พราว ตอนที่ 10
มีนในบทแม่หญิงเงื้อมือตบจันทร์จรี ในบทชบา แต่ไม่ได้ตบจริง ทว่าเมื่อจันทร์จรีในบทชบาตบคืน กลับตั้งใจตบโดนหน้ามีนจังๆ
“เอาจริงเหรอเนี่ยะ”
จันทร์จรียิ้มเหี้ยม “เออ ฉันเอาแกจริง เอาแกตายแน่”
พูดพลางโถมเข้าไปจิกหัวมีน
“ได้ งั้นฉันก็เอาจริงเหมือนกัน อยากเจอของจริง ต้องได้เจอ”
มีนถีบพลั่กเข้าเต็มอก จนจันทร์จรีล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า
“คัท ตบกันได้ถูกใจป๋ามาก แซ่บเว่อร์”
เสียงผู้กำกับคว้าโทรโข่งตะโกนมาแต่ไกล
จันทร์จรีเดินจับแก้มเข้ามาในห้องแต่งตัวมาอย่างเจ็บใจสุดๆ ก่อนจะอาละวาดปัดข้าวของที่โต๊ะแต่งตัวประจำของตัวเองล้มระเนระนาด พอมีนเดินเข้ามาพอดี ปรายตามองมาโดยไม่ได้ตั้งใจ อีกฝ่ายก็พาลใส่
“มองอะไรยะ จะตบฉันอีกหรือไง”
“ใครตบใครก่อนกันแน่ เธออยากเล่นจริงตบจริง ฉันก็เลยต้องป้องกันตัว”
แฟรงค์กับเอมี่รีบเข้ามาประกบพราวทันที
“ป้องกันตัวอะไรยะ อย่ามาแหลหน่อยเลย หล่อนจ้องจะเอาคืนฉันอยู่แล้ว ที่ฉันไปยุ่งกับคุณติณห์น่ะ”
แฟรงค์ดึงมีนถอยออกไป แล้วไปยืนประจันหน้ากับจันทร์จรีแทน
“ยอมรับแล้วใช่ไหมล่ะว่าหล่อนนำเหนอตัวเองไปยุ่งกับคุณติณห์ ทั้งๆที่รู้ว่าคุณติณห์กับพราวเค้าคบกันอยู่”
“คบก็คบไปซิ ฉันต้องแคร์อะไร เรื่องแบบนี้มันตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก”
“หล่อนนี่มันน่าจะตั้งฉายานามให้ว่า จันทร์จรี ยอดเนรคุณตัวแม่จริงจริ๊ง หล่อนเข้าวงการได้เพราะพราวพาหล่อนมาให้ฉันปั้น จำได้ไหมยะ”
จันทร์จรียิ้มหยัน “หยุดพูดซ้ำซากเถอะย่ะ บุญคุณของพวกแกมันหมดไปตั้งแต่พวกแกเฉดหัวฉันออกจากอุ้งตีนหมูแกแล้ว ตอนนี้ถ้าจะเอ่ยถึงฉัน ก็ต้องพูดในฐานะที่ฉันเป็นดาราดังคู่แข่งของพราว จำใส่หัวนกแก้วนกขุนทองของแกไว้ด้วย”
แฟรงค์โกรธจนปากคอสั่น เอมี่ปราดเข้ามาช่วย
“เจ๊ๆ หมาเห่าอย่าไปเห่าตอบซิ สำหรับหมาจรจัด มันอยากมีเจ้าของก็เที่ยวแย่งของชาวบ้านกินแบบงี้แหละ”
จันทร์จรียักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน
“อันนี้ก็ไม่รู้ซินะ ว่าฉันต้องไปแย่งเค้ากิน หรือว่าเค้าอยากจะให้ฉันกินเองฮิๆ”
พูดพลางเดินหัวเราะกลับไปยังที่เก้าอี้ของตัวเอง เอมี่เต้นเร่าๆ
“ต๊าย อีหน้าสะพานแขวน คอยดูนะ!เรื่องนี้จะต้องถึงหูคุณติณห์”
ติณห์กดวางวาย พลางยิ้มอย่างสะใจเมื่อได้รับการรายงานจากทีมงานที่ดูแลจันทร์จรี
“เกิดเรื่องขึ้นที่กองถ่ายเหรอครับ ?”
มาโนชที่ยืนพินอบพิเทาอยู่ข้างๆ รีบถามขึ้นมา
“ใช่ จันทร์จรีลงมือแทนเราแล้ว วันนี้คงแค่เบาะๆ ต่อไปคงหนักข้อขึ้น ถ้าฉันเติมเชื้อไฟให้แรงขึ้น“แต่ผมกลัวว่ายัยพราวจะตีตัวออกห่างคุณติณห์เสียก่อนน่ะซิครับ”
“แกคิดว่าคนอย่างพราว-พิชญาดาจะเห็นไอ้บอดี้การ์ดสมชายดีกว่าฉันงั้นเหรอ”
ติณห์ยิ้มเหี้ยม พลางตบมือไปที่โต๊ะ คิดหนัก เพราะต้องการเอาชนะ แล้วก็นึกถึงแหวนหมั้นของตรีขึ้นมาได้ เขารีบเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบกล่องแหวนออกมาเปิดดู
“นายตรี แหวนวงนี้ที่แกอุตส่าห์เลือกซื้อเพื่อไปขอยัยพราวแต่งงาน มันไม่เสียเปล่าแน่ พี่จะใช้มันแทนแกเอง”
เขากำกล่องแหวนไว้ในมือแน่น ด้วยความแค้นที่แน่นอก และคิดจะใช้แหวนวงนี้ผูกมัดพราว เพื่อแยกเธอออกจากสมชาย
แฟรงค์หงุดหงิดที่โทร. หาติณห์ เพื่อจะรายงานเรื่องจันทร์จรี แต่มาโนชที่รับสายแทน แจ้งว่าติณห์ติดประชุม ขณะที่สมชายมองไปที่มีน กลับเห็นเธอยืนพิงรถไม่เป็นทุกข์เป็นร้อน ซ้ำยังแอบส่งยิ้มให้กับสุดเขตต์ที่ยืนมองอยู่ไกลๆ
มีนหันมาจะขึ้นรถต้องชะงัก เมื่อเห็นสมชายมองจ้องอยู่ เธอรีบทำเป็นเสียบหูฟังเพลงก้าวขึ้นรถไป
สมชายยิ้มๆ ก่อนจะปิดประตูให้ ด้วยความมั่นใจว่าคนที่เพิ่งก้าวขึ้นรถนี่ไม่ใช่พราว !!
แฟรงค์เดินหาวหวอดๆ เข้ามาในล็อบบี้ มีน กับเอมี่เดินตามมาติดๆ สมชายที่เดินตามหลังมา แอบยิ้มอย่างมีแผน พลางเสนอตัวช่วยแฟรงค์กับเอมี่ถือกระเป๋า พร้อมทั้งเหล่มองพราวที่ทำเป็นเสียบหูฟังเพลงเพื่อหลบเลี่ยงที่จะคุยกับเขา
สมชายเดินหิ้วกระเป๋าตามมีน แฟรงค์ เอมี่ มาถึงลิฟท์ พอประตูลิฟท์ก็เปิดออก แฟรงค์ก็รีบหันมาบอก
“คุณกลับไปได้แล้วล่ะบอดี้การ์ดสมชาย ส่งพวกเราแค่นี้แหละ ส่งกระเป๋าฉันมา”
สมชายทำเหมือนจะส่งกระเป๋าให้ แต่กลับดันแฟรงค์กับเอมี่เซผงะออกไปจากหน้าลิฟท์ แล้วก็รีบคว้าแขนมีนเข้าลิฟท์ไปทันที แฟรงค์กับเอมี่รีบถลากลับมา แต่ไม่ทัน ประตูปิดลิฟท์ขึ้นไปแล้ว
แฟรงค์หน้าซีด ตกใจ
“ถ้านายสมชายขึ้นไป ก็จะเจอพราวน่ะซี ตายแน่ๆ รีบโทรบอกพราวเร็วๆ เข้า”
เอมี่ส่ายหน้า “จะให้โทรด้วยอะไรล่ะเจ๊ มือถือฉันอยู่ในกระเป๋า”
“มือถือฉันด้วย”
ทั้งคู่ยืนช็อก ทำอะไรไม่ถูก
มีนที่อยู่ในลิฟท์กับสมชาย ก็ตกใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“คุณ คุณทำอะไรของคุณเนี่ยะ?”
“ผมก็จะไปส่งคุณให้ถึงห้องไง”
เธอรีบปฏิเสธ เพราะขืนไปส่ง สมชายต้องเจอพราวตัวจริงแน่
“ไม่ต้องขึ้นไปส่งหรอก ฉันขึ้นไปเองได้ คุณลงชั้นนี้แหละ”
“ ผมเป็นบอดี้การ์ดของคุณ ผมจะปล่อยให้คุณขึ้นห้องไปคนเดียวได้ยังไง ผมต้องไปส่งคุณให้ถึงประตู เพื่อให้แน่ใจว่าคุณปลอดภัย”
แฟรงค์กับเอมี่รีบวิ่งมาหาพนักงานที่เคาน์เตอร์ พร้อมกับออกปากขอยืมใช้โทรศัพท์ แต่กลับจำเบอร์มือถือของพราวไม่ได้
สมชายหิ้วกระเป๋าทั้งหมดยืนอยู่ข้างหลัง มีนจำต้องเดินออกมาจากลิฟท์
“ฉันเดินไปเองได้ คุณส่งกระเป๋ามา แล้วกลับไปเหอะ”
สมชายส่ายหน้า “ผมมาถึงนี่แล้ว ยังไงๆ ผมก็จะส่งคุณถึงห้อง รีบเดินซิครับ”
มีนทำเป็นจะเดินเลี้ยวไปอีกทาง
“ไม่ใช่ทางนั้นครับ ทางนี้”
“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าไม่ใช่ทางนั้น”
สมชายมองมีนอย่างจับผิด
“คุณไม่น่าลืมเลยนะ ว่าผมเคยมาส่งคุณที่ห้อง”
เสียงกดกริ่งหน้าห้องดังขึ้น พราวหันมามองที่ประตูอย่างแปลกใจ
“สงสัยจะกลับมากันแล้ว พี่แฟรงค์ไม่มีคีย์การ์ดหรือไง”
พลางจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตู พลันเสียงมือถือที่โต๊ะดังขึ้น พราวชะงัก ลังเลว่าจะไปรับโทรศัพท์หรือไปเปิดประตูก่อนดี
แฟรงค์ยืนรอสายจากพราวอย่างกระวนกระวายใจ
“พราว รับเร็วๆเข้าซิ เดี๋ยวความลับได้แตกแน่”
พราวตัดสินใจเดินไปเปิดประตู
“ลืมเอาคีย์การ์ดไปเหรอพี่แฟรงค์”
พอเปิดประตูออกก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นสมชายยืนอยู่หน้าห้องกับมีน ขณะที่สมชายก็ตะลึงงันที่เห็นพราวอีกคนยืนอยู่ในห้อง
จันทร์จรีกับส้มจี๊ดนัดพบกันที่ร้านอาหาร เพื่อคุยกันเรื่องที่พราวจ้างสมชายมาเป็นบอดี้การ์ด ต่างคนต่างรู้สึกตรงกันว่าเธอดูไว้ใจเขามาก สุดท้ายที่จันทร์จรีกำชับแกมสั่งส้มจี๊ด
“งั้นก็ช่วยทีเถอะ หาข่าวเสี้ยมให้หน่อย ท่าทางคุณติณห์ก็ไม่พอใจที่นังพราวจ้างนายสมชายมาตามดูแลใกล้ชิด”
ส้มจี๊ดยิ้มร้าย
สมชายก้าวเข้ามาในห้อง สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่พราวอย่างงงๆ ทั้งประหลาดใจและไม่เข้าใจ มีนก้าวตามแล้วรีบปิดประตูห้อง มองไปที่เขาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
ความเงียบปกคลุมห้องไปชั่วขณะ ต่างฝ่ายต่างรอว่าใครจะพูดอะไรก่อนกัน จนสมชายที่มองมีนกับพราวสลับกันไปมาอยู่สักพัก เป็นฝ่ายโพล่งออกมาก่อน
“ช่วยบอกผมทีเถอะ นี่ผมไม่ได้บ้าใช่ไหม ที่เห็นพราว 2 คน ยืนอยู่ต่อหน้าผมตอนนี้”
มีนเงียบ สีหน้ากังวล แต่พราวที่ตั้งสติได้ เพราะแอบทำใจไว้นานแล้วว่าสักวันสมชายก็ต้องจับได้ ตอบออกไปอย่านิ่ง ๆ
“คุณผิดแล้ว ในห้องนี้มีพราวอยู่เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น”
สมชายยิ้มประชด
“อ๋อเหรอ งั้นอีกหนึ่งก็ต้องเป็นพราวตัวปลอมน่ะซิ”
“คุณก็ตอบตัวเองได้แล้วนี่ ว่าคุณไม่ได้บ้า ไม่อย่างงั้นคุณคงไม่ตามขึ้นมาหาความจริงให้หายสงสัยบนนี้”
สมชายพยักหน้า แล้วรีบสรุป
“งั้นผมก็ตอบคุณได้เลยตอนนี้ ว่าคุณคือพราวตัวจริง”
พราวอึ้งไปอย่างจำนน ขณะที่มีนยืนก้มหน้ารู้สึกผิด
“มีนขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆที่ทำให้บอดี้การ์ดสมชายจับได้”
สมชายที่ได้รู้ชื่อมีนส่ายหน้าอย่างหัวเสีย มีนยังพร่ำแต่ขอโทษไม่เลิก จนพราวต้องรีบตัดบท
“เอาล่ะๆไม่ต้องขอโทษแล้วมีน ไม่ใช่ความผิดของเธอ ฉันรู้อยู่แล้ว ว่าสักวันเค้าต้องรู้ความจริง”
พราวหันไปมองสบตาสมชายที่มองเธออย่างเคืองๆ ทันใดนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้นอีก พราวเลยหันไปคว้ามารับ
“ฮัลโหล ใครคะ? พี่แฟรงค์ ใจเย็นๆค่ะพี่ ค่อยๆพูด ตกอกตกใจไปไม่ช่วยอะไรแล้วค่ะ เพราะตอนนี้เค้ารู้ความจริงหมดแล้วค่ะ”
แฟรงค์ที่ยืนโทรศัพท์อยู่ที่ล็อบบี้ด้านล่างหน้าซีดเผือด ก่อนจะค่อยๆ วางสายไป
“หมอนั่นรู้ความจริงหมดแล้ว”
เอมี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เตรียมตัวจะเผ่น แต่แฟรงค์รีบคว้าตัวไว้
“ หล่อนก็อยู่เคลียร์กับฉันซิ ในฐานะสมรู้ร่วมคิดกับฉัน”
เอมี่หน้าแหย
สมชายนั่งกอดอก ตาเพ่งมองไปทั้ง 2 สาวราวกับตำรวจกำลังสอบสวนผู้ต้องหา
“เล่าความจริงมา ไม่อย่างงั้น ผมแจ้งความจับคุณ 2 คนได้นะ ข้อหาหลอกลวงต้มตุ๋นประชาชน”
พราวหน้าตึง “เว่อร์น่าคุณ พูดอย่างงี้มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”
“แล้วที่คุณหลอกให้ผมคอยตะลอนๆ วิ่งตามเป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองทั้งพราวตัวจริงและพราวตัวปลอมเนี่ยะ ไม่มากไปเลยใช่มั้ย ?”
พราวเถียงไม่ออก มีนรีบแก้แทน
“แต่คุณพราวไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณเลยนะคะ สถานการณ์มันบังคับน่ะค่ะ”
สมชายได้ยินอย่างนั้นก็ยก 2 นิ้วขึ้นทำท่าเหมือนนักจิตวิทยากำลังสรุป
“คุณ 2 คนต่างกันก็ตรงนี้แหละ ผมว่าให้คุณมีนเป็นคนเล่าจะดีกว่าครับ เพราะว่าคุณเป็นคนพูดจา
รู้เรื่อง ผิดกับพราวตัวจริงมาก”
สมชายตั้งใจแขวะ พราวมองค้อน ก่อนจะนั่งลงไขว้ห้างที่โซฟาอย่างขัดใจ
“ตกลง คุณ 2 คน เป็นพี่น้องฝาแฝดกันใช่ไหม ?”
มีนส่ายหน้า “เปล่าค่ะ เรา 2 คน ไม่ได้เป็นญาติหรือรู้จักกันมาก่อนเลย”
“ไม่น่าเชื่อ หน้าคุณเหมือนกันมาก งั้นถ้าไม่รู้จักกันเลย แล้วคุณมีนมาปลอมตัวเป็นสแตนด์อินให้คุณพราวได้ยังไงกันครับ ?”
“ก็ตอนที่คุณพราวหนีไปอัมพวาน่ะค่ะ คงเป็นเพราะโชคชะตาทำให้พี่แฟรงค์มาช่วยชีวิตมีนเอาไว้ค่ะ”
จากนั้นมีนก็เริ่มต้นเล่าทุกอย่างให้สมชายฟังอย่างละเอียด
ผ่านไปครู่ใหญ่มีนเปิดประตูเดินออกมาจากห้องน้ำ หลังจากที่เข้าไปเปลี่ยนกลับมาใส่ชุดของตัวเองเหมือนเดิม
สมชายที่กำลังนั่งรออยู่ หันมองไป เห็นใบหน้าที่ลบเครื่องสำอางออกหมดแล้ว มีปานแดงที่แก้มข้างหนึ่งถึงกับลุกขึ้นยืนมองอย่างอึ้งๆ
“มิน่า คุณถึงต้องแต่งหน้าไปเอง ไม่ยอมให้ช่างที่กองถ่ายแต่งหน้าให้ ก็เพราะต้องปกปิดปานแดงที่หน้า”
มีนพยักหน้ายิ้มๆ
“คุณรู้ความจริงหมดแล้ว อย่าโกรธคุณพราวเลยนะคะ”
“นี่มีน ใครใช้ให้เธอไปขอร้องเค้า”
พราวยังฟอร์มใส่สมชาย
“ก็มีนเต็มใจช่วยคุณพราวเองนี่คะ มีนอยากทำงานหาเงินเยอะๆไปช่วยเด็กๆ กำพร้าที่บ้านแสนรัก อีกอย่างหนึ่ง คุณพราวกำลังถูกปองร้าย ชีวิตไม่ปลอดภัย ถ้าบอดี้การ์ดสมชายเป็นห่วงคุณพราวด้วยใจจริง คงจะเข้าใจ
ว่าทำไมคุณพราวถึงต้องมีสแตนด์อิน”
สมชายมองไปที่พราวด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง
“มีนกลับก่อนดีกว่า คุณ 2 คนจะได้คุยกัน ไปนะคะ”
มีนเดินไปที่ประตู ทิ้งให้สมชายกับพราวอยู่กันตามลำพัง
“เป็นไงบ้างหนูมีน ตาสมชายด่าเละเลยใช่ไหม?”
ทันทีที่มีนเดินลงมา แฟรงค์ก็รีบปราดเข้าไปหาทันที
“ก็ไม่นี่คะ เค้าก็เข้าใจเหตุผลดี ตอนนี้กำลังปรับความเข้าใจกับคุณพราวอยู่ในห้องน่ะค่ะ มีนกลับนะคะ จะให้มีนมาทำงานวันไหน ก็โทร. บอกได้เลย หวัดดีค่ะ”
มีนยกมือไหว้แฟรงค์กับเอมี่แล้วเดินไป
พราวยอมรับความจริงเสียงอ่อยๆ
“ฉันคิดอยู่แล้ว ว่าคงอำคุณได้ไม่นาน”
สมชายได้ยินอย่างงั้น ทั้งขำทั้งหมั่นไส้ เดินเข้ามาถามแบบจ้องๆ หน้าพราว ก่อนจะดึงเธอเข้ามาใกล้ๆ จนพราวใจสั่น
“ตอบผมมาก่อน ทำไมคุณถึงไม่บอกเรื่องนี้กับผมตรงๆ”
“ก็ เอ่อ ฉันอยากจะดูซิ คุณจะเก่งสักแค่ไหน ประสาทคุณจะแยกออกไหมว่าคนไหนพราวตัวจริงตัวปลอม”
สมชายแกล้งยั่วอย่างนึกสนุก
“งั้นตอนนี้ประสาทคุณแยกออกไหม ว่าผมเป็นสมชายตัวจริงหรือตัวปลอม ?”
“หา ว่าไงนะ คุณมีตัวจริงตัวปลอมด้วยเหรอ”
สมชายหัวเราะขำ “ผมแค่เป็นผี กำลังอำคุณคืน”
พราวมองค้อน พลางตีสมชายเบาๆ พร้อมกับดึงมือตัวเองออก หันจะเดินไป แต่จู่ๆ ไฟดวงกลางห้องก็ดับวูบลง ทำเอาพราวกระโดดโหยง หันมากอดสมชายแน่น ทำเอาเขาเนื้อตัวชา หัวใจเต้นแรง ขณะที่มือกอดตอบไปโดยอัตโนมัติ
พอพราวได้สติ พบว่าตัวเองกำลังกอดสมชายอยู่ ทั้งสองสบตากันนิ่ง แล้วสมชายก็พุดทำลายบรรยากาศออกมาหน้าตาเฉย
“ผมว่าคุณใช้บอดี้การ์ดเกินหน้าที่ไปแล้วนะ กลัวผีแล้วมากอดผมแบบนี้ผมคิดค่าตัวเพิ่มนะคุณ”
พราวรีบผละออกมาทันที
“ นึกว่าฉันอยากกอดนักเหรอ ก็อยู่ๆไฟมันดับนี่”
พราวหันมองรอบห้องทำสีหน้าหวาดหวั่น
“ไม่ใช่ผีหรอก สงสัยหลอดไฟมันขาดน่ะ”
สมชายพูดพลางแหงนหน้าขึ้นมองไฟดาวน์ไลท์ที่ฝ้าเพดาน
พราว ตอนที่ 10 (ต่อ)
มีนกระชับปีกหมวกที่ใส่ปกปิดใบหน้า ผลักประตูเดินออกมาจากคอนโด
“จะกลับแล้วเหรอครับ”
มีนชะงัก ค่อยๆหันไปมอง เห็นสุดเขตต์ยืนพิงรถมอเตอร์ไซด์รออยู่
“ให้ผมไปส่งไหมครับ?”
“ขอบคุณค่ะ มีนกลับเองได้ นั่งรถเมล์ต่อเดียวเอง”
สุดเขตต์ส่งยิ้มจริงใจกลับไปให้
“ถ้าคุณเลือกที่จะใช้บริการขนส่งมวลชน มากกว่ายอมนั่งมอเตอร์ไซด์ไปกับคนหล่อๆ อย่างผม ก็แสดงว่า คุณยังไม่ไว้ใจผม”
มีนเถียงไม่ออก ได้แต่ยิ้มอย่างยอมแพ้
สมชายลงจากบันไดหลังจากที่ปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟให้ พราวหันไปเปิดตู้เย็นเทน้ำเย็นใส่แก้วเดินเข้ามายื่นให้ เขาหันมามองอย่างอึ้งๆ
“ทำไมมองงั้นอ่ะ ปรกติพราวไม่เสิร์ฟน้ำให้ใครนะ แต่พิเศษสำหรับคุณ เป็นการขอบคุณที่ช่วยเปลี่ยนหลอดไฟให้ฉัน”
สมชายรีบคว้าแก้วมาดื่ม จนหมดแก้ว
“น้ำเปล่าของซูเปอร์สตาร์ เย็นชื่นใจจริงๆ แล้วไง คุณจะให้ผมยังไงต่อ ?”
พราวมองหน้าสมชายงงๆ
“งงอะไรคุณ ผมถามว่าเรื่องคุณมีนน่ะ จะให้ผมทำยังไงต่อ ผมต้องคอยเป็นบอดี้การ์ดดูแลทั้งพราวตัวจริงตัวปลอมเลยใช่ไหม ?”
คราวนี้พราวถึงกับหน้าเครียด
“ฉันก็ไม่อยากจะทำอย่างงี้นะ แต่ฉันกลัว ไม่รู้เมื่อไหร่ว่าจะมีใครมาทำร้ายฉันอีก ฉันอยากจะเลิกทำงาน เก็บตัวสักพัก แต่ฉันก็ทิ้งงาน ทิ้งพี่แฟรงค์ไม่ได้ ตำแหน่งซูเปอร์สตาร์มันค้ำคอฉันอยู่”
สมชายฟังอย่างเห็นใจและเข้าใจ พลางยื่นมือไปจับไล่พราวอย่างอ่อนโยน
“เมื่อไหร่ที่จับตัวคนร้ายได้ ไม่ว่าไอ้เจ๋งหรือใครก็ตาม ที่กำลังคุกคามชีวิตคุณ คุณจะหลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้เอง ผมสัญญาณว่าจะรีบควานหาตัวพวกมันมาติดคุกให้ได้ คุณอดทนอีกหน่อยนะครับพราว”
พราวรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาก เลยไพล่มือไปจับมือสมชายที่จับไหล่ตัวเองอยู่
“ขอบคุณมาก บอดี้การ์ดสมชาย”
ทั้งสองมองหน้ากัน ความรู้สึกดีๆ กลับมาอีกครั้ง แต่แล้วเสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะ สมชายรีบดึงมือกลับ
“ผมควรจะกลับซะที”
แฟรงค์กับเอมี่ยืนกดกริ่งอยู่ที่หน้าห้อง นึกแปลกใจที่พราวมาเปิดประตูช้า
“เค้าปรับความเข้าใจกันอยู่ หรือว่า...”
เอมี่ทำท่านิ้วชี้ชนๆ กัน ทำเอาแฟรงค์ร้องลั่น
“ว้าย! ไม่ได้นะ พราวจะกลับไปถ่านไฟเก่าคุกับนายสมชาย ณ อัมพวาไม่ได้ คุณติณห์ไม่ยอมแน่ มันต้องฉาวโฉ่ เสียชื่อแน่ เปิดประตูซิ เปิดๆ”
แฟรงค์กดกริ่งรัว ครู่หนึ่งประตูห้องก็เปิดผัวะออก สมชายยืนคิ้วขมวด ทำเอาแฟรงค์กับเอมี่ตกใจสะดุ้งโหยง
“ทำไมเปิดประตูช้าล่ะ คุยอะไรกันนักหนา”
“ก็เรื่องที่พวกคุณรวมหัวสมคบคิดวางแผนตบตาผมมันเยอะ ถึงต้องเคลียร์กันนานๆหน่อย”
แฟรงค์กับเอมี่ยืนเบียดกันตัวลีบ แล้วสมชายก็เดินจากไป แฟรงค์แอบทำหน้ายี้ใส่ แต่อยู่ๆ สมชายก็เบรกเอี๊ยด ทำเอาแฟรงค์สะดุ้ง
“แต่ผมยังไม่ได้เคลียร์กับเจ๊เลยนะ”
แล้วสมชายก็หันเดินต่อไป แฟรงค์ยกมือขึ้นทาบอกอย่างโล่งอก
สุดเขตต์ขี่มอเตอร์ไซด์พามีนนั่งซ้อนท้ายมา เธอเกาะเอวเขาแน่น สุดเขตต์แอบอมยิ้มเขินๆ ด้วยความรู้สึกว่า ตอนนี้มีมีนเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจเขาเสียแล้ว
มอเตอร์ไซด์จอดอยู่ที่ริมบึงกว้าง รอบๆบึงมีหนุ่มสาวมาเดินเล่นกันเป็นคู่ๆ สุดเขตต์ถือกล้องถ่ายรูปเก็บภาพสวยๆ ริมบึงยามค่ำคืน มีนยืนมองอยู่เงียบๆ รู้สึกประทับใจเขามากขึ้นทุกขณะ
จู่ๆ สุดเขตต์ก็หันกล้องมาจะถ่ายมีน เธอตกใจรีบหลบหน้าทันที
“มีนว่าคุณเก็บกล้องไว้ถ่ายวิว ถ่ายของสวยๆ งามๆ เถอะค่ะ”
สุดเขตต์มองหน้าเธอด้วยแววตาซึ้ง “มีนกำลังคิดว่าตัวเองไม่สวย?”
“คนมีปานแดงอัปลักษณ์คิดว่าตัวเองสวย ก็บ้าแล้วล่ะค่ะ”
มีนฝืนยิ้มพลางจับแก้มที่มีปานแดงอย่างอายๆ สุดเขตต์ก้าวเข้าไปใกล้ พลางดึงมือเธอที่ปิดหน้าออกอย่างนิ่มนวล
“ทำอะไรคะ?”
“อยู่กับผมคุณไม่ต้องอาย ไม่ต้องปกปิดปานแดงที่หน้าคุณหรอก”
“คุณไม่รังเกียจเหรอคะ ตอนนี้มีนไม่ได้แต่งตัวเป็นคุณพราว ไม่ได้แต่งหน้าสวยๆ”
สุดเขตต์ส่ายหน้า “ไม่ต้องแต่งหน้าคุณก็สวย รู้ไหมครับ”
มีนอึ้ง ขณะที่สุดเขตต์ยื่นมือมาทัดผมเปิดแก้มด้านที่มีปานแดงของเธออย่างอ่อนโยน
“ผมเห็นความสวยซ่อนอยู่ในใจคุณ ผิดกับอีกหลายๆคนที่หน้าตาสวย แต่ข้างในใจอัปลักษณ์ ผมขอนะครับ เวลาที่เจอผม เลิกรู้สึกว่าตัวเองอัปลักษณ์ได้แล้วนะครับ”
มีนยิ้มกว้างให้ พร้อมกับก้มหน้าหลบตาเขิน สุดเขตต์ยื่นมือช้อนหน้าเธอขึ้น มีนอึ้งมองสบตาเขา
ทั้งคู่รับรู้ถึงหัวใจที่กำลังเบ่งบานด้วยความรัก
อีกด้านหนึ่งส้มจี๊ดไปหาสุดเขตต์ถึงบ้าน แต่เมื่อไม่พบใคร อีกทั้งมือถือของเขาก็ติดต่อไม่ได้ จนเธอเริ่มนึกกังวล และระแวงในใจ
“ผมไม่ได้เป็นตากล้องนักข่าว ผมเป็นช่างภาพอิสระ อิสระ”
สุดเขตต์พร้อมพลางชู 2 แขนบ่งบอกความเป็นตัวตนของเขา
“อิสระแล้วทำไมถึงได้มาเป็นตากล้องตามนักข่าวคู่อริของคุณพราวล่ะคะ?”
“ส้มจี๊ดเป็นเพื่อนสมัยเรียนผม เค้ากำลังขาดคน แล้วพอดีผมอยู่ในช่วงเตะฝุ่นด้วย งานที่เคยทำหายไปไหนหมดก็ไม่ทราบได้ ผมก็เลยมารับจ๊อบชั่วคราว”
มีนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เหมือนกันเลยค่ะ มีนก็มารับจ๊อบเป็นสแตนด์อินให้คุณพราวชั่วคราว เพราะว่าไม่มีงานทำ”
“เรามันหัวอกเดียวกัน”
ทั้งคู่ยิ้มขำๆ ให้กัน เหมือนต่างก็เจอคนที่ใช่ มีนออกปากขอดูรูปที่เขาถ่ายไว้เมื่อครู่
“รูปนี้แสงสวยมากเลยค่ะ รูปนี้แอบมีคนยืนสวีตกันด้วย บึงตรงนี้ต้องเป็นที่พบรักของหลายๆ คู่”สุดเขตต์หันมาส่งตาซึ้ง
“รวมถึงคู่เราด้วยเปล่าครับ ?”
มีนหันขวับไปมอง จนหน้าแทบชนกับสุดเขตต์ ที่ค่อยๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ มีนรีบดันกล้องคืนอย่างเขินๆ พลางทำท่าจะเดินไป แต่กลับถูกเขาคว้าแขนไว้
“เดี๋ยวซีครับ ท้องผมร้อง”
“งั้นฉันเลี้ยงคุณเอง แลกกัน คุณไปส่งฉัน ฉันเลี้ยงข้าวคุณ”
“โอเค.”
สุดเขตต์ยกมือขึ้นรอ มีนยกมือตบ แล้วเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือเธออีกเลย
“ว้าว ไม่เคยรักลูกชิ้นวันไหนเท่าวันนี้เลย”
สุดเขตต์พูดพลางส่งตาหวานไปให้มีน ขณะที่ทั้งคู่มากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านข้างทาง
“ผมขอถามคำถามนึง สารวัตรสมชาย รู้เห็นที่คุณปลอมตัวเป็นคุณพราวด้วยรึเปล่า?”
มีนส่ายหัว “เปล่าเลยค่ะ สารวัตรสมชายเพิ่งจะรู้วันนี้เอง”
“ถึงว่า ที่กองถ่ายวันนี้ เค้าถึงหึงผมมาก ตอนที่ผมคุยกับคุณ เพราะคิดว่าผมไปยุ่งกับคุณพราวของเค้า”
มีนหยุดมองสุดเขตต์อย่างแปลกใจมี่เขารู้ว่าสมชายคิดยังไงกับพราว
“คุณใช้คำว่าหึงเหรอคะ”
“ทำไมล่ะครับ คุณปลอมตัวเป็นคุณพราว คุณดูไม่ออกเหรอว่าสารวัตรสมชายรู้สึกยังไงกับคุณพราว?”
“รู้ค่ะ ฉันก็ดูออก” มีนอมยิ้มเมื่อพูดถึงสมชายกับพราว
“ผมน่ะรู้ตั้งแต่เจอคุณพราวอยู่ที่โฮมสเตย์ของสารวัตรที่อัมพวาแล้ว”
“แต่ตอนนี้คุณพราวกำลังคบหาดูใจกับคุณติณห์อยู่นะคะ แล้วคุณติณห์ก็ดูรักและแสนดีกับคุณพราวมากๆ”
“แต่ผมว่าไฮโซติณห์เค้าแปลกๆ เค้าเคยข่มขู่ผมให้เลิกเข้าใกล้คุณพราว”
สุดเขตต์งดเว้นไม่บอกว่าเขาถูกติณห์ใช้ปืนขู่ เพราะกลัวมีนจะตกใจ
“แต่ผมคงไปเตือนคุณพราวไม่ได้ ผมถึงอยากเตือนคุณ เวลาที่คุณเจอไฮโซติณห์ตอนปลอมตัวเป็นคุณพราว คุณอย่าไปไว้ใจเค้านะครับมีน คุณต้องระวังตัวเอาไว้ ผมเป็นห่วงคุณ”
“ค่ะ มีนจะระวัง”
แล้วทั้งคู่ต่างก็คีบลูกชิ้นให้กัน ก่อนจะยิ้มหวานให้กันแบบกระหนุงกระหนิง
สุดเขตต์ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาส่งมีนที่หน้าบ้านแสนรัก พลางเงยหน้ามองป้ายแล้วตะลึงงัน
“บ้านเด็กกำพร้าแสนรัก คุณอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้านี่เหรอครับ ?”
“ค่ะ มีนกับน้องชายโตมาที่บ้านเด็กกำพร้านี่แหละค่ะ”
สุดเขตต์มองหน้ามีนที่ยิ้มอย่างเข้มแข็ง
“แต่ถึงบ้านเราจะหลังเล็กๆ และดูเก่า แต่เป็นบ้านที่อบอุ่นมากนะคะ ขอบคุณนะคะที่มาส่งมีน”
สุดเขตต์ยิ้มหวาน “ถ้าทำได้ ผมอยากมาส่งคุณทุกวัน .เข้าบ้านเถอะครับ แล้วเจอกัน”
“ค่ะ แล้วเจอกัน”
มีนหันเดินเข้าบ้าน สุดเขตต์โบกมือมองตามส่งจนแทบลับตา ด้วยความรู้สึกยิ่งรักและสงสารผู้หญิงคนนี้มากขึ้น
แม่แก้วแอบเห็นสุดเขตต์ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งมีนก็มองอย่างสงสัย ขณะที่ส้มจี๊ดตัดสินใจ ที่จะไม่ยอมเก็บงำความรู้สึกแอบรักสุดเขตต์อีกต่อไป พลางคิดที่จะเปิดเผยให้เขารู้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจของเธอ
มีนเข้าห้องนอนมา แล้วยืนพิงประตูมีความสุข ก่อนจะเดินมาหยุดยืนมองหน้าตัวเองที่กระจก แล้วยกมือจับแก้มที่มีปานแดงของตัวเอง พลางนึกถึงคำพูดของสุดเขตต์
“ฉันไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหมเนี่ยะ ฉันกำลังมีความรัก”
มีนหน้าระเรื่อ อมยิ้มอย่างมีความสุข
สุดเขตต์ขี่มอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดที่หน้าประตูรั้ว แล้วนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว
“ยิ้มหวานคิดถึงใครอยู่สุดเขตต์”
สุดเขตต์ที่ยังอยู่ในภวังค์ เผลอตอบไปแบบเคลิ้มๆ
“ก็คิดถึง...”
เกือบจะหลุดปากตอบไปอยู่แล้ว แต่กลับลืมตาขึ้นมองเห็นส้มจี๊ดยืนอยู่เสียก่อน
“ส้มจี๊ด แกโผล่มาจากไหนวะเนี่ยะ”
“มัวแต่เหม่อใจลอยถึงขนาดไม่เห็นว่ารถฉันจอดอยู่นั่น”
สุดเขตต์มองไป เห็นรถส้มจี๊ดจอดชิดอยู่ริมรั้วข้างหน้า
“แกไปไหนมา ออกมาจากกองถ่ายก่อนฉันตั้งนาน เพิ่งจะถึงบ้าน”
“แล้วแกเป็นผู้ปกครองฉันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไปไหน ฉันต้องรายงานแกน่ะ เอาหน้าเขี้ยวๆ ของแกหลีกไป ฉันจะเข้าบ้าน”
สุดเขตต์พูดพลางลงจากรถ เดินไปไขกุญแจ เปิดประตูรั้ว แล้วมาเข็นรถมอเตอร์ไซด์ แต่ส้มจี๊ดกลับเดินเข้าประตูรั้วไปหน้าตาเฉย
“อ้าว เฮ้ย ไอ้ส้มจี๊ด แกเข้าบ้านฉันไปทำไม มันดึกแล้วนะเว้ย”
สุดเขตต์เดินตามเข้าบ้าน เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
“แกมีปัญหาอะไรนักหนาวะ ฉันก็ไม่ได้ทำงานแกขาดตกบกพร่อง อย่ามาตามจี้ฉันนักเลยว่ะ ถ้าฉันติสต์แตกขึ้นมา แกจะไม่ได้เห็นหน้าหล่อๆของฉันทำงานให้แกอีก”
พูดพลางถอดกล้องวางเก็บไว้ พอหันมาต้องผงะ เมื่อเจอส้มจี๊ดยืนชิดอยู่ข้างหลัง
“ ตกใจหมดเลย แกได้ยินที่ฉันพูดแล้วใช่ไหมวะ ไอ้ส้มเน่า กลับไปได้แล้วไป ฉันจะอาบน้ำนอน ไปๆ”
สุดเขตต์ดันไหล่ส้มจี๊ดไป แต่เธอกลับโผกอดเขาแน่น
“ฉันไม่กลับ ฉันจะค้างกับแกที่นี่”
สุดเขตต์ยืนช็อกตัวแข็งทื่อ “แกเป็นอะไรของแกไอ้ส้ม ปล่อยฉันนะเว้ย”
“ฉันไม่ปล่อย ฉันไม่มีวันปล่อยแกไปให้นังพราวมันหลอกใช้เด็ดขาด”
สุดเขตต์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“คุณพราวมาเกี่ยวอะไรด้วยวะ แกเมายาหรือไง ฉันไม่ใช่ตัวประกันของแกนะเว้ย ปล่อยฉันไอ้ส้ม เอามือแกออกไป มากอดฉันอยู่ได้”
ส้มจี๊ดกลับกอดรัดแน่น
“ฉันอยากทำอย่างงี้มานานแล้ว แกไม่รู้เหรอ ฉันอยากกอดแก เพราะฉันรักแก”
สุดเขตต์ช็อก “ วะ ว่าไงนะ?”
“ฉันรักแก ได้ยินไหมสุดเขตต์ ฉันรักแก”
ส้มจี๊ดพูดพร้อมกับโถมเข้ามาจูบ สุดเขตต์ถึงกับผงะ ก่อนจะผลักส้มจี๊ดออกไปสุดแรง
“แกไปให้พ้นนะ”
“สุดเขตต์ ฉัน...”
สุดเขตต์หันหลังให้สั้มจี๊ด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
“แกไปเถอะ ฉันขอร้อง อย่าให้ฉันเสียความรู้สึกกับแกมากไปกว่านี้เลย”
ส้มจี๊ดน้ำตาร่วง รีบวิ่งออกจากบ้านไปทันที สุดเขตต์ค่อยๆ ทรุดนั่งลง เสียใจกับเหตุการณ์ และความรู้สึกที่ไม่น่าเกิดขึ้นระหว่างเพื่อนเลย
ขณะที่ส้มจี๊ดที่วิ่งน้ำตาร่วงออกมา ก็เปลี่ยนจากความเศร้าเป็นความแค้น รีบหยิบมือถือขึ้นกดโทร.ไปหาลูกน้องที่สำนักพิมพ์
“ นี่พี่เองนะ ทีมข่าวยังอยู่ในสำนักพิมพ์ใช่ไหม พี่มีข่าวร้อนๆ ของพราว-พิชญาดาจากกองถ่าย พรุ่งนี้ตีข่าวหน้าหนึ่งเลย”
ข่าวพาดหัวหน้า1จากหนังสือ HOT SHOT
“ กองอโยธยาเกือบแตก พราวพกบอดี้การ์ด เล่นจริงตบจริงจันทร์จรี เดือดเป็นมือที่ 3 แย่งไฮโซ ”
พร้อมกับรูปของพราวกับจันทร์จรีที่ถูกจับคู่มาเปรียบเทียบกันนับ 10 ภาพ
แฟรงค์เดินหิ้วกระเป๋าเดินเข้ามาที่บริษัทติณห์ด้วยสีหน้าเดือดดาล เอมี่ถือหนังสือ HOT SHOT ตามมาติดๆ ขณะที่จันทร์จรีกำลังเดินตามติณห์ตรงมาที่ลิฟท์ มีมาโนชเดินตามหลัง
แฟรงค์รีบเดินปรี่เข้าไป พลางตะโกนเรียกอย่างเอาเรื่อง
“คุณติณห์ฮะ เดี๋ยวก่อน”
ติณห์กับจันทร์จรีหันมามอง เขานึกรู้ทันทีว่ามีเรื่องแน่ แต่ยังตีหน้าสุขุม พร้อมรับมือ
“อ้าว คุณแฟรงค์มาแต่เช้าเลยครับ”
“ก็เมื่อวานแฟรงค์โทร. หาคุณ แต่คุณไม่โทรกลับ ก็เลยต้องมาด้วยตัวเอง จะมาเอาเรื่องแม่นี่”
พูดพลางหันไปคว้าหนังสือ HOT SHOT มาจากมือเอมี่มาชู
“หล่อนเป็นคนให้ข่าวกับหนังสือบ้านี่ใช่ไหม”
แฟรงค์โยนหนังสือใส่หน้า จันทร์จรีทำเป็นขวัญอ่อน ตกใจ
“ว้าย จรีไม่รู้เรื่องนะคะคุณติณห์ขา เค้าใส่ร้ายจรี”
แฟรงค์ตวาดใส่หน้า
“สะตอแหล ตอนที่เกิดเรื่องไม่มีนักข่าวเห็น ก็มีแต่หล่อนนั่นแหละที่ปากหอยปากปู ขนาดหล่อนร้ายใส่ ทำตัวอ๋อยอี้อ๋อย จะงาบคุณติณห์ พราวยังไม่อยากจะเอาเรื่องเลย”
จันทร์จรียิ้มหยัน
“นี่ขนาดไม่เอาเรื่องนะ ยังส่งพิตต์บลูกับชิสุตามมากัดถึง 2 ตัวเลย แน่จริงทำไมยัยพราวไม่ส่งตัวเองมากัดฉันเองเลยล่ะ”
แฟรงค์เลือดขึ้นหน้า ใช้กระเป๋าฟาดหน้าจันทร์จรีเต็มแรง จันทร์จรีไม่ยอมแพ้ตบคืน ติณห์ต้องรีบห้าม
“คุณแฟรงค์อย่าครับ อย่าลงไม้ลงมือกันเลยครับ คุณจรีใจเย็นๆ ครับ”
นักข่าวที่กำลังตามข่าวจันทร์จรี เดินเข้ามาพอดี
“เฮ้ย นั่นจรันทร์จรีกับพี่แฟรงค์นี่หว่า ฟ้อนเล็บกันแล้ว เร็ว ข่าวเด็ดว่ะ”
สหวุฒิเปิดประตูห้องที่ประเสริฐพักรักษาตัวอยู่ออกมา ก็เห็นสมชายยืนอยู่หน้าห้อง
“ผมพาคุณพราวมาพบแล้วครับ”
สมชายหันไปด้านหลังเห็นพราวสวมแว่นดำยืนอยู่ สหวุฒิยิ้มทักทายกับพราว ก่อนจะรีบพูด
“ขอโทษนะครับที่ต้องเชิญตัวมาคุยกันที่นี่ ผมเกรงว่าถ้าคุณไปปรากฏตัวที่โรงพัก พรุ่งนี้ต้องมีนักข่าวมาตามล่าเรื่องคุณล้นโรงพักแน่ เชิญครับ คู่กรณีรออยู่”
พลางหลีกทางให้สมชายกับพราวเดินเข้ามาในห้อง ประเสริฐที่นั่งรออยู่ในห้องกับทนายส่วนตัวหันมามองพราว ด้วยแววตื่นเต้น แต่แล้วก็ต้องกำมือเกร็งแน่น เมื่อเห็นสมชายมองมา
ติณห์แยกแฟรงค์กับเอมี่เข้ามาสงบสติในห้องทำงานเขา
“เจ็บมากไหมเจ๊ ?”
เอมี่ถามอย่างเป็นห่วง แฟรงค์สูดปากเร่าๆ ก่อนจะหันมาพูดกับติณห์
“เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ แต่มันเจ็บใจนี่สิที่ตาบอด เก็บเอานังอสรพิษมาเลี้ยงให้ได้ดี แล้วมันมาแว้งกัดเอาทีหลัง คุณติณห์ก็กำลังตาบอดเหมือนกับที่แฟรงค์เคยเป็น รีบหยุดเสียแต่ตอนนี้เถอะฮะ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับนังจรีเลย”
“คุณแฟรงค์ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ เรื่องคุณจรี เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“หมายความว่าคุณยังจะให้จรีทำงานให้คุณต่อไปงั้นเหรอ คุณไม่แคร์ความรู้สึกพราวเหรอฮะ ว่าจะรู้สึกยังไง”
เอมี่รีบพูดเสริมทันที
“ไม่เห็นข่าวเช้านี้เหรอคะคุณติณห์ มันกลายเป็นว่าพราวเป็นตัวร้ายไปหาเรื่องตบตีจรีที่กองถ่ายเพราะหึงหวงคุณ”
พราว ตอนที่ 10 (ต่อ)
ติณห์แกล้งทำหน้าไขสือ
“เหรอครับ ผมยังไม่เห็นข่าวเลยครับ แล้วคุณพราวว่ายังไงบ้าง ?”
แฟรงค์หน้าเครียด
“ถามได้ ก็โกรธน่ะซิฮะ แต่พราวต้องไปพบตำรวจเรื่องคดี แฟรงค์ถึงต้องมาเฉ่งยัยจรีแทนพราว แล้วดูดิ คุณติณห์กลับไม่คิดที่จะจัดการอะไรเลย”
ติณห์ถูกแฟรงค์ตะคอกใส่หน้า ก็เริ่มไม่พอใจ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่จัดการ ผมไม่ใช่เด็กๆแล้ว ผมรู้ว่าผมควรจะทำยังไง เพื่อให้คุณพราวพอใจ”
แฟรงค์กับเอมี่เห็นท่าทางติณห์เอาจริง ก็รีบขอตัวเดินเลี่ยงออกไป
คล้อยหลังทั้งคู่ ติณห์ก็หัวเราะอย่างสะใจ
“นี่ยังน้อยไป เธอยังต้องเจอหนักมากกว่านี้พราว”
“ตอนนี้ตำรวจได้พิสูจน์แล้วว่าคุณประเสริฐลูกความของผมบริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นคนร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหา เค้าเข้าไปในห้องล็อกเกอร์รูมเพื่อช่วยเหลือคุณ”
ทนายของประเสริฐหันมาบอกกับพราว ที่ยิ้มประชดกลับไป
“ทั้งๆ ที่ฉันรู้สึกว่าเค้าไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหลือฉันน่ะเหรอคะ”
สหวุฒิรีบอธิบาย “แต่เราไม่มีหลักฐานว่าเค้าทำผิดน่ะครับ”
“แล้วไงคะ ฉันได้จ่ายค่ารักษาค่าโรงพยาบาลให้เค้าไปหมดแล้วนะคะ เค้าต้องการจะพบฉันอีกทำไม”
ทนายเสียงเข้มขึ้นมาทันที
“ผมต้องการเรียกร้องค่าเสียหายให้คุณประเสริฐ เพราะคุณประเสริฐถูกทางฟิตเนสไล่ออก ตกงาน และอาจต้องพักฟื้นอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ จากผลที่ถูกตำรวจซ้อม”
สมชายพูดสวนกลับทันควัน
“พูดดีๆ คุณทนาย ผมซ้อมเค้าตรงไหน ผมทำตามหน้าที่”
“แต่คุณทำเกินกว่าเหตุ คุณประเสริฐต้องใส่เฝือกที่แขน แล้วอย่างงี้เค้าจะทำมาหากินได้ยังไง อย่าลืมว่าเค้าเป็นเทรนเน่อร์นะครับ ผมจะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากคุณ”
สมชายจะเถียงต่อ แต่พราวพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เอาล่ะคะ ฉันจะจ่ายให้คุณเอง เพื่อแลกกับการฟ้องร้องสารวัตรสมชาย ฉันอยากให้เรื่องนี้จบๆไปซะ ฉันมีเรื่องมากพออยู่แล้ว คุณจะเรียกร้องเท่าไหร่ ฉันจะเซ็นเช็คให้คุณเดี๋ยวนี้”
พราวพูดพลางหยิบสมุดเช็คออกมาจากกระเป๋า ทนายความยิ้มออก หันไปมองประเสริฐ ขณะที่สมชายส่ายหน้าอย่างขัดใจ
พราวเดินออกจากห้องมา สมชายเดินตามคว้าแขนไว้
“เดี๋ยวคุณ คุณมาจ่ายเงินเป็นแสนปิดปากไอ้หมอนั่นทำไม ผมจะเล่นมันอยู่แล้ว”
พราวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ต่อให้เป็นล้าน ถ้าจบปัญหาทุกอย่างได้ ฉันก็จะจ่ายมัน”
สมชายยิ้มหยัน
“อย่างงี้นี่เอง คุณคงชอบใช้เงินซื้อทุกอย่างในชีวิตคุณซินะ ทั้งความสุข ความทุกข์ ทั้งปัญหา”
“แต่อย่างน้อยวันนี้ ฉันก็ช่วยซื้อปัญหาให้คุณได้ก็แล้วกัน คุณน่าจะยิ้มหวานๆ แล้วขอบใจให้ฉันนะ
บอดี้การ์ดสมชาย”
พูดพลางยื่นมือไปตบแก้มสมชายเบาๆ ทำเอาเขาฉุน ปัดมือเธอออก แล้วยก 2 มือก็ยันผนังคร่อมเธอไว้
“คุณคิดว่าเงินคุณใหญ่นักเหรอห่ะ คิดว่าทำอย่างงี้แล้ว ผมจะมอบกายถวายหัวให้คุณหรือไง”
“คุณคิดของคุณเองนะ ฉันยังไม่ได้เอ่ยปากเรียกร้องให้คุณมอบกายหรือถวายหัวอะไรให้ฉันเลยสักคำ”
พราวลอยลอยหน้าลอยตาพูด ทำเอาสมชายถึงกับอึ้งไป จังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ของพราวดังขึ้นมา สมชายเลยผละออกมา
พราวมองหน้าจอเห็นเป็นรูปติณห์เป็นคนโทร. มา แต่เธอกลับยืนนิ่ง เพราะยังไม่อยากรับสายตอนนี้
ติณห์กดวางสายเก็บมือถืออย่างฉุนๆ พลางเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นจันทร์จรีกำลังส่องกระจกดู
รอยช้ำที่ปากจากการตบตี
“ คุณเจ็บตรงไหนบ้าง ?”
จันทร์จรีทำน้ำเสียงออเซาะ
“เจ็บไปหมดทั้งตัวเลยค่ะคุณติณห์ เมื่อวานที่กองถ่าย จรีเจอยัยพราวแกล้งตบจริงถีบจริงในฉากมาแล้ว ยังมาเจออีเก้งแฟรงค์กับนังชะนีเอมี่ตามเอาเรื่องอีก เห็นทีพวกนังพราวคงไม่ยอมลามือง่ายๆ ถ้ายังเขี่ยจรีไปให้พ้นจาก
คุณไม่ได้”
ติณห์หัวเราะในลำคอ
“ไม่มีใครจะมาเขี่ยคุณไปจากผมได้ นอกจากตัวผมเอง”
จันทร์จรีรีบเข้ามาจับมือติณห์ออดอ้อน
“ตอนนี้จรีไม่มีผู้จัดการหรือใครดูแลเลย จรีมีแต่คุณ ที่จรีไว้ใจและหวังฝากอนาคตไว้ด้วย คุณคงไม่ทิ้งจรีหรอก ใช่ไหมคะคุณติณห์ คุณก็รู้ว่าจรีรักคุณ รักด้วยความจริงใจ อย่าทิ้งจรีเลยนะคะคุณติณห์”
พูดพลางถือโอกาสโผซบติณห์ ทำเป็นสะอื้น เขากอดตอบทำทีเป็นปลอบใจ แต่แอบยิ้มกระหยิ่ม
เสียงมือถือของพราวยังดังไม่ขาดสาย แต่เธอไม่รับ เพราะคิดว่าเป็นติณห์โทร. มา จนสมชายทนไม่ไหว รีบคว้ามือถือไปจะแกล้งโยนทิ้ง
เมื่อมองหน้าจอกลับเห็นชื่อว่าพีคเป็นคนโทร. พราวรีบแย่งมือถือกลับไปทันที
“นายพีคโทร. มาเหรอ น้องชายฉันเอง เอามาซิ ฮัลโหล โทร. มามีอะไรอีกพีค ว่าไงนะ เรื่องกำไลฝังเพชรของน้าอร ยังทะเลาะกัน ไม่เลิกอีกเหรอ งั้นให้ฆ่ากันตายไปเลยจะได้หมดเวรหมดกรรม”
พราวนั่งลงกุมขมับ หน้าตาเครียด สมชายยืนมองอย่างแปลกใจ...
“ไม่ต้องเลย แกไม่ต้องไปหาฉันที่บ้านพราวแสง ว่าไงนะ ออกมาแล้วเหรอ? ฉันไม่ได้อยู่ที่บ้าน โอเค.
งั้นเอางี้ แกมาหาฉันที่นี่เลย ฉันรอแกอยู่”
พีคมาหาพราวที่โรงพยาบาล เธอรีบแนะนำน้องชายให้รู้จักสมชาย พึคมองสมชายล้อๆ พลางกระเซ้าว่าเขาเป็นกิ๊กกับพราว
“ผมเป็นบอดี้การ์ด ไม่ใช่กิ๊ก แล้วก็เป็นตำรวจด้วย”
พีคหน้าซีด “ตำรวจ ?”
พราวได้ทีผสมโรง
“ใช่ เป็นตำรวจที่ชอบลากคอวัยรุ่นเหลือขอส่งดัดนิสัยที่บ้านเมตตาด้วย เราอยากจะกลับเข้าไปอีกรอบไหม ?”
สมชายนึกรู้ทันทีว่าพราวมีน้องเจ้าปัญหา พีคเริ่มไม่สนุกด้วย รีบพูดเข้าเรื่อง
“ผมรู้แล้วว่ากำไลฝังเพชรของน้าอรหายไปไหน ?”
พูดพลางล้วงใบรับจำนำออกมายื่นให้ พราวรับไปดู แล้วก็ฉุนขึ้นมาทันที
“โรงรับจำนำ นี่แกขโมยของน้าไปจำนำเหรอห่ะไอ้พีค”
พีครีบปฏิเสธ
“เฮ้ย เปล่านะ พีคไม่ได้ทำ พีคเจอใบนี้ซ่อนอยู่ในลิ้นชักแม่”
พราวถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“ไม่ลูก ก็แม่ ให้เงินใช้ทุกเดือนๆ ยังไม่พออีกเหรอ ต้องขโมยสมบัติคนอื่นไปขายกินน่ะ แล้วแกเอามาให้ฉันทำไม ไม่ให้แม่แกไปไถ่กำไลออกมาล่ะ”
“โธ่พี่ก็ดูเอาเองดิ ว่าจำนำไปเท่าไหร่ แม่คงมีปัญญาไปไถ่คืนหรอก”
พราวก้มลงมองเงินที่วารีเอาไปจำนำ แล้วก็หน้าเครียด เพราะจำนวนเงินเรือนแสน
“พี่พราวรีบเอาไปไถ่กำไลคืนมาเถอะพี่ ไม่งั้นน้าอรก็ไม่หยุดด่าแม่ซะที ด่ากันไป เถียงกันมา ลงไม้ลงมือตีกันทุกวัน พีคล่ะเพลีย”
พราวส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ
“เอาล่ะไม่ต้องพูดมาก กลับบ้านไปซะ ไปรออยู่ที่บ้าน เดี๋ยวฉันจะไปล้างหนี้ที่แม่แกก่อไว้ให้”
พราวให้สมชายขับรถพามาที่โรงรับจำนำ พลางหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่
“คุณสตาร์ทเครื่องรอฉันอยู่ตรงนี้แหละ ฉันรีบเข้าไปแล้วจะออกมา คงไม่มีคนปองร้ายรอฉันอยู่ในโรงรับจำนำหรอก”
“แต่คุณเป็นซูเปอร์สตาร์อันดับ 1 นะ ลดตัวมาเข้าโรงรับจำนำ ไม่กลัวใครจำได้เหรอ”
สมชายพูดขำๆ แต่พราวไม่ขำด้วย
“ถึงฉันเป็นซูเปอร์สตาร์ ฉันก็ไม่ใช่เทวดา ไม่ได้มีชีวิตสมบูรณ์แบบทุกอย่างหรอก”
พราวพูดพลางมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าปลอดคน ก็รีบเปิดประตูลงจากรถ เดินไปหยุดรอจะข้ามถนนอย่างเก้ๆ กังๆ
สมชายมองอยู่ในรถ เห็นคนเริ่มหันมามองพราว ก็รีบลงจากรถ พร้อมกับปราดเข้าไปคว้ามือพราวจูงพาวิ่งข้ามถนนไป
เจ้าหน้าที่ในโรงรับจำนำเห็นบัตรประชาชนที่พราวยื่นให้เพื่อไถ่ของ ก็มองอย่างแปลกใจ จนเธอรีบก้มหน้าก้มตา สมชายต้องช่วยพูด
“ช่วยกรุณาเร็วๆหน่อยได้ไหมครับ ผมรีบ”
พลางปรายตามองพราวอย่างเห็นใจ
พราวเดินนำสมชายเข้าในบ้าน ขณะที่วารีกับน้าอรกำลังตบตีกันอยู่
“เอาเลย ฆ่ากันให้ตายไปข้างนึงเลย ฉันจะได้หมดภาระ”
ขาดคำของพราว ทั้งคู่ก็ชะงักมือ แล้วหันมามอง น้าอรรีบโผเข้ามาหา พราวรีบยื่นถุงใส่กำไลไปให้ ไม่มีอารมณ์จะมากอดรักคิดถึงในตอนนี้
“นี่ค่ะ กำไลของน้า พราวไปไถ่มาคืนให้แล้ว ทีหลังก็เก็บไว้ให้ดีซีคะ อย่ามาตั้งล่อตาล่อใจใคร”
วารีหันมาโวยวายใส่ทันที
“อ้าว พูดอย่างงี้มันหลอกด่าฉันนี่ ถ้าฉันมีกิน ฉันจะทำไหมล่ะ”
“ที่น้าวารีไม่มีกินก็ทำตัวเองทั้งนั้น เงินพราวก็ส่งให้ใช้ทุกเดือนกันทั้งบ้าน เอาไปผลาญอะไรหมดล่ะคะ”
วารียิ้มหยัน
“อย่าเรียกว่าเงินเลย เรียกว่าเศษเงินของเธอดีกว่า เป็นถึงดาราเบอร์ 1 มีเงินไม่รู้กี่สิบล้าน เจียดมาให้ฉันให้น้องใช้ยังกับขอทาน หล่อนมันเห็นแก่ตัว”
พราวถึงกับอึ้ง ที่โดนด่าอย่างเจ็บแสบ หันหน้าเดินหนีออกจากบ้านไปทันที สมชายรีบตามไป
“เดี๋ยวคุณ”
พราวยังร้องไห้ไม่เลิก หันกลับมาตวาด
“ปล่อยฉัน ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“อยากอยู่คนเดียว แล้วให้ผมมาเป็นบอดี้การ์ดเฝ้าคุณทำไม”
“คุณไม่ต้องเฝ้าฉันแล้ว คุณไปเลย ปล่อยฉันไว้”
“แล้วคุณจะไปไหนน่ะ ?” สมชายอดเป็นห่วงไม่ได้
“ไปที่ไหนก็ได้ ที่ไม่มีใครมายุ่งกับฉัน”
พราวพูดพลางเดินออกจากรั้ว ผ่านรถของสมชายที่จอดอยู่ไป
“คุณจะไปไหน รถจอดอยู่โน่น”
“ปล่อยฉันนะ ให้ฉันไปตามทางของฉัน ก่อนที่ฉันจะบ้าตาย”
“คุณก็บอกผมซิ คุณอยากไปไหน ผมจะพาคุณไปเอง”
พราวได้สติ หันมามองหน้าสมชายทั้งน้ำตา
รถสมชายแล่นอยู่บนถนนสายยาว เห็นป้ายเขียนบอกว่าทางไปหัวหิน
มีนกับเด็กๆ กำลังช่วยกันทำดอกไม้จากใยบัว สุดเขตต์ที่เดินเข้ามามองเธออย่างอึ้งๆ นี่คืออีกมุมหนึ่งในชีวิตของมีนที่เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เด็กๆ หันมามอง แต่มีนยังก้มหน้าก้มตาทำ เลยยังไม่ทันเห็นเขา สุดเขตต์รีบยกนิ้วจุ๊ปากให้เด็กๆ เงียบ แล้วเขาก็ย่องเข้ามาก้มลงพูดที่ข้างๆหูมีน
“ผมช่วยไหมครับ”
มีนตกใจหันมามอง สุดเขตต์ส่งยิ้มให้
“คุณ คุณมาได้ยังไง”
“ผมก็มาด้วย ความคิดถึงไงครับ”
มีนก้มหน้าเขิน ทำหน้าไม่ถูก ขณะที่เด็กยิ้มๆ หัวเราะคิกคัก สุดเขตต์เลยหันไปยิ้มทักทาย และแนะนำตัวกับเด็กๆ
“จำหน้าพี่ไว้ให้ดีนะครับ เพราะต่อไป น้องๆ คงจะเห็นพี่มาที่นี่บ่อยๆ”
เหมียวมองหน้างงๆ “มาทำไมเหรอคะ ?”
สุดเขตต์หน้าม้าน มีนหัวเราะขำ
“อย่ามัวแต่หัวเราะซิคุณ จะให้ผมตอบว่าไง? จะให้ผมบอกว่ามาจีบคุณเหรอ?”
มีนตกใจ รีบหันไปบอกเด็กๆ
“พี่สุดเขตต์เค้าเป็นเพื่อนพี่น่ะจ้ะ เค้าก็จะมาเที่ยวบ้านเราบ่อยๆ”
“แล้วก็จะมาช่วยทำดอกไม้ด้วย ม่ะ พี่ช่วยทำนะครับ”
สุดเขตต์นั่งลงข้างๆ หยิบกลีบดอกขึ้นมา พลางมองมีนทำ แม่แก้วเดินออกมากับแมน เห็นท่าทางสุดเขตต์กับมีนที่ดูสนิทสนมกันก็แปลกใจ พอทั้งคู่เดินเข้ามา มีนก็รีบแนะนำให้เขารู้จักกับแม่แก้วทันที
สุดเขตต์รีบลุกขึ้นยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ”
นี่คือสิ่งที่สุดเขตต์ต่างจากสมชาย ตรงที่เขากล้าพูดและทำตามหัวใจทันที โดยไม่มีฟอร์ม ไม่มีทิฐิ
พอแม่แก้วรู้ว่าสุดเขตต์เป็นช่างภาพของหนังสือก็ตกใจ หันมาพูดกับมีนอย่างกังวลใจ เกรงว่าเขาจะแฉเรื่องที่มีนรับงานเป็นสแตนด์อินให้พราว
“แม่แก้ว อย่ากลัวไปเลยจ้ะ คุณสุดเขตต์เค้าไว้ใจได้ค่ะ มีนรับประกัน“
แมนดูจากท่าทีของมีน ก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้
“ดูพี่ไว้ใจหนุ่มคนนี้มากเลยนะพี่มีน แบบนี้ไม่รู้จักกันธรรมดาซะแล้ว เค้ามาจีบพี่ใช่ป่ะ”
“เอ่อ จีบอะไร เปล่าซะหน่อย ก็แค่เป็นเพื่อนกันน่ะ”
“แค่เป็นเพื่อนแล้วทำไมพี่ต้องเขินขนาดนี้ด้วย”
แมนถามล้อๆ มีนเถียงไม่ออก ได้แต่อมยิ้มรีบเดินกลับออกไป
“อย่างงี้ แน่ๆเลยแม่แก้ว พี่มีนกำลังรักนายสุดเขตต์เข้าแล้ว”
แม่แก้วฟังที่แมนสรุป ก็ไม่วายเป็นห่วง
“แล้วนายช่างภาพเค้าจะจริงใจกับพี่สาวเราจริงๆ เหรอ หน้าตาหล่อๆอย่างเค้า จะหาแฟนสวยๆ สักกี่คนก็ได้ จะมารักมาชอบคนที่หน้าตามีตำหนิอย่างพี่สาวเราจริงๆเหรอ แม่กลัวว่ามีนจะถูกเค้าหลอกเอา”
แฟรงค์กับเอมี่นั่งกระสับกระส่ายรอพราวอยู่ที่โรงแรมที่จะต้องมาร่วมแสดงความยินดีครบรอบนิตยสาร แต่กลับติดต่อเธอไม่ได้
“ ตั้งแต่มีนายสมชายมาเป็นบอดี้การ์ดตามพราวเนี่ยะ ฉันใจคอไม่ดีเลย เลือดลมเดินไม่ปรกติ”
แฟรงค์หน้าเครียด
“ ตาสมชายเค้าก็ดูแลพราวดีนะ ไว้ใจได้เรื่องความปลอดภัยจากพวกไม่หวังดี”
แฟรงค์ถอนใจเฮือก “เรื่องนั้นน่ะฉันไม่เถียง ว่าพราวจะปลอดภัย แต่หัวใจของพราว หล่อนจะไปรับประกันได้ยังไงยะ ว่าพราวจะปลอดภัยจากนายสมชาย เชื้อไฟมันมีอยู่ แค่ฟ้าแลบลงมา มันก็จุดติดแล้วย่ะ”
“แล้วนี่จะเอาไงล่ะเจ๊ อีกชั่วโมงนึงงานก็จะเริ่มแล้ว ถ้าพราวไม่มาคุณติ๋ม ทีวีสตาร์เค้าจะว่ามั้ย ?”
“เค้าไม่ว่าหรอก แต่เค้าจะแหกอกฉันอ่ะดิ รับปากเค้าไว้แล้ว ว่าพราวจะมาเปิดงานฉลองครบรอบ10 ปี หนังสือให้เค้า ข่าวก็ออกไปแล้วด้วย คิดดูดิ ถ้าพราวเบี้ยว อะไรจะเกิดขึ้น”
เอมี่รีบเสนอ “งั้นฉันว่า เจ๊เตรียมแผน 2 เหอะ”
แม่แก้วกับแมนแอบดูท่าทีของมีน ที่หัวเราะต่อกระซิกอย่างมีความสุขกับสุดเขตต์ แมนพลอยมีความสุขไปด้วย
“ดูซิครับแม่ แมนไม่เห็นพี่มีนยิ้มหัวเราะแบบนั้นมานานแล้ว”
แม่แก้วพยักหน้า อย่างเริ่มยอมรับ
พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้น มีนรีบหยิบมือถือบนโต๊ะขึ้นมาดูเบอร์
“พี่แฟรงค์”
สุดเขตต์เหลือบตามองมีนทันที
แม่แก้วยืนมองตามสุดเขตต์ที่ขี่มอเตอร์ไซค์พามีนจะออกไปส่งที่โรงแรมที่จัดงาน เริ่มรู้สึกยอมรับเขามากขึ้น พร้อมกับที่ดีใจเมื่อเห็นมีนมีคนมาคอยดูแล
สุดเขตต์ขี่มอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดส่งมีนที่ด้านข้างโรงแรมในมุมปลอดคน อารามรีบร้อน มีนถอดหมวกกันน็อก แล้วกระโดดลงจากรถก็รีบวิ่งจะเข้าโรงแรมทันที
“เดี๋ยวครับมีน ไม่จ่ายค่ารถ แล้วยังเอาหมวกกันน็อกผมไปอีก”
มีนชะงัก ก้มลงมองหมวกกันน็อกในมือแล้วยิ้มขำ รีบวิ่งกลับมายื่นหมวกกันน็อคคืนให้ แต่
สุดเขตต์กลับคว้ามือมีนดึงมาจุ๊บที่ปาก มีนยืนตะลึง
สมจี๊ดที่กำลังหาที่จอดรถอยู่ ถึงกับเบรกรถเอี๊ยดเมื่อเห็นภาพสุดเขตต์กำลังจูบมีน ซึ่งเธอมองเห็นจากด้านที่ไม่มีปานแดง จึงเข้าใจว่าเป็นพราว
มีนก้มหน้าจับปากอย่างเขินๆ แล้วรีบวิ่งเข้าประตูเล็กด้านข้างของโรงแรมไป
ขณะที่พราวตัวเองเปิดกระจกรถนั่งเท้าแขนกับขอบหน้าต่างรถ มองไปที่ทะเลด้วยแววตาซึมๆ
“ฉันโตมากับถนนเลียบชายหาดนี่”
สมชายที่ขับรถอยู่หันมามองอย่างแปลกใจ “คุณเกิดที่นี่เหรอ ?”
พราวยิ้มเศร้า
“บ้านพ่อฉันอยู่ที่นี่ แม่พบรักกับพ่อตอนมาเที่ยวหัวหิน แล้วทั้ง 2 คนก็แต่งงานกัน อยู่ด้วยกันที่นี่ จนกระทั่งฉันเกิดมา ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวที่โชคดีที่สุดในโลก ฉันยังจำได้ว่าตอนนั้นมีพ่อกับแม่อยู่พร้อมหน้า ตัวเองมีความสุขมากไหน”
พูดพลางก็น้ำตารื้นขึ้นมาอีก พลางพยายามจะหักห้ามน้ำตาไว้ หันมามองทางข้างหน้า เห็นต้นสนต้นหนึ่งข้างหน้าก็จำได้
“จอดๆ จอดตรงนี้”
สมชายเหยียบเบรกแทบไม่ทัน พราวเปิดประตูลงจากรถทันที
“เดี๋ยวคุณ จะลงไปไหนน่ะ?”
พราวเดินตรงลิ่วไปที่ต้นสนริมทางต้นหนึ่ง ก่อนจะมือจับไปที่ลำต้น พลางมองหา แล้วก็พบว่ามีรอยแกะด้วยมีดเป็นตัวหนังสือว่า “พ่อ+แม่+พราว” เท่านั้นเอง เธอก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาอย่างสุดแสนดีใจ
“ยังอยู่ รอยนี้ยังอยู่ ฉันแกะสลักไว้เอง”
สมชายเดินตามเข้ามามอง พลางยื่นมือไปจับไหล่ปลอบโยนพราว
“อย่าร้องไห้ไปเลย คุณควรจะดีใจใจนะพราว ที่ความทรงจำดีๆ ไม่เคยหนีคุณไปไหน ยังคงรอคุณอยู่ที่เดิม”
พราวถึงกับน้ำตาทะลัก ร้องไห้เหมือนเด็กๆ จนสมชายต้องลูบไหล่ปลอบ แล้วพาเดินกลับมาจะขึ้นรถ แต่พอก้าวกลับขึ้นมาบนถนน
พราวที่มองไปที่ถนนสายยาวก็หยุดกึกทันที พร้อมกับที่ภาพในอดีตย้อนกลับคืนมาตรงหน้า
พราว ตอนที่ 10 (ต่อ)
พราวในวัย 12 ขวบ ผมถักเปีย 2 ข้าง กำลังปั่นจักรยานมาแต่ไกล โดยมีพ่อปั่นจักรยานพาแม่ ที่โอบกอดเอวพ่อ ซ้อนท้ายตามหลังมา
“พ่อกับแม่ ตามมาเร็วๆ”
พราวยืนมองภาพแห่งความสุขนั้นเข้ามาใกล้ๆ จนกระทั่งเห็นพราวในวัยเด็กปั่นจักรยานผ่านหน้าไป แล้วพ่อก็พาแม่ปั่นจักรยานซ้อนท้ายผ่านหน้าไปอีก ตาของพราวจับจ้องไปที่แม่
“แม่ แม่”
พราววิ่งตามไปที่ถนน จนมือของสมชายที่โอบไหล่เธออยู่หลุดอย่างไม่ทันตั้งตัว
“พราว คุณจะวิ่งไปไหน”
“แม่ รอพราวด้วย”
สมชายตกใจที่เห็นพราววิ่งร้องตะโกนไป เพราะเขาไม่เห็นอะไรเลย นอกจากพราวกำลังวิ่งไปตามถนนที่ว่างเปล่า เขารีบวิ่งตามไป
ขณะที่พราววิ่งตามไป แต่ดูเหมือนทุกคนพากันปั่นจักรยานห่างออกไปทุกทีๆ จนกระทั่งภาพนั้นหายไป เหลือเพียงถนนที่ว่างเปล่า
พราวแผดร้องตะโกนสุดเสียง “แม่ ฮือๆ”
พลางทรุดลงไปกับพื้น หัวเข่าทั้ง 2 ข้างกระแทกกับพื้นถนน สมชายวิ่งเข้ามาโอบปลอบไว้
“พราว ไม่มีแม่คุณอยู่ตรงนี้หรอกนะ คุณคิดไปเอง คุณคิดไปเอง”
เขาดึงพราวมากอดไว้อย่างสุดแสนสงสาร
พราวมองเหม่อออกไปที่ทะเลกว้าง สมชายก้าวเข้ามายืนข้างๆ
“ใช่ แม่ไม่อยู่แล้ว แม่ทิ้งฉันไปตอนฉันอายุ 12 เพราะแม่จับได้ว่าพ่อไปมีอะไรกับน้าวารี เมียของเพื่อน จนน้าวารีท้องแล้วเลิกกับสามี พ่อก็เลยต้องรับผิดชอบ แม่ทำใจรับไม่ได้ แม่ก็เลยตัดสินใจ เป็นฝ่ายไป”
เธอเล่าพร้อมกับภาพในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง
แม่เดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาขึ้นรถที่จอดรออยู่ พราววิ่งร้องไห้ตามออกมาดึงแม่ไว้
“ตอนนี้แม่ยังเอาพราวไปด้วยไม่ได้ อยู่กับพ่อแกไปก่อนแล้วกัน แม่ทำใจได้แล้วแม่จะกลับมารับ”
แม่พูดพร้อมกับแกะมือพราวออก แล้วรีบขึ้นรถขับออกไป พราววิ่งตาม ร่ำร้องไห้แทบขาดใจ
“แม่อย่าทิ้งพราวไป พราวจะไปกับแม่”
แต่รถของรถกลับแล่นห่างออกไป
พราวปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาเป็นสาย
“แล้วแม่ก็หายไปจากชีวิตฉันเลย พ่อขายบ้านที่นี่ทิ้ง พาฉันไปอยู่กรุงเทพ”
สมชายหันมามองเธอด้วยแววตาสงสาร
“แล้วคุณเคยได้ยินข่าวแม่คุณอีกรึเปล่า ?”
“เคย แม่แต่งงานมีครอบครัวใหม่อยู่ที่เมืองนอก แม่ไม่คิดกลับมาเมืองไทยอีก แม่อยากลืมทุกคนให้หมด รวมทั้งลูกสาวอย่างฉัน แม่ไม่รู้ว่าฉันลำบากแค่ไหนก่อนที่พ่อจะตาย พ่อป่วยเป็นมะเร็ง ฉันต้องทำงานหาเงินรักษาพ่อ เลี้ยงทุกคนในบ้าน”
“คุณก็เก่งนะ ที่เอาตัวรอดจากวิกฤตชีวิตมาได้”
พราวกลั้นสะอื้น “ก็ลองฉันไม่เป็นพราว ไม่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ ฉันคงหายไปจากโลกนี้นานแล้ว”
“อย่าพูดอย่างงั้นซิ ตอนนี้คุณมีชื่อเสียง มีเงินทอง มีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว คุณก็ควรมีความสุขกับมัน”
“ใช่ ฉันมีทุกอย่างแล้ว ยกเว้นอย่างเดียวคือความสุขที่ฉันยังไม่มี แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามันอยู่ที่ไหน”
พูดจบ พราวก็หันเดินกล้ำกลืนน้ำตาไปตามชายหาด พลางใช้เท้าเตะเปลือกหอย และก้อนกรวดเพื่อระบายอารมณ์
สมชายยืนถอนใจเท้าเอวมอง ก่อนจะรีบเดินตามมามาคว้าแขนเธอไว้
“ไม่เคยมีเหรอความสุข งั้นลงทะเลไป”
พราวขืนตัว “อะไรนะ ลงทะเล จะให้ฉันลงไปทำไม”
“ที่ไหนๆ ก็มีความสุขทั้งนั้นแหละ ในทะเลก็มี ไม่เชื่อคุณลองลงไปหาดู”
พูดพลางดึงแขนพราวพาวิ่งลงทะเล
“อย่าดื้อซิ ผมจะช่วยให้คุณเจอความสุขไง ลงมาเร็วๆ”
“ฉันไม่ลง ปล่อยฉันนะ”
สมชายทั้งดึง ทั้งฉุด เธอสะบัดตัววิ่งหนี เขาวิ่งไล่ตาม จนสามารถจับตัวเธอได้ พลางอุ้มพาเดินลงทะเล พราวดิ้นรนขัดขืน พร้อมกับหัวเราะออกมาลืมความทุกข์ไปโดยไม่รู้ตัว
ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก นักข่าวที่รออยู่ด้านหน้างาน ก็กดชัตเตอร์ถ่ายรูปจน แสงแฟลชวูบวาบไม่หยุด แฟรงค์ฉีกยิ้มอัตโนมัติเดินออกจากลิฟท์พร้อมเอมี่
มีนที่แต่งตัวเป็นพราว ก้าวตามหลังทั้งคู่ พร้อมกับยกมือไหว้ส่งยิ้มให้นักข่าวทุกคน
ส้มจี๊ดที่ยืนรวมอยู่ในหมูนักข่าว รีบถามขึ้นด้วยแววตาเอาเรื่อง
“ทำไมเก็บตัวเงียบคะพราว ไม่ออกมาแก้ข่าวเรื่องเล่นจริงตบจริงจันทร์จรี ที่กองถ่ายเหรอคะ”
มีนยิ้ม แล้วตอบนิ่งๆ ตรมขุลิกของพราว “ไม่เป็นความจริงนี่คะ ไม่รู้จะแก้ข่าวอะไร”
“คุณกล้าพูดว่าไม่เป็นความจริงต่อหน้าคุณจันทร์จรีรึเปล่าคะ”
ส้มจี๊ดคาดคั้นถาม แฟรงค์รีบเข้ามาขวางทันที
“ขอโทษนะจ๊ะ พราวต้องรีบไปที่งาน ไว้ค่อยสัมภาษณ์กันทีหลังนะหนู”
จากนั้นก็รีบดึงมีนเดินไป นักข่าวตามถ่ายรูปไม่หยุด
สุดเขตต์วิ่งขึ้นบันไดมาพอดี หยุดมองมาที่มีนอย่างชื่นชม ยามที่มีนแต่งหน้า แต่งตัว เธอก็สวยไม่แพ้พราวเลย
ติณห์ในชุดสูทสุดสมาร์ทเดินมาพร้อมจันทร์จรี และทีมงาน 2 คนถือช่อดอกไม้ประกบข้างๆ มาโนชเดินรั้งท้าย
คณะของแฟรงค์เดินมาอีกทาง มาเจอกับกลุ่มของติณห์พอดี นักข่าวป้องปากซุบซิบกันอย่างสนุกปาก
“ไฮโซติณห์มากับจันทร์จรีเว้ย หนุกล่ะทีนี้”
“จะมีฉากตบตีแย่งผู้ชายสดๆให้ดูเปล่าเนี่ยะ”
แฟรงค์แอบซุบซิบกับเอมี่ ทั้งคู่ต่างไม่เข้าใจว่ากับการกระทำของติณห์ มีนในคราบของพราว ปรายตามองแฟรงค์กับเอมี่ กับคู่ของติณห์และจันทร์จตรีสลับกัน พร้อมกับเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ในบทบาทของพราวอย่างเต็มที่
จันทร์จรีเห็นมีน ที่เธอเข้าใจว่าเป็นพราวมองมา ก็จงใจทำเป็นยืนให้ชิดติณห์มาที่สุด โชว์ให้เห็นว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แต่ติณห์กลับก้าวเดินออกไป จันทร์จรีทำหน้างง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าเผือดลงๆ เมื่อเขาดินผ่าวงล้อมของนักข่าวไปอย่างช้าๆ พลางดึงดอกกุหลาบจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยิ้มนุ่มๆ ด้วยมาดอบอุ่น ก่อนจะยื่นดอกไม้ให้มีน ที่กำลังสวมบทเป็นพราว
“ดอกไม้แทนความคิดถึงครับ”
มีนอึ้งไปอึดใจ ก่อนจะยื่นมือรับดอกไม้ พร้อมปั้นยิ้มใส่จริตงอนๆ นิดๆ ตามคาแรกเตอร์ของพราวส่งให้
“คิดถึงพราว หรือคิดถึงใครคะ?”
“ผมจะคิดถึงใครอีกล่ะครับ นอกจากคุณพราวคนเดียว ไม่ใช่แค่คิดถึง แต่คิดถึงมากๆ ครับ”
ติณห์พูดพลางยื่นหน้าหอมแก้มมีนแล้วดึงเธอมากอดแนบแน่นราวกับรักสุดหัวใจ มีนถึงกับตัวแข็งตะลึงไม่คิดว่าติณห์จะมามุกนี้ นักข่าวพากันกดชัตเตอร์รัวไม่ยั้ง
สุดเขตต์มองอย่างไม่พอใจ แต่พยายามสะกดอารมณ์ไว้เพราะรู้ดีว่ามีนกำลังสวมบทเป็นพราว
ส้มจี๊ดหัวเราะเยาะสมน้ำหน้า
จันทร์จรีเสียหน้าจนอยากจะกรี๊ด แต่พอกล้องนักข่าวหันมาถ่ายรูป เธอก็รีบฉีกยิ้มทำเหมือนตัวเอง ไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ติณห์คว้ามือจูงมีนเดินไปเข้าในงาน นักข่าวเฮโลตามกันไปติดๆ ทิ้งให้จันทร์จรียืนทำหน้าเหวอ แฟรงค์กับเอมี่หันมาทำหน้าเยาะใส่
สุดเขตต์ก็รีบเดินตามไป ส้มจี๊ดยืนยิ้มเยาะ
“ดูน้ำหน้าแกซิจะทำอะไรได้ไอ้สุดเขตต์ นอกจากเป็นหมาหัวเน่าคอยตามดูเค้า”
มาโนชยืนหันซ้ายแลขวามองหาสมชายไปทั่ว แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา
ติณห์กับมีน ในคราบของพราวยืนถือดอกไม้ให้เจ๊ติ๋มที่หน้าแบ็คดร็อปขนาดใหญ่หน้าห้องจัดเลี้ยง
นักข่าวพากันระดมถ่ายรูป รวมทั้งสุดเขตต์ที่ยังทำตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายจากส้มจี๊ด แฟรงค์ยืนมอยู่ห่างๆ อย่างสบายใจกับเอมี่ ขณะที่จันทร์จรียืนรอคิวขึ้นไปแสดงความยินดี พลางมองด้วยสีหน้าพร้อมจะลุยเมื่อมีโอกาสพอถ่ายรูปเสร็จ เจ๊ติ๋มหันไปขอบคุณติณห์กับมีน ที่มาในฐานะของพราว
“ขอบคุณหนูพราวและคุณติณห์มากนะคะที่ให้เกียรติมาแสดงความยินดีกับพี่ในวันนี้ ก็ขอถือโอกาสอวยพรซะเลยเนอะ ทั้ง 2 คนเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากนะฮะ ขอให้ทั้งคู่เลิฟกันมากๆ คิดว่าทุกคนก็คงอยากได้ยินข่าวดีของทั้งคู่ ติ๋มการันตีว่าคงจะได้ยินเร็วๆนี้”
โดยไม่มีใครคาดคิด จันทร์จรีหันมาคว้าช่อดอกไม้จากคนดูแล พร้อมก้าวฉับๆ ขึ้นมาร่วมเฟรม
“แหม พี่ติ๋มก็ จะรีบอวยไปถึงไหนคะ บอสของหนูยังไม่เคยเซย์เลยสักคำนะคะว่าคิดจะสละโสด”ติณห์ทำเป็นหันมาทำตาดุใส่จันทร์จรี แต่ในใจแอบพอใจที่เธอทำแบบนี้
มีนมองหน้าจันทร์จรี อย่างนึกโกรธแทนพราว ขณะที่แฟรงค์กับเอมี่ยืนช็อก
จันทร์จรีไม่รอให้โอกาวหลุดลอยไป รีบพูดแย่งซีนทันที
“ขออวยพรให้หนังสือทีวีสตาร์ อยู่คู่กับวงการบันเทิงไปนานๆเลยนะคะ แล้วก็ขอให้พี่ติ๋มสวยวันสวยคืน เป็นพี่ที่น่ารักสำหรับพวกเราเหล่านักแสดงตลอดไปค่ะ”
เจ๊ติ๋มยิ้มถูกใจ คว้าเธอเข้ามาโอบกอด พร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวา
“แท้งกิ้วจ้ะหนูจรี น่ารักที่สุด หนูกำลังเป็นดาวรุ่งมาแรง ก็ขอให้ฮอตๆ งานล้นมือนะคะ ติ๋มจะคอยการันตี”
จันทร์จรีรีบพูดฉอเลาะ
“กราบขอบพระคุณค่ะพี่ติ๋ม แต่แหม แค่งานล้นมือเองเหรอคะ อย่างหนู ในสายตาพี่ติ๋ม จะเป็นซูเปอร์สตาร์เบอร์1ไม่ได้เหรอคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ได้ซิจ๊ะ ต่อไปหนูจะต้องเป็นเบอร์ 1ของวงการได้แน่ๆ ติ๋มการันตี”
จันทร์จรียิ้มหน้าบาน พลางปรายตายิ้มเยาะมาให้มีน
นักข่าวรุมเข้ามาขอถ่ายรูปติณห์ พราว กับจันทร์จรี 3 คน จันทร์จรีได้ทีเกาะแขนติณห์ พร้อมกับโพสท่าถ่ายรูปทำสนิทสนมทันที มีนแม้จะโพสท่าไม่ดีเท่าพราว แต่ก็พยายามเกาะแขนติณห์ยิ้มสู้กล้องอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ยังดูเป็นรองจันทร์จรีอย่างเห็นได้ชัด
ส้มจี๊ดมองอย่างสะใจ ขณะที่สุดเขตต์มองอย่างหวั่นใจ เกรงว่ากลัวส้มจี๊ดจะรู้ความจริงว่านั่นคือมีนไม่ใช่พราว
แฟรงค์กับเอมี่ร้อนใจ ที่ดูเหมือนมีนจะโดนรัศมีนางร้ายของจันทร์จรีบดบัง แฟรงค์เห็นไม่ได้การ รีบเดินแหวกนักข่าวก้าวขึ้นไปหน้าแบ็คดร็อป พร้อมทั้งเอาตัวแหวกแทรกระหว่างจันทร์จรีกับติณห์ จนจันทร์จรีเซจะล้ม
“เอาล่ะฮะ ถ่ายพอหอมปากหอมคอก่อนนะ คุณติณห์ต้องพาพราวเข้าไปในงานแล้ว เชิญเลยค่ะคุณติณห์ พาพราวเข้าไปได้แล้วค่ะ เชิญค่ะ”
ติณห์ยิ้มแล้วโอบเอวพามีนเดินเข้าห้องจัดเลี้ยงไป จันทร์จรีหันขวับมามองแฟรงค์อย่างโกรธจัด
สุดเขตต์ชะเง้อมองตามติณห์โอบมีนเข้าห้องจนลับตา อยากจะตามเข้าไปใจจะขาด แต่งานนี้ไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้า เขาจึงค่อยๆ เดินเลี่ยงออกมา ส้มจี๊ดรีบเดินตามมาประกบ
“เอาบัตรนักข่าวของหนังสือฉันคืนมา บัตรนั่นฉันให้แกติดไว้ทำงาน ไม่ใช่ติดไว้ตามตูดนังพราว”
สุดเขตต์หันมามองส้มจี๊ดอย่างไม่พอใจ
“แกชักจะหยาบคายมากไปแล้วนะเว้ยส้มจี๊ด”
“ ใช่ซิ ปากฉันมันหยาบ มันไม่หวานเหมือนปากนังพราวที่แกเพิ่งจูบมาใช่ไหม”
สุดเขตต์ถึงกับสะดุดกึก “แกพูดอะไรของแก”
“ก็พูดสิ่งที่ฉันเพิ่งเห็นกับตามาเมื่อกี้ไง แกมาส่งนังพราว แล้วแกก็จูบมัน ทีฉันจูบแก แกด่าไล่ฉันยังกับหมูกับหมา”
ส้มจี๊ดพูดอย่างชอกช้ำใจ
“ก็เราเป็นเพื่อนกัน แกจะมา เอ่อ มาทำอย่างงั้นกับฉัน มันไม่ได้นะเว้ย”
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อฉันรักแก”
พูดพลางเดินมาจับแขนสุดเขตต์ จนเขาสะดุ้งตกใจ
“แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรกับแกเกินเพื่อนเลยนะเว้ย”
สุดเขตต์พูดพลางพยายามแกะมือส้มออกจากแขนตัวเอง แต่ส้มจี๊ดกลับจับไว้แน่น แถมเดินรุก
เข้าหาอีก
“แต่ฉันคิด แล้วฉันก็จริงจังด้วย แกจะไม่ให้โอกาสฉันเลยเหรอห่ะสุดเขตต์”
สุดเขตต์เหลือจะทน
“หยุดบ้าซะทีไอ้ส้ม ไม่อย่างงั้นระหว่างแกกับฉัน ความเป็นเพื่อนก็จะไม่เหลือเลย”
พลางดึงแขนส้มจี๊ดออก แล้วเดินหนีไปทันที ทิ้งให้ส้มจี๊ดยืนร้องไห้อย่างเดียวดาย
ขณะที่แฟรงค์ กับจันทร์จรีก็ยังปะทะคารมกันแบบไม่มีใครยอมใคร
“คิดว่านังพราวมันสูงส่งกว่าฉันนักหรือไง จำคำพูดของฉันไว้ให้ดี อีจรีคนนี้แหละ ที่จะทำให้นังพราวอยู่อย่างไม่เป็นสุขในวงการ มันจะไม่สมหวังอะไรอีกเลย มันจะนอนตาไม่หลับ จะต้องสะดุ้งฝันร้ายทุกคืนเพราะฉัน”
จันทร์จรีหัวเราะลั่นแล้วหันเดินผละไป ทำเอาแฟรงค์กับเอมี่ยืนตะลึง
ส่วนติณห์เมื่อได้รับรายงานจากมาโนชว่าสมชายไม่ได้มาในงานนี้ด้วย ก็นึกแปลกใจ
“ทำไมมันไม่มาเป็นบอดี้การ์ดให้พราว งานเลี้ยงคนเยอะๆแบบนี้ ไอ้สมชายมันไม่น่าปล่อยให้พราวมาโดยที่ไม่มีมัน”
“หรือว่ามันอาจจะกลัวเป็นข่าว รู้ว่านักข่าวมาเยอะแน่วันนี้”
ติณห์ยิ้มเยาะ “กลัวว่านักข่าวจะจับประเด็นซูเปอร์สตาร์พราวแอบมีอะไรกับบอดี้การ์ดหนุ่มน่ะเหรอ หึๆ ฉันก็รอข่าวนี้อยู่ แต่วันนี้มันไม่อยู่ก็ดีแล้ว จะได้ไม่มีก้างขวางคอฉันกับพราว”
เอมี่นำคำพูดของจันทร์จรีมาขบคิดแล้วก็เริ่มรู้ใจคอไม่ดี แฟรงค์เองก็กังวลไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ก็พยายามพูดปลอบใจตัวเอง
“โฮ่ย มันจะทำอะไรได้ อีนี่มันฟุ้ง จิ้นไปวันๆ ทำอะไรพราวไม่ได้ ก็เลยขู่ นี่ถ้าไม่ติดว่ามันเป็น
พรีเซ็นเตอร์ให้บริษัทคุณติณห์ล่ะก็ แม่จะเอาเรื่องของมันตอนเข้าวงการใหม่ๆมาแฉให้เละเลย”
“เรื่องที่พอมันได้เข้าวงการแล้ว ก็เฉดหัวแฟนเก่าที่เคยหนับหนุนทิ้งใช่ป่ะ”
แฟรงค์ยิ้มเยาะ
“จะมีเรื่องไหนแซ่บเท่านี้อีกล่ะยะ แฟนมันอุตส่าห์ฝากพราวให้พาเข้าวงการ พอมันได้เข้าสมใจ
มันก็ถีบหัวเค้าส่งเลย”
“เป็นฉันนะ ฉันไม่ยอมหรอก ฉันจะออกมาแฉมัน”
“ผู้ชายเค้าคงตาสว่างแล้ว ไม่อยากจะยุ่งกับมันให้เสียชื่อเผ่าพันธุ์หรอก ถึงได้ทำตัวหายสาบสูญแบบนี้”
แฟรงค์ถอนใจ นึกสงสารแฟนเก่าของจันทร์จรี ซึ่งที่แท้ก็คือตรีนั่นเอง
สมชายไขกุญแจเปิดประตูเข้ามาในบ้าน พราวเดินตามเข้ามา ตรงไปยังประตูระเบียงกระจก เห็นทะเลอยู่ตรงหน้า เธอหลับตานิ่งสูดกลิ่นไอของทะเลย่างมีความสุข
“คุณแน่ใจนะว่าจะพักที่นี่ ?”
“ทำไมล่ะ บ้านพักนี่ก็สวยดีออก” พราวย้อนถามโดยที่ยังไม่ลืมตา
“ผมหมายถึง คุณแน่ใจนะว่าจะพักอยู่ที่นี่กับผม 2 ต่อ 2 ?”
พราวลืมตา พลางหันมามองสมชายที่ทำหน้าขรึม ตาเป็นประกายมองจ้องอยู่ ทำเอาใจเธอเต้น
ระส่ำ ไม่เป็นจังหวะ จู่ๆ สมชายก็หัวเราะขำออกมา
“คิดแล้วว่าคุณต้องแอบคิดอะไรอยู่”
“ทุเรศ ฉันคิดที่ไหน คุณนั่นแหละคิด ไม่งั้นจะถามฉันเหรอ”
“ผมก็ถามดักไว้ก่อนไง เผื่อคุณคิด จะได้เลิกคิด เพราะว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณ ผมตามคุณมาในฐานะบอดี้การ์ด มาดูแลซูเปอร์สตาร์เบอร์1ของเมืองไทยเท่านั้นเอง”
พราวถึงกับอึ้งไปเมื่อถูกย้ำเรื่องนี้
“ถ้าฉันอยากอยู่ที่นี่อย่างซุปเปอร์สตาร์ ฉันคงไปพักที่โรงแรม 5 ดาวแล้ว แต่ฉันอยากอยู่ที่นี่อย่างพราวคนธรรมดาให้สบายใจสักพัก แล้วคุณล่ะ จะอยู่ในฐานะเพื่อนไม่ใช่บอดี้การ์ดได้ไหม”
สมชายมองพราวนิ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เพื่อนเหรอ ได้ ผมเป็นอะไรก็ได้ ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้น”
“แค่คุณไม่กวนโทสะฉัน ฉันก็สบายใจแล้ว”
พราวค้อนใส่ ก่อนจะหันกลับไปมองท้องฟ้ายามที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
จังหวะเดียวกับที่มือถือสมชายดังขึ้นมา เขามองหน้าจอ เห็นเป็นสายสืบโทร. มา ก็รีบเดินเลี่ยงไปรับสาย
“ว่าไง? หวังว่าจะได้ยินข่าวดี”
“ได้ข่าวไอ้เจ๋งแล้วครับสารวัตร”
พอได้ยินชื่อไอ้เจ๋ง ก็ทำเอาเลือดในกายของสมชายเดือดพล่าน
“มันยอมโผล่หัวออกมาจากรูแล้วเหรอ มันอยู่ที่ไหน ?”
“ไม่มีหลักแหล่งแน่นอนครับ มันระวังตัวแจ แต่มีข้อมูลว่า มันเที่ยวตามข่าวของคุณพราวอยู่”
สมชายหน้าเครียด “ว่าไงนะ มันตามข่าวอะไรของคุณพราว?”
“ทุกอย่างครับ ประวัติ บ้านเก่า บ้านเกิด พ่อแม่”
“ ไอ้โรคจิต ยังไม่เลิกตอแยคุณพราวอีก มันอยากแก้แค้นฉัน ทำไม่ไม่มาเจอกับฉันตัวต่อตัววะ”
“ยังไงผมว่าสารวัตรดูคุณพราวไว้ให้ดีเถอะครับ มันเอาแน่”
สมชายถอนหายใจ ด้วยความเป็นห่วงพราว
รถคันหนึ่งแล่นมาตามถนนเลียบชายหาด เส้นทางเดียวกับที่สมชายกับพราวขับผ่านไป ไอ้เจ๋งที่นั่งประจำที่คนขับ กำลังขับรถตาขวางมองหารถของสมชายอยู่
ที่แท้มันแอบตามสมชายกับพราวมาจากหน้าบ้านเก่าของพราว
“เวรเอ้ย คลาดกับมันได้ไงวะ”
สมชายเดินหน้าเครียดออกมาจากห้องนั่งเล่น แต่กลับไม่เจอพราวที่ระเบียง เขารีบเดินตามหาอย่างว้าวุ่นใจ จนเห็นพราวกำลังนอนเล่นเหยียดยาวอยู่ที่เตียงชายหาดสีขาวตรงชานระเบียงบ้านที่มีร่มกางอยู่
สมชายถอนใจอย่างโล่งอกมาก พร้อมกับที่เหลือบมองไปเห็นที่หัวเข่าของพราว ที่ข้างหนึ่งมีรอยแผลถลอก เขารีบเดินกลับเข้าบ้าน เพื่อจะไปหาพลาสเตอร์มาให้เธอ
ครู่หนึ่งก็สมชายเดินมานั่งลงที่เตียงข้างๆ กับพราว
“ปิดแผลหน่อยนะคุณ”
พราวดึงแว่นกันแดดออก
“แผล ? ที่เข่าฉันน่ะเหรอ เป็นแผลตอนไหนก็ไม่รู้”
“ก็ตอนที่คุณดราม่า วิ่งร้องไห้หาแม่ แล้วหมดแรงข้าวต้มล้มลงไปที่ถนนโน่นไง”
พราวถึงกับสะอึก
“ใช่ซิ ก็คุณมีแม่ที่น่ารักอยู่ด้วยนี่ ชีวิตของคุณเลยไม่เคยดราม่า”
“แต่ผมก็ชอบฟังดราม่าชีวิตคุณนะ ถ้าอยากเล่าอยากระบายให้เพื่อนคนนี้ฟัง ก็ตามสบายนะ เพื่อนพร้อมจะรับฟัง”
พูดพลางแกะพลาสเตอร์ยากันน้ำบรรจงแปะลงที่แผล พราวช้อนตามองสมชาย ด้วยความรู้สึกดีๆ
“ฉันก็ชอบนะ เวลาคุณเรียกตัวเองว่าเพื่อนกับฉัน เพราะฉันเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่ เพื่อนในวงการ นับคนได้เลย”
สมชายทิ้งตัวลงนอนหนุนแขนตัวเองที่เตียง
“แต่ถึงตอนนี้คุณจะยกฐานะผมจากบอดี้การ์ดให้เป็นเพื่อนของคุณแล้ว คุณก็ห้ามอยู่ห่างสายตาผมเด็ดขาดรู้ไหม อยู่ใกล้ๆ ผมเอาไว้”
สมชายยังไม่อยากบอกเรื่องเจ๋งให้พราวรู้ พราวหันนอนเอียง พลางขยับมามองหน้าเขาที่นอนอยู่เตียงติดกัน
“ใกล้แค่นี้พอไหมล่ะ”
สมชายมองหน้า รู้ว่าพราวกำลังแกล้งกวนเขา
“ถ้าใกล้อีกนิดนึง คุณจะโดน”
พราวทำหน้าล้อๆ “โดนอะไรหรอ?”
“โดนเตะไปโน่น”
พราวตีแขนสมชายเพี้ยะ แล้วลุกนั่งพรวด
“คุณกล้าพูดกับพราวอย่างงี้เลยเหรอ”
“อ้าว ก็ไหนคุณบอกว่าอยากเป็นพราวคนธรรมดา ไม่อยากเป็นซูเปอร์สตาร์ไง ผมก็พูดกับคุณเหมือนคุยกับเพื่อนไง ธรรมดาที่สุดแล้วนะเนี่ยะ”
จากนั้นสมชายก็พาพราวเดินออกไปที่ชายหาดเพื่อหาของกิน และซื้อเสื้อผ้ามาเปลี่ยน
ทั้งคู่เดินเล่นด้วยกันมาที่ชายหาด ต่างคนต่างชื่นชมบรรยากาศสวยๆ ยามเย็น พราวหยิบเปลือกหอยขึ้นมาทอยไปที่พื้นเหมือนเด็กกำลังเล่นตั้งเต สมชายเดินตามหลังมองเธอเงียบๆ ความรู้สึกอยากปกป้องเธอเพิ่มขึ้นมากมายเหลือเกินเมื่อได้มารู้ชีวิตในวัยเด็กของเธอ
เขาเดินก้าวยาวๆ เข้าไปโอบไหล่เธอไว้ พราวหันมามองหน้า สมชายยักไหล่ พลางตอบกลับหน้าตาเฉย
“มองหน้าไม? เป็นเพื่อนกัน เดินโอบไหล่กัน ไม่เห็นจะเป็นไร”
“ได้เพื่อน งั้นเรามาเซลฟี่กัน”
พราวพูดพลางล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋าจะมาถ่ายรูปด้วยกัน สมชายผละออก ยกมือกันหน้า
“ไม่เอาอ่ะ อย่าถ่ายเลยคุณ มันเป็นหลักฐานนะ”
พราวงง “หลักฐานอะไรอ่ะ?”
“ก็หลักฐานว่าเรามาอยู่ที่นี่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 ไง คราวก่อนก็รูปพายเรือที่อัมพวาหลุดทีนึงแล้ว นักข่าวพากันยกทัพกันไป ยังไม่เข็ดเหรอ”
“ก็นั่นน้องสาวคุณถ่าย แต่นี่มือถือฉันเอง ฉันไม่โพสรูปส่งให้ใครดูหรอก ฉันจะเก็บไว้ดูคนเดียว
แต่เดี๋ยวพอดูเบื่อแล้ว ฉันก็ลบมันทิ้งเองแหละ”
สมชายเห็นพราวร่าเริง สบายใจก็ไม่อยากขัดใจ
“อยากถ่ายก็ถ่าย รูปเดียวนะ”
แต่ที่ไหนได้ ทั้งคู่กลับโพสท่าถ่ายรูปคู่กันอย่างสนุกสนาน ใบหน้าคลอเคลียกันไม่ห่าง
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินมาเดินเลือกซื้อเสื้อผ้ากันที่ตลาดริมหาด ไอ้เจ๋งขับรถเจียดผ่านไปผ่านมา แต่มันยังไม่เห็นทั้งคู่
“ขอถามอะไรหน่อยดินายสมชาย”
จู่ๆ พราวก็ถามขึ้นมา ขณะที่ทั้งคู่นั่งกินอาหารทะเลกันที่ร้านอาหารเลียบชายหาด
“อย่ามาถามปัญหาอะไรเอ่ยนะ บอกเสียก่อน โดนสวนแน่”
พราวยิ้มขำ “ไม่ใช่ ฉันแค่อยากจะรู้ว่า ถ้าวันนั้นพี่แฟรงค์ไม่ไปตามฉันที่อัมพวา ไม่มีนักข่าวตามไป คุณคิดว่าเรื่องของเรา จะจบลงยังไง ?”
สมชายถึงกับชะงักมือที่กำลังแกะกุ้ง ภาพในวันนั้นแว่บเข้ามาในสมอง
“ผมว่ามันก็ต้องจบลงเหมือนทุกวันนี้แหละ คุณกลับมาเป็นดารา ส่วนผมกลับมาเป็นตำรวจเหมือนเดิม ผมว่ามันก็ดีแล้ว”
พูดพลางยกแก้วขึ้นดื่มน้ำเพื่อตัดบท พราวพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ฝืนยิ้มพยักหน้า
ทั้งคู่เดินเลียบชายหาดจะกลับไปที่บ้านพัก จู่ๆ พราวก็กระโดดขึ้นขี่หลังสมชายหน้าตาเฉย
“เรื่องอะไรจะเดินเอง ให้เพื่อนแบกไปสบายกว่า”
สมชายออกวิ่งไป พราวกรีดร้อง พลางกอดเขาแน่น แล้วหัวเราะอย่างมีความสุข
อีกด้านหนึ่ง ไอ้เจ๋งเดินซดเบียร์กระป๋องออกมายืนมองทะเลอย่างหงุดหงิดๆ ที่ยังตามหาทั้งคู่ไม่เจอสักที
พอมันได้ยินเสียงหัวเราะ ก็รีบหันไปมองตามเสียง เห็นชายหญิงวิ่งขี่หลังหัวเราะกันไปที่มุมไกลๆ แม้จะดูไม่ชัดว่าเป็นใคร แต่มันก็รีบเดินตามไปทันที
“ใกล้จะถึงแล้วนั่น ลงเดินเองได้แล้ว”
สมชายชี้ไปที่บ้านพักที่อยู่ไม่ไกลข้างหน้า แต่พราวยังขี่หลังเขา แถมยังลอยหน้าลอยตาพูดหน้าตาเฉย
“ไม่ลง กำลังสบาย”
“ไม่ลงเหรอ ?”
สมชายแกะมือพราวที่กอดคอเขาอยู่ เหวี่ยงตัวจะให้พราวลง แต่กลับเป็นล้มลงไปนอนที่ทรายทั้งคู่ โดยที่สมชายทับอยู่บนตัวพราว ที่นอนหลับตา เพราะจุก ทำเอาเขาถึงกับตกใจ
“เป็นอะไรรึปล่าวพราว คุณ ทำไมไม่ตอบ เจ็บตรงไหน”
ขาดคำ พราวก็หัวเราะออกมา แถมแลบลิ้นใส่ล้อๆ สมชายเลยแกล้งจี๋ไปที่เอวของพราว
“ยอมแล้ว ไม่เล่นแล้ว”
สมชายหยุดจี๋ พลางมองจ้องพราวที่นอนอยู่แค่คืบ เธอมองสบตาเขานิ่ง เขายื่นมือไปจับแก้มของเธอที่มีทรายเปื้อนอยู่ แล้วปัดออกให้อย่างทะนุถนอม พราวจับมือสมชายแนบกับแก้มตัวเองเอาไว้ ทั้งคู่ต่างก็
หักห้ามใจตัวเองไม่ได้อีกแล้ว
สมชายก้มหน้าลงไปจะจูบพราว แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาขัดจังหวะ เขารีบลุกขึ้น พร้มกับคว้ามือเธอพาวิ่งเข้าไปในบ้าน ด้วยอาการเนื้อตัวเปียกปอน
ในบ้านมืดสลัว สมชายเช็ดมือที่เปียก ก่อนจะกดเปิดสวิตช์ไฟสว่างขึ้น พร้อมกับที่มีฟ้าแล่บ ตามด้วยฟ้าผ่าเปรี้ยงลั่น
พราวกรีดร้องด้วยความตกใจ พร้อมกับใช้ 2 มือปิดหูหลับตาปี๋ตัวลีบอยู่กลางบ้าน สมชายดึงเธอมาโอบกอดปลอบ พลางมองออกไปข้างนอกเห็นทั้งฟ้าทั้งฝนกระหน่ำ ขณะที่พราวกอดตอบสมชายแน่น
“ท่าทางคืนนี้จะตกหนักมาก คุณรออยู่นี่ก่อนนะ ผมจะขึ้นไปหาผ้าเช็ดตัวบนห้องมาให้”
สมชายจะเดินผละไป แต่พราวกลับกอดซบกับอกเขาแน่นขึ้น
“เป็นอะไรคุณ อยู่คนเดียวกลัวเหรอ งั้นขึ้นไปด้วยกัน”
พราวยิ้มกว้างตอบกลับมา
“วันนี้ฉันหาความสุขเจอ เพราะมีคุณมาเป็นเพื่อน ขอบคุณที่พาฉันมาหาความสุข ขอบคุณมากนายสมชาย”
“ไม่เป็นไร ผมดีใจที่เห็นคุณมีความสุขเหมือนคนอื่นเค้าบ้าง”
พูดพลางจูบไปที่ผมพราวแล้วรีบผละวิ่งขึ้นบันไดชั้นบนไป พราวได้แต่ยืนมองอย่างทำใจ ว่าเขาคงตัดใจ ไม่อยากจะรักเธออีกแล้ว
ขณะที่สมชายรีบเดินขึ้นมาชั้นบน เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน แล้วก็ยืนพิงประตูหลับตาอย่างพยายามข่มใจ ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัว มีแสงฟ้าแล่บแปลบปลาบเข้ามาในห้อง
“คืนนี้แกจะห้ามใจตัวเองอยู่ไหมไอ้สมชาย นับหนึ่งถึงล้านไว้นะเว้ย”
จบตอนที่ 10