ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 1
ดอกลีลาวดีร่วงตกอยู่ที่พื้นกลางสวนสวย เด็กหญิงลิลิน หรือ หนูลี ในวัย 9 ขวบ ยื่นมือลงมาเก็บ พลางมองด้วยสายตาอิ่มสุข
ลิลินมองดูสร้อยที่ทำจากดอกลีลาวดี พลันปองภพผู้เป็นบิดา ก็เข้ามาแล้วแย่งไป เด็กหญิงวิ่งไล่ ผู้เป็นบิดาวิ่งหนี
เด็กหญิงวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของบิดา ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายอุ้มไว้ด้วยความรัก พ่อ-ลูกยิ้มและหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดับวูบไป
เสียงโหยหวนดังก้องมา พร้อมกับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังร่วงลงมาจากระเบียงบ้าน ก่อนจะพุ่งตกกระแทกพื้นอย่างแรง
ลิลินสะดุ้งตื่นบนเตียงนอน เหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า พร้อมกับหายใจหอบถี่ พลางหันไปที่หัวเตียงก่อนจะหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู
“ห้าโมง”
เธอรีบทิ้งทุกสิ่ง ก่อนจะรีบกระโดดออกจากเตียงทันที
ที่ห้องแต่งตัวในผับ ที่อยู่ในโรงแรมหรูกลางกรุง ลิลินกำลังบรรจงแต่งหน้าแต่งตาอย่างพิถีพิถัน เธอเป็นสาวสวยวัย 24 ปี รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสองสี ใบหน้ารูปไข่ ผมดำ ดวงตากลมโตคมเข้มคล้ายแขก
ระหว่างนั้นพนักงานก็เดินเข้ามาบอก
“เตรียมตัวนะ อีกห้านาที”
“โอเค.”
ลิลินพูดพร้อมกับเม้มปากเบาๆ ก่อนทำท่าจะลุกขึ้นเดินไป แต่เพื่อนนักร้องเดินเข้ามาเรียกไว้
“ลิลิน เสร็จแล้วอย่าเพิ่งหนีกลับล่ะ คืนนี้มีไปต่อเบิร์ธเดย์ปาร์ตี้ยัยกีกี้”
พูดจบก็รีบเดินออกไป ไม่ทันให้ลิลินเอ่ยปากปฏิเสธ
บริเวณทางเข้าโต๊ะพูล ที่อยู่มุมหนึ่งของผับด้านล่าง ทิวัตถ์หรือวิน นักธุรกิจหนุ่มหล่อวัย 30 ปี รูปร่างสูง ผมดำ ดวงตาดำขลับ มีรอยแผลเป็นบริเวณหน้าผากใกล้ๆ ขมับ เดินเข้ามา พลางกวาดตามองไปรอบๆ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของก็ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมามองเบอร์ ก่อนจะกดรับสาย
“นี่พวกแกยังไม่ถึงอีกเหรอ?”
ในขณะที่ผับด้านบน ศักดิ์สิทธิ์ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ ท่ามกลางนักเที่ยวที่กำลังดื่ม และเต้นอย่างเมามัน
“ไอ้วิน นี่แกพูดเหมือนไม่ใช่เพื่อนกัน แกก็รู้ว่าถ้าเรื่องเที่ยวเนี่ย ฉันกับไอ้วันเคยมาช้ากว่าแกหรือไง? ”
ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี อนันยชหรือวัน ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของทิวัตถ์ ก็เอื้อมมือมาคว้ามือถือไปคุยต่อ
“พวกฉันอยู่ข้างในแล้ว แกอยู่ไหน?”
“ฉันก็อยู่ข้างในแล้ว”
อนันยชรีบเร่ง “งั้นก็เดินเข้ามาเลย พวกฉันอยู่หน้าบาร์”
ทิวัตถ์วางสาย ก่อนจะเดินงงๆ เข้าไปในผับ พลางบ่นกับตัวเองเบาๆ
“คนละที่รึเปล่าว่ะ?”
เมื่อไม่แน่ใจ เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามที่เคาน์เตอร์ พร้อมๆ กับที่เสียงเพลงในสไตล์แจ๊สเย็นๆ ดังขึ้นมา ตามด้วยเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากด้านหน้าเวที ซึ่งปิดไฟมืดสนิท
“สิ่งที่ทำให้พวกเรารู้ว่าเราเป็นใครในวันนี้ บางคนอาจจะเรียกว่าอดีต แต่ของลิน ลินเรียกมันว่าความทรงจำ”
ทิวัตถ์ชะงักกับคำพูดนั้น จนต้องหันกลับมามองซ้ำ ระหว่างนั้นเสียงขับร้องก็ดังขึ้น พลันแสงไฟบนเวทีก็สว่างวาบจับไปที่นักร้องสาวในชุดสีแดงเพลิง ยืนหันหลังเด่นตระหง่านอยู่บนเวที ก่อนที่หญิงสาวจะค่อยๆ หมุนตัวมา
ทุกคนในที่นั้นหมือนต้องมนต์สะกด รวมทั้งทิวัตถ์
ลิลินหลับตาร้องเหมือนกำลังจมดิ่งกับความทรงจำของเธอ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมา เพื่อพบว่าทิวัตถ์ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสองสบตากันไปพร้อมกับเพลงที่เธอร้องขับกล่อม
สายตาและน้ำเสียงของลิลินทำให้ทิวัตถ์เหมือนตกหลุมรักเธอทันทีตั้งแต่แรกเห็น
จู่ๆ ก็มีบริกรคนหนึ่งเดินเข้ามาหาลิลิน พร้อมกับยื่นกระดาษโน้ตให้ เธอเปิดออกดูก่อนจะมองไปยังโต๊ะที่อยู่มุมหนึ่ง
ทิวัตถ์มองตามสายตาของเธอ ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคน ท่าทางเหมือนพวกมีอิทธิพลกำลังยกมือทักทายลิลิน ที่ส่งยิ้มตอบกลับไป เขามองด้วยความรู้สึกผิดหวัง
“จะลองก่อนมั้ย?”
เสี่ยหมงพูดพร้อมกับส่งกล่องใบขนาดประมาณสองฝ่ามือให้ ลิลินรับของมา แล้วรีบบอก
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ระดับเสี่ยหมง ลินไว้ใจอยู่แล้ว”
ทิวัตถ์ที่กำลังจะไปหาอนันยชกับศักดิ์สิทธิ์ที่ผับบน เดินพ้นมุมออกมา ก่อนจะเห็นลิลินนั่งคุยกับเสี่ยท่าทางมีความลับ ก็หยุดแอบมอง
“เท่าไหร่คะ?”
ลิลินยิ้มให้ก่อนจะล้วงเงินในกระเป๋า แต่กลับถูกเสี่ยหมงจับมือไว้
“เสี่ยไม่อยากได้เงิน เสี่ยอยากได้อย่างอื่นมากกว่า ถ้ายอมไปกับเสี่ยคืนนี้ นอกจากเสี่ยจะให้ของนั่นฟรีๆ แล้วเสี่ยมีค่าเหนื่อยที่เราไม่ต้องทำงานทั้งเดือนก็ยังได้”
ทิวัถต์ได้ยินก็รู้ทันทีว่าเสี่ยหมงกำลังยื่นข้อเสนอเพื่อแลกกับอะไร?
ทางด้านลิลิน ก็พยายามปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“แหม! ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่เสี่ยลัดคิวหาของให้ลิน ลินก็เกรงใจจะแย่แล้ว แต่วันนี้ลินไปกับเสี่ยไม่ได้จริงๆ”
พูดพลางใช้มือไล้ไปตามแขนเพื่อให้เสี่ยหมงเห็นว่าเธอไม่ได้รังเกียจ
“เอาเป็นว่าถ้าลินว่างเมื่อไหร่ เดี๋ยวลินโทรหาเสี่ยดีมั้ยคะ”
ทิวัตถ์ได้ยินคำพูดของลิลิน ก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง
เพราะเข้าใจว่า เธอไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ดีอย่างที่เขาคิด
พอเห็นทิวัตถ์เดินทำหน้าเซ็งเข้ามา อนันยชก็รีบถามแบบล้อๆ
“แล้วทำไมหน้าเครียดอย่างนั้นวะ? หรือว่าดันไปหลงเด็กข้างล่างแล้วเค้าไม่เล่นด้วยหรือไง?”
คำพูดของอนันยชแทงใจดำทิวัตถ์เข้าเต็มๆ เขาทำท่าจะเดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์รีบเรียกเอาไว้
“อ้าว จะไปไหนวะไอ้วิน”
อนันยชพยักหน้า พลางตรงเข้าไปกอดคอทิวัตถ์
“เฮ้ย! นานๆเข้ามากรุงเทพฯ ทั้งที ทำตัวให้มันสนุกหน่อยซิวะไอ้วิน”
“ฉันว่าฉันจะกลับคืนนี้เลย”
อนันยชทำหน้างง “ไหนบอกว่าจะกลับพรุ่งนี้พร้อมกันไงวิน”
ทิวัตถ์ถอนหายใจ “โทษทีวัน ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี แกเที่ยวต่อกับไอ้สิทธิ์แล้วกัน”
ศักดิ์สิทธิ์รีบบอก “ได้ไง ถ้าแกกลับฉันก็กลับด้วย”
จังหวะนั้นลิลินก็เดินถือกล่องของขวัญเข้ามาทักทายนักร้องสาว 2 คน ที่ยืนเต้นอยู่ข้างๆ
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะกี้”
“แต้งกิ้วจ้ะ ดีใจจังเลยที่คืนนี้แกยอมไปกับพวกเราซักที”
ลิลินหน้าเจื่อน “ฉันแค่จะมาบอกแฮปปี้เบิร์ธเดย์แกเฉยๆ”
เพื่อนนักร้องทั้ง 2 คน รีบโวยวาย พร้อมบอกว่าหาเจ้ามือไว้ได้แล้ว พลางหันมองมาที่กลุ่มอนันยช ที่กำลังโน้มน้าวทิวัตถ์ให้อยู่ต่อ
“จะบอกให้นะเว้ย คืนนี้ฉันนัดนักร้องที่นี่เอาไว้แล้ว”
พูดพลางหันมองไปทางกลุ่มของลิลิน ที่กำลังหันมองมาพอดี ทิวัตถ์หันไปมองตาม แล้วก็ต้องอึ้งๆ ไปเมื่อเห็นลิลิน
“นักร้องที่นี่เด็ดทั้งเสียงเด็ดทั้งลีลา ไม่แน่นะเว้ย ถ้าน้องเค้าทำให้ชฉันโดนจริงๆ บางทีพรุ่งนี้แกอาจจะมีพี่สะใภ้แบบสายฟ้าแล่บก็ได้ ใครจะรู้”
ทิวัตถ์เข้าใจไปว่านักร้องที่อนันยชพูดถึงคือลิลินนั่นเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดแปลบขึ้นมาในใจ
ส่วนลิลินก็ยืนยันกับเพื่อนว่าไปไม่ได้จริงๆ เช่นเดียวกับทิวัตถ์ ที่ยืนยันว่าจะต้องกลับเหมือนกัน
“ถ้าพวกแกไม่สน ฉันเหมาหมดเลยก็ได้ ขับรถกลับบ้านดีๆ เว้ยไอ้น้องชาย”
อนันยชพูดพลางขยิบตาให้ทิวัตถ์ก่อนจะเดินผิวปากอารมณ์ดีไปหา 2 สาวที่ยืนรออยู่แล้วพากันออกไป
ทิวัตถ์ไม่ได้หันมองเพราะรู้สึกระอากับนิสัยของอนันยช ศักดิ์สิทธิ์ต้องเข้ามาตบไหล่เป็นเชิงปลอบ
“อย่าเครียดซิวะไอ้วิน มองโลกในแง่ดี ถ้าเกิดไอ้วันมันได้นักร้องเป็นเมียจริงๆ บ้านแกก็จะได้ฟังเพลง
ทั้งวันทั้งคืนไง”
แต่ทิวัตถ์ไม่ฟัง รีบจ้ำอ้าวออกไปทันที
ทิวัตถ์เดินออกมาหาห้องน้ำด้านนอก พลันสายตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นลิลินเดินถือกล่องดูลับๆ ล่อๆเขารีบเดินตามไปทันที
ลิลินเดินออกมาหามุมปลอดคนในโรงแรม ก่อนที่จะนั่งลง พร้อมกับเปิดกล่องที่เพิ่งได้มาออกดู
“ขอโทษนะครับ”
เสียงของทิวัตถ์ทำเอาลิลินถึงกับสะดุ้ง พลางรีบปิดกล่องลงตามเดิม เขาสังเกตท่าทางมีพิรุธของเธอก็ยิ่งสงสัย
“ขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ”
ลิลิทำหน้างง “คุณเป็นใคร?”
“เป็นผู้ชายที่ไม่หลงมารยาของคุณไง ผมขอพูดตรงๆ แล้วกัน ผมไม่อยากให้คุณยุ่งกับพี่ผม
ลิลินทั้งตกใจทั้งแปลกใจ
“ฉันว่าคุณคงจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะค่ะ ฉันไม่เคยยุ่งกับแขก”
“ไม่เคย ? แต่ที่ผมได้ยินมามันตรงข้ามกับที่คุณบอกนะ ผมไม่อยากจะพูดอะไรมาก เอาเป็นว่า ผมไม่อยากให้คุณยุ่งกับพี่ผม”
“ขอโทษนะคะ ฉันขอตัว”
พูดพลางจะเดินออกไป แต่ทิวัตถ์รีบคว้ามือเอาไว้
“ในกล่องนั่นมันอะไร?”
“มันจะเป็นอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
ลิลินสะบัดมือจนหลุดกำลังจะเดินไป แต่กลับถูกทิวัตถ์คว้าแขนไว้อีก
“ของดี แถมยังลัดคิวให้อีกอย่างนี้ ถ้าให้ผมเดา คงไม่พ้นยาเสพติดอะไรซักอย่าง”
“นี่คุณเป็นบ้าอะไรของคุณเนี่ย ปล่อยฉันนะ”
ทิวัตถ์ยิ้มกวนๆ “ทำไมเหรอ? ก็เมื่อกี้ผมยังเห็นคุณให้ท่าผู้ชายอยู่เลย อยู่ๆ คิดจะรักนวลสงวนตัวขึ้นมาหรือไง?”
ลิลินนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง “นั่นมันเพื่อนฉัน”
“เพื่อน? แต่เท่าที่ผมได้ยินคงไม่ใช่เพื่อนร่วมงานละมั้ง ผมว่าน่าจะเป็นเพื่อนร่วมเตียงมากกว่า”
ลิลินพยายามสะบัดให้หลุด แต่ทิวัตถ์รู้ทันจึงออกแรงจับไว้แน่น
“คุณจะมั่วผู้ชายคนไหนผมไม่สนใจ แต่ห้ามยุ่งกับพี่ผม”
“คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วนะ”
พูดพลางยกมือที่ถูกจับขึ้นมาก่อนจะกัดที่มือของอีกฝ่ายจังๆ ทิวัตถ์ร้องลั่น แล้วก็จำต้องปล่อยมือจากลิลิน
“ถ้าคุณยังจะพูดจาสกปรกอีก ต่อไปอาจไม่ใช่แค่มือ”
ลิลินกำลังจะเดินหนี แต่ทิวัตถ์ใช้อีกมือคว้าตัวเข้ามาจับไว้อีก
“ปล่อยฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”
“งั้นผมก็จะทำให้คุณร้องไม่ได้”
ขาดคำก็คว้าลิลินเข้ามาจูบ ทำเอาเธอถึงกับอึ้งไปทันที ครั้นพอตั้งสติได้ก็ใช้มือขึ้นมายันหน้าทิวัตถ์ ก่อนจะใช้เล็บจิกลงไปที่แก้มของอีกฝ่าย จนเลือดซิบ
ระหว่างนั้นเสียงของปรมัตถ์ก็ดังขึ้น
“ลิน”
ลิลินกับทิวัตถ์หันไปก็เห็นปรมัตถ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าลิน?”
ทิวัตถ์เห็นปรมัตถ์ก็เจ็บจี๊ดในใจอีก “เชื่อแล้วว่าเธอลูกค้าเยอะจริงๆ”
“ลูกค้าอะไร?”
ปรมัตถ์พูดพลางปรี่เข้าไปจะเอาเรื่องทิวัตถ์ แต่ลิลินกลับดึงไว้
“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะมัต”
ลิลินรีบดึงปรมัตถ์ออกไป ทิวัตถ์มองตามด้วยความรู้สึกผิดหวัง
ศักดิ์สิทธิ์เห็นทิวัตถ์เอาทิชชู่ซับเลือดที่แก้ม ก็เซ้าซี้ถามอย่างสงสัย
“ไอ้วิน แกอย่ามาโกหกฉัน กิ่งไม้เกี่ยวบ้าอะไรถึงได้เหมือนรอยเล็บซะขนาดนั้น บอกมานั่นมันรอยเล็บผู้หญิงใช่มั้ย?”
“ถ้าแกยังถามไม่เลิก จะมีรอยเท้าฉันบนหน้าแก”
ทิวัตถ์หงุดหงิด เพราะยังเจ็บใจเรื่องลิลินไม่หาย
“สับรางเก่งอย่างนี้ มืออาชีพจริงๆ”
“ถ้าลินบอกมัตตั้งแต่เมื่อกี้ มัตจะสั่งสอนมันเอง”
ปรมัตถ์หันมาพูดกับลิลินขณะที่เดินมาตามทางด้วยกัน
“ด้วยอะไร? หนังสือกฎหมายหนาเจ็ดร้อยหน้าน่ะเหรอ?”
ปรมัตถ์หน้าเสีย “ลินพูดเหมือนว่ามัตดูแลลินไม่ได้”
“ลินเชื่อว่ามัตดูแลลินได้ แต่ไม่อยากให้เกินคำว่าเพื่อน”
ปรมัตถ์ถึงกับหน้าชา แม้เขาจะได้ยินมาหลายครั้ง แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บทุกทีที่ได้ฟัง
“แต่ยังไงก็ขอบใจนะที่คอยมารับทุกคืนอย่างนี้”
“มัตอยากให้คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย”
พูดพลางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแฟ้มแล้วส่งให้ลิลิน
“ใบสมัครงาน? เราเคยคุยกันเรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอมัต”
“มัตรู้ว่าลินชอบร้องเพลง แต่มัตไม่อยากให้ลินทำงานอย่างนี้ ไม่อยากให้ลินต้องเจอไอ้พวกที่คิดแต่เรื่องใต้สะดือ”
ลิลินถอนหายใจ
“ลินเคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าถ้ามัตจะให้ลินเลิกทำงานกลางคืน มัตต้องหาข้อมูลที่ลินต้องการมาให้ได้ก่อน”
“มัตได้มันมาแล้ว”
ลิลินหันขวับกลับมา แววตาลุกโชนขึ้นมาทันที
ลิลินกำลังนั่งเขียนจดหมายอยู่ที่โต๊ะทำงานภายในห้องพักเล็กๆ ของเธอ
“ขอโทษที่หายไปหลายวัน หวังว่าแม่ดาคงไม่โกรธนะคะ วันนี้หนูเจอแต่คนแย่ๆ เรื่องแย่ๆ”
ยิ่งนึกถึงรอยจูบของทิวัตถ์ก็ยิ่งโมโห
“ทำไมคะ ทำไมพวกผู้ชายจะต้องคิดว่านักร้องกลางคืนเป็นผู้หญิงไม่ดี ขอโทษนะคะ ที่หนูเล่าแต่เรื่องแย่ๆ ที่จริงวันนี้มันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ๆ ซะทีเดียวหรอกค่ะ อย่างน้อยมันก็มีเรื่องที่ทำให้หนูดีใจมาก ดีใจจนอยากเล่าให้แม่ดาฟัง
พรุ่งนี้จะเป็นวันเริ่มต้น ที่หนูจะทำสิ่งที่ค้างคาใจซะที หนูรู้ว่าหนทางที่หนูกำลังจะเดิน เป็นหนทางที่อันตราย หนูไม่รู้ว่าหนูจะมีโอกาสได้เขียนถึงแม่ดาอีกนานแค่ไหน? ถ้าเป็นได้ หนูอยากเจอแม่ดา แม่ดาที่อุปถัมภ์เด็กกำพร้าอย่างหนูจนทำให้หนูมีวันนี้”
ลิลินวางปากกา ก่อนจะหันไปหยิบกล่องที่ได้จากเสี่ยหมงมาวางไว้ที่โต๊ะแล้วเปิดออก พลางมองจ้องปืนพกสั้นออโต้เมติก ที่อยู่ในกล่องด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
น้อยค่อยๆ ย่องเข้ามาที่หน้าห้องของศุภิสราอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่า พลางค่อยๆ เอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู แล้วก็นึกแปลกใจ ที่ประตูไม่ได้ล็อก
ประตูห้องของมารดาทิวัตถ์ถูกเปิดออก น้อยค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไป ระหว่างนั้นก็มีเงาพาดผ่านด้านหลัง น้อยถึงกับชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หัน แล้วกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ
“อ๊ายยย กลัวแล้ว กลัวแล้วค่ะ อย่าทำอะไรน้อยเลยนะคะ”
จากนั้นร่างก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น พลางพนมมือไหว้ประหลกๆ
“ใครให้ขึ้นมาบนนี้?”
น้อยได้ยินเสียงคุ้นหู ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเห็นศุภารมย์ ยืนมองด้วยแววตาเรียบเฉย
“คุณท่าน”
ระหว่างนั้นป้าจวนวิ่งขึ้นมา พอเห็นศุภารมย์ก็ตกใจ
“คุณผู้หญิง เกิดอะไรขึ้นคะ?”
ศุภารมย์ไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “คำสั่งของฉันไม่มีความหมายเลยใช่มั้ย?”
ป้าจวนหันขวับไปทางน้อยทันที
“นังน้อย แกทำอะไรลงไป บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามขึ้นมาบนนี้ รีบขอโทษคุณท่านเดี๋ยวนี้”
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจว่าเธอคงอยากรู้อยากเห็น”
น้อยหน้าซีด ตัวสั่น “ขอโทษค่ะคุณผู้หญิง ต่อไปนี้น้อยไม่ทำอีกแล้วค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
ป้าจวนรีบกระชากน้อยออกไปทันที ศุภารมย์มองตามด้วยสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะหันไปมองที่ห้อง
ศุภิสราก็เห็นประตูยังเปิดเอาไว้อยู่ ขณะกำลังลังจะปิดประตูเข้าไป
พลันก็ได้ยินเสียง เพล้ง ดังออกมามาจากภายในห้อง
ศุภารมย์ชะงักมือด้วยความแปลกใจระคนสงสัย แล้วก็รีบเดินเข้ามาในห้อง เห็นผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์และเตียงเอาไว้เพื่อกันฝุ่น พลางเดินไปรอบๆ ห้อง เพื่อหาที่มาของเสียงที่เหมือนมีอะไรแตก ก่อนจะมาเจอหน้าต่างกระจกที่ถูกลมพัดกระแทกจนแตก
พลางรำลึกถึงภาพความหลัง
เหตุการณ์ครั้งนั้น ศุภิสราหยิบแจกันขึ้นมาท่าทางคลุ้มคลั่ง ศุภารมย์ร้องห้ามเสียงหลง
“อย่าต้อย”
แต่อีกฝ่ายไม่ฟัง ฟาดแจกันใส่เต็มแรง จนแตกกระจายเกลื่อนพื้น พร้อมๆ กับที่เลือดค่อยๆ ไหลออกมา
ศุภารมย์สะดุ้งหลุดจากภวังค์เพราะเสียงบางอย่าง พอหันมองไปมอง ก็เห็นผ้าขาวที่ถูกลมพัด ลงมากองอยู่กับพื้น
ครั้นไล่สายตาขึ้นไป ก็เจอกรอบรูปถ่ายที่ล้มคว่ำหน้าอยู่บนหลังโต๊ะเล็กๆ ที่ข้างหน้าต่าง ศุภารมย์หยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดู เห็นรูปศุภิสรา ที่แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านมาหลายปี แต่ก็ยังเห็นความหวั่นใจในแววของเธอทุกครั้งที่มองหน้าน้องสาวของตัวเอง
ศุภารมย์ตัดสินใจที่จะไล่น้อยออก มิไยที่ป้าจวนจะพยายามค้าน แต่ก็ไม่เป็นผล ได้แต่ก้มหน้าแล้วเดินออกไป ระหว่างนั้นเสียงทรงพล บิดาของทิวัตถ์ก็ดังขึ้น
“เด็กนั่นอาจจะไม่รู้อะไรก็ได้นะ”
ศุภารมย์หันมอง
“รูรั่วนิดเดียวก็ทำให้เรือล่มได้นะคะ”
ทรงพลถึงกับนิ่งไป
“งั้นก็แล้วแต่คุณแล้วกัน ยังไงผมก็ให้สิทธิ์คุณดูแลเรื่องภายในบ้านอยู่แล้ว วินกับวันยังไม่ลงกันมาอีกเหรอ?”
“กว่าจะคุยกับลูกค้าเสร็จก็ดึกแล้ว ไหนจะตีรถจากกรุงเทพมาอีก คงจะกลับกันดึกแหละคะ”
ระหว่างนั้นทรงพลก็เหลือบไปเห็นอนันยชกำลังย่องผ่านมาที่หน้าห้อง แล้วก็รีบพุ่งตรงไปที่บันได กำลังจะเดินขึ้นไป สวนกับทิวัตถ์ที่เดินลงมาพอดี
“วัน เพิ่งกลับเหรอ?”
อนันยชยกมือจุ๊ปาก เป็นเชิงปราม “ชู่ว์ เดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้ฟัง”
พูดพลางทำท่าจะรีบวิ่งขึ้นบันได แต่แล้วเสียงของศุภารมย์ก็ดังขึ้น
“กินอะไรก่อนมั้ยวัน”
พูดพลางเดินตรงเข้ามา โดยมีทรงพลเดินตามมาด้านหลัง
อนันยชชะงัก พลางหันมองหน้าศุภารมย์ แล้วก็ทรงพล
“แม่ คุณน้า โธ่อย่าทำหน้าอย่างนี้ซิแม่ นานๆ ผมได้เข้ากรุงเทพทีก็อยากจะขอเที่ยวหน่อย”
ศุภารมย์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “อาทิตย์ละครั้ง ไม่ได้เรียกว่านานมั้ง”
ระหว่างนั้นศุภารมย์เหลือบไปเห็นรอยแผลที่แก้มของทิวัตถ์
“วิน ทำไมหน้าเป็นอย่างนั้น”
ทิวัตถ์ชะงักไป
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีเมื่อวานขับรถกลับมามีมอเตอร์ไซค์ตัดหน้าก็เลยเบรกกะทันหันน่ะครับ”
ศุภารมย์ทำท่าตกใจ “ตายจริง !แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าวิน”
“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”
ศุภารมย์หันมาทำตาดุใส่อนันยช
“วัน เป็นไง ห่วงแต่เที่ยว ถ้าน้องเป็นไรไปจะว่ายังไง?”
ทิวัตถ์รีบพูดแก้แทน “แม่ต่ายอย่าว่าวันเลยครับ ต่อไปผมจะขับให้ระวังกว่านี้”
“แต่เราไม่เป็นปกติเหมือนคนอื่นนะวิน”
ทิวัตถ์ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป ก่อนจะพูดขึ้นเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร
“เช้านี้ยายจวนทำอะไรให้กินนะ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป ศุภารมย์รู้สึกผิดที่ไม่ได้ระวังคำพูด จนทรงพลต้องเดินเข้ามาโอบปลอบใจ
“ไปวัน ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป”
พอศุภารมย์เห็นว่าอนันยชออกไปแล้วจึงหันมาบอกกับทรงพล
“ขอโทษค่ะ คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อเช้า เลยทำให้ฉันคิดถึงแต่เรื่องอดีต”
“ไม่เป็นไรนะคุณ”
ศุภารมย์อมยิ้มน้อยๆให้กับทรงพล ระหว่างนั้นป้าจวนเข้ามา
“คุณท่านคะ มีคนมาหาค่ะ”
อ่านต่อหน้า 2
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ทรงพลกับศุภารมย์เดินเข้ามาที่ห้องรับแขก ก็เห็นวาสนานั่งรออยู่
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
วาสนาหันไปพอเห็นศุภารมย์เดินเข้ามากับทรงพลก็รีบลุกเข้ามาหา
“แม่ต่าย คงไม่ได้มาเช้าไปนะ”
ทรงพลส่ายหน้าอย่างสุภาพ “ไม่หรอกครับ คุณป้าสบายดีนะครับ”
“ก็ตามวัยแหละพ่อพล สามวันดีสี่วันไข้ เนี่ยไอ้ค่านายหน้าที่ดินคราวที่แล้วก็ร่อยหรอลง เพราะเอาเงินไปรักษาตัว”
ทรงพลเหลือบตามองศุภารมย์ แต่เห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่ง
“ทีหลังคุณป้าก็รักษาใกล้ๆ ก็ได้นี่คะ ทำไมต้องไปถึงปอยเปต”
วาสนาหน้าเจื่อน
“นี่แม่ต่าย ฉันเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอนะ พูดจาให้มันดีๆ หน่อย”
ทรงพลรีบแทรกขึ้นมา เพื่อช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
“อย่ามีอารมณ์เลยครับ ต่ายเขาหยอกคุณป้าให้เลือดลมสูบฉีดน่ะครับ”
ระหว่างนั้นเสียงอนันยชดังแทรกขึ้น
“แต่ท่าทางจะฉีดขึ้นไปแต่ที่หน้านะครับ ดูซิ หน้าเลือดเชียวยาย”
ทุกคนหันไปก็เห็นอนันยชเดินเข้ามากับทิวัตถ์ วาสนาแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน
“แหม ตาวันนี่ล้อยายเล่นแต่เช้าเชียว พ่อวินมาก็ดีแล้ว ที่ยายมาวันนี้เพราะพ่อวินเลยนะ”
ศุภารมย์กับทรงพลได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
“มีอะไรคะ?”
อนันยชรีบพูดแทรก “มีอะไรอีกล่ะแม่ ก็คงไม่พ้นพาลูกสาวคนโน้นคนนี้มาให้เจ้าวินดูตัวเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“แต่คนนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมานะ รับรองว่าถ้าพ่อวินเห็นแล้วจะต้องชอบ”
ทิวัตถ์ฝืนยิ้ม
“ขอบคุณนะครับที่หวังดีกับผม แต่ผมไม่อยากให้พวกเธอเสียเวลา ผมคิดว่าตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะมีใคร”
“เอาล่ะ จะพูดอะไรก็พูดไป แต่ถ้าเห็นผู้หญิงคนที่ยายอยากให้เจอแล้วล่ะก็ พวกเธอจะต้องชอบ”
วาสนาพูดพร้อมกับแอบยิ้มร้าย ศุภารมย์มองอย่างครุ่นคิด พลางพยายามหาวิธีจัดการ
ลิลินวิ่งพรวดเข้ามาในร้านกาแฟ ขณะที่ปรมัตถ์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเธอมาถึง เขาก็รีบหยิบซองเอกสารส่งให้ ลิลินรีบเปิดออกมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นเอกสารประวัติและรูปถ่ายของบุญช่วย
“อันนั้นเป็นประวัติและคดี แกติดคุกข้อหาสมรู้ร่วมคิดกันฆ่าผู้อื่น แต่มัตได้ข่าวว่า แกพ้นโทษเมื่อเดือนที่แล้ว”
“แล้วมัตรู้มั้ยว่าแกอยู่ไหน?”
ปรมัตถ์ส่ายหน้า “แต่ที่ผ่านมา คนที่พ้นโทษส่วนใหญ่ก็มักจะกลับไปที่บ้านเกิดตัวเอง”
ลิลินได้ยินอย่างนั้น แววตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินเคียงกันมาตามทางเดิน ปรมัตถ์พยายามพูดให้ลิลินปล่อยวางเรื่องของคดี
“มัตถ์รู้ว่าลินผ่านอะไรมา แต่มันไม่มีประโยชน์ที่ลินจะรื้อฟื้นอดีตนะ”
ลิลินยิ้มน้อยๆ “มัตคิดว่าลินจะทำอะไร คิดว่าลินจะกลับไปรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่หรือไง?”
“แล้วลินให้มัตหาประวัติของผู้ชายคนนั้นทำไม?”
“ตอนลินเด็กๆ แกก็เปรียบเหมือนญาติผู้ใหญ่อีกคน มัตก็รู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้ลินไม่เหลือใครแล้ว
ลินก็แค่อยากจะเจอแกอีกครั้ง อย่างน้อยแกก็เคยเลี้ยงลินมา”
ลิลินพยายามซ่อนความต้องการเอาไว้ แต่ปรมัตถ์ก็รู้ทัน
“ต่อให้ลินพยายามจะพิสูจน์ว่าพ่อของลินไม่ได้เป็นฆาตกร แต่ลินก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ทุกอย่างมันจบแล้วนะลิน มัตอ่านคดีแล้ว ถึงลินจะเชื่อว่าพ่อของลินไม่ได้เป็นฆาตกร แต่ว่า...”
ลิลินโพล่งขึ้นทันที “ไม่จริง พ่อลินไม่ได้ทำ พ่อไม่ได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้น”
“แต่ทั้งพยานแวดล้อม พยานบุคคล ต่างชี้ไปทางเดียวกันว่าพ่อลินเป็นคนทำ แต่ทำไมลินยังเชื่อว่าพ่อลินไม่ได้ทำ”
ลิลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยแววตาที่มั่นใจ
“พ่อลินไม่เคยโกหก ลินรู้ว่าเหตุผลแค่นี้มันน้อยเกินไป แต่ยังไงลินก็เชื่อว่าพ่อลินไม่ได้เป็นฆาตกร”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของลิลินดังขึ้น เธอมองเบอร์ก่อนจะรับสาย
“ค่ะ ครูใหญ่ อ้าวเหรอคะ ได้ค่ะ เดี๋ยวลินจะซื้อเข้าไปให้ ค่ะ สวัสดีค่ะ”
ลิลินวางสายก่อนจะหันมาบอกปรมัตถ์
“ครูใหญ่ฝากซื้อยา มัตไปด้วยกันมั้ย?”
ปรมัตถ์ปฏิเสธ เพราะติดงาน ลิลินพยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางกำลังจะเดินออกไป แต่กลับถูกอีกฝ่ายจับมือไว้
ลิลินมองมือของปรมัตถ์ เขารู้ตัวจึงรีบปล่อย
“ตอนนี้มัตทำตามสัญญาแล้ว ลินล่ะ ลินเคยสัญญากับมัตว่าลินจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อไหร่ล่ะลิน”
ลิลินไม่ตอบ แต่แววตาฉายความจริงจังออกมาอย่างชัดเจน
ที่บริษัทเอสพีคอนสตรัคชั่น ทิวัตถ์และอนันยชเดินคุยกันเข้ามาตามทาง
“ไม่เบื่อบ้างหรือไงวิน? ยายน้อยแกแทบจะหาผู้หญิงมาประเคนแกแทบทุกวัน”
ทิวัตถ์พยายามมองในแง่บวก “หึ ก็คิดว่าซะว่าแกหวังดีก็แล้วกัน”
“หวังเงินละซิไม่ว่า ฉันไม่เห็นยายน้อยแกจะทำอะไรโดยไม่หวังเงินซักอย่าง”
อนันยชพูดจบก็หาวออกมา ทิวัตถ์เหลือบมอง ในใจคิดว่าเขาอยู่กับลิลินทั้งคืน
“ก็คงจะเหมือนพวกผู้หญิงกลางคืนของนายมั้ง วัน ฉันไม่อยากให้นายยุ่งกับผู้หญิงกลางคืนมาก เพราะถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา คนที่น่าสงสารไม่ใช่นาย แต่เป็นผู้หญิงคนนั้น เพราะแม่ต่าย คงไม่ยอมรับผู้หญิงที่มีอาชีพอย่างนั้น”
อนันยชทำหน้าสงสัย ระหว่างนั้นเสียงมือถือของทิวัตถ์ดังขึ้น เขามองเบอร์ แล้วก็ถอนหายใจ
“ฉันว่าแกห่วงเรื่องแฟนเก่าแก ก่อนที่จะห่วงฉันจะดีกว่า”
อนันยชตบไหล่ทิวัตถ์ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ทิวัตถ์ยืนมองมือถือสีหน้าเครียดอยู่คนเดียว
อีกด้านหนึ่ง สิตา สาวมั่นในชุดแต่งกายสีสันจัดจ้าน เปรี้ยวจี๊ด ยืนคุยมือถือท่าทางร้อนใจอยู่หน้าห้างสรรพสินค้า
“วิน วินต้องช่วยตานะ”
“ใจเย็นนะตา มีอะไรค่อยๆ เล่า”
คฑาวุธที่นั่งทำงานอยู่หน้าห้อง พอเห็นทิวัตถ์เดินคุยมือถือเข้าห้องทำงานไป ก็รีบวิ่งไปประชิดประตูเพื่อแอบฟังทันที
“ไหนวินบอกว่าจะอยู่กรุงเทพฯ 2-3 วันไงคะ”
“ตอนแรกผมก็คิดว่าอย่างนั้น แต่พอดีลูกค้าตัดสินใจได้เร็วนะ ตามีอะไรรึเปล่า? อย่าบอกนะว่าตอนนี้ตาอยู่กรุงเทพฯ”
“ก็ใช่ซิคะ วินมาหาตาได้มั้ย?”
ทิวัตถ์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจปฏิเสธ “คงไม่ได้หรอกตา”
“แต่ตาอยากเจอวินนี่คะ ถ้าวินไม่มาหาตาตอนนี้ พรุ่งนี้วินก็เตรียมเห็นตาในข่าวหน้าหนึ่งได้เลย”
ทิวัตถ์วางสายไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะหวั่นใจว่าสิตาจะคิดสั้น
ขณะที่สิตาพอวางสาย ก็รีบหันไปบอกกับผู้ติดตามที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เดี๋ยวแกขับรถกลับไปเลย”
“แล้วถ้าเสี่ยถามหาคุณหนูละครับ?”
สิตาทำหน้าหงุดหงิด “แกอยากจะบอกอะไรก็บอกไปซิ ไป”
จากนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะมั่นใจว่าอย่างไรเสียทิวัตถ์ก็ต้องมา
ส่วนคฑาวุธพอเห็นทิวัตถ์เดินออกไป ก็รีบหยิบมือถือมากดโทร. ออกทันที
ลิลินกำลังเดินมาตามทาง ระหว่างที่เธอกำลังตรวจเช็คยาที่ซื้อมา บังเอิญกล่องยาหลุดมือกลิ้งตกพื้นไป เธอรีบตามไปเก็บ ขณะที่ก้มลงเก็บกล่องยาที่พื้น ก็เห็นเท้าของใครบางคนเดินเข้ามา ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง ก็อึ้งไปเมื่อเห็นทิวัตถ์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ผ่านหน้าไป
“ตอนนี้ผมถึงแล้ว คุณอยู่ไหน? ได้ เดี๋ยวผมไปหา”
ทิวัตถ์วางสายก่อนจะรีบเดินออกไป ลิลินมองตามอย่างคิดจะเอาคืน
สิตานั่งดื่มไวน์อยู่ในร้านอาหาร พอเห็นเดินเข้ามา ก็รีบปราดเข้าไปจะกอด แต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งมือไว้
“ให้ผมมาถึงกรุงเทพฯ หวังว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญนะตา”
สิตาหันมองไปที่ถุงข้าวของก็จำนนต่อหลักฐาน
“วินจำไม่ได้หรือไงว่าวันนี้เป็นครบรอบที่เราไปดูน้ำตกไนแอการ่าด้วยกัน”
ทิวัตถ์ทำหน้าเซ็ง “ตาอยากเจอผมเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ?”
“แค่นี้เหรอวิน? วินจำไม่ได้หรือไงว่า...”
“อย่าพูดเรื่องเก่าๆ เลยตา เรื่องของเรามันเป็นอดีตไปแล้ว”
สิตาตีหน้าเศร้า “แต่ตายังรักวินอยู่นะ”
“ถ้าตารักวิน ตาคงไม่ทิ้งวินไปหรอก ขอโทษนะตา ผมต้องกลับแล้ว”
พูดจบ ทิวัตถ์ก็เดินลิ่วออกจากร้านไปทันที สิตารีบเดินตาม ลิลินที่ซุ่มดูอยู่ นึกรู้ทันทีว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน
พลางคิดจะทำบางอย่างเพื่อแก้แค้นทิวัตถ์
สิตาวิ่งตามมาจนทันทิวัตถ์ที่ลานจอดรถ ขณะกำลังพูดเพื่อรื้อฟื้นความหลัง จู่ๆ ลิลินก็โผล่ออกมา
“อ้าว ที่รัก”
ทิวัตถ์เห็นลิลินก็ชะงักไป ขณะที่สิตามองหน้าอย่างเอาเรื่อง
“เมื่อกี้เธอเรียกใครว่าที่รัก?”
ลิลินแกล้งเดินไปคล้องแขนทิวัตถ์ “จะใครล่ะ นี่ใครคะ?”
ทิวัตถ์ทำหน้างง “ทำอะไรของคุณ”
“อะไรคะ ลืมไปแล้วหรือไง เมื่อคืนเรายังจูบกันอย่างเร่าร้อนอยู่เลย”
พูดพลางเอานิ้วแตะที่ปากตัวเองแล้วไปแตะริมฝีปากของทิวัตถ์ แล้วมองไปที่แผลที่แก้ม
“ที่รักบอกไปซิคะว่าแผลนั่นน่ะ เป็นเพราะอะไร?”
สิตาโกรธจนตัวสั่น “แก”
ลิลินยิ้มเยาะ “แค่นี้ก็พอแล้วนะคะ อย่าให้ฉันต้องบรรยายรายละเอียดมากกว่านี้เลย”
สิตาเหลืออด เข้าไปจับลิลินหันมาก่อนจะตบหน้าเต็มแรง ทิวัตถ์รีบถลันเข้าไปห้าม
“อย่าตา” พลางหันมาทางลิลิน เธอต้องการอะไร?”
ลิลินเดินเข้าไปหาทิวัตถ์ที่พยายามดึงสิตาไว้
“ถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงตบกลับไปแล้ว แต่ฉันจะยกให้ เพราะเห็นว่าเธอคงจะรับไม่ได้ที่คนรักของตัวเองแอบไปมีคนอื่น กลับดีๆ นะ ค่อยๆ คุยกัน ถ้าปรับความเข้าใจกันได้แล้ว อย่าลืมโทร. มานะคะ”
ลิลินยิ้มยั่ว พร้อมกับแกล้งทำท่าส่งจูบให้กับทิวัตถ์ สิตากรี๊ดลั่น จะเข้าไปทำร้ายลิลินอีก แต่ทิวัตถ์รีบดึงตัวเข้ามาในรถ ก่อนที่จะรีบออกออกรถไป แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองลิลินอย่างเอาเรื่อง
ลิลินมองตาม รู้สึกสะใจในสิ่งที่ทำลงไป
ภายในบ้านปิดไฟมืดสนิทแล้วเมื่อทิวัตถ์เดินเข้ามา เขาทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างเหนื่อยใจ ก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาดูภาพเก่าๆ ของเขากับสิตาตอนเป็นแฟนกัน
ระหว่างนั้นไฟภายในบ้านสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงของศุภารมย์
“ยังทำใจไม่ได้อีกเหรอ?”
ทิวัตถ์ตกใจรีบเก็บโทรศัพท์
“สิตาเธอยังไม่เลิกพยายามที่จะกลับมาคบกับวินอีกเหรอ?”
“ใครบอกแม่ต่ายครับ”
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญเท่ากับคำตอบที่วินต้องตอบแม่ แม่ไม่อยากให้วินต้องเจ็บเพราะเธออีก อย่านอนดึกล่ะ”
ศุภารมย์ยิ้มให้ทิวัตถ์อย่างห่วงใยก่อนจะเดินออกไป ทิวัตถ์คิดตาม พลางสำรวจความรู้สึกของตัวเอง
ลิลินเดินเข้ามาในห้องพัก พร้อมกับคุยมือถือไปด้วย
“ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่ที่อื่นเขาให้เงินมากกว่าก็เท่านั้น ลินตัดสินใจแล้วค่ะ”
จากนั้นก็กดวางสายไปก่อนจะลงนั่งที่เตียงด้วยแววตามุ่งมั่น ระหว่างนั้นก็เหลือบไปเห็นตัวเองในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง พลางหันแก้มที่โดนสิตาตบเพื่อดูร่องรอย
จังหวะนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้นอีก
“คะครูใหญ่ ถึงห้องแล้วค่ะ มีของจะให้เหรอคะ อะไรคะ? บอกมาเลยไม่ได้เหรอคะ ได้ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ลินจะแวะเข้าไป”
ลิลินวางสาย พลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย
ทรงพลเดินเข้ามาในบริษัทพร้อมกับอนันยชที่ถือกระเป๋าให้ กานดารีบเดินเข้ามาก่อนจะยกมือสวัสดี“สวัสดีค่ะท่าน สวัสดีค่ะคุณวัน”
อนันยชยิ้มรับ
“สวัสดีครับคุณกานดา คุณกานดารู้มั้ยครับว่าคุณกานดาเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมอยากมาทำงาน”
“คุณวันเนี่ย ชอบล้อน้าเล่นอยู่เรื่อย”
ทรงพลส่ายหน้าขำๆ “น้อยๆ หน่อยเจ้าวัน กานดาเขารุ่นแม่เราเลยนะ”
“ผมทราบครับ ผมก็ล้อเล่นขำๆ นะครับ นี่ถ้าผมไม่เห็นว่าคุณน้ากับแม่ผมรักกันมาก ผมว่าแม่ต้องหึงน้ากานแน่ๆ”
พูดจบก็ยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินเข้าห้องไป ทิ้งให้ทรงพลยืนอยู่กับกานดา
“เดี๋ยวขอกาแฟให้ผมที่ห้องด้วยนะ”
กานดายิ้มหวาน “อยู่บนโต๊ะแล้วค่ะ”
“แล้วของขวัญวันเกิดที่จะให้ท่านผู้ว่าฯ คืนนี้ล่ะ”
“อยู่บนโต๊ะเหมือนกันค่ะ”
ทรงพลหันมองกานดาอย่างประทับใจ
“แต่ก่อนคุณดูแลผมยังไง วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ขอบคุณนะกานดา”
“อย่าพูดอย่างนั้นซิคะ เอ่อ ที่กานทำไป มันเป็นหน้าที่ของกานอยู่แล้ว”
ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาอีกทาง
“มีเรื่องอะไรกัน?”
อีกด้านหนึ่ง สิตากำลังปาแฟ้มใส่พนักงานที่กรีดร้องอย่างตกใจ ทรงพลที่เดินนำกานดาเข้ามา รีบตะโกนห้าม
“หยุดเดี๋ยวนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
พอสิตาหันมา ทรงพลก็ถึงกับชะงักไป
“เธอเองหรอกเหรอ มาทำอะไรที่นี่?”
“ตามาหาวินค่ะ”
ทรงพลตำหนิสิตาที่มาทำเรื่องวุ่นวาย แต่อีกฝ่ายเถียงว่าเพราะพวกพนักงานเหล่านั้นไม่ยอมบอกว่า
ทิวัตถ์อยู่ไหน
“สิตา ที่นี่ไม่ใช่บริษัทของพ่อเธอที่เธอคิดจะทำอะไรก็ได้”
“นี่คุณอาเข้าข้างพวกนี้เหรอคะ”
ทรงพลพยายามพูดอย่างใจเย็น
“ที่อาพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าอาจะเข้าข้างลูกน้องอา อาแค่เป็นห่วงชื่อเสียงของเสี่ยหาญ ถ้าใครรู้ว่าลูกสาวของเสี่ยหาญมาทำกริยาที่เหมือนไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่นี่ มันจะไม่ดี”
สิตาหน้าชา กานดารีบพูดแทรกขึ้นมา
“คุณทรงพลพูดชัดเจนแล้ว คุณสิตากลับไปเถอะค่ะ”
แต่สิตากลับย้อนกลับอย่างไม่เกรงกลัว
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะมีคนบอกว่าวินอยู่ไหน?”
“ถ้างั้นก็ตามใจเธอ เธอจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ เพราะคงไม่มีใครบอกเธอว่าวินอยู่ที่ไหน?”
ทรงพลพูดจบก็เดินออกไปกับกานดาอย่างไม่ไยดี สิตาแทบจะกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ
ปรมัตถ์เดินแยกกับลูกความ หลังจากที่นัดคุยเรื่องคดีในห้างสรรพสินค้า พอเดินไปอีกทาง เขาก็เหลือบเห็นร้านเพชร เขารีบเดินเข้ามาด้านใน พลางเลือกหยิบแหวนเพชรขึ้นมาดู แล้วก็คิดไปถึงลิลิน
“ตอนนี้มัตทำตามสัญญาแล้ว ลินล่ะ ลินเคยสัญญากับมัตว่าลินจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อไหร่ล่ะลิน?”
ลิลินกับครูใหญ่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ยืนมองเด็ก ๆ วิ่งเล่นจากหน้าต่าง พลางย้อนระลึกถึงความหลัง
“ครูยังจำวันแรกที่มีคนพาเธอมาที่นี่ได้ รอยยิ้มวันนั้นมันทำให้ครูแปลกใจ ครูเจอกับเด็กที่ไร้พ่อขาดแม่มานักต่อนัก แต่ครูไม่เคยเห็นใครเหมือนเธอ เธอยิ้มออกมาเหมือนว่าชีวิตเธอไม่ได้สูญเสียอะไร จนกระทั่งครูรู้เรื่องราวพ่อของเธอ มันยิ่งทำให้ครูแปลกใจ”
ลิลินนิ่งไป เหมือนกำลังคิดภาพอดีตในสิ่งที่ครูใหญ่พูด
“จนกระทั่งเธอออกไปจากที่นี่ ได้เป็นนักร้องในผับ แต่สิ่งนึงที่ครูเห็นว่ามันไม่เปลี่ยนไปเลย นั่นคืออะไรรู้มั้ย? รอยยิ้มของเธอไง รอยยิ้มที่ขัดแย้งกับความเศร้าที่อยู่ในแววตาของเธอ ตลอดเวลาที่เธออยู่ที่นี่ หรือจนกระทั่งไม่นานมานี้ แววตาของเธอมันช่างเต็มไปด้วยความเศร้า เธอเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง จนกระทั่งตอนนี้”
ครูใหญ่พูดพลางเปิดลิ้นชักออก ก่อนจะหยิบกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากออกมา แล้วส่งให้ลิลิน
“นี่คือสิ่งที่พ่อของเธอฝากครูเอาไว้ พ่อเธอสั่งให้ครูให้เธอเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่เหมาะสม”
ลิลินมองกล่องด้วยความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะได้พบบิดาอีกครั้ง
“ทำไมครูถึงให้หนูตอนนี้คะ?”
“เมื่อวานครูเห็นแววตาของเธอ ครูก็รู้ว่า ตอนนี้เธอคงจะเจอในสิ่งที่เธอตามหาแล้วใช่มั้ย?”
ลิลินมองกล่องไม้ด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
ปรมัตถ์ถือกล่องแหวนเข้ามาในโรงแรมอย่างมีความหวัง แต่พอเดินเข้ามาในผับ ก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่ามีนักร้องคนใหม่ มาร้องเพลงแทนลิลิน เมื่อเจอนักดนตรี 2 คน เดินออกมา เขาก็รีบตรงรี่เข้าไปถามทันที
“ลินอยู่ไหน?”
“พวกเราต่างหากที่ต้องถามนาย”
“อยู่ดีๆ เมื่อวานก็โทรมาบอกว่าจะลาออกแล้วก็ไม่มาเลย ดีนะที่พวกเราหานักร้องใหม่ทัน”
ปรมัตถ์ได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มเอะใจบางอย่างขึ้นมาทันที
ฟากลิลินก็นั่งอยู่บนรถทัวร์ กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง บนหน้าตักมีกล่องที่เธอเอาติดตัวมาด้วย
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมา เมื่อหยิบขึ้นมาดูเบอร์ ก็เห็นว่าเป็นปรมัตถ์โทรมา เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสายทิ้ง
“ขอโทษนะมัต”
ทางด้านปรมัตถ์ ก็มองแหวนที่ตั้งใจซื้อให้ลิลินด้วยความเสียใจ
ลิลินกำมือถือเอาไว้แน่น แต่สายตายังจับจ้องไปที่กล่องที่อยู่บนตัก จากนั้นก็เปิดกล่องออก ก่อนจะเห็นสร้อยข้อมือลีลาวดี และรูปถ่ายอยู่ในนั้น เธออดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงเรื่องในอดีต
เหตุเกิดในคืนหนึ่งเมื่อ 15 ปีก่อน ที่บ้านของทิวัตถ์ ซึ่งมีรถตำรวจจอดอยู่เต็มบริเวณบ้าน ขณะที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังฉุดกระชากลากถูปองภพอยู่ โดยมีบุญช่วยและลิลินในวัยเด็กยืนตะโกนคอยช่วยอยู่ข้างๆ
“พ่อ ปล่อยพ่อนะ คุณลุงๆ บอกเค้าไปสิว่าพ่อไม่ได้ทำ คุณลุง”
เด็กหญิงลิลินวิ่งตามปองภพไป ตำรวจวิ่งมาขวางจับให้ถอย จนทำให้เด็กหญิงล้มลงไปกับพื้น
“หนูลี พ่อไม่ได้ฆ่าใคร พ่อไม่ได้ฆ่าใคร”
ลิลินหยิบรูปถ่ายปองภพที่กำลังอุ้มเธอในวัย 9 ขวบขึ้นมาดู
“พ่อ หนูจะทวงความยุติธรรมให้กับพ่อ”
ความมุ่งมั่นฉายชัดในแววตาของลิลิน
บริเวณสวนที่บ้านของทิวัตถ์ในยามนี้ ถูกเนรมิตให้เป็นพื้นที่สำหรับจัดงานเลี้ยง แขกเหรื่อที่มาร่วมงาน แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ทุกคนล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญภายในจังหวัด
ทรงพลกับศุภารมย์ยืนสนทนากับแขกในงานอย่างเป็นกันเอง ระหว่างนั้นผู้ว่าฯ กับภรรยาก็เดินเข้ามา ศุภารมย์รีบหันไปบอกกับทรงพล ก่อนจะพากันเดินเลี่ยงออกไปต้อนรับ
ขณะที่ทั้งคู่เดินแยกออกมา แขกที่ยืนคุยกันอยู่เมื่อครู่ก็ล้อมวงนินทา เสียงดัง
“เข้าทางผู้ว่าฯอย่างนี้ จะไม่ให้รวยได้ยังไง”
“เบาๆ ซิเธอ อยากอยู่ที่จังหวัดนี้ต่อมั้ย”
ทั้งคู่ได้ยินก็ถึงกับชะงัก ศุภารมย์คุมสติได้ ก่อนจะกุมมือทรงพลไม่ให้ใส่ใจกับคำพูดนั้น
“คนพวกนั้นไม่มีค่าพอที่เราจะไปพูดอะไรหรอกค่ะ”
ทรงพลพยักหน้ารับ ก่อนจะเห็นผู้ว่าฯ กับภรรยาเดินเข้ามาพอดี
“เจ้าของวันเกิดมาช้าซะเอง ขอโทษจริงๆ นะคุณทรงพล”
ศุภารมย์รีบพูดเอาใจ
“ถ้าไม่มาช้าซิคะพวกเราจะเสียใจ การที่คนเป็นผู้ว่าฯมาช้า เพราะต้องเสียสละเวลาส่วนตนเพื่อประชาชน ดิฉันเข้าใจถูกมั้ยคะ?”
ผู้ว่าฯหันไปทางทรงพล
“แหม ! เคยได้ยินว่า ผู้ชายจะเป็นใหญ่ได้ ต้องมีหลังบ้านที่ดี เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่ากัน”
ทรงพลยิ้มพอใจ ศุภารมย์ยิ้มน้อยๆ อย่างสงวนท่าที แต่พอภรรยาของผู้ว่าถามถึงทิวัตถ์ เธอก็นึกขึ้นมาได้ พลางกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อมองหา
ขณะที่ที่ทิวัตถ์กำลังคุยอยู่กับแขกอยู่อีกมุมหนึ่ง พอเห็นศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามา เขาก็รีบขอตัวแล้วเดินเข้ามาหา
“นึกว่าแกจะไม่มาซะแล้ว”
“ก็ไม่ได้อยากมาหรอกเว้ย แต่ฉันห่วงว่ายายเฟื่องแก”
ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางหันมองไปยายเฟื่องที่กำลังทำหอยทอดกระทะร้อนอย่างงกๆ เงิ่นๆ มีแขกยืนรอกันกลุ่มหนึ่ง
“ยายเฟื่องแกก็แก่แล้วทำไมไม่รับสมัครเชฟใหม่ แล้วให้แกเกษียณ”
ศักดิ์สิทธิ์รีบบอก
“โอ๊ย! อยากได้ใจจะขาด แต่จะทำไงวะ ยายเฟื่องแกเป็นคนเก่าคนแก่ตั้งแต่ตอนที่พ่อฉันก่อตั้งโรงแรมแล้วพ่อฉันยังกำชับให้ฉันดูแลแกให้ดีอีก”
ระหว่างนั้นอนันยชเดินถือแก้วไวน์เข้ามา
“แหม วันนี้เสี่ยมาคุมงานเองเลยเหรอ?”
“ไอ้วัน ไปเลย ไปกินอย่างอื่นก่อน ตอนนี้ซุ้มหอยทอดไม่ว่าง”
อนันยชยิ้มขำ
“ถึงว่างฉันก็ไม่กิน ฉันชอบอะไรที่มันสดๆ มากกว่า ฉันว่าพวกเราไปหาของสดๆ กินดีกว่ามั้ย? แล้วแกล่ะวินไปมั้ย เดี๋ยวฉันจัดให้เอง”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า
“แล้วนายก็อย่าไปเลย วันนี้มีแต่แขกผู้ใหญ่ทั้งนั้น ถ้าเกิดแม่ต่ายรู้ว่านายไม่อยู่ มันจะไม่ดีนะ”
“มีแกอยู่ทั้งคน เขาจะถามหาฉันทำไม ถ้างั้นใครถามว่าฉันไปไหนก็บอกไม่รู้แล้วกัน”
พูดพลางยกแก้วไวน์กระดกอุ่นเครื่องก่อนจะเดินออกไป ทิวัตถ์มองตามอย่างระอา
ส่วนทรงพลกับศุภารมย์นั่งอยู่กับผู้ว่าฯและภรรยาที่โต๊ะ
“ได้ข่าวว่าโครงการของรัฐบาลเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียของแต่ละจังหวัดน่าจะผ่านมติครม.ใช่มั้ยครับ?”
“คาดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น นโยบายนี้มีประโยชน์ คงไม่ค่อยโดนคัดค้านอะไร”
ศุภารมย์ได้ยินก็รีบเสนอ
“แหม! งั้นก็พอดีเลย คือคุณทรงพลกำลังมีแผนที่จะไปอิตาลีอยู่พอดี ที่นั่นได้ข่าวว่าการบำบัดน้ำเสียของเขาดีมาก ถ้าท่านผู้ว่าฯ กับคุณชดช้อยว่างละก็ ดิฉันก็อยากให้ไปด้วยกัน จะได้นำเทคโนโลยีของเขากลับมาพัฒนาบ้านเมืองเราดีมั้ยคะ?”
แต่จู่ๆ เสียงของเสี่ยหาญก็ดังแทรกขึ้นมา
“โอ๊ย! แค่ไม่มีไอ้พวกติดสินบาทคาดสินบน ผมว่าประเทศมันก็พัฒนาแล้ว”
ทุกคนหันมองไปก็เห็นเสี่ยหาญ เดินเข้ามาพร้อมกับกฤษดาและสิตา
“อะไรกันครับคุณทรงพล พวกเราถือของขวัญมา ไม่ได้ถือปืนถือระเบิด ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย?”
กฤษดาทำหน้ากวนๆ แต่กลับถูกศุภารมย์ตอกกลับ
“พวกเราไม่ได้ตกใจ แค่แปลกใจว่าคนระดับเสี่ยหาญน่าจะรู้มารยาทในการมางาน ในเมื่อไม่ได้รับเชิญนั่นแสดงว่าเจ้าของงานไม่ได้เชิญ”
เสี่ยหาญยิ้มเยาะ
“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะคุณต่าย ผู้ว่าฯเป็นคนของประชาชน แล้วมันจะผิดอะไรที่ประชาชนอย่างผมกับลูกๆ ต้องการมาอวยพรวันเกิดให้ท่าน”
ผู้ว่าฯ เห็นท่าไม่ดี รีบพูดตัดบท
“เอาน่า คนกันเองทั้งนั้น ทั้งเสี่ยหาญ คุณทรงพล ต่างก็เป็นผู้รับเหมารายใหญ่ในจังหวัดนี้ด้วยกันทั้งคู่”
ศุภารมย์รีบเปลี่ยนท่าที
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ เผื่อจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน”
พูดพลางยิ้มให้เสี่ยหาญ กฤษดาและสิตาอย่างนิ่งสงบ
อ่านต่อหน้า 3
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ลิลินลงจากรถทัวร์ด้วยแววตามาดมั่น ก่อนที่จะเดินตรงไปยังรถรับจ้าง เพื่อว่าจ้างให้พาไปหาโรงแรมที่อยู่ในเมือง ไม่ทันสังเกตว่าคนขับรถลอบมองเธอด้วยแววตาร้าย
ศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนคุยอยู่กับทิวัตถ์รู้จากพนักงานเสิร์ฟว่าแขกตำหนิว่าหอยทอดกระทะร้อนไม่อร่อย ก็ทำหน้าเซ็ง เพราะหวั่นว่าโรงแรมจะเสียชื่อ ทันใดนั้นก็หันไปเห็นสิตากำลังเดินมองหาทิวัตถ์อยู่ด้านหลัง
“เฮ้ย!นั่นมันแม่เทพธิดาของแกนี่หว่า”
ทิวัตถ์หันมองตาม พอเห็นสิตาก็อึ้งไป “สิตา? มาได้ไง”
จังหวะนั้นสิตาหันมาสบตากับเขาพอดี ทิวัตถ์รีบหันหน้ากลับแล้วบอกกับศักดิ์สิทธิ์
“ช่วยฉันหน่อยวะไอ้สิทธิ์”
ขาดคำก็วิ่งอ้าวไปทัน ทีสิตากำลังจะวิ่งตามไป แต่แล้วศักดิ์สิทธิ์ก็คว้าเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“จะไปไหนครับคุณสิตา ช่วยชิมเค้กฝีมือผมหน่อยซิครับ”
สิตาไม่สน ปัดจานเค้กออก จนทำให้ศักดิ์สิทธิ์โดนเค้กเข้าเต็มหน้า
ทิวัตถ์หลบออกมาจากงานจนมาถึงมุมหนึ่ง พลางเผลอมองขึ้นไปเห็นห้องที่ผู้เป็นมารดาเคยตกลงมา
เขาย้อนนึกถึงภาพที่ร่างของแม่กำลังลอยกลางอากาศ พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้นอย่างแรง
ทิวัตถ์รีบหลบตาหันไปทางอื่นทันที แต่แล้วก็ต้องตาค้าง เมื่อเห็นศุภิสรายืนอยู่ที่มุมหนึ่งหลังต้นไม้
“แม่”
พยายามจะเพ่งมองให้แน่ใจว่าเป็นศุภิสราจริงๆ แต่แล้วกลับเห็นว่าผู้เป็นมารดาเดินหลบออกไป เขารีบเดินตามไปทันที แต่แล้วเมื่อเดินตามมาเรื่อยๆ ผู้หญิงที่เธอเข้าใจว่าเป็นมารดา ก็หายไป พร้อมกับที่สิตาโผล่เข้ามา
“เป็นไรคะ ทำไมเจอตาต้องตกใจด้วยเหรอ?”
“เอ่อ เปล่าหรอก เมื่อกี้ตาเห็นใครผ่านมาแถวนี้มั้ย?”
สิตาส่ายหน้า “ไม่มีนี่คะ ถามทำไมคะ หรือว่าวินกำลังหาที่ปลอดคนอยู่”
ทิวัตถ์ยิ้มแห้งๆก่อนจะมองไปรอบๆอย่างสงสัย สิตามองอย่างแปลกใจ
รถกระบะขับเข้ามาในถนนเปลี่ยวที่เป็นดินลูกรัง 2 ข้างทางมีแต่ต้นไม้ครึ้ม ไม่มีบ้านเรือนซักหลัง
ลิลินมองไปข้างนอกอย่างหวั่นใจ
“ฉันบอกว่าจะเข้าเมือง ทำไมถึงพาออกมานอกเมือง”
คนขับยิ่มเจ้าเล่ห์ “ทางลัด”
จู่ๆ คนขับก็แอบบิดกุญแจดับเครื่อง ลิลินมองอย่างสงสัย
“รถเป็นไร?”
“ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวขอลงไปดูหน่อย”
คนขับลงจากรถไปเปิดฝากระโปรง ลิลินมองตามชนิดไม่คลาดสายตา แต่แล้วมันก็พุ่งเข้ามาที่ประตูด้านที่เธอนั่งอยู่ ก่อนจะเปิดออกแล้วแสดงธาตุแท้ออกมา แต่กลับถูกลิลินกระแทกประตูใส่หน้า จนมันถึงถึงกับหน้าหงายลงไปนอนกับพื้น พอหันมาอีกทีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลิลินยืนเอาปืนจ่ออยู่
“อย่า อย่ายิง”
“ไป”
ลิลินตะคอกใส่ คนขับจอมหื่นตกใจรีบลุกแล้ววิ่งหนีไป เธอมองตามก่อนจะเดินมาที่รถแล้วขึ้นไปนั่งที่คนขับ แต่พอจะบิดกุญแจสตาร์ทก็ปรากฏว่ามันเอากุญแจไปด้วย
“ให้มันได้อย่างนี้ซิ”
ทรงพลกับศุภารมย์ต่างลอบดูท่าทีของเสี่ยหาญและกฤษดาอย่างไม่ค่อยวางใจ
“สุขสันต์วันเกิดนะครับท่านผู้ว่าฯ หวังว่าของขวัญเล็กๆน้อยๆของผมคงจะทำให้ท่านผู้ว่าฯมีความสุขในวันเกิดนะครับ”
เสี่ยหาญพูดพลางหันไปพยักหน้าให้กฤษดา ที่รีบเปิดกล่องออก เผยให้เห็นนาฬิกาโรเล็กซ์เรือนหรู
“ไม่น่าจะต้องลำบากเลยเสี่ย ท่าทางจะแพงน่าดู”
“ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ ท่านผู้ว่าฯ ก็รู้ว่าธุรกิจผมมันหากินกับพวกหินดินทรายที่ไม่มีค่าอะไร ก็เลยซื้อให้ท่านได้เท่านี้”
ศุภารมย์ยิ้มเยาะ “แต่ของบางอย่าง มันก็ไม่ได้อยู่ที่ราคา คุณภาพต่างหากที่ท่านผู้ว่าฯ ต้องการ”
เสี่ยหาญสวนกลับทันควัน “อ๋อเหรอ คุณต่ายกำลังจะพูดถึงงานวันนี้ที่จัดให้ท่านผู้ว่าฯใช่มั้ย?”
“จริงเหรอพ่อ? เอาบ้านที่มีคนตายมาจัดงานวันเกิดให้ท่านผู้ว่าฯ เนี่ยนะ”
ทรงพลกับศุภารมย์ได้ยินที่กฤษดาพูดอย่างนั้นก็ถึงกับสะอึกทันที
“คนตาย ? อะไรเหรอครับ”
กฤษดาได้ที ขยี้ต่อ
“ท่านมาอยู่ที่นี่เพียงแค่ 2-3 ปี คงยังไม่รู้ว่าเมื่อ 15 ที่แล้ว ภรรยาของคุณทรงพลตายที่นี่”
ทรงพลทนไม่ไหว ลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดัง
“มันจะมากไปแล้วนะ ถ้าต้องการเข้ามาก่อกวนล่ะก็ ออกไป”
จังหวะนั้นสิตาก็เดินคล้องแขนทิวัตถ์เข้ามาพอดี
“มีอะไรเหรอครับ?”
เสี่ยหาญรีบหันมาบอกด้วยสายตาเยาะๆ
“ไม่มีอะไรหรอก พอดีท่านผู้ว่าฯ อยากรู้เรื่องที่แม่ของเราโดนชู้ฆ่าตายน่ะ แต่อาก็กลัวว่าจะเล่าตกๆหล่นๆ ก็เลยคิดว่าน่าจะให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังดีกว่า”
“แต่คงไม่ได้มั้งพ่อ เพราะคุณทิวัตถ์ก็โดนตีหัว จนจำอะไรไม่ได้นี่”
ศุภารมย์อารมณ์ขึ้นมาทันที
“พอได้แล้ว”
ทิวัตถ์รีบพูดแทรกขึ้นมา
“ถึงผมจะความจำเสื่อม แต่ผมก็ยังดีใจที่ความเป็นคนของผมไม่ได้เสื่อมไปด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงจะเหมือนพวกคุณที่ไม่รู้จักการให้เกียรติคนอื่น”
กฤษดาโมโห ทำท่าจะลุกขึ้นมาเอาเรื่องทิวัตถ์ สิตารีบกระโดดขวาง เหตุการณ์ทำท่าจะวุ่นวาย แต่แล้วเสียงเจื้อยแจ้วของวาสนาก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะทุกคน”
ศุภารมย์กับทรงพลหันไปมองอย่างแปลกใจ
“ป้า ป้ามาได้ยังไง? ”
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องห่วงหรอกน่า สวัสดีค่ะท่านผู้ว่าฯ สวัสดีค่ะเสี่ย”
“ป้า นี่ป้ามาทำไม?”
“เอ๊า ก็บอกแล้วไงว่าจะพาแม่หนูมาให้พวกเราดูตัว”
ทรงพลรีบท้วง “เอ่อ วันหลังได้มั้ยครับ ผมว่าวันนี้คงไม่เหมาะ”
“เหรอ? ถ้าเห็นแล้ว จะขอบคุณฉัน นั่นไงคนนั้นไง”
ทุกคนหันมองตามไป แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นวรรณิต ที่มีใบหน้าเหมือนกับศุภิสราอย่างกับคนเดียวกันเดินเข้ามา
ทรงพลถึงกับช็อก “ศุ ศุภิสรา”
ทิวัตถ์จ้องตาไม่กระพริบ “แม่”
วรรณิตยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ เมื่อกี้ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะคะ ที่สวนด้านหลังน่ะค่ะ ณิตกลัวคุณวินจะตกใจ ก็เลยยังไม่อยากเจอคุณวินตอนนั้น”
ทิวัตถ์มองหน้าวรรณิต พลันอาการปวดหัวของเขาก็เริ่มแสดงอาการ พร้อมกับภาพในอดีตย้อนเข้ามาในหัวเป็นห้วงๆ เป็นภาพของศุภิสราตอนที่เขายังเด็กๆ จากนั้นเขาก็รีบวิ่งพรวดออกไปทันที
เสี่ยหาญกับกฤษดามองตามด้วยสายตายิ้มเยาะ ตรงข้ามกับทรงพลกับศุภารมย์ ที่มองตามอย่างเป็นห่วง ขณะที่วรรณิตรู้สึกไม่ดีที่ทำให้ทิวัตถ์เป็นอย่างนี้
ทิวัตถ์พาตัวเองที่ปวดหัวหนักขึ้นเรื่อยๆ เดินลิ่วมาตามทาง ระหว่างนั้นก็เห็นภาพศุภิสรายิ้มให้ในความคิด ก่อนจะได้ยินเสียงกรี๊ดดังลั่นมา เขาเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงร้อง ก่อนที่จะชะงักตกใจเมื่อเห็นร่างของ
ศุภิสราตกลงมาจากระเบียง
เขาหายใจรัวถี่ ก่อนจะเดินเข้าไปตรงนั้นแล้วพบว่ามันว่างเปล่า เพราะทุกอย่างเกิดจากภาพในสมองล้วนๆ เขาเปลี่ยนใจเดินไปโรงรถ ก่อนจะพยายามข่มความปวดขึ้นรถ แล้วรีบขับออกไป
ทรงพลนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้อง ครู่หนึ่งศุภารมย์ ก็เดินนำวาสนากับวรรณิตเข้ามา
“ป้าทำอย่างนี้ทำไม?”
ศุภารมย์เปิดบทสนาด้วยสีหน้าไม่พอใจ พลางเพ่งมองใบหน้าของวรรณิตอย่างพินิจพิเคราะห์
“เหมือนเกินไป ป้าก็รู้ว่าพวกเราผ่านอะไรมา โดยเฉพาะวิน”
วาสนายักไหล่
“ก็ใช่ไง เพราะฉันรู้ไงว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยคิดว่า บางทีพวกเธออาจต้องการแก้ไขสิ่งที่ผิดในอดีตที่ทำไว้กับแม่ต้อยของฉันไง”
วรรณิตทำหน้าสงสัย ก่อนที่ทรงพลจะหันมา
“หนูชื่อวรรณิตใช่มั้ย? พวกเราขอคุยเป็นการส่วนตัว หนูออกไปรอข้างนอกก่อน”
วรรณิตค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างอ่อนน้อม วาสนาหันมาถามทรงพลกับศุภารมย์
“อ้ะ มีอะไรก็ว่ามา”
รถของทิวัตถ์กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว ทิวัตถ์บังคับพวงมาลัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ลิลินที่เดินมาตามทางที่มืดและเปลี่ยว ได้ยินเสียงรถดังมาจากด้านหลังก็หันมอง พลางหยิบผ้าพันคอออกมาโบกให้สัญญาณขอติดรถไปด้วย
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของทิวัตถ์ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นสิตาโทร. มา เขาก็วางเฉย ปล่อยให้เสียงดังจนสัญญาณตัดไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบีบแตรดังขึ้น พอเขามองไป ก็ต้องตกใจเพราะรถของเขาไหลไปอยู่อีกเลน พร้อมกับเห็นแสงไฟจากรถที่วิ่งสวนเข้ามา เขารีบหักรถหลบ ด้วยความเร็วทำให้รถเสียหลัก
ลิลินแปลกใจเมื่อเห็นรถของทิวัตถ์ส่ายไปมา ทันใดนั้นรถก็หันหัวพุ่งเข้ามาหา เธอรีบกระโดดหลบแต่กลับเสียหลักล้มกลิ้งไปตามทาง จนศีรษะไปฟาดกับต้นไม้
ทิวัตถ์ลงจากรถด้วยความตกใจ อาการปวดหัวหายเป็นปลิดทิ้ง เขารีบถลันเข้ามาหาร่างที่นอนสลบเหมือดอยู่ที่พื้น
“คุณ คุณ”
พอพลิกตัวขึ้นมา ทิวัตถ์ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นลิลิน
ลิลินนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องฉุกเฉิน ที่หางคิ้วมีผ้าปิดแผลอยู่ ครู่หนึ่งเธอก็ได้สติค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลางองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะรู้สึกเจ็บจนต้องร้องโอ๊ย
พยาบาลได้ยินที่ลิลินร้องก็หันมาก่อนจะเข้ามาดู
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“อย่าเพิ่งขยับค่ะ”
ลิลินนึกได้ “กระเป๋า กระเป๋าฉันอยู่ไหน?”
“ใจเย็นๆ นะคะ คนที่นำคุณมาส่งโรงพยาบาลเก็บไว้ให้แล้วค่ะ”
ฟากทิวัตถ์ก็กำลังยืนคุยกับหมออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน
“เธอไม่เป็นไรจริงๆใช่มั้ยครับ? ”
“เท่าที่ดูจากภายนอกก็มีแค่แผลที่ศีรษะ แต่ถ้าจะให้ดี ต้องรอดูอาการก่อนซักวันสองวัน”
จังหวะนั้นลิลินก็เปิดประตูออกมาจากห้องฉุกเฉิน พอเห็นทิวัตถ์ก็เข้ามาเอาเรื่องทันที
“กระเป๋าฉันอยู่ไหน?”
“อะไรคุณ ฟื้นมาก็ถามหาแต่กระเป๋า ข้างในมันมีอะไรสำคัญหรือไง?”
ลิลินไม่อยากต่อล้อต่อเถียง พลางเหลือบไปเห็นกระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่บนม้านั่ง ก็รีบตรงเข้าไปทันที แต่ยังช้ากว่าทิวัตถ์ ที่คว้าไปก่อน
“เอากระเป๋าฉันคืนมานะ”
“ผมคืนให้แน่ แต่ต้องหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าคุณไม่เป็นอะไร หมอครับ 2 วันน่าจะเห็นอาการใช่มั้ยครับ”
หมอพยักหน้า ลิลินชักสีหน้าไม่พอใจ
“ฉันไม่เป็นอะไร คืนกระเป๋าฉันมาเดี๋ยวนี้”
แต่ทิวัตถ์กลับยื้อกระเป๋าไว้ไม่ยอมส่งคืน พลางมองจ้องหน้าลิลิน
ขณะที่วรรณิตนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก ป้าจวนเดินผ่านมาเห็นก็ตกใจ ถึงกับทรุดลงไปกับพื้นยกมือพนมขึ้น
“คุณ คุณต้อย จวนกลัวแล้ว อย่าหลอกอย่าหลอนกันเลย”
“ยาย ยาย ฉันไม่ใช่คุณต้อย ยายดูดีๆ ซิ”
ป้าจวนค่อยๆ ลืมตา พอเห็นหน้าวรรณิตก็กระเถิบหนี
“ไม่ใช่อะไร นี่มันคุณต้อยชัดๆ”
วรรณิตรีบอธิบาย “ยาย ฉันไม่ใช่ผี ไม่ใช่คุณต้อยจริงๆ”
ป้าจวนพยายามตั้งสติ แต่ยังไม่หายกลัว “แล้วคุณเป็นใคร?”
“ฉันชื่อวรรณิต เรียกฉันว่าณิตก็ได้ ฉันมากับยายน้อย”
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นมาพอดี ป้าจวนรีบผละไปรับสาย
“สวัสดีค่ะ บ้านคุณทรงพลค่ะ อะไรนะคะ”
“จะให้ฉันพายัยณิตกลับงั้นเหรอ?”
วาสนาโวยวายเสียงหลง ทรงพลรีบพยักหน้ารับ
“ใช่ แล้วขอร้องว่าอย่าพาเธอมาที่นี่อีก”
“เดี๋ยวๆ นี่พวกเธอไม่ลองถามพ่อวินดูก่อนเหรอ? บางทีพ่อวินอาจจะ....”
ศุภารมย์รีบขัดขึ้นทันที
“ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ชอบผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนแม่หรอกค่ะ โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น เธอเหมือนเกินไป ป้าพาผู้หญิงมาที่นี่กี่คนต่อกี่คน หนูไม่เคยว่าอะไร แต่สำหรับคนนี้ ขอได้มั้ยคะ?”
“แต่ว่า...”
ศุภารมย์นึกรู้ทันทีว่าวาสนากำลังคิดอะไร “ป้าต้องการเท่าไหร่?”
“เท่าไหร่อะไร ที่ป้าทำอย่างนี้ไม่ได้คิดไม่หวังเงินทองอะไรซักหน่อย ป้าก็แค่รักหลาน อยากเห็นหลานเป็นฝั่งเป็นฝา”
พลันเสียงเคาะประตูก็ดังรัวขึ้นมาขัดจังหวะ พร้อมกับเสียงป้าจวน
“คุณท่านคะ คุณท่าน”
ศุภารมย์รีบเดินไปเปิดประตู เห็นป้าจวนสีหน้าตื่นตกใจยืนอยู่กับวรรณิต
“มีอะไรจวน?”
“คุณวินค่ะ คุณวินรถชน”
พยาบาลพาลิลินเข้ามาพักในห้อง แล้วก็รีบเดินเลี่ยงไป ลิลินเข้ามาเอาเรื่องทิวัตถ์ทันที
“ถ้า 2 วันนี้คุณไม่เป็นอะไร ผมก็จะคืนกระเป๋าให้คุณ”
“ทำไม? คุณกลัวว่าฉันจะตายหรือไง?”
“ผมแค่ไม่อยากให้คุณมายุ่งวุ่นวายกับครอบครัวผม”
ลิลินนึกแปลกใจ “ฉันไปยุ่งวุ่นวายกับครอบครัวคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สิ่งที่คุณทำเอาไว้ที่กรุงเทพฯ ทำให้ผมรู้ว่าคุณเป็นผู้หญิงยังไง บางทีไอ้การที่ผมเกือบจะขับรถชนคุณ มันอาจจะเป็นแผนของคุณก็ได้”
ลิลินจ้องหน้าทิวัตถ์อย่างเอาเรื่อง“อะไรนะ คุณนี่มันเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจที่สุด”
“แต่ผมว่าผู้หญิงที่ลงทุนหอบกระเป๋าตามผู้ชายมา มันน่ารังเกียจกว่านะ คุณตามนายวันมาทำไม?”
“นี่คุณพูดเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?”
ทิวัตถ์เดินเข้ามาหาลิลินเพื่อเค้นความจริงที่เขาคิดไปเอง ระหว่างนั้นพยาบาลก็เปิดประตูเข้ามา
“คุณพยาบาลครับ ระหว่างที่ผมไม่อยู่ ถ้าไม่รบกวน ช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยนะครับ ถ้าเกิดเธอออกจากห้องเมื่อไหร่ ให้โทร.บอกผมทันที”
ลิลินโวยวายทันที “เกินไปแล้วนะ ฉันไม่ใช่นักโทษนายซะหน่อย”
ทิวัตถ์ปรายตามองแบบผู้ชนะ ก่อนจะเดินถือกระเป๋าออกไป พอเดินพ้นห้องออกมา ก็หยิบกระเป๋าขึ้นมากำลังจะเปิดดู แต่เสียงของทรงพลดังขึ้นมาขัด
“วิน”
ทิวัตถ์ชะงักมือ ก่อนจะหันไปเห็นทรงพล กับศุภารมย์เดินเข้ามา
“ทุกคน มาทำอะไรกันครับ? ”
“ป้าจวนบอกว่าโรงพยาบาลโทรไปบอกว่าลูกรถชน”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า “คงจะเข้าใจผิดน่ะครับ ผมปวดหัวก็เลยจอดรถนอนพักข้างทาง แต่ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ แล้วยายน้อยกับคุณณิตล่ะครับ?”
“แม่ต่ายเขาให้กลับไปแล้ว”
ศุภารมย์เข้ามาจับมือทิวัตถ์เพื่อให้มั่นใจ
“แม่บอกยายน้อยไปแล้ว ว่าต่อไปนี้ห้ามพาหนูวรรณิตมาที่บ้านเราอีก”
ทิวัตถ์ได้ยินก็รู้สึกเบาใจขึ้น ทรงพลกับศุภารมย์เห็นเขาไม่เป็นอะไรก็คลายกังวล
ทางด้านวาสานาก็ออกมาต่อว่าวรรณิตเป็นชุดที่ไม่ยอมพูดนำเสนอตัวเองเพื่อทำให้ทิวัตถ์สนใจในตัวเธอ จากนั้นก็รีบไล่ให้ไปนอน เพราะพรุ่งนี้จะต้องกลับไปแต่เช้า
วรรณิตหันมาถามย้ำ “ไปแต่เช้า..?”
“ก็ใช่น่ะซิ ทำไม?”
“คุณยายก็เห็นว่าพวกคุณๆ ดูไม่ค่อยชอบณิตเท่าไหร่ โดยเฉพาะคุณวิน ณิตเองก็คิดว่าที่คุณ
วินเป็นอย่างนี้ ก็เพราะ.....”
วรรณิตยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนวาสนาหยิกหมับที่ต้นแขน
“ทีหลังถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็หุบปากซะ ฟังนะยายณิต นี่แหละเป็นโอกาสที่จะทำให้พ่อวินชอบแก”
วาสนายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะที่วรรณิตกลับรู้สึกกังวล
ทรงพลนั่งอยู่ในห้องทำงาน พลางเทเหล้าลงในแก้วด้วยมือสั่นระริก แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก ก่อนจะย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เขาเห็นภาพตัวเองนอนอยู่บนเตียงกับศุภิสรา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับสนิท เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่ แต่ทันทีที่หันหลังกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ข้างหลัง
“นอนไม่หลับเหรอคะ?”
“เอ่อ ใช่ ตอนเย็นผมกินน้อย เลยหิวน่ะ เดี๋ยวผมลงไปหาอะไรกินก่อนนะ”
ทรงพลพูดพร้อมกับรีบแทรกตัวผ่านไป พร้อมกับเสียงศุภิสราดังขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
“เลว”
เขาชะงักด้วยความตกใจ เมื่อหันมาเห็นศุภิสรายืนกำหมัดกัดฟันตัวสั่นอยู่
“คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าคุณจะไปหานังนั่น หาอะไรกินงั้นเหรอ? ชอบกินไอ้ที่มันต่ำๆใช่มั้ย?”
“ไม่มีอะไรต่ำเท่าความคิดคุณหรอก”
ทรงพลย้อนกลับ พลางทำท่าจะเดินออกไป ทันใดนั้นโคมไฟก็ปลิวข้ามมาเฉียดหัวเขาไปนิดเดียว ก่อนจะไปกระแทกกับผนังแตกกระจาย
“เป็นบ้าอะไรของคุณอีกศุภิสรา”
“ถ้าคุณเดินต่ออีกก้าวเดียว ฉันจะฆ่าคุณ”
“คุณมันบ้า”
ทรงพลทำท่าจะเดินต่อ แต่ศุภิสราปรี่เข้ามากระชากตัวเอาไว้ พร้อมกับกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่ง เขาพยายามปัดป้อง
“หยุดเดี๋ยวนี้ ผมบอกให้หยุดไง”
แทนที่จะหยุด ศุภิสรากลับยิ่งคลั่งหนัก ก่อนจะถูกอีกฝ่ายผลักออกไปชนกับโต๊ะเครื่องแป้ง ทรงพลรีบวิ่งเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
แต่ทันใดนั้นศุภิสราก็หันมาก่อนจะปักปิ่นปักผมไปที่หน้าอกของเขา
ทรงพลยกแก้วเหล้าดื่มพรวดเดียวจนหมด มือที่วางแก้วสั่นไหว ความหวาดหวั่นฉายชัดในแววตาของเขาเมื่อนึกถึงศุภิสรา
ทิวัตถ์เดินหาวหวอดๆ เพราะอดนอน ลงมาจากบนบ้าน ก่อนจะเจอกับอนันยชที่เดินสวนมาพอดี
“ฉันกำลังตามหานายอยู่พอดี เมื่อคืนมีใครโทรหานายหรือเปล่า?”
อนันยชทำหน้างง “ใครวะ?”
“พวกสาวๆ ในสังกัดนายไง”
“ทำไม? อย่าบอกนะว่าตอนที่ฉันไม่อยู่มีใครมาที่บ้าน”
ทิวัตถ์สังเกตจากท่าทางของอนันยชแล้วคิดว่าคงไม่รู้เรื่องลิลิน
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่ถามเพราะอยากให้นายดูๆ ผู้หญิงพวกนั้นไว้หน่อยก็ดี ฉันไม่อยากให้แม่ต่ายหนักใจ”
อนันยชหัวเราะขำ
“ไอ้วิน แกรู้ตัวมั้ยว่าพูดอยู่กับใคร คำว่าเสือผู้หญิงไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วยนะเว้ย”
ระหว่างนั้นศุภารมย์กับทรงพลก็เดินเข้ามาพอดี พลางเอ่ยถามถึงอาการ ทิวัตถ์รีบบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่อนันยชทำหน้าแปลกใจ
“อาการ ? เมื่อคืนมีอะไรกันเหรอครับ?”
ทรงพลหันมาตอบ “วินเขาปวดหัวจนรถเกือบคว่ำ”
“อะไร ทำไมผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย หรือว่ายายน้อยพาคนมาให้ไม่ถูกใจ”
อนันยชตั้งใจพูดเล่นเพื่อคลายเครียด แต่ศุภารมย์กลับแหวขึ้นมาทันที
“วัน นี่ไม่ใช่เรื่องของลูก”
“แม่พูดอย่างนี้ ยิ่งทำให้ผมอยากรู้ใหญ่เลย ไง สวยมากเลยเหรอวะ?”
“พอได้แล้ววัน”
“อะไรแม่ แม่กลัวอะไร หรือแม่กลัวว่าผมจะแย่งของน้อง?”
คำพูดของอนันยชทำให้ทั้งทรงพลและศุภารมย์ถึงกับชะงักไป
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ผมว่าเรารีบไปกันดีกว่าครับ วันนี้มีประชุมกับเทศบาลแต่เช้าด้วย”
ทิวัตถ์พูดจบก็เดินออกไป อนันยชเดินตามออกไปอย่างงงๆ ทรงพลหันมองหน้าศุภารมย์ที่ดูไม่ค่อยสบายใจ
“อย่าคิดมากน่าคุณ”
จากนั้นก็เดินออกไป ศุภารมย์มองตามทรงพลก่อนจะหันไปมองที่ห้องของศุภิสรา
ศุภารมย์เปิดประตูเข้ามาในห้องของศุภิสรา ก่อนจะเดินเข้ามาเปิดลิ้นชักแล้วหยิบรูปของน้องสาวขึ้นมาดู พลางกำรูปในมือแน่น ลมหายใจถี่แรง
ภาพในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง
ทิวัตถ์ในวัย 12 ขวบ กำลังเดินขึ้นมาบนบ้าน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงคนทะเลาะกันพร้อมกับเสียงข้าวของแตก
“อยากได้อย่างนี้ใช่มั้ย?”
เด็กหนุ่มเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นศุภารมย์กำลังนั่งคร่อม และตบตีมารดาของตนไม่ยั้ง
“แม่ ป้าต่าย ป้าต่ายทำแม่ทำไม?”
“วิน ช่วยแม่ด้วย”
ศุภิสราพยายามเอื้อมมือมาหาลูกชาย แต่กลับถูกศุภารมย์ตบซ้ำอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาจะช่วยมารดา
“หยุด อย่าทำแม่นะ”
ศุภารมย์ลุกขึ้นมาแล้วผลักเด็กหนุ่มออกจากห้อง
“อย่ามายุ่ง นี่มันเรื่องของป้ากับแม่วิน”
จากนั้นก็รีบปิดประตูใส่หน้า ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ยินเสียงกรีดร้องมารดาดังขึ้นอย่างเจ็บปวด
ทิวัตถ์กำลังดูรูปของศุภิสราในมือ ก่อนที่จะรีบเก็บรูปไว้ในลิ้นชัก ลมหายใจเริ่มกระชั้นถี่แรง
จู่ๆ สิตาก็เปิดประตูผัวะเข้ามาในห้อง คฑาวุธตามเข้ามาติดๆ
“ขอโทษครับคุณวิน คือผมพยายามจะบอกคุณสิตาแล้วครับว่าคุณวินไม่รับแขก”
สิตาหันไปโวยวาย
“แต่ฉันไม่ใช่แขก ไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นอะไรกับวิน”
“เป็นแฟนเก่าครับ”
ทิวัตถ์รีบตัดบทด้วยการให้คฑาวุธออกไปก่อน แต่ฝ่ายนั้นไม่วายแอบสอดส่องสายตาสังเกตการณ์
“ตาไม่ชอบเลขาวินคนนี้เลยค่ะ ดูสอดรู้สอดเห็นไปทั่ว ตาอยากจะมาขอโทษ เรื่องที่คุณพ่อพูดเรื่องแม่ของวิน ต่อหน้าท่านผู้ว่าฯ เมื่อคืนน่ะค่ะ”
ทิวัตถ์รีบบอกปัด “ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ”
“จริงนะคะ ตาอยากจะถามวินอีกเรื่อง วินคิดยังไงกับผู้หญิงคนนั้น”
“คนไหน?”
“ทุกคนล่ะค่ะ ทั้งคนที่ออดอ้อนวินที่กรุงเทพฯ แล้วก็คนที่หน้าเหมือนแม่วิน”
ทิวัตถ์ถึงกับชะงักไป “ผมว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่านะตา”
สิตาไม่ค่อยพอใจที่ไม่ได้คำตอบจากทิวัตถ์ ขณะที่ฝ่ายถูกถามแอบปรายตามองรูปที่เก็บไว้ในลิ้นชักเหมือนไม่อยากให้มันโผล่มาในความทรงจำอีก
ขณะที่ทางด้านล่างวาสนาก็เดินนำวรรณิตเข้ามาในบริษัท ตั้งใจให้เธอได้มีเวลาได้ใกล้ชิดกับทิวัตถ์ตามลำพัง เพราะทรงพลไปประชุม ส่วนศุภารมย์ก็อยู่บ้าน
ทิวัตถ์พยายามตัดบท ด้วยการก้มหน้าก้มตาทำงานเป็นเชิงไล่ให้
“ ตา ตอนนี้ผมไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น ตากลับไปก่อนเถอะนะ”
สิตาจำใจต้องรับคำ “ก็ได้ค่ะ แล้วเดี๋ยวเย็นนี้ตาจะมาใหม่”
พูดพลางหยิบกระเป๋าเดินไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันจะเปิด วาสนาก็เปิดประตูผัวะเข้ามาชนเต็มๆ
“คุณยาย เอ่อ สวัสดีครับ”
ทิวัตถ์รีบเอ่ยทัก แต่แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นวรรณิตเดินตามเข้ามา สิตาตั้งสติได้ ก็โวยวายใส่ทันที
“มีการศึกษาหรือเปล่าเนี่ย เวลาเข้ามาทำไมไม่เคาะประตู”
วาสนาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เพราะเกรงใจทิวัตถ์
“แหม ไม่คิดว่าคุณสิตาจะอยู่ด้วย”
“ไม่ได้หรอกเวลาอย่างนี้ฉันยิ่งต้องอยู่กับวิน เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะมีใครฉวยโอกาสเอาของที่น่าขยะแขยงมาเร่ขาย”
พุดพลางปรายตามองเหยียดใส่วรรณิต ที่รีบหลบตาวูบ จนวาสนาต้องรีบปกป้อง
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมอง ขยะของคุณสิตา อาจจะเป็นทองของพ่อวินหลานฉันก็ได้”
“เหรอ? ถ้าอย่างนั้นวินคงตกใจที่ได้เห็นทองของยาย เลยทำให้วินเขาเกือบรถคว่ำเมื่อคืนละซิ”
ทิวัตถ์รีบแทรกขึ้นทันทีอย่างเบื่อหน่าย
“ตา คุณกลับไปก่อนแล้วกัน”
วาสนาได้ทีก็หันมายิ้มเย้ย
“แหม ชักไม่แน่ใจแล้วซิว่าใครเป็นขยะที่เขาไม่ต้องการกันแน่? อ้าว ยังไม่ไปอีกเหรอจ๊ะ พ่อวินเขาเชิญแล้วนะ”
สิตาหันไปเห็นวรรณิตนั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี๊ยมก็ยิ่งโมโห
“เท่าไหร่? ราคาที่เธอมาเสนอขายตัวให้วินน่ะเท่าไหร่? ฉันให้เธอเป็นสองเท่า”
วรรณิตสวนกลับทันที
“ถึงฉันจะไม่ได้มั่งได้มีเหมือนเสี่ยหาญพ่อของคุณ แต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีนะคะ”
“มีศักดิ์ศรีเหรอ? แล้วที่มายืนเสนอหน้าอย่างนี้เรียกว่าอะไร? ไปซะ อย่าให้ฉันทำอะไรรุนแรง”
วาสนาชะงักไปเพราะกลัวว่าสิตาจะใช้อิทธิพล แต่วรรณิตกลับพูดแบบไม่สะทก
“ฉันมาหาคุณวิน เพราะฉะนั้น ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าคุณวินจะเป็นคนบอกเอง”
“แก ได้ อยากลองดีกับฉันใช่มั้ย”
ขาดคำก็จิกหัววรรณิตกระชากทันที วาสนาตกใจรีบกระโดดเข้าขวาง ทิวัตถ์ทนไม่ไหว รีบตะโกนห้าม
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”
อ่านต่อหน้า 4
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 1 (ต่อ)
สิตาไม่สนใจกระชากวรรณิตมาแล้วตบ วาสนาเข้าไปขวางก็โดนเหวี่ยงออก ทิวัตถ์ลุกขึ้นจะเข้าไปห้าม จังหวะนั้นอนันยชก็เปิดประตูเข้ามาพอดี
“ไอ้วินฉันอยากได้....”
พูดได้แค่นั่นก็ชะงักไปเมื่อเห็นสิตากำลังนั่งคร่อมตีวรรณิตที่พยายามยกมือปัดป้อง
“วัน แยกที”
อนันยชรีบเข้าไปอุ้มสิตาออก พร้อมกับทิวัตถ์ที่ประกาศเสียงเข้ม
“ถ้าคุณยังไม่หยุด ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมาเจอผมอีก”
สิตามองวาสนากับวรรณิตด้วยความแค้นก่อนจะเข้าไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไปอย่างไม่พอใจ
อนันยชรีบเข้าไปดูวรรณิตที่ก้มหน้าเอามือจับแก้มอยู่
“เป็นไรมั้ยคุณ?”
วรรณิตค่อยๆ หันหน้ามา “ไม่เป็นไรค่ะ”
พออนันยชเห็นหน้าเธอชัดๆ ก็ถึงกับอึ้งไป “น้า...น้าต้อย”
วรรณิตรีบเข้ามาดูวาสนาด้วยความเป็นห่วง ขณะที่อีกฝ่ายกลับรีบถลามาฟ้องทิวัตถ์
“พ่อวิน พ่อวินเห็นมั้ย เห็นมั้ยว่านังนั่นทำกับยายกับหนูณิตยังไง”
ทิวัตถ์รีบตัดบท “ผมขอโทษที่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ยายกลับไปก่อนแล้วกันครับ”
วาสนาพยายามพูดยื้อ แต่วรรณิตรีบเข้ามาดึง
“ไปเถอะยาย ให้คุณวินทำงานเถอะ”
“ก็ได้ แล้ววันหลังยายจะมาใหม่”
ทิวัตถ์ยกมือไหว้วาสนา ขณะที่วรรณิตยกมือไหว้ทิวัตถ์ก่อนจะหันไปยกมือไหว้อนันยช ที่จ้องหน้าเธอตาไม่กระพริบ พอคล้อยหลังที่ทั้งคู่เดินออกไปก็รีบเข้าถามทิวัตถ์แปลกใจ
“ผู้หญิงคนที่ยายน้อยพามาเป็นใครวะ?”
“คุณวรรณิต คนที่ยายเขาพามาให้ฉันดูตัว ไง เหมือนใช่มั้ย?”
อนันยชพยักหน้า “ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นผีน้าต้อยซะอีก โทษทีวิน”
“ไม่เป็นไร ฉันเองก็ตกใจเหมือนนายนั่นแหละ”
อนันยชนิ่งไปเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“ลืมเลย นี่ฉันรีบขึ้นมาจนลืมหยิบเอกสารขึ้นมาให้แกดูเลย เดี๋ยวฉันมา”
พูดจบก็รีบเดินออกไป
วรรณิตประคองวาสนาเดินมาตามทาง แต่อีกฝ่ายกลับสะบัดมือออกด้วยอารมณ์ที่ยังไม่หายโกรธ
“ถ้าไม่ใช่ลูกเสี่ยหาญล่ะก็ แม่ตบไม่เลี้ยงแล้ว”
วรรณิตหน้าเจื่อน “ขอโทษค่ะ ณิตช่วยคุณยายไม่ได้”
“ใครบอก แกน่ะทำดีแล้ว เล่นบทเป็นผู้หญิงอ่อนแอให้ดูน่าสงสารอย่างนี้แหละ รับรองว่าพ่อวินจะต้องใจอ่อน”
พลันเสียงอนันยชก็ดังขึ้นมา
“ยาย ยายน้อย”
ทั้งคู่หันไป เห็นอนันยชวิ่งตามมา วาสนารีบเล่นละครต่อทันที “มีอะไรเหรอ? พ่อวัน”
“ผมจะมาขอโทษแทนเจ้าวินมันน่ะครับ”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่ความผิดของพ่อวินซะหน่อย แม่นั่นต่างหากที่ต้องมาขอโทษยาย”
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปส่งแล้วกัน”
วาสนามองทีท่าของอนันยชด้วยความแปลกใจ
“คิดยังไง วันนี้ถึงจะไปส่ง”
“เมื่อกี๊ที่เกิดเรื่องอาจจะเป็นความผิดของไอ้วิน แต่ถ้าผมไม่ไปส่ง แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณยายกับคุณณิต ผมคงรู้สึกผิดมากกว่าไอ้วินแน่ๆ”
พูดพลางมองจ้องวรรณิตตาไม่กระพริบ จนอีกฝ่ายต้องรีบหลบตา
วาสนามองปราดเดียวแล้วก็นึกรู้ทันทีว่า อนันยชนั้นพึงใจวรรณิตอยู่
ลิลินพยายามอ้อนวอนพยาบาลขอออกไป แต่กลับถูกปฏิเสธ เพราะทิวัตถ์สั่งไว้ ลิลินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็แกล้งร้องโอดโอย
“โอ๊ย! ทำไมอยู่ๆ ก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างนี้”
พยาบาลตกใจรีบเข้ามาดู
ครู่หนึ่งลิลินในชุดนางพยาบาล ก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่มีใครสงสัย
ขณะที่ทิวัตถ์กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้อง ระหว่างนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น เขารีบหยิบมาดู เห็นเป็นเบอร์โรงพยาบาลก็ตกใจรีบรับสาย
“สวัสดีครับ ใช่ครับ อะไรนะครับ เธอหายไปเหรอครับ?”
ทิวัตถ์รีบเดินเข้ามาตรงหวอดพยาบาล ระหว่างนั้นเห็นคนใส่ชุดลิลินยืนหันหลังอยู่
“ทำเรื่องวุ่นวายอะไรอีก”
แต่พอหญิงสาวคนนั้นหันมากลับกลายเป็นพยาบาลที่ถูกเปลี่ยนมาใส่ชุดลิลิน
“เกิดอะไรขึ้นครับ? ”
“คุณผู้หญิงคนนั้นเอาชุดพยาบาลฉันไปแล้วก็มัดฉันไว้ในห้องน่ะค่ะ”
ทิวัตถ์ตกใจ “อะไรนะครับ แล้วรู้มั้ยครับว่าตอนนี้เธออยู่ไหน?”
พยาบาลอีกคนรีบบอก “ฝ่ายรักษาความปลอดภัยยังไม่ได้แจ้งมาเลยค่ะ”
ทิวัตถ์เดินตรงมาที่รถของเขาที่จอดอยู่ที่ลาน พลางรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ด้านหลัง เขารีบหันกลับไป
แต่ก็ไม่ทัน เมื่อลิลินในชุดพยาบาลเงื้อไม้ขึ้นฟาดใส่ จนเขาถึงกับสลบไป
ทรงพลกำลังก้มหน้าก้มตาดูเอกสารบนโต๊ะ ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่กานดาจะเปิดประตูเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟ
“กานดา มีอะไรหรือเปล่า?”
“พอดีหลานกานไปเกาหลีมาแล้วซื้อโสมมาฝากน่ะคะ พักนี้กานเห็นท่านทำงานหนัก ต้องบำรุงร่างกายหน่อย เกิดเจ็บป่วยไปจะทำยังไงคะ”
ทรงพลยิ้มให้ อีกฝ่ายเห็นสีหน้าของเขาเคร่งเครียดก็นึกเป็นห่วง
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก พอดีโครงการที่ท่านนายกเทศมนตีอยากทำสวนสาธารณะจังหวัด ท่านคาดหวังว่าสวนนี้จะเป็นหน้าเป็นตาให้กับจังหวัด ผมไม่อยากทำให้ท่านผิดหวัง หรือคุณว่าไงกานดา”
“ถ้าท่านถามเรื่องโครงการ กานคงให้คำตอบท่านไม่ได้ แต่ถ้าท่านถามเรื่องความผิดหวัง กานพอจะบอกได้ค่ะ”
ทรงพลได้ยิน ก็นึกรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจหมายถึงการที่เธอต้องอกหักจากเขานั่นเอง พลางรีบเสไปหยิบแก้วโสมขึ้นมาดื่ม แต่แล้วก็สำลักเพราะร้อน กานดารีบหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดให้ ทันใดนั้นศุภารมย์ก็เปิดประตูเข้ามา ทั้งคู่รีบผละออกจากกัน
“ฉันเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า?”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกคุณ คุณมีอะไรหรือเปล่า? ถึงต้องมาหาผมถึงที่นี่”
ศุภารมย์ปรายตามองกานดา
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว”
กานดาก้มหน้าจะเดินออก แต่อีกฝ่ายเรียกไว้
“อ๋อ แล้วโสมที่เธอฝากคุณวิลาวัลย์ซื้อน่ะ มันถูกไป ฉันเลยถือวิสาสะสั่งเปลี่ยนเป็นอย่างดีให้ เธอคงไม่ว่าอะไรนะ”
ทรงพลมองแก้วโสมแล้วชะงัก กานดาหน้าชาขึ้นมาทันที
“ขอบคุณค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวนะคะ”
กานดารีบออกจากห้องไป ทรงพลพยายามปั้นหน้าปกติ
“ตกลงคุณมีเรื่องอะไร?”
ทรงพลบศุภารมย์เดินมาที่รถอย่างร้อนใจ
“ก็แค่ทีมงานกับเมียท่านรัฐมนตรีมาสำรวจพื้นที่ ไม่เห็นจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย”
ศุภารมย์สวนกลับทันที
“หยุดใส่อารมณ์กับฉันเพื่อกลบสิ่งที่คุณทำเอาไว้ดีกว่า”
“คุณพูดอะไรของคุณ? ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่า....”
“ฉันไม่ได้ว่าอะไร”
ศุภารมย์ยิ้มให้ ทว่าเป็นรรอยยิ้มที่แลดูน่ากลัวในความรู้สึกของทรงพล
ขณะเดียวกันกฤษดากับสิตา พร้อมด้วยลูกน้อง 3 คน ก็เดินตรงเข้ามาด้วยหน้าตาเอาเรื่อง
“น้องผมโดนรังแกเมื่อเช้า ก็เลยมาดู เผื่อจะมีใครแสดงความรับผิดชอบบ้าง”
ศุภารมย์ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง จะเดินเลี่ยงไป ทรงพลต้องเป็นฝ่ายเข้ามารับหน้า
“มีอะไรก็รีบพูดมา”
“สิตาโดนพวกคุณทำร้ายเมื่อเช้า”
ศุภารมย์หันขวับมาทางสิตา “ทำร้าย..? เธอคงไม่ได้หมายถึงวินใช่มั้ย”
“เรื่องอะไรวินจะทำร้ายหนู ยายแก่กับนางโสเภณีของมันต่างหาก”
ทรงพลกับศุภารมย์ถึงกับอึ้งไปเมื่อรู้ว่าวาสนาพาวรรณิตไปหาทิวัตถ์
“ขอบใจที่บอกข่าวนะ”
ศุภารมย์พูดพลางจะเดินเลี่ยงไป แต่กลับถูกสิตาขวางเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน แล้วคุณจะรับผิดชอบยังไง?”
ศุภารมย์ยิ้มเยาะ
“ก่อนที่จะถามหาความรับผิดชอบจากฉัน ทำไมเธอไม่ถามตัวเองดูก่อน เธอก็รู้ว่าวินรักเธอมาก แต่เธอก็ยังทำร้ายเขา ที่พวกเธอยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ ไม่ใช่เพราะฉันเกรงใจพ่อเธอ แต่เพราะฉันไม่อยากทำให้วินเสียใจ”
ศุภารมย์พูดจบก็เดินขึ้นรถไป ทรงพลรีบเดินตาม ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป สิตารีบหันมาโวยวายใส่กฤษดาที่จัดการอะไรให้เธอไม่ได้ แต่กลับถูดกพี่ชายย้อนกลับ
“หุบปากไปเลย ถ้าขืนมีเรื่องในรั้วบริษัทฯของเขา คิดว่าพ่อจะว่ายังไง?”
ทิวัตถ์นอนสลบอยู่ รปภ. พยายามปลุกเรียก ครู่หนึ่งเขาก็สะลึมสะลือตาขึ้นมา
“เป็นไรหรือเปล่าคุณ ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่หน้ามืดนิดหน่อย”
รปภ.พยักหน้าให้ แล้วเดินเลี่ยงไป ทิวัตถ์รีบตรงมาที่ประตูหลังของรถ พอเห็นกระเป๋าของลิลินไม่
อยู่ก็เจ็บใจ
“ยัยตัวแสบ”
พลางเหลือบไปเห็นกระดาษที่ติดหน้ารถ ก็รีบหยิบมาอ่านด้วยความแปลกใจ
“คนอย่างนายสมควรแล้วที่จะโดนอย่างนี้”
ทิวัตถ์ขยำกระดาษแล้วปาทิ้งอย่างเจ็บใจ
ลิลินยืนรอพนักงานอยู่ที่เคาน์เตอร์โรงแรมรอยัลเพิร์ล ระหว่างนั้นก็เหลือบไปเห็นป้ายรับสมัครนักร้องและพ่อครัว เธอมองด้วยความสนใจ ครู่หนึ่งพนักงานก็วิ่งอกมาต้อนรับ
“สวัสดีครับ ห้องพักเหรอครับ จะอยู่กี่วันครับ?”
ลิลินมองไปที่ป้ายรับสมัครนักร้อง ก่อนจะหันไปตอบ
“ไม่มีกำหนด”
เมื่อพนักงานมาลิลินเข้ามาในห้องพัก แล้วเดินเลี่ยงไป เธอก็เดินลงมานั่งที่เตียงก่อนจะหยิบกล่องแห่งความทรงจำออกมาแล้วเปิดออกดู ภายในกล่องมีสร้อยข้อมือลีลาวดีสีแดง และรูปถ่ายคู่ของเธอกับปองภพ“ใครที่ทำอะไรไว้กับพ่อ หนูจะทำกับพวกมันยิ่งกว่า”
ไฟแค้นในแววตาของลิลินคุโชน
ในที่สุดอนันยชก็ขับรถมาส่งวาสนาและวรรณิตถึงที่บ้าน ซึ่งเป็นบ้านทรงไทยหลังใหญ่ แลดูมีฐานะ
พลางอาสาจะขึ้นไปส่งถึงบนบ้าน แต่วาสนารีบบอกปัด
“โอ๊ย ไม่ต้องลำบากหรอก แค่พ่อวันขับรถมาถึงนี่ ยายก็เกรงใจแล้ว”
อนันยชรีบพูดเอาใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือซะว่าเป็นการไถ่โทษแทนไอ้วิน แล้วอีกอย่าง ไหนๆ ยายก็เกรงใจไปแล้ว ผมไม่อยากทำให้ความเกรงใจของยายเสียเปล่า”
พูดพลางมองขึ้นไปบนบ้าน “นี่คุณณิตพักอยู่กับยายเหรอครับ?”
วรรณิตตอบว่า “ค่ะ”
แต่วาสนาที่พูดพร้อมกับกลับบอกว่า “เปล่า”
พอเห็นอนันยชทำหน้าสงสัย ก็รีบพูดแก้
“เอ่อ ก็ไปๆมาๆนั่นแหละ บ้านใกล้เรือนเคียง ไม่อยู่ก็เหมือนอยู่ ใช่มั้ยแม่ณิต”
“ค่ะ”
จากนั้นก็ทำทีเป็นฝากขนมไปฝากทิวัตถ์เป็นเชิงไล่อนันยชทางอ้อม อนันยชยกขึ้นดู
“เสน่ห์จันทน์”
วรรณิตมองอย่างแปลกใจ “คุณวันรู้จักด้วยเหรอคะ? ณิตเห็นคุณวันอย่างนี้ ไม่คิดว่าจะรู้จักขนมไทยโบราณ”
“พอดี มันเป็นขนมที่ผมชอบน่ะครับ”
วาสนาเข้าใจนัยอนันยชพูดว่าหมายถึงอะไร? ก็รีบพูดกันท่า
“อ้าวเหรอ ถ้าอย่างนั้นไว้วันหลังให้แม่ณิตเขาทำให้ทานนะ เพราะอันนี้น่ะ เป็นของพ่อวิน”
อนันยชยิ้มรับ
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ หวังว่าผมคงได้มีโอกาสทานเสน่ห์จันทน์ฝีมือคุณณิตนะครับ”
พูดพลางยิ้มสื่อความนัยให้วรรณิต วาสนาแอบมองด้วยความไม่ค่อยพอใจ
พออยู่กันตามลำพัง วาสนาก็อดไม่ได้ที่จะเหล่มองวรรณิตตาขวาง
“ไอ้เรารึก็อยากให้พ่อวินสนใจแต่กลับกลายเป็นได้อีกคน”
วรรณิตรู้อยู่ว่าอนันยชท่าทางแปลกๆ แต่ก็ไม่อยากแสดงกริยาอะไรให้วาสนาขัดเคือง
“ไม่หรอกค่ะ คุณยายบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าคุณวันแกเจ้าชู้ อาจจะเป็นนิสัยของคุณวันก็ได้ค่ะ”
วาสนามองค้อน แล้วรีบตัดไฟแต่ต้นลม
“ฉันก็ไม่อยากพูดอะไรมากหรอกนะ แค่อยากให้เธอจำไว้ให้ดี ว่าเป้าหมายของเราคือพ่อวินเท่านั้น”
พูดพลางจิกตาร้าย วรรณิตแอบถอนหายใจอย่างหนักใจ
ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมรอยัลเพิร์ลชื่อปกติ เดินนำวิชนีเข้ามาที่หน้าห้องของศักดิ์สิทธิ์
“รอหน้าห้องก่อนนะครับ เดี๋ยวสักครู่คุณหนูก็คงจะถึง”
“คุณหนู...?” วิชนีทวนคำ
“เจ้าของโรงแรมนี่ไงครับ”
ปกติยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป วิชนีที่นั่งรอที่หน้าห้อง เห็นลิลินเดินเข้ามา ก็ลุกขึ้นยกมือสวัสดี
“สวัสดีค่ะ”
ลิลินทำหน้างง “คะ?”
“อ๋อ คือดิฉันมาสมัครงานน่ะคะ เราเริ่มกันเลยดีมั้ยคะ?”
ลิลินยิ้ม “ ฉันก็มาสมัครงานเหมือนกันค่ะ”
วิชนีหุบยิ้มแทบไม่ทัน พลางเหล่มองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเพราะคิดว่าลิลินเป็นคู่แข่ง พอศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามา เธอก็ทำตาขวาง เพราะคิดว่าเป็นคู่แข่งอีกคน ครั้นเห็นเขากำลังจะเดินเข้าห้อง ก็โวยวายเสียงดังทันที
“หยุดเลย หมายเลขสาม”
ศักดิ์สิทธิ์หันมางงๆ
“นายนั่นแหละ ไม่เห็นหรือไงว่าพวกเรารออยู่หน้าห้อง”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปตอบแบบงงๆ เพราะไม่เข้าใจว่าวิชนีต้องการอะไร “เห็น”
“เห็นแล้วก็ยังกล้านะ ไม่ทุเรศไปหน่อยหรือไง ไม่เห็นหรือไงว่าพวกเรานั่งรออยู่ ฉันมาคนแรก
ฉันคือคนที่หนึ่ง ส่วนเธอมาเป็นที่สอง ส่วนนายมาทีหลัง ก็ต้องเป็นคนที่สาม”
“อะไรของเธอ นี่ไม่รู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร?”
วิชนียักไหล่ “ไม่รู้ แล้วก็ไม่สนด้วย”
จังหวะนั้นปกติก็เดินเข้ามา
“อ้าวคุณหนู มาเมื่อไหร่ครับ? ผมก็ตามหาอยู่”
วิชนีได้ยินก็ชะงัก
“คุณหนู? คุณปกติ คุณหนูที่ว่าเนี่ย...คือ”
พูดพลางชี้มือไปทางศักดิ์สิทธิ์
“ใช่ครับ คุณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าของโรงแรมนี่ไงครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มอย่างผู้ชนะ “ทีนี้รู้หรือยังว่าฉันเป็นใคร?”
วิชนีเสียงอ่อนลงทันที
“คิดว่าพอจะรู้แล้วค่ะ ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าคุณเป็นเจ้าของโรงแรมนี้นี่”
“เอาละ ครั้งนี้ฉันจะยกโทษให้ มาสมัครเป็นเชฟกันใช่มั้ย?”
วิชนีรับคำเสียงอ่อย แต่ลิลินกลับพูดขึ้นว่า
“ไม่ใช่ค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีหันมองลิลินอย่างแปลกใจ
อนันยชขับรถมาตามถนนสายนอกเมือง พลางครุ่นคิดเรื่องราวในอดีตเมื่อ 15 ปีที่แล้ว อนันยชในวัย 15 ปี ถอดเสื้อฟุตบอลที่ชุ่มเหงื่อออก พลางเช็ดเหงื่อตามตัว แล้วก็พาดไปที่ไหล่
จากนั้นก็ตรงไปที่ห้องครัว
“ยายจวนผมหิวจัง มีอะไร....”
เด็กหนุ่มถึงกับชะงักคำพูดค้างไว้ เมื่อเห็นศุภิสรากำลังจัดขนมใส่จานอยู่ที่โต๊ะครัว
“น้าต้อย”
ศุภิสรายิ้มให้ “ทำไมเห็นน้าต้องตกใจด้วย”
“เอ่อ เปล่าครับ ผมคิดว่าเป็นยายจวน”
ศุภิสรามองไปที่อนันยชตั้งแต่หัวไล่ลงมาที่คอ ที่ไหล่ และแผ่นอกที่ชุ่มเหงื่อ ก่อนที่จะเดินเข้าไปหยิบเสื้อออกจากไหล่ของเด็กหนุ่มพร้อมสายตาที่ยั่วยวน
“อยากทานอะไรล่ะ ของหวานหรือของคาว?”
อนันยชยืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ทำเป็นไม่รู้สึกอะไร
“หิวใช่มั้ยน้ามีขนมเสน่ห์จันทน์ กำลังจะเอาไปให้น้าเธอ แต่ถ้าเธออยากกินก่อน ก็ได้นะ”
อารมณ์หนุ่มของอนันยชพลุ่งพล่าน แต่ทำเป็นเสคุยเรื่องอื่น
“เสน่ห์จันทน์ ชื่อขนมเหรอครับผมไม่เคยได้ยินเลย”
ศุภิสราเดินกลับไปที่จานขนมหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มแอบมองเรือนร่าง
ทางด้านหลัง พอศุภิสราหันกลับมา อนันยชก็รีบหลบตา
“ขนมเสน่ห์จันทน์ เป็นขนมที่หอมหวานมีเสน่ห์น่าหลงใหล วันจะลองชิมดูสักหน่อยมั้ยละจ๊ะ?”
อนันยชถึงกับเคลิ้ม พลางจะเอื้อมมือไปหยิบ แต่ศุภิสราดึงจานหนีก่อนจะหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
“เพิ่งออกกำลังกายมามือสกปรกแย่ อ้าปากสิ เดี๋ยวน้าป้อนให้”
เด็กหนุ่มยอมอ้าปากแต่โดยดี ขณะที่ที่สายตาจับจ้องไปตามเรือนร่างของอีกฝ่ายไม่วางตา ศุภิสราป้อนขนมเสน่ห์จันทน์ใส่ปากอย่างจงใจให้นิ้วมือของเธอสัมผัสเข้าไปกับริมฝีปากของเด็กหนุ่ม
อนันยชเปิดกล่องขนมเสน่ห์จันทน์ออก ระหว่างนั้นทิวัตถ์ก็โทร. เข้ามือถือมา แต่เขากลับไม่ยอมรับสาย เอาแต่หยิบขนมขึ้นมาใส่ปากแล้วเคี้ยวช้าๆ พลางหลับตาพริ้ม อย่างเปี่ยมสุข
ทางด้านทิวัตถ์ที่ขับรถอยู่ ก็รีบกดวางสาย พลางคิดไปว่าลิลินต้องอยู่กับอนันยช คิดพลางรีบกดโทรศัพท์อีกครั้ง
“สิทธิ์ วันอยู่กับแกหรือเปล่า?”
ทิวัตถ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาที่หน้าผับซิลเวอร์โคฟ ก่อนจะเห็นศักดิ์สิทธิ์กำลังบอกพนักงานให้จัดป้ายหน้าผับอยู่
“ไอ้สิทธิ์ วันอยู่ไหน?”
“อะไรของแกวะ เอางี้ ถ้าฉันบอกอะไรแก แล้วแกห้ามโกรธฉัน โอเค้?”
“ทำไม วันมากับผู้หญิงคนนึงใช่มั้ย?”
ศักดิ์สิทธิ์รีบบอก
“คือฉันไม่เจอไอ้วันหรอก ที่ฉันโกหกแกเพราะอยากจะให้แกช่วยเป็นคอมเม้นเตเตอร์วิจารณ์นักร้องคนใหม่ของฉันหน่อย”
“แกจะบ้าหรือไง ฉันไม่ได้ว่างมากนะเว้ย”
แต่ศักดิ์สิทธิ์กลับพูดคะยั้นคะยอ จนทิวัตถ์ส่ายหน้าเซ็ง
ศักดิ์สิทธิ์เดินนำทิวัตถ์เข้ามาในผับซิลเวอร์โคฟที่ยังไม่ได้เปิด
“มาเลยๆ รับรองว่าหายเซ็งแน่”
ระหว่างนั้นเสียงดนตรีก็เริ่มบรรเลง
“นั่นไง ออกมาแล้ว”
พลันที่เสียงของลิลินดังขึ้นมา ทิวัตถ์ก็จำได้ทันที เขารีบหันขวับไปมองที่เวที จังหวะเดียวกับที่
ลิลินที่อยู่บนเวที หันมาเห็นเขาเข้าพอดี ต่างคนต่างตกใจด้วยกันทั้งคู่
อ่านต่อตอนที่ 2