บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 5
เช้าวันถัดมา หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ชื่อดังแทบทุกฉบับ ประโคมข่าวพาดหัวนำเสนอข่าวใหญ่ข่าวหลักในท่วงทำนองเดียวกัน และมีรูปประกอบข่าว เป็นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นรักในสนามม้าเมื่อวานนี้ที่ถูกแอบถ่ายไว้
โดยฉบับที่ 1 พาดหัวว่า “ทายาทสมุทรเทวาถอนหมั้นกลางสนามม้า”
ฉบับที่ 2 พาดหัวเบาๆ แต่เห็นภาพชัด “ศึกชิงนางกลางสนามม้า”
ส่วน ฉบับที่ 3 พาดหัวว่า “ทหารเรืออกหัก วืดรักฟาดปากกันชุลมุน”
และ ฉบับที่ 4 บอกคนอ่านว่า “สาวสังคมชื่อดัง ตีจากทหารเรือ โผซบอกคาสโนว่า”
แหละหนังสือพิมพ์หัวเขียวชื่อดัง 1 ใน 4 ฉบับ ดังกล่าว ถูกคมขวัญปาทิ้งลงพื้นห้องโถงบ้านสมุทรเทวา พร้อมกับตวาดน้อยและเกื้อ
“ฉันให้พวกเธอเฝ้ารุ้งไว้ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ได้ ห๊า”
คมขวัญเอนตัวพิงพนักโซฟา หน้ามืด เหมือนจะเป็นลม
ปริญญากับน้อยที่ยืนข้างๆ รีบเข้าไปดูคมขวัญด้วยความห่วงใย
“คุณนายคะ คุณนายเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
คมขวัญหายใจไม่ค่อยออก ยกมือจับหน้าอกเหมือนเจ็บหัวใจ
“ไปเอายาในกระเป๋าของฉันสิน้อย เร็ว”
“ค่ะๆ คุณนาย” น้อยวิ่งลนลานไปเอายา
คมขวัญมองหนังสือพิมพ์ที่เพิ่งปาทิ้งด้วยความชอกช้ำใจ
“ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้”
ปริญญาเข้าไปยืนข้างๆ ด้วยความเห็นใจ “คุณนาย...”
“บอกฉันทีสิปริญญา…ว่ามันไม่จริง”
เรือโทวาสุเทพนั่งเครียดอยู่ในห้องนอนที่บ้าน จมอยู่กับความเศร้าเพียงลำพัง ตั้งแต่เช้ายันค่ำ คุณหญิงสุดใจเข้ามาหา เดินไปนั่งข้างๆ พร้อมกับกอดปลอบลูกชายสุดที่รัก
“อย่าเสียใจไปเลยลูก คิดซะว่าดีแล้วที่ลูกเห็นเนื้อในของผู้หญิงคนนั้น ก่อนที่แต่งกันไป แม่บอกแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คู่ของลูก ลูกชายของแม่เป็นเพชร ก็ต้องคู่กับเพชร
คนอื่นๆ เครียด และเศร้า แต่ไม่ใช่ สองคนนี้ ชูนามกำลังชนแก้วฉลองอยู่กับกติยาที่ไนต์คลับประจำ ท่ามกลางนักเที่ยวหนาตา
“ผมดีใจด้วย ในที่สุดคุณก็ได้คู่หมั้นคืน ส่วนผม ก็จะได้เป็นว่าที่ลูกเขยเศรษฐี” ชูนามทนดีใจไม่ไหวหันไปตะโกนบอกผู้คนรอบๆโต๊ะ “เอ้า คืนนี้ใครอยากเมา เมาเลย อั๊วเลี้ยงเอง”
ผู้คนในไนต์คลับเฮลั่นดีใจ ชูนามดื่มและเต้นกับนักเที่ยวอย่างสนุกสนาม กติยาดื่มเครื่องดื่มด้วยสีหน้ามีสุขสม
วันถัดมา คมขวัญเข้าออฟฟิศสมุทรเทวาเดินเรือแต่เช้า เวลานี้ โยนหนังสือพิมพ์ที่เล่นข่าวรักร้าวของปานรุ้งและวาสุเทพ ต่อ อย่างไม่พอใจ
“ฉันไม่ยอมให้ชีวิตลูกสาวฉันไปจมปลักกับไอ้กุ๊ยพรรค์นั้นเด็ดขาด” คมขวัญหันมาทางเลขาคู่ใจ “ปริญญา”
“ครับคุณนาย”
“ไปติดต่อนักข่าวทุกที่มาหาฉันด่วน”
ปริญญากับเกื้อเหลียวมองคมขวัญ นึกสงสัยว่าประมุขสมุทรเทวาจะแก้เกมอย่างไร
ตกตอนบ่าย คมขวัญเปิดห้องประชุมที่บริษัทให้สัมภาษณ์นักข่าว เปิดใจเรื่องงานแต่งของลูกสาว ปริญญาและเกื้อยืนมองคมขวัญอยู่
มันได้กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเช้าวันต่อมา ผู้คนยืนรอรถเมล์โดยสารกันเนืองแน่น เด็กชายถือหนังสือพิมพ์พร้อมตะโกนขายข่าวดังเสียงดังลั่น
“ข่าวหน้าหนึ่งวันนี้ คุณนายเจ้าท่าออกโรงปฏิเสธรักร้าวลูกสาวจ้า”
คุณหญิงสุดใจอ่านข่าวนั้นอยู่ในห้องรับแขกที่บ้าน สีหน้าเครียดเคร่งเขม็งเกลียวจนขยำหนังสือพิมพ์เล่มนั้นอย่างไม่พอใจ
และทำให้บริเวณสนามหญ้าในสวนสวยของบ้านนทีพิทักษ์ ได้ให้การต้อนรับกองทัพนักข่าว ที่มาฟังคุณหญิงสุดใจนั่งเก้าอี้ให้สัมภาษณ์หมดเปลือก
แน่นอนว่า เป็นคนละมุม คนละทิศ กับ คมขวัญ สมุทรเทวา
ภายในสถานีรถไฟแห่งนั้น ผู้คนพลุกพล่านพอสมควร เด็กหญิงถือหนังสือพิมพ์เร่ขายให้คนที่ยืนรอรถไฟ พร้อมกับตะโกนขายข่าวหน้าหนึ่ง
“ข่าวหน้าหนึ่งวันนี้...ทหารเรือเล่นตัว ไม่มีงานแต่งจ้า”
อีกวันคมขวัญให้ปริญญานัดนักข่าวมาแก้ต่าง นั่งให้สัมภาษณ์อยู่ในโถงบ้านสมุทรเทวาปริญญาและเกื้อยืนมองคมขวัญอยู่
เช้านี้ ที่ย่านใจกลางกรุงเทพฯ ผู้คนยืนรอรถโดยสารเนืองแน่น เด็กชายถือหนังสือพิมพ์พร้อมตะโกนขายข่าวขายหนังสือพิมพ์ว่า
“ข่าวหน้าหนึ่งวันนี้...คุณนายเจ้าท่ายืนยัน หนุ่มเพลย์บอยปิ๋ว ทหารเรือมาวิน วางเพลงอัญเชิญพระราชนิพนธ์วิวาห์พระสมุทร เล่นฉลองงานสมรสบนเรือจ้า”
คุณหญิงสุดใจหรือจะยอมอยู่เฉย นัดนักข่าวราว 15 คนมาโต้กลับ โดยบ่ายวันนี้ คุณหญิงสุดใจนั่งที่เก้าอี้กลางสนามหญ้าในสวนสวย ให้สัมภาษณ์นักข่าว
รุ่งเช้า เด็กหญิงถือหนังสือพิมพ์เร่ขายให้คนที่ยืนรอรถไฟ พร้อมกับตะโกนขายข่าวหน้าหนึ่งจากการแถลงโต่ของคุณหญิงสุดใจ
“ข่าวหน้าหนึ่งวันนี้...คาสโนว่ามีลุ้น แม่ทหารเรือประกาศกร้าว ไม่เค้นขอลูกสาวใคร ส่อท่าวิวาห์ล่ม คุณนายเจ้าท่าหน้าแตกจ้า”
ตอนเช้าอีกวันหนึ่ง คมขวัญกับปริญญาพากันมานั่งรอพบโกศล ที่โถงบ้านโกศลสักครู่ใหญ่แล้ว
จนเด็กรับใช้เดินเข้ามาหา
“ขอโทษนะคะ ท่านสั่งให้มาบอกว่า เชิญคุณกลับไปก่อน ตอนนี้ท่านงานยุ่ง เมื่อมีเวลา ท่านจะโทรไปหาค่ะ”
คมขวัญมองหน้าปริญญาอย่างรู้กันว่าโกศลกำลังหลบหน้า
คมขวัญหันไปบอกสาวใช้ “ไปบอกท่านได้ไหม ว่าฉันพบท่านไม่นาน แค่ 5 นาที
เท่านั้น”
คุณหญิงสุดใจเดินปร๋อเข้ามาพอดี
“ต่อให้แค่ 1 นาที คนในครอบครัวฉันก็ไม่มีเวลาให้พวกคุณ”
คมขวัญพยายามอธิบาย “คุณหญิง กรุณาฟังก่อน”
คุณหญิงสุดใจสวนทันควัน “ฉันไม่ต้องการจะฟังอะไรอีกแล้ว ลูกสาวคุณมันเน่าเฟะสกปรกยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้ว ความจริง จะเทียบกับผ้าขี้ริ้วก็คงไม่ได้เพราะเสื้อผ้าเก่าๆ มันยังเอาไปแลกไข่ได้ แต่สำหรับลูกสาวคุณเอาไปแลกอะไรไม่ได้เลย”
คมขวัญยืนกล้ำกลืนฝืนทนให้คุณหญิงสุดใจก่นด่า แต่ปริญญาทนไม่ไหว
“ไม่พูดเกินไปหน่อยเหรอครับคุณหญิง”
“นี่ฉันถือว่ายังปราณี ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ฉันคงเปรียบเทียบไปยังรุ่นพ่อ รุ่นแม่ด้วย”
ปริญญาโกรธมาก เสียงขุ่นเขียว “คุณหญิงครับ”
คุณหญิงสุดใจไม่สนใจเสียงปริญญา “ฉันเคยบอกลูกเสมอ ว่าเพชรย่อมคู่กับเพชร ของกากๆ ก็ต้องคู่กับของกากๆ ยินดีด้วยนะคุณคมขวัญ กับว่าที่ลูกเขยที่เหมาะสมกับลูกคุณ” คุณหญิงหันไปสั่งสาวใช้ “บานชื่น ส่งแขก แล้วพูดย้ำกับแขกด้วยว่าวันหลังไม่ต้องมาอีก ที่นี่ไม่มีผลประโยชน์อะไรให้แล้ว”
คุณหญิงสุดใจเดินเชิดหน้าเข้าไปด้านในบ้าน คมขวัญยืนข่มความเจ็บปวดกับคำพูดเหยียดเย้ยหยามหยันของคุณหญิงสุดใจ
ถัดจากนั้นคมขวัญเข้าสำนักงานสมุทรเทวาเดินเรือทันที ปริญญายื่นแก้วน้ำให้ คมขวัญรับมากินยา แล้วลงนั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จู่ๆ มีคนงาน 1 เปิดประตูห้องคมขวัญพรวดพราดเข้ามา
“คุณนายครับ” พร้อมกับถลันไปคุกเข่าตรงหน้าคมขวัญ “ผมกราบขอร้องล่ะครับ อย่าไล่ผมออกจากงานเลยครับ เมียผมกำลังท้อง ลูกผมกำลังเรียน ลูกคนเล็กก็ไม่สบาย ถ้าผมไม่มีงาน เมียกับลูกผมจะเอาที่ไหนกิน”
คมขวัญมองคนงาน 1 อึ้งๆ งงๆ แต่ไม่ทันไร ก็มีคนงาน 2 วิ่งเข้ามากอดขาคมขวัญ พูดอ้อนวอนอย่างน่าเวทนาอีกคน
“คุณนายอย่าไล่ผมออกเลยนะครับ แม่ผมกำลังจะตาย ผมต้องหาเงินไปรักษาแม่ ผมกราบล่ะครับ อย่าไล่ผมออกเลย”
คมขวัญอึ้งหนัก “นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ปริญญาตะโกนไปทางประตู เรียกคนงานคนอื่นมาลากคนงาน 2 คนออกไป
“เฮ้ย ใครก็ได้ ลากไอ้สองคนนี่ออกไปที”
คนงาน 2 คน วิ่งเข้ามาดึงตัวคนงาน1 กับคนงาน 2 พาออกจากห้องคมขวัญไป สองคนงานยังคงพูดอ้อนวอนคมขวัญไม่เลิกรา
“คุณนายได้โปรดเถอะครับ พวกเราจงรักภักดีกับคุณนายมานาน อย่าไล่พวกเราออก”
“ออกไปได้แล้ว”
ปริญญาดันตัวคนงาน 2 คนออกจากห้องไปแล้วปิดประตู พอหันมา เห็นคมขวัญมองอยู่อย่างเอาเรื่อง
“ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องว่าไล่คนงานออก”
“เพราะผมรู้ว่าคุณนายไม่ยอมทำ”
“ใช่ ฉันไม่ทำแน่”
“แต่ตอนนี้เราต้องทำแล้วครับคุณนาย ถึงเรายังรักษาลูกค้าบางส่วนได้ แต่ค่าเดินทาง ค่าดูแลสินค้า ค่าน้ำมัน เราไม่มีเงินมากพอที่จะจ้างคนงานอย่างเดิม”
คมขวัญฟังแล้วเครียด “แล้วไล่ออกไปเท่าไร”
“อย่างน้อย 100 คนครับ”
คมขวัญตกใจมาก “อะไรนะ”
“แล้วถ้าคุณโกศลยังหลบหน้าไม่ช่วยเราเรื่องเงินกู้ เราอาจต้องขายเรือเพื่อพยุงสมุทรเทวาครับ”
คมขวัญเครียดหนัก ร่างเซซังไปพิงกับพนักเก้าอี้ คิดถึงคำพูดดูถูกของคุณหญิงสุดใจขึ้นมาอีก
“ฉันเคยบอกลูกเสมอ ว่าเพชรย่อมคู่กับเพรช ของกากๆ ก็ต้องคู่กับของกากๆ ยินดีด้วยนะคุณคมขวัญ กับว่าที่ลูกเขยที่เหมาะสม”
“ฉันจะไม่ยอมให้ลูกและสมุทรเทวาต้องจบลงอย่างนี้ ฉันยอมไม่ได้”
คมขวัญเครียดจนแน่นหน้าอกขึ้นมา ปริญญาเห็นอาการคุณนายก็ถลาเข้าไปหาอย่างตกอกตกใจ
“คุณนายครับ”
คมขวัญถึงมือหมอประจำตัวไม่นานถัดมา หมอและพยาบาลมองคมขวัญที่ดูอิดโรย ทรุดโทรม นอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีขวดน้ำเกลือห้อยระโยงรยางค์อยู่ หมอถอนใจที่คมขวัญไม่ฟังคำเตือนของตัวเอง ก่อนจะหันไปมองตำหนิปริญญา ที่ยืนรออยู่มุมห้อง
“ผมเตือนแล้วใช่ไหมว่าช่วงนี้อย่าให้คุณคมขวัญเครียดมากนัก”
ปริญญาหนักใจ “คุณหมอก็รู้ว่าไม่มีใครห้ามคุณนายทำงานได้”
คมขวัญพูดในอาการสะลึมสะลือ “ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกหมอ ก็แค่เพลียๆ”
หมอมองคมขวัญด้วยสีหน้าหนักใจ “คุณรู้อยู่แก่ใจนะคุณคมขวัญ ว่าร่างกายคุณกำลังแย่ ร่างกายคุณต้องการพัก ควรให้ลูกสาวคุณมาช่วยแบ่งเบางานได้แล้ว”
คมขวัญไม่อยากฟัง “ถ้าหมออยากให้ฉันพัก หมอก็ออกไป...ฉันจะได้นอน”
หมอถอนใจ “ตั้งแต่ผมเป็นหมอมา 30 กว่าปี นอกจากคุณพิรุณสามีคุณ ก็คุณนี่แหละ ที่เถียงหมอทุกคำ ยังไงคืนนี้คุณต้องพักที่นี่เดี๋ยวตอนเย็นผมจะมาตรวจอีกที”
หมอกับพยาบาลเดินออกไป
คมขวัญพูดกำชับปริญญา “ปริญญา ไปบอกกอบให้กลับบ้านตามปกติถ้าใครถาม ก็บอกว่าฉันไปดูงานต่างจังหวัด ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่า ฉันป่วย โดยเฉพาะปานรุ้ง”
ปริญญานิ่งฟัง ในใจคิดบางอย่าง
ปริญญาเดินออกจากห้องพักฟื้นคมขวัญ ตรงไปหากอบที่นั่งรออยู่
“นายกอบ”
กอบรีบลุกขึ้นมาหาสีหน้าห่วงใย “คุณนายเป็นยังไงบ้างครับ”
“นายกอบกลับไปบ้านนะ แล้วบอกคุณปานรุ้งด้วยว่า...”.
ปริญญาชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ตัดสินใจแล้วว่า มีเพียงวิธีนี้จะทำให้สมุทรเทวายังอยู่รอด
ปานรุ้งเดินลงบันไดมา แต่งตัวสวยเปรี้ยวเตรียมตัวไปเที่ยว น้อยนั่งที่ขั้นบันไดขัดรองเท้ารอท่า เกื้อวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา
“คุณหนูครับ คุณหนูครับ”
ปานรุ้งตกใจน้ำเสียงเกื้อ เลยตวาดอย่างหงุดหงิด “เป็นบ้าอะไรน่ะเกื้อ เสียงดังซะฉันตกใจหมดเลย”
“คุณนายครับ”
น้อยเองพลอยหน้าตาตื่นตกใจไปด้วย “คุณนายทำไมเกื้อ”
“พ่อบอกว่าคุณนายนอนอยู่โรงพยาบาลครับ”
ปานรุ้งอึ้ง นิ่งงันไป
คมขวัญในสีหน้าอิดโรยสภาพทรุดโทรมถนัดตา นอนหลับอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงรยางค์อยู่ตรงแขน ปริญญายืนรอการมาถึงปานรุ้งมาอยู่มุมห้อง
ปานรุ้งเปิดประตูเข้ามา มีเกื้อตามหลัง สาวนักเรียนนอกมาดมั่นมองคมขวัญที่นอนแบบอยู่บนเตียงแล้วต้องชะงัก ด้วยไม่เคยเห็นสภาพมารดาที่ดูทรุดโทรมมากมาย อย่างนี้มาก่อน
“นายแม่”
เสียงของปานรุ้ง ทำให้คมขวัญลืมตาขึ้นมองด้วยสีหน้าตระหนกระคนประหลาดใจ
“รุ้ง” คมขวัญเหลียวไปมองปริญญาเป็นเชิงตำหนิ “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้บอกรุ้ง”
ปริญญาจงใจให้ปานรุ้งมาเห็นสภาพคมขวัญป่วยหนัก เพื่อปานรุ้งจะได้สำนึก และทำอะไรเพื่อคมขวัญบ้าง
“ผมว่าคุณรุ้งควรรู้บ้างว่า สถานการณ์คุณนายกำลังแย่ขนาดไหน”
คมขวัญมองเลขา ปรามเสียงเข้มอย่างรู้ทัน “ปริญญา”
ปานรุ้งมองปริญญาที มองคมขวัญที อย่างสงสัย “นายแม่เป็นอะไรมากเหรอคะ”
ปริญญารีบพูด “คุณนายร่างกายอ่อนแอและเครียดมาก ท่านจึงเป็นลมครับ”
คมขวัญเสียงดังกว่าเก่า “พอได้แล้วปริญญา”
“ขอโทษครับคุณนาย แต่ผมแค่อยากให้คุณปานรุ้งรู้ว่าสิ่งที่คุณรุ้งทำมันกระทบกับสมุทร...” ปริญญาจะพูดถึงสมุทรเทวา
คมขวัญขึ้นเสียงขัด “ฉันบอกให้พอไง”
ปริญญาชะงักค้างคำ ไม่พูดถึงสมุทรเทวา แต่พูดถึงอย่างอื่นแทน “มันกระทบกับจิตใจคุณนายมากนะครับ”
คมขวัญขึ้นเสียง “ออกไปได้แล้วปริญญา หมดหน้าที่เธอแล้ว”
ปริญญาพูดเป็นนัย “ผมขอโทษครับที่ขัดคำสั่งคุณนาย แต่นี่เป็นทางเดียว ที่คุณรุ้งจะช่วยคุณนายได้”
คมขวัญมองตามปริญญาที่เดินออกไปอย่างรู้ทัน
เกื้อมองปานรุ้งทีมองปริญญาที แล้วมองมายังคมขวัญอย่างไม่เข้าใจ
“มีอะไรที่รุ้งไม่รู้รึเปล่าคะนายแม่ ปริญญาต้องการให้รุ้งช่วยอะไร”
คมขวัญมองปานรุ้งนิ่ง คิดถึงภาพคนงานที่พากันมาคุกเข่าอ้อนวอนไม่อยากถูกไล่ออก ทั้งยังคิดถึงคำพูดของคุณหญิงสุดใจ และปริญญาที่ว่า
“ผมขอโทษครับที่ขัดคำสั่งคุณนาย แต่นี่เป็นทางเดียว ที่คุณรุ้งจะช่วยคุณนายได้”
“ฉันเคยบอกลูกเสมอ ว่าเพชรย่อมคู่กับเพชร ของกากๆ ก็ต้องคู่กับของกากๆ ยินดีด้วยนะคุณคมขวัญ กับว่าที่ลูกเขยที่เหมาะสม”
คมขวัญมองปานรุ้งนิ่งนาน สุดท้ายบอกไปว่า
“ปริญญาต้องการให้รุ้งอยู่ข้างๆ แม่ อยู่เป็นกำลังใจให้แม่”
พร้อมกันนั้นคมขวัญเอื้อมมือไปจับมือลูกสาวมากุม โดยปานรุ้งจับมือแม่ไว้
“นานเหลือเกิน ที่เราไม่ได้อยู่ลำพังสองคนอย่างนี้”
“เพราะแม่ต้องดูแลน้อง ดูแลบริษัท รุ้งเป็นคนสุดท้ายที่แม่นึกถึง” ปานรุ้งตัดพ้อ
“ไม่จริงหรอกลูก รุ้งเป็นคนแรกที่แม่คิดถึง แต่เพราะแม่เชื่อว่ารุ้งเก่ง รุ้งเข้าใจแม่ รุ้งจึงเป็นคนสุดท้ายที่แม่กอด”
ปานรุ้งยืนนิ่ง เก็บข่มความเจ็บปวดไว้ ไม่แสดงความอ่อนแอออกมา
“มันยังไม่สายไปใช่ไหม ที่แม่จะเริ่มต้นใหม่ จะพยายามเข้าหารุ้งมากขึ้น พยายามเติมเต็มในสิ่งที่อดีตแม่ละเลยจะให้รุ้ง”
ปานรุ้งนิ่งขึงไม่ตอบ เพราะกลัวว่าพูดแล้ว จะทำให้ตัวเองกลั้นสะอื้นไม่อยู่
“ขอให้รุ้งรู้ไว้ ว่าแม่รักรุ้ง ทุกอย่างที่แม่ทำ แม่ทำเพื่อรุ้ง เปี่ยมขวัญคือหัวใจ รุ้งคือชีวิตและลมหายใจของแม่ แม่ยอมแลกแม้แต่ชีวิต เพื่อให้รุ้งมีความสุข เฉพาะนั้น ตอนนี้แม่เห็นรุ้งกำลังจะเดินไปหาคนที่อาจทำให้ลูกทุกข์ แม่ถึงยอมไม่ได้”
ปานรุ้งเยาะ “ที่แท้ นายแม่ก็จะให้รุ้งเลิกกับชูนาม ชูนามไม่ดีตรงไหนคะ นายแม่”
“เขาอาจจะดี แต่ยังดีไม่พอสำหรับลูกสาวของแม่ ชีวิตของรุ้งจะรุ่งโรจน์ ถ้าได้คู่ชีวิตที่งามทั้งภายนอกและภายในอย่างคุณเทพ” คมขวัญกุมมือปานรุ้งแน่น “ได้โปรด คิดอีกครั้งเถอะนะลูก”
เกื้อมองลุ้นว่าคุณหนูของมันจะตอบคุณนายยังไง ทว่าปานรุ้งนิ่ง ไม่ตอบใดๆ
ปานรุ้งเดินลิ่วเข้ามาในโถงบ้าน ด้วยสีหน้าครุ่นคิด เกื้อเดินตามหลังมาตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“ตลอดเวลาที่คุณหนูไปเรียนเมืองนอก คุณนายเข้าไปนั่งในห้องของคุณหนูทุกวันเลยนะครับ”
ปานรุ้งชะงัก
“คุณนายรักและเป็นคิดถึงคุณหนูเสมอ”
“พอได้แล้ว เวลาที่ฉันต้องการได้ยิน กลับไม่มีใครพูด ทำไมตอนนี้ถึงมารุมพูดกันนักหนา”
“เพราะคนที่รักคุณหนู ไม่อยากให้คุณหนูเลือกคนผิดน่ะสิครับ” เกื้อพูดอย่างเจียมตัวในท่าทีเกรงใจ “ผมขอโทษครับ ที่บังอาจพูดเรื่องส่วนตัวคุณหนู แต่ผมแค่รู้สึกว่าคุณนายพูดถูก คุณวาสุเทพคือผู้ชายที่คุณหนูสามารถ วางชีวิตไว้ในมือได้”
“แล้วชูนามล่ะ ฉันวางชีวิตในมือเขาไม่ได้รึไง” ปานรุ้งย้อนแย้ง
“สำหรับผม ผมคิดว่าคุณชูนามเป็นผู้ชายที่ใช้ชีวิตเพื่อความสนุกเท่านั้น คุณหนูรู้สึกสนุกที่อยู่กับเขา แต่อาจจะไม่ได้รักก็ได้”
ปานรุ้งยิ้มยั่ว ล้อเกื้อ “ต๊าย...เกื้อผู้แสนซื่อ กลายเป็นผู้ช่ำชองความรักตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่ากำลังมีความรัก ถึงรู้จักมันดี”
เกื้อก้มหน้าปกปิดความรู้สึกไว้ ไม่ให้ปานรุ้งรู้ว่าคนที่เกื้อรักคือใคร
“ผมแค่พูดงูๆ ปลาๆ ตามหนังสือที่อ่าน แต่ถ้าพูดเพราะความรักคงเป็นคำพูดของคุณนาย” เกื้อพยายามเตือนสติปานรุ้ง “คุณนายรู้ว่าชีวิตมันไม่ใช่เรื่องสนุกแค่วันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่มันยาวไกลมากกว่านั้น คุณนายห่วงคุณหนูจริงๆ นะครับ”
ปานรุ้งมองเกื้อนิ่งๆ ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไร
กลับถึงบ้านคืนนั้น ปานรุ้งเดินเข้ามาในห้องนอนคมขวัญที่แทบไม่เคยเข้ามาเหยียบ มองไปรอบๆ ห้องแล้วชะงัก เพื่อพบว่าที่โต๊ะข้างเตียง มีกรอบรูปคมขวัญถ่ายคู่กับปานรุ้งตอนอายุราว 3 ขวบ ตอนนั้นยังไม่มีเปี่ยมขวัญ ปานรุ้งเดินไปหยิบรูปนั้นมาดู
รู้สึกดีใจที่แม่ยังคิดถึงตัวเองจริงๆ ปานรุ้งมองรูป แล้วตัดสินใจบางอย่าง
เช้าวันใหม่ ในครัวบ้านสมุทรเทวาคึกคักพอท้วมๆ ปิ่นกำลังจัดปิ่นโตใส่อาหารบำรุงของคมขวัญ เตรียมให้น้อยเอาไปให้ที่โรงพยาบาล
“เที่ยงนี้แกเอาอาหารพวกนี้ไปให้คุณนายนะน้อย อาหารโรงพยาบาลมันไม่อร่อย เดี๋ยวคุณนายกินน้อย จะยิ่งทรุดไปกันใหญ่”
ปิ่นยื่นเถาปิ่นโตให้น้อย จู่ๆ แจ่มเดินผ่ากลางระหว่างสองคนจงใจกวนประสาท
“ถอยหน่อยๆๆ คนกำลังรีบ” พลางตะโกนเรียกเร่ง “น้อย รีบเอาแบกฟัก ไปให้คุณหนูเร็ว”
น้อยมองงงๆ “อะไรวะพี่แจ่ม แบกฟัก”
แจ่มคุยโว “แกนี่ไม่รู้เรื่องเลย แบกฟักก็อาหารเช้าของฝรั่งไง”
ปิ่นหัวเราะลั่น “อาหารเช้าของฝรั่ง เขาเรียกเบรกฟาสต์เว้ย อยากกะแดะแต่ไร้ความรู้”
แจ่มเซ็ง
“เก็บอาหารของพี่ไปเถอะ คุณหนูออกไปแล้ว”
แจ่มงง “อ้าว คุณหนูออกไปแล้วเหรอ ออกไปไหนแต่เช้าวะ”
ในห้องพักพื้นเวลานั้น คมขวัญมองกอบอย่างตื่นเต้นดีใจ ปริญญาเองพลอยยิ้มชื่นดีใจไปด้วย
“อะไรนะกอบ”
กอบพูดอย่างดีใจ “เมื่อเช้าคุณหนูบอกให้ไอ้เกื้อพาไปหาคุณเทพที่บ้านครับ”
“แล้วรู้ไหมว่ารุ้งไปทำไม” คมขวัญถาม
“ไม่ทราบครับ แต่เท่าที่ผมเห็น คุณหนูดูอารมณ์ดี น่าจะเป็นเรื่องดีนะครับคุณนาย”กอบบอก
ปริญญาดีใจ “ขอให้คุณปานรุ้งคืนดีกับคุณเทพเถอะ ทั้งชีวิตของคุณรุ้งและอนาคตของสมุทรเทวาจะรุ่งเรืองขึ้น”
คมขวัญนึกภาวนาในใจ ขอให้เป็นอย่างที่ปริญญาพูด
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 5 (ต่อ)
เกื้อขับรถมาจอดหน้าบ้านนทีพิทักษ์ แล้วรีบลงมาเปิดประตู รอจนปานรุ้งลงจากรถ
กติยาซึ่งเพิ่งจะมาถึงก่อนไม่นานนัก ในมือถือตะกร้าใส่ขนม และกำลังจะเดินเข้าประตู เห็นปานรุ้งก็ชะงักหันมามอง
“ปานรุ้ง...เธอมาทำไม”
ปานรุ้งยิ้มทัก “รุ้งก็มาหาคู่หมั้นของรุ้งสิจ๊ะ”
“เธอจำอะไรผิดรึเปล่า เธอกับพี่เทพถอนหมั้นกันแล้ว”
“เธอนั่นแหละยาที่จำอะไรผิด รุ้งกับพี่เทพยังไม่ได้ถอนหมั้น” ปานรุ้งยกมือโชว์แหวนหมั้นที่นิ้วนางข้างซ้าย “เห็นไหม แหวนหมั้นยังอยู่ ที่ผ่านมา เราแค่ทะเลาะตามประสาคนรักกัน แล้วรุ้งก็กำลังมาง้อ”
ปานรุ้งยิ้มให้กติยาอีกที แล้วเดินเชิดหน้าเข้าบ้านไป กติยามองตามอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ไม่จริง เธอกลับมาหาพี่เทพไม่ได้” กติยารำพึงรำพัน
คุณหญิงสุดใจเดินตัดสนามหญ้ามาหากติยา มองไปทางปานรุ้งบอกว่า
“ใช่ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางกลับมาหาตาเทพได้อีก”
คุณหญิงเดินตามปานรุ้งเข้าไป กติยาเดินตาม
เกื้อมองตามอย่างเป็นกังวลว่าคุณหญิงสุดใจจะทำอะไร
พอปานรุ้งเดินเข้าห้องโถงมา เจ้าหล่อนสอดตามองหาวาสุเทพเสียงหวาน
“พี่เทพคะ...พี่เทพ”
เด็กรับใช้เดินออกมาจากด้านใน
“คุณเทพไม่อยู่ค่ะ ไปหาเพื่อนที่กรมอู่ทหารเรือค่ะ”
“ขอบใจนะ” ปานรุ้งหมุนตัวจะเดินออกไป
คุณหญิงสุดใจเดินเข้ามาจ้องหน้า มีกติยาเดินตามหลัง
“ฉันชื่นชมความพยายามของคุณคมขวัญจริงๆ ไปบ้านพี่ชายฉันไม่สำเร็จ ก็อุตส่าห์กล่อมให้ลูกสาวมาเข้าทางลูกชายฉันจนได้”
ปานรุ้งมองผู้พูดอย่างสงสัย “คุณป้าพูดอะไร รุ้งไม่เข้าใจ”
คุณหญิงยิ้มเยาะ “เลิกเล่นละครได้แล้ว คนบ้านนี้ตาสว่างกันหมดแล้ว พวกตระกูลพ่อค้าแม่ค้านี่น่ากลัวจริงๆ เพื่อผลประโยชน์ ยอมใช้ลูกสาวเข้าแลก...”
ปานรุ้งยิ่งฟังก็ยิ่งหงุดหงิด “คุณป้าหมายความว่ายังไง”
“นี่เธออย่าบอกนะ ว่าเธอไม่รู้ว่าแม่เธออยากได้ลูกชายฉันเป็นเขย เพราะหวังใช้คนในตระกูลฉันช่วยวิ่งเต้นกู้เงินให้สมุทรเทวา”
ปานรุ้งอึ้ง “อะไรนะ”
กติยาฟังแล้วถึงกับชะงัก เพิ่งรู้ข้อมูลใหม่
“ฝากไปบอกแม่เธอด้วย ต่อให้เอาลูกสาวไปใส่ตะกร้าล้างน้ำกี่สิบน้ำ ฉันก็ไม่ยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้ ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”
คุณหญิงสุดใจเชิดหน้าเดินหนีเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าสะใจ
ปานรุ้งยืนอึ้ง ตะลึงตะไล มันทั้งช็อคและเจ็บปวดสุดจะประมาณ ว่าความรักของคมขวัญที่เธอเกือบจะปักใจเชื่ออยู่แล้วนั้น แท้จริงเป็นเพียงคำหวาน แม่แค่หลอกใช้เธอเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น
ปานรุ้งเดินสับสนออกมา ไม่อยากจะเชื่อว่าแม่จะทำอย่างนี้กับเธอ
เกื้อยืนรออยู่ที่รถ พอเห็นปานรุ้งออกมาจึงรีบเดินเข้าไปหา
“คุณหนูครับ”
“พาฉันไปหานายแม่เดี๋ยวนี้”
ปานรุ้งเดินตรงไปขึ้นรถเอง พร้อมกับปิดประตูเต็มแรง เกื้อมองฉงนว่าเกิดอะไรขึ้น ขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย
ระหว่างนี้กติยาตามออกมายืนแอบมองอยู่ที่หน้าประตูบ้านวาสุเทพ สีหน้าครุ่นคิด
ไม่นานต่อมา ขณะที่พยาบาลเพิ่งตรวจความดันให้คมขวัญเสร็จ ปริญญายืนดูแลอยู่ข้างๆ ปานรุ้งเดินนำเกื้อเข้าห้องมาสวนกับพยาบาล คมขวัญหันไปเห็น
“อ้าว รุ้ง”
ปานรุ้งมองคมขวัญนิ่ง เกื้อเดินตาม คอยมองปานรุ้งอย่างสงสัยว่าปานรุ้งเป็นอะไร
ปานรุ้งถามเสียงเรียบ “นายแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
คมขวัญจะบอกว่าไม่เป็นไร “แม่ไม่...”
“คุณนายยังความดันสูงอยู่ครับ” ปริญญาชิงบอก เพราะอยากให้ปานรุ้งรู้ว่าคมขวัญยังเครียดอยู่
คมขวัญมองเลขาอย่างไม่พอใจ “ออกไปข้างนอกก่อนไป ปริญญา”
ปริญญาโค้งรับคำของคมขวัญ แล้วจะเดินออกไป
“ให้ปริญญาอยู่เถอะค่ะ เผื่อเวลานายแม่ปิดบังอะไรรุ้ง เขาจะได้ช่วยบอกความจริงกับรุ้งได้”
คมขวัญมองปานรุ้งที่มีท่าทีแปลกๆ
“รุ้งเป็นอะไรรึเปล่าลูก”
“วันนี้รุ้งไปหาพี่เทพมาค่ะ”
คมขวัญกับปริญญามองปานรุ้งอย่างสนใจทันที ปานรุ้งมองอาการของสองคนแล้วพูดต่อ
“รุ้งไปขอโทษพี่เทพ และขอให้พี่เทพกลับมาแต่งงานกับรุ้งเหมือนเดิม”
คมขวัญกับปริญญายิ้มดีใจ
“จริงเหรอลูก แล้วคุณเทพว่ายังไงบ้าง”
ปานรุ้งพูดพร้อมจับตาดูอาการคมขวัญไปด้วย “พี่เทพปฏิเสธรุ้งค่ะ”
คมขวัญกับปริญญารวมทั้งเกื้อต่างชะงัก
“แล้วรุ้งทำยังไงต่อลูก”
“ในเมื่อผู้ชายไม่เห็นค่ารุ้งแล้ว รุ้งก็ออกมาจากบ้านเขาสิคะ”
ปริญญารีบพูด “คุณเทพคงกำลังโกรธ คุณรุ้งน่าจะให้เวลาคุณเทพบ้าง”
“เรื่องอะไรฉันต้องรอ ฉันมีคนอื่นที่เห็นคุณค่าฉันอีกเยอะแยะ” ปานรุ้งมองคมขวัญนิ่ง “หรือว่านายแม่อยากให้รุ้งไปง้อพี่เทพคะ”
คมขวัญมองปานรุ้ง แม่ลูกสบสายตากันจังๆ
“แม่เห็นด้วยกับที่ปริญญาบอก คุณเทพอาจยังโกรธรุ้งอยู่ ให้เวลาคุณเทพอีกสักหน่อยนะลูก”
ปานรุ้งฟังคำตอบที่คมขวัญยืนยันให้ไปง้อวาสุเทพ แล้วแค่นยิ้มออกมาอย่างเจ็บปวด
“แปลว่านายแม่ยืนยันให้รุ้งแต่งงานกับพี่เทพ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นค่ารุ้ง ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ รุ้งเข้าใจแล้วค่ะว่านายแม่อยากให้รุ้งแต่งงานกับพี่เทพขนาดไหน”
ปานรุ้งใช้รอยยิ้มสยบน้ำตาไว้
“พักผ่อนเยอะๆ นะคะ อยู่ให้รุ้งตอบแทนพระคุณแม่นานๆ”
ปานรุ้งเดินออกจากห้องไป เกื้อเดินตาม คมขวัญกับปริญญามองตามปานรุ้ง
“คุณนายครับ ให้ผมหาทางช่วยพูดกับคุณเทพไหมครับ”
“ไม่ต้อง ถ้ารุ้งไม่มีความสุข ฉันจะไม่บังคับเขา”
ปานรุ้งเดินเร็วรี่แทบจะเป็นวิ่ง เหมือนหนีไม่ให้คมขวัญตามมาเห็นความเจ็บปวดของ ตัวเอง
เกื้อรีบเดินตามมา “คุณหนูครับ”
ปานรุ้งตวาด “จำไว้นะเกื้อ อย่าพูดถึงความรักของแม่ให้ฉันได้ยินอีก เพราะความรักของแม่มันไม่มีจริง แม่ไม่เคยรักฉัน แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่เคยรัก ที่แม่ทำดี มันก็แค่เกมของแม่”
ปานรุ้งกระชากเปิดประตูรถ แล้วเข้ารถแล้วปิดประตูรถอย่างแรง
เกื้อมองตามอย่างอึ้ง งงว่าเกิดอะไรขึ้น
อีกฟาก ขณะที่ร้อยกรองกำลังนั่งทาเล็บเท้าอยู่ในบ้าน จู่ๆ ชูนามเดินเข้ามาเตะโต๊ะ เก้าอี้ ทุกอย่างที่ขวางหน้าจนระเนระนาด อย่างคนอารมณ์เสีย และหงุดหงิดสุดขีด
“หงุดหงิดเว้ย”
“เป็นบ้าอะไรชูนาม”
“ก็ปานรุ้งน่ะสิแม่ นัดหนูไปดูหนัง หนูไปยืนรอหน้าโรงหนังตั้งแต่เช้ายันบ่าย ก็ไม่มา หนูไปหาที่บ้าน นังคนใช้ก็ปั้นหน้าหงิกใส่บอกคุณรุ้งไม่อยู่ หนูถามว่าหายไปไหน ก็ไม่ยอมบอก”
ระหว่างนี้กติยาเดินเข้ามายืนที่ตรงประตูโถงบ้านชูนาม
“อย่าโกรธรุ้งเลย เขากำลังช็อค เลยไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวกับคุณ”
ชูนามหันไปมองกติยาอย่างสงสัย
“ช็อค ช็อคเรื่องอะไร”
สองคนออกมานั่งคุยกันที่โต๊ะนั่งเล่นกลางสนามหญ้า
“จริงเหรอ แล้วทำไมอยู่ๆ ปานรุ้งถึงจะกลับไปหาคู่หมั้นเก่าคุณ”
“ฉันบอกคุณแล้วว่าคุณป้าคมขวัญฉลาด ท่านรู้ว่าพี่เทพคือทอง ท่านคงหาทางกล่อมให้รุ้งกลับมาหาพี่เทพ”
“หึ แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือว่าที่แม่ยายผม ยังมีว่าที่แม่ผัวคุณ พูดอย่างนั้นกับปานรุ้ง จากที่เคยโกรธแม่อยู่แล้ว ป่านนี้คงเกลียดเข้าไส้แล้วนั่นก็ทำให้ ปานรุ้งจะไม่มีวันกลับไปหาคู่หมั้นของคุณอีก”
ชูนามบอกอย่างมั่นใจ แล้วฉุกคิดบางอย่างได้ รีบลุกพรวดขึ้นทำท่าจะเดินออกไป
กติยารีบเรียกไว้ “นั่นคุณจะไปไหน”
“คนกำลังล้ม ช่วงนี้แหละ ที่เขากำลังหาคนรักแท้” เพลย์บอยสิงห์พนันหันไปทางในบ้านตะโกนบอกร้อยกรอง “แม่ เตรียมไปตัดชุดได้เลย ลูกชายแม่กำลังจะแต่งงานเร็วๆนี้”
ชูนามเดินหัวเราะร่าออกไป
กลับถึงบ้าน ปานรุ้งนั่งเงียบจมอยู่ในความคิดนานสองนาน เจ็บปวดถึงขีดสุด ที่รู้ความจริงว่าที่คมขวัญอยากให้เธอแต่งงานกับวาสุเทพเพื่อประโยชน์ต่อบริษัท
เกื้อกับน้อยยืนมองปานรุ้งอย่างเป็นห่วงอยู่ที่ประตูทางเข้าตึก
น้อยกระซิบถามเกื้อ “เกิดอะไรขึ้นน่ะเกื้อ ตั้งแต่คุณหนูกลับมา คุณหนูก็นั่งเงียบ ไม่ยอมพูดจากับใครเลย”
เกื้อพูดกระซิบตอบพร้อมกับมองไปทางปานรุ้งอย่างเป็นห่วง “ฉันก็ไม่รู้”
“แล้วตกลงคุณหนูได้คืนดีกับคุณเทพไหม”
เกื้อพูดโดยมองไปทางปานรุ้งอย่างเป็นห่วงตลอดเวลา “ฉันไม่รู้”
น้อยเซ็ง “แกรู้อะไรบ้างเนี่ย”
เกื้อมองปานรุ้งไม่วางตา “ที่ฉันรู้ คือฉันห่วงคุณหนู กลัวคุณหนูจะคิดทำอะไรที่ไม่ถูกต้องประชดคุณนาย”
ฝ่ายปานรุ้งคิดถึงคำพูดแดกดันของคุณหญิงสุดใจขึ้นมาอีก
“นี่เธออย่าบอกนะ ว่าเธอไม่รู้ว่าแม่เธออยากได้ลูกชายฉันเป็นเขย เพราะหวังใช้คนในตระกูลฉันช่วยวิ่งเต้นกู้เงินให้สมุทรเทวา”
แววตาปานรุ้งวาววาบเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
ชูนามเดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางร้อนรนเป็นห่วงปานรุ้งสุดจะประมาณ
เกื้อกับน้อยมองชูนามอย่างไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้
“คุณรุ้ง” ชูนามโผเข้าไปหาปานรุ้ง “ผมดีใจจังที่คุณไม่เป็นไร คุณรู้ไหม ผมรอคุณที่หน้าโรงหนังตั้งแต่เช้าจนบ่าย คุณก็ไม่มาสักที ผมเลยตัดสินใจมาหาคุณที่นี่” เขาจับมือเธอมากุม “ผมห่วงคุณเหลือเกิน กลัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
ปานรุ้งมองชูนามที่ดูเป็นห่วงตัวเองอย่างจริงใจ ทั้งๆ ที่ถูกเธอเบี้ยวนัด แต่ชูนามไม่โกรธ แถมยังเป็นห่วงเธอ ต่างจากแม่แท้ๆ ของตัวเอง
“คุณเป็นห่วงฉันขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใช่สิครับ ผมรักคุณ ถ้าคุณเป็นอะไรไป แล้วผมจะอยู่ยังไง”
ชูนามกอดปานรุ้งลอบยิ้มกระหยิ่มมั่นใจว่าปานรุ้งต้องหลงคารมยึดตัวเองเป็นหลักแน่ ปานรุ้งครุ่นคิดบางอย่าง แล้วดันตัวชูนามออกห่าง
เกื้อขยับตัวจะเข้าไปขัดจังหวะให้ชูนามหยุดกอดปานรุ้ง แต่น้อยจับเกื้อไว้เพราะเป็น เรื่องของเจ้านาย
“ขอบคุณที่คุณเป็นห่วงฉัน แต่คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันมีธุระสำคัญต้องทำ”
“ธุระอะไรครับ”
ปานรุ้งหันไปทางเกื้อ “เกื้อ เอารถออก”
เกื้อที่คุมเชิงอยู่ตรงประตูกับน้อย รีบวิ่งมาหา “คุณหนูจะไปไหนครับ”
“ไปกรมอู่ทหารเรือ ฉันจะหาพี่เทพ”
ชูนาม เกื้อ และน้อย ต่างมองปานรุ้งเป็นตาเดียวกัน อย่างชะงักงันและงุนงง ว่าปานรุ้งไปหาวาสุเทพทำไม
ถัดมาไม่นานนัก กติยาอยู่ในบ้านคุยโทรศัพท์กับชูนามซึ่งโทรมาจากที่หนึ่งด้วยอาการตกใจ
“อะไรนะคุณชูนาม รุ้งไปหาพี่เทพเหรอ”
กติยาร้อนรุ่มใจ วางหูโทรศัพท์ แล้วรีบเดินไปหยิบกระเป๋าจะเดินออกจากบ้าน
ดรุณีถือถาดใส่ผลไม้เดินเข้ามา “ยาจะไปไหนลูก”
กติยาไม่ตอบ เดินออกไปเลย
ด้านในร้านอาหารริมน้ำแห่งนี้ บรรยากาศสวยงาม เป็นร้านประจำที่วาสุเทพแวะมาสังสรรค์กับเพื่อนๆ ละแวกแถวกรมอูทหารเรือ
วาสุเทพนั่งทานอาหารอยู่กับเพื่อนๆ โดยยังมีอาการเศร้าซึมของคนอกหักอยู่ จนเพื่อน 1 แซว
“เฮ้ อย่าซึมอย่างนั้นสิวะ เรามันชายชาติทหาร โดนผู้หญิงหักอกแค่นี้ จิ๊บจ๊อย”
ปานรุ้งเดินเฉิดฉายเข้าร้านมา มีเกื้อเดินตามหลัง เพื่อน 1 เห็นปานรุ้ง จึงสะกิดวาสุเทพ
“ฉันว่าแกเลิกจ๋อยเถอะ นางฟ้าของแกมาโน้นแล้ว”
วาสุเทพมองตามสายตาเพื่อนแล้วชะงัก ไม่คิดว่าจะเจอปานรุ้งที่นี่
“รุ้ง”
ปานรุ้งเดินหน้าเศร้าเข้ามาหาวาสุเทพ “พี่เทพยุ่งไหมคะ”
วาสุเทพพูดนิ่งๆ ยังเสียใจกับการกระทำของปานรุ้งอยู่ “พี่ไม่ยุ่ง รุ้งมีอะไรกับพี่เหรอ”
“รุ้งอยากจะมาขอโทษพี่เทพ”
วาสุเทพยิ่งอึ้งหนัก “อะไรนะ”
เกื้อมเองมองด้วยสีหน้าเคลือบแคลงว่าปานรุ้งขอโทษวาสุเทพจากใจแน่หรือ
ปานรุ้งค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือวาสุเทพ “รุ้งผิดไปแล้ว ตอนนั้นรุ้งทั้งอายและโกรธที่พี่เทพไม่ไว้ใจรุ้ง”
“พี่ไว้ใจรุ้ง แต่พี่ไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้น”
“งั้นต่อไปนี้พี่เทพไม่ต้องห่วงอีกแล้วนะคะ รุ้งเลิกคบกับชูนาม และถ้าพี่เทพยังไม่สบายใจ รุ้งจะเลิกคบกับเพื่อผู้ชายทุกคน ขอแค่อย่างเดียว พี่เทพอภัยให้รุ้ง แล้วกลับมารักรุ้งเหมือนเดิม”
วาสุเทพมองอึ้งๆ คาดไม่ถึงว่าปานรุ้งจะกลับมาง้อ เกื้อเองก็มองจับผิด
“รุ้ง” วาสุเทพครางเบาๆ
“รุ้งรักพี่เทพนะคะ”
วาสุเทพดีใจที่รู้ว่าปานรุ้งแคร์และรักตัวเอง
“พี่เทพแต่งงานกับรุ้งนะคะ”
วาสุเทพมองปานรุ้งอึ้งหนักกว่าเดิม
เกื้อเองก็คาดไม่ถึงว่าปานรุ้งจะพูดแบบนี้ กติยาเดินเข้ามาพูดเสียงดังขึ้น
“ไม่นะ พี่เทพอย่าแต่งงานกับรุ้งนะคะ รุ้งเขาไม่ได้รักพี่เทพ ที่เขาอยากแต่งงานกับพี่ เพราะจะให้พี่ช่วยธุรกิจสมุทรเทวา ถ้าพี่เทพไม่เชื่อ ถามคุณแม่ของพี่ก็ได้”
วาสุเทพมองปานรุ้ง
“นี่คือจุดเริ่มต้นของเรา ว่าพี่เทพไว้ใจตัวรุ้งรึเปล่า ถ้าพี่เทพเชื่อยา รุ้งก็ไม่มีอะไรจะพูด”
ปานรุ้งทำท่าจะเดินไป วาสุเทพดึงรั้งมือไว้ “รุ้ง”
กติยามองภาพนั้นอย่างเจ็บปวด “พี่เทพคะ พี่เทพต้องเชื่อยานะคะ รุ้งไม่ได้รักพี่ ได้ยินไหมคะว่ารุ้งไม่ได้รักพี่ คนที่รักพี่เทพคือยา”
วาสุเทพหันมาหากติยา “พี่รู้ว่ายารักพี่ แต่พี่ไม่ได้รักยา พี่รักรุ้ง พี่จะแต่งงานกับรุ้ง”
กติยาหัวใจสลาย ความหวังที่เคยวาดไว้ว่าจะได้วาสุเทพกลับคืนมา พินท์พังอีกครั้ง
“ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง...” ครูสาวถลันเข้าไปกระชากแขนปานรุ้งอย่างเอาเรื่อง “เธอทิ้งพี่เทพไปหาคุณชูนามแล้ว เธอก็ไปอยู่กับคุณชูนามสิ กลับมาหาพี่เทพทำไม”
วาสุเทพกับเพื่อนๆ เข้าไปแยกกติยาออกมาจากปานรุ้ง
“พอเถอะยา”
กติยาเดือดเป็นไฟ โวยวายลั่น “ไม่ ปล่อยยา”
กติยาจะเข้าไปกระชากปานรุ้งอีก เพื่อนๆ จับกติยาล็อคไว้ ส่วนวาสุเทพกอดปกป้องปานรุ้งเต็มที่ บอกเพื่อนๆ ว่า
“ฉันฝากพายาไปส่งบ้านที”
เพื่อนๆวาสุเทพจึงพาตัวกติยาออกจากร้าน กติยาโวยวายไม่ยอมไป สะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด
“ปล่อยฉันนะ ปล่อย”
เพื่อนๆวาสุเทพพากติยาออกจากร้านไป
เย็นนั้น ชูนามนั่งเซ็งที่รู้ว่าปานรุ้งไปหาวาสุเทพ โดยมีร้อยกรองนั่งชันเข่ากินส้มอยู่ข้างๆ
“ยายคุณครูหายไปไหนเนี่ย ทำไมส่งข่าวมาอีกว่าปานรุ้งไปหา ไอ้ทหารเรือนั่นทำไม”
กติยาเดินพุ่งเข้ามา ตีอกชกตัวชูนามพูดด่าอย่างบ้าคลั่ง
“ไหนบอกว่าคุณทำให้พี่เทพกลับมาหาฉันได้ยังไงล่ะ แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ ทำไม...ทำไม...ทำไม”
ชูนามทนไม่ไหว ผลักกติยาล้มไปที่โซฟาและไปโดนร้อยกรองกระเด็นตกจากเก้าอี้
“โอ๊ย นี่เธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย ถึงมาตีลูกชายฉันน่ะ”
“นั่นสิ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
กติยาพูดไปร่ำไห้ไป “เกิดอะไรขึ้นเหรอ ก็สองคนนั้นไง ปานรุ้งกับพี่เทพนั้นกำลังจะแต่งงานกัน”
ชูนามกับร้อยกรองช็อค
“อะไรนะ” ชูนามไม่อยากเชื่อ
ร้อยกรองตาโตตกใจ “แต่งงาน”
“เป็นไปได้ยังไงวะ ก็คุณเพิ่งบอกว่าปานรุ้งถูกว่าที่แม่ผัวคุณ พูดตอกหน้าออกมาเมื่อเช้า แล้วทำไมตอนนี้ถึง” ชูนามอึ้ง มึนงง ต้องขยี้หัวตัวเองอย่างปวดกบาล “โอ๊ย นี่กูพลาดอะไรตอนไหนเนี่ย”
วาสุเทพขับรถมาส่งปานรุ้งที่หน้าตึก พอลงรถเขาจับมือเธอมาดูอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ยาไม่ได้ทำรุ้งเจ็บตรงไหนใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ รุ้งไม่เจ็บ แต่ถึงเจ็บ รุ้งก็ไม่โกรธยาหรอกค่ะ รุ้งเข้าใจเขา”
“ยังไงพี่ขอโทษแทนยาด้วยนะ”
ปานรุ้งกุมมือวาสุเทพไว้ “รุ้งบอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไร พี่เทพกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงจัดการเรื่องงานแต่งงานของเรา”
วาสุเทพยิ้มชื่น สุขล้น จูบมือปานรุ้งลา “พี่กลับก่อนนะ”
เรือโทรหนุ่มยังยื่นหน้าไปจูบหน้าผากปานรุ้งอย่างอ่อนโยน แล้วขึ้นรถ ขับออกไป
ปานรุ้งยืนมองวาสุเทพขับรถออกไปด้วยสายตาเย็นชาลง
“อดทนหน่อยนะยา ฉันยืมผู้ชายของเธอมาไม่นานหรอก”
ปานรุ้งเดินเข้าไปในห้องโถงบ้านสมุทรเทวา หยุดยืนหน้ารูปขนาดเท่าตัวจริงของคมขวัญที่ประดับผนังเป็นสง่า นัยน์ตาปานรุ้งแข็งกระด้าง คล้ายมีแผนในใจ
รุ้งเช้า มีเสียงคล้ายแก้วกาแฟตกดังเพล้งจากในห้องอาหารบ้านทนทีพิทักษ์ และเห็นคุณหญิงสุดใจยืนโวยวายอยู่ที่โต๊ะอาหาร โดยมีพลเรือเอกภัทรนั่งนิ่งมองภริยาอย่างใจเย็น
“น้องไม่ยอมให้ตาเทพแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด คนที่จะมาเป็นสะใภ้ของน้องต้องเป็นหนูยาเท่านั้น”
“แต่ตาเทพไม่ได้รักหนูยา”
“น้องไม่สนใจ ถ้าตาเทพจะแต่งกับผู้หญิงคนนั้น ต้องข้ามศพน้องไปก่อน”
“ทำอย่างนี้ มันได้อะไรดีขึ้นมาเหรอคุณหญิง คุณก็เห็นว่าตลอด หลายวันที่ผ่านมา ตาเทพเป็นทุกข์ขนาดไหนที่ต้องเลิกกับหนูรุ้ง แล้วดูวันนี้สิ วันที่ลูกกับหนูรุ้งรักกันอีกครั้ง ลูกมีความสุขมากขนาดไหน”
“แต่คุณพี่ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเหลวแหลกขนาดไหน”
“ผมรู้ แต่ในโลกนี้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกนะ มีแต่คนขาดแล้วมาเติมเต็มกันให้สมบูรณ์”
“แปลว่าคุณพี่เห็นด้วยกับงานแต่งครั้งนี้เหรอคะ”
“ตาเทพโตแล้ว ถ้าเขาผิด เขาควรเรียนรู้ ถ้าเขาพลาด เขาควรรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาตัดสินใจ ส่วนหน้าที่ของเรา คืออะไรที่ลูกมีความสุข เราควรสนับสนุน ใช่ไหมคุณหญิง”
คุณหญิงสุดใจแทบกรี๊ดไม่อาจทำใจยอมรับปานรุ้งได้
อีกฟาก แจ่มส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดดีใจลั่นโรงครัว
ยายปิ่น น้อย กอบ และสาวใช้ 3 คนนั่งทำงานกันอยู่ สะดุ้งตกใจเสียงของแจ่ม เกื้อนั่งนิ่ง หัวใจเสียใจที่ปานรุ้งกำลังจะแต่งงานแล้ว
“แอร๊ย...อีกหน่อยคุณหนูของแจ่มก็จะได้เป็นคุณนาย สักพักก็เป็นคุณหญิง ส่วนฉันก็จะคอยถือกระเป๋าให้คุณหญิง”
“นี่พี่แจ่ม นั่นมันหน้าที่ฉันต่างหาก” น้อยแย้ง
“โห้ย...คุณหนูไม่เอาแกไปถือกระเป๋าให้ใครต่อใครนินทาได้ ว่าคุณหนูเลี้ยงคนใช้ไม่ดี ผอมเป็นไม้เสียบผีอย่างนี้หรอก” แจ่มเยาะ
ปิ่นหมั่นไส้ “คุณหนูก็คงไม่เอาแกไปให้ใครต่อใครนินทาว่าพกของดำ ทำชีวิตโชคร้ายหรอก”
น้อย กอบ และสาวใช้อีก 3 คนหัวเราะขำ แจ่มเซ็ง
“พูดกับคนขี้อิจฉา มีแต่จะเปลืองน้ำลาย เชอะ” แจ่มหันไปทางเกื้อ “เกื้อ แล้วตกลงคุณหนูจะแต่งงานเมื่อไหร่วะ”
เกื้อมองหน้าแจ่ม แววตาหม่นเศร้าเมื่อคิดถึงวันที่ปานรุ้งจะแต่งงาน
สายวันนี้ คมขวัญนั่งบนโซฟาห้องรับแขก มองปานรุ้งที่นั่งข้างวาสุเทพด้วยแววตาเจิดจ้ามีความสุข สีหน้าวาสุเทพสุขล้นไม่ต่างกัน มีเพียงปานรุ้งที่ยิ้มในสีหน้าอันเย็นชา เหมือนมีบางอย่างในใจ
ปริญญายืนอยู่ด้านหลัง สีหน้ามีความสุขเช่นกัน
“เมื่อวานผมกับรุ้งไปดูฤกษ์แต่งงานแล้วล่ะครับคุณป้า” วาสุเทพเอ่ยขึ้น
“เหรอจ๊ะ แล้วตกลงจะแต่งกันเมื่อไหร่”
“ปลายปี” วาสุเทพบอก
ปานรุ้งแทรกขึ้นทันทีว่า “อาทิตย์หน้าค่ะ”
วาสุเทพ คมขวัญ รวมทั้งปริญญา มองปานรุ้งเป็นตาเดียวกัน
“อะไรนะรุ้ง”
ปานรุ้งจับมือวาสุเทพพูดอ้อน “รุ้งอยากแต่งกับพี่เทพอาทิตย์หน้าค่ะ”
คมขวัญท้วง “อาทิตย์หน้า ไม่เร็วไปเหรอลูก”
“ยิ่งเร็วสิคะยิ่งดี รุ้งอยากเห็นแม่มีความสุขเร็วๆ ไงคะ”
ปานรุ้งยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนมีแผนอะไรอยู่ในใจ!
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ในห้วงเวลา 2 สัปดาห์มานี้ หนังสือพิมพ์หลายละฉบับที่ออกวางจำหน่าย ข่าวเด่นข่าวดังบนหน้าหนึ่ง วันแล้ววันเล่า ยังเกาะติดงานแต่งระหว่าง เรือโทวาสุเทพ นทีพิทักษ์ กับ ปานรุ้ง สมุทรเทวา
ฉบับที่ 1 พาดหัวว่า “ทายาทสมุทรเทวากับนทีพิทักษ์ แต่งงานเร็วปานสายฟ้าฟาด! ฤกษ์แต่งอีก 1อาทิตย์”
ฉบับที่ 2 ขายข่าวนี้ “ปานรุ้งโวใช้ผ้าลูกไม้จากเมืองนอก ตัดชุดเจ้าสาวแพงที่สุดในประเทศ”
ส่วน ฉบับที่ 3 ประโคมข่าว “เรือโทวาสุเทพควงว่าที่เจ้าสาวแจกการ์ดผู้ใหญ่ทั่วกรุง คาดว่าจะเป็นงานแต่งช้างแห่งปี”
และ ฉบับที่ 4 เปิดใจ คมขวัญ “คมขวัญโต้ ไม่เคยใช้อำนาจว่าที่ลูกเขยช่วยสมุทรเทวา ลั่นงานแต่งครั้งนี้เกิดจากความรักของลูกจริงๆ”
วันนี้คุณโกศลเดินทางมาที่บริษัทสมุทรเทวาเดินเรือ ตั้งแต่เช้า และกำลังพูดคุยอยู่กับคมขวัญในบรรยากาศชื่นมื่น ปริญญายืนมองคอยดูแลอยู่มุมห้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี
“ผมส่งเอกสารการกู้ทั้งหมดให้คณะกรรมการพิจารณาแล้ว คาดว่าอีกหลังงานแต่งงานของตาเทพกับหนูรุ้ง คุณนายคงได้ข่าวดี”
คมขวัญยกมือไหว้ขอบคุณโกศลอย่างดีใจ “ขอบพระคุณคุณโกศลมากค่ะที่ช่วย”
“อย่าขอบคุณผมเลย ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณคมขวัญ ที่ยกลูกสาวแสนสวยให้หลานชายผม จนตอนนี้หลานผมกลายเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุดในประเทศ”
คมขวัญยิ้มชื่นให้กับโกศล แล้วหันไปยิ้มโล่งอกกับปริญญาที่สถานการณ์ของสมุทรเทวากำลังดีขึ้น
ค่ำคืนหนึ่งก่อนงานแต่ง ชูนามนั่งดื่มเหล้าเผากลุ้มอยู่ที่ไนต์คลับอย่างผิดหวังและเซ็งหนัก ทั้งเรื่องปานรุ้ง และเรื่องที่เสียการพนันไปเยอะ
ระหว่างนี้เพื่อนชูนาม 2 คนเดินเข้ามาทัก เพื่อน 1 ทักเชิงแซว
“เฮ้ย ชูนาม ทำไมคืนนี้มานั่งกินเหล้าราคาถูกที่นี่ได้วะ”
เพื่อน 2 เสริม “นั่นสิ อาทิตย์ก่อนยังเห็นนั่งดื่มไวน์ขวดเป็นพันกับสาวไฮโซอยู่เลย
“อ๋อๆๆ ลืมไปว่าสาวเขากำลังจะไปแต่งงานกับทหารเรือแล้ว”
เพื่อน 2 คนหัวเราะเฮฮา ชูนามทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นต่อยเพื่อน1 จนล้มคะมำ แล้วหันไปชี้หน้าด่าตะเพิดเพื่อน 2 คน อย่างอารมณ์เสีย
“คนยิ่งเสียไพ่มาเยอะอยู่ มาเห่าอยู่ได้ ถ้าไม่อยากโดนกระทืบปาก ไปไกลๆ รองเท้าฉันเลย ไป๊”
ชูนามหันกลับไปดื่มเหล้าต่อ เพื่อน 2 คนพยุงกันเดินออกไป
ระหว่างนี้ปานรุ้งเดินเข้ามายืนด้านหลังชูนาม ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะไหล่ชูนามเบาๆ ชูนามนึกว่าเพื่อนยังตอแยไม่เลิก จึงคว้ามือหมับ หวังจะชกหน้าระบายอารมณ์อีก แต่พอชูนามหันไปเห็นเป็นปานรุ้ง ก็ชะงักหมัดค้าง
“คุณปานรุ้ง” เขาปล่อยมือเธอทันที แล้วหันกลับไปดื่มต่อ แสดงให้เห็นว่าโกรธและไม่พอใจมาก “พรุ่งนี้คุณจะแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่ครับ หรือว่าคืนนี้ว่าที่เจ้าบ่าว ของคุณไม่อยู่ คุณเลยมาหาผู้ชายหน้าโง่ควงฆ่าเวลา เหมือนที่คุณเคยทำกับผม”
“ชูนาม”
ชูนามไม่ยอมหันมาหา แถมยกมือห้ามไม่ให้ปานรุ้งพูด “คุณไม่ต้องพูดหรอกครับ ผมเข้าใจทุกอย่างดี ว่าไอ้กุ๊ยอย่างผมจะไปสู้อะไรนายทหารเรือได้”
“ชูนาม ได้โปรด ตอบคำถามรุ้งสักอย่างได้ไหม”
ชูนามปรายตามองปานรุ้งอย่างไม่เข้าใจ ว่าปานรุ้งมีอะไร สุดท้ายจึงหันหน้าไปหา มองด้วยสีหน้าสุดเศร้า
“คุณยังต้องการจะถามอะไรจากผมอีกเหรอ”
“คุณรักฉันไหม” ปานรุ้งมองจ้องหน้าผู้ถาม
ชูนามชะงัก คิดว่าปานรุ้งต้องมีอะไรในใจแน่ๆ
“สุดหัวใจ” เขาบอก
“รัก โดยที่หวังอะไรแลกเปลี่ยนรึเปล่า”
ชูนามจับมือปานรุ้งมาจูบ “คุณก็รู้ ต่อให้คุณมีแต่ตัว ผมก็รักคุณ”
ปานรุ้งตื้นตัน ค่อยๆ ใช้สองมือประคองใบหน้าชูนามอย่างทะนุถนอม
“งั้นฉันก็คิดไม่ผิด”
ชูนามมองฉงน “คิดไม่ผิดเรื่องอะไรครับ”
ปานรุ้งมองชูนามแน่วนิ่ง ยิ้มในสีหน้า เมื่อคิดถึงเรื่องบางอย่างที่วางแผนเอาไว้ในใจ
บ้านสมุทรเทวาคึกคักเตรียมงานตั้งแต่ค่อนรุ่ง
งานแต่งวันนี้ ถูกจัดขึ้นในโถงที่จัดงานต้อนรับปานรุ้งคราวก่อน ซุ้มดอกไม้ประดับตกแต่งตลอดทางจากประตูรั้ว จนถึงบริเวณประตูหน้าตึกใหญ่
กอบ กับ น้อย และสาวใช้คอยเสิร์ฟน้ำให้แขกที่ทยอยมาร่วมงานกันแต่เช้า
ปิ่นกับแจ่มช่วยกันเอาของว่างมาเติมที่โต๊ะวางอาหาร ให้แขกได้ตักรับประทานรองท้อง
คมขวัญในชุดงามสง่าสมคุณนายเจ้าท่า เดินออกมามองแขก และดูความเรียบร้อยรอบๆ งาน ว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องบ้าง น้อยถือถาดเสิร์ฟน้ำมาทางคมขวัญ
“คุณนายดื่มอะไรไหมคะ”
คมขวัญมองน้อยอย่างประหลาดใจ “อ้าว น้อย เธอมาเสิร์ฟน้ำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปช่วยรุ้งแต่งตัว”
“เมื่อคืนคุณรุ้งบอกน้อยว่าไม่ต้องช่วยค่ะ คุณรุ้งจะแต่งหน้าแต่งตัวเอง”
คมขวัญยิ่งแปลกใจ “อะไรนะ ชุดไทยอย่างนั้น รุ้งจะแต่งเองคนเดียวได้ยังไง นี่ใกล้ฤกษ์ขันหมากจะแห่มาแล้วด้วย” ประมุขสมุทรเทวาถอนใจอย่างหงุดหงิด “ไม่ได้เรื่องเลย”
คมขวัญรีบรุดเดินขึ้นบ้านเพื่อไปดูปานรุ้ง
คมขวัญมาหยุดยืนเคาะประตูห้องลูกสาว
“รุ้ง แต่งตัวเสร็จรึยังลูก”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากในห้อง คมขวัญเคาะประตูพร้อมเรียกปานรุ้งต่อ
“รุ้ง เปิดประตูให้แม่หน่อยสิลูก ขบวนขันหมากจะมาแล้วนะลูก”
เงียบอีก คมขวัญเริ่มเอะใจ เคาะประตูถี่ขึ้นพร้อมเรียกปานรุ้งต่อ
“รุ้ง...รุ้ง เปิดประตูให้แม่สิ รุ้ง ได้ยินแม่ไหม”
เกื้อกับปริญญาเดินขึ้นบันไดมาเพราะได้ยินเสียงคุณนาย
คมขวัญหันไปมองสองคน “เกื้อ ปริญญา มาช่วยกันเปิดประตูห้องรุ้งที”
เกื้อชะงักกึก งงว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงต้องพังประตู “เอ่อ...มีอะไรเหรอครับคุณนาย
“ฉันเรียกรุ้งตั้งนาน รุ้งไม่ตอบ รีบพังประตูห้องเร็ว”
เกื้อกับปริญญาจึงช่วยกันใช้ตัวกระแทกประตูเพื่อพังเข้าไป
เสียงของเกื้อกับปริญญาที่ช่วยกันพังประตูห้องปานรุ้งดังสนั่นไปถึงข้างล่าง ทำให้น้อยต้องขึ้นบันไดมาดู มองอย่างตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณนาย”
เกื้อกับปริญญาเปิดประตูห้องปานรุ้งได้ คมขวัญพุ่งเข้าห้องไปเป็นคนแรก
ยายปิ่นกับแจ่มยืนอยู่ตรงโต๊ะอาหารว่าง สองคนมองจ้องหน้าเด็กรับใช้อย่างตกใจเมื่อได้ฟัง
แจ่มแหกปากลั่น “คุณหนูหาย”
ปิ่นหยิบขนมใกล้มือยัดปากแจ่มทันควัน
“แกจะแหกปากให้คนทั้งงานรู้รึไงนังแจ่ม” ปิ่นหันไปถามสาวใช้อีก “แล้วคุณนายทำยังไงต่อนังเงาะ”
คมขวัญรีบเดินออกจากประตูตึก โดยไม่ให้ผิดสังเกต มีเกื้อ กอบ ปริญญา และน้อยเดินตามมาอย่างร้อนใจ
“เดี๋ยวกอบไปตามหาปานรุ้งกับฉัน...ส่วนเกื้อแยกไปหาอีกทาง” คมขวัญหันมาหาปริญญา “ส่วนเธอดูแลที่นี่ ให้พิธีดำเนินต่อไปไม่ว่ายังไง ฉันต้องตามปานรุ้งกลับมาทันขบวนขันหมากให้ได้”
คมขวัญรีบไปขึ้นรถ กอบขับรถพาประมุขสมุทรเทวาออกไป เกื้อวิ่งไปขึ้นรถอีกคัน แล้วขับออกไปอย่างร้อนใจ
เกื้อวิ่งกระหืดกระหอบมองหาปานรุ้งไปทั่วโปโลคลับ แต่ไม่เจอ เขาถามผู้จัดการ แต่ก็ไม่มีใครเห็น
เกื้อวิ่งกระหืดกระหอบมองหาปานรุ้งไปทั่วคิดว่าเธออาจมาที่พาหุรัด แต่ไม่เจอ
กอบกับคมขวัญเข้ามาที่ร้านอาหารประจำของปานรุ้ง
ส่วนเกื้อวิ่งกระหืดกระหอบมองหาปานรุ้งไปทั่ว แต่ไม่เจอแม้เงา
เกื้อเดินกะปลกกะเปลี้ย อย่างหมดแรงนั่งลงกับพื้นตรงหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ยกมือพนมไหว้อธิษฐานจิต ขอพรให้เจอปานรุ้ง ดุจดั่งเป็นที่พึ่งและความหวังสุดท้าย
“ขอให้คุณนายเจอคุณหนูด้วยเถอะครับ”
คมขวัญนั่งมองนาฬิกาอย่างร้อนใจ กอบขับรถอย่างร้อนใจไม่แพ้กัน แล้วพูดพร้อมมองกระจกส่องหลังเพื่อมองคมขวัญ
“เราจะไปหาคุณหนูที่ไหนต่อดีครับคุณนาย”
คมขวัญคิดหนัก สีหน้าเครียดเคร่ง สุดท้ายคิดออก
“มันมีอีกที่นึง มันเป็นที่ที่ฉันภาวนาอย่าให้รุ้งไปที่นั่นเลย”
กอบมองคมขวัญอย่างรู้ทัน “คุณนายหมายถึง”
ร้อยกรองนั่งนับเงินที่ได้จากการเล่นไพ่เมื่อคืนนี้อย่างมีความสุข คมขวัญเดินเข้าบ้านมา โดยมีกอบเดินตามหลัง
ร้อยกรองมองเห็นก็แดกดันทันที “อุ๊ยต๊าย ลมอะไรพัดคุณนายมหาเศรษฐีมาถึงบ้านดิฉันได้คะ”
“ลูกสาวฉันอยู่ไหน”
“ลูกสาวคุณนายจะมาอยู่บ้านดิฉันได้ยังไงคะ”
“งั้นลูกชายเธอล่ะ อยู่ที่ไหน”
ร้อยกรองแกล้งตีหน้าซื่อ “ไม่รู้…ฉันเพิ่งกลับมาบ้าน ยังไม่เห็นหน้าใครเลย”
คมขวัญอดทนกับความโยกโย้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของร้อยกรองไม่ไหว จึงเดินเข้าในบ้านตะโกนเรียกชูนาม
“นายชูนาม ออกมาเดี๋ยวนี้นะ นายเอาลูกสาวฉันไปไว้ที่ไหน”
ร้อยกรองรีบเดินไปขวางหน้าคมขวัญ
“ฉันจะเตือนในฐานะหัวอกแม่เหมือนกัน ถ้าฉันเป็นคุณนาย ฉันจะนั่งลงแล้วพูดกันดีๆ จะไม่แหกปากประจานชาวบ้านให้รู้ว่า ลูกสาวตัวเองหนีตามผู้ชายอย่างนี้หรอก”
คมขวัญพยายามข่มความโกรธ “บอกมา จะเอาเท่าไร แล้วปล่อยชีวิตลูกสาวฉันให้มีชีวิตอย่างที่เขาควรจะเป็น”
ร้อยกรองทำไก๋ เพื่อต่อรอง “คุณนายพูดอะไรเนี่ย ฉันไม่รู้เรื่อง”
คมขวัญเสียงดังมากขึ้น “เท่าไร”
ชูนามเดินลงบันไดมา
“ใครบอกว่าผมต้องการเงินคุณนาย”
คมขวัญ ร้อยกรอง และกอบหันไปมองชูนามเป็นตาเดียวกัน
ร้อยกรองรีบเดินไปหาลูก กระซิบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เงินมากองตรงหน้า เรื่องอะไรจะไม่เอา”
ชูนามกระซิบตอบ “แม่ไม่เคยได้ยินเหรอ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน”
ร้อยกรองมองยิ้มๆ เข้าใจว่าชูนามคิดอะไร
ชูนามพูดกับคมขวัญว่า “คนอย่างผม ถึงมันจะไม่ได้เติบโตในบ้านผู้รากมากดี ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ แต่ผมก็มีศักดิ์ศรีและหัวใจที่จะรักลูกสาวคุณนาย อย่างบริสุทธิ์ใจ”
“เธอคิดว่าคนที่ผ่านความเจ้าเล่ห์ของคนมาเป็นหมื่น เป็นแสนอย่างฉันจะเชื่อคำพูดเธอ”
“ผมก็รู้อยู่แล้วว่าคุณนายต้องไม่เชื่อ งั้นผมจะพิสูจน์ความจริงใจของผม ให้คุณนายดู”
คมขวัญมองชูนามว่าจะมาไม้ไหน
ส่วนที่บ้านสมุทรเทวา ปิ่นมองหน้าน้อยอย่างอึ้งๆ
“คุณนายไปตามคุณหนูที่บางแสน”
น้อยหน้าเครียด “ใช่น่ะสิป้า”
แจ่มพึมพำ “งานแต่งล่มแน่ๆ”
น้อยเอ็ด “พี่แจ่มพูดอย่างนั้นได้ยังไง ปากเสีย”
“อ้าว ก็ฉันพูดเรื่องจริง เจ้าสาวอยู่บางแสน เจ้าบ่าวอยู่กรุงเทพฯ มันจะแต่งกันยังไง”
“ต้องได้แต่งสิ ขันหมากยังไม่มา ยังมีเวลาที่คุณหนูของฉันจะกลับมาทัน”
น้อยพูดไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงขบวนขันหมาก โห่ ดังเข้ามา
“โหว ฮิ้ว โฮ ฮิ้ว โฮ...”
ขบวนขันหมากรับ “ฮิ้ว...”
น้อย ปิ่น และแจ่ม มองไปทางขบวนขันหมากเจ้าบ่าวตรงหน้าบ้าน ด้วยสีหน้าเครียด
รถของคมขวัญขับแล่นทะยานไปทางบางแสนอย่างเร็ว
วาสุเทพ นายพลภัทร คุณหญิงสุดใจเดินร่วมขบวนขันหมากมาถึงหน้าตึกบ้านสมุทรเทวา โดยวาสุเทพและท่านนายพลมีสีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนคุณหญิงสุดใจหน้าบูดบึ้งอย่างชัดเจน
ปริญญา ยายปิ่น แจ่ม น้อย ยืนรออยู่หน้าประตูตึก มองขบวนขันหมากด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เกื้อวิ่งตามเข้ามายืนข้างๆ แม่ด้วยสีหน้าเครียดเช่นกัน ปิ่นกระซิบหารือ
“ขบวนขันหมากจ่อหน้าบ้านแล้ว จะทำยังไงล่ะทีนี้”
เกื้อคิดภาวนาให้คมขวัญพาปานรุ้งมาทันพิธี
รถคมขวัญที่นายกอบเป็นคนขับ แล่นมาอย่างเร็ว กำลังขับมุ่งตรงไปยังบางแสน ชลบุรี
วาสุเทพ พลเรือเอกภัทร คุณหญิงสุดใจ เดินนำขบวนขันหมากเข้ามาในโถงบ้าน ปริญญาคอยดูแลต้อนรับ โดยมีปิ่น แจ่ม และ เกื้อยืนมองอยู่ห่างๆ ไม่รู้จะช่วยยังไงได้
ปริญญาต้อนรับท่านนายพลและคุณหญิง “เชิญท่านกับคุณหญิงนั่งก่อนนะครับ”
นายพลภัทรมองหาคมขวัญ “แล้วคุณคมขวัญล่ะ”
ปริญญาอึกอัก “คุณนายมีธุระด่วนน่ะครับ”
คุณหญิงสุดใจพูดเหน็บ “ถ้าไม่ว่าง ไม่ต้องแต่งก็ได้นะ ฉันยินดีอย่างยิ่ง”
ท่านนายพลปราม “คุณหญิง” แล้วหันไปทางปริญญา “คุณคมขวัญไม่ว่าง
ไม่เป็นไร” แล้วบอกวาสุเทพว่า “เทพขึ้นไปรับน้องบนห้องสิลูก”
“ครับคุณพ่อ” วาสุเทพขยับจะเดินขึ้นบันไดเวียนไป
ปริญญาร้องห้ามไว้ “อย่าเพิ่งครับ”
วาสุเทพ นายพลภัทรและหคุณหญิงสุดใจมองมาทางปริญญา
“ทำไมถึงจะขึ้นไปไม่ได้”
ปริญญาจะตอบ จู่ๆ กติยาเดินเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นเสียงดังว่า
“เพราะคุณปริญญากลัวพี่เทพจะรู้ว่าเจ้าสาวหายน่ะสิคะ”
วาสุเทพอึ้ง แล้วหันไปทางปริญญา “จริงเหรอคุณปริญญา”
ปริญญาก้มหน้าอึกอัก
วาสุเทพใจหายที่รู้ว่าปานรุ้งไม่อยู่จริงๆ “แล้วรุ้งหายไปไหนครับ”
ชูนามเดินนำคมขวัญกับกอบมาริมหาดชายทะเลบางแสน
“ความจริง รุ้งสั่งห้ามไม่ให้ผมบอกใครโดยเฉพาะคุณนาย ว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่ผมเห็นแก่ความรักของแม่ และอยากให้คุณนายเข้าใจว่าผมรักรุ้งจริง ผมอยากเห็นรุ้งมีความสุข ถึงได้พาคุณนายมา”
คมขวัญไม่สนใจฟังที่ชูนามพูด เอาแต่มองหาปานรุ้ง “รุ้งอยู่ไหน”
ชูนามชี้ไปทางชายหาด เห็นปานรุ้งนอนอาบแดดเช้าอยู่อย่างสบายใจ
คมขวัญดีใจ “รุ้ง”
ปานรุ้งผงกหัวขึ้น มองมาตามเสียงเรียก พอเห็นคมขวัญมาพร้อมชูนาม ก็ชักสีหน้าใส่ชูนามอย่างไม่พอใจ
“รุ้งบอกคุณแล้วไงว่าไม่ให้บอกใคร โดยเฉพาะคนที่ไม่ต้องการรุ้ง”
“ทำไมรุ้งพูดอย่างนั้น ถ้าแม่ไม่ต้องการรุ้ง แม่จะมารับรุ้งกลับบ้านอย่างนี้เหรอลูก”
ปานรุ้งมองคมขวัญด้วยสายตาเยาะหยัน “ที่มาตามเพราะรักรุ้ง หรือรักผลประโยชน์ที่สมุทรเทวาจะได้จากการที่รุ้งแต่งงานกับพี่เทพกันแน่คะ”
คมขวัญอึ้ง ไม่คิดว่าปานรุ้งจะรู้ “รุ้ง”
ปานรุ้งมองคมขวัญอย่างเจ็บปวด “ตกใจหรือเสียใจคะ ที่สินค้าหน้าโง่คนนี้มันดันรู้ความจริง ว่าแม่แท้ๆ ใช้ตัวเองเป็นสินค้าแลกกับเงิน หรือพูดง่ายๆ รุ้งถูกขายเพื่อเอาเงินไปช่วยบริษัทของแม่”
คมขวัญพยายามอธิบาย “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะรุ้ง รุ้งเข้าใจผิด”
ปานรุ้งไม่สนใจฟัง “นี่เหรอคะ สิ่งที่คนเป็นแม่ทำกับลูก ไม่เคยเหลียวแล ไม่เคยให้ความรัก แล้ววันนึงก็ใช้คำว่า รัก หลอกใช้เป็นเครื่องมือ”
“รุ้งฟังแม่ รุ้งกำลังเข้าใจผิด แม่ไม่เคยคิดว่ารุ้งเป็นเครื่องมือ ที่แม่อยากให้รุ้งแต่งงานกับคุณเทพ เพราะเขาเป็นคนดี เขาคือผู้ชายที่ แม่เชื่อว่าเขาจะปกป้อง ดูแล และเป็นหลักให้ชีวิตของรุ้งและสมุทรเทวาได้ ทุกอย่างที่แม่ทำก็เพื่อความสุขของรุ้งจริงๆ”
ปานรุ้งมองคมขวัญด้วยสายตาเย็นชา ความโกรธในหัวใจกำลังปิดตาเจ้าหล่อน ทำให้ปานรุ้งเมินมองไม่เห็นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดของแม่ และกลับยิ่งอยากทำให้แม่เจ็บมากขึ้น!
“สายไปแล้วล่ะค่ะ ต่อให้นายแม่จะพูดยังไง รุ้งก็คงแต่งงานกับใครไม่ได้ นอกจาก…”
คำต่อมาปานรุ้งพูดกระซิบบอกคมขวัญ โดยไม่ให้ชูนามได้ยิน เพราะเป็นเรื่องที่ปานรุ้งกุขึ้นมาโกหก เพื่อแก้แค้นคมขวัญ!
“พ่อของลูกรุ้ง”
คมขวัญมองปานรุ้งอึ้งๆ
“รุ้ง ว่าอะไรนะ”
ปานรุ้งกระซิบบอกด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “รุ้งท้องค่ะนายแม่”
คมขวัญมองปานรุ้งด้วยสายตาเจ็บปวด ไม่คิดว่าปานรุ้งจะทำแบบนี้
“ไม่จริงใช่ไหมลูก บอกแม่สิว่าไม่จริง”
“จริงค่ะ ถ้านายแม่บอกว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของรุ้ง นี่ไงคะความสุขของรุ้ง นายแม่ก็เลือกเอาแล้วกันค่ะ ว่าจะให้รุ้งแต่งงานกับชูนาม หรือจะให้รุ้งทำแท้ง เพื่อแต่งงานกับพี่เทพ”
คมขวัญมองจ้องหน้าปานรุ้ง สะท้อนในอก เสียใจเหลือเกิน ไม่เคยคิดเลยว่าลูกจะทำกับแม่ถึงขนาดนี้
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 5 (ต่อ)
เวลานั้นปริญญาปลีกตัวมารับสายโทรศัพท์ในห้องทำงานของคมขวัญ ด้วยสีหน้า ตื่นตะลึง และตกใจมากเมื่อได้ฟังปลายสา
“คุณนายว่าอะไรนะครับ ยกเลิกงานแต่ง...ทำไมครับคุณนาย”
ระหว่างนี้วาสุเทพเดินเข้ามาในห้องยืนฟังอยู่ด้านหลัง โดยที่ปริญญาไม่รู้ตัว
คมขวัญนั่งคุยสายกับปริญญาอยู่ในบ้านพักชายทะเล ด้วยสีหน้ากล้ำกลืนฝืนความเจ็บปวด
“ฉันจำเป็นต้องทำปริญญา รุ้งกำลังท้อง ฉันยอมให้ใครต่อใครด่าว่าฉัน ลบหลู่เกียรติฉัน เพื่อรักษาชีวิตบริสุทธิ์ของหลานฉันไว้” คมขวัญชะงักที่ปริญญาเงียบไป “ฮัลโหล...ปริญญาได้ยินฉันไหม...ปริญญา”
ที่แท้วาสุเทพเป็นคนถือหูโทรศัพท์ฟังคมขวัญอยู่ เรือโทหนุ่มยืนอึ้ง นิ่งงัน ทุกคำพูดของ คมขวัญยังดังก้องอยู่ในสมอง ปานรุ้งท้องกับชูนาม วาสุเทพเจ็บปวดแทบกลั้นสะอื้นไม่อยู่ ปริญญายืนข้างๆ มองวาสุเทพด้วยสีหน้าเครียดเช่นกัน
กติยายืนอยู่ที่ประตู มองจ้องวาสุเทพ ถัดไปทางด้านหลังกติยา เป็นที่เกื้อมองดูสถานการณ์ ด้วยความอยากรู้ว่าปานรุ้งเป็นเช่นไร
คมขวัญวางหูโทรศัพท์ด้วยมืออันสั่นเทา ความเจ็บปวดแล่นเป็นริ้วๆ มันมาจุกอยู่ในใจ หัวอกของคนเป็นแม่แตกสลาย คมขวัญพยายามกลั้นสะอื้นเอาไว้ ไม่ยอมร้องไห้ออกมา
ปานรุ้งเดินกอดชูนามเข้ามาหาคมขวัญ
“ขอบคุณนายแม่มากนะคะ ที่ทำตามที่รุ้งต้องการ ทีนี้รุ้งเชื่อแล้วล่ะค่ะ ว่านายแม่ทำทุกอย่างเพื่อความสุขของรุ้งจริงๆ”
ชูนามเสนอ “งั้นเราออกไปหาซื้อของสด มาทำอาหารฉลองกันดีกว่านะครับ”
“ไปสิคะ” ปานรุ้งบอกกับคมขวัญว่า “นายแม่กลับกรุงเทพฯ ก่อนก็ได้นะคะ แล้วอีกสองสามวันรุ้งจะกลับไปเตรียมงานแต่งงานจริงๆ ของ...รุ้ง”
ปานรุ้งกอดชูนามเดินออกไป
คมขวัญมองตามปานรุ้งด้วยแววตาเจ็บปวดรวดร้าว ลูกหนอลูก ใยถึงทำกับแม่เช่นนี้ได้ คมขวัญทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อย่างเจ็บปวด พูดปลุกปลอบตัวเอง
“ไม่เป็นไร เพื่อความสุขของลูก แม่ทำได้”
วาสุเทพเดินเหมือนคนที่ไร้หัวใจเข้ามานั่งที่โซฟาห้องโถงบ้านนทีพิทักษ์ โดยมีนายพลภัทร คุณหญิงสุดใจ และกติยาเดินตามเข้ามา
สามคนมองวาสุเทพด้วยความรู้สึกทั้งสงสาร และเห็นใจ
คุณหญิงสุดใจจับมือกติยาจูงนำให้ไปพูดคุย และปลอบลูกชาย กติยาเดินไปหาวาสุเทพตามที่คุณหญิงสุดใจต้องการ
“พี่เทพคะ”
วาสุเทพรีบพูดออกตัว “ยากลับไปก่อนเถอะนะ ตอนนี้พี่ยังไม่ต้องการคุยกับใคร”
กติยาชะงัก หน้าเสียที่วาสุเทพปฏิเสธตัวเองอย่างไม่ใยดี
“ค่ะ งั้นยากลับบ้านก่อนนะคะ”
กติยายกมือไหว้นายพลภัทร กับคุณหญิงสุดใจ แล้วเดินหน้าเศร้าออกไป คุณหญิงสุดใจมองตามอย่างเห็นใจ แล้วมองลูกชายอย่างไม่พอใจ
“เลิกทำตัวโศกเศร้าให้ผู้หญิงคนนั้นสักที แล้วใช้สติเรียนรู้กับเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าใครคือผู้หญิงที่ไม่เคยรักลูกเลย และใครคือผู้หญิงที่รักและห่วงเทพ แม้ว่าเทพจะทำร้าย ความรู้สึกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาไม่เคยทิ้งเทพไปไหน เห็นรึยังว่าใคร”
วาสุเทพนั่งนิ่งรู้ว่าคุณหญิงมารดาหมายถึงใคร แต่หัวใจมันไม่อยากเปิดรับใครในยามนี้
กติยาเดินหน้าเศร้าออกมาจากบ้านแล้ว เธอหยุดมองเข้าไปในบ้านด้วยความห่วง วาสุเทพ และพาลโกรธปานรุ้ง
“ปานรุ้ง เธอมันผู้หญิงเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ความสุขตัวเอง ไม่สนว่าต้องทำร้ายใคร แม้แต่คนที่รักเธอ ต่อไปนี้ ถึงทีที่เธอต้องเป็น ฝ่ายสูญเสียบ้างแล้ว”
คมขวัญบากหน้ามาเพื่อขอพบโกศล ปริญญาเดินตามหลัง สาวใช้เห็นรีบรุดออกจากในบ้านมาขวางหน้าไว้
“ขอโทษค่ะ เข้าไปไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ ฉันจะมาหาคุณโกศล”
“เอ่อ...คุณโกศลไม่อยู่ค่ะ ไปต่างประเทศ”
“ไปต่างประเทศอะไร” ปริญญาโวยชี้ไปทางรถโกศล “รถคุณโกศลยังจอดอยู่นั่นเลย”
คมขวัญยกมือห้ามปริญญา มองสาวใช้อย่างเข้าใจ “เด็กไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เขาทำตามคำสั่ง เรากลับเถอะ”
คมขวัญหันกลับจะเดินออกไป
ปริญญาใจร้อนเป็นไฟ รีบท้วง “แต่คุณนายครับ ถ้าเราไม่ได้เงินกู้ เดือนหน้าเราแย่นะครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันตัดสินใจจะขายเรือเมฆขาว เท่านี้ปัญหาก็คงทุเลาได้”
ที่ท่าเรือสมุทรเทวา เหล่าคนงานมากมายวิ่งวุ่นเป็นที่โกลาหลอลหม่าน แลเห็นกลุ่มควันไฟสีดำลอยโขมงทั่วท่าเรือไปหมด
“ไฟไหม้ๆๆ...ช่วยกันดับเร็ว....”
เสียงเหล่าคนงานตะโกนโหวกเหวก ร้องให้ช่วยกันหาถังเพื่อไปตักน้ำดับไฟที่กำลังไหม้เรือ เมฆขาว เรือสินค้าที่คมขวัญคิดจะขาย นำเงินมาปรับสภาพคล่องภายในบริษัท
กอบกับปริญญาเดินแหวกความโกลาหลของคนงานนำคมขวัญเข้ามา
คมขวัญมองภาพโกลาหลเบื้องหน้าอย่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
กอบจับตะครุบตัวคนงาน 1 ถามเอาความ “เกิดอะไรขึ้นวะ”
“ไฟไหม้เรือเมฆขาว”
คมขวัญ ปริญญา และกอบยืนอึ้ง
คมขวัญตะลึงตะไล ไม่อยากเชื่อ “อะไรนะ” แล้วเหลียวมองไปทางท่าเรือ ที่บัดนี้มีแต่กลุ่มควันสีดำลอยโขมงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างน่ากลัว
คมขวัญกลับเข้าบ้านสมุทรเทวาสักพักแล้ว และกำลังกินยา โดยมีปริญญายืนหน้าเครียดอยู่ข้างๆ
“ไฟไหม้เรือเมฆขาวแทบทั้งลำครับ วิศวกรของเราบอกว่าถ้าซ่อม คงใช้เงินหลายแสน” ปริญญารายงาน
คมขวัญกุมขมับ หน้าเครียด “แล้วเรือราตรีล่ะ”
“ใบพัดเสีย ยังหาอะไรไหล่มาเปลี่ยนไม่ได้ครับ”
“แล้วเหลือเรืออะไรที่พอจะขายได้บ้างไหม”
“ถ้าเรือที่สภาพดีและได้ราคาที่สุด มีแค่เรือเมฆขาวเท่านั้นครับคุณนาย”
คมขวัญถอนใจเครียดหนัก ไม่รู้จะทำยังไง ปานรุ้งเดินกอดชูนามเข้ามา
“ยุ่งกันอยู่รึเปล่าคะนายแม่”
คมขวัญฝืนยิ้มทัก ปั้นหน้าไม่ให้เครียดมาก “รุ้งมีอะไรเหรอ”
ปานรุ้งยื่นกระดาษบิลค่าใช้จ่ายให้คมขวัญ “เมื่อวานรุ้งกับชูนามไปจองโรงแรมเพื่อจัดงานแต่งงานของเราค่ะ”
ปริญญาท้วง “ทำไมต้องจองโรงแรมด้วยล่ะครับ น่าจะใช้บ้านจัดงานเหมือนที่เคยจัด”
ปานรุ้งไม่พอใจ พูดกับปริญญาเสียงขุ่น “ก็เพราะเคยจัดแล้ว ฉันถึงไม่อยากจัดซ้ำอีก” แล้วจึงหันมาทางคมขวัญ “งานแต่งงาน มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต รุ้งอยากจัดให้สวยที่สุด ใหญ่ที่สุด ดีที่สุด เพราะถ้ามันผิดพลาด ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากเสียใจไปตลอดชีวิต”
คมขวัญตัดบท “เอาล่ะ แม่จะจัดการทุกอย่างให้”
ปริญญามองคมขวัญที่ตามใจปานรุ้งอย่างไม่พอใจ
ชูนามยิ้มสมใจ “ว้าว นายแม่คุณรุ้งใจสปอร์ตอย่างที่คุณบอกจริงๆ ด้วย...ขอบคุณมากนะครับคุณแม่ยาย”
“งั้นเราไปเลือกชุดกันต่อดีกว่าค่ะ”
ปานรุ้งเดินกอดเอวชูนามออกไป
“ผมขอโทษนะครับคุณนาย ผมเข้าใจที่คุณนายยอมให้คุณรุ้งแต่งงานกับนายชูนาม แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณนายต้องยอมทุกอย่างที่ คุณรุ้งต้องการ คุณรุ้งควรรู้ว่าตอนนี้สมุทรเทวากำลังแย่เพราะ…”
คมขวัญขัดขึ้น “ปริญญา ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกยังไง แต่วันนึงเธออาจจะเข้าใจความรู้สึกนี้
ก็ได้นะ เวลาที่เธอมีลูก เธอจะรู้ว่าไม่มีอะไรในโลก ไม่มีสมบัติชิ้นใด ไม่มีสิ่งของใดที่จะมาแทนความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกได้หรอก ปานรุ้งไม่คิดว่าฉันรักเขา เขาคิดเสมอว่าฉันรักเปี่ยมขวัญมากกว่า ฉันไม่เคยรู้ เลยว่าการดูแลลุกคนนึงมาก จะทำให้ลูกอีกคนรู้สึกขาดความรักขนาดนี้ ฉันไม่อยากให้รุ้งมีชีวิตโดยไม่เชื่อในความรักอย่างนี้ ฉันเป็นคนผูกปมให้ลูก ตอนนี้ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อแกะปมนั้นออกจากใจของลูก ให้ลูกได้รู้และเชื่ออีกครั้งว่าไม่มีพ่อแม่คนไหน ไม่รักลูก”
ปริญญาอดตัดพ้อไม่ได้ “แม้ว่าจะต้องแลกด้วยความเจ็บปวดของคุณนาย”
“แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของฉัน ฉันก็ยอม”
ปริญญามองสงสารคมขวัญ กังวลเหลือเกินว่า ปานรุ้งจะมีวันได้เห็นหัวใจแม่คนนี้ไหมหนอ
ค่ำนั้น ปานรุ้งควงชูนามมาเลือกซื้อดอกไม้ราคาแพงจากเมืองนอกที่ปากคลองตลาด โดยมีเกื้อเดินตามหลัง และมองตามปานรุ้งกับชูนามด้วยสายตาเจ็บปวด
หลายจังหวะเขาต้องก้มหน้าหนี ไม่อยากมองภาพบาดหัวใจนั้น
เกื้อสะดุดตากับรองเท้าของปานรุ้งที่เดินเหยียบย่ำไปบนหนังสือพิมพ์เกลื่อนพื้นทางเดิน โดยหน้าหนึ่งฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวว่า “คมขวัญเจอศึกหนัก คนงานประท้วงทวงค่าแรง”
เกื้อก้มลงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านชัดๆ แล้วนึกถึงคุณนายคมขวัญขึ้นมาครามครัน
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดคมขวัญอีกระลอก คนงานและพนักงานสมุทรเทวาเดินเรือ ราว 40 คน ต่างรวมตัวชูป้ายประท้วงขอค่าแรงที่ค้างไว้อย่างชุลมุนวุ่นวาย
คนงานชูป้าย ตะโกนขึ้นพร้อมกัน “เงินเราอยู่ไหน...เงินเราอยู่ไหน...เงินเราอยู่ไหน”
คมขวัญยืนมองการประท้วงของคนงานอยู่ที่หน้าต่างด้วยสีหน้าเครียด ปริญญาเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
“คนพยายามเจรจากับหัวหน้าคนงานแล้วครับ พวกนั้นขอเงินอย่างน้อย 3 ใน 4 ก่อน แล้วถึงจะยอมขนสินค้าและเดินเรือต่อ เงินของเรามี ไม่พอจ่ายมากขนาดนั้น เราจะเอายังไงต่อดีครับคุณนาย”
คมขวัญคิด ตัดสินใจบางอย่าง
ผู้เป็นมารดาเครียดหนัก กำลังขบคิดหาทางแก้วิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นเป็นระลอกในสมุทรเทวา แต่เวลานี้ลูกสาวนักเรียนนอก ปานรุ้ง สวยสง่า เฉิดฉายอยู่ในชุดเจ้าสาวที่มาลองใส่ เจ้าหล่อนเดินนวยนาดออกมาให้ช่างตัดชุดดูความเรียบร้อย
เกื้อมองคุณหนูของมันในชุดเจ้าสาวด้วยแววตาชื่นชมปิดไม่มิด
“ฉันสวยไหมเกื้อ”
“สวย...สวยมากครับคุณหนู”
ปานรุ้งหมุนตัวรอบกระจกเท่าตัวจริง มองตัวเองในชุดเจ้าสาวอย่างสุขสม
เกื้อมมองปลาบปลื้มไม่วางตา
พอปานรุ้งจะใส่รองเท้า แต่ด้วยชุดทำให้ใส่ไม่ถนัด เกื้อรีบเดินไปนั่งคุกเข่าตรงหน้า แล้วหยิบรองเท้ามาให้ปานรุ้งใส่
พอเกื้อยกเท้าข้างหนึ่งจะสวมรองเท้าให้ ร่างปานรุ้งเซถลา เกื้อเงยหน้ามองพลางบอก
“จับหัวผมไว้ก็ได้ครับคุณหนู”
ปานรุ้งจึงเอามือเท้าหัวเกื้อไว้ ให้เกื้อใส่รองเท้าให้
“รองเท้าใส่สบายไหมครับ”
“คับนิดๆ แต่ฉันชอบคู่นี้”
“ถ้าชอบ แต่ใส่แล้วเจ็บ สู้คุณหนูลองรอดูคู่อื่นไม่ดีกว่าเหรอครับ”
ปานรุ้งรู้ว่าเกื้อหมายถึงชูนาม
“ฉันเลือกแล้วเกื้อ ต่อให้ใครว่าใครไม่ดี แต่ถ้าฉันชอบ ฉันก็ไม่แคร์” เจ้าหล่อนมองชุดตัวเอง แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “ไม่รู้ชูนามจะชอบไหม เขาไม่น่าติดคุยธุรกิจกับเพื่อนตอนนี้เลย แต่เอาเถอะ เพื่อความมั่นคงของครอบครัวฉัน นายแม่จะได้รู้ว่าฉัน เลือกผู้ชายที่ดีกว่าพี่เทพ”
การเจรจาธุรกิจที่ชูนามบอกปานรุ้ง แท้จริงคือการเล่นไพ่อยู่ที่โต๊ะหนึ่ง ภายในอโคจรสถาน บ่อนขนาดใหญ่กลางกรุงแห่งนี้
ร้อยกรองยืนดูคนเล่นไพ่อยู่อีกโต๊ะหนึ่งติดๆ กัน โดยที่ร้อยกรองคอยเหล่ส่องไพ่ของคนที่เล่นร่วมโต๊ะกับชูนาม คอยส่งสัญญาณให้ลูกชาย
ชูนามดูไพ่ในมือ พลางเหล่ตามองแม่
ร้อยกรองแกล้งทำกระเป๋าถือตกใกล้ๆ คนที่นั่งตรงข้ามกับชูนาม ก้มเก็บกระเป๋าพร้อมกับแอบดูไพ่ แล้วทำนิ้วเป็นจำนวนเลขพร้อมกับเกาหัว
ชูนามยิ้มเข้าใจ แล้วเหลือบตาไปทางอีกคนหนึ่ง ให้แม่แอบดูไพ่คนนั้นอีกคน ร้อยกรองแกล้งเดินไปแล้วแกล้งทำเป็นเจ็บขา
“อุ๊ย อะไรตำเท้าวะ”
ร้อยกรองแสร้งก้มลงไปดูเท้าตัวเอง แล้วชะโงกหน้าดูแต้มคนในวงไพ่ชูนาม
ระหว่างนี้ เฮียโม เจ้าของบ่อนเดินมายืนข้างๆ ร้อยกรอง
“อะไรตำเท้าเหรอคุณร้อยกรอง”
ร้อยกรองชะงักกึก ค่อยๆ เงยหน้ามอง “อุ๊ย! เฮียโม!” แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่เจอตั้งนาน เห็นลูกน้องบอกไปตรวจงานบ่อนที่มาเก๊าเหรอ”
เฮียโมหันไปทักชูนาม “วันนี้เล่นได้เยอะไหมคุณชูนาม”
ชูนามแกล้งโยนไพ่อย่างอารมณ์เสีย “ได้อะไรล่ะเฮีย เสียอีกแล้วเนี่ย เรากลับกันเถอะแม่”
ชูนามจะลุก แต่ถูกเฮียโมจับไหล่ให้นั่งลงที่เดิม
“จะรีบไปไหนล่ะ เล่นเสียก็ต้องหาทางเอาคืน”
“ผมไม่มีทุนจะเอาคืนแล้วเฮีย”
เฮียโมวางปึกเงินลงตรงหน้าชูนาม “เห็นว่าเป็นลูกค้าประจำ ผมให้ทำทุน”
แม่ลูกผีพนันสิงเต็มร่างมองเงินตาโต ร้อยกรองรีบเดินไปหาชูนาม
“เฮียอุตส่าห์มีน้ำใจ ลูกต้องเล่นให้ได้คืนนะชูนาม”
ชูนามคุยโวทันที “ระดับมือชูนาม ไม่ได้คืน คืนนี้ไม่ออกจากบ่อน”
จากนั้นชูนามก็โกยไพ่กลับมาเล่นต่อ โดยมีร้อยกรองยืนเชียร์ข้างๆ
เฮียโมมองชูนามยิ้มๆ แล้วปรายตาไปมุมหนึ่งของห้อง เห็นเพียงด้านหลังไวๆ ของมิสเตอร์เจสันที่เดินหายลับมุมห้องแล้วออกจากประตูไป
ฝ่ายวาสุเทพเอาแต่นั่งเศร้าเหม่อซึมอยู่ที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน สักครู่หนึ่งกติยาถือถาดใส่น้ำมะขาม และจานใส่ขนมเปี๊ยะไส้ถั่วไข่แดงมาให้
“ทางของว่างค่ะพี่เทพ”
“ขอบคุณนะยา แต่พี่ไม่หิว”
นายพลภัทรกับคุณหญิงสุดใจเดินเข้ามาสมทบด้วยสีหน้าเบิกบาน
“ถึงไม่หิว เทพก็ต้องกินนะลูก แม่ไม่ยอมให้เทพป่วยตอนนี้นะ เพราะเทพมีงานใหญ่รออยู่”
วาสุเทพมองคุณหญิงมารดาสีหน้าสงสัย “งานใหญ่อะไรครับ”
คุณหญิงยิ้มมองท่านนายพล ให้เป็นคนพูดบอก
“เพื่อนพ่อโทรมาบอกเมื่อกี้ ว่าผู้ใหญ่เห็นผลงานที่เทพไปจับโจรสลัดได้ท่านเลยเลื่อนตำแหน่งเทพจากเรือโทเป็นเรือเอก”
กติยาตื่นเต้นดีใจ “จริงเหรอคะ”
คุณหญิงสุดใจบอกอย่างตื่นเต้น “ใช่จ้ะหนูยา ต่อไปนี้ตาเทพของเราจะได้เป็นผู้การแล้ว”
กติยามองวาสุเทพอย่างภูมิใจ ดีใจที่วาสุเทพกำลังจะมีชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้น
ในที่สุดเช้าวันนี้ คมขวัญกับมิสเตอร์เจสันตกลงเซ็นสัญญาซื้อขายหุ้นของสมุทรเทวา โดยมีปริญญา นพพร และศุภกิจร่วมเป็นพยาน
“ขอบคุณคุณคมขวัญนะครับ ที่เห็นค่าความสามารถผม ยอมให้ผมถือหุ้นสมุทรเทวา 30%”
คมขวัญนั้นเจ็บปวดจนไม่อยากพูดอะไรอีก “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน”
คมขวัญลุกขึ้น เดินสง่างามออกจากห้องทำงานมิสเตอร์เจสันไป ในมาดนางพญา ปริญญาเก็บเอกสารซื้อขายสัญญา แล้วเดินตามออกไปติดๆ
นพพรกับศุภกิจมองตามคมขวัญและปริญญาอย่างยิ้มเยาะ
“สุดท้ายดินแดนของนางพญาก็ตกเป็นของบอส” นพพรยิ้มสะใจ
“แค่ 30% เอง ยังไม่เรียกว่าครอบครองหรอก”
มิสเตอร์เจสันมองสัญญาแล้วยิ้มร้าย “ศุภกิจพูดถูก ถ้าจะเอา ฉันต้องได้ทั้งหมด”
ถัดมาไม่นาน นพพรเปิดประตูให้มิสเตอร์เจสันเดินออกจากห้อง ศุภกิจเดินตามหลัง มิสเตอร์เจสันเดินไปทางหน้าลิฟท์เดินไปคุยไปกับผู้ช่วยแฝด ตอนหนึ่งนพพรบอกว่า
“แต่ตอนนี้คุณคมขวัญได้เงินของบอสไปแล้ว คนเก่งอย่างคุณคมขวัญคงหาทางจัดสรรเงินแก้ปัญหาในสมุทรเทวาได้หมด แล้วเรา จะมีทางไหนได้หุ้นมาอีกล่ะครับ”
“คุณคมขวัญจัดสรรได้ แต่คนอื่นจัดสรรไม่ได้ก็มีนี่”
มิสเตอร์เจสันเดินยิ้มเจ้าเล่ห์นำหน้าไป
นพพรกับศุภกิจมองหน้ากัน รู้ว่านายฝรั่งหมายถึงใคร
งานแต่งระหว่าง ชูนาม กับ ปานรุ้ง มาถึง งานจัดขึ้นที่โรงแรมหรูละแวกถนนสาธร มีพิธีรดน้ำสังข์ ตอนเช้า
เวลานี้ปานรุ้งกับชูนามนั่งอยู่ตรงตั่งบนเวที ผู้ใหญ่ประธานของงานกำลังเอาดินสอพองแต้มจุดที่หน้าผากให้อยู่
คมขวัญนั่งอยู่ที่แถวแขกผู้ใหญ่ ปริญญานั่งแถวถัดไป เกื้อยืนข้างๆ ยายปิ่น กอบ น้อย แจ่ม และสาวใช้อีก 2 คน อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง เกื้อนั้นมองปานรุ้งที่อยู่บนเวทีด้วยสายตาปวดร้าว
“โล่งอกที่งานนี้คุณหนูไม่หนี” แจ่มว่า
“ปากอย่างนี้ น่าเอาเหรียญยัดใส่ปาก” น้อยโมโห
แจ่มฉุน “นังน้อย ฉันยังไม่ตาย”
ปิ่นเหลือบไปเห็นสายตาอันเจ็บปวดของลูกชาย จึงเรียกสติ
“เกื้อ”
เกื้อพยายามทำหน้าตาให้เป็นปกติ ขณะมองแม่ “มีอะไรเหรอแม่”
ปิ่นตั้งใจจะพูดเตือนลูกชายแล้วชะงัก เปลี่ยนใจ “เปล่า แม่คงตาฝาดไปเอง”
น้อยบุ้ยใบ้ไปทางบนเวทีอย่างตื่นเต้น “คุณนายจะขึ้นไปรดน้ำสังข์คุณหนูแล้ว”
คมขวัญเดินขึ้นเวที กำลังรดน้ำสังข์ให้ปานรุ้ง
“แม่ขอให้รุ้งมีความสุขกับครอบครัวที่สมบูรณ์ของรุ้ง ทั้งพ่อ...แม่...ลูก” คมขวัญพูดเสียงเบาในตอนท้ายด้วยกลัวคนอื่นได้ยิน
ชูนามได้ยินคมขวัญพูดถึงลูกถึงกับชะงัก
“ลูก...ลูกอะไร”
ปานรุ้งหัวเราะกลบ “ไม่มีอะไรค่ะชูนาม” เธอพูดกับชูนาม แต่หันหน้าไปมองคมขวัญพูดนิ่งนิ่ง “รุ้งแค่เข้าใจผิด คิดว่าตัวเองท้อง”
คมขวัญอึ้ง จนทำสังข์หล่นจากมือ เพื่อนเจ้าสาวต้องรีบเข้ามาหยิบสังข์ให้คมขวัญใหม่
ประมุขสมุทรเทวารับสังข์มาด้วยมือที่สั่นเทา มองปานรุ้งอย่างไม่อยากเชื่อคำพูดเมื่อครู่
“นี่รุ้งไม่ได้ท้องเหรอลูก”
ปานรุ้งยิ้มยั่ว “ถ้ารุ้งไม่หลอก รุ้งก็คงไม่ได้แต่งงานกับชูนาม ก็เหมือนที่นายแม่หลอกว่ารักรุ้ง เพื่อให้รุ้งแต่งกับพี่เทพนั่นแหละค่ะ อย่าโกรธรุ้งเลยนะคะ”
“แม่ไม่โกรธรุ้งหรอก ลูกเอ๋ย คนเป็นแม่ พร้อมเป็นเก้าอี้เมื่อลูกเมื่อย พร้อมเป็นหมอนให้ลูกหนุนเมื่อลูกเหนื่อย พร้อมเฉือนเนื้อตัวเองให้กินได้เมื่อลูกหิว และพร้อมเป็นคนโง่เมื่อลูกอยากให้เป็น แม่พร้อมยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกคำๆ เดียวมาให้ลูก นั่นคือความสุขของลูก”
คมขวัญเอามือประคองแก้มปานรุ้งด้วยความรัก แต่ในสายตาของคมขวัญแฝงด้วยความปวดร้าว
“วันที่รุ้งมีความสุข ไม่ต้องคิดถึงแม่ แต่วันไหนที่รุ้งทุกข์ ขอให้คิดถึงแม่ จำคำแม่ไว้นะลูก”
ปานรุ้งมองคมขวัญด้วยความรู้สึกอื้ออึงในใจ รู้สึกผิดที่โกหกแม่ แต่ความเจ็บปวดและยังโกรธไม่หาย ทำให้ปานรุ้งกดข่มความรู้สึกผิดนั้นไว้ลึกสุดใจ
คมขวัญเดินไปรดน้ำสังข์ชูนาม พูดขู่ไว้
“อย่าทำให้รุ้งเสียใจ ไม่อย่างนั้น ฉันไม่เอาเธอไว้แน่”
คมขวัญเดินตัวตรงออกไป ชูนามทำหน้าไม่ยี่หระ ไม่แคร์ ไม่กลัวคำขู่นั้น
ร้อยกรองมารดน้ำสังข์ปานรุ้งท่าทีกระดี๊กระด๊า
“เวลคัมทูมายแฟมิลี่นะจ๊ะ ต่อไปเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันนะจ๊ะ”
ชูนามเกรงว่าแม่จะหลุดปากเรื่องเงิน จึงพูดปราม เพราะกลัวปานรุ้งรู้แกวเสียก่อน
“แม่”
“มีหลานให้แม่เร็วนะลูก” ร้อยกรองรดน้ำสังข์ให้ชูนามกระซิบบอก “เงินของแม่มันจะได้ไม่หายไปไหน”
ชูนามปรามดังขึ้น “แม่”
ร้อยกรองหัวเราะร่ามีความสุข เดินยิ้มกระหยิ่มออกไป
แขกทยอยขึ้นรดน้ำสังข์เรื่อยๆ เกื้อยังยืนนิ่งเป็นหินอยู่ที่เดิม ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา แต่เกื้อเหมือนไม่รับรู้การเคลื่อนไหวรอบตัว หัวใจแตกสลายจนไม่รับรู้อะไรอยู่แล้ว กระทั่งได้ยินเสียงเรียกดังขึ้น
“เกื้อ...เกื้อ”
เกื้อขยับตัวมองน้อย
“คุณหนูให้ไปรดน้ำสังข์น่ะ”
เกื้อเหลียวไปมองปานรุ้งบนเวที หายใจลึกๆ เพื่อกดความเจ็บปวดไว้เบื้องลึกของหัวใจ เดินขึ้นเวทีไปรดน้ำสังข์บ่าวสาว
เกื้อมองจ้องปานรุ้ง “ผมขอให้คุณหนูมีความสุขมากๆ นะครับ”
แล้วขยับมารดน้ำสังข์ชูนาม บอกเขาว่า “ดูแลคุณหนูของผมดีๆ นะครับ”
ชูนามพูดอย่างไว้ตัว “ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องมาสอน ไอ้คนขับรถ”
เกื้อหน้าเจื่อน มองคุณหนูของมันอีกครั้ง แล้วตัดใจเดินลงจากเวที เดินตรงออกจากห้องจัดเลี้ยงไปเลย
เกื้อเดินออกจากห้องจัดงานด้วยหัวใจแตกสลาย ด้วยผู้หญิงที่เขารักและเทิดทูนได้กับผู้ชายที่ไม่คู่ควร แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้ นอกจากยืนมองเขาจากไป
อีกฟาก มีพิธีเลื่อนตำแหน่งของวาสุเทพ บนเรือรบหลวงที่สัตหีบ
วาสุเทพยืนตัวตรงอยู่ตรงหน้าผู้บังคับบัญชา ก่อนจะทำความเคารพ ผู้บังคับบัญชาการติดแถบเลื่อนยศให้วาสุเทพ
กติยา คุณหญิงสุดใจ พลเรือเอกภัทรยืนมองภาพนั้นด้วยความตื้นตัน ภาคภูมิใจ
งานเลี้ยงฉลองจัดขึ้นตอนค่ำ ที่โรงแรมเดิม เวลานั้นปานรุ้งกับชูนามกำลังตัดเค้กแต่งงาน
ส่วนวาสุเทพกลับจากงานประดับยศ หมกตัวอยู่ในห้อง เก็บแหวนที่ใช้หมั้นปานรุ้งใส่ลงกล่อง แล้วเก็บใส่ลิ้นชักเหมือนคนตัดใจได้แล้ว
ที่ห้องฉลองสมรส ปานรุ้งกับชูนามหอมแก้มกันอยู่บนเวทีท่ามกลางเสียงเชียง เฮฮาของแขกในงาน
เกื้อยืนพิงกำแพงห้องมองภาพนั้นอยู่ แล้วค่อยๆ ทรุดลงนั่งกองกับพื้นอย่างเจ็บปวด
ถัดมา ปานรุ้งกับชูนามถือแก้วเครื่องดื่มอยู่บนเวที พิธีกรพูดให้แขกในงานร่วมส่งเสียงร้อง “ไชโย”
ระหว่างนี้ มิสเตอร์เจสัน นพพร และศุภกิจเดินเข้าห้องจัดเลี้ยงมา นพพรหยิบแก้วเครื่องดื่มจากพนักงานเสิร์ฟมาให้มิสเตอร์เจสัน
พิธีกรยกแก้วเป็นสัญญาณให้แขกร้องโห่ไชโย
แขกทุกคนชูแก้วเครื่องดื่มพร้อมพูด “ไชโย” พร้อมกัน
อีกมุมหนึ่ง เฮียโมเดินถือแก้วเครื่องดื่มเข้ามาร่วมยินดีกับชูนาม มิสเตอร์เจสันชูแก้วไชโยให้บ่าวสาว แล้วสายตาหันไปเห็นเฮียโมพอดี
เฮียโมมองหน้ามิสเตอ์เจสัน แล้วยกแก้วเป็นเชิงทักทาย
มิสเตอร์เจสันชูแก้วทักทายตอบเฮียโม อา...สองคนนี้รู้จักกัน
จากนั้นเฮียโมและมิสเตอร์เจสันต่างเพ่งมองไปที่ชูนาม ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาพร้อมกัน
ราวกับจะบอกเป็นนัยว่า คนที่กำลังจะช่วยทำให้ สมุทรเทวาและปานรุ้งล่มจมเร็วขึ้น
เขาคือ ชูนาม ดิเรกวิทยา ผู้เป็นสามีของ ปานรุ้ง นั่นเอง
อ่านต่อตอนที่ 6