xs
xsm
sm
md
lg

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 1

บ่ายวันนี้ รถเจ้าหน้าที่ตำรวจคันหนึ่งขับฝ่าการจราจรอันติดขัดมาด้วยความเร็ว พร้อมเปิดไซเรนเสียงดังลั่นมาตลอดเส้นทาง โดยมีรถแวนสีดำแบรนด์หรูราคาแพงระยับขับตามรถตำรวจมาติดๆ

รถตำรวจและรถแวนขับมาบนถนนย่านธุรกิจ จนมาถึงป้ายชื่อบริษัทขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตึกสูงตะหง่าน ว่า “บริษัท P&ST AIRLINES จำกัด” แห่งนี้

รถตำรวจขับเข้ามาจอดหน้าประตูทางเข้าอาคารตึกเบรกดังเอี๊ยด และรถแวนสีดำจอดต่อท้ายรถตำรวจ ก่อนจะเห็นบอดี้การ์ดใส่ชุดสูทสีดำมาดเข้ม 2 คน รีบลงมาจากที่นั่งตอนหน้า เพื่อมาเลื่อนเปิดประตูด้านข้างให้เจ้านายที่นั่งอยู่ในรถ
เกื้อ ชายสูงวัย รัฐมนตรีคนดังในรัฐบาลปัจจุบัน สวมชุดสูทราคาแพงดูดี ภูมิฐาน น่าเกรงขาม ลงจากรถแวนด้วยอาการร้อนใจ
สักครู่เดียว ปรก ในชุดทำงานสูทเนี้ยบและดูดี วิ่งออกจากประตูของอาคาร ตรงมาหาเกื้อด้วยอาการรีบร้อนไม่ต่างกัน เกื้อรีบถามลูกชายด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“ปรก คุณรุ้งล่ะ”
ปรกมองเกื้อ ยังไม่ทันตอบว่าปานรุ้งอยู่ไหน?

ไม่นานต่อมา เกื้อวิ่งนำปรกขึ้นมายังลานดาดฟ้าของตึกสูง โดยมีบอดี้การ์ดวิ่งตามรั้งท้ายอีก 2 คน เกื้อมองไปยังริมขอบกำแพงดาดฟ้าด้วยสายตาที่ทั้งพะวง และ ห่วงใย จนได้เห็นปานรุ้งยืนหันหลังอยู่ขอบริมดาดฟ้า และหันหน้ามองวิวข้างหน้า พร้อมกอดกรอบรูปขนาดเท่ากระดาษ A4 ไว้แนบอก ปรกบอกเกื้อว่า
“นายแม่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมงแล้วครับ ผมไม่รู้จะทำยังไง คุณพ่อช่วยพูดให้นายแม่เข้ามาข้างในเถอะครับ ตรงนั้นอันตราย”
เกื้อค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ปานรุ้ง
“คุณหนู เข้ามาข้างในเถอะครับ”
เกื้อเรียกขานอย่างนี้จนชินปาก ทั้งที่เขาคือสามีของเธอ ปานรุ้งยังยืนหันหลังนิ่ง ไม่หันมามองเกื้อ
ปานรุ้งยังคงมองบรรยากาศรอบตึก ที่เห็นตึกสูงรายรอบ แต่ตึกบริษัท ป.โมเดิ้นโฮม แอนด์ แลนด์ฯ สูงกว่าตึกอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าบริษัทของปานรุ้งประสบความสำเร็จเกินกว่าใคร
ปานรุ้งพูดโดยยังไม่หันหน้ามามองเกื้อ “เธอเห็นไหมเกื้อ ตึกของบริษัทฉัน สูงเหนือกว่าตึกอื่นๆ เหมือนกับธุรกิจของฉัน ที่กำลังอยู่จุดสูงสุดกว่าใคร จนคนยกย่องว่าฉันคือหนึ่งในผู้หญิงเก่งของโลก” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาถัดมา เจ็บปวดเหลือคณานับ “แต่คงไม่มีใครรู้ ..ว่าผู้หญิงที่ใครๆเห็นว่าประสบความสำเร็จ แท้จริงเป็นคนล้มเหลวในหน้าที่ของแม่”
ปานรุ้งก้มลงมองรูปที่กอดในอ้อมอก ระบายความรู้สึกต่อด้วยเนื้อเสียงดั่งเดิม
“ชีวิตของฉัน ทำทุกอย่างก็เพื่อความสุขของลูก แต่ฉันไม่คิดเลยว่ามัน กลับทำให้ลูกของฉัน…”
ปานรุ้งพูดต่อไม่ออก คิดถึงภาพการกระทำของลูกแต่ละคนที่ผุดซ้อนขึ้นมาเป็นฉากๆ ราวสายน้ำไหล

เริ่มจาก ค่ำคืนหนึ่งที่ห้องทำงานของปานรุ้งในคฤหาสน์สมุทรเทวา ซึ่งมีเวฬุวันอยู่ด้วย ปานเทพ ลูกชายคนโตกำลังจ่อปืนมาทางปานรุ้ง !
ตามมาด้วย อีกค่ำคืนหนึ่งที่บริเวณท่าเรือ ปานรุ้งดึงปานวาดไว้ไม่ยอมให้ขึ้นเรือไปกับโดม แต่ทว่าปานวาดสะบัดมือปานรุ้งออกอย่างแรง จนปานรุ้งล้มลง แล้วปานวาดลงเรือไปกับโดมอย่างไม่แคร์ปานรุ้ง
อีกเหตุการณ์อันรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นครั้งล่าสุด ปกรณ์ลูกชายคนเล็กที่เธอรักปานดวงใจ ร้องห่มร้องไห้มองปานรุ้งด้วยความเจ็บปวด โดยในมือของปกรณ์ถือปืนกระชับมั่น แล้วค่อยๆ ยกปืนจะมาทำท่าเหมือนจะยิงตัวเองกระนั้น

เกื้อจดสายตามองร่างปานรุ้งที่กอดรูปถ่ายของลูกๆ และร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด แววตาของเกื้อห่วงใยปานรุ้งเหลือเกิน
“คุณหนู”
ปานรุ้งพูดระบายต่อ โดยยังไม่หันหน้ามาหาเกื้อ “ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันคงเป็นกรรมที่ฉันเคยทำไว้กับ…”
ปานรุ้งค่อยๆ แหงนเงยใบหน้านองน้ำตาขึ้นมองเครื่องบินที่กำลังบินผ่าน แล้วหวนคิดถึงจุดเริ่มต้นของชีวิตตัวเอง ที่นำพาเธอมาสู่ขอบดาดฟ้าตึกสูงลิบขณะนี้!

ฉากชีวิตของ ปานรุ้ง สมุทรเทวา เปิดเผยขึ้น ในปี พ.ศ. 2523
มันเป็นยามเช้าอันแสนวุ่นวายไม่ต่างจากวันอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท่าเรือสมุทรเทวา
ท่ามกลางความวุ่นวายรีบเร่งของเหล่าคนงานขนสินค้าขึ้นเรือ ราว 20 - 30 คน และพนักงานควบคุมการขนของอีก 5 - 10 คน รวมทั้งพนักงานดูแลการตรวจนับจำนวนสินค้าอีก กว่า 15 คน ยินเสียงแตรรถดังลั่นมาจากอีกมุมหนึ่ง ปรี้น
รถยนต์ราคาแพง แล่นฝ่าเหล่าคนงานที่กำลังแบกกระสอบข้าวสารขึ้นเรืออย่างรีบเร่งวุ่นวาย และขับผ่านพนักงานควบคุมคนงานซึ่งกำลังตะโกนโหวกเหวกสั่งคนงานให้รีบขนกระสอบข้าวสารขึ้นเรืออย่างเร่งรีบ โดยเบื้องหลังของคนงานคือเรือขนสินค้าขนาดใหญ่ที่เขียนชื่อเด่นหราว่าเรือ “สมุทรเทวา”
จนกระทั่งรถมาจอดตรงหน้าตึกสำนักงานในท่าเรือ
คนงานและพนักงานที่เคยรีบทำงานกันวุ่นวาย พอเห็นว่ารถใครมาจอด ทุกคนต่างหยุด ทำงาน แล้วรีบยืนตรงนิ่งเหมือนรอผู้มีอำนาจลงจากรถ
กอบ คนขับรถ กุลีกุจอลงจากรถ แล้ววิ่งไปเปิดประตูรถด้านหลัง
คมขวัญ ก้าวลงจากรถด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เชิดหน้า สง่าดั่งนางพญา
บรรดาคนงานและพนักงานก้มหัวเคารพคมขวัญอย่างพร้อมเพรียง
“สวัสดีครับ คุณนาย” / “สวัสดีค่ะ คุณนาย”
คมขวัญรีบเร่งเดินใบหน้าเชิดนิดๆ อันเป็นบุคลิกที่ลูกน้องชินตา ว่าพร้อมสู้กับทุกปัญหาที่กำลังรอ อยู่ เข้าไปในตึก โดยไม่ทันพูดตอบรับคำทักทายของคนงานและพนักงานเลยสักคำ
หัวหน้าพนักงานเดินมาหากอบ
“ลุงกอบ ทำไมวันนี้คุณนายดูเครียด มีเรื่องอะไรเหรอ”
กอบถอนใจ ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงเด็กชายอายุราวๆ 12 ปี ตะโกนขายหนังสือพิมพ์ผ่านกลุ่มคนงานดังลั่นเข้ามาว่า
“หนังสือพิมพ์จ้า ข่าวใหญ่ประจำวันที่ 1 มีนาคม 2523 เรือสมุทรเทวาโดนปล้น!”
คนงานและพนักงานต่างฮือฮาตกใจ
หัวหน้าคนงานหันมาพูดกับกอบ “เรือของเราโดนปล้นเหรอลุงกอบ อย่างนี้ก็แย่สิ”
“จะแย่ได้ยังไง แกลืมไปแล้วเหรอว่าผู้หญิงที่เพิ่งเดินเข้าไปเมื่อกี้คือใคร คือคนที่พัฒนาสมุทรเทวาจากที่มีเรือขนสินค้าไม่กี่ลำ จนกระทั่ง ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ …ปัญหาแค่นี้ ทำอะไรไม่ได้กับผู้หญิงที่ชื่อ...คุณคมขวัญ สมุทรเทวา”

ใบหน้ากอบแสนภาคภูมิยามเอ่ยถึงนายผู้หญิง

คมขวัญเดินเข้ามาในห้องทำงานด้วยสีหน้าสงบ สุขุม ไม่มีอาการตกใจ กระวนกระวาย หรือขาดสติแต่อย่างใด โดยมีปริญญา เลขา และผู้ช่วย เดินตามเข้ามาติดๆ

“ตำรวจรายงานมาว่ายังไง”
“โจรสลัดได้เรือพร้อมกับสินค้าของเราไปครับ ค่าเสียหายของสินค้า ทั้งหมด”
คมขวัญรีบถามแทรก โดยไม่สนใจสินค้า “ลูกเรือของเราเป็นยังไงบ้าง”
“ถูกโจรบังคับให้กระโดดลงน้ำทั้งหมด ก่อนโจรจะเอาเรือไปครับ”
คมขวัญซัก “มีคนบาดเจ็บไหม”
“13 คนครับ ส่งโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว”
“ตายล่ะ”
“ไม่มีครับ ส่วนสินค้า…”
คมขวัญสวนขึ้น “หยุดพูดเรื่องสินค้า แล้วไปจัดการดูแลค่ารักษาพยาบาล ลูกเรือของเราทั้งหมดก่อน”
ปริญญาทักท้วง “แต่ว่า…”
คมขวัญรีบพูดแทรก “สินค้า เรามีบริษัทประกันรับผิดชอบค่าเสียหาย แต่ชีวิตคนของเรานี่สิ ถ้าเราไม่รับผิดชอบ แล้วใครจะดูแลเขา”
ปริญญาพูดไม่ออก “เอ่อ”
คมขวัญสั่ง น้ำเสียงเด็ดขาด “ไปจัดการตามที่ฉันสั่ง แล้วอีกครึ่งชั่วโมง ฉันจะไปดูลูกเรือที่โรงพยาบาล”
คราวนี้ปริญญาชะงัก “ครึ่งชั่วโมง คุณนายจะไปได้เหรอครับ ในเมื่อคุณนาย…”
คมขวัญมองปริญญาอย่างสงสัย “ฉันทำไม”

ระหว่างนี้ รถยนต์อีกคันแล่นมาจอดดังเอี๊ยด ข้างๆ รถของคมขวัญซึ่งกอบกำลังเช็ดรถอยู่ เสียงเบรคของรถทำให้กอบตกใจ รีบหันไปต่อว่าคนขับรถอีกคัน
“เฮ้ย ขับรถให้มันดีๆ หน่อยๆ เบรคเสียงดังสนั่นขนาดนั้น...เดี๋ยวรถคุณนายก็พังหรอกไอ้เกื้อ”
ประตูรถคันนั้นเปิดออก เผยให้เห็น เกื้อ หนุ่มวัยรุ่นรีบร้อนลงจากรถมากอบด้วยท่าทางร้อนใจ
“พ่อ! คุณนายล่ะ”
“คุณนายก็ทำงานอยู่ข้างในสิวะ แล้วนี่เอ็งมาที่นี่ทำไม”
เกื้อร้อนใจไม่คลาย “ผมมารับคุณนายไปสนามบิน”
เกื้อจะวิ่งเข้าไปในตึก แต่กอบดึงเสื้อลูกชายไว้ก่อน
“เดี๋ยวๆๆ หน้าที่ขับรถให้คุณนาย มันหน้าที่พ่อ นี่เอ็งคิดจะมาแย่งงาน พ่องั้นเหรอ”
เกื้อถอนใจ ยังร้อนใจอยู่ “โธ่พ่อ พ่อลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อวานคุณนาย สั่งให้ผมพาไปสนามบินตอนเก้าโมงเพื่อไปรับ…”
เกื้อยังไม่ทันพูดจบ คมขวัญรีบรุดเดินออกมาจากในตัวตึกพร้อมปริญญาขัดการสนทนาของพ่อลูกคนขับรถก่อน
“ดีนะปริญญา ที่เธอเตือนฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงลืมไปแล้ว” คมขวัญมองมาเห็นเกื้อ “อ้าวเกื้อ ดีเลยที่มาที่นี่ รีบไปเลยเร็ว ไม่รู้ป่านนี้เครื่องลงรึยัง”
เกื้อรีบเปิดประตูให้คุณนายท่าน คมขวัญขึ้นรถ เกื้อขึ้นรถแล้วรีบขับรถออกไปโดยเร็ว
กอบมองตามรถอย่างงวยงง พยายามคิดตามว่าเกื้อจะพาคมขวัญไปรับใคร
“คุณนายรีบไปรับใครที่สนามบินวะ” แล้วนึกได้ “อ๋อ...วันนี้คุณหนูกลับ มาจากอเมริกานี่นา”

อีกฟาก บนท้องฟ้าเหนือสนามบินดอนเมือยามนี้ แลเห็นเครื่องบินแลนดิ้งทยอยทะยานลงสู่รันเวย์สนามบินเป็นระลอก
ภายในอาคารผู้โดยสารขาเข้า เห็นแต่ความวุ่นวายของผู้โดยสารที่เดินผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง แล้วต่างเดินหาหมายเลขของตรงจุดรับกระเป๋าของตัวเอง ผู้โดยสารยืนออรอรับกระเป๋าอยู่ตรงจุดรับกระเป๋าที่หนึ่ง
กระเป๋าเดินทางหรู ดูมีสไตล์ตามแฟชั่นยอดฮิตจากอเมริกา เคลื่อนมาตามสายพาน ก่อนจะมีมือของสองหนุ่ม กฤษฎา และ ชัชวาล มายกกระเป๋าใบนั้นขึ้นจากสายพานพร้อมๆ กัน
ทั้งคู่ต่างมองหน้ากัน แล้วชัชวาลเป็นฝ่ายถามขึ้นว่า
“กระเป๋าคุณเหรอครับ”
“ไม่ใช่ของผม แต่เป็นของเพื่อนผม” กฤษฎาจะดึงกระเป๋าไป
แต่ชัชวาลยังคงดึงกระเป๋าไว้ “แต่ผมคิดว่าเป็นกระเป๋าเพื่อนผมนะ”
กฤษฎาดึงกระเป๋าอยู่ โดยไม่ยอมปล่อย “แต่ผมว่ากระเป๋าเพื่อนคุณเป็นใบอื่นมากกว่า”
ทันใดนั้นได้ยินเสียงหวานของใครคนหนึ่ง พูดมาจากด้านหลังของสองหนุ่ม
“ใบนั้นแหละค่ะ ของฉัน”
กฤษฎากับชัชวาลหันไปมองพร้อมกัน ทั้งคู่ เห็น ปานรุ้ง สาวสวยในชุดแฟชั่นสไตล์อเมริกันยืนยิ้มให้อยู่ พลางชี้ที่ป้ายชื่อบนกระเป๋า

“นี่ไงคะชื่อฉัน ปานรุ้ง สมุทรเทวา”

ในเวลาถัดมา ปานรุ้งเดินนำ กฤษฎาที่เข็นรถที่ใส่กระเป๋าเดินทางของปานรุ้งพร้อมพูดหยอกกับปานรุ้ง มีชัชวาลลากกระเป๋าตัวเองเดินตามมาด้วยสีหน้าไม่พอใจกฤษฎา

“Thank you นะคะ คุณสองคนนี่มีน้ำใจมาก ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันบนเครื่อง ก็อุตส่าห์คุยเป็นเพื่อนรุ้งตลอดทาง แถมยังช่วยยกกระเป๋า ให้รุ้งอีก”
”ด้วยความเต็มใจครับ คุณรุ้งกลับจากอเมริกาคนเดียว เป็นหน้าที่ผมต้องดูแลสุภาพสตรีอยู่แล้วครับ” กฤษฎายิ้ม
ปานรุ้งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ “แหม... ผู้ชายไทย so cute จัง”
ชัชวาลใช้จังหวะที่กฤษฎาหันหน้าไปยิ้มให้ปานรุ้งนั้น แทรกตัวแย่งรถเข็นที่ใส่กระเป๋าเดินทางของปานรุ้งมาเข็นเอง พูดเอาใจ
“เดี๋ยวผมเข็นรถให้นะครับ ว่าแต่คุณรุ้งมีใครมารับรึเปล่าครับ”
ปานรุ้งชะงักไปนิด “นั่นสินะ จะมีใครมารับรุ้งบ้าง”

เดินออกมาจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้า ปานรุ้งพยายามไล่สายตามองอย่างมีความหวังว่าคมขวัญจะมารอรับ ทว่าเมื่อมองไปยังคนที่มารอรับจนทั่ว แต่ไม่เห็นแม้เงามารดา
ชัชวาลถามว่า “คุณรุ้งเห็นคนมารับรึยังครับ”
ปานรุ้งยิ้มแย้มกลบความผิดหวัง “เห็นเขาว่า bangkok ชอบรถติด ญาติรุ้งก็คงรถติดอยู่มั้งคะ”
กฤษฎาหันไปเห็นญาติของตัวเองถือป้ายชื่อรอรับอยู่
“เดี๋ยวผมไปทักญาติแป๊บนึงนะครับคุณรุ้ง ถ้าคุณรุ้งไม่มีใครมารับ เดี๋ยวผมไปส่งเอง”
ชัชวาลมองกฤษฎาอย่างไม่พอใจ
ปานรุ้งยิ้มหวานให้กฤษฎา “Thank you ค่ะ”
กฤษฎารีบเข็นรถที่มีกระเป๋าเดินทางของตัวเองไปทางญาติที่ยืนรอรับ
ชัชวาลมองตามกฤษฎาที่ไปหาญาติ แล้วรีบหันมาพูดกับปานรุ้ง
“สงสัยญาติเราคงรออยู่ทางโน้น เราไปหาทางโน้นกันเถอะครับ”
ชัชวาลแตะแขนปานรุ้งให้รีบออกเดิน เพื่อจะหนีกฤษฎานั่นเอง

ปานรุ้งเดินมาอีกมุมพร้อมกับชัชวาล โดยยังคงสอดตามองหาคมขวัญ แต่ก็ไม่เจอ ปานรุ้งเลยคิดว่าคมขวัญคงไม่มาแน่แล้ว
ชัชวาลชี้ไปทางผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ “นั่นไงครับ คนขับรถผม เดี๋ยวผมเอา กระเป๋าไปให้คนขับรถเก็บที่รถก่อนนะครับ เดี๋ยวมาหา”
ชัชวาลลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองไปทางชายคนขับรถ
ปานรุ้งมองหาคมขวัญอีกครั้ง แต่ไม่เจอ ขณะกำลังตัดสินใจจะเดินไปทางชัชวาล ก็ได้ยินเสียงคมขวัญดังมา
“ปานรุ้ง”
ปานรุ้งหันไปมองตามเสียง เห็นมารดารีบรุดเดินเข้ามาหา ก็ชะงักนิดหนึ่ง ด้วยไม่คิดว่าคมขวัญจะมารับ ความดีใจถูกข่มไว้ใต้น้ำเสียงประชดประชัน ขณะเข็นรถใส่กระเป๋าเดินทางไปหาคมขวัญ
“I don’t belive it. MY BEAUTIFUL MOTHER IS HERE !!”
“แม่ขอโทษที่แม่มาช้า พอดีแม่ติดงานนิดหน่อย ลูกไม่โกรธแม่นะ”
ปานรุ้งพูดยิ้มๆ “ไม่โกรธหรอกค่ะ ต่อให้แม่ไม่มา รุ้งก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะรุ้งโดนแม่ทิ้งจนชินแล้ว”
คมขวัญชะงักแต่ปานรุ้งยังยิ้มปกติ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องโดยถามหากติยา เพื่อนสนิทคนเดียวในเรือนชีวิตของเธอ
“แล้วกติยาไม่มาเหรอคะ ก่อนรุ้งมา รุ้งเขียนจดหมายบอกยาแล้วนะ ว่าให้มารับ ไม่เจอตั้ง 8 ปี หวังว่ายาจะสวยขึ้น ไม่ขี้บ่น ไม่เจ้าระเบียบ and No dress up like an old lady อย่างเมื่อก่อนอีกนะ”
เสียงคนถูกนินทาดังขึ้น “ว่าใครแต่งตัวเป็นป้าจ๊ะรุ้ง”
กติยา สาวใบหน้าสวย แต่ด้วยการแต่งตัวเรียบร้อย ใส่แว่นตาดูสุขุมเกินอายุ จนเหมือนคุณครูเจ้าระเบียบ เดินเข้ามาหาปานรุ้ง
สาวนักเรียนนอก ทายาทสมุทรเทวา มองการแต่งตัวของเพื่อนรักแล้วยิ้มขำ
“ก็ว่าผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างยานี่ไง รุ้งส่งเสื้อผ้าเก๋ๆ จากนิวยอร์กให้ยาตั้งหลายชุด ทำไมไม่เอามาใส่”
“ยาก็เขียนจดหมายไปบอกรุ้งแล้วไง ว่าแบบนั้นมันโป๊ ยาชอบใส่แบบนี้”
“OKAY” ปานรุ้งอ้าแขนรอกติยามากอด ”Please give me a big hug now like
you always do.”
ปานรุ้งแสดงความรู้สึกประชดในทีว่าเมื่อแม่ไม่กอด เธอก็จะหาอ้อมกอดอื่นทดแทน
กติยาเข้าไปกอดปานรุ้งเต็มความคิดถึง ปานรุ้งยิ้มชื่นมีความสุข
คมขวัญมองปานรุ้งที่สวมกอดกติยา รู้สึกสะท้านสะเทือนใจเหมือนกัน ว่านานเท่าไรแล้วที่เธอไม่เคยกอดลูกสาว
”งั้นเรากลับบ้านกันได้แล้ว แม่ให้คนขับรถวนมารอรับลูกที่หน้าประตูแล้ว”
ปานรุ้งขบคิด “คนขับรถ คนขับรถของแม่ใช่ลุงกอบคนเดิมรึเปล่าคะ”

ตรงบริเวณหน้าประตูทางออกสนามบินดอนเมือง เกื้อขับรถวนมาจอดรอรับปานรุ้งอยู่ตรงนั้นสักครู่แล้ว
ปานรุ้งเดินคุยมากับกติยา โดยมีคมขวัญเดินตามคอยมองปานรุ้งที่คุยยิ้มหัวร่าเริงกับกติยาด้วยสีหน้าอิ่มเอิบดูมีความสุขกับการกลับมาของธิดาคยนสวย
เกื้อเห็นปานรุ้งเดินสวยสง่า การแต่งตัว และ หน้าตา ผมเผ้า โดดเด่นกว่าผู้หญิงไทย บวกรวมกับความสวยงามของปานรุ้ง ทำให้เกื้อยืนอึ้งตะลึงตะไลไปเลย
คมขวัญสั่งเกื้อ “เกื้อ ขนกระเป๋าคุณรุ้งไปที”
เกื้อยังคงยืนเซ่อ มองปานรุ้งอย่างตะลึงอยู่ จนไม่ทันฟังคำสั่งของคมขวัญ
จนคมขวัญเสียงดังขึ้น “นายเกื้อ”
เกื้อสะดุ้งจนไปชนคนที่ยืนข้างหลัง เขารีบหันไปไหว้ขอโทษด้วยสีหน้าแหยๆ ปานรุ้งเห็นอาการเกื้อแล้วขำคิก
“Who is that handsome guy คะแม่”
คมขวัญไม่พอใจนิดๆ ที่ปานรุ้งออกอาการชมผู้ชายไม่สำรวม โดยเฉพาะเกื้อที่เป็นลูกคนใช้ คมขวัญพูดเสียงเข้ม เน้นคำว่าเกื้อเป็นลูกใคร เพื่อให้ปานรุ้งระวังกริยา
“นั่นเกื้อ ลูกชายนายกอบกับยายปิ่น คนขับรถกับแม่ครัวที่บ้านเราไงลูก”
เกื้อรู้สึกเหมือนโดนคมขวัญย้ำถึงฐานะตัวเอง จึงเจียมตัว ก้มหน้าไม่กล้ามองปานรุ้งอีก
ปานรุ้งไม่แคร์กับน้ำเสียงของคมขวัญ “เกื้อ เด็กผู้ชายตัวดำ ผอมกะหร่องนั่น น่ะเหรอคะ WOW! My goodness! เธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”
เกื้อเขินก้มหน้าพูดกับปานรุ้งด้วยท่าทางประหม่า “เชิญคุณหนูไปที่รถเถอะครับ เดี๋ยวผมเข็นกระเป๋าให้”
ปานรุ้งกลับพูดตอบด้วยสีหน้านึกสนุก “ใครบอกว่าฉันจะกลับบ้านด้วยล่ะ”
คมขวัญ กติยา รวมทั้งเกื้อมองปานรุ้งอย่างแปลกใจ
“อ้าว ถ้ารุ้งไม่กลับบ้านกับแม่ แล้วรุ้งจะกลับกับใคร”
เป็นจังหวะที่ชัชวาลกับกฤษฎา เดินเข้ามาหาปานรุ้งพร้อมกัน โดยยังมีท่าทางแย่งกับจีบปานรุ้งอยู่ สองหนุ่มแย่งพูด แต่ออกมาพร้อมกัน
“รถพร้อมแล้วครับ”
ชัชวาลกับกฤษฎามองหน้าเขม่นกัน
ปานรุ้งมองชัชวาลที กฤษฎาที ด้วยแววตาซุกซน แล้วหันมาพูดกับคมขวัญด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“รุ้งคิดว่าแม่ไม่มา รุ้งเลยนัดเพื่อนไว้แล้วค่ะ”

คมขวัญชะงัก มองปานรุ้งอย่างคาดไม่ถึง

ปานรุ้งขึ้นนั่งในรถตู้ราคาแพงของชัชวาลแล้ว โดยมีชัชวาลนั่งข้างๆ เธอเปิดกระจกพูดเสียงหวานกับกฤษฎาที่ยืนมองมาด้วยอาการเซ็งปนผิดหวัง

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะกฤษฎา ที่รุ้งไปกับชัชวาล เพราะเราอยู่ทางเดียวกัน รุ้งสัญญาว่าคราวหน้า จะให้คุณพาไปหาของอร่อยทาน”
“คุณสัญญากับผมแล้วนะครับ” กฤษฎายื่นมือรอให้ปานรุ้งยื่นมาจับเป็นการสัญญา
ปานรุ้งยื่นมือไปเกี่ยวก้อยกับกฤษฎา ด้วยจริตกิริยาอันน่ารัก
“I promise. See you นะคะ”

รถตู้เคลื่อนตัวออก ปานรุ้งเอนพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าดูผ่อนคลายลง
ชัชวาลมองปานรุ้ง “คุณรุ้งมากับผมแบบนี้ ไม่กลัวคุณแม่โกรธเหรอครับ”
ปานรุ้งเหม่อมองวิวนอกหน้าต่าง พูดตอบชัชวาลด้วยเสียงเยาะหยันว่า
“แม่ไม่มีสิทธิ์โกรธรุ้งหรอก ก็มาสายเอง แปลว่าเขาไม่ใส่ใจ แล้วเรื่องอะไรรุ้งต้องใส่ใจเขา ไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันดีกว่าค่ะ”

ภายในห้องรับแขก บ้านสมุทรเทวา คมขวัญนั่งที่โซฟาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง โดยมีกติยานั่งข้างๆ ด้วยท่าทางกระสับกระส่ายชะเง้อ มองไปทางประตูตึกใหญ่ว่าเมื่อไหร่ปานรุ้งจะกลับมา
ด้วยรอจนเย็นแล้ว กติยาเริ่มไม่พอใจปานรุ้ง
“รุ้งนะรุ้ง ทำไมถึงทำแบบนี้นะ ดูสิ คุณป้ายอมทิ้งงานเพื่อไปรอรับ แต่ดันไปกับคนอื่น ถ้าเป็นเด็กนักเรียนในห้อง ยาจะจับตีให้ดู”
“ไม่เป็นไรหรอกยา ป้าไปรับรุ้งสาย ถ้าจะผิด ก็ผิดที่ป้าเอง”
กติยามองคมขวัญ แล้วลอบถอนใจที่คมขวัญยอมปานรุ้งเสมอ

ระหว่างนี้เองปานรุ้งเดินเฉิดฉาย สีหน้าเริงร่าเข้ามา มีน้อย สาวใช้เดินตามหลังปานรุ้งด้วยสีหน้าดีใจ
เกื้อเดินตามเข้ามาห่างๆ มองอย่างโล่งอกที่ปานรุ้งกลับมา
“คุณหนูกลับมาแล้ว” น้อยพุ่งเข้าไปคุกเข่ากอดขาปานรุ้งด้วยความดีใจ “คุณหนูของน้อย ! คุณหนูไม่อยู่ตั้งหลายปี น้อยคิดถึงคุณหนูที่สุดเลย”
ปานรุ้งมองน้อยขำๆ
“ปล่อยฉันได้แล้ว เดี๋ยวฉันก็ล้มหน้ากระแทกพื้นกันพอดี”
กติยาถามเสียงเข้ม เหมือนคุณครูเจ้าระเบียบซักนักเรียนกระนั้น
“เมื่อกี้รุ้งไปกับใคร”
“ก็เพื่อนไง ชื่อชัชวาล แต่อย่าถามชื่อพ่อ ชื่อแม่ หรือกิจการของบ้านเขา นะจ๊ะ รุ้งไม่รู้ เพราะรุ้งเพิ่งเจอเขาบนเครื่องบินเมื่อกี้นี้เอง”
กติยาตกใจ “อะไรนะ รุ้งเพิ่งรู้จัก แล้วก็ไปกับเขาเนี่ยนะ”
ปานรุ้งขำท่าทางเครียดของกติยา “Why you so serious จังล่ะยา ที่เมืองนอก เจอกันตอนสูบบุหรี่ ก็นั่ง Drink กันได้ทั้งคืน นี่รุ้งก็แค่ไปทานข้าว ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย Please I’m so tired รุ้งอยากพักแล้ว”
คมขวัญเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากทำให้ปานรุ้งหงุดหงิด
“งั้นรุ้งรีบขึ้นห้องเถอะลูก แม่ให้ช่างมาตกแต่งห้องให้รุ้งใหม่ เตรียมไว้เซอร์ไพร้สรุ้ง”
ปานรุ้งยิ้มตื่นเต้น “Really จริงเหรอคะ…ดีค่ะ I love surprise”

เกื้อเปิดประตูพร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางของปานรุ้งเข้าห้องมา
คมขวัญเดินตามเข้ามา ปานรุ้งเดินตามหลังพร้อมกับเอามือปิดตาตัวเองไว้ แล้วให้กติยา คอยจูงตัวเองพาเดิน โดยมีน้อยเดินลากกระเป๋าเดินทางตามเข้ามาหลังสุด
ปานรุ้งถามกติยาว่า “ห้องใหม่ของรุ้งเป็นยังไงบ้างจ๊ะยา”
คมขวัญยิ้มชื่นมองปานรุ้งด้วยสายตามีความสุข คิดว่าถ้าลูกเห็นห้องใหม่ที่ทำให้ ลูกต้องชอบ กติยามองห้องอย่างชื่นชมแล้วจะอ้าปากตอบ แต่น้อยพูดแทรกอย่างเอาใจปานรุ้ง
“สวยมากค่ะ
ปานรุ้งยังเอามือตัวเองปิดตาอยู่ “แล้วห้องสีอะไร”
กติยาอ้าปากจะบอก แต่น้อยแย่งพูดอีก
“สีชมพู”
ปานรุ้งถามอีก “ม่านสีอะไร”
กติยาอ้าปากจะบอก แต่ถูกน้อยแย่งพูดอีก
“สีชมพูอ่อนค่ะ”
ปานรุ้งชักเซ็ง “ฉันไม่ได้ถามเธอนะน้อย นิสัยจุ้นจ้านไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
น้อยจ๋อย “ขอโทษค่ะ ก็น้อยตื่นเต้นแทนคุณหนูนี่คะ”
ปานรุ้งถามต่อ ”แล้วเตียงล่ะ เป็นเตียงไม้สีมะฮอกกานีมีเสา 4 เสารึเปล่า”
”เปล่าจ้ะ เป็นเตียงสีขาว มีม่านสีขาวคลุม เหมือนเตียงเจ้าหญิงเลย”
ปานรุ้งเอามือออกจากตาทันที แล้วมองห้อง “แหม แม่ทำเซอร์ไพรส์รุ้ง จริงๆ ด้วย ทุกอย่างในห้องนี้ มันเป็นสิ่งที่รุ้งไม่ชอบเลย”
คมขวัญชะงัก นิ่งงันไป

สุดท้ายเกื้อลากกระเป๋าเดินทางของปานรุ้งเข้าห้องรับรองแขกบนตึกใหญ่ ปานรุ้งตามเข้ามา มีกติยาตามหลังมาพูดดุปานรุ้ง ที่ทำร้ายน้ำใจคมขวัญ
“รุ้ง”
“รุ้งพูดจริงนี่” ปานรุ้งมองสีผนังห้องนี้ “โดยเฉพาะสีห้อง รุ้งไม่ชอบสีนี้ เพราะมันเป็นสีประจำวันที่พ่อเสีย ไม่รู้แม่ลืมหรือไม่ได้ใส่ใจ”
คมขวัญเดินตามเข้ามา และได้ยินพอดี น้อยตามหลังเข้ามามองคมขวัญหน้าเสียเพราะกลัวคมขวัญจะต่อว่าปานรุ้ง แต่คมขวัญกลับยืนเฉย
”ทำไมพูดแบบนี้กับคุณป้าล่ะรุ้ง” กติยาตำหนิต่อ
ปานรุ้งยักไหล่ด้วยอารมณ์ “ก็พูดความจริงง่ะ”
คมขวัญรีบพูดปกป้อง เพื่อไม่ให้ปานรุ้งโดนกติยาติอีก “อย่าไปว่ารุ้งเลย ป้าลืมจริงๆ” พลางหันไปพูดกับปานรุ้ง “พอดีสีที่รุ้งชอบ ของหมด แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะ ให้ปริญญาเช็คอีกรอบนะลูก ส่วนคืนนี้ ถ้ารุ้งไม่อยากนอนห้องนี้ ไปนอนที่ห้องแม่ก็ได้ เราไม่ได้เจอกันนาน แม่มีเรื่องอยากคุยกับรุ้ง เยอะแยะเลย” คมขวัญหันไปสั่งน้อย “น้อย ไปจัดห้องฉันที”
“ค่ะคุณนาย” น้อยหันตัวจะไป
ปานรุ้งเรียกไว้ “ไม่ต้องน้อย ฉันจะนอนที่นี่” แล้วจึงหันไปพูดกับกติยา “ขอโทษด้วยนะยา
ตอนแรกคิดว่าจะได้นอนในห้องใหม่สบายๆ แต่สุดท้ายต้องพายามา ลำบากนอนห้องแคบๆ ร้อนๆห้องนี้”
คมขวัญหน้าเจื่อนลง กติยาเห็นสีหน้านั้น จึงหันไปพูดกับปานรุ้ง
“ห้องนี้สบายจะแย่ ไม่เห็นร้อนตรงไหนเลยรุ้ง”
“คุยกันตามสบายนะ เดี๋ยวป้าไปดูงานต่อก่อน”
คมขวัญจะเดินไป ปานรุ้งหันไปพูดกับกติยา จงใจให้คมขวัญได้ยิน
“เห็นไหม” น้ำเสียงสาวนักเรียนนอกพูดเหน็บนิดๆ ไม่ได้แค้นเคืองอะไร “ถึงไม่มีรุ้ง แม่ก็มีงาน ทุกลมหายใจเข้าออกของแม่มีแต่งาน”
คมขวัญชะงักนิดหนึ่ง แล้วเดินตัวตรงออกไป น้อยและเกื้อเดินตามคมขวัญออกไป
กติยาเห็นอาการน้อยใจของคมขวัญ “รุ้ง ทำไมถึงพูดอย่างนั้น”
ปานรุ้งยักไหล่ ไม่ตอบคำถามกติยา แต่พูดเรื่องกติยาแทน

“ยานอนกับรุ้งก็ดี รุ้งอยากรู้ว่าตอนที่รุ้งไม่อยู่ ชีวิตยาเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง”

อ่านต่อหน้า 2

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ในความเงียบสงัด ได้ยินเสียงปานรุ้งร้องกรี๊ดอย่างดีใจดังมาจากสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์สมุทรเทวา

“อ๊าย...”
ปานรุ้งและกติยาอยู่ในชุดนอน สองสาวนอนบนเสื่อที่ปูอยู่กลางสนามหญ้าของสวนสวย นอนดูดาวพร้อมๆ กับพูดคุยกันไป โดยมีน้อยคอยดูแลปัดยุงให้
สิ้นเสียงกรี๊ดนั้นปานรุ้งลุกขึ้นพรวด มองหน้ากติยาอย่างไม่อยากเชื่อ
“Oh My Godness รุ้งไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่เพื่อนๆในชั้นเรียกว่าป้า อย่างยา จะชิงตัดหน้าหมั้นก่อนเพื่อน”
กติยายิ้มเขินๆ
“ก็แค่หมั้นเอง ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นหรอกรุ้ง”
“จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง” ปานรุ้งกอดแขนกติยา ท่าทีออดอ้อน “ถ้ายาแต่งงานแล้ว รุ้งจะอยู่กับใคร อย่าลืมสิ ว่ายาเป็นเพื่อนที่อยู่ข้างรุ้งมาตลอดตั้งแต่ แม่ส่งรุ้งไปอยู่โรงเรียนประจำ แม่ไม่รับรุ้งกลับบ้าน รุ้งก็มียาอยู่เป็น เพื่อนเสมอ” สาวนักเรียนนอกงอแงเป็นเด็ก “ไม่เอาล่ะ รุ้งไม่ยอมให้ยาแต่งงาน รุ้งจะขัดขวางงานแต่งของยา”
กติยาหัวเราะ “ถ้ารุ้งทำอย่างนั้น เดี๋ยวเราก็โดนล้อว่าเป็นคู่ทอม ดี้ อีกหรอก”
ปานรุ้งกอดกติยา ”รุ้งไม่สน”
“ดี งั้นพรุ่งนี้ยาไปถอนหมั้นเลยแล้วกัน”
“งั้นมะรืนเราแต่งงานกันเลย”
กติยาขำ “วันหลัง หัดพูดเล่นอย่างนี้กับคุณป้าบ้างนะรุ้ง”
ปานรุ้งทำหน้าเซ็ง “แม่ไม่อยากเล่นกับรุ้งหรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ผลักไส รุ้งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่อายุ 14”
กติยาอยากจะอธิบายให้ปานรุ้งเข้าใจ “รุ้ง”
“Stop! อย่ามาสอนวิชาศีลธรรม จริยธรรม ที่เกี่ยวกับพระคุณแม่ รุ้งโตด้วยนมวัวกับอ้อมกอดของคนใช้ ดังนั้นหน้าที่ของแม่สำหรับ รุ้ง มีแค่หาเงินให้รุ้งซื้อความสุขเท่านั้น”
พร้อมกันนี้ ปานรุ้งหวนคิดถึงอดีตอันเจ็บปวดขึ้นมา

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 เด็กหญิงปานรุ้ง วัยราว 7 ขวบ ใส่ชุดนักเรียนประถมกอดคมขวัญที่กำลังท้อง 8 เดือน นั่งร้องไห้อยู่บนเตียง ข้างๆ กับร่างไร้วิญญาณของพิรุณ บิดาที่นอนสงบไม่ไหวติ่ง
จู่ๆ คมขวัญรู้สึกปวดท้อง ปานรุ้งเห็นก็นึกเป็นห่วง กลัวแม่จะเป็นอะไรไปอีกคน
กอบและคนรับใช้รีบพยุงคมขวัญไปขึ้นรถ ปานรุ้งจะตามไปด้วย แต่ถูกคมขวัญดันตัวให้อยู่กับยายปิ่น โดยมีเด็กหญิงน้อยวัย 7 ขวบ กับเกื้อซึ่งอายุ 10 ขวบ ยืนอยู่ข้างๆ ปานรุ้ง ด้วย
ปานรุ้งยืนร้องไห้เป็นห่วงแม่ แล้วทรุดตัวนั่งร้องไห้เดียวดายข้างๆ ศพของพิรุณ

ในปีเดียวกัน คมขวัญคลอดลูกสาว เปี่ยมขวัญ ได้ 8 เดือนแล้ว
ปานรุ้งเล่นสะดุดล้ม จนหัวเข่าเลือดออก น้อยมาดูปานรุ้ง
ระหว่างนี้ กอบขับรถมาจอดหน้าตึก แล้วเกื้อเด็กชายตัวผอมดำวิ่งมาเปิดประตูให้คมขวัญ
คมขวัญในชุดแต่งกายดูภูมิฐาน มาดผู้หญิงทำงาน ลงจากรถรีบร้อนเข้าบ้านเพราะห่วงเปี่ยมขวัญ
ปานรุ้งเห็นแม่ก็ดีใจ ลุกขึ้นเดินกระเผลกๆ จะไปให้แม่ปลอบใจ แต่แล้วพี่เลี้ยงก็อุ้มเปี่ยมขวัญเข้ามาหาคมขวัญ พร้อมกับบอกว่าทารกหญิงมีไข้ นั่นทำให้คมขวัญรีบยกมือห้ามปานรุ้งไม่ให้เข้ามา ด้วยในความคิดกลัวลูกสาวคนโตจะติดไข้
“รุ้งอย่าเข้ามา เนื้อตัวสกปรก รีบไปอาบน้ำซะ” พลางหันไปทางน้อย “น้อย พาคุณรุ้งไปให้คนทำแผลด้วย”
คมขวัญรีบอุ้มเปี่ยมขวัญเข้าบ้านไป ปานรุ้งมองตามแม่ตาละห้อย

ถัดมาน้อยประคองปานรุ้งที่เข่าติดพลาสเตอร์ยา และเดินกระเผลกเข้ามาในห้องคมขวัญ หวังจะให้คมขวัญปลอบใจ แต่ปานรุ้งเห็นคมขวัญกำลังกอดเปี่ยมขวัญและป้อนยาให้เปี่ยมขวัญที่นอนในอ้อมแขน
คมขวัญเห็นปานรุ้งก็รีบยกมือห้าม ก่อนจะโบกมือให้ออกไป
“อย่าเพิ่งเข้ามารุ้ง”
“แต่รุ้งอาบน้ำตัวสะอาดแล้วนะคะแม่” เด็กหญิงบอก
“นั่นแหละ ออกไปก่อน” คมขวัญหันไปตะโกนเรียกน้อย “น้อย! บอกยายปิ่น หาข้าวหาปลาให้คุณรุ้งกินด้วย”
คมขวัญอุ้มเปี่ยมขวัญเดินห่างไปจากปานรุ้งทันที
ปานรุ้งมองคมขวัญที่เฝ้ากอดเปี่ยมขวัญอย่างทะนุถนอมด้วยสายตาทั้งน้อยใจ และไม่พอใจ

อีกไม่นานนัก ได้ยินเสียงปานรุ้งปาช้อนใส่จานข้าวตัวเองดังเคล้ง!
ปานรุ้งนั่งโดดเดี่ยว กินข้าวอยู่คนเดียวท่ามกลางโต๊ะอาหารอันกว้างใหญ่ หรูหรา มีอาหารน่าทานเต็มโต๊ะ
“เอาอาหารออกไป ฉันไม่อยากกินแล้ว”
น้อยรีบวิ่งเข้ามาดู “แต่คุณหนูกินไปนิดเดียว เดี๋ยวป่วยหรอกค่ะ”
“ดี เผื่อฉันไม่สบายอย่างเปี่ยมขวัญ แม่จะได้สนใจฉันบ้าง” เด็กหญิงตัวน้อยคิดบางอย่าง “น้อย ถ้าฉันไม่อยู่ เธอคิดว่าแม่จะสนใจฉันไหม”

แหละไม่นานหลังจากนั้น คนในบ้านสมุทรเทวาก็เห็นเด็กหญิงปานรุ้งสวมใส่ชุดนักเรียนเดินออกจากบ้าน โดยมีน้อยถือกระเป๋านักเรียนและถุงผ้าใส่หนังสือทั้งหมด เกื้อถือกระเป๋าเสื้อผ้าตามออกมา
กอบขับรถมาจอดอยู่หน้าตึก ขณะปานรุ้งเดินจะขึ้นรถ น้อยรีบเดินมาดักหน้าปานรุ้ง สีหน้าน้อย ดูออกว่าเสียใจที่ปานรุ้งกำลังจะไปอยู่โรงเรียนประจำ
“ทำไมคุณหนูต้องขอคุณนายไปอยู่โรงเรียนประจำล่ะคะ”
“ก็เผื่อฉันไม่อยู่ แม่จะได้เห็นความสำคัญของฉันไงน้อย”

ปานรุ้งงอนแม่ เดินขึ้นรถไป เกื้อมองตามปานรุ้งตาละห้อย

ในปี พ.ศ. 2510 หลังปานรุ้งมาอยู่โรงเรียนประจำ 2 ปี แล้ว วันนั้นเธอใส่ชุดนักเรียนประถมศึกษา ยืนมองเพื่อนที่มีพ่อแม่มารับกลับบ้านด้วยสายตาเศร้าสร้อย ปานรุ้งคอยมองไปทางประตูโรงเรียนรอคมขวัญมารับ

สักครู่ น้อยถือปิ่นโตวิ่งมาหาปานรุ้งพร้อมเกื้อและกอบ
“คุณหนู”
ปานรุ้งมองเลยไปด้านหลังน้อย หวังว่าจะเจอคมขวัญ “แม่ล่ะ”
กอบหน้าจ๋อย พยายามแก้ต่างให้ “เอ่อ คุณนายติดงานครับคุณหนู ตอนนี้สมุทรเทวาเปิดทางเดินเรือใหม่ คุณนายเลยยุ่งมาก แต่คุณนายเป็นห่วงคุณหนูนะครับ”
ปานรุ้งพูดต่อด้วยเสียงแดกดัน “เลยสั่งให้คนใช้มาดูแลฉันแทนอย่างเคย”
กอบ เกื้อ และน้อยยิ้มแหยๆ สามคนมองสีหน้าปานรุ้งที่เยาะหยันชีวิตตัวเอง ด้วยความสงสาร เข้าใจ และเห็นใจ ทั้งแม่และลูก

ระบายจบ สีหน้าเดียวกับเมื่อสมัยวัยเด็กทาบทับฉาบทาอยู่บนใบหน้าสวยของปานรุ้งค่ำคืนนี้
กติยามองปานรุ้งอย่างเข้าใจ พยายามจะปลอบเพื่อน “รุ้ง”
ปานรุ้งรีบเปลี่ยนสีหน้าทำเป็นไม่แยแสอดีต “ช่างเถอะ ความจริงรุ้ง ไปเมืองนอกก็ดี ที่โน้นอิสระ อยากจะทำอะไร ไปไหนมาไหน หรือเที่ยวกับใครก็ได้ มีความสุขจะตาย” ปานรุ้งหยอกกติยาต่อ “แล้วยาจะแต่งเมื่อไหร่ คู่หมั้นยาเป็นใคร พรุ่งนี้ต้องพามาแนะนำกับรุ้งด่วนเลยนะ”
กติยาขำ “พรุ่งนี้ยาต้องสอนหนังสือ ตอนนี้ยาเป็นครูสอนหนังสือ ที่โรงเรียนเดิมของเราแล้วนะ”
“งั้นเจอตอนเย็นก็ได้”
“ไม่ได้ ยาต้องพาคุณแม่ไปหาหมอ”
ปานรุ้งชักเซ็ง “โฮ้ย แล้วเมื่อไหร่รุ้งจะได้เจอคู่หมั้นยาล่ะ…รู้แล้ว เจอในงานเลี้ยงแล้วกัน”
กติยามองปานรุ้งอย่างสงสัย “งานเลี้ยงอะไร”
ปานรุ้งมองกติยา แล้วยิ้มอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก

รุ่งเช้าคมขวัญกำลังนั่งอ่านแฟ้มงาน โดยมีปริญญายืนรอฟังคำสั่ง ปานรุ้งอยู่ข้างๆ กำลังนั่งกินอาหารเช้ากับแม่ โดยมีน้อยคอยดูแล
คมขวัญเงยหน้าจากแฟ้ม มองปานรุ้งอย่างแปลกใจ “จะจัดปาร์ตี้ต้อนรับรุ้ง”
ปานรุ้งดื่มกาแฟ “Yes” แล้วจึงหันไปทางน้อย “คอนเฟล็กของฉันล่ะน้อย”
น้อยทำหน้างง “อะไรเบรก เบรก นะคะ”
ปานรุ้งทำหน้าเซ็ง “คอนเฟล็ก ธัญญาพืชอบแห้งที่ฉันซื้อมาจากเมืองนอกไง ที่เมื่อคืนฉันสั่งให้เทใส่ถ้วยเสิร์ฟมาพร้อมกับโยเกิร์ต”
น้อยนึกได้ “อ๋อ กล่องนั้น เดี๋ยวน้อยรีบไปทำให้ค่ะ” สาวใช้วัยเดียวกับปานรุ้งรีบวิ่งออกไป
คมขวัญพูดต่อ “แต่แม่อยากให้รุ้งไปช่วยงานที่บริษัทก่อน ตอนนี้แม่อยากได้ คนจบบริหารใหม่ๆ อย่างรุ้ง มาช่วยเสนออะไรใหม่ๆ ให้บริษัทบ้าง”
ปานรุ้งได้ยินคมขวัญพูดเรื่อง “เรียนบริหาร” แล้วลอบยิ้ม เพราะรู้ตัวเองว่าไม่ได้เรียนมา ยิ้มหวานอ้อนแม่ “แม่คะ รุ้งเพิ่งเรียนจบกลับมา สมองรุ้งยังล้า ขืนให้ไปทำงานตอนนี้ รุ้งก็คงคิดไอเดียอะไรให้แม่ไม่ได้ รุ้งต้องการ Party พบปะเพื่อนฝูง ต้องการ vacation”
“แต่รุ้ง…”
“หรือแม่ไม่อยากอวดใคร ว่าลูกสาวคนเดียวของแม่เรียนจบมา จากเมืองนอก” เธอพูดตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ “ใช่สิคะ มหาวิทยาลัยที่รุ้งเรียน มันไม่ดัง แม่เลยไม่อยากอวดใคร”
คมขวัญมองปานรุ้ง ในท่าทีอึกอัก ยังไม่ให้คำตอบว่าจะยินยอมจัดปาร์ตี้ให้ไหม

น้อยเดินถือถาดใส่ถ้วยคอนเฟล็กไปให้ปานรุ้งในห้องอาหาร พอดีกับที่ปานรุ้งเดินสวยออกมาพอดี จนเกือบชนน้อย
“คอนเฟล็กมาแล้วค่ะ”
“ฉันไม่กินแล้ว”
“อ้าว”
“ไปบอกเกื้อให้เตรียมรถด้วย ฉันจะไปหาเพื่อนๆ ที่โปโล”
ปานรุ้งเดินร่าเริงขึ้นบันไดไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
คมขวัญกับปริญญาเดินออกมา คมขวัญมองตามลูกสาวที่ออกอาการร่าเริงด้วยสายตายิ้มๆ
“ได้ยินแล้วใช่ไหมปริญญา รีบไปจัดการตามที่รุ้งต้องการที”
ปริญญาลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูดออกมา “ผมว่า เรามีเรื่องต้องรีบทำกว่าการจัด งานเลี้ยงนะครับคุณนาย”

คมขวัญมองหน้าปริญญาเป็นคำถาม

คมขวัญก้าวฉับๆๆๆ เดินเร็วรี่เข้ามาในบริเวณท่าเรือสมุทรเทวาทรานสปอร์ต โดยมีปริญญาเดินตามหลัง จู่ๆ ร่างคนงานชาย 1 นามว่า นายมิ่ง ถูกต่อยอย่างแรงจนกระเด็นมาล้มตรงหน้าคมขวัญ

คนงานชาย 1 เงยหน้ามองประมุขสมุทรเทวาด้วยสีหน้าตกใจ
คมขวัญมองคนงานดังกล่าว แล้วเงยหน้าไปมองกลุ่มคนงานอีก 5-6 คน ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานซ้อมคนงานนั้น หนึ่งในกลุ่ม คนงานชาย 2 เดินเข้ามาหาคมขวัญรายงานทันทีว่า
“ไอ้มิ่งมันเป็นหนอนบ่อนไส้ครับคุณนาย”
คนงานชาย 1 รีบโต้ “ผมเปล่านะครับคุณนาย”
ปริญญารายงานกับคมขวัญว่า “คือผมได้ข่าวว่าการประมูลเส้นทางเดินเรือ ซองประมูลราคาเรารั่ว เราถึงพลาดเส้นทางไป 2 ครั้ง และบังเอิญ ผมได้คุยกับคนงาน พวกเขากำลังสงสัยว่าทำไมนายมิ่งที่ติดการพนัน หนี้ท่วมตัว กลับมาเงินและสร้อยทองใส่ ผมเลยให้คนงานคอยตามดู”
คนงานชาย 2 พูดเสริมจากปริญญา “เมื่อกี้พวกผมเห็นกับตาว่าไอ้มิ่งกำลังจะงัด ประตูห้องคุณนายครับ”
ชายชื่อมิ่งชะงัก แต่ยังพยายามแถต่อ “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้งัด! เงินฉันตก ฉันเลยก้มลงหาเงินเว้ย” มิ่งถลาเข้าไปกอดขาคมขวัญ พูดอ้อนวอน “คุณนายเชื่อผมนะครับ ผมทำงานกับคุณนายมาหลายปี ผมไม่เคย คิดทรยศคุณนาย”
คมขวัญมองคนงานชาย 1 นิ่งๆ ดูไม่ออกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อคำพูดแก้ต่างนั้น

อีกฟาก รถเก๋งราคาแพงแล่นมาจอดนิ่งหน้าอาคารบริษัท JS ทรานสปอร์ต ไล่ๆ กัน 2 คัน
ศุภกิจลงจากฝั่งที่นั่งคนขับ และนพพรลงจากด้านข้างคนขับ มาเปิดประตูให้เจ้านาย
เขาคือ เจ้าของบริษัทคู่แข่งการเดินเรือของสมุทรเทวา มิสเตอร์เจสัน ซึ่งใส่แว่นดำก้าวลงจากรถมาดอย่างเท่ห์
รถเก๋งอีกคัน เป็นกลุ่มบอดี้การ์ด 4 คน ที่ทยอยลงจากรถ ขณะมิสเตอร์เจสันกำลังจะเดินเข้าบริษัท ทันใดนั้นเอง ร่างของคนงานชาย 1 ก็เซแซดๆ มาล้มลงแทบเท้ามิสเตอร์เจสันในสภาพสะบักสะบอม
มิสเตอร์เจสัน นพพร และ ศุภกิจ พากันชะงัก มองคนงานชาย 1 อย่างอึ้งๆ กลุ่มบอดี้การ์ดขยับตัว ทำท่าจะชักปืน แต่มิสเตอร์เจสันยกมือห้ามไว้ !
“ฉันเอาคนของคุณมาคืน! มิสเตอร์เจสัน”
มิสเตอร์เจสันหันไปตามเสียงดุดันทรงอำนาจของคมขวัญที่ยืนนิ่งมองมา มีปริญญา และกลุ่มคนงานชาย อีก 6 คน ที่พากันคุมตัว มิ่งมา ยืนอยู่ด้านหลังเป็นแผง
แฝดผู้ช่วย นพพรกับศุภกิจมองเห็นยิ่งอึ้งหนัก ไม่คิดว่าจะเจอคมขวัญที่นี่
“คุณคมขวัญ”
มิสเตอร์เจสันยิ้มให้คมขวัญ แล้วถอดแว่นพร้อมกับก้มหัวทักทาย
“คุณคมขวัญ เจ้าของบริษัทสมุทรเทวา ผมได้ยินชื่อเสียงคุณนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเก่ง ความกล้า และความสวย พอได้เจอ คุณคมขวัญจริงๆ ผมยอมรับเลยว่าสิ่งที่เขาพูดมันจริงยิ่งกว่าจริง”
“มิสเตอร์เจสัน เจ้าของบริษัท JS ฉันก็ได้ยินชื่อเสียงคุณนานแล้วเช่นกัน นักธุรกิจหัวใหม่ เปิดบริษัทขนส่งได้ไม่ถึง 3 ปี สามารถดึงลูกค้าจาก บริษัทขนส่งอื่นมาเป็นลูกค้าของตัวเองได้เป็นร้อยๆราย แถมยังใจดี Take over บริษัทที่ไปแย่งลูกค้าเขามาอีกด้วย กล้าคิด กล้าทำ วางแผนจะเป็นผู้นำด้านการขนส่งของเอเชีย ฉันอยากอวยพรให้ คุณสมหวัง ถ้าคุณทำด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ใช่โกงกันแบบนี้”
มิสเตอร์เจสันแก้ตัวทันที “ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อผมหรือไม่ แต่ผมอยากจะบอกว่า สิ่งที่คุณพูดมา ผมไม่รู้เรื่อง”
“คนของคุณอยู่ตรงนี้ ยังจะบอกว่าไม่รู้เรื่องอีกเหรอ” ปริญญามองจ้องหน้า
นพพรได้สติ ออกตัวปกป้องเจ้านายทันที “เฮ้ย แกมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับ มิสเตอร์เจสันอย่างนี้วะ” พลางจะเข้าไปเอาเรื่องปริญญา
มิสเตอร์เจสันยกมือห้ามนพพร “เอาเป็นว่า ผมยืนยันว่าผมไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ และเพื่อความบริสุทธิ์ใจ ผมจะให้ลูกน้องเอาตัวผู้ชายคนนี้ไปส่งตำรวจ”
คนงานชาย 1 ตกตะลึง มองมิสเตอร์เจสันท่าทีลนลาน “อย่าเอาผมส่งตำรวจนะ! ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมทำก็เพราะ…”
แต่คนงานชาย 1 พูดยังไม่ทันพูดคำว่า “บอสสั่ง” ออกมา ก็โดนบอดี้การ์ดของมิสเตอร์เจสันล็อกแขนแล้วพาขึ้นรถไป
คมขวัญอึ้งไป ขณะมองคนงานชาย 1 ดิ้นรนขัดขืน และพอเดาออกว่าคนงานชาย 1 คงไม่ได้ไปถึงตำรวจแน่ แต่คงโดนบอดี้การ์ดของเจสันทำร้าย
มิสเตอร์เจสันมองคมขวัญอย่างเยือกเย็น
“ผมว่า คนงานคนนั้นอาจเป็นคนของบริษัทอื่น ที่จะทำให้เราสองบริษัท ผิดใจกันก็ได้ และเพื่อไม่ให้แผนของพวกนั้นสำเร็จ” เจสันยื่นมือรอเช็คแฮนด์กับคมขวัญ “เรามาเป็นมิตรกันดีกว่านะครับ”
คมขวัญมองเจสันนิ่งๆ แล้วหันตัวเดินออกไปที่รถ ไม่คิดจะจับมือกับเจสันสักนิด
นพพลเอ่ยขึ้นหลังจากพวกสมุทรเทวากลับไป “ไอ้มิ่งไม่ได้สืบราคาประมูลของสมุทรเทวาให้เราอย่างนี้ อาทิตย์หน้า…มีหวังคุณคมขวัญประมูลเส้นทางได้แน่ๆ เราจะทำยังไงดีครับนาย”
“ได้ข่าวว่าลูกสาวคุณคมขวัญ เพิ่งกลับจากเมืองนอกใช่ไหม”
มิสเตอร์เจสันยิ้มเจ้าเล่ห์ ขณะที่ศุภกิจกับนพพรมองนายฝรั่งของพวกเขาอย่างสงสัยใคร่รู้

ที่สนามขี่ม้า ซึ่งเนื้อที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างขวาง ตั้งอยู่ในที่ดินขนาดใหญ่ ของสปอร์ตคลับหรูหราแห่งนี้
บรรยากาศภายในโถงของสปอร์ตคลับ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรู มีผนังกระจกรอบด้าน สามสารถมองดูการแข่งขันขี่ม้าภายนอกได้จากในนี้ ผู้คนแต่งชุดขี่ม้ามาดดูดี บ้างจับกลุ่มพูดคุย ดื่มด่ำกับเครื่องดื่ม และทานของว่างกันตามโต๊ะมุมต่างๆ
ยินเสียงพนักงานกล่าวต้อนรับคนที่ก้าวเข้ามาเป็นแขกคนใหม่ของสปอร์ตว่า
“สวัสดีค่ะ”
บรรดาคนที่นั่งในสปอร์ตคลับ ต่างไปมองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ผู้ชายทุกคนต่างหันมองตาค้าง ในอาการตะลึงตะไล เมื่อเห็นปานรุ้งในชุดขี่ม้ารัดรูปเดินเข้ามาในคลับ โดยมีน้อยเดินถือ กระเป๋าตามเข้ามา และเกื้อเดินตามหลังน้อยอีกที
น้อยมองผู้ชายที่ต่างมองนายสาวคนสวย แล้วกระซิบปานรุ้ง “ดูสิคะ ผู้ชายมอง คุณหนูกันใหญ่เลย”
ปานรุ้งเชิดหน้านิ่ง ด้วยการถูกผู้ชายมองจ้อง เป็นเรื่องปกติที่ไม่ได้น่าตื่นเต้นเอาเลยสำหรับเธอ
พวกผู้หญิงที่นั่งร่วมโต๊ะผู้ชาย แอบไม่พอใจที่ผู้ชายของตัวเองมองปานรุ้งไม่วางตา
ปานรุ้งปรายตามองกริยาของผู้หญิงที่มอบความหมั่นไส้มาให้ตนก็ยิ้มขำ แล้วเดินเชิดหน้ามองหาโต๊ะว่าง
ระหว่างนี้ชัชวาลเดินเข้ามาทางด้านหลังปานรุ้ง ”นั่งโต๊ะนั้นกับผมไหมครับ”
ปานรุ้งหันมาเห็นเป็นชัชวาลก็ยิ้มหวานทัก “Hi ..ชัชวาล ไม่คิดเลยว่าจะเจอคุณที่นี่” สาวนักเรียนนอกแกล้งหลิ่วตาหยอกเย้าชัชวาลว่า ”เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าคุณสะกดรอยตามรุ้งมา”
“เปล่าครับ ที่ผมมา เพราะหัวใจผมรู้ว่ามีคนที่ผมคิดถึงอยู่ที่นี่”
เกื้อมองชัชวาลอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
ปานรุ้งแกล้งทำไก๋ มองไปรอบๆ โถงสปอร์ตคลับ ”เอ้ ใครน้า คนที่ชัชวาลคิดถึง”
ชัชวาลอ้าปากจะบอก จู่ๆ นิสาคู่หมั้นชัชวาลกับเพื่อนชื่อลินินก็เดินเข้ามา นิสานั้นยืนตรงหน้าปานรุ้งพอดิบพอดี
“เขาก็ต้องคิดถึงคู่หมั้นเขาน่ะสิ”
ชัชวาลตกใจ “นิสา”
ปานรุ้งยืนมองนิ่งๆ ไม่รู้สึกตกใจ หรือทุกข์ร้อนกับสายตาขุ่นมัวของนิสาที่มองมาอย่างไม่พอใจแต่น้อยกับเกื้อมองนิสาแล้วอึ้ง งงว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คนในสปอร์ตคลับเริ่มหันมามองซุบซิบกันเบาๆ

ขณะเดียวกัน นพพรกับศุภกิจเดินเข้ามาในสปอร์ตคลับ แล้วมองซ้าย มองขวาหาปานรุ้ง
“แกแน่ใจเหรอ ว่าลูกสาวคุณคมขวัญมาที่นี่”
”ฉันหลอกถามคนใช้บ้านสมุทรเทวา เขาบอกว่าคุณหนูมาที่นี่” นพพรว่า
“แล้วอยู่ไหนวะ”
พอดีกับที่ปานรุ้งเปิดประตูเดินคอแข็งออกจากภายในสปอร์ตคลับ หน้านิ่งเชิดว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด น้อยกับเกื้อตามออกมาติดๆ
นิสารีบตามมายืนขวางหน้า มองอย่างเอาเรื่อง ปานรุ้งยืนเชิดหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ชัชวาลกับลินินรีบวิ่งตามมา
ศุภกิจกับนพพรฉากหลบมุมยืนมองปานรุ้ง เห็นนิสาหันไปถามกับลินิน
“ผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม ที่เมื่อวานเธอเห็นมาอ่อยชัชที่สนามบิน”
ชัชวาลปราม “นิสา หยุดนะ”
“ไม่หยุด ไหนวันนี้คุณบอกว่าไม่ว่าง ต้องไปช่วยพ่อทำงานที่บริษัทไง ที่แท้ก็มาหานังนี่”
น้อยจะเอาเรื่อง แต่ปานรุ้งยกมือห้ามไว้
“ไม่ต้องน้อย ปล่อยให้ผู้ชายจัดการ”
ปานรุ้งมองหน้าชัชวาลด้วยสายตาท้าทายว่าจะกล้าจัดการไหม ชัชวาลเห็นสายตานั้น จึงหันไปดึงแขนนิสา
“คุณไม่รู้อะไร อย่าพูดดีกว่า คุณรุ้งไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูด”
ปานรุ้งยิ้มพึงใจที่ชัชวาลที่เลือกปกป้องเธอ
นิสาโกรธจนตัวสั่น “นี่ชัชปกป้องมันเหรอ”
“กลับบ้านได้แล้ว” ชัชวาลหันไปทางนิลิน “ลินิน พานิสากลับบ้านไป”
นิสาขึ้นเสียง “ไม่ ชัชต้องกลับกับนิสาด้วย”
“แต่ผม…” ชัชวาลหมายจะอ้างว่านัดเพื่อนไว้ ปานรุ้งแทรกขึ้นเสียงหวาน
“กลับไปกับคู่หมั้นคุณเถอะค่ะชัช ถึงวันนี้เราไม่ได้ทานของว่างกัน แต่วันอื่นก็ยังมี”
นิสาฟังแล้วโกรธ จะเข้าไปเอาเรื่องปานรุ้งอีก
ปานรุ้งไม่ยี่หระ ยืนเชิดหน้าพร้อมยิ้มให้ เพราะรู้ว่านิสาไม่มีทางเข้าถึงตัวเอง และจริงดังคาด ชัชวาลดึงแขนนิสาไว้ ก่อนที่เธอจะถึงตัวปานรุ้ง
“ไปได้แล้วนิสา"
ชัชวาลดึงแขนนิสาออกไปพร้อมลินิน ปานรุ้งมองตามแล้วเชิดหน้าเหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะ
ทุกเหตุการณ์อยู่ในสายศุภกิจกับนพพรที่มองปานรุ้งอยู่ตลอดเวลา

สองแฝดยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วเดินออกไป

ถัดมาปานรุ้งเดินนำน้อยเข้ามายังคอกม้า น้อยนั้นยังฮึดฮัดโมโหนิสากับชัชวาลอยู่ไม่คลาย

“ต่อไปคุณหนูไม่ต้องไปยุ่งกับผู้ชายคนนั้นอีก นะคะ”
“ทำไมฉันถึงยุ่งไม่ได้”
“อ้าว ก็เขามีคู่หมั้นแล้ว คุณหนูจะไปยุ่งอีกทำไมคะ”
“ก็เพราะเขาใส่ใจฉันไง ทั้งๆที่เขาเป็นคนอื่น แต่เขาทำให้ฉันมีค่า ต่างจากคนใกล้ตัวเพราะฉะนั้น ฉันไม่แคร์เรื่องส่วนตัวใครหรอก ฉันแคร์แต่ความสุขของฉัน ใครทำให้ฉันมีความสุขได้ ฉันก็โอเค”
เกื้อจูงม้ามาให้ปานรุ้ง “ม้ามาแล้วครับคุณหนู”
ปานรุ้งมองม้าเห็นตัวสูงใหญ่ก็ติงว่า “เกื้อ ม้าตัวสูงขนาดนี้ ฉันจะขี่ถึงได้ยังไง”
“แต่ม้าตัวนี้เป็นม้าที่ดีที่สุด เชื่องที่สุด คุณหนูไม่ได้ขี่ม้ามานาน ผมว่าตัวนี้เหมาะกับคุณหนูนะครับ เอาอย่างนี้ไหมครับ คุณหนูเหยียบไหล่ผมขึ้นไปก็ได้”
เกื้อก้มลงนั่งข้างๆ ม้า เพื่อให้ปานรุ้งเหยียบไหล่ขึ้นไป
ปานรุ้งแตะแก้มเกื้อเบาๆ เป็นการขอบใจ “Thank you my bodyguard”
สัมผัสจากปานรุ้งที่แก้ม เล่นเอาเกื้อถึงกับชะงัก รีบก้มหน้าเก็บอาการเขินไว้
ปานรุ้งจับมือน้อย แล้วใช้เท้าเหยียบไหล่เกื้อขึ้นขี่หลังม้า ร่างปานรุ้งเซทำให้รองเท้าขยี้เนื้อหัวไหล่เกื้อ สีหน้าเกื้อดูออกว่าเจ็บมาก แต่เขาอดทนเพื่อปานรุ้ง
ปานรุ้งขึ้นคร่อมขี่ม้าได้สำเร็จ
“เธอสองคนไปรอฉันที่รถไป”
น้อยเดินนำออกไป เกื้อยังอดมองปานรุ้งที่ขี่ม้าด้วยท่วงท่าสง่างามนั้นไม่ได้ หนุ่มคนขับรถเผลอใจมองอย่างชื่นชม จนกระทั่งน้อยเดินไปสักระยะแล้วไม่เห็นเกื้อ จึงหันกลับมามอง เห็นเกื้อยังยืนจ้องปานรุ้งอยู่ เลยเดินย้อนมาสะกิด
“ยืนทำอะไร ไปได้แล้ว”
น้อยเดินนำไป เกื้อเหลียวไปมองปานรุ้งอีกครั้ง แล้วมองรอยรองเท้าปานรุ้งบนหัวไหล่ตัวเอง เอามือแตะรอยเท้านั้น ยิ้มอย่างสุขใจที่ได้ทำอะไรให้ผู้หญิงอันเป็นที่รัก แล้วจึงตามน้อยไป

น้อยเดินนำเกื้อออกจากคอกม้าเพื่อไปที่รถ
“เดี๋ยวแกไปที่รถก่อนนะเกื้อ เดี๋ยวฉันไปห้องน้ำแป๊บนึง”
น้อยวิ่งตื้อออกไป เกื้อจะเดินไปที่รถ แต่หางตาเหลือบไปเห็นนิสากับลินินเดินเข้าไปยังคอกม้าที่ปานรุ้งขี่ม้าอยู่ เกื้อมองตามอย่างสงสัย

ขณะที่ปานรุ้งกำลังขี่ม้าวิ่งเหยาะๆ อยู่ในคอก อีกมุมหนึ่ง เห็นนิสากับลินินเดินเข้ามาแอบมองปานรุ้ง นิสามองปานรุ้งตาพอง แล้วหันไปมองลินินเป็นเชิงสั่งว่า “จัดการเลย”
ลินินหยิบกล่องประทัดขนาดเล็ก 1 กล่อง พร้อมไฟแช็กจากในกระเป๋าสะพายออกมา
ที่แท้สองสาวไปซื้อประทัดหลังแยกจากชัชวาล ด้วยความแค้นที่ถูกปานรุ้งฉีกหน้า นิสาจึงย้อนกลับมาเอาคืน
ลินินหยิบประทัดออกมา 1 ดอก แล้วจุดไฟ พอประทัดติดไฟ ลินินก็ปาเข้าไปในคอกม้า
เสียงประทัดดังปัง!
ม้าที่ปานรุ้งขี่อยู่ตกใจเสียงนั้น จนเกิดพยศร้องเสียงดังลั่น กระโจนยกสองขาหน้าขึ้น ทำให้ปานรุ้งตกใจ พยายามยึดบังเหียนม้าไว้
“อ๊าย”
นิสากับลินินมองอย่างพอใจ แล้วเดินออกไป
เกื้อวิ่งเข้ามาเห็นปานรุ้งกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ใจหายใจคว่ำ
“คุณหนู”
“เกื้อ! ช่วยฉันด้วย!”
เกื้อรีบกระโดดข้ามรั้วคอกม้าโดยไม่คิดชีวิต วิ่งไปช่วยจะดึงบังเหียนม้าเพื่อให้ม้าสงบ แต่ม้าหาสงบลงไม่ กระทั่งมีครูฝึกม้าคนหนึ่งเข้ามาช่วยทำให้ม้าสงบ
แต่ยิ่งม้าเห็นเกื้อมาดักข้างหน้า มันก็ยิ่งตกใจ ยกขาหน้าขึ้นจะเตะเกื้อ
ปานรุ้งตกใจ “เกื้อ! ระวัง”
เกื้อกระโจนหลบขาหน้าของม้าจนเซหงายหลังไปชนกับรั้วคอกอย่างแรง จนเจ็บจุก พยายามกัดฟันลุกขึ้นเพื่อจะช่วยปานรุ้ง แต่ยังไม่ทันลุกขึ้น
ชายอีกคนก็ขี่ม้าสีขาวสวยงามกระโดดข้ามรั้วคอกม้าตรงที่เกื้อนั่งทรุดอยู่ เพื่อเข้ามาช่วยปานรุ้ง ชายใจดีคนนั้นกระโดดลงจากม้า เข้าไปดึงบังเหียนม้าของปานรุ้งอย่างชำนาญ แล้วตบแก้มม้าเพื่อปลอบประโลม จนม้าสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปานรุ้งอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเสียงใครคนนั้นดังเข้าโสตประสาทของปานรุ้งว่า
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
นั่นจึงทำให้ปานรุ้งสะดุ้ง ได้สติ รีบหันไปพูดกับเขาว่า
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
เป็น วาสุเทพ ที่กำลังก้มหน้าลูบหัวม้าอยู่ เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ ปานรุ้งเห็นรอยยิ้มแสนงามของเขาแล้วถึงกับใจวาบหวิวในทันควัน

ปานรุ้งเดินยิ้มท่าทางขวยเขินมากับวาสุเทพ เกื้อเดินค้อมตัวนิดๆ เพราะยังจุกตามหลังสองคนมายังหน้าคอกม้า
“ขอบคุณคุณมากนะคะที่มาช่วย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ผมให้เจ้าหน้าที่ไปตามหาตัวคนที่จุดประทัดแล้ว ดีที่คุณขี่เจ้าสีหมอก ม้าตัวนี้ดีครับ ถ้าเปรียบเป็นคนก็เป็นแบบตกใจแล้วมีสติเร็ว ถ้าเป็นเจ้าสีนวล คุณคงอันตราย เจ้านั้นพยศแล้วคุมยาก”
ปานรุ้งมองวาสุเทพอย่างชื่นชม “คุณคงมาที่นี่บ่อยสินะคะ ถึงรู้ชื่อม้าแทบ ทุกตัว”
วาสุเทพยิ้มให้ “ครับ ถ้าผมว่าง ผมจะมาขี่ม้าที่นี่ประจำ ผมชอบขี่ม้าน่ะครับ แล้วคุณปานรุ้งชอบขี่ม้าไหม”
ปานรุ้งชะงัก มองจ้องวาสุเทพ “คุณรู้ชื่อฉันด้วยเหรอคะ”
วาสุเทพชะงักไปนิดหนึ่ง ในใจอยากบอกเหลือเกินว่า “เขารู้จักเธออย่างดีจากกติยา”
ปานรุ้งมองอาการวาสุเทพที่อึกอัก เลยตีความหมายไปว่า “คุณวาสุเทพอาจแอบสืบชื่อเธอ เพราะชอบเธอ เหมือนที่ผู้ชายคนอื่นทำ”
วาสุเทพอึกอักอยู่นั่นแล้ว “เอ่อ …”
ปานรุ้งยิ้มขัน คิดว่าวาสุเทพเขิน “แล้วคุณล่ะคะ ชื่ออะไร”
วาสุเทพจะอ้าปากบอก แต่มนตรีดันเดินเข้ามาขัดจังหวะ ชิงบอกเสียก่อน
“คุณวาสุเทพครับ ได้เวลานัดกับคุณหญิงแล้วครับ”
ปานรุ้งฟังมนตรีเรียกชื่อ “วาสุเทพ” แล้วหันมายิ้มให้วาเขา “อ๋อ..วาสุเทพ” พลางยื่นมือไปรอจับมือกับวาสุเทพ “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ My hero”
เกื้อแอบมองปานรุ้งกับวาสุเทพ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินยังไงยังงั้น
วาสุเทพเห็นปานรุ้งยิ้มให้ หัวใจของเขาหวามหวิวกับเสน่ห์ของเธอ แล้วพยายามตั้งสติ แล้วยื่นมือไปขอเช็คแฮนด์
วินาทีที่มือของปานรุ้งและวาสุเทพกอบกุมกระชับกันและกัน สองคนตระหนักชัดในใจว่าความรู้สึกมันมากกว่าการจับมือปกติทั่วไป ปานรุ้งมองวาสุเทพลึกล้ำ
อีกฝ่ายมองสบตาตอบนิ่งๆ จนได้สติ จึงคลายมือออกจากมือปานรุ้งอย่างสุภาพ
“พอดีผมมีนัดกับคุณแม่ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
วาสุเทพยิ้มให้ปานรุ้ง แล้วเดินไปหามนตรี
ปานรุ้งมองตามแล้วตะโกนไปว่า “หวังว่า เราจะได้เจอกันเร็วๆ นี้นะคะ”
วาสุเทพหยุดหันมายิ้มบางๆ ให้ ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงต้องได้เจอปานรุ้งแน่
“ครับ”
จากนั้นวาสุเทพเดินไปหามนตรีแล้วเดินออกไปเลย
ปานรุ้งมองตามด้วยสายตาปลาบปลื้ม เห็นได้ชัดว่าหล่อนชอบเขามาก

ถัดมาปานรุ้งเดินนำเกื้อมาอีกมุม สีหน้ายิ้มพริ้มเพราเหมือนอยู่ในภวังค์ เกื้อมองสายตาดังกล่าว แอบเจ็บเงียบๆ คนเดียว
“คุณหนูเจ็บตรงไหนไหมครับ”
ปานรุ้งหันมามองเกื้อ “อ้าว ลืมเลยว่าเกื้ออยู่ตรงนี้”
เกื้อหน้าจ๋อยลง แต่พยายามทำให้ปกติ
“คุณหนูไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
“เป็น” ปานรุ้งยิ้มกริ่ม ชี้ที่หัวใจตัวเอง “ฉันกำลังเป็นที่ตรงนี้”
เกื้อมองนิ่ง
น้อยเดินเข้ามาหาปานรุ้ง จากคนละทางกับวาสุเทพ
“คุณหนูคะ เมื่อกี้น้อยได้ยินคนพูดกันว่าม้าของคุณหนูพยศเหรอคะ คุณหนูเป็นอะไรรึเปล่า”
ปานรุ้งยังคงมองไปทางที่วาสุเทพเดินไป แล้วพูดกับน้อยและเกื้อด้วยเสียงเพ้อฝัน
“น้อย เกื้อ รู้จัก Love at first signt ไหม”
น้อยกับเกื้อมองหน้ากันงงๆ ว่าหมายถึงอะไร ?
ส่วนปานรุ้งยังมองไปทางที่วาสุเทพพาหัวใจเธอติดตามไป พร้อมยิ้มปลาบปลื้ม ชื่นชม

วาสุเทพกำลังเดินไปยังรถพร้อมกับมนตรี โดยในห้วงคำนึงนั้นวาสุเทพยังคิดถึงรอยยิ้มพิมพ์ใจของปานรุ้ง และรอยสัมผัสขณะจับมือเช็คแฮนด์กัน วาสุเทพต้องออกจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากอีกด้านหนึ่ง
“พี่เทพคะ”
วาสุเทพชะงักหันไปมองตามเสียง เห็นกติยาเดินยิ้มเข้ามาหาเขาอย่างคนมักคุ้น
“เอ้า…ยามาที่นี่ได้ยังไง”
“พอดียาติดรถเพื่อนมาน่ะค่ะ กะว่าจะไปทานข้าวกับคุณป้าพร้อมกับพี่เทพ”
“อ๋อ งั้นไปสิจ๊ะ”
กติยายิ้มให้ แล้วเอื้อมมือไปจับจูงมือวาสุเทพเดินไปขึ้นรถด้วยกัน
อา...ที่แท้กติยากับวาสุเทพเป็นคู่รักคู่หมั้นกัน!

ขณะเดินมาด้วยกัน กติยาพบความผิดปกติ เธอยกมือวาสุเทพขึ้นมาดู
“แหวนหมั้นล่ะคะพี่เทพ”
“อ๋อ...พี่ถอดไว้ในรถ ยาก็รู้ว่าเวลาพี่ขี่ม้า พี่จะไม่ชอบใส่แหวน”
“จริงด้วย งั้นไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณแม่พี่เทพจะรอ”
กติยายิ้มจูงมือคู่หมั้นไปยังรถ

วาสุเทพเดินตามแต่ไม่วายเหลียวมองไปทางที่ปานรุ้งอยู่ สีหน้ากังวลชัดแจ้ง

อ่านต่อหน้า 3

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 1 (ต่อ)

บ่ายวันนั้น มิสเตอร์เจสันยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง พร้อมฟังนพพรกับศุภกิจรายงานเรื่องของปานรุ้ง

“ผมว่าถ้าบอสจะใช้ลูกสาวคุณคมขวัญเป็นเครื่องมือฮุบสมุทรเทวา บอสคงเข้าใกล้ได้ไม่ยาก” นพพรว่า
ศุภกิจแย้งเสริม “แต่ฉันว่าก็ไม่แน่นะ ดูท่าทางวางตัวหยิ่งผยองกว่าแม่ซะอีก”
“เรื่องนั้น เราไม่จำเป็นต้องคิด เพราะบางทีฉันอาจไม่ต้องทำอะไร แม่เขาอาจจะดันลูกสาวมาให้ฉันเองก็ได้”
มิสเตอร์เจสันนั่งลง แล้วหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“โจรเย้ยตำรวจ ปล้นสมุทรเทวา ซ้ำรอบสองในหนึ่งเดือน”
นพพรกับศุภกิจมองหน้ากันงงๆ สงสัยว่ามิสเตอร์เจสันคิดอะไร

ฝ่ายคุณหญิงสุดใจถือหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันเดินออกมาหาท่านนายพลภัทร ผู้เป็นสามีที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
“สมุทรเทวาโดนปล้นเป็นข่าวคึกโครมแบบนี้ คุณพี่บอกไม่รู้เรื่องได้ ยังไงคะ นี่น้องมีสามีเป็นถึงพลเรือเอกเชียวนะ”
“ก็พี่เกษียณแล้ว วันๆ พี่ก็อยู่กับต้นไม้ใบหญ้า ถ้าคุณหญิงจะถามเรื่อง การบ้านการเมือง ไปถามเรือโทวาสุเทพแล้วกัน”
ระหว่างนี้วาสุเทพขับรถเข้ามาจอดหน้าตึก
สุดใจมองไปที่รถ “นั่นไง ...มาพอดี”
วาสุเทพเปิดประตูรถให้กติยาลงจากรถ สองคนเดินมาหา
สุดใจดีใจที่เห็นกติยามาด้วย “หนูยา ไม่มาหาป้าตั้งนาน รู้ไหมว่าป้าคิดถึง” คุณหญิงสวมกอดกติยา “แล้วดรุณี คุณแม่หนูยาเป็นยังไงบ้าง”
“คุณแม่สบายดีค่ะ” หญิงสาวยื่นถุงใส่กล่องมะยมเชื่อมให้คุณหญิงสุดใจ “คุณแม่ฝากมะยมเชื่อมมาให้ค่ะ”
สุดใจรับถุงใส่กล่องมะยมเชื่อมมาอย่างดีใจ “ต๊าย ป้าเพิ่งบ่นหยกๆ ว่าอยากกิน ดรุณีก็ทำมาให้ สมกับที่เป็นเพื่อนรักกันมา 20 กว่าปี รู้ใจไปหมด คิดไม่ผิดที่ขอลูกสาวเขามาเป็นว่าที่สะใภ้”
นายพลภัทรแกล้งแซว “เอ้า พูดเรื่องมะยมอยู่ ทำไมไปเข้าเรื่องนั้นได้ล่ะคุณหญิง”
คุณหญิงสุดใจหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดกับกติยา ”แล้วหนูยาหายไปไหนมา ตั้งหลายวันน่ะลูก”
“พอดีอีกสองวัน ยาต้องไปสัมนาที่หัวหิน เลยต้องเตรียมแผนงานน่ะค่ะ”
คุณหญิงยิ้มเอื้อเอ็นดู “ไปหัวหินเหรอจ๊ะ งั้นให้ตาเทพพาไปสิ ตาเทพเองก็เอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยได้เที่ยวนานแล้ว จะได้ไปช่วยดูแล”
กติยาออกอาการเกรงใจ “ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า พอดียาว่าจะชวนเพื่อนไปด้วย เขาเพิ่งกลับจากเมืองนอก คงอยากไปเที่ยวทะเล” เธอหันไปทางวาสุเทพ “ปานรุ้งไงคะ คนที่ยาเล่าให้พี่เทพฟังบ่อยๆ”
วาสุเทพพยักหน้ารับรู้ แววตาดูอ่อนโยนลง รู้สึกใจเต้นโครมครามเมื่อได้ยินชื่อ ปานรุ้ง ต่างจากสุดใจที่พอได้ยินชื่อปานรุ้ง ก็ไม่ค่อยชอบใจนัก
“หนูยาจ๊ะ ถ้าแม่พูดอะไรสักอย่าง อย่าโกรธแม่นะ”
กติยามองสุดใจอย่างสงสัย “มีอะไรเหรอคะคุณป้า”
“ป้าว่า หนูเลิกคบกับผู้หญิงที่ชื่อปานรุ้งเถอะ”
กติยา วาสุเทพ นายพลภัทรมองคุณหญิงสุดใจอย่างคาดไม่ถึง

ท่านนายพลเดินนำเข้ามาในโถงบ้าน คุณหญิงจูงมือกติยาพร้อมพูดคุยเรื่องปานรุ้ง มีวาสุเทพเดินตามหลังมาด้วยสีหน้านิ่ง ตั้งใจฟังที่คุณหญิงมารดาคุย
“เมื่อวานป้าไปเจอคุณรัศมี เพื่อนของป้าที่สมาคม ลูกสาวคุณรัศมีเพิ่งกลับจากอเมริกาเพื่อถอนหมั้น เพราะผู้ชายดันไปควงกับผู้หญิงใหม่ ที่ชื่อปานรุ้ง”
วาสุเทพปรามมารดา “คุณแม่ครับ”
“อย่ามาทำเสียงอย่างนั้นกับแม่นะ แม่พูดเรื่องจริง” คุณหญิงหันไปพูดกับกติยาต่อ “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป้าได้ยินชื่อเสียๆ ของเพื่อนหนู ไม่ว่าใครๆ ก็พูดว่าเพื่อนหนูมีชื่อเสียงเลื่องลือมากในนิวยอร์ค เรื่องควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้า ไม่ว่าไทย จีน ฝรั่ง”
“ข่าวลือ จะไปเชื่ออะไรได้” ท่านนายพลท้วง
“ถ้าไม่มีไฟ จะมีควันได้ยังไงคะคุณพี่ นี่เขาพูดถึงขนาดมารยาของผู้หญิงร้อยคน ยังสู้มารยาของปานรุ้งคนเดียวไม่ได้เลย และที่สำคัญ ถ้าผู้หญิงคนนั้นถูกใจใคร ต่อให้มีแฟนแล้ว เจ้าหล่อนก็ไม่แคร์” คุณหญิงจับมือกติยาเตือนอย่างเอ็นดู “ป้ารักเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาว ไม่อยากให้หนูต้องเสีย” พลางปรายตามองวาสุเทพค้อนนิดหนึ่ง บอกให้รู้ว่าแอบระแวง กลัวปานรุ้งจะยุ่งกับ ลูกชาย แต่เฉไฉไปเป็น “เสียชื่อไปด้วย เชื่อป้านะ ถ้าห่างจากเพื่อนคนนั้นได้ ห่างซะ”
กติยาได้แต่ยิ้มแหยๆ รับฟังด้วยความอึดอัด วาสุเทพมองคุณหญิงสุดใจที่พูดถึงปานรุ้งอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

ถัดมาวาสุเทพกับกติยาเดินเล่นด้วยกันอยู่ในสวนสวยหน้าตึกใหญ่
“พี่ขอโทษแทนคุณแม่ด้วยนะยา ที่ท่านพูดแบบนั้นกับเพื่อนของยา”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่เทพ”
“ตอนที่พี่ไปเรียนกฎหมายที่เมืองนอก ก็เห็นเขาจับกลุ่มนินทากันประจำ เรื่องเท่ามดแต่ขยายเท่าช้าง ฟังไปก็จริงบ้าง หรือบางครั้งก็หาความจริง ไม่ได้เลย อย่างเรื่องคุณปานรุ้ง พี่ว่าเขามีชาติตระกูล คงไม่มีทางทำตัว อย่างนั้น”
กติยามองยิ้มๆ เข้าใจว่าที่วาสุเทพพูดปกป้องปานรุ้งเพื่อให้ตัวเองสบายใจ
“ขอบคุณพี่เทพมากนะคะ ที่พูดปกป้องรุ้งเพื่อให้ยาสบายใจ”
วาสุเทพชะงัก รู้สึกตัวว่าออกอาการปกป้องปานรุ้งมาก ได้แต่ยิ้มเออออกับความคิดของกติยา
“พี่แค่พูดอย่างเป็นธรรม เราไม่เห็นกับตา ก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินเขา”
“พี่เทพไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยาเป็นรูมเมทกับรุ้งตั้งแต่ ป.5 โตด้วยกันมา จนกระทั่ง ม.3 รุ้งไปเรียนต่อ เราถึงแยกกัน รุ้งเป็นคนสวย ฉลาด มั่นใจ กล้าแสดงออก ต่างจากคนอื่นที่ขี้อาย ไม่กล้า เชยๆ เช่นยาเป็นต้น ก็ไม่แปลกที่ผู้ชายจะมาชอบเขา เพราะฉะนั้น รุ้งไม่จำเป็นต้องใช้ มารยาอย่างที่เขาลือกันเลย และที่ยิ่งสำคัญไปกว่านั้น ยารู้ว่าเพื่อน ของยาเป็นคนดี เขาไม่มีวันคิดแย่งคนรักของใครหรอกค่ะ”

กติยาไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์

ฝ่ายปานรุ้งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดขี่ม้าเป็นชุดสวยเรียบร้อยแล้ว เวลานี้กำลังเดินไปที่รถ โดยมีน้อยและเกื้อเดินตาม

น้อยมีสีหน้าครุ่นคิด “นี่น้อยยังสงสัยอยู่เลย ว่าไอ้เสียงประทัดเมื่อกี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไง
ปานรุ้งนิ่งรู้อยู่แก่ใจว่าใครทำ ขบคิดบางอย่างแล้วยิ้มๆ ขณะหันมาทางเกื้อ
“เกื้อ...เดี๋ยวพาฉันไปโรงพยาบาลต่อนะ”
เกื้อแปลกใจ “โรงพยาบาล” แล้วนึกห่วงปานรุ้ง .”คุณหนูเจ็บจากเมื่อกี้เหรอครับ เจ็บมากรึเปล่า แล้ว...”
ปานรุ้งยกมือให้เกื้อหยุดถาม “ฉันไม่ได้เจ็บ”
เกื้องง “อ้าว คุณหนูไม่เจ็บ แล้วไปโรงพยาบาลทำไมครับ”
ปานรุ้งยิ้มเจ้าเล่ห์แทนคำตอบ

ที่โถงโรงพยาบาลแห่งนั้น มีญาติๆ นั่งคุยกับคนไข้อยู่พอประมาณ
ปานรุ้งเข้าเฝือกตรงข้อมือเสร็จ เดินนำน้อยกับเกื้อจะไปที่รถ หมายจงใจแสดงให้คนทั้งโลกรู้ว่า “ฉันเจ็บ เพราะฉันโดนนิสาทำร้าย”
ปานรุ้งโชว์เฝือกให้เกื้อกับน้อยดู “น้อย...เกื้อ ฉันดูเป็นคนเจ็บรึยัง”
น้อยมองนายสาวด้วยสีหน้าสงสัย “น้อยไม่เข้าใจเลยค่ะคุณหนู คุณหมอบอกว่าคุณหนูไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมคุณหนูยังให้คุณหมอเข้าเฝือกล่ะคะ”
ปานรุ้งมองเฝือกแล้วยิ้ม นึกสนุกกับความคิดของตัวเอง
“ก็เพราะฉันรู้ว่า เสียงประทัดที่คอกม้า มันไม่ใช่อุบัติ แต่มันมีคนอยากทำฉันเจ็บ ฉันก็เลยเจ็บให้ไง”
เกื้ออดถามไม่ได้ “หมายความว่าคุณหนูเห็นว่ามีคนจงใจจุดประทัดใช่ไหมครับ”
น้อยคิดตาม “ต้องเป็นผู้หญิงสองคนนั้นที่มีเรื่องกับคุณหนูแน่ๆ เลย ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณหนูไม่ไปจัดการสองคนนั้นเลยล่ะค่ะ”
“ฉันก็กำลังจัดการอยู่นี่ไงน้อย” ปานรุ้งยิ้มบางๆ ขณะหันไปทางเกื้อ “ไปเกื้อ พาฉันไปบ้านชัชวาล”
พูดจบก็เดินเชิดหน้าไปที่รถทันที
เกื้อกับน้อยมองตามด้วยความสงสัยว่าปานรุ้งไปบ้านชัชวาลทำไม?

เย็นแล้วขณะชัชวาลเดินออกจากบ้านด้วยอารมณ์เกี้ยวกราดฉุนเฉียว โดยมีคุณบรรจง ผู้เป็นมารดาเดินตามออกมา กิริยาคล้ายทุ่มเถียงกันมาสักระยะแล้ว
“หยุดนะชัชวาล”
“ผมไม่หยุด นิสาทำอย่างนั้น เท่ากับไม่ไว้หน้าผม คุณรุ้งเป็นเพื่อนของผม ผมจะไปขอโทษเขา”
ชัชวาลจะเดินไปขึ้นรถ พอดีกับที่รถของปานรุ้งแล่นมาจอดท้ายรถเขา ชัชวาลชะงักมองรถปานรุ้งสีหน้างวยงง
เกื้อลงจากรถมองชัชวาลด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก แต่พยายามเก็บอาการนั้นไว้ เดินไปเปิดประตูให้คุณหนู
ปานรุ้งก้าวลงจากรถด้วยท่าทางประหม่า กล้าๆ กลัวๆ ไม่มีความกล้าหรือมั่นใจอย่างที่เคยเป็น
“ชัชวาลคะ”
“คุณรุ้ง” ชัชวาลประหลาดใจ
“ฉันจะมาขอโทษน่ะค่ะที่ทำให้คุณกับคู่หมั้นคุณเข้าใจผิดฉัน”
ปานรุ้งจงใจยกมือข้างที่เข้าเฝือกขึ้นมาพนมมือไหว้ขอโทษ จงใจให้ชัชวาลเห็นว่า “ฉันเจ็บ ฉันโดนทำร้าย”
“ขอโทษนะคะ”
ชัชวาลสังเกตเห็นมือปานรุ้งที่เข้าเฝือก “นั่นมือคุณรุ้งโดนอะไรครับ”
ปานรุ้งแกล้งทำเป็นตกใจ แล้วรีบก้มหน้าเหมือนไม่อยากบอก
เกื้อกับน้อยมองปานรุ้งด้วยสีหน้าฉงนฉงาย

สองคนคุยกันอยู่ในสนามหญ้าของสวนสวย ชัชวาลมองหน้าปานรุ้งอย่างตกใจ
“นิสาจุดประทัดใส่ม้าคุณรุ้งเหรอครับ”
ปานรุ้งยิ้มอย่างเข้าใจ “รุ้งไม่โกรธคุณนิสาหรอกนะคะ รุ้งเข้าใจว่า ผู้หญิงเวลารักใครมากๆ ก็หวงมากจนเผลอทำอะไรไม่ทันคิดอย่างนี้”
“แต่นิสาทำเกินไป” ชัชวาลโกรธมากมองเฝือกที่มือของปานรุ้งยิ่งโมโห “เขาทำคุณรุ้ง ต้องเจ็บ”
ปานรุ้งรีบพูดออกตัวคล้ายปกป้องนิสา “รุ้งบอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไร ถ้าจะผิด ก็ผิดที่รุ้ง
ที่ไปยุ่งกับคนมีเจ้าของแล้ว ต่อไปรุ้งคงต้องระวังมากกว่านี้” ปานรุ้งปรายตามองชัชวาลแวบหนึ่ง แล้วหันไปมองทางอื่น เหมือนพูดเปรยกับลมแล้งตรงหน้า “ว่าถ้าจะรู้สึกดีกับใครต้อง Proof ก่อน ว่าเขาโสดรึเปล่า”
ชัชวาลได้ยินคำพูดที่ว่า “รู้สึกดี” ก็ยิ้มดีใจ
“รู้สึกดี คุณรุ้งรู้สึกดีกับผมเหรอครับ”
ปานรุ้งรีบเอามือปิดปากเหมือนตกใจว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป
”เอ่อ เรื่องมันผ่านไปแล้ว รุ้งลืมความรู้สึกทุกอย่างไปแล้วล่ะค่ะ รุ้งขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ปานรุ้งหันตัวจะเดินออกไป ชัชวาลรีบจับมือเธอรั้งตัวไว้
“แล้วถ้าผมไม่มีเจ้าของ ความรู้สึกที่คุณรุ้งบอกว่าลืม มันจะคืนกลับมาไหมครับ”
ปานรุ้งปรายตามองชัชวาล ลอบยิ้มในสีหน้า
ระหว่างนี้ เกื้อกับน้อยยืนมองปานรุ้งกับชัชวาลอยู่ที่มุมหนึ่งของสนามหญ้า

เกื้อมองชัชวาลที่จับมือปานรุ้งอย่างไม่ชอบใจนัก

กว่าจะถึงบ้านสมุทรเทวาก็มืดค่ำแล้ว รถของปานรุ้งจอดที่หน้าตึกใหญ่ เกื้อกับน้อยลงจากรถ เกื้อนั้นยังมีสีหน้าเครียดเคร่งเหมือนคิดอะไรในใจ ขณะเปิดประตูรถให้คุณหนู

ปานรุ้งยิ้มร่าลงจากรถ “น้อย ฉันหิวจัง ไปสั่งในครัวทำสลัดผักให้ฉันหน่อยสิ”
“ได้ค่ะคุณหนู”
น้อยเดินเข้าบ้านไปแล้ว ปานรุ้งขยับจะเดินเข้าบ้าน เกื้อมองเจ้านายสาวท่าทีลังเล แต่สุดท้ายตัดสินใจพูด
“ผมว่าคุณหนูไม่น่าโกหกแบบนั้นเลยนะครับ”
ปานรุ้งชะงัก หันมามอง “เธอกำลังต่อว่าฉันเหรอ เกื้อ”
เกื้อรีบพูด “ผมไม่กล้าครับ เพียงแต่ผมคิดว่าผู้หญิงสองคนนั้นทำผิดที่แกล้งคุณหนู คุณหนูบอกเจ้าหน้าที่ที่โปโลเอาผิดก็ได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหนูต้องใช้วิธีนี้”
ปานรุ้งมองเกื้อแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยันจากความรู้สึกจริงๆ ในใจ
“ก็เพราะคนพวกนั้นแหละ ที่ทำให้ฉันต้องทำแบบนี้ เธอเห็นสายตา คนที่โปโลมองฉันไหม ทั้งๆ ที่ไม่มีใครถามฉันสักคนว่าเรื่องเป็นยังไง ทุกคนก็ตัดสินแล้วว่าฉันผิด เพราะอะไร เพราะฉันดูเป็นผู้หญิงแรง มั่นใจ ก๋ากั๋น ทุกคนเลยเชื่อว่าฉันต้องแย่งผู้ชายแน่ๆใช่ไหม”
เกื้อรู้ว่าสิ่งที่ปานรุ้งพูดนั่นจริง แต่อยากปลอบใจ “คุณหนู”
ปานรุ้งแกล้งตัดพ้อประชดประชัน “แล้วนี่เธอก็คงคิดแบบนั้น ถึงมาพูดกับฉันแบบนี้”
เกื้อรีบอธิบาย “เปล่านะครับ ที่ผมพูดเพราะผมห่วง...” หนุ่มคนขับรถชะงักที่ตัวเองพูด
คำว่า ห่วง ออกไปจากปาก
ปานรุ้งมองอาการเก้อเขินของเกื้อแล้วขำๆ เหมือนมองดูเด็กน้อยกระนั้น
“ขอบใจนะเกื้อ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก”
ปานรุ้งคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตัวเองขึ้นมา แล้วพูดด้วยเสียงเย้ยหยัน
“ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก ที่ฉันถูกตัดสินอย่างนี้ แล้วสิ่งเหล่านี้ก็สอนให้รู้ว่า โลกนี้ คนที่แข็งแรงถึงจะอยู่บนโลกนี้ได้ แต่คนแข็งแรงที่รู้จักทำตัวอ่อนแอซะบ้าง นอกจากอยู่บนโลกนี้ได้ ก็ยังมี ความสุขมากกว่า”
พอปานรุ้งคิดถึงสิ่งที่ชัชวาลจะทำต่อนิสา ก็คลี่ยิ้มระบายเต็มใบหน้าสวยอย่างสุขใจ

เช้านี้นิสาเดินคุยมากับลินินด้วยท่าทางเบิกบานมีความสุข
“ฉันถามคนในสปอร์ตคลับแล้ว ไม่มีใครเห็นมันมาขี่ม้าอีกเลย”
“โอ๊ย โดนเธอทำอย่างนั้น เป็นฉันก็ไม่กล้ามาแล้วล่ะ”
นิสากับลินินหัวเราะสะใจกับสิ่งที่ตัวเองเอาคืนกับปานรุ้ง ชัชวาลเดินเข้ามาหานิสา
“นิสา”
นิสาหันมามองชัชวาลอย่างคาดไม่ถึงว่าจะเจอ “อ้าวชัช”
ชัชวาลมองนิสานิ่งไปชั่วครู่ แล้วตัดสินใจพูดขึ้นว่า
“ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ”
นิสามองชัชวาล เห็นหน้าตาจริงจังของเขาแล้วนึกระแวง
“เรื่องอะไรคะ”

คมขวัญตบลงบนโต๊ะทำงานอย่างแรงดังปัง ลูกค้าชาวจีน 3 คน ที่นั่งร่วมคุยกับคมขวัญต่างตกใจ ปริญญายืนด้านหลังคมขวัญเองก็มีสีหน้าเครียด
“หมายความว่ายังไงคะเสี่ยเพ้ง ที่บอกว่าเรือสินค้าที่โดนปล้นเป็นความผิดของสมุทรเทวา”
เสี่ยเพ้งกลัวอำนาจคมขวัญไม่น้อย แต่ทำใจดีสู้แม่เสือ
“อั๊วก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ หนึ่งเดือนมานี่ เรือขนสินค้าอื่นไม่เห็นจะโดนปล้น มีแต่เรือของ สมุทรเทวาที่โดนปล้น”
คมขวัญประชด “พูดแบบนี้ จะบอกว่าเราจ้างโจรมาดักปล้นเรือตัวเองรึไงคะ”
“แหม อั๊วก็ไม่ได้พูดอย่างนั้น เอาเป็นว่าอั๊วไม่ขอต่อสัญญาขนส่งสินค้ากับสมุทรเทวาต่อแล้วกัน” เสี่ยเพ้งตัดบท
ปริญญาเอ่ยขึ้น “ทำไมล่ะครับ เรื่องค่าเสียหายของสินค้าที่โดนปล้น ทางเราก็ชดใช้ให้ อีกอย่าง เราทำธุรกิจกันมาตั้งเกือบ 10 ปี ทำไมเสี่ยถึงจะเลิกต่อสัญญาล่ะครับ”
เสี่ยเพ้งมองพ่อค้าจีนด้วยกัน เหมือนมีเรื่องบางอย่างในใจ แต่ไม่บอกคมขวัญ
คมขวัญมองจับอาการของเสี่ยเพ้งและลูกค้าเหล่านั้นนิ่ง

ไม่นานถัดมา ภายในห้องประชุม บริษัท JS ทรานสปอร์ต
มิสเตอร์เจสันกำลังจับมือกับเสี่ยเพ้ง โดยมีนพพร ศุภกิจ และบรรดาพ่อค้าจีน 3 คน ยืนปรบมือแสดงความยินดีอยู่ข้างๆ
“ผมขอขอบคุณที่เสี่ยไว้ใจเซ็นสัญญาขนส่งสินค้ากับบริษัทเราครับ”
“แหม…คุณเจสันไม่ต้องขอบคุณหรอก พวกอั๊วสิต้องขอบคุณที่คุณเจสัน เสนอข้อเสนอดีๆ มาให้”
ลูกค้าจีน 1 เอ่ยขึ้นว่า “ใช่ ..ทั้งลดค่าขนส่ง”
ลูกค้าจีน 2 บอก “ทั้งลดค่าแรง”
นพพรพูดเอาใจ “ต่างจากสมุทรเทวาที่คิดทุกอย่างเต็มร้อย”
มิสเตอร์เจสันทำเป็นกระแอมปราม “อย่าพูดอย่างนั้นสินพพร แค่เราไปแย่งลูกค้าของสมุทรเทวามา ก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่พออยู่แล้วนะ”
เสี่ยเพ้งรีบพูด “แย่งเยิ่งอะไรคุณเจสัน เราเต็มใจมากันเองนี่อาทิตย์หน้าอั๊วมีประชุมกับกลุ่มพ่อค้าข้าว อั๊วจะบอกให้พวกอีมาจ้างเรือที่นี่”
มิสเตอร์เจสันทักท้วง “จะดีเหรอครับเสี่ยเพ้ง”
“ดีสิ ก็สมุทรเทวาไม่รู้จักพัฒนาหาข้อเสนออะไรใหม่ๆ เอง อย่าว่าแต่พวกอั๊วเลยที่หนี เดี๋ยวลูกค้าอื่นก็ต้องมาหาคุณเจสัน”

มิสเตอร์เจสันยิ้มลึกล้ำ ส่วนนพพรกับศุภกิจมองหน้ากันยิ้มชนิดไม่เก็บอาการ

หลังส่งแขกกลับหมดแล้ว นพพรเปิดประตูห้องทำงานให้มิสเตอร์เจสันเดินเข้าห้องมา มีศุภกิจตามหลัง

“เมื่อวานตอนที่บอสบอกว่าจะทำให้คุณคมขวัญสนับสนุนลูกสาวคบบอส ผมสองคนก็สงสัยว่ามันจะมีวิธีไหน”
นพพรพูดต่อจากศุภกิจทันที “จนตอนนี้เราสองคนถึงเข้าใจว่าบอสกำลังใช้วิธี”
“กำจัดอาหารของราชสีห์ให้หมด พอราชสีห์อดอยาก…”
นพพรพูดต่อว่า “ก็จะส่งลูกน้อยแลกกับอาหาร”
ศุภกิจพูดต่ออีก “หรือไม่ก็ยอมเสียอาณาจักรแทนลูก”
ผู้ช่วยแฝดหัวเราะ ส่วนเจ้านายยิ้มเจ้าเล่ห์
“เราก็แค่รอลุ้น ว่าระหว่างอาณาจักรกับลูกน้อย ราชสีห์จะเลือก ยื่นอะไรให้ฉัน”
มิสเตอร์เจสันลงนั่งหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะมาอ่าน เห็นหน้าหนึ่งพาดหัวข่าวหรา
“นายกฯลาออก!”

คมขวัญวางหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันลงบนโต๊ะทำงาน หน้าหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าว “นายกฯลาออก!” ภาพประกอบข่าว เป็นรูป พล.อ.เกรียงศักดิ์ นายกฯลาออกวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2523
“มันคิดว่าทำแบบนี้ จะบีบฉันได้เหรอ”
ปริญญาเดินมายืนตรงหน้าโต๊ะทำงานคมขวัญ
“แล้วคุณนายจะใช้วิธีไหนสู้ครับ หรือว่าเราจะลดราคาสู้กับมันดู”
“ฉันก็คิด แต่เธอก็เห็น” คมขวัญเครียดชี้ไปยังหนังสือพิมพ์ “ตอนนี้สถานการณ์การเมืองไม่นิ่ง นายกฯ เพิ่งประกาศลาออก ยังไม่รู้ใครจะขึ้นมาแทน แถมชื่อเสียงบริษัทเราตอนนี้ไม่ดี มีการปล้นถี่ขึ้น เราต้องใช้เงินใน บริษัทไปชดใช้ลูกค้าแทบจะไม่เหลือไว้หมุน เครดิตเราไม่ดีพอที่ใครจะ ให้กู้หรอก”
“แต่ถ้าเราได้รับแรงสนับสนุนจากคนที่มีชื่อเสียงและตำแหน่งหน้าที่ การงานใหญ่โต บริษัทเราก็อาจจะมีหวังนะครับคุณนาย”
คมขวัญมองปริญญาด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
“เธอหมายถึงใคร”

วาสุเทพกำลังลองสวมเสื้อสูทเพื่อตระเตรียมชุดเสื้อผ้า จะไปงานปาร์ตี้บ้านสมุทรเทวา วาสุเทพสวมแล้วส่องกระจกว่าตัวเองดูดีรึยัง ชายหนุ่มไม่มั่นใจนัก หันไปเปลี่ยนสูทอีกตัว แล้วมาส่องกระจกใหม่ แต่ยังไม่พอใจอีกจึงเปลี่ยนเป็นเสื้อสูทตัวอื่น
ระหว่างนี้คุณหญิงสุดใจเข้ามาในห้องนอน มองฉงนลูกชาย
“เอาเสื้อสูทออกมาทำไมเยอะแยะน่ะลูก”
“ผมเอามาลองว่าจะใส่ตัวไหนไปงานปาร์ตี้บ้านคุณปานรุ้ง”
คุณหญิงสุดมองอาการวาสุเทพที่ดูตื่นเต้นอย่างระแวง
“งานมันวันมะรืนไม่ใช่เหรอลูก ปกติเวลามีงาน ลูกมักไม่ค่อยไป และถ้าต้องไป ก็จะให้แม่เลือกซะมากกว่า ไม่เคยเห็นลูกตื่นเต้น เลือกชุดแบบนี้”
วาสุเทพชะงักนิดหนึ่ง คุณหญิงมองวาสุเทพนึกกังวลกับอาการที่ดูแปลกไปของลูก
“ลูกเคยเจอปานรุ้งแล้วใช่ไหม”
วาสุเทพรู้ว่าคุณหญิงสุดใจกำลังเริ่มระแวง จึงโกหกเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่อง
“ยังครับ ที่ผมเตรียมตัว เพราะเห็นยาบอกว่า คุณปานรุ้งชวนเพื่อนที่ เรียนเมืองนอกมาร่วมงานด้วย ผมเลยอยากแต่งตัวดีหน่อย ให้เป็นเกียรติกับยาเขาน่ะครับ”
คุณหญิงมองลูกชายแล้วนึกระแวงในใจ แต่พยายามยิ้มเชื่อที่ลูกพูด
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ดีจ้ะ” คุณหญิงสุดใจจัดปกเสื้อให้วาสุเทพ “งั้นตอนที่ไปงานเลี้ยง เทพก็ต้องจับมือหนูยาตลอดเวลานะ เพื่อเป็นการให้เกียรติประกาศว่าหนูยาเป็นคู่หมั้นของลูก ลูกมีเจ้าของแล้ว พวกแมลงหวี่ แมลงวัน มันจะได้ไม่หวังสูงมายุ่งกับลูก”
“คุณแม่ก็พูดเกินไป ผมไม่ได้เลิศเลออะไร ก็แค่ผู้ชายธรรมดา”
“ใครว่า ลูกของแม่น่ะเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะหน้าที่การงาน ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล ผู้หญิงคนไหนก็อยากได้ลูกทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่ทำตัวจับจด ไม่ทำงานทำการ ดีแต่แต่งตัวล่อผู้ชาย หวังจะจับผู้ชายดีๆมาควงเชิดหน้าชูตา ยิ่งได้ข่าวว่าธุรกิจที่บ้านมีปัญหา อาจจะยิ่งจ้องหาผู้ชายการงานดีๆ มาช่วยก็ได้”
วาสุเทพมั่นใจว่าสุดใจกำลังพูดถึงปานรุ้งแน่ๆ
“คุณแม่ อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ถ้ายาได้ยิน เขาคงไม่พอใจที่พูดถึงเพื่อนเขาอย่างนั้น”
“ไม่รู้ละ ที่แม่พูด เพราะหวังดี เทพมีเพชรน้ำหนึ่งอย่างหนูยาอยู่ในมือแล้ว ไม่ต้องไปสนใจพวกกากเพชร กากพลอย ถึงมันจะสวยยวนยั่วแต่มันก็แค่กากเพชรจำไว้นะลูก เพชรก็ต้องคู่กับเพชร ส่วนของกากๆ มันก็ต้องคู่กับของกากๆ”

คุณหญิงสุดใจแสดงความรู้สึกที่มีต่อ ปานรุ้ง สมุทรเทวา อย่างชัดเจนและชัดแจ้ง

อ่านต่อหน้า 4

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ภายในสนามม้าสายวันนี้คึกคักคลาคล่ำไปด้วยเซียนม้าขาพนัน จู่ๆ เกิดการชุลมุน เมื่อในกลุ่มคนเชียร์ม้าแข่ง มีผู้ชาย 2 คน กำลังชกต่อยกันอยู่

ยินเสียงคนเชียร์ตามจังหวะที่คนในวงต่อยกัน “เย้…เย้...เย้!”
สักครู่จึงเห็นหญิงวัยกลางคนวิ่งเข้ามาที่กลุ่มคนนั้น พยายามแทรกเข้าไปพร้อมร้องเรียกชื่อของผู้ชายที่กำลังชกต่อยอยู่อย่างเป็นเดือดเป็นแค้น
“ถอยไป ฉันจะเข้าไปหาลูกฉัน ใครต่อยลูกฉัน ชูนาม”
ชายคนหนึ่งถูกถีบร่างทะลุกลุ่มคนออกมานอนกลิ้งโค่โล่ที่ข้างบาทาผู้พูดพอดิบพอดี
มันคือ ไอ้เล็ก ในสภาพหน้าตายับเยิน สะบักสะบอม เลือดกบปาก ร้อยกรอง ก้มหน้าดูจนแน่ใจ
“แกไม่ใช่ลูกฉัน ออกไป”
ร้อยกรองเตะเล็กออกไปพ้นทางตีน พลางชะเง้อมองหาลูกชายอย่างห่วงใย
“ชูนาม”
เสียงแหบๆ ดังมาจากกลุ่มคนนั้น “หนูไม่เป็นอะไรหรอกน่าแม่”

ก่อนจะเห็น ชูนาม ชายหน้าตาหล่อพอประมาณเดินแหวกกลุ่มไทยมุงออกมาชี้หน้าไอ้เล็กอย่างเดือดดาล “กูบอกแล้วไง ว่าให้มึงวิ่งไปแทงเบอร์ 14 แต่มึงดันไป แทงเบอร์ 30”
ชายชื่อเล็กหงอ แต่ขอเถียง “พี่ชูนามเป็นคนพูดเองว่าให้ผมไปแทงเบอร์ 30”
ชูนามจะเตะซ้ำ “มึงยังจะเถียงอีก”
ร้อยกรองรีบห้าม “พอแล้วลูก ลูกก็รู้ว่าไอ้เล็กมันไม่ประสีประสา จะชวนมันมาด้วยทำไม”
ชูนามชี้หน้าไอ้เล็ก “หนูเห็นมันอยู่บ้านเฝ้าโรงสีพ่อมันไปวันๆ อยากจีบสาว สาวก็ไม่มอง เลยจะสอนให้กร้านโลกจะได้ดูเท่ห์ๆ แต่มึงกลับทำกูเสียม้า ไม่รู้เว้ย หนี้วันนี้ มึงแทงเอง มึงก็จ่ายเองแล้วกัน”
ชูนามเดินออกไปทันที ร้อยกรองรีบตามไป

ชูนามเดินจนแทบจะเป็นวิ่ง ร้อยกรองหอบสังขารตามบุตรชายมาในอาการเหนื่อยหอบ
“ชูนาม รอแม่ด้วย”
ชูนามหันไปมองมารดา เร่งอย่างร้อนใจ “รีบไปเร็วๆ สิแม่ ก่อนที่ไอ้เล็กมันจะหาพยานได้ ว่าหนูบอกให้มันไปแทงม้าเบอร์ 30 จริง”
ร้อยกรองชะงัก ”อ้าว ..ตกลงชูนามให้ไอ้เล็กไปแทงม้าที่แพ้จริงๆ เหรอ”
“ก็ใช่สิ อุตส่าห์หลอกลูกชายเจ้าของโรงสีมาเล่นม้าด้วยได้ นึกว่าจะหลอกเอาเงินมันแทงได้เงินสักแสน จะได้ไปไถ่รถออกจากบ่อนเฮียเล้ง ที่ไหนได้ เสียตั้งแต่ม้าตัวแรก”
“โธ่เอ้ย ถึงวันนี้ไม่ได้ วันหน้าก็อาจจะได้ นั่นมันบ่อเงินบ่อทองเลยนะลูก อย่างน้อยเก็บไว้ให้แม่ยืมเงินไปต่อทุนที่บ่อนเจ๊แดงก็ยังดี ไม่รู้ล่ะ ชูนามทำอะไรไม่ปรึกษาแม่ งั้นลูกต้องให้เงินแม่ไปต่อทุน”
“ต่อทุนอะไรแม่ คราวที่แล้วแม่เอาของหนูไปหลายพัน ยังไม่คืนเลย”
“ก็พักนี้แม่ดวงซวยนี่ ไม่รู้โดนไอ้อีตัวไหนมันลงยันต์ขัดโชคไว้ เอาอย่างนี้สิลูก ชูนามไปขอยืมหนูตะวัน แฟนเศรษฐีของลูกสิ ไหนลูกบอกแม่ว่ายายนั่นหลงลูกมาก ถ้าลูกบอกว่ากำลังเดือดร้อน ยายนั่นก็รีบเอาเงินช่วยลูกแน่”
ชูนามเซ็ง “ยายนั่นมันบอกเลิกกับหนูแล้ว”
“อ้าว ทำไมมันถึงเลิกกับลูกล่ะ นี่มันไม่รู้รึไงว่าชูนามเป็นลูกชายของ เถ้าแก่อรุณเจ้าของโรงงานอาหารกระป๋อง มีตึกให้เช่าแถวพาหุรัด เยอะแยะ แถมลูกยังเรียนกฏหมายจบจากเมืองนอกด้วย”
ชูนามพูดด้วยเสียงเยาะหยัน “หึ มันรู้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ รู้ว่าหนูเป็นแค่ลูกเมียน้อย เรียนก็ไม่จบ แถมมีแม่ติดการพนันจนพ่อตัดเราสองคนออกจากกองมรดก”
ร้อยกรองคุมแค้น “อะไรนะ ยายนั่นมันรู้ได้ยังไง”

พริบตานั้นเอง ร้อยกรองกำลังตบตีแม่ใหญ่ผู้ปากสว่างอยู่หน้าตึกละแวกพาหุรัด จนสมุดเก็บค่าเช่าตึกของแม่ใหญ่หล่นกระจาย แล้วร้อยกรองก็ตบแม่ใหญ่ล้มกลิ้งไปกับพื้น โครมคราม ร้อยกรองจะตามไปซ้ำ ชูนามรีบเข้ามาห้าม
“นังร้อยกรอง แกมาตบฉันทำไม คอยดูนะ ฉันจะฟ้องอาเฮียให้สั่งตำรวจมาลากคอแกเข้าคุก”
“ไปบอกอาเฮียเลยนังอ้วน เมื่อสิบปีก่อน แกเอาเรื่องฉันเข้าบ่อนไปฟ้องอาเฮีย จนอาเฮียไล่ฉันกับลูกออกจากบ้าน ฉันยังไม่จัดการการแกนี่ยังตามมาแกระรานชีวิตลูกฉันอีก ฉันไม่เอาแกไว้อีกแล้ว”
ร้อยกรองถลันจะเข้าไปตบ แม่ใหญ่รีบคลานหนีไปหลบใต้โต๊ะแผงร้านค้าแถวนั้น ร้อยกรองเข้าไปจับขาแม่ใหญ่จะลากออกมาตบ
“จะหนีทำไม แกชอบเชิดหน้าว่าเป็นเมียหลวงของอาเฮีย จะเหยียบย่ำใครก็ได้ไม่ใช่เหรอ ออกมาสู้สิวะ”
แม่ใหญ่ร้องลั่น “ใครก็ได้ เรียกตำรวจมาจับนังบ้านี่ที”
ร้อยกรองลากขาแม่ใหญ่ให้ออกมาจากใต้โต๊ะ แต่อีกฝ่ายกอดขาโต๊ะแน่นไม่ยอมปล่อย ชูนามยืนขำมองอย่างสะใจ
ตำรวจกำลังเดินเข้ามาดูเหตุการณ์ พร้อมกับเป่านกหวีดสั่งให้ร้อยกรองหยุดตบ
“ปรี๊ด....หยุดๆๆ”
“ตำรวจมา ไปเร็วแม่

ชูนามตกใจคว้ามือร้อยกรองพาวิ่งหนีโกยแนบออกไปโดยเร็ว

แม่ลูกผีพนันวิ่งหนีตำรวจมาตามตรอกซอกซอยของพาหุรัด ร้อยกรองนั้นสังขารร่วงโรย วิ่งต่อไม่ไหวจึงดึงมือให้ลูกชายหยุดริมถนนก่อน

“เดี๋ยวๆๆๆ” ร้อยกรองหายใจเหนื่อยหอบ แล้วตวาดชูนาม “ชูนามจะพาแม่วิ่งมา ทำไม แม่ยังจัดการมัน ปล่อยแม่ แม่จะกลับไปตบมัน เสียค่าปรับ ไม่กี่บาทหรอก”
“แล้วแม่จะเอาเงินที่ไหนเสียค่าปรับ ตอนนี้แค่เงินจะขึ้นรถเมล์ยังไม่มีเลย”
ร้อยกรองชะงักเพราะพูดถูกพูดถูก แล้วหงุดหงิดขึ้นมา “เจ็บใจจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมัน เราสองคนแม่ลูกคนไม่ต้องถูกพ่อของชูนามไล่ออกมาลำบากอย่างนี้หรอก นี่มันคงเห็นลูกกำลังจะได้ผู้หญิงดีๆ รวยๆ ต่างจากลูกชายมัน ที่อ้วนเป็นหมีควาย ไม่มีใครเอามันถึงตามมาขัดขวาง ไม่เป็นไร มีคุณหญิงคุณนายมาเล่นไพ่ในบ่อนเยอะ เดี๋ยวแม่สืบข่าวหาลูกสาวคนรวยให้ชูนามใหม่” ร้อยกรองจับหน้าลูกอย่างชื่นชม “ลูกชายแม่หล่อขนาดนี้ ใครๆ ก็อยากได้”
ชูนามเอามือแม่ออกด้วยความเซ็ง “โห้ย แม่ใหญ่เล่นป่าวประกาศ เรื่องของเราแม่ลูกอย่างนั้น ผู้หญิงที่ไหนจะเอาหนู”
“มันต้องมีผู้หญิงสักคนที่หลงลูกจนไม่แคร์ข่าวลือสิน่า”
จู่ๆ ปานรุ้งที่ยังใส่เฝือกที่ข้อมืออยู่ ก็เดินผ่านทางที่ชูนามกับร้อยกรองยืนขวางทางอยู่
“หลีกทางหน่อยค่ะ”
ชูนามหันไป แต่เป็นจังหวะที่ปานรุ้งเดินผ่านเขาพร้อมกับหันไปคุยกับน้อยจึงไม่ทันสนใจมองหน้าชูนาม
“ถือชุดฉันดีๆ หน่อยน้อย ชุดนั่นราคาหลายพันนะจ๊ะ”
ร้อยกรองได้ยินคำว่า “ราคาหลายพัน” ก็ตาโตขึ้นมาทันที เหลียวมองตามปานรุ้ง
“ฉันได้ชุดแล้ว ที่นี้ก็ไปโรงพยาบาลต่อ ฉันรำคาญไอ้เฝือกบ้า เต็มทน เอามันออกๆ ไป เสร็จก็ไปดูชิมอาหารที่โรงแรมโอเรียนเต็ลต่อ เห็นแม่บอกว่าอร่อย เลยสั่งมางานเลี้ยงคืนพรุ่งนี้ แต่ถ้าฉันไม่ถูกใจ ฉันก็จะยกเลิก แล้วหาโรงแรมอื่นแทน”
ชื่อ “โรงแรมโอเรียนเต็ล” กระแทกเข้าหน้าร้อยกรองจนตาโตขึ้นอีก
“แต่เห็นลุงกอบบอกว่าคุณนายจ่ายเงินแล้วนะคะ”
“ฉันไม่แคร์ เงินแค่ไม่กี่พัน ขนหน้าแข้งแม่ไม่ร่วงหรอก”
ปานรุ้งเดินคุยกับน้อยไปไกลแล้ว ชูนามมองตามปานรุ้งอย่างสนใจ แม้ไม่ทันเห็นหน้าชัดๆ
“ใครน่ะแม่”
ร้อยกรองมองตามอย่างตื่นเต้น “ถ้าอยากรู้ ก็ตามไปถามเขาสิลูก”
ร้อยกรองรีบดึงมือชูนามวิ่งตามปานรุ้งกับน้อยไป

แม่ลูกวิ่งตามมา ช่วยกันสอดสายตามองหาปานรุ้ง ชูนามมองรอบๆ ทุกจุดแต่ไม่เห็นปานรุ้งแล้ว
“ไปไหนแล้วล่ะ” ชูนามหงุดหงิด “ไปแล้วแน่ๆ เลย” หันมาพาลร้อยกรอง “เพราะแม่นั่นแหละวิ่งชักช้าอยู่ได้”
“เอ้า ไอ้ลูกคนนี้ คิดว่าแม่อยากช้าเหรอ แม่ก็อยากรู้จัก แม่หนูโอเรียลเต็นนั่นเหมือนกันนะ” ร้อยกรองมองหาอย่างเสียดาย “อีกนิดเดียวก็จะได้รู้จักแหละ เสียดายจริง”
ชูนามมองหาปานรุ้ง แล้วสายตาไปสะดุดกับแผงขายหนังสือพิมพ์ ชูนามคิดปราดเดียว
“เมื่อกี้เขาบอกว่าบอกว่าบ้านเขาจัดงานเลี้ยงใช่ไหมแม่ ถ้าเป็นลูกเศรษฐี มันก็ต้องมีข่าวลงบ้างล่ะ”

เย็นวันถัดมา แจ่มหัวหน้าแม่บ้าน นั่งไขว้ขาที่แคร่หน้าห้องครัวอย่างสบายใจเฉิบ ในขณะที่เด็กรับใช้คนอื่นวิ่งเข้า วิ่งออกในครัวเป็นที่วุ่นวายเพื่อช่วยกัน เตรียมของทำอาหารเลี้ยงแขกที่จะมางานเลี้ยงค่ำนี้
สักครู่แจ่มร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ว้าย คุณหนูของเราลงหนังสือพิมพ์ด้วยเว้ย”
กอบเดินเข้ามานั่งข้างแจ่ม “ไหนดูสิ”
แจ่มยื่นหนังสือพิมพ์ให้ดู “นี่ไงลุงกอบ”
“ข่าวคุณหนูน่ะ ข้าอ่านแล้ว แต่ที่ข้าจะดู ข้าอยากรู้ว่าใช่หนังสือพิมพ์ข้ารึเปล่า” กอบพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ดู “เออ ของข้าจริงๆ ด้วย นี่ไง ชื่อข้า” แล้วดึงหนังสือพิมพ์จากแจ่ม “เอาคืนมา ข้าจะเก็บไว้อ่านข่าวแต่งตั้ง นายกฯ คนใหม่”
กอบดึงหนังสือพิมพ์ไป แจ่มโวยวาย
“เฮ้ยลุง ฉันขอยืมก่อนสิ จะเอาไปให้คุณหนูดู เห็นนังน้อยบอกว่าวันก่อนคุณหนูให้น้ำหอมที่ซื้อจากเมืองนอกมา ฉันก็เผื่อฟลุคได้ของอะไรบ้าง”
ทันใดนั้น มีชามสังกะสีลอยละลิ่วมาจากในห้องครัวมาตกลงกลางโต๊ะดังเคล้ง ตรงหน้าแจ่มที่ยืนสั่งเด็กรับใช้อยู่
“ใครโยนชามมาวะ”
ปิ่นเดินออกจากในครัวมายืนเท้าเอวมองหน้ายายแจ่มอย่างเอาเรื่อง
“ข้าเอง เอาเวลาที่เอ็งจะไปสอพลอเจ้านายมาช่วยกันทำงานไหม ไหนเมื่อเช้าตอนคุณนายบอกว่าจะมีอาหารจากโรงแรม เอ็งเสนอหน้า อยากทำปั้นสิบนึ่งให้แขกด้วยไง ป่านนี้ยังไม่เห็นปั้นสิบสักตัว เห็นแต่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออ่านข่าวอยู่เนี่ย”
“แหม เรื่องแค่นี้ พูดกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องโยนชามมาอย่างนี้เลย” แจ่มบ่นพึมพำ “ถือว่าเป็นคนโปรดคุณนาย ทำมากร่างหาเรื่องกันเหรอ”
“แค่โยนชาม ยังไม่เรียกว่ากร่างหาเรื่องหรอกเว้ย” ปิ่นหันไปหยิบมีดปังตอ “มันต้องโยนปังตอ อยากลองไหม”
กอบเหนื่อยใจห้ามปิ่นปรามแจ่ม “ใจเย็นๆ นังแจ่มก็หยุดหาเรื่องสักที”
“หาเรื่องอะไร เมียลุงต่างหาก เข้าวัยทองหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว”
“นังนี่! พูดจาลามปาม เดี๋ยวตบคว่ำเลย” ปิ่นขยับจะเข้าไปจัดการแจ่ม
“อย่านะ ถ้าฉันเจ็บตัว ฉันทำปั้นสิบไม่ได้ ฉันจะฟ้องคุณนายว่า โดน 3 รุม 1”
แจ่มพูดจบก็รีบวิ่งจู๊ดเข้าครัวไป ยายปิ่นด่าตามหลัง
“ไปฟ้องเลย ตอนนี้มีเอ็งก็เหมือนไม่มี ข้าก็ทำปั้นสิบ แจกแขกคนเดียวอยู่แล้วเว้ย” ปิ่นถอนใจเฮือก แล้วหันมาบ่นกับผัว “ฉันไม่เข้าใจเลย ไหนๆ ก็สั่งอาหารโรงแรมแล้ว ทำไมถึงไม่จัดงาน ที่โรงแรม มาจัดที่บ้านให้วุ่นวายทำไม”
“ก็คุณหนูอยากอวดบ้านให้เพื่อนๆ เห็น”
“คนเกิดบนกองเงินกองทองเขาคิดง่ายดีเนอะ” ปิ่นทำหน้าเหนื่อยใจ พลางมองหาลูกชาย “แล้วนี่ไอ้เกื้อไปไหน ฉันไม่เห็นมันตั้งแต่บ่ายแล้ว”

เกื้อนุ่งผ้าขาวม้าเปลือยอกแกร่ง เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มบรรจงรีดกางเกงให้กลีบคมเนี้ยบ มองไปทางเสื้อเชิ้ตสีขาวเก่าแต่ยังดูดี และมีเนคไทลายเชยๆ พาดอยู่
เกื้อถือกางเกงที่เพิ่งรีดเสร็จไปทาบกับเสื้อเชิ้ต แล้วยิ้มอย่างวาดหวังว่าชุดนี้ คงทำให้ตัวเองดูหล่อ

แหละคงพอจะทำให้สาวเจ้าที่เขาแอบพึงใจเห็นแล้วชอบบ้าง

ปาร์ตี้ถูกจัดขึ้นที่สนามหญ้าบ้านสมุทรเทวา เป็นงานบุฟเฟ่ต์ปาร์ตี้ รอบบริเวณตกแต่งด้วยลูกโป่ง และดอกไม้สด สุดโปรดของปานรุ้ง ล้วนสวยงามหรูหรา แขกที่มางานแต่งชุดสูทเนี้ยบ และ ชุดราตรีหรูหรามาประชันกัน

ฉากบนเวทีตกแต่งด้วยดอกไม้ และมีป้ายเขียนว่า
“Welcome Home คุณปานรุ้ง สมุทรเทวา”
มีวงดนตรีบรรเลง และนักร้องสาวสวยกำลังร้องเพลงขับกล่อมคนที่มาร่วมงานอยู่
มุมหนึ่งของสนาม มีโต๊ะวางอาหารซึ่งสั่งมาจากโรงแรมห้าดาว และมีพนักงานจากโรงแรม มาคอยเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้บรรดาแขก
-ตัดรับเกื้อใส่เสื้อเชิ้ตผูกเนคไทสวมกางเกงที่รีดกลีบคมเนี้ยบเข้ามาในงาน โดยเกื้อคอยจับเสื้อเชิ้ต ให้ตึง ให้ดูดีที่สุด
พนักงานโรงแรมถือถาดเครื่องดื่มซึ่งมีน้ำแดง น้ำส้ม และไวน์แดงผ่านเกื้อ
จู่ๆ ชัชวาลวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนพร้อมกับมองหาปานรุ้ง จนไม่ทันเห็นพนักงานเสิร์ฟ จึงชนจังๆ ทำให้แก้วไวน์แดงหกรดใส่เสื้อเชิ้ตของเกื้อ
เกื้อตกใจรีบเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาเช็ดคราบไวน์แดง แต่เช็ดไม่ค่อยออก
“เอ่อ...” ชัชวาลจะขอโทษ แต่พอเห็นว่าเป็นเกื้อ “อ้าว คนขับรถคุณรุ้งนี่เอง”
เกื้อหันมาเห็นชัชวาล เกื้อสีหน้านิ่งเพราะไม่ชอบชัชวาลที่ทำให้ปานรุ้งเสียชื่อ
“คุณมาทำไมครับ”
“ถามได้ ฉันก็มาหาคุณรุ้งสิ คุณรุ้งอยู่ไหน”

ผู้เป็นเจ้าของงาน กำลังดัดขนตาอยู่ในห้องแต่งตัว พอเสร็จจึงทาลิปสติกสีแดงสด และเม้มปากเกลี่ยสีลิปสติกให้ทั่วริมฝีปากอิ่มสวย
ลำคอระหงของปานรุ้ง มีสร้อยเพชรแวววับประดับแล้ว ขณะฉีดพ่นน้ำหอมกลิ่นรัญจวนอันโปรดปราน
น้อยที่คอยดูแลมองปานรุ้งอย่างทึ่ง และชื่นชมในความสวย
“ว้าว! คุณหนูของน้อยสวยที่สุดในโลกเลยค่ะ”
“ก็วันนี้เป็นวันของฉัน อีกอย่าง เราก็ไม่รู้ว่าจะมีใครพิเศษมาร่วมงาน ด้วยรึเปล่า”

แขกเหรื่อที่ได้รับเชิญ ทยอยเข้างานไป มีชูนามที่กำลังโวยวายผลักอกแขกยามกระเด็น โดยมีร้อยกรองแต่งตัวสวยดูไฮโซ ยืนอยู่ข้างๆ
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเป็นเพื่อนคุณปานรุ้ง ทำไมฉันถึงจะเข้าไปใน งานไม่ได้”
“ก็คุณไม่มีบัตรเชิญ ผมให้คุณเข้าไปไม่ได้ นี่มันงานเลี้ยงส่วนตัว คุณนายสั่งไว้ว่าให้เฉพาะคนมีบัตรเชิญเท่านั้น”
ร้อยกรองย้ำ “ก็ฉันบอกแล้วไงว่าลืมเอาบัตรเชิญมา”
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็บอกชื่อผมมาสิ ผมจะได้ไปถามคุณหนู ว่าคุณเป็นเพื่อนคุณหนูจริงรึเปล่า”
ชูนามยัวะเข้าไปผลักอกยามอย่างฉุนเฉียว “พูดแบบนี้ มันดูถูกกันนี่หว่า หาว่าฉันโกหกเหรอวะ”
รถวาสุเทพแล่นเข้ามาจอดรอหน้ารั้วบ้าน วาสุเทพลดกระจกลงมองชูนามกับยาม ขณะที่กติยาลงจากรถมาถามยาม
“เกิดอะไรขึ้นน่ะยาม”
ร้อยกรองมองกติยาและมองวาสุเทพที่จ้องเขม็ง ร้อยกรองกระซิบชูนาม
ร้อยกรองกระซิบลูกชาย “แม่ว่าเรากลับกันก่อนเถอะ ใครต่อใครเริ่มมายุ่งกันใหญ่แล้ว เดี๋ยวจะรู้ว่าเราแอบแฝงมาจริงๆ”
ชูนามเห็นด้วย จึงพูดเสียงดังทำทีโมโหใส่ “เอ้อ ไม่เข้าก็ได้” พร้อมกับชี้หน้ายาม “วันนี้แกไล่ฉัน ต่อไป แกต้องก้มหัวเชิญฉันเข้าบ้านคอยดู”
ขณะชูนามเดินออกไป ปรายตามองวาสุเทพที่นั่งอยู่ในรถคันหรูอย่างหมั่นไส้

วาสุเทพมองชูนามอย่างแปลกใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

วาสุเทพเดินเคียงคู่เข้างานมากับกติยาที่อธิบายเรื่องเมื่อครู่นี้

“ยามบอกว่าคนเมื่อกี้บอกว่าเป็นเพื่อนรุ้ง จะเข้ามาในงาน แต่ไม่มีบัตรเชิญ ยามไม่ให้เข้า เขาเลยโมโหอย่างที่เราเห็นเมื่อกี้นี้น่ะค่ะ”
”แล้วเขาเป็นเพื่อนคุณรุ้งจริงรึเปล่า”
“ถ้าเพื่อนที่เมืองไทย ยาไม่เคยเห็นหน้าค่ะ ต้องถามรุ้งว่าเป็นเพื่อนที่ เรียนเมืองนอกด้วยกันรึเปล่า”
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งโบกมือให้ พร้อมกับร้องเรียก “กติยา”
กติยามองเพื่อนยิ้มทักอย่างดีใจ “ปุ้ม” ก่อนจะหันมาพูดกับวาสุเทพ ”นั่นกลุ่มเพื่อนมัธยม ค่ะ พี่เทพเข้าไปคุยด้วยกันไหมคะ แต่พวกนั้นขี้เม้าท์ ยากลัวพี่เทพเบื่อ”
“ยาเข้าไปคุยกับเพื่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่หาเครื่องดื่มรอแถวนี้”
กติยายิ้มรับ แล้วเดินไปหากลุ่มเพื่อน วาสุเทพเดินผ่านกลุ่มคมขวัญที่ยืนคุยกับคุณหญิงโฉมฉาย และคุณหญิงอรุณ โดยมีปริญญายืน อยู่ข้างๆ
คุณหญิงโฉมฉายเอ่ยถามขึ้นว่า “ได้ข่าวว่าหนูรุ้งจบบริหารจากอเมริกาใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะคุณโฉม”
“ต่อไปคุณคมขวัญก็จะสบายแล้วสิคะ มีลูกสาวมาช่วยดูแลกิจการ” คุณหญิงอรุณว่า
คมขวัญเยื้อนยิ้ม “ค่ะ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ปู่ทวดเขาสร้างมา ฉันก็พยายามสร้างต่อไว้ให้รุ้ง ต่อไปเขาจะได้สบาย”
คุณหญิงโฉมฉายบอกว่า “เท่าที่คุยกับคุณคมขวัญ คุณคมขวัญก็รักหนูรุ้งจะแย่ แล้วใครนะช่างลือ”
คมขวัญสงสัย “ลืออะไรคะ”
“ก็ลือว่าคุณคมขวัญไม่สนใจหนูรุ้ง เอาแต่ทำงาน แล้วส่งหนูรุ้งไปเมืองนอกไงคะ”
คมขวัญยิ้มเจื่อนๆ
“เดี๋ยวดิฉันไปดูแขกทางโน้นหน่อยนะคะ”
ตัดบทออกตัวแล้วคมขวัญก็เดินจากไปพร้อมกับปริญญา

คมขวัญเดินเครียดออกมา หน้าเสียไม่น้อย ยิ่งเมื่อคิดถึงคำพูดของคุณหญิงอรุณ
“ก็ลือว่าคุณคมขวัญไม่สนใจหนูรุ้ง เอาแต่ทำงาน แล้วส่งหนูรุ้งไปเมืองนอกไงคะ”
ปริญญาเดินเข้ามาพูดใกล้ๆ ว่า
“คุณนายครับ ผมอยากแนะนำให้คุณนายรู้จักเพื่อนคุณปานรุ้งหน่อยน่ะครับ”
คมขวัญมองฉงน “ใครเหรอ”
ปริญญาชี้ไปทางมุมหนึ่ง “ผู้ชายที่ดื่มพั้นซ์ตรงนั้นชื่อมานพครับ เป็นลูกชายของเจ้าสัวเพ้ง ส่วนผู้ชายที่ยืนฟังดนตรีทางนั้นชื่อ กิตติศักดิ์ เป็นลูกชายอดีตรัฐมนตรี สองคนนี้เป็นเพื่อนเรียนที่อเมริกากับคุณรุ้ง ส่วนผู้ชายที่ยืน...”
คมขวัญขัดขึ้น “เธอจะแนะนำให้ฉันรู้จักแต่เพื่อนผู้ชายของรุ้งทำไมปริญญา”
ปริญญามองคมขวัญท่าทีอึกอัก “ผมรู้ ว่าคุณนายก็รู้ไม่ต่างจากผม ว่าผู้ชายที่มาร่วมงานคืนนี้ แทบไม่มีใครคิดกับคุณรุ้งแค่เพื่อน ยังไงคุณนายก็วางแผนจะให้คุณรุ้งมาบริหารบริษัทต่อ ผมว่าถ้าคุณรุ้งมีคนที่ช่วยหนุนหลัง”
คมขวัญรีบตัดบท “ฉันไม่เคยคิดจะใช้ลูกสาวฉันหาเงินมาหนุนบริษัทนะปริญญา จริงอยู่ที่ใครๆ คิดว่าฉันเป็นแม่ที่รักงาน แต่เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยรักงานมากกว่าลูก ปัญหาที่กำลังเกิดกับบริษัท มันไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดมาก่อน มันเกิดขึ้นหลายครั้ง และฉันก็ใช้ความพยายามและสมองผ่านมันมาได้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ฉันต้องการให้บริษัทอยู่ต่อไปได้เพราะความสามารถ ของรุ้ง ไม่ใช่การใช้เสน่ห์หรือใช้ตัวแลก”
ปริญญาจ๋อยไม่น้อย “ผมขอโทษครับ ผมแค่พยายามหาทางช่วย”
คมขวัญถอนใจ เข้าใจความหวังดีของปริญญา “ฉันขอบใจ เดี๋ยวฉันไปทักทายคุณสุรชัยหน่อย”
คมขวัญเดินออกไป ปริญญามองตามแล้วถอนใจ เครียดหนัก
“ขอโทษนะครับคุณนาย แต่ผมไม่เชื่อว่าคุณรุ้งจะมีความสามารถพอจะนำบริษัทไปได้อย่างคุณนาย คุณรุ้งต้องการคนหนุน”

วาสุเทพถือเครื่องดื่มเดินชะเง้อมองหาว่าปานรุ้งอยู่ไหน ชัชวาลเองก็กำลังมองหาปานรุ้ง และมองหานิสาไปด้วย เดินเข้ามาชนกับวาสุเทพจังๆ
“ขอโทษครับ” วาสุเทพค้อมหัวให้
“ไม่เป็นไรครับ” ชัชวาลหันไปเห็นกอบถือถาดของว่างเดินผ่านมาพอดีรีบร้อนถาม “ลุงๆ เห็นคุณรุ้งรึเปล่า”
วาสุเทพมองหน้ากอบเพราะใจก็อยากรู้ว่าปานรุ้งอยู่ไหน กอบอ้าปากกำลังจะพูดจู่ๆ ไฟในงานดับมืดลง พร้อมๆ กับที่พิธีกรออกมายืนบนเวทีกลางปาร์ตี้
“ขอเสียงปรบมือต้อนรับดังๆ ให้กับนักเรียนนอกสาวแสนสวย คุณปานรุ้ง สมุทรเทวาด้วยครับ”
วงดนตรีบนเวทีบรรเลงเพลงมาร์ชเหมือนเปิดตัวกระหึ่ม แสงไฟสปอร์ตไลท์ส่องไปทางมุมหนึ่งของสนามหญ้า กติยา วาสุเทพ และน้อยมองตามสปอร์ตไลท์
เกื้อที่กำลังเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขก มองตามสปอร์ตไลท์เช่นกัน
ได้ยินเสียงแขกฮือฮาดังตามมา
วาสุเทพมองไปทางสปอร์ตไลท์ด้วยสีหน้าอึ้ง ตะลึงตะไล เมื่อเห็น ปานรุ้ง สมุทรเทวา แต่งชุดราตรีเกาะอกสีดำ เปลือยไหล่เนียน หรูหรามีสไตล์ และดูเซ็กซี่มากๆ ปรากฏตัว พร้อมกับโบกมือทักทายแขกในงาน ปานรุ้งมองมาเห็นวาสุเทพก็ชะงัก เพราะไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่
วาสุเทพมองสบตาปานรุ้งตลอดเวลา จนกติยาเดินเข้ามาทางมุมหนึ่งเห็นวาสุเทพ จึงตะโกนเรียก
“พี่เทพคะ”
วาสุเทพมองกติยาที่เดินตรงมาหาตัวเอง แล้วละสายตามองไปทางทางปานรุ้งที่ตรงมาหาเช่นกัน
ปานรุ้งยิ้มหวานให้วาสุเทพ โดยไม่ทันได้ยินทั้งเสียงเรียกและไม่เห็นว่ากติยากำลังเดินมาหาวาสุเทพเช่นกัน ปานรุ้งเดินไปทักวาสุเทพ กติยาก็กำลังมาหาวาสุเทพเช่นกันความลับเรื่องวาสุเทพเป็นคู่หมั้นกติยากำลังจะแตกดังโพละ
ทันใดนั้นเอง ปานรุ้งเกือบจะเดินมาถึงวาสุเทพรอมร่อ แต่ถูกนิสาที่เดินตามมาทางด้านหลังปานรุ้งแล้วจงใจเหยียบชายกระโปรงชุดราตรีนยาวกรุยกราย จนปานรุ้งเสียหลักล้มลงกับพื้น

สายตาทุกคู่มองจ้องปานรุ้งอยู่ คนทั้งงานเห็นภาพนั้น และต่างพากันวี้ดว้ายตกอกตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น