศรี ปานรุ้งมองหน้าชูนามที่แนบอยู่กับท้องตัวเองแล้วคิดหนักว่าจะทำยังไง

เมื่อวาสุเทพเดินเข้าบ้านนทีพิทักษ์มา พบว่ากติยานั่งสัปหงกอยู่ที่โซฟา วาสุเทพชะงัก มองไปที่โต๊ะ เห็นฝาชีครอบจานอาหารอยู่ วาสุเทพรู้ว่าเป็นฝีมือกติยาทำไว้ รอตัวเองแน่ๆ
วาสุเทพค่อยๆ เดินไปนั่งข้าง แตะแขนกติยาเบาๆ
“ยา”
กติยาสะดุ้งตื่นมามองวาสุเทพด้วยแววตาดีใจ
“พี่เทพกลับมาแล้วเหรอคะ”
“พี่ขอโทษนะที่ลืมว่านัดยาทานข้าวเย็นวันนี้”
กติยายิ้มให้คู่หมั้น โดยไม่มีวี่แววถือโทษโกรธเคือง
“ไม่เป็นไรค่ะ ยารู้ว่าพี่เทพงานยุ่ง แล้วพี่เทพทานอะไรมารึยังคะ ยาทำปั้นสิบปลาเอาไว้ให้ เดี๋ยวยาเอาไปอุ่นให้นะคะ”
กติยาลุกขึ้น ขยับตัวจะเดินไป วาสุเทพจับมือกติยาไว้ กติยาหันมามอง คิดว่าวาสุเทพจะเอาอะไร วาสุเทพเงยหน้ามองกติยา แล้วตัดสินใจพูด
“แต่งงานกับพี่นะยา”
กติยาอึ้ง มองวาสุเทพอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“พี่เทพ...จริงเหรอคะ”
กติยามองวาสุเทพด้วยสายตาอยากฟังคำตอบ น้ำตาคลอด้วยความรู้สึกตื่นเต้น และตื้นตัน เวลาที่เธอรอคอยมานานแสนนานกำลังมาถึง
วาสุเทพลุกขึ้นยืนตรงหน้า จับมือกติยามากุม
“พี่รู้...ว่าที่ผ่านมา พี่ทำให้ยาเจ็บช้ำมามาก แต่ยาก็ยังให้อภัยพี่ ต่อไปนี้...พี่สัญญาว่าพี่จะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะทำได้ ยายังพร้อมจะรับผู้ชายคนนี้ร่วมชีวิตไหม”
กติยามองด้วยสีหน้าดีใจ ปลื้มใจ จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ โผเข้าไปกอดวาสุเทพเต็มรัก
“รับค่ะ”
วาสุเทพกอดกติยาตอบ บอกตัวเองในใจว่าต่อแต่นี้ เขาต้องตัดใจจากปานรุ้งจริงๆ แล้ว

รุ่งเช้ากติยาเดินกลับจากตักบาตรที่หน้าบ้านพร้อมดรุณี ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
“เช้านี้ อากาศสดใสจังเลยนะคะ”
ดรุณียิ้มชื่น แกล้งแซว “คนมีความสุข อะไรๆ ก็สดใสไปหมดแหละ”
กติยายิ้มเขิน “แม่รู้ไหมคะ เมื่อคืนยานอนไม่หลับเลยค่ะ ยากลัวว่าถ้ายาหลับ แล้วยาตื่นมา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นแค่ความฝัน”
“แต่ตอนนี้ยาก็เห็นแล้ว ว่าทุกอย่างเป็นความจริง เมื่อเช้าแม่ตาเทพ โทร.มาคุยกับแม่แต่เช้า ว่าจะรีบหาผู้ใหญ่มาสู่ขอลูก”
กติยายิ้มชื่น อย่างมีความสุข
“ในที่สุด ความรัก ความจริงใจของยาก็เอาชนะ ความรักจอมปลอมของผู้หญิงคนนั้นได้”
ดรุณีดีใจกับลูกสาว แต่อีกใจก็อดห่วงไม่ได้ว่าวาสุเทพแต่งงานกับกติยาจริงหรือเปล่าหนอ

เช้าวันเดียวกัน มีการประชุมบอร์ดคณะกรรมการผู้บริหารบริษัทสมุทรเทวา จำกัด โดยมีคมขวัญนั่งหัวโต๊ะ มิสเตอร์เจสันนั่งท้ายโต๊ะ สองคนประจันหน้ากัน บอร์ดคณะกรรมการผู้บริหารนั่งด้านข้าง ปริญญา นพพร และศุภกิจ นั่งถัดออกไป
นพพรเอ่ยขึ้นในช่วงหนึ่งของการประชุม “ตามที่ทางสมุทรเทวาส่งรายงานสถานการณ์ของบริษัทให้คณะผู้บริหาร และ...” ผายมือไปทางมิสเตอร์เจสัน “ผู้ถือหุ้น เราเห็นว่าการบริหารแต่ละฝ่ายมีจุดบกพร่องหลายอย่าง โดยเฉพาะฝ่ายซ่อมบำรุง”
ศุภกิจพูดต่อ “จากบัญชีที่ทางสมุทรเทวาแจ้งมา มีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง และเบิกค่าอะไหล่เกินกว่าจำเป็น เมื่อเอาค่าซ่อมมาลบกับรายได้ ทำให้เห็นว่าสมุทรเทวาแทบไม่เหลือกำไร”
ปริญญารีบยกมือค้าน
“ไม่จริง! เงินค่าซ่อมบำรุง เราใช้ไปแค่ 30 % ของรายได้ บวก ลบแล้ว เรายังมีผลกำไรอีก 10 %”
นพพรพูดต่อด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ “10 % นั้น หักค่ารถคันใหม่ ค่าไปต่างประเทศ ค่าเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอางนำเข้าจากเมืองนอกของลูกสาวคุณนายคมขวัญไปรึยังล่ะ”
ปริญญาชะงัก เพราะเรื่องค่าใช้จ่ายของปานรุ้งเป็นจุดบอดจริงๆ ปริญญาเหลือบมองคมขวัญ
“เรื่องค่าใช้จ่ายของปานรุ้ง ฉันจะจัดการเคลียร์ให้เอง” คมขวัญว่า
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เงินหรอกครับคุณนาย แต่มันอยู่ที่ความไว้ใจ คุณนายรู้ไหม ว่าพอคุณนายบอกว่าสมุทรเทวาขาดทุน พนักงานยอมทำงานหนักขึ้น เพื่อหาเงินมาเลี้ยงสมุทรเทวาให้อยู่รอด ในขณะที่ลูกสาวคุณนาย กลับเอาเงินจากหยาดเหงื่อของทุกคน ไปช็อปปิ้งอย่างนี้ คนอื่นจะรู้สึกยังไง”
คมขวัญมองหน้ามิสเตอร์เจสันอย่างรู้ทัน ว่ากำลังเอาจุดบอดเรื่องปานรุ้งมาเป็นประเด็นดิสเครดิต ทำลายความน่าเชื่อถือของเธอ
“เรื่องนั้น คุณไม่ต้องห่วงหรอกมิสเตอร์” คมขวัญมองคณะกรรมการทุกคน “ทุกคนในสมุทรเทวารู้จักฉันดี ว่าทุกสิ่งและทุกคนในสมุทรเทวา เป็นเหมือนหัวใจของฉัน ถ้าต้องเลือกที่จะให้ความสำคัญกับใคร ฉันเลือกคนของสมุทรเทวาก่อนอยู่แล้ว”
มิสเตอร์เจสันหันไปพูดกับกรรมการคนอื่น “ทุกท่านได้ยินพร้อมกันแล้วนะครับ ว่าคุณนายยืนยันเลือกสมุทรเทวาก่อนลูก ทีนี้ก็สบายใจกันได้แล้วนะครับ ว่าคุณนายคมขวัญ ยังสามารถนำพาสมุทรเทวาไปสู่ความสำเร็จได้”

มิสเตอร์เจสันมองประเมินท่าทีคณะกรรมการแต่ละคน ซึ่งทุกคนมองมิสเตอร์เจสัน แล้วมองคมขวัญอย่างเกรงบารมี ส่วนคมขวัญนั่งนิ่ง

ปริญญาคุมแค้นมองมิสเตอร์เจสันอย่างรู้ทัน ว่าเขาจงใจให้ลูกน้องเปิดประเด็นดิสเครดิตคมขวัญ

คมขวัญเดินเข้าห้องทำงานมาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ปริญญาเดินตามเข้ามา

“ผมว่าเราควรทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับคุณรุ้ง คุณนายก็เห็นว่ามิสเตอร์เจสันกำลังใช้เรื่องคุณรุ้งทำลายความเชื่อถือของคุณนาย”
คมขวัญนั่งที่เก้าอี้อย่างอ่อนแรง
“เธอไปเอาบัญชีมาให้ฉันหน่อย ฉันจะเคลียร์ค่าใช้จ่ายของรุ้งเอง”
ปริญญามองประมุขสมุทรเทวาอย่างเหนื่อยใจ “คุณนายครับ ทำอย่างนี้ มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะครับ แต่มันเป็นการปะติดช่องโหว่ของปัญหาต่างหาก”
คมขวัญรู้ทันว่าปริญญาต้องการให้ทำอะไร “ปริญญา”
“ถึงเวลาที่คุณรุ้งควรรู้ปัญหาทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องสุขภาพของคุณนายได้แล้วนะครับ”
คมขวัญเสียงแข็ง “ไม่ได้ เธอก็เห็นว่าตอนนี้รุ้งกำลังท้องแก่ ถ้าเขาเครียด มันมีผลต่อเด็ก...” แล้วทอดถอนใจ ลดเสียงอ่อนโยนลง “ใจเย็นๆ ปริญญา ทุกคนในสมุทรเทวา ไม่ใช่คนที่เรารู้จักแค่วันสองวัน แต่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ฉันเชื่อว่าทุกคนรู้จักฉัน และไว้ใจฉัน”

ส่วนทางฝ่าย มิสเตอร์เจสัน เดินนำ นพพร ศุภกิจ และคณะกรรมการออกจากร้านอาหารแห่งหนึ่ง กรรมการ 1 รีบเดินมาตีคู่กับมิสเตอร์เจสัน ด้วยท่าทางกังวล
“ผมขอยืนยันนะครับมิสเตอร์ ที่พวกผมมาคุยกับมิสเตอร์โดยที่ไม่อยากให้คุณนายรู้ ไม่ใช่เพราะเราหักหลังท่าน แต่เราแค่รู้สึกว่าพักนี้ท่านเหนื่อยและป่วย บางที...ท่านน่าจะพัก”
กรรมการ 2 เดินเข้ามาร่วมคุยด้วย
“แต่ผมไม่เห็นด้วย ที่คุณนายถึงกับต้องพักนะ คุณนายยังเก่งสมุทรเทวาต้องมีท่าน เพียงแต่ท่านรักลูกมากเกินไปเท่านั้นเอง”
“เอาล่ะ เอาเป็นว่า ผมจะคอยดูแลและช่วยเหลือ แต่จะหวังให้ผมทำอะไรมากคงไม่ได้ เพราะผมแค่คนถือหุ้น 30 %”
นพพรแทรกขึ้น “นอกจากจะมีคณะกรรมการคนอื่นๆ สนับสนุนให้บอสมานั่งตำแหน่งผู้บริหารแทน”
มิสเตอร์เจสันสวมบทโกรธ หันไปตวาดนพพร “ใครใช้ให้แกพูดอย่างนี้”
นพพรตกใจรีบก้มหน้างุด “ขอโทษครับบอส ผมก็แค่...”
มิสเตอร์เจสันตวาอีก “คุณนายคมขวัญสร้างสมุทรเทวาขึ้นมา คุณนายไม่มี
วันพังสมุทรเทวาด้วยมือของคุณนายเองหรอก อย่าพูดให้ฉันไปนั่งแทนตำแหน่งคุณนายอีก”
นพพรก้มหน้ารับผิด “ครับบอส”
มิสเตอร์เจสันหันไปพูดกับคณะกรรมการ “ผมขอโทษแทนลูกน้องผมด้วยนะครับ”
กรรมการ 1 บอก “ไม่เป็นไรครับ งั้นพวกผมขอตัวก่อน”
มิสเตอร์เจสัน นพพร และศุภกิจไหว้ลาอย่างนอบน้อม
รอจนพวกคณะกรรมการเดินพ้นไป มิสเตอร์เจสันคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“แกชี้โพรงให้กระรอกได้ดีมาก นพพร”
นพพรเง็ง มองนายฝรั่งอึ้งๆ
“อ้าว ตกลงผมทำดีเหรอครับ ก็เห็นบอสดุ คิดว่าทำผิด”
ศุภกิจอธิบายให้นพพรกระจ่าง “แกทำถูก แต่ผิดที่ประเจิดประเจ้อ บอสถึงต้องดุให้พวกคณะกรรมการคิดว่าบอสไม่ได้อยากเป็นประธานไง”
“อ๋อ...” นพพรชูนิ้วให้มิสเตอร์เจสัน “ล้ำลึก”
“เราก็แค่รอเฮียโมบีบชูนามให้รีบทำตามแผน ถึงตอนนั้น พวกมันจะได้เห็นว่า คุณนายที่มันไว้ใจ มันไม่ได้แคร์สมุทรเทวาอย่างที่มันคิด แล้วพวกมันก็จะเดินเข้าโพรงของเรา”

มิสเตอร์เจสันยิ้ม มุ่งมาดวาดหวังกับแผนการฮุบสมุทรเทวาของตัวเองยิ่งนัก

คมขวัญกำลังกินยาแก้ปวดโดยไม่ใช่ตัวยาตามใบสั่งหมอ ปริญญาเดินถือแฟ้มงานเข้ามาเห็นพอดี
“คุณนายทานยาแก้ปวดอีกแล้วเหรอครับ คุณหมอเตือนคุณนายแล้วนะครับว่า...”
คมขวัญจงใจพูดขัด เปลี่ยนเรื่อง “นั่นแฟ้มบัญชีใช่ไหม เอามาให้ฉัน”
ปริญญามองคมขวัญที่แบมือของานเปลี่ยนเรื่อง แล้วถอนใจ “คุณนายครับ ผมขอล่ะครับ วันนี้คุณนายมีนัดกับหมอ ไปหาหมอเถอะครับ”
คมขวัญเปิดแฟ้มงานดู อย่างไม่สนใจที่ปริญญาเป็นห่วง “เลื่อนไปก่อน”
“แต่คุณนายครับ”
คมขวัญรีบพูดขัด “จะไปหาทำไม ไปกี่ครั้งๆ ก็ให้ยามากินเหมือนเดิม เสียเวลา เสียเงิน สู้เอาเวลามาทำงานหาเงินดีกว่า”
ปริญญามองคมขวัญอย่างเครียด ไม่รู้จะทำยังไงให้คมขวัญยอมหาหมอ
ปานรุ้งเปิดประตูเข้ามา โดยมีชูนามเดินตามหลังด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“Good afternoon ค่ะนายแม่”
คมขวัญกับปริญญามองปานรุ้งกับชูนามอย่างแปลกใจ
“รุ้ง” แล้วหันไปต่อว่าชูนามทันที “ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่าเธอไม่ควรให้รุ้งนั่งรถมาที่นี่”
“นายแม่อย่าว่าชูนามเลยค่ะ รุ้งให้ชูนามพามาเอง เพราะรุ้งมีเรื่องจะคุยกับนายแม่”
คมขวัญกับปริญญามองปานรุ้งกับชูนามอย่างระแวงสงสัย
“รุ้งมีเรื่องอะไร”
ปานรุ้งมองมารดา ยิ้มแย้มประจบ

ถัดมา แม่ลูกยืนคุยกันอยู่ภายในห้องประชุมของบริษัทสมุทรเทวา
“รุ้งหมายความว่ายังไง ที่บอกว่าจะให้ชูนามมาดูแลงานแทนรุ้ง”
“ก็นายแม่เป็นคนบอกเอง ว่ารุ้งท้องแก่ ไม่ควรนั่งรถมาทำงานที่นี่ รุ้งก็เลยให้ชูนามมาช่วยดูแลแทน นายแม่ก็รู้ว่าชูนามจบจากเมืองนอก เขาต้องช่วยงานบริษัทเราได้แน่ๆ”
คมขวัญพยายามพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้บริษัทไม่มีตำแหน่งให้ชูนามหรอกรุ้ง”
“นายแม่ไม่มีข้ออ้างที่ดีกว่านี้แล้วเหรอคะ”
คมขวัญมองลูกสาวอย่างอ่อนใจ “รุ้ง...”
ปานรุ้งพูดสวนทันที “ถ้านายแม่อยากให้รุ้งเข้ามาทำงานที่นี่ต่อจากนายแม่รุ้งขอให้ชูนามเข้ามาเรียนรู้งานแทนรุ้งก่อน พอรุ้งคลอด รุ้งจะเข้ามา แล้วชูนามจะได้ช่วยสอนงานรุ้ง”
“เรื่องนั้น แม่คิดไว้แล้วว่าจะให้ปริญญาคอยช่วยงานรุ้ง”
“แต่รุ้งไว้ใจชูนามมากกว่า หรือนายแม่ไว้ใจให้คนอื่นมากกว่าคนในครอบครัวคะ” ปานรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยันที่เจ้าหล่อนถนัดนักเวลาพูดกับมารดา “อ้อ รุ้งลืมไป ว่านายแม่ของรุ้ง เห็นคนอื่นสำคัญกว่าคนในครอบครัวอยู่แล้ว”
คมขวัญลำบากใจยิ่งนัก “มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“ถ้านายแม่ไม่ไว้ใจชูนาม มันก็เหมือนนายแม่ไม่ไว้ใจการตัดสินใจของรุ้งด้วย แค่เริ่มต้น นายแม่ยังไม่เคารพการตัดสินใจของรุ้ง แล้วต่อไปถ้ารุ้งเสนอความเห็นอะไร นายแม่ก็คงไม่ใส่ใจ ถ้าเป็นอย่างนี้ รุ้งไม่ทำงานที่นี่ดีกว่าค่ะ”
ปานรุ้งเดินออกจากห้องประชุมไปทันที

ปานรุ้งเดินอุ้ยอ้ายๆ นำชูนามออกมาจากบริษัทตรงไปขึ้นรถ ชูนามรีบเดินตามด้วยสีหน้าเครียด ร้อนใจ
“รุ้ง จะรีบกลับไปไหน ผมว่าคุณใจเย็นๆ แล้วคุยกับนายแม่อีกทีไหม”
ปานรุ้งตอบ ทั้งที่ยังเดินต่อไป “ไม่”
ชูนามร้อนใจมาก “นายแม่แค่ไม่เชื่อใจผม คุณบอกนายแม่ว่าให้ผมทดลองงานก่อนก็ได้นะ”
“ไม่” ปานรุ้งไม่หยุดเดิน
ชูนามแทบคลั่ง เพราะกลัวทำตามที่เฮียโมสั่งไม่ได้ “รุ้ง”
ปานรุ้งหยุด หันมาพูดกับชูนาม “คนอย่างนายแม่ ยิ่งง้อ เขายิ่งไม่สนใจ ถ้าอยากได้งาน หยุดพูด แล้วเดินไปที่รถ”
ปานรุ้งดึงมือชูนามให้เดินตามตัวเองไป

ระหว่างนี้คมขวัญกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามสองคนมา มีปริญญาตามมาเพื่อจะทัดทาน แต่คมขวัญไม่สนใจ
“เดี๋ยวรุ้ง”

ปานรุ้งหยุด เหลือบตามองไปทางคมขวัญ แล้วมองไปทางชูนาม ยิ้มให้สามีอย่างผู้ชนะ โดยไม่สังหรณ์ใจสักนิดว่า เธอกำลังนำหายนะมาสู่ สมุทรเทวา ด้วยตัวเธอเอง

อ่านต่อหน้า 3

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 7 (ต่อ)

เฮียโมวางหูโทรศัพท์ลงแป้น แล้วเงยหน้ามองมิสเตอร์เจสันที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานภายในบ่อน โดยมีศุภกิจและนพพรยืนขนาบข้าง

“ชูนามโทร.มาบอกว่าตอนนี้ได้ทำงานในสมุทรเทวาเรียบร้อยแล้ว”
มิสเตอร์เจสันยิ้ม “สมแล้วที่เป็นเฮียโม ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังจริงๆ”
“ทีนี้เราก็มาคุยข้อตกลงของเราอีกครั้ง ผมจะให้ชูนามใช้เรือสมุทรเทวาขนอาวุธ 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 ถึงเป็นตามิสเตอร์บอกนักข่าวให้เตรียมแฉ เรือสมุทรเทวาขนของเถื่อน ทำลายชื่อเสียงคุณนายคมขวัญ แล้วก็ชิงตำแหน่งประธานบริษัทสมุทรเทวา”
มิสเตอร์เจสันลุกขึ้นยิ้มให้ ยื่นมือไปจับมือกับเฮียโม
“ตกลงตามนั้น”
“เป็นประธานสมุทรเทวาได้เมื่อไหร่ อย่าลืมผมล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ผมจะจำความช่วยเหลือของเฮียไปจนวันตาย”
มิสเตอร์เจสันยิ้มให้เฮียโม แล้วเดินออกจากห้องไป ศุภกิจกับนพพรเดินตาม

มิสเตอร์เจสันเดินออกจากบ่อนของเฮียโม ผู้ช่วยแฝดเดินตามหลังมา นพพรเอ่ยขึ้นว่า
“บอสครับ ถ้ารอให้เฮียโมขนของเถื่อน 2 รอบ ผมกลัวว่าคุณนายคมขวัญจะรู้ตัวก่อนที่เราจะแฉนะครับ”
ศุภกิจเห็นด้วย “นั่นสิครับ คุณนายคมขวัญจมูกไวจะตาย”
“ฉันก็ไม่คิดจะปล่อยหอกอยู่ข้างแคร่ ให้มันแทงฉันหรอก แกสองคนเตรียมให้คนไปส่งข่าวสายตำรวจได้เลย ว่าสมุทรเทวาจะขนส่งอาวุธเถื่อน”
มิสเตอร์เจสันมองไปข้างหน้า การครอบครองสมุทรเทวาอยู่ไม่ไกลแล้ว

ปานรุ้งนอนพักผ่อนเหยียดขาบนเสื่อโดยมีหมอนอิงรองหลังอยู่แต่ดูไม่ค่อยถนัดเอาเลย เพราะท้องโย้โตเจียนคลอด ทำให้อึดอัด คมขวัญเดินถือหมอนรองท้องที่เย็บเองเข้ามานั่ง ข้างๆ แล้วเอาหมอนรองท้องให้ลูก ปานรุ้งสะดุ้งลืมตาตื่น
“นายแม่”
คมขวัญยิ้มอ่อนโยนให้ ตั้งใจมาง้อปานรุ้ง
“แม่เย็บหมอนรองท้องให้รุ้งน่ะลูก ไว้ใช้หนุนท้องเวลานอน รุ้งจะได้นอนสบายขึ้น”
ปานรุ้งมองหมอนที่คมขวัญบอกว่าเย็บเอง แล้วอึ้งไป แต่ทิฐิทำให้เธอไม่แสดงอาการดีใจออกมา
“รุ้งนึกว่านายแม่จะมาบอกว่าเปลี่ยนใจ ไม่รับชูนามเข้าทำงานแล้วซะอีก”
“แม่ยอมรับว่าแม่ไม่เชื่อใจชูนาม สิ่งที่แม่ตัดสินใจในวันนี้ มันยากมากสำหรับแม่ เพราะแม่ต้องเลือกทางตรงข้ามกับสิ่งที่แม่คิด แต่แม่ยอมเพราะแม่เชื่อใจรุ้ง รุ้งมีเลือดของสมุทรเทวาอยู่ แม่เชื่อว่าลูกจะไม่ทำลายมัน”
ปานรุ้งมองคมขวัญ
เกื้อเดินถือถาดใส่น้ำและขนมจะเอามาให้ปานรุ้ง แต่เห็นคมขวัญอยู่จึงชะงัก คมขวัญเห็นเกื้อ
“เกื้อเอาขนมเข้ามาให้รุ้งเถอะ... แม่ไปทำงานต่อก่อนนะลูก”
คมขวัญแตะแก้มปานรุ้งเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไป
เกื้อเดินเอาขนมและน้ำมาเสิร์ฟให้ แล้วมองปานรุ้งอย่างลังเล สุดท้ายตัดสินใจถาม
“คุณรุ้งจะไปทำงานจริงๆ เหรอครับ”
ปานรุ้งหันไปมองเกื้อ
“ทำไม คนอย่างฉัน ไม่น่าทำงานได้งั้นเหรอ”
เกื้อรีบตอบ “เปล่าครับ แต่ผมเห็นคุณรุ้งใกล้จะคลอดแล้ว จากที่นี่ไปท่าเรือไม่ใช่ใกล้ๆ ถนนก็ไม่ดี จะเป็นอันตราย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเกื้อ ฉันไม่มีวันทำร้ายลูก ทุกอย่างที่ฉันทำเพื่อความสุขของลูก”
ปานรุ้งพูดพร้อมกับมองไปข้างหน้าด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองจะทำนับจากนี้ไป

พ่อลูกนายทหารเรือคุยกันอยู่ในห้องรับแขกบ้านนทีพิทักษ์ นายพลภัทรมองเรือเอกวาสุเทพด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
“ขนของเถื่อนเหรอ”
“ครับ มีข่าวมาว่าจะมีการขนของเถื่อนเร็วๆนี้ เสาร์ อาทิตย์หน้าผมคงไม่ได้กลับมาบ้าน ต้องตามเช็คข่าวว่ามีเรือลำไหนจะขนส่งสินค้าบ้าง”
“แล้วรู้รึยัง ว่าจะมีเรือลำไหนบ้างที่จะเดินเรือช่วงอาทิตย์หน้า”

วันนี้ ชูนามเข้าออฟฟิศแต่เช้า และเดินตรงมาที่โต๊ะปราณี ฝ่ายบัญชีของบริษัท
“เอ่อ คุณปราณี เดี๋ยวขอแบบฟอร์มเอาเรือออกกรอกให้เรียบร้อย แล้วเอาไปให้ผมเซ็นด้วยนะ เอาออกคืนนี้เลย”
“ลำไหนคะ”
“รุ้งเทวา”
ปราณีจะค้าน “แต่เอ๊ะ รุ้งเทวานี่คุณนายแกกำชับว่า...”
ชูนามสวนออกมา “รู้ๆ เมื่อกี้ผมคุยกับนายแม่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหา แค่เอาออกไปลองเครื่องปากอ่าวเท่านั้น เบิกน้ำมันเต็มเลยก็แล้วกัน”
“ฉันว่ารอให้ท่านมาเซ็นกำกับด้วยอีกคนไม่ดีกว่าหรือคะ”
ชูนามแกล้งหงุดหงิดใส่ “ปราณี ผมเป็นใคร ที่ปรึกษารองประธานบริษัทนะ แล้วถ้าผมเซ็นไม่ได้ ใครจะเซ็น ระเบียบการบริหารจะเป็นยังไง นี่แหละเพราะอย่างงี้แหละ เราถึงติดลบกันตลอด ทำตามที่ผมบอก แล้วเอามาให้ผมเซ็น เข้าใจไหม”
“เอ่อ ค่ะ”
ชูนามเดินออกจากโต๊ะปราณีพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์
“แค่เรือ จะมีปัญหาอะไรนักหนาวะ”

คมขวัญ กับปริญญานั่งร่วมโต๊ะทานอาหารและคุยเรื่องเรือกับฝรั่งวิศวกรของบริษัท
“คุณนายทำถูกแล้วครับ เท่าที่ผมตรวจสภาพเรือรุ้งเทวา ถ้าออกจากท่า มีหวัง อาจตายกลางมหาสมุทรได้” วิศวกร 1 บอก
คมขวัญถอนใจ “อย่างนี้ต้องใช้เงินค่าซ่อมเรืออีกเท่าไร”
“เราคงต้องพักการซ่อมเรือรุ้งเทวาไปสักระยะก่อนนะครับคุณนาย”
คมขวัญมองสงสัยคำพูดปริญญา “ทำไม”
ปริญญาหน้าเครียด “เมื่อกี้ฝ่ายบัญชีแจ้งมา ว่าสินค้าที่ส่งไปจีนโดนพายุ สินค้าเสียหายเกินกว่าครึ่ง”
คมขวัญฟังแล้วเครียด “แต่เราต้องใช้เรือรุ้งเทวาขนของส่งมาเลเซียมะรืนนี้นะ ถ้าเรือไม่ออกตามกำหนด เราเสียค่าปรับเยอะแน่”
“แต่ตอนนี้เงินสำรองเราไม่พอจริงๆ ครับคุณนาย”
คมขวัญเครียด คิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี

กลับเข้าออฟฟิศ ปริญญามองหน้าคมขวัญเมื่อฟังจบ
“คุณนายจะขายที่ดินที่ชลบุรีเหรอครับ แต่นั่นเป็นที่ดินเก่าแก่ของตระกูลคุณนายนะครับ”
คมขวัญถอนใจ เครียดไม่หาย
“สมบัตินอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ตอนนี้เราต้องหาเงินมารักษาสถานการณ์บริษัทไว้ก่อน”
“แต่ที่ดินนั่น...”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะขายให้คนที่ฉันเชื่อว่าจะดูแลที่ดินของตระกูลฉันอย่างดี”
“ใครเหรอครับ”

ปริญญามองคมขวัญอย่างสงสัย

อีกวันหนึ่ง วาสุเทพเดินนำกติยาสำรวจที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ กติยามองรอบๆ ด้วยสีหน้าชื่นชอบ

“ที่ดินแปลงนี้สวยมากเลยนะคะ รอบๆ มีแต่ต้นไม้ ร่มรื่นจัง”
วาสุเทพมองกติยา “ตั้งแต่มา ยาชมที่ดินแปลงนี้ไม่หยุดเลย แปลว่ายาชอบที่ผืนนี้ใช่ไหม”
“ชอบค่ะ เท่าที่เราดูที่ดินกันมา ที่ดินผืนนี้สวยที่สุดเลย”
วาสุเทพยิ้ม “งั้นพี่ก็โล่งใจ”
กติยามองฉงน “โล่งใจอะไรคะ”
“โล่งใจที่พี่ซื้อที่ดินถูกใจยาน่ะสิ”
กติยายิ้ม สีหน้าตื่นเต้น “ตกลงพี่เทพซื้อที่ดินผืนนี้เหรอคะ”
“จ้ะ พี่นัดโอนที่ดินพรุ่งนี้ วันนี้เลยพายามาเจอกับเจ้าของที่ก่อน”
“เจ้าของที่มาด้วยเหรอคะ แล้วเขาจะมากี่โมงคะ”
คมขวัญเดินเข้ามายิ้มทักทาย “ไม่เจอกันนานเลยนะ หนูยา”
กติยาหันไปมองคมขวัญ ชะงักค้าง คาดไม่ถึง
“คุณป้า” กติยาได้สติยกมือไหว้ “เอ่อ...คุณป้ามาทำธุระแถวนี้เหรอคะ”
คมขวัญมองสบตาวาสุเทพ แล้วมองกติยา
“ใช่จ้ะ ป้ามาดูที่ดินของป้า”
“ที่ดินของคุณป้า”
กติยาชะงัก รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง แล้วหันไปทางวาสุเทพเป็นคำถาม
“คุณน้าคมขวัญ คือเจ้าของที่ดินผืนนี้จ้ะ” วาสุเทพบอก
กติยานิ่งงันไป

คมขวัญกลับไปแล้ว กติยาเดินหนี วาสุเทพตามมาดึงแขนกติยาไว้ “เดี๋ยวก่อนยา”
กติยาคุมแค้น พยายามใจเย็น “ทำไมต้องเป็นที่ดินผืนนี้คะ”
“ก็อย่างที่ยาบอกตอนแรกไง ที่ดินผืนนี้สวยกว่าทุกที่ที่เราเจอ”
กติยาหันขวับมามอง “ไม่ใช่เพราะเจ้าของที่เกี่ยวข้องกับปานรุ้งเหรอคะ”
วาสุเทพนิ่ง “พูดอย่างนี้ แปลว่ายาระแวงพี่”
“ยาไม่ได้ระแวงค่ะ แต่ยากลัว กลัวว่าพี่เทพทำเพื่อรุ้ง กลัวว่าพี่เทพตัดใจจากรุ้งไม่ได้”
“เรามาถึงขั้นนี้แล้วนะยา พี่กำลังจะแต่งงานกับยา ทำไมยาต้องคิดเรื่องนั้นอีก”
กติยาอึกอัก เครียดหนัก “ยา...”
“เลิกคิดเรื่องนั้นซะ ที่พี่ซื้อที่ดินนี้ เพราะที่ดินนี้สวย ไม่มีเรื่องปานรุ้งเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“จริงๆ นะคะพี่เทพ”
“จริง รุ้งเขามีครอบครัวไปแล้ว ส่วนพี่ก็กำลังแต่งงานกับยา เราไม่มีเรื่องอะไรให้เกี่ยวข้องกันได้อีก”
กติยามองวาสุเทพ แล้วโผเข้าไปกอด เหมือนบอกตัวเองว่าวาสุเทพยังอยู่กับเธอจริงๆ
วาสุเทพกอดกติยาตอบ คิดว่าเขากับปานรุ้งไม่มีเรื่องอะไรให้เกี่ยวข้องกันอีกแล้วจริงๆ

ฝ่ายชูนามยืนคุยกับไอ้ขุนตรงท่าเรือ ชูนามคอยมองซ้าย มองขวากลัวคนจะเห็น ไอ้ขุนยื่นซองจดหมายให้
“นี่เอกสารที่ปลอมลายเซ็นไอ้วิศวกร คุณเอาให้กัปตันเรือดู แล้วทำยังไงก็ได้ให้มันเอาเรือออกจากท่าให้ได้”
ชูนามเปิดซองจดหมายออกดู “แล้วถ้าไอ้วิศวกรนั่นมาเจอก่อนล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกผมดูต้นทางเอง คืนนี้เจอกัน”
ไอ้ขุนเดินออกไป ชูนามมองกระดาษเอกสารในมือ แล้วมองเรือขนาดใหญ่ ซึ่งเรือเขียนด้านข้างว่า “รุ้งเทวา” อย่างสีหน้ากังวล
“กูจะรอดไหมเนี่ย”

อีกฟาก ที่บ้านสมุทรเทวา ปานรุ้งพยายามถักโครเชต์เป็นรูปถุงเท้า แต่ยังดูบูดๆ เบี้ยวๆ อยู่ ถักไป ก็ทำหน้าจุกเสียดท้องไป จนน้อยถือแก้วน้ำมะพร้าวมาให้
“น้ำมะพร้าวมาแล้วค่ะ ดื่มเยอะๆ นะคะ คุณหนูจะได้คลอดง่ายๆ”
น้อยเห็นปานรุ้งหน้าคิ้วขมวดเหมือนเจ็บ
“คุณหนูเป็นอะไรรึเปล่าคะ หรือว่าจะคลอด”
“ยังหรอกมั้ง ฉันยังไม่เห็นมีอาการน้ำเดินอะไรเลย แค่เสียดๆ ท้อง นี่น้อย ไปบอกยายปิ่นสิว่าฉันอยากกินบัวลอย”
“เอ่อ ยายปิ่นไม่สบาย ออกจากครัวกลับบ้านพักตั้งแต่เย็นแล้วค่ะ”

น้อยมาเคาะประตูห้องนอนยายปิ่น รอจนปิ่นเดินหน้าตาอิดโรย อ่อนเพลียด้วยพิษไข้ เปิดประตูออกมา
“มีอะไรนังน้อย”
น้อยมองปิ่นด้วยสีหน้าแหยๆ

ในขณะที่เกื้อนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะหน้าห้องครัวกับแจ่มและสาวใช้ จู่ๆ มีกะละมังลอยมาตกข้างๆ โต๊ะดังโครมคราม เกื้อ แจ่ม และสาวใช้ตกใจ
“เฮ้ย ใครโยนกะละมังมาหาเรื่องวะ”
น้อยเดินเข้ามาพร้อมทำมือจุ๊ปากกับแจ่ม
“ขอละพี่แจ่ม ถ้าไม่อยากตาย หุบปาก”
ปิ่นเดินหงุดหงิดเข้ามา “ใช่ ถ้าใครอ้าปากสร้างความรำคาญให้แก้วหูข้าสักนิด แม่จะเอาอีโต้เฉาะกบาลให้”
เกื้อแปลกใจ “อ้าวแม่ ไม่สบายไม่ใช่เหรอ ออกมาทำไม”
“ก็เจ้านายบังเกิดเกล้าอยากรับประทานบัวลอยตอนนี้ เกิดเป็นขี้ข้าเจ็บป่วยไม่ได้ ถ้าเจ้านายประสงค์ ต้องทำให้ทันที สาธุ ขอให้เจอกันแค่ชาตินี้ชาติเดียว เกิดชาติหน้าถ้าต้องเป็นขี้ข้า
คนอย่างนี้ ขอให้ส่งฉันไปเกิดเป็นหมาดีกว่า”

เกื้อปราม “แม่”
เสียงปานรุ้งแหวเข้ามาพอดี
“ชาติหน้า ชาติไหน ใครจะเกิดเป็นคนหรือเป็นหมา ฉันไม่สนใจ แต่ตอนนี้ฉันต้องการกินบัวลอย ชาตินี้ฉันจะได้กินไหม”
ปิ่นสวนออกไป “ในโลกนี้มีคำว่า รอ คุณรู้จักบ้างไหม”
เกื้อรู้ว่าปิ่นกำลังของขึ้นเต็มที่ และพร้อมจะเอาเรื่อง รีบปรามแม่ “แม่”
“คำว่า รอ มันมีอยู่ในโลกจริง แต่มันไม่มีในโลกของคนที่เป็น เจ้านาย”
“ถ้าเจ้านายไม่มีคำว่ารองั้นอิฉันก็ขอให้เจ้านาย เชิญทำเอง”
ขาดคำ ปิ่นวางกะละมังใส่ถุงแป้งมันไปตรงหน้าปานรุ้งเสียงดังโครม !
ปานรุ้งโกรธสุดขีด มองเข่นเขี้ยวปิ่น
“ถ้าฉันทำเอง บ้านนี้ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างเธอแล้วสินะ”
เกื้อตกใจรีบเข้าไปพูดกับปานรุ้ง
“คุณหนูครับ ผมขอโทษแทนแม่ผมด้วย แม่ผมไม่สบาย ปวดเนื้อปวดตัวเลยหงุดหงิด”
“เกื้อไม่ต้องพูดช่วยแม่” ปานมองหน้าปานรุ้งอย่างไม่กลัว “คนที่รับแม่ทำงานคือคุณนาย เพราะฉะนั้น คนที่จะไล่แม่ได้คือคุณนายเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์”
ปานรุ้งมองปิ่นอย่างโกรธเกลียด
“ยายปิ่น”
วูบนั้นปานรุ้งรู้สึกเจ็บท้องอย่างรุนแรงมาก
“โอ๊ย”
เกื้อรีบเข้าไปประคอง
“คุณหนูเป็นอะไรครับ”
“ฉัน...ปวดท้อง”
เกื้ออึ้ง น้อย กะ แจ่ม ตื่นตูม ร้อนรน วิ่งวุน แต่ทำอะไรไม่ถูก
“คุณหนูปวดท้องจะคลอด ทำยังไงดี ทำยังไงดี”
แจ่มวิ่งสวนไปมากับน้อย “ทำยังไงดี เอาช้อนให้คุณหนูกัดก่อนไหม”
ปิ่นมีสติที่สุด ด่าแจ่ม “นังบ้า คุณหนูปวดท้องจะคลอด ไม่ใช่เป็นลมบ้าหมูถึงจะให้กัดช้อน...เกื้อ รีบไปเอารถออก”
“จ้ะแม่”
เกื้อให้น้อยกับแจ่มประคองปานรุ้ง แล้วตัวเขารีบวิ่งออกไป

ยายปิ่นบอกน้อย “นังน้อย โทร.ไปบอกคุณนายว่าคุณหนูจะคลอดแล้ว”
“จ้ะป้า”
น้อยโลดแล่นเข้าตึกใหญ่ไป

จากเย็นเป็นมืดค่ำ เกื้อ ปิ่น น้อย และแจ่ม นั่งกระวนกระวายเป็นห่วงปานรุ้งอยู่ที่หน้าห้องคลอด คมขวัญเดินเร็วรี่มา ปริญญาตามหลัง
“ปริญญาบอกว่าน้อยโทร.ไปบริษัท บอกว่ารุ้งจะคลอดเหรอ แล้วตกลงรุ้งคลอดรึยัง”
เกื้อ ยายปิ่น น้อย และแจ่มรีบลุกขึ้นต้อนรับ
“คุณหนูยังอยู่ในห้องคลอดอยู่เลยครับ” เกื้อรายงาน
“หมอบอกว่าน้ำเดินแล้วค่ะ แต่ปากมดลูกยังไม่เปิดมาก ต้องรออีกนิด”
คมขวัญหันไปมองทางประตูห้องคลอดด้วยสีหน้าเป็นห่วงปานรุ้ง

“แล้วชูนามล่ะ อยู่ไหน”

ค่ำแล้ว ที่ท่าเรือสมุทรเทวา เหล่าคนงานราว 10 คน กำลังเร่งขนลังไม้ขึ้นเรือ โดยมีสมุนของเฮียโมคอยตะโกนเร่ง และมองซ้ายมองขวาหวาดระวังว่าจะมีใครมาเห็นไหม

สมุนเฮียโมอีกคนที่คุมคนงานอยู่ พบว่าของที่ขนใกล้เสร็จ จึงเดินมาหาชูนามที่กำลังคุยกับกัปตันเรืออยู่มุมหนึ่ง ก้มพูดใกล้ๆ หูชูนามว่า
“คนงานขนของเสร็จแล้ว รีบเอาเรือออกได้แล้ว”
ชูนามพยักหน้ารับรู้ แล้วหันมาพูดกับกัปตันเรือต่อ
“ผมบอกเลยนะว่าผมไม่เอาเรือออก ผมจำได้ว่าคุณนายเพิ่งบอกว่า เรือรุ้งเทวายังซ่อมไม่เสร็จ ขืนเอาออกไปตอนนี้ ก็ตายกลางทะเลสิ”
ชูนามยื่นเอกสารใส่หน้ากัปตัน
“ฉันก็ให้แกดูเอกสารนี่แล้วไง เห็นไหมว่าวิศวกรเซ็นรับรองว่าเรือสมบูรณ์ เอาเรืออกจากท่าได้”
“งั้นขอผมไปคุยกับวิศวกรก่อน”
กัปตันส่ายหน้าเครียด จะเดินไป ชูนามรีบดึงแขนไว้
“นี่กัปตันไม่เชื่อผมเหรอ”
“แต่ว่า...”
ชูนามตัดสินใจหยิบซองใส่เงินปึกหนึ่งออกมา แล้วยัดใส่กระเป๋ากัปตัน
กัปตันตกใจว่าชูนามทำอะไร “นี่มันอะไรกันคุณชูนาม”
“ผมได้ข่าวว่าเมียกัปตันกำลังป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัด กัปตันแค่เอาเรือออกตามที่ผมบอก เงินก้อนนี้ก็เป็นของกัปตัน”
กัปตันมองซองเงิน แล้วมองชูนามด้วยสีหน้าเครียด
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องห่วง ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมรับผิดชอบเอง อย่าลืมสิ ว่าผมเป็นใคร”
กัปตันมองชูนาม แล้วก้มมองซองใส่เงินอย่างชั่งใจ
ชูนามมองลุ้นท่าทีกัปตันอย่างร้อนใจ
“ก็ได้ ครั้งนี้แค่ครั้งเดียวนะครับ”
ชูนามรีบตอบ “โอเคๆ”
กัปตันรีบเดินไปขึ้นเรือเพื่อนำเรือออก ชูนามโล่งอก

จังหวะนี้ วิศวกร 2 คนเดินเข้ามา เพื่อจะไปห้ามกัปตันไม่ให้เอาเรือออก
วิศวกร 1 มองไปทางเรือ “นั่น ใครจะเอาเรือรุ้งเทวาออกจากท่าไม่ได้นะ”
ชูนามเห็นวิศวกร 2 คนเดินเข้ามาขวางก็ตกใจ
“ชิบหาย ไหนไอ้เฮียโมบอกว่าจะคอยดูต้นทางขวางไอ้วิศวกรไงวะ” ชูนามปรี่เข้าไปขวางวิศวกรทั้ง 2 คน ไว้ เบ่งใส่
“เฮ้ย ไม่ใช่เรื่องของลื้อสองคน จะไปไหนก็ไปได้”
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ผมเป็นวิศวกรดูแลเรือ” วิศวกร 1 ตะโกนลงไปในเรือ “ใครก็ได้ แจ้งกัปตันห้ามเอาเรือออก”
วิศวกรจะพยายามเข้าไปห้ามกัปตันไม่ให้ออกเรือ ชูนามผลักออกวิศวกรอย่างโมโห
“กูบอกว่าไม่ต้องยุ่งไง”
วิศวกรสองคนเห็นท่าทางของชูนาม ยิ่งอยากรู้ จะเดินไปที่เรือให้ได้ ชูนามเข้ามาดันวิศวกรทั้ง 2 แต่วิศวกร 1 ผลักตัวชูนามออกไป
ชูนามเซล้มไปกับพื้น มองตามวิศวกรที่กำลังจะเดินไปขึ้นเรือสีหน้าตกใจ จนหันไปเห็นไม้ หน้าสามวางอยู่ จึงคว้าไม้กระชับในมือแล้วลุกไปฟาดหัววิศวกรทั้ง 2 คนอย่างไม่ยั้ง ผัวะๆๆๆ
วิศวกร 2 คนนอนนิ่งที่พื้น ชูนามได้สติ มองร่างวิศวกรที่นอนจมกองเลือดอย่างตกใจ
“เฮ้ย”
ชูนามมองไม้ในมือตัวเอง แล้วรีบขว้างทิ้ง ขณะจะเดินหนี เฮียโมเดินโผล่เข้ามาขวางก่อน
ชูนามฉุนขาดด่าเฮียโมอย่างมีอารมณ์ “เฮียมาก็ดีแล้ว ไหนเฮียบอกว่าจะให้ลูกน้องขวางไอ้วิศวกรพวกนี้ไง ตอนนี้มันเห็นทุกอย่างแล้ว จะทำยังไง”
เฮียโมหัวเราะ เห็นเป็นเรื่องขำไม่ใช่เรื่องใหญ่โต “อย่าตกใจ ถึงมันเห็นแต่มันก็บอกใครไม่ได้”
เฮียโมหันไปพยักหน้าสั่งไอ้ขุนกับสมุน บอดี้การ์ดสองคน พวกมันลากร่างวิศวกรทั้ง 2 ออกไป ชูนามมองตามด้วยสีหน้าหวั่นกลัวว่าสามคนจะจัดการวิธีไหน
ทางด้านปานรุ้งกำลังเบ่งลูกด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“อ๊าย...”

สมุนเฮียโมลากวิศวกร 2 คนออกมาริมท่าเรือ เฮียโม กับชูนามตามมา ชูนามนั้นดูเหตุการณ์ด้วยท่าทางตื่นตระหนกตกใจ พอประเมินออกว่า วิศวกรสองคนจะลงเอยแบบไหน
“เฮีย เฮียจะทำอะไรสองคนนี้”
“คนก็เหมือนงู ถ้าคุณเริ่มตีมันแล้ว ต้องตีให้ตาย”
จู่ๆ มีไม้คมแฝกแหวกอากาศฟาดเปรี้ยงเข้าที่กบาลฝรั่งวิศวกร 1 ดังโพล๊ะ
ชูนามยืนตะลึง “เฮ้ย”
ติดๆ กัน สมุนเฮียโมอีกคนใช้ไม้ฟาดเข้าหน้าฝรั่งวิศวกร 2 เลือดกระฉูด ร่างกระเด็นหงายมานอนกองตรงเท้าของชูนามพอดี ชูนามมองร่างฝรั่งตรงหน้าอย่างสุดสยอง

จังหวะนี้ปานรุ้งออกแรงเบ่งลูกด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“อ๊าย...”
หมอกับพยาบาลยืนล้อมรอบช่วยปานรุ้งอยู่
“เบ่งอีกนิดครับ” หมอให้จังหวะ
ปานรุ้งรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเบ่งลูกด้วยสีหน้าเจ็บปวดเหลือแสน
“อ๊าย.....”
ทันใดนั้นได้ยินเสียงเด็กร้องจ้า
“อุแว้ๆๆๆๆ.....”
ปานรุ้งผ่อนลมหายใจคลายจากการเบ่ง แล้วพยายามมองลูกในมือหมอด้วยแววตาตื้นตันใจ
“ลูกแม่”

เห็นหมอเดินออกจากห้องคลอด คมขวัญรีบเดินเข้าไปหา
“คุณหมอคะ ปานรุ้งเป็นยังไงบ้างคะ”
“คุณปานรุ้งคลอดแล้วครับ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก”
ทุกคนมีสีหน้าดีใจที่ปานรุ้งปลอดภัย
“แล้วหลานฉันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ” คมขวัญรีบร้อนถาม
“ผู้ชายครับ”

ปานรุ้งนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้น คมขวัญคอยดูอยู่ เกื้อเปิดประตูเข้ามา คมขวัญหันไปเห็น
“ส่งพวกยายปิ่นกลับบ้านเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“พ่อมารับทุกคนเรียบร้อยแล้วครับ”
คมขวัญพยักหน้ารับรู้ ปานรุ้งขยับตัวรู้สึกตัว
“รุ้ง เป็นยังไงบ้างลูก”
ปานรุ้งค่อยๆ ลืมตาตื่นมามองเห็นหน้าคมขวัญ ความรู้สึกเจ็บปวดที่ตัวเองเพิ่งซึมซับรับรู้และภาพอดีตมากมายที่เธอทำไม่ดีกับแม่ ทำให้ปานรุ้งแทบจะร้องไห้ แต่ฝืนกลั้นไว้ เธออยากกอดแม่เหลือเกิน แต่เพราะยังมีทิฐิจึงไม่ทำ ได้แต่เรียก
“แม่“ ออกมา ไม่ใช่ “นายแม่” อย่างที่เรียกเพื่อประชดคมขวัญ
คมขวัญมองปานรุ้งอย่างเป็นห่วง “เจ็บมากเหรอลูก”
คมขวัญขยับเข้าไปกอดลูก ปานรุ้งซบกับอ้อมอกของแม่ ค่อยๆ ยกขึ้นเหมือนจะโอบกอดตอบ แต่สุดท้ายละมือนั้นออก ไม่ยอมกอด
“เจ็บหน่อย แต่มันเป็นความเจ็บปวดที่มีความสุขที่สุด ใช่ไหมลูก”
ปานรุ้งพยักหน้าในอ้อมกอดคมขวัญ
“แล้วลูกของรุ้งล่ะคะ”
“ลูกของรุ้งตัวเล็ก หมอเลยให้อยู่ในตู้อบก่อน ไม่ต้องห่วงนะลูกรุ้งไม่เป็นไรจ้ะ”
ปานรุ้งโล่งอก มองหาชูนาม
“แล้วชูนามล่ะคะ อย่าบอกนะคะ ว่ารุ้งคลอดลูก เขายังไม่มา”
คมขวัญได้แต่ถอนใจ

อีกฟาก ที่บ้านพักของวาสุเทพในสัตหีบ วาสุเทพอยู่ในห้องเตรียมเข้านอน จู่ๆ นายทหารเรือยศเรือโทมาเคาะประตูเรียก
“ท่านครับๆ”
วาสุเทพลุกมาเปิดประตูให้ลูกน้องเข้ามา
“ท่านครับ มีข่าวด่วน”
วาสุเทพมองฉงน “ข่าวอะไร”
“มีเรือขนของเถื่อนคืนนี้ครับ”
วาสุเทพมองลูกน้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

เช้ามืด ตรงริมแม่น้ำ บนถนนสายเปลี่ยวย่านชานเมือง มีรถขับเข้ามาจอดอย่างแรงสองคัน คันหลังคือรถชูนาม อีกคันเป็นรถฝรั่งวิศวกร 1 ใน 2
ไอ้ขุนและสมุนเฮียโม อุ้มศพฝรั่งสองคน ที่หน้าตาเละ มานั่งที่หน้าพวงมาลัย อีกคนนั่งข้างๆ จากนั้น พวกมันช่วยกันเอาเหล้ากรอกปากสองฝรั่ง ราดตามเบาะตามตัว จนทั่ว แล้ววางขวดเหล้าไว้ที่ตักฝรั่งคนนั่งข้างคนขับ จากนั้นโยนขวดเหล้าที่เตรียมมาไปที่หลังเบาะอีกสองสามขวด เพื่อสร้างสถานการณ์ว่าสองฝรั่งเมาแอ๋ จนประสบอุบัติเหตุ พอแต่งเสร็จก็พากันออกมา เข็นรถให้เหมือนว่าสองคนขับรถตกน้ำข้างทางตาย ทั้งสามสมุนมองตามผลงานอย่างสะใจ และรีบมาขึ้นรถชูนาม
ชูนามมองภาพฝรั่งวิศวกรตกน้ำตายด้วยสีหน้าเครียด แล้วขับรถไปอย่างเร็ว แต่ด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว ทำให้ชูนามเข้าเกียร์ผิด กลายเป็นถอยหลังไปชนกับเสาไฟแถวนั้น
ไอ้ขุนด่าเรียกสติชูนาม “เฮ้ย มีสติหน่อย”
พอชูนามตั้งสติได้ รีบเข้าเกียร์เดินหน้า ขับรถออกไปเร็วราวกับจะบิน

โดยไม่รู้ว่าได้ทิ้งหลักฐานสำคัญไว้ตรงเสาไฟที่ถอยหลังชน สีรถของชูนามติดอยู่กับเสาไฟชนิดมัดตัวแน่น

อ่านต่อหน้า 4

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 7 (ต่อ)

รุ่งเช้าวันนี้ ปานรุ้งที่หลับอยู่บนเตียง ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับพึมพำคำแรกออกมาร้องหาสิ่งเดียวที่คิดถึงได้ในชีวิตยามนี้

“ลูก...”
คมขวัญนั่งอยู่ที่เก้าอี้เฝ้าลูกทั้งคืน พอเห็นปานรุ้งลืมตา จึงรีบลุกไปหา
“รุ้ง เป็นยังไงบ้างลูก เจ็บตรงไหน เจ็บมากไหม”
น้อยกับเกื้อมองปานรุ้งที่ลืมตาตื่นอย่างดีใจ
“คุณหนูฟื้นแล้ว คุณหนูคะ คุณหนูน้อยจ้ำม่ำน่ารักมากเลย”
เกื้อดุน้อย “น้อย เขาห้ามบอกเด็กๆ ว่าน่ารัก แม่บอกว่าโบราณว่าไว้ ถ้าผีได้ยินจะเอาไป ต้องบอกว่าน่าเกลียดน่าชัง” เขาหันไปพูดกับปานรุ้ง “คุณหนูน้อยน่าเกลียดน่าชังมากเลยครับ”
ปานรุ้งถามขึ้นอย่างห่วงใยลูก “แล้วฉันหลับไปนานเท่าไร ลูกฉันจะหิวนมไหม...เกื้อ น้อย ใครก็ได้ไปบอกพยาบาลให้ พาลูกฉันมาที”
“ครับๆๆ คุณหนู”
เกื้อจะไปเปิดประตู แต่พยาบาลเปิดประตูห้องเข้ามา พร้อมกับเข็นรถที่มีลูกชายปานรุ้งเข้ามา
ปานรุ้งมองชีวิตใหม่ด้วยสายตาตื่นเต้น ปลาบปลื้มตื้นตัน
“ลูกแม่” พยาบาลค่อยๆ อุ้มลูกมาให้ปานรุ้งอุ้ม ปานรุ้งมองลูกเก้อๆ เห็นลูกตัวเล็ก ผิวบอบบาง จนไม่กล้าอุ้ม
“คุณแม่อุ้มลูกให้นมหน่อยนะคะ”
พยาบาลยื่นลูกให้ ปานรุ้งขยับแขนรับมาอย่างกลัวๆ ไม่กล้าอุ้ม
“อุ้มยังไงคะ ฉัน ฉันกลัวทำลูกตก”
“ไม่ต้องกลัวนะรุ้ง มา แม่ช่วย
คมขวัญยิ้ม พลา.พยักหน้าบอกพยาบาลส่งลูกให้ปานรุ้ง โดยคมขวัญโอบแขนปานรุ้งช่วยสอนให้อุ้มลูก
“มือนึง ประคองคอกับหัวไว้ เพราะคอเขายังอ่อนเหลือเกิน ส่วนอีกมือประคองตัว แล้วค่อยๆประคองหัวเขาเข้าหาอกรุ้ง”
ปานรุ้งพยายามค่อยๆ ทำตามที่คมขวัญบอก
เกื้อเห็นว่าปานรุ้งจะให้นม คิดว่าไม่เหมาะสมที่เขาจะอยู่ จึงออกจากห้องไปเงียบๆ
ปานรุ้งประคองตัวลูกให้ดูดนมตัวเองอยู่ ก้มหน้ามองลูกที่กำลังดูดนมในอ้อมอกอย่างตื้นตัน คมขวัญยืนมองปานรุ้งด้วยสีหน้ามีความสุข
ปานรุ้งมองลูกดูดนมแล้วคิดบางอย่าง แล้วหันมาหาคมขวัญ
“นายแม่ ให้รุ้งกินนมแบบนี้หรือเปล่าคะ”
“จ้ะ แบบนี้เลยล่ะ”
ปานรุ้งชะงักนิดหนึ่ง แล้วนึกได้ว่าคนอีกคนที่ควรอยู่ เขาหายไปไหน
“นี่ชูนามมาเจอหน้าลูกรึยังคะ”
คมขวัญถอนใจ ไม่พอใจชูนามเหมือนกัน ที่ยังไม่โผล่หน้ามาสักที

ชูนามหลับอุตุอยู่ที่โซฟาในห้องทำงานเฮียโม จู่ๆ สะดุ้งตื่น เหมือนฝันร้าย โวยวายลั่นห้อง
“อย่า อย่าฆ่ามัน”
เฮียโมนั่งถอดไพ่อยู่ที่ทำงาน มองชูนามอย่างขำเหมือนขำพวกกระจอก
เฮียโมฝันร้ายเหรอคุณชูนาม ?
ชูนามหันมองเฮียโม แล้วรีบเดินไปหาเฮียโมที่โต๊ะทำงาน
“เฮีย เมื่อคืนเราไม่ได้ซ้อมไอ้วิศวกรกันใช่ไหม ทุกอย่างผมฝันไปใช่ไหมเฮีย ผมฝันไปแน่ๆ”
“อย่าเครียดน่าคุณชูนาม ครั้งแรกๆ มันก็ต้องประสาทแดกอย่างนี้แหละ ครั้งต่อไปก็จะค่อยๆ ชินไปเอง”
ชูนามถึงกับเข่าอ่อน “ตกลงเราฆ่าคนตายจริงๆ เหรอเนี่ย”
“ไม่ต้องห่วงน่าคุณชูนาม ลูกน้องผมจัดการให้เหมือนอุบัติเหตุทุกอย่าง”
“อย่าประมาทนะเฮีย ตำรวจสมัยนี้เก่งจะตาย” ชูนามยิ่งคิดยิ่งเครียด “ความจริงเราน่าจะเผาทั้งรถทั้งศพ ทิ้งรถไว้แบบนั้น ไม่รู้ลายนิ้วมือพวกเรายังอยู่รึเปล่า ถ้ายังอยู่บรรลัยแน่ ยังไม่ทันเห็นหน้าลูกก็ติดตะรางแล้ว”
เฮียโมชักรำคาญ “อยากเห็นลูกก็ไปดูสิ เมื่อคืนเมียคุณคลอดแล้ว แม่ของคุณไปตามหาคุณที่บ่อนให้ควัก”
ชูนามชะงักกึก “เมื่อคืน”
“ป่านนี้ใครๆ ไปเยี่ยมแสดงความยินดีกันเต็มแล้วมั้ง”

จริงดังที่เฮียโมว่า วาสุเทพถือกระเช้าของเยี่ยม กำลังสอบถามพยาบาลตรงล็อบบี้
“ไม่ทราบว่าคนไข้ที่ชื่อปานรุ้ง สมุทรเทวาอยู่ห้องไหนครับ”
แม้พยายามจะไม่คิดมาก แต่กติยาก็มองท่าทีคู่หมั้นนายทหารเรืออย่างเจ็บปวด
วาสุเทพได้ข้อมูลแล้วจึงหันมายิ้มบอกกติยา “รีบไปกันเถอะยา”
กติยาเปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้มรับ

ในห้องพักฟื้นของปานรุ้ง พยาบาลรูดม่านที่กั้นรอบเตียง เวลาให้นมทารกออก ปานรุ้งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง โดยมีน้อยคอยเอาหมอนมารองหลังให้ หลังจากปานรุ้งให้นมลูกเสร็จ
คมขวัญอุ้มประคองหลานชายตบหลังเบาๆ เพื่อให้เด็กเรอ พูดกับหลานอย่างอารมณ์ดี
“หลานใครน้า กินเก่งจังเลย วันนี้กินนมแม่ไปตั้งหลายรอบแล้ว จะกลายเป็นลูกหมูไหมน้า หึ ลูกหมู ไอ้ลูกหมู”
ปานรุ้งชักสีหน้า ไม่ค่อยชอบชื่อที่คมขวัญเรียก “อย่าเรียกอย่างนั้นสิคะนายแม่ รุ้งรู้สึกตัวเองเป็นแม่พันธุ์หมูยังไงไม่รู้”
“แล้วรุ้งจะให้เรียกลูกว่าอะไร รุ้งตั้งชื่อไว้ให้ลูกรึยัง” คมขวัญถาม
“ก็มีหลายชื่อที่ชูนามชอบ” พูดแล้วนึกโกรธชูนาม “แต่รุ้งไม่ชอบ”
ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้อง ปานรุ้งมองไปด้วยสายตาขุ่น คิดว่าเป็นชูนามเคาะประตู
“คุณชูนามคงมาแล้วล่ะครับ”
ปริญญาเดินไปเปิดประตู กลายเป็นวาสุเทพเข้ามาพร้อมกับกติยา สองคนยกมือไว้คมขวัญ วาสุเทพหันไปมองปานรุ้ง
ปานรุ้งตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าวาสุเทพกับกติยาจะมา “พี่เทพ”
วาสุเทพเดินตรงเข้ามายืนข้างๆ เตียง กติยาเดินตาม
“รุ้งเป็นยังไงบ้าง พี่เห็นข่าวหน้าสังคมลงว่ารุ้งคลอดแล้ว ก็เลยซื้อของบำรุงมาเยี่ยม”
น้อยรับกระเช้าของบำรุงจากวาสุเทพวางที่โต๊ะข้างๆ เตียง ปานรุ้งมองกระเช้านั้น แล้วอดนึกไปถึงซุปหูฉลามที่วาสุเทพแอบเอามาให้เธอตลอดที่ท้องไม่ได้
“ฉันถามว่าทำไมเธอไม่เคยบอกว่าคนที่เอาซุปมาให้ฉันคือพี่เทพ”
“คุณวาสุเทพขอไม่ให้บอกครับ คุณวาสุเทพเป็นห่วง กลัวคุณรุ้งจะไม่สบายใจ”
คิดเรื่องนี้แล้วปานรุ้งเอ่ยขึ้นด้วนน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ขอบคุณนะ สำหรับของบำรุงทุกอย่างที่พี่ให้รุ้ง”
วาสุเทพชะงักไป มองปานรุ้งท่าทีลังเลนิดๆ ว่ารุ้งรู้เรื่องซุปหูฉลามรึเปล่า จึงตอบกลางๆ ว่า
“ไม่เป็นไร พี่ยินดี”
กติยามองสองคนที่พูดเหมือนมีลับลมคมในบางอย่างต่อกัน อย่างไม่พอใจนัก จึงเสหันไปมองลูกชายปานรุ้งที่คมขวัญอุ้มอยู่ จงใจพูดเสียงดัง เรียกสติวาสุเทพ
“ลูกของรุ้งเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะคุณป้า”
“ผู้ชายจ้ะ”
วาสุเทพยิ้มมองลูกปานรุ้งด้วยสายตาเอ็นดู “น่าเกลียดน่าชังมากนะครับ”
พลางวาสุเทพเดินไปยืนใกล้ๆ คมขวัญ ยื่นหน้าไปหยอกเล่นกับเด็ก เหมือนพ่อหยอกลูกอย่างไรอย่างนั้น ปานรุ้งมองภาพนั้นแล้วปวดใจ และยิ่งอยากให้พ่อของลูกเป็นวาสุเทพ
กติยามองด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน วาสุเทพดูเหมือนพ่อของลูกปานรุ้งยิ่งนักส่วนตัวเองเหมือนเป็นส่วนเกิน กติยาปั้นหน้าเชิด พร่ำบอกตัวเองว่า “พี่เทพเป็นของฉัน ไม่ใช่ของปานรุ้ง อย่ากลัว” ก่อนจะพูดไปว่า
“พี่เทพอยากลองอุ้มลูกไหมคะ”
เหมือนปานรุ้งต้องการบอกว่าวาสุเทพเป็นพ่อของลูก กติยาไม่พอใจหลุดปากออกมาว่า
“ไม่”
วาสุเทพ ปานรุ้ง คมขวัญ น้อยมองกติยา คมขวัญเข้าใจว่ากติยารู้สึกยังไง
กติยารู้ตัวพูดต่อด้วยเสียงอ่อนลง “พี่เทพยังไม่ได้ล้างมือ แถมเพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน เสื้อผ้าโดนฝุ่นมา อย่าอุ้มเลยค่ะ เดี๋ยวเด็กติดเชื้อโรค คุณชูนามจะว่าได้นะคะว่าเราทำลูกของเขาป่วย”
ปานรุ้งมองกติยาอย่างรู้ทันว่ากติยาจงใจย้ำวาสุเทพว่า “ปานรุ้งมีผัวชื่อชูนาม ไม่ใช่วาสุเทพ”
“งั้นวันหลังพี่เทพค่อยมาอุ้มก็ได้ค่ะ”
กติยาไม่พอใจคำนั้น มองปานรุ้งเขม็ง บอกตัวเองในใจว่า “ฉันคือผู้ชนะ ฉันจะทำให้เธอรู้ว่าฉันชนะเธอ”พูดยิ้มๆ ออกมาอีกว่า
“ยากับพี่เทพคงรับปากรุ้งไม่ได้ ว่าจะมาเยี่ยมรุ้งได้อีกรึเปล่า เพราะยากับพี่เทพต้องดูแลเรื่องเรือนหอที่กำลังปลูกใหม่อยู่” แล้วหันไปทางคมขวัญ “ยาต้องขอบคุณคุณป้าอีกครั้งนะคะ ที่ขายที่ผืนนั้นให้พี่เทพกับยาสร้างเรือนหอ”
คมขวัญชะงักสบตากับปริญญา
“เอ่อ...จ้ะ”
ปานรุ้งมองกติยา แล้วมองคมขวัญด้วยสีหน้าสงสัย
“นายแม่ขายที่ดินอะไรคะ ทำไมรุ้งไม่รู้เรื่องเลย”

เห็นคมขวัญอ้ำอึ้ง และยังได้รู้ว่าปานรุ้งไม่รู้เรื่องมารดาขายที่ดิน กติยาก็ยิ่งสะใจ

เวลาเดียวกันนั้น ชูนามขับรถเข้ามาจอดนิ่งในลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล แต่ยังไม่กล้าลง หันมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัวๆ จู่ๆ มีคนมาเคาะกระจกข้าง

ชูนามตกใจ “เย้ย” ค่อยๆ หันไปเพ่งมอง เห็นเป็นกอบยืนอยู่ข้างรถ “นายกอบ มาเคาะทำไมตกใจหมด”
“ผมเห็นคุณชูนามขับมาจอดตั้งนานแล้วไม่ยอมลงเลยนึกว่าเป็นอะไรน่ะครับ”
ชูนามนึกได้รีบลงรถมา “นี่นายกอบ มีใครมาถามหาฉันที่นี่ไหม”
“โอย...เค้าตามหากันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ ตอนที่คุณหนูปวดท้องจะคลอดน่ะครับ ว่าแต่คุณไปไหนมาล่ะครับถึงได้ไม่มาเฝ้าคุณหนูตอนคลอด”
“แม่ฉันป่วยน่ะ ไปเฝ้ามาทั้งคืนนี่ยังไม่ได้นอนเลย แล้วเช้านี้มีใครมาถามหาฉันไหม”
“ก็มีแต่คุณหนูล่ะมั้งครับ คุณรีบขึ้นไปดูคุณหนูเถอะครับ”
ชูนามรีบเดินเข้าอาคารไป แต่ก็ยังไม่วายมองอย่างระมัดระวัง

ส่วนปานรุ้งมีสีหน้าไม่พอใจที่รู้ว่าคมขวัญเอาที่ดินของคุณตาไปขายให้วาสุเทพกับกติยา
“แม่ขายที่ดินของคุณตา โดยที่แม่ไม่บอกรุ้งสักคำ”
“แม่กำลังจะบอก แต่รุ้งคลอดลูกเสียก่อน”
“ยาขอโทษนะคะคุณป้า ยาไม่รู้ว่าคุณป้ายังไม่ได้บอกรุ้งเรื่องนี้” ครูสาวหันไปทางปานรุ้ง “รุ้งอย่าโกรธคุณป้าเลยนะ คุณป้าคงจำเป็นจริงๆ ถึงขายที่ผืนนั้น”
ปานรุ้งมองมารดาด้วยสายตาสงสัยว่า “แม่มีความจำเป็นอะไร ถึงต้องขายที่ดินนั่น”
“เอาเถอะรุ้ง ไว้รุ้งออกจากโรงพยาบาล แล้วเราค่อยคุยกันนะลูก”
“แต่ถ้ารุ้งไม่อยากขายที่ดินผืนนั้น พี่คืนที่ดินให้รุ้งก็ได้นะ”
กติยาชะงัก หันมามองวาสุเทพอย่างไม่อยากเชื่อ “พี่เทพ”
วาสุเทพหันมองคมขวัญด้วยสายตาเข้าใจ “ส่วนเรื่องเงิน คุณป้ายังไม่ต้องคืนผมตอนนี้ก็ได้ครับ ถือว่าผมฝากไว้ ผมจะใช้เมื่อไหร่ ค่อยไปถอนจากคุณป้า”
กติยามองวาสุเทพด้วยแววตาอันเจ็บปวด มันเหมือนกติยาตบหน้าปานรุ้ง แต่วาสุเทพออกตัวรับแทน โดยไม่แคร์ความรู้สึกเธอ
ปานรุ้งมองวาสุเทพนิ่ง ยิ่งวาสุเทพทำดีกับเธอเท่าไร ความเจ็บที่เลือกคนผิดยิ่งทบทวี
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่ขายให้พี่เทพแล้วก็ขายเลย รุ้งไม่เอาคืน แต่รุ้งขออะไรอย่างอื่นแทนได้ไหมคะ”
คมขวัญ กติยา และปริญญาต่างมองปานรุ้งเป็นตาเดียวกัน
วาสุเทพมองฉงน “รุ้งจะขออะไรพี่เหรอ”
ปานรุ้งมองที่ลูก “รุ้งอยากให้ลูกของรุ้ง โตขึ้นมาเป็นคนดี เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวจิตใจมั่นคง แต่ยังอ่อนโยน อบอุ่น อย่างพี่เทพ รุ้งชื่อ ปานรุ้ง” พลางหันไปมองวาสุเทพ “รุ้งขอให้ลูกของรุ้งชื่อ...ปานเทพ ได้ไหมคะ
กติยาทนยืนฟังต่อไปไม่ไหว หันไปขอตัวกับคมขวัญ “ยากับพี่เทพคงต้องขอตัวกลับก่อน เพราะต้องไปแจกการ์ดแต่งงานอีกหลายที่” แล้วจึงหันไปทางคู่หมั้น “เรากลับกันเถอะค่ะพี่เทพ”
กติยาจงใจคล้องแขนวาสุเทพ เตือนให้เขารู้ว่าเธอยังอยู่ตรงนี้ และมีตัวตน
วาสุเทพมองอย่างเข้าใจ ยกมือไหว้คมขวัญ “ผมลาล่ะครับ...พี่ไปก่อนนะ”
ปานรุ้งยิ้มให้วาสุเทพ แล้วมองกติยานิ่งๆ
กติยามองสบตาปานรุ้งจังๆ แล้วเดินควงแขนวางสุเทพออกจากห้องไป
คมขวัญรอจนสองคนลับตัวไปแล้วจึงถามขึ้น
“ทำไมรุ้งต้องใช้ชื่อคุณเทพตั้งชื่อลูกด้วย แม่ว่ามันไม่เหมาะ”
“เพราะรุ้งต้องการเลือกสิ่งที่ดีให้กับลูก รุ้งอยากให้ลูกเป็นอย่างพี่เทพ ต่างจากพ่อของเขา ...ที่มัน...”
ปานรุ้งพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ชูนามเปิดประตูพรวดเข้ามา ในสภาพผมยุ่ง หน้าตาตื่นตระหนก เสื้อผ้าหลุดลุ่ย
“รุ้งจ๋า ผมมาแล้ว”
ปานรุ้งเหลียวขวับไปมองชูนามหน้าตาบูดบึ้ง
ชูนามมองคมขวัญกับปานรุ้งด้วยสีหน้ายิ้มเหยเก พูดเสียงสดใจกลบเกลื่อนความผิด
“รุ้งกับลูก สบายดีใช่ไหมจ๊ะ”

ขาดคำหมอนถูกปาไปโดนกำแพงอย่างแรง เพราะชูนามหลบทัน แล้วค่อยๆ โผล่หัวขึ้นมาพยายามออดอ้อนเว้าวอน
“รุ้งใจเย็นๆ ฟังผมก่อน !
ปานรุ้งไม่ฟัง จะหยิบหมอน แต่หมอนหมด
ชูนามยิ้ม “หมอนหมดแล้ว”
ปานรุ้งหันไปคว้าแจกันที่โต๊ะข้างเตียงจะปาใส่
ชูนามตกใจแหกปากลั่น “เฮ้ย”
คมขวัญ ปริญญา และน้อยเข้าไปช่วยกันห้ามปานรุ้ง
“พอเถอะรุ้ง มีอะไรก็คุยกันดีๆ สิลูก ยังไงเขาก็เป็นพ่อของลูกรุ้งนะ”
ปานรุ้งฟังที่แม่พูด แล้วผ่อนลมหายใจ พยายามข่มใจ
ชูนามได้ทีรีบพูด “นายแม่พูดถูก ถ้าผมเป็นอะไรไป ลูกจะไม่มีพ่อนะ”
“แล้วทุกวันนี้ ลูกเหมือนมีพ่อไหม วันๆ ไม่เคยอยู่บ้าน ขนาดวันคลอด คุณยังหายหัวเลย”
“ผมบอกแล้วไงว่าแม่ผมไม่สบาย นอนซมอยู่ที่บ้าน ผมดูแลแม่ทั้งคืนไม่รู้เรื่องคุณคลอดลูกจริงๆ”
ปริญญาสะดุดหูบางอย่าง “เอ๊ะ แต่ว่าเมื่อคืน ...”
ปริญญาไม่ทันพูดจบ คมขวัญพูดตัดบท ขัดปริญญาขึ้นก่อน
“เอาเป็นว่า รุ้งใจเย็นๆ ก่อน” คมขวัญมองชูนามด้วยแววตาคมกริบ “ชูนามคงมีเหตุผลจำเป็นที่มาไม่ได้ ไหนๆ ชูนามก็มาแล้ว ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันดีกว่า...ฝากดูแลรุ้งต่อด้วยฉันจะกลับไปเคลียร์งาน เดี๋ยวเย็นๆ จะกลับมา”
ชูนามหลบตาวูบ อย่างคนมีความผิด “ครับนายแม่”
“ไป ปริญญา”
คมขวัญเดินนำไป ปริญญามองชูนามด้วยสีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง แล้วเดินตามคมขวัญไป
ชูนามเหลือบมองอย่างระแวงว่าปริญญาสงสัยอะไรรึเปล่า

คมขวัญเดินนำปริญญาออกไปที่รถ ปริญญาเดินตาม ยังคาใจไม่หาย
“คุณนายครับ คุณนายก็รู้ว่าเมื่อคืนเกื้อไปตามหาชูนามที่บ้านคุณร้อยกรอง แต่คุณร้อยกรองไม่อยู่ ไปงานแต่งกับเพื่อน เกื้อเทียวแวะไปตามทั้งคืน แต่คุณร้อยกรองก็ไม่กลับจนเช้า”
“ใช่ ฉันรู้”
“แต่คุณชูนามกลับบอกว่าอยู่บ้านกับคุณร้อยกรองทั้งคืน มันโกหกชัดๆ ทำไมคุณนายไม่บอกคุณรุ้งล่ะครับ”
“เพราะฉันอยากรู้ไง ว่าทำไมชูนามต้องโกหก”
คมขวัญพูดจบพอดีกับที่เดินไปถึงรถ กอบยืนรออยู่ สองคนเห็นรถจอดขวางหน้ารถของคมขวัญอยู่
ปริญญาจำได้ “นี่มันรถ”
“รถของคุณชูนามครับ ตอนคุณชูนามมา ไม่มีที่จอด เลยขอจอดตรงนี้ เดี๋ยวผมเข็นให้ครับ”
กอบเดินไปที่ท้ายรถของชูนามเพื่อเข็นรถ
“มา ฉันช่วย”
ปริญญาเดินมาที่ท้ายรถของชูนาม แล้วเห็นรอยที่รถไปเสาไฟฟ้า ปริญญาชะงัก
“นี่รถไปชนอะไรมา”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่คงเพิ่งไปชนมาแน่ๆ เพราะเมื่อวานผมเช็ดรถให้ ยังไม่มีรอยเลย”
ปริญญามองรอยท้ายรถชูนาม แล้วมองไปทางคมขวัญ เป็นเชิงถามกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า

ทันทีที่คมขวัญเดินเข้ามาในบริษัท มีปริญญาตามหลัง ปราณีเดินเข้ามาหาคมขวัญอย่างร้อนใจ
“คุณนายคะ มีเรื่องด่วนค่ะ คุณชูนามเซ็นสั่งเรือรุ้งเทวาออกจากท่าเมื่อคืนนี้ค่ะ”
“อะไรนะ” คมขวัญแทบช็อก

คมขวัญกลับเข้าบ้านตอนเย็น ด้วยสีหน้าเครียดเคร่งร้อนใจ ปริญญาเดินตามเข้ามาด้วย
“คนในบ้านนี้หายไปไหนกันหมด”
เกื้อรีบวิ่งเข้ามาหา
“ขอโทษครับ คุณนายต้องการอะไรครับ”
“ชูนามกลับมารึยัง”
“เพิ่งกลับมาเมื่อกี้นี้ครับ เห็นบ่นว่าเหนื่อย ขึ้นห้องไปนอนพักแล้วครับ”
คมขวัญไม่รอช้า เดินขึ้นบันไดตรงไปห้องนอนของปานรุ้งทันที เกื้อมมองตามคมขวัญอย่างอึ้ง งงว่าเกิดอะไรขึ้น ปริญญามองตามคมขวัญ แล้วถอนใจว่าจะมีปัญหาอะไรตามมาไหม

ชูนามนอนแผ่หลาอย่างหมดแรงบนเตียง จู่ๆ คมขวัญเปิดประตูห้องอย่างแรง จนบานประตูกระแทกกำแพงดังปัง ชูนามตกใจสะดุ้งเฮือก จนตกเตียง
“อะไรกันวะเนี่ย”
“ฉันน่าจะถามเธอมากกว่า ว่าเธอทำอะไร”
ชูนามเห็นคมขวัญมองตัวเองอย่างเอาเรื่องก็หายง่วง รีบตีหน้าซื่อ ทั้งๆ ที่ในใจหวั่นกลัว
“ผมทำอะไรเหรอครับ”
“ไม่ต้องมาทำหน้าซื่อ ใครใช้ให้เธอเอาเรือออก”
ชูนามยังตีหน้าซื่อต่อ “เรืออะไรครับ”
“ก็เรือรุ้งเทวาไง ฉันสั่งทุกคนไว้แล้วว่าเรือรุ้งเทวาเสีย ห้ามเอาออกแล้วเธอมีสิทธิ์อะไร สั่งเรือออกโดยไม่บอกฉัน เกิดมันเป็นอะไรแล้ว ใครจะรับผิดชอบ”
ชูนามพยายามคุมสติพูดดีๆ “แหม มันไม่เป็นอะไรหรอกครับนายแม่ ผมถามวิศวกร วิศวกรยังบอกโอเคเลย”
คมขวัญฉงน “เธอถามวิศวกรตอนไหน”
ชูนามพูดโดยไม่ทันยั้งคิด “ก็เมื่อคืนไงครับ”
“แล้วเธอรู้ไหมว่าหลังจากนั้นวิศวกรไปไหน ป่านนี้ยังไม่มีใครเจอสองคนนั้นเลย”
ชูนามชะงัก อยากตบปากตัวเองที่พลั้งปากเอาตัวรอด จนลืมคิดเรื่องวิศวกร
“ผมไม่รู้ครับ พอคุยงานเสร็จ ก็ต่างคนต่างไป” ชูนามรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาเถอะครับนายแม่ ผมโทรเลขไปสิงคโปร์แล้ว ถ้าเรือถึงท่า ให้เขาส่งข่าวบอกเรา เรือเราแข็งแรงจะตาย ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
“แล้วถ้ามันไม่ใช่แค่นั้นล่ะ คอยดูนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นนะชูนาม อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
คมขวัญคาดโทษแล้วเดินออกไปทันที ชูนามมองตามหน้าเครียด กังวลหนักว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกไหมหนอ?

สิ่งที่ชูนามกังวล เกิดขึ้นในตอนเช้าอีกวันหนึ่ง ณ บริเวณปากเหวที่ชูนามกับสมุนเฮียโมเข็นรถวิศวกรตกลงไป สร้างสถานการณ์ว่าเป็นอุบัติเหตุ
ซากรถสภาพพังยับเยิน มีน้ำท่วมเต็มคันถูกรถยกมาวางลงตรงลานโล่ง ตำรวจหลายนายทำการชันสูตร และ เก็บหลักฐาน
ตำรวจ 1 เห็นบางอย่างในรถ ใช้ถุงเก็บหลักฐานจับของชิ้นนั้นมาให้สารวัตรที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ สารวัตรมองหลักฐานในถุง เห็นเป็นขวดเหล้า
“แล้วเจอคนขับไหม”
“ไม่เจอครับ ดูจากรอยแตกของกระจก เป็นไปได้ว่าแรงชนน่าจะทำให้ คนขับกระเด็นออกจากรถ ตอนนี้ชุดประดาน้ำกำลังค้นหาร่างคนขับอยู่ ครับผม” ตำรวจ 1 รายงาน
สักครู่ ตำรวจ 2 เดินเข้ามาพร้อมถุงใส่หลักฐาน
“เราเจอหลักฐานอีกชิ้นครับสารวัตร ซึ่งน่าจะช่วยบอกได้ว่า ใครเป็นคนขับรถที่เกิดเหตุ”
สารวัตรรับถุงหลักฐานมาเปิดดู
“เงินปอนด์กับกระเป๋าสตางค์”
สารวัตรมองหน้าตำรวจลูกน้องทั้ง 2
“มีใครแจ้งชาวต่างชาติหายบ้างไหม”

คมขวัญเดินตรวจงานมาพร้อมกับปริญญา ที่รายงานเรื่องวิศวกรหายตัวไปอย่างเครียดๆ
“วันนี้ผมไปแจ้งความตามหาวิศวกรสองคนนั่นแล้วครับคุณนาย”
คมขวัญพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักใจ “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ อยู่ๆ สองคนนั้นหายไปได้ยังไง”
ปริญญาถอนใจ “ความจริงมันมีข่าวมาว่าคืนสุดท้ายที่มีคนเห็นวิศวกร มีคนงานได้ยินเสียงวิศวกรเถียงกับคุณชูนาม พอคนงานจะเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็โดนผู้ชายตัวใหญ่ๆ ขวางไว้”
คมขวัญมองปริญญาสีหน้าฉงน “ผู้ชายตัวใหญ่ ใคร”
ยังไม่ทันที่คมขวัญจะถามอะไรต่อ มีตำรวจ 3 นายเดินตรงเข้ามาหาคมขวัญ
ตำรวจ 1 ทัก ท่าทีนอบน้อม“สวัสดีครับ คุณคือคุณคมขวัญ สมุทรเทวาใช่ไหมครับ”
คมขวัญมองอย่างอึ้งๆ งงๆ ว่ามีอะไร “ค่ะ คุณตำรวจมีอะไรกับดิฉันเหรอคะ”
“ไม่ทราบว่าเรือรุ้งเทวา เป็นเรือขนสินค้าของสมุทรเทวารึเปล่าครับ”
คมขวัญมองหน้ากับปริญญา สังหรณ์ใจโดยประหลาดว่าต้องมีเรื่องแน่
“ใช่ค่ะ มีอะไรเหรอคะ”
“พอดีทางตำรวจน้ำรายงานมา เรือคุณจอดเสียอยู่ ทางตำรวจน้ำจึงเข้าไปให้ความช่วยเหลือ แล้วเจ้าหน้าที่พบว่าของที่บรรทุกมากับเรือ มียาเสพติดปลอมปนมาด้วยครับ”
คมขวัญกับปริญญาอึ้ง ตะลึงตะไล
“ยาเสพติด”
“เชิญคุณคมขวัญไปให้ปากคำกับเราด้วยครับ”

คมขวัญมองหน้ากับปริญญา อึ้งกันอยู่อย่างนั้น

ชูนามอยู่ที่โรงพยาบาล กำลังเอาใจ ป้อนแกงเลียงให้ แต่ปานรุ้งกลับเมินหน้าหนี น้อยนั่งดูอยู่ไกลๆ ส่วนคุณหนูน้อยพยาบาลเอาไปดูแล

ปานรุ้งดันมือชูนามที่จะป้อนแกงออกไป “ไม่กิน ไม่ต้องมาเอาใจ อยากไปไหนก็ไป ฉันอยู่กับลูกสองคนได้”
ปานรุ้งขยับตัวนอน ชูนามพยายามง้อ
“คำก็ไล่ สองคำก็ไล่ คุณไม่อยากให้ผมอยู่ข้างๆ คุณ ข้างๆ ลูกเหรอ”
ปานรุ้งนอนตะแคงหันหลังให้ ลืมตาฟังว่าชูนามจะพูดพล่ามอะไรอีก
“รุ้งอ่า หายโกรธผมเถอะน้า ผมสัญญาว่าต่อไปนี้ผมจะอยู่ข้างๆ รุ้งกับลูก ไม่หายไปไหน จะไม่ทำอะไรให้รุ้งต้องเสียใจอีก ถ้าผมผิดสัญญา ขอให้ฟ้าผ่า”
สิ้นคำว่า “ฟ้าผ่า” ร้อยกรองเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง บานประตูกระทบกับกำแพงดังปัง ชูนามสะดุ้ง รีบก้มลงหลบ
“เย้ย”
น้อยมองขำๆ “ไม่ต้องตกใจค่ะคุณชูนาม นี่เสียงประตู ไม่ใช่ฟ้าผ่า”
ชูนามเงยหน้ามองเห็นเป็นร้อยกรองที่เปิดประตู ก็เซ็งหันไปตวาดน้อย
“ฉันรู้หรอกน่า” แล้วหันไปพูดกับร้อยกรองอย่างหงุดหงิด “แม่เปิดประตูเบาๆ สิ เห็นไหม เมียหนูตกใจหมด” เขาหันไปทางปานรุ้ง “ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะจ๊ะรุ้ง”
ปานรุ้งกลอกตาเซ็งผัว
“แม่มีเรื่องด่วนจะมาบอก เมื่อกี้แม่ไปเล่นไพ่ เอ๊ย ไปกินข้าวกับเพื่อน เห็นข่าวทีวีออกว่าเรือของสมุทรเทวาโดนจับเพราะขนของเถื่อน”
ชูนามอึ้ง
ปานรุ้งตกใจ “จริงเหรอคะ แล้วข่าวว่ายังไงบ้างคะ นายแม่รู้เรื่องรึยัง”
“แม่ว่ารู้แล้วล่ะ เพราะเห็นในข่าวบอกว่าตำรวจพาทุกคนที่เกี่ยวข้องไปสอบปากคำหมดแล้ว คุณคมขวัญก็คงไม่รอด”
ปานรุ้งห่วงคมขวัญ “นายแม่”
ชูนามฝากร้อยกรองดูแลปานรุ้ง ท่าทีร้อนรน
“แม่ดูแลรุ้งด้วยนะ เดี๋ยวหนูมา”
ชูนามรีบวิ่งออกประตูไปอย่างรีบร้อน
ร้อยกรองตะโกนถามตามหลังไป “ชูนามจะไปไหน”
ปานรุ้งมองตามชูนามด้วยความสงสัย และหน้าเครียดลง นึกเป็นห่วงคมขวัญ ก่อนจะหันไปทางน้อย
“ไปตามเกื้อมาหาฉันที”

มีการประชุมฉุกเฉินเกิดขึ้น ภายในห้องประชุมบริษัทสมุทรเทวาจำกัด เวลานี้ อลหม่านได้ที่ บอร์ดคณะกรรมการฝ่ายที่เข้าข้างคมขวัญกำลังถกเถียงกับฝ่ายที่ไม่เข้าข้าง
มิสเตอร์เจสันนั่งอยู่หัวโต๊ะ มองการถกเถียงนั้นด้วยสีหน้านิ่ง แต่นัยน์ตายิ้มสมหวัง นพพร และ ศุภกิจยืนอยู่ด้านหลัง
ระหว่างนี้ ปริญญาเปิดประตูให้คมขวัญเข้ามาในห้อง คมขวัญนั่งหัวโต๊ะปริญญายืนด้านหลัง
มิสเตอร์เจสัน ศุภกิจ นพพร และเหล่าคณะกรรมการมองหน้าคมขวัญเป็นตาเดียวกัน
กรรมการ 1 ยิงคำถามใส่คมขวัญทันที “มันเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง”
คมขวัญไม่ทันจะตอบ กรรมการ 2 ซักต่อ “เห็นบอกว่าลูกเขยคุณคมขวัญเซ็นให้เรือออกจากท่างั้นเหรอครับ
กรรมการ 1 เสริมอีก “อย่างนี้คุณคมขวัญก็รู้เห็นเป็นใจกับลูกเขยด้วยน่ะสิ”
ปริญญาโต้แทน “พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก คุณนายกับคุณชูนามคนละคนกัน จะเอามาเกี่ยวกันได้ยังไง”
“ทำไมจะเกี่ยวกันไม่ได้ ในเมื่อเป็นญาติกัน ใครๆ ก็รู้ว่าคุณนายรักลูกสาวมากขนาดไหน จะแปลกอะไรที่จะรักลูกเขยมากอีกคน” นพพรว่า
“จะลามปามคุณนายมากไปแล้วนะ” ปริญญาไม่พอใจ
“คำพูดแค่นี้ยังไม่มากเท่ากับความเสียหายที่คุณนายกับลูกเขยก่อไว้” มิสเตอร์เจสันวางแฟ้มลงบนโต๊ะ “ลูกค้ากว่า 70 % ขอยกเลิกการใช้เรือสมุทรเทวาขนส่งสินค้า เพราะไม่ไว้ใจความมั่นคงของบริษัท ตอนนี้นอกจากหนี้เก่าที่ยังไม่ได้ชำระ ยังมีหนี้ใหม่เข้ามาอีก คุณนายจะรับผิดชอบยังไงครับ”
คมขวัญนั่งนิ่งตั้งสติ คิดวิธีแก้ปัญหา จู่ๆ ปราณีเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา
“ขอโทษค่ะ”
“มีอะไรอีกปราณี”
“ตำรวจแจ้งมาว่า พบศพวิศวกรสองคนแล้วค่ะ”
คมขวัญยืนอึ้งที่รู้ว่าวิศวกรกลายเป็นศพ ทั้งหมดตกใจ ยกเว้นสามคน มิสเตอร์เจสัน และสองผู้ช่วยแฝด

ถัดมา มิสเตอร์เจสันเดินนำสองฝาแฝดไปที่รถ นพพรพูดออกมาอย่างสะใจ
“เรือถูกยึดข้อหาขนของเถื่อน แถมวิศวกรยังเป็นศพอีก คราวนี้สมุทรเทวาล่มจม ไม่มีวันฟื้นแน่ๆ”
“ทีนี้เส้นทางเดินเรือที่สมุทรเทวาเคยได้สัมปทาน ก็จะตกเป็นของบอส” ศุภกิจเสริม
“อย่าเพิ่งประมาท ฉันยังมีเสี้ยนหนามขวางเท้าฉันอยู่”
“ถ้าบอสหมายถึงไอ้เฮียโมล่ะก้อ ไม่ต้องห่วงครับ มันไม่รู้ว่าที่ตำรวจจับของเถื่อนได้เป็นเพราะเราส่งข่าว แต่คิดว่าพวกมันพลาดเอง” นพพรบอก
“แล้วตอนนี้พวกมันทำยังไง”
“ก็ทำอย่างที่พวกมันเคยทำล่ะครับ เอาเงินไปใช้ ทิ้งภาระให้คนอื่น”
“แล้วคราวนี้ คนที่รับอุจจาระ เอ๊ย ภาระก็คือ...”
นพพรค้างคำไว้ หันหัวเราะกับนายฝรั่งและศุภกิจ

จะเป็นใคร หากไม่ใช่เขาคนนี้ ชูนามวิ่งเข้ามาในบ่อนเฮียโม แต่แล้วถึงกับต้องชะงัก เมื่อเห็นสภาพบ่อน เก้าอี้วางล้มเกลื่อนกล่น โต๊ะล้มระเนระนาด ขยะเกลื่อนเหมือนเป็นบ่อนร้าง ไร้เงาผู้คน
“เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย”
ชูนามวิ่งวุ่นตามหาเฮียโมไปทั่ว
“เฮียโม...อย่าล้อผมเล่นอย่างนี้นะ เฮียโม” สักระยะชักเริ่มโกรธ “ไอ้เฮียโม มึงออกมาสิวะ”

จู่ๆ ลูกน้องเฮียโมเปิดประตูเข้ามา ชูนามหันไปเห็น ลูกน้องเห็นชูนามจะวิ่งหนี
แต่ชูนามวิ่งไปตะครุบตัวไว้ “เฮ้ย มึง หยุด”
ชูนามกระชากคอเสื้อลูกน้องเฮียโมด้วยอารมณ์ใกล้จะคลั่ง
“เจ้านายมึงไปไหน”
“กูไม่รู้”
ชูนามเขย่าคอเสื้ออย่างโกรธแค้น “กูไม่เชื่อ มึงบอกกูมา ตอนนี้กูบ้า กูกระทืบมึงตายคาตีนกูแน่”
ลูกน้องทนไม่ไหว ผลักชูนามออกเต็มแรง ร่างกระเด็นล้มลงกับพื้น
“โถ ทำเป็นเก่ง เก่งจริงทำไมมึงไม่รู้ว่านายกูเขาทิ้งมึงไปแล้ว”
ชูนามเหลียวขวับมามอง “อะไรนะ ไหนมันบอกมันจะไม่ทิ้งกู”
“ไอ้โง่เอ๊ย โง่อย่างนี้ไง ถึงไม่รู้ว่านายกูหลอกให้มึงจัดการเซ็นเอกสารทุกอย่าง ทีนี้ มึงรอพ่อมึงลากมึงเข้าคุกได้เลย”
ลูกน้องเฮียโมเดินไปหยิบกระเป๋าเป้เล็กๆ ใส่เอกสารสำคัญที่มันลืมไว้ แล้วเดินข้ามชูนาม พร้อมกับหัวเราะเยาะออกไป
ชูนามมองตามลูกน้อง อึ้งตะลึงตะไล คิดหนักว่าเขาควรทำยังไงดี

ทางฝ่ายเกื้อเดินเข้ามาบริเวณท่าเรืออย่างรีบร้อน เห็นคนงานกำลังมุงอยู่ที่ริมน้ำกลุ่มใหญ่จึงรีบเดินเข้าไปดู เห็นตำรวจกำลังยืนคุยสอบปากคำ พวกคนงานอยู่
“ปกตินายช่างฝรั่ง 2 คนชอบมานั่งคุยเล่นกับพวกเราตรงนี้ทุกเย็นครับ” คนงาน 2 ว่า
คนงาน 1 บอก “ทั้งสองคนไม่ดื่มเหล้าเลยครับ คนนึงเขาบอกเขาแพ้แอลกอฮอล์ อีกคนบอกว่าศาสนาเขาเคร่ง”
ตำรวจ 2 ซัก “แปลว่าวิศวกรสองคนนี้ไม่เคยดื่มของมึนเมาเลย”
คนงาน 1 การันตี “ไม่เคยแตะต้องเลยครับ ผมยืนยันได้”
ตำรวจ 2 คน มองหน้ากัน คิดถึงขวดเหล้าที่พบในรถ แล้วถามคนงานต่อ เกื้อสนใจพยายามแทรกตัวเข้าไปฟังใกล้ๆ
ตำรวจ 1 ถามอีกว่า “แล้ววิศวกรสองคนนี้เขาเคยมีเรื่องบาดหมางกับใครรึเปล่า”
คนงาน 1 ทำท่าคิด “ผมไม่เคยเห็นวิศวกรสองคนทะเลาะกับใครเลยนะ แกเป็นคนดี” แล้วนึกออก “แต่มีคนงานคุยกันว่า ก่อนที่วิศวกรหายไป เขาทะเลาะกับคุณชูนาม เพราะคุณชูนามจะเอาเรือออก แต่วิศวกรไม่ยอม”
ตำรวจ 1 สนใจข้อมูลนี้ “คุณชูนามเหรอ”
ตำรวจ 2 คน มองหน้ากันอีกครั้ง
ตำรวจ 1 ถาม “แล้วตอนนี้คุณชูนามอยู่ไหน”
“ไม่ทราบครับ” คนงาน 2 หันไปเห็นเกื้อ “นั่นไงครับ คุณตำรวจลองถามไอ้เกื้อดูสิครับมันเป็นคนขับรถให้คุณปานรุ้งเมียของคุณชูนามน่ะครับ”

หลังคลอดเพียง 4 วัน เช้าวันนี้ ปานรุ้งออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านสมุทรเทวา เดินอุ้มลูกเข้าบ้านมา น้อยกับเกื้อถือตะกร้าเดินตามเข้ามา ปานรุ้งมองบ้านที่โล่งเงียบอย่างร้อนใจ
“ตกลงนายแม่ไปไหนเนี่ยเกื้อ ฉันให้เธอไปตามหาข่าวนายแม่ตั้งแต่เมื่อวาน คืบหน้าอะไรบ้างไหม ห๊ะ”
เกื้อหน้าจ๋อย “เอ่อ...ผมพยายามไปหาคุณนายที่สถานีตำรวจ แต่คุณนายไล่ผมมาดูแลคุณรุ้ง บอกว่าไม่มีอะไร เมื่อคืนคุณนายก็ไม่ได้กลับบ้าน คงอยู่ที่สถานีตำรวจ หรือไม่ก็ที่บริษัทครับ”
ปานรุ้งประชด “ดีเนอะ บ้านเกิดเรื่องขนาดนี้ นายแม่กลับไม่บอกอะไรฉันสักคำ ฉันมันคนไร้ค่ามากสินะ บอกไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับคุณหนู แต่คุณนายเห็นคุณหนูเพิ่งคลอด เลยไม่อยากให้คุณหนูเครียด”
ปานรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “มีแต่คนบอกว่าเป็นห่วงฉัน แต่ไม่มีใครอยู่กับฉันสักคน ไม่ว่านายแม่ หรือผัวฉัน หายไปตั้งแต่เมื่อวาน ป่านนี้ยังไม่กลับ”
แจ่มถือถาดใส่น้ำเย็นเข้ามาเสิร์ฟปานรุ้งด้วยอาการประจบ
“คุณหนูของบ่าว กลับมาแล้วเหรอคะ” แจ่มมองคุณหนูปานเทพที่ปานรุ้งอุ้มพูดประจบ “อุ๊ยต๊าย คุณหนูน้อยน่าเกลียดน่าชังที่สุด ขอแจ่มเป็นพี่เลี้ยงคุณหนูน้อยได้ไหมคะ”
ปานรุ้งชี้นิ้วไปทางสัมภาระที่น้อยถือ “เอาของไปเก็บ แล้วเอาผ้าอ้อมที่เปื้อนฉี่ลูกฉันไปซักให้เรียบร้อย”
แจ่มหน้าเหี่ยวลงทันตา น้อยแอบยิ้มสมน้ำหน้า
ปานรุ้งหันไปทางเกื้อ “เกื้อไปบ้านแม่ชูนามสิ ไปดูว่าชูนามอยู่ที่นั่นรึเปล่า ถ้าอยู่ บอกด้วยว่าไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก”
แจ่มรีบรายงาน “คุณชูนามอยู่ที่นี่ค่ะ”
ปานรุ้งมองแจ่มทันที
“อะไรนะ ชูนามกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมากลับมาตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ แล้วสั่งทุกคนว่าถ้าใครถามหา ให้บอกว่าคุณชูนามไม่อยู่”
ปานรุ้งฟังที่แจ่มพูดด้วยสีหน้าสงสัย ส่งลูกให้น้อย แล้วเดินขึ้นห้องไปหาชูนามทันที

ปานรุ้งเดินเข้าห้องมา พบว่าทั้งห้องถูกปิดม่านจนมืดสนิท เหมือนชูนามกลัวคนข้างนอกจะเห็นว่าอยู่ในห้อง ปานรุ้งเดินไปเปิดผ้าม่านให้แสงเข้า แล้วหันไปเห็นชูนามนั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่ข้างเตียงด้วยอาการหวาดกลัว ก็ตกใจ
“ชูนาม คุณนั่งทำไมตรงนั้น”
ชูนามค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นว่าเป็นปานรุ้งก็รีบคลานเข้าไปกอดขายึดเป็นที่พึ่งอย่างคนอับจนหนทาง
“รุ้ง คุณต้องช่วยผมนะ ผมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ทุกคนใส่ร้ายผม”
ปานรุ้งงง “ใครใส่ร้ายอะไรคุณ”
“เรื่องเรือขนของเถื่อนกับเรื่องวิศวกรตายไง มีคนใส่ความว่าผมทำ”
ปานรุ้งมองชูนามอย่างตื่นตะลึง “อะไรนะ”
ชูนามรีบแก้ต่าง “ผมไม่รู้เรื่อง คืนที่คุณคลอด ผมอยู่กับแม่ของผมจริงๆ แล้วเมื่อวานที่ผมรีบมา เพราะผมจะมาซื้อของมาตกแต่งห้องเซอร์ไพรส์คุณกับลูก”
ชูนามลุกขึ้นไปที่เตียงนอนของลูกที่มีตุ๊กตาผูกห้อยมากมาย
“นี่ไง ผมไปซื้อตุ๊กตามาจัดเตียงไว้รอรับลูกกับคุณ แต่ผมกลับได้ข่าวว่าคนที่สมุทรเทวาใส่ร้ายว่าผมเป็นคนทำทั้งหมด”
ปานรุ้งไม่เชื่อ “ไม่จริง เขาจะมาใส่ร้ายคุณทำไม ใครๆ ก็รู้ว่าคุณเป็นถึงลูกเขยนายแม่”
“ก็นายแม่ไง ที่สั่งให้ทุกคนใส่ร้ายผม คุณก็รู้ว่านายแม่เกลียดผม ถ้าโยนความผิดให้ผม สมุทรเทวาก็ไม่มีความผิด แถมยังกำจัดผมไปได้” ชูนามเข้ามาคุกเข่ากอดปานรุ้งแน่น “นายแม่กำลังทำลายครอบครัวของเรานะรุ้ง”
ยังไม่ทันที่ปานรุ้งจะพูดอะไรต่อ น้อยวิ่งเข้าห้องมาด้วยท่าทางตกใจ
“คุณหนูคะ ตำรวจมาค่ะ”
ชูนามตื่นตระหนก กอดขาปานรุ้งแน่น
“รุ้งช่วยผมด้วยนะ อย่าให้ตำรวจจับผม ผมไม่ผิด ผมไม่อยากเข้าคุก ผมอยากอยู่กับลูก ! อยู่กับคุณ”
ตำรวจ 4 นายเดินเข้ามา ตำรวจ 1 ท่าทางเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น
“ผมอนุญาตเชิญตัวคุณ ชูนาม ดิเรกวิทยา ไปสถานีตำรวจ เนื่องจาก คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยขนของเถื่อนและฆาตกรรวิศวกรทั้งสองคนครับ”
ปานรุ้งอึ้ง!

ตำรวจจับแขนชูนามคนละข้างเพื่อให้เดินลงบันไดมา ชูนามพยายามดิ้นรนขัดขืนและร้องโวยวายไม่ยอมไป ปานรุ้งรีบเดินตามมา
เกื้อ น้อย และแจ่มยืนมองเหตุการณ์อย่างตะลึงตะไล
“ปล่อยผม ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้เรื่อง ปล่อยผม”
ปานรุ้งเดินมายืนขวางหน้าตำรวจ พร้อมกับพูดอ้อนวอนขอร้อง
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณตำรวจ สามีดิฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ปล่อยเขาเถอะนะคะ”
ตำรวจ1บอก “ถูกหรือผิด ไปคุยกันที่โรงพักครับ”
ตำรวจลากชูนามออกไป ชูนามขืนตัวพยายามดิ้นหนีไม่ยอมไป หันมาขอร้องปานรุ้ง
“รุ้ง รุ้งช่วยผมด้วย”
ปานรุ้งหันไปอุ้มลูกจากน้อย แล้ววิ่งมายืนขวางตำรวจ
“ฉันขอร้องล่ะค่ะ เราเพิ่งมีลูก เราเพิ่งสร้างครอบครัว ถ้าไม่เห็นแก่ฉัน ก็ขอให้เห็นแก่เด็กตาดำๆ ที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยแต่กลับต้องขาดพ่อ”
ตำรวจไม่ฟังหิ้วปีกชูนามจะออกจากบ้านไป
ปานรุ้งที่เคยหยิ่งในศักดิ์ศรี ยอมคุกเข่าลงตรงหน้าตำรวจ เกื้อ น้อย และแจ่ม มองปานรุ้งด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง
“คุณหนู”
“ขอร้องล่ะค่ะ อย่าจับสามีดิฉันไปนะคะ ลูกดิฉันต้องการพ่อ”
ตำรวจ 1 มองปานรุ้ง สงสารแต่ช่วยไม่ได้
“ขอโทษนะครับ เราต้องทำตามหน้าที่”
ตำรวจรวบตัวชูนามเดินผ่านหน้าปานรุ้งไป ชูนามสะบัดตัวเต็มแรงหลุดจากการจับกุม ยื่นมือมาจับมือปานรุ้งไว้ยึดเป็นที่พึ่ง
“รุ้ง รุ้งช่วยผมด้วย คุณตำรวจปล่อยผม ผมจะอยู่กับลูกกับเมียผม ปล่อย”
ตำรวจไม่ปล่อย กลับล็อคแขนชูนามให้เดินไป ปานรุ้งอุ้มลูกด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกข้างจับมือชูนามไว้แน่น
“ชูนาม”
ชูนามจับมือปานรุ้งไว้ “รุ้ง”
ตำรวจพาชูนามเดินออก ในขณะที่ปานรุ้งพยายามจับมือชูนามไว้ สุดท้ายมือชูนามกับมือปานรุ้งหลุดจากกัน
ปานรุ้งจะลุกขึ้นวิ่งตามตำรวจกับชูนาม แต่เจ็บแผลที่เพิ่งคลอด จนล้มลงกับพื้น เกื้อกับน้อยเข้ามาประคองปานรุ้ง แจ่มมองสถานการณ์เห็นท่าไม่สู้ดี หนีไปส่งข่าวใหญ่ที่ครัวดีกว่า
ปานรุ้งมองชูนามที่ถูกตำรวจยัดใส่รถ แล้วขับออกไป
ปานรุ้งหันมาทางเกื้อ “พาฉันไปหานายแม่เดี๋ยวนี้”

เรือทุกลำถูกจอดสนิทที่ท่า คนงานที่เคยคึกคักขนของขึ้นเรือ กลับนั่งจับเจ่า ไม่มีงานให้ทำสภาพสมุทรเทวาที่เคยคึกคัก ตอนนี้ซบเซา
คมขวัญยืนมองความเงียบเหงาของท่าเรือสมุทรเทวาอย่างเจ็บปวด ปริญญาเดินเข้ามาหาคมขวัญด้วยท่าทางร้อนใจ
“ผมได้ข่าวมาว่าพวกมิสเตอร์เจสันกับคณะกรรมการแอบนัดประชุมกัน มันคงหาทางบีบคุณนายออกจากตำแหน่งประธาน...ผมไม่เคยเห็นใคร ลอบกัดได้ระยำเท่าพวกมันเลย”
“ใจเย็นๆ ปริญญา ไม่มีปัญหาไหน ไม่มีทางแก้ แล้วคดีของชูนาม เป็นยังไงบ้าง”
ปานรุ้งอุ้มปานเทพเข้ามาหาคมขวัญ โดยมีเกื้อกับน้อยที่ถือตะกร้าใส่ของของ ปานเทพเดินตามมา คมขวัญกับปริญญายังไม่เห็นปานรุ้ง
“หลักฐานมัดตัวแน่นครับ ทั้งสีที่ติดอยู่กับต้นไม้ตรงที่เกิดเหตุ กับสีรถของคุณชูนาม ต่อให้คุณชูนามเอารถไปทำสีใหม่ ก็ไม่รอดอยู่ดี เพราะยังมีคำให้การของเกื้อที่ยืนยันว่าคืนที่คุณรุ้งคลอด คุณชูนามไม่ได้อยู่กับคุณร้อยกรองอีก”
พอปานรุ้งรู้ว่าเกื้อก็ช่วยเป็นพยานให้ตำรวจก็นิ่งงันไป
เกื้อชะงัก มองอย่างพะวงว่าปานรุ้งจะโกรธตัวเองไหม
ปานรุ้งถากถางขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ทำงานกันเป็นทีมดีนะคะ”
คมขวัญหันไปมองปานรุ้งอย่างตกใจ ไม่คิดว่าปานรุ้งจะมา และไม่อยากให้ปานรุ้งมาเห็นสมุทรเทวาที่กำลังซบเซาเช่นนี้ ไม่อยากให้ลูกรับรู้ปัญหา
“รุ้ง มาที่นี่ทำไม”
“ก็มาดูกิจการสุดที่รักของนายแม่ไงคะ” ปานรุ้งมองไปยังท่าเรือสมุทรเทวาอันยิ่งใหญ่ “ยิ่งมอง มันยิ่งใหญ่จริงๆ นะคะ ใครครอบครอง บ่งบอกว่ามีอำนาจมาก แล้วถ้าคนหลงอำนาจ ก็คงไม่แปลกที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษา อำนาจนั้นไว้”
คมขวัญฉงน “รุ้งกำลังพูดอะไร”
“นายแม่ไม่ให้ความรักกับรุ้ง รุ้งไม่ว่า รุ้งสร้างเองก็ได้ ตอนนี้รุ้งมีคนที่รุ้งรักและเขาก็รักรุ้ง เรากำลังมีลูก เรากำลังสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ ทุกอย่างมันกำลังพัง เพราะความบ้าอำนาจของนายแม่”
ปริญญาทนไม่ไหวแล้ว “คุณปานรุ้ง”
ปานรุ้งพูดต่ออย่างไม่แคร์ “แม่เคยทำลายหัวใจของรุ้ง เพื่อทำให้สมุทรเทวาเจริญรุ่งเรือง แล้วมันจะแปลกอะไร” ปานรุ้งชูทารกปานเทพให้คมขวัญมองชัดๆ “ถ้าวันนี้แม่จะทำลายหัวใจเด็กคนนี้ เขาคลอดมาได้ 4 วัน เขามีพ่อแค่ 4 วัน หลังจากนี้พ่อเขาต้องติดคุกเพื่อยาย”
คมขวัญเข้าไปจับมือลูก “ฟังแม่หน่อยสิรุ้ง แม่ไม่เคย”
ปานรุ้งสะบัดมือสุดแรง จนคมขวัญเซล้มลงกับพื้น เกื้อกับปริญญารีบเข้าไปประคอง
“รุ้งไม่ฟัง” ปานรุ้งมองคมขวัญนิ่งๆ “รุ้งเกลียดนายแม่ รุ้งไม่น่าเกิดมาเป็นลูกนายแม่เลย”
ปานรุ้งอุ้มลูกเดินออกไป น้อยมองคมขวัญอย่างพะว้าพะวง แล้วรีบเดินตามปานรุ้งไป
คมขวัญมองตามปานรุ้งด้วยความเจ็บปวด หันไปบอกเกื้อ
“เกื้อ รีบตามไปดูแลรุ้ง ไม่ต้องห่วงฉัน”
เกื้อมองคมขวัญอย่างเป็นห่วง ก่อนจะลุกขึ้นตามปานรุ้งไป

ปานรุ้งอุ้มทารกน้อยปานเทพเดินมาที่รถ น้อยเดินตามอย่างพะว้าพะวงยังห่วงคมขวัญเกื้อเดินตามมา
“คุณหนู คุณหนูไม่น่าพูดอย่างนั้นกับคุณนายเลยนะครับ คุณหนูรู้ไหมว่ามันทำให้คุณนายเสียใจขนาดไหน”
“แล้วสิ่งที่แม่ทำกับฉันล่ะ ลูกทำแม่เจ็บ ลูกควรรู้สึกผิด แล้วทีแม่ทำลูกเจ็บ แม่ควรรู้สึกผิดบ้างไหม”
“แล้วคุณหนูคิดว่าคุณนายใส่ความคุณชูนามจริงๆ เหรอครับ” เกื้อโมโหจนเผลอตัวเสียงดังขึ้น “คุณหนูคิดว่าคุณชูนามไม่ผิดจริงๆ เหรอครับ”
“สิ่งที่ฉันรู้ตอนนี้ คือ...” ปานรุ้งก้มมองลูก “ชีวิตของเด็กคนนี้ต้องมีพ่อเขาจะต้องมีชีวิตที่สมบูรณ์ ฉันจะไม่ยอมให้เขาขาดเหมือนอย่างที่ฉันเป็น ฉันทำทุกอย่างเพื่อปกป้องครอบครัวของฉัน และฉันจะไม่ร้องขอ ความช่วยเหลือจากใครอีกแล้ว แม้แต่เธอ”
เกื้อไม่โกรธกรธมองปานรุ้งอย่างอ้อนวอน “คุณหนู ...
ปานรุ้งมองเกื้ออย่างเจ็บปวด “ฉันคิดว่าเธอจะคอยอยู่เคียงข้างฉันจริงๆ เสียอีกนะเกื้อ แต่สุดท้าย เธอก็ไม่ต่างจากแม่ ที่ทำเป็นดีแต่พกมีดไว้แทงหัวใจฉัน”
เกื้อปลอบประโลม “คุณหนูได้โปรดฟังผมก่อน ในชีวิตของผม สิ่งที่ผมไม่มีวันทำคือทำให้คุณหนูเสียใจ”
“แต่วันนี้เธอทำแล้วเกื้อ เธอไม่ใช่แค่ทำร้ายฉัน แต่เธอฆ่าฉันกับลูกให้ตายทั้งเป็น”
“คุณหนู”
“ฉันเคยไว้ใจเธอ เชื่อใจเธอ คิดว่าเธอคือเพื่อนที่ดีที่สุด คือคนที่รู้จักฉันดีกว่าใคร แต่วันนี้ ความไว้ใจนั้น มันหมดแล้ว”
เกื้อเสียใจเหลือเกิน “คุณหนู”
“ถ้าสิ่งที่เธอไม่เคยคิดจะทำ คือทำร้ายฉัน สิ่งเดียวที่ฉันไม่เคยคิดจะทำคือไล่เธอไปจากชีวิตฉัน”
เกื้อใจหล่นวูบ ตะลึงมองปานรุ้งอย่างร้อนรนใจ “คุณหนู คุณหนูหมายความว่ายังไงครับ”
“ไปซะเกื้อ ไปจากชีวิตฉัน ฉันขอไล่เธอออก อย่ากลับมาเหยียบสมุทรเทวาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
น้อยตกใจ “คุณหนู อย่าไล่ไอ้เกื้อออกเลยนะคะ มันรักและบูชาคุณหนูมากนะคะ”
“คุณหนู ผมขอโทษที่ผมให้การกับตำรวจ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณหนูเสียใจ ผมไหว้ล่ะครับ” เกื้อคุกเข่าลง “ให้ผมได้อยู่รับใช้คุณหนู อย่าไล่ผมไปเลยนะครับ” พลางก้มลงเอื้อมมือไปจับเท้าปานรุ้งอย่างอ้อนวอน “นะครับคุณหนู”
ปานรุ้งมองเกื้ออย่างเจ็บปวด “ถ้าคนๆ นั้นไม่ใช่เธอ ฉันคงไม่เจ็บอย่างนี้ ถ้าเธอยังจงรักภักดีกับฉัน ฉันขอสั่งให้เธอไป ให้ฉันอยู่กับความทรงจำกับเพื่อนที่แสนดี ไม่ใช่เพื่อนทรยศ”
ปานรุ้งเดินผ่านเกื้อที่ยังก้มกราบอยู่ เดินไปอย่างไร้เยื่อใย ส่งทารกปานเทพให้น้อยอุ้ม ขึ้นไปสตาร์ตเครื่องขับรถด้วยตัวเอง น้อยอุ้มปานเทพแล้วหันมามองเกื้ออย่างเสียใจ
“เกื้อ”
ปานรุ้งบีบแตรเร่งน้อยให้รีบขึ้นรถ น้อยมองเกื้ออีกที แล้วตัดสินใจอุ้มปานเทพขึ้นรถไป ปานรุ้งขับรถออกไป

เกื้อค่อยๆ เงยหน้านองน้ำตาขึ้นมา มองตามปานรุ้งที่ขับรถแล่นห่างออกไป ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด หัวใจภักดีของคนรถหนุ่มภินท์พังไม่เป็นชิ้นดี

อ่านต่อตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น