ลิเกหมัดสั่ง ตอนที่ 17
เพชรยังคงคุกเข่าลงต่อหน้าหลวงพ่อที่ป่าละเมาะหลังวัด มีพริมยืนกอดอกรออยู่ห่างๆ อย่างเซ็งๆ
“เล่นมุขเสร็จแล้วก็รีบกลับ หิวข้าวละนะ” พริมบอกหน้ามุ่ย
“ผมจริงจังนะครับหลวงพ่อ รับผมเป็นศิษย์ด้วยเถอะครับ”
หลวงพ่องงมองเพชร เหมือนเพชรเป็นคนบ้า
“เลิกไร้สาระกับหลวงพ่อ แล้วกลับบ้านได้แล้วเพชร”
“ตกลง! ไปเตรียมตัว เจอหลวงพ่อที่ลานวัดได้เลย”
หลวงพ่อเดินออกไปเลย เพชรกระโดดดีใจ
“ไชโย!” แล้วรีบเดินออกไปกับหลวงพ่อ
“เพชร! เดี๋ยว” เสียงท้องพริมร้องโครกคราก “อุ้ย”
เอี้ยงมองเหล่ “ไม่ได้กินไรมาเลยใช่ไหมครับ”
พริมพยักหน้า
“อ่ะๆ เดี๋ยวไปซื้อข้าวมาให้กินละกัน” กล้าอาสา
“ขอบคุณมากนะ ไม่งั้นเราสองคนต้องแย่แน่ๆ”
กล้าแบมือจะขอตังค์ พริมหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“แหม ไม่คิดค่าเดลิเวอรี่หรอกน่า”
พริมหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาควักแบงค์ร้อยให้ แต่กล้าหยิบกระเป๋าตังค์ในมือพริมไปแทน
“เดี๋ยวไปซื้อมาให้นะจ้ะ”
พริมไปดักหน้ากล้า ทำหน้าดุ
“เดี๋ยว ขอกระดาษกับปากกาด้วย”
ในเวลาเดียวกัน สำเริงในชุดลิเกบทพระเอก กำลังร้องลิเกอย่างหล่อ
“ตัวเรานั้นมีความจริงอยากจะเอ่ยไม่เคยเผยบอกไปกับใครอื่น อยากระบาย แต่ต้องทนต้องกล้ำกลืน”
สำเริงใส่ชุดลิเกแค่ครึ่งบน แต่ครึ่งล่างใส่บอกเซอร์ พวกสำเริงกำลังเล่นลิเกขายยาอยู่ในตลาด
“ว่าเราเป็นผื่นทรมานรำคาญใจ”
แฉะใส่ชุดลิเกนั่งเล่นเครื่องดนตรีอยู่ แล้วลุกขึ้นมาจากวง ส่งฉิ่งให้แม้นมาศที่นั่งดูอย่างชื่นชมอยู่
“อ่ะ ช่วยกันทำมาหากินหน่อย”
แม้นมาศรับฉิ่งมาตีเซ็งๆ แล้วพยายามจับให้เป็น แฉะร้องลิเกไป
“ปัญหานี้ที่ท่านประสบเจอ อย่าได้เผลอวางใจกระไรอยู่ ไหนๆๆ ผื่นคันเอามาดู อู้หู ต้องนี่เลยยาแม่ณีสมุนไพร”
ลูกดอกบรรเลงระนาดรับ
สำเริงสวมมาดโฆษก “ยาแม่ณีสมุนไพร แก้ได้ทุกโรคผิวหนัง”
แฉะเป็นลูกคู่คอยเสริม “จะผด จะผื่น จะเลื้อน จะกลาก ต้องอย่าลืม”
สำเริง กะ แฉะ ประสานเสียง “ยาแม่ณีสมุนไพร!”
มีคนเดินจ่ายตลาดไปมา แต่ไม่มีใครไม่สนใจพวกสำเริงเลย แม้นมาศปรบมือให้กำลังใจรัวๆ อยู่คนเดียว สุดท้ายสำนึกถึงสภาพแม่ยกตกอับของตัวเอง
“พวงมาลัย พวงมาลัยอยู่ไหน อ๋อ ลืมไป ไม่มีเงินอยู่ดี”
เวลาผ่านไป สำเริงได้ซองค่าแรงมาแล้ว
“เอาเว้ย ซองนี้ น่าจะพอจ่ายดอก แล้วเหลือกินข้าวกันบ้าง”
อรชรโผล่มาจากไหนไม่รู้ หยิบซองเงินสำเริงไป
“ดอกของพรุ่งนี้ก็อย่าลืมล่ะ จะได้ไม่ต้องหาประตูใหม่”
สำเริงร้อง “ห๊ะ”
เด่นเอาหน้าต่างไม้ที่ถอดมาจากบ้านลิเกมาตั้งตรงหน้า อรชร เดินนำเด่น และแคน ออกไปเชิดๆ เริดๆ
สำเริงคุมแค้น เจ็บใจ “ได้ อยากได้เงินนักใช่ไหม”
ชาวคณะลิเกเดินมาหยุดที่หน้าร้านข้าวแกงในตลาด
“เอาแบบนี้เลยเหรอพี่เริง” แฉะปลงสังเวชชะตาชีวิต
“เอางี้แหละ ลุย”
ลูกดอกตั้งเครื่องดนตรีบรรเลง
สำเริงร้องลิเก “สวัสดีครับพี่น้อง ฟังกระผมนั้นร้องกันสักนิด พวกเราตั้งใจและตั้งจิต อยากผูกมิตรกับทุกท่านระหว่างทาน”
จู่ๆ มีเข่งผักลอยเฉียดสำเริงไปเฉียดฉิว วงแตก
“เย้ย”
พ่อค้าด่า “หนวกหู คนเขากินข้าวกันอยู่”
“ขอโทษครับพี่ แต่พวกเราเดือดร้อนมากๆ คือ...” สำเริงเปิดฉากดราม่าชนิดเล่นใหญ่ “ลูกผมหายครับ ผมต้องใช้เงินตามหาลูกชาย”
สำเริงส่งซิกให้ลูกดอกเล่นดนตรี
“กลัวลูกน้อยถูกทำร้าย ขอพี่ชายช่วยกรุณาที ให้โอกาสเราได้แสดงฝีมือ จะร้องอื้อหือประทับใจไปอีกนาน”
พ่อค้าเคลิ้ม ฟังอย่างเห็นใจแล้วพยักหน้า
“ก็ได้”
ชาวคณะร้อง “เย่”
ชาวลิเกอยู่ที่ร้านข้าวแกงแล้ว สำเริงใส่ผ้ากันเปื้อนทับชุดลิเก เดินเสิร์ฟอาหาร มีแฉะช่วยเสิร์ฟเดินสวนกัน
“มันใช่ไหมเนี่ยพี่เริง”
“ไม่เลือกงาน ไม่ยากจนเว้ย”
เสียงจานตกแตกตามด้วยแม้นมาศกรี๊ด “แอร๊ย”
แบะเสียงพ่อค้า “นี่หักค่าจานจนจะไม่เหลือค่าแรงละนะ”
“จะจนเพราะคุณนายนี่แหละ” ลูกดอกเซ็งมาก
สำเริงถอนหายใจ วิ่งเสิร์ฟต่อไป
หลวงพ่อเดินไปเดินมาพร้อมกับอธิบาย เพชรตั้งหน้าตั้งตาฟัง ส่วนพริมนั่งฟังเฉยๆ
“หัวใจหลักของวิชานี้ ก็เหมือนหลักธรรมะ คือไปตามธรรมชาติ ใช้พลังของธรรมชาติ เรียกพลังในตัวเราออกมา ซึ่งหากคนที่พิเศษได้รับวิชานี้ไป พลังธรรมชาติ ก็จะดึงเอาความพิเศษในตัวคนนั้นออกมาใช้ได้ พร้อมหรือยัง”
“พร้อมครับ”
“ดีมาก จำไว้ ปล่อยทุกอย่าง ไปตามธรรมชาติ แล้วสักวันหนึ่ง พลังในตัวเราก็แข็งแกร่ง เรียกได้ว่า ต่อให้ต้นกล้วยที่ใหญ่แค่ไหน ก็มีวันล้มลง ด้วยพลังนี้”
เพชรนึกไปถึงตอนแอบดูหลวงพ่อชกลมออกไป แล้วต้นกล้วยหักโค่นล้มลงต่อหน้าต่อตาเมื่อเช้า แล้วดึงตัวเองกลับมา
“เริ่มจากการเตรียมร่างกายก่อน อะ เขย่ง”
เพชรเขย่งตาม
“แล้วย่อตัวลงไป... อีก... อีก”
เพชรค่อยๆ ย่อแบบพยายามทรงตัวให้ได้จะล้มๆ พริมลุกขึ้นดูอย่างสนใจ จนเพชรนั่งยองลงไป
“ทีนี้ก็พนมมือเหมือนหัว ตั้งตัวให้มั่น ดั่งศิลา พร้อมนะ”
เพชรพยักหน้า
“ทำค้างไปจนกว่าจะเมื่อย”
หลวงพ่อเดินออกไปเลย
“ห๊ะ? อะไรนะครับ หลวงพ่อ.... หลวงพ่อ!
“ไปแล้ว” พริมบอก ขณะเดินเข้าไปหาเพชร “ไงล่ะนี่ไงวิชามวยขั้นเทพพันปีน่ะ”
“อย่าดูถูกนะ ฉันเห็นพลังของวิชานั้นมากับตาเลยนะตอนหลวงพ่อซ้อม ฮุกสุดท้ายเท่านั้นแหละ ต้นกล้วยที่อยู่ห่างเป็นวาก็ล้มลงต่อหน้าต่อตาเลย”
“แล้วเกี่ยวไรกับหลวงพ่อ ในเมื่อหลวงพ่อยืนห่างเป็นวาเลยไม่ใช่เหรอ”
“ก็แสดงว่าพลังหมัดมันขั้นเทพจริงๆ ไง ซัดต้นกล้วยซะล้มเลย วิชานี้ มันไม่ธรรมดานะ”
พริมยังลังเลใจ
“จะพิสูจน์อะไร ก็อย่านานนักละกัน เมื่อเช้า ฉันเขียนจดหมายหาน้าอร ให้กล้าหาญแอบไปไว้ที่ค่ายแล้ว น้าอรคงจะสบายใจขึ้นหน่อย แต่ถ้านานกว่านี้ล่ะก็ เรื่องใหญ่แน่”
พริมมองเพชรที่พยายามทรงตัวกับท่านี้แล้วเพลีย
ฝ่ายบุญหลงชกกระสอบทรายรัวๆ ด้วยความเครียด ห่วงพริมเอามากๆ อรชรเดินเข้ามา
“โกรธใครเหรอ พริม หรือเพชร”
บุญหลงตกใจ “น้าอร”
“อ่ะ เรื่องนี้น้าจะไม่ยุ่ง แต่สบายใจได้ สองคนนั้น เขาไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีหรอก”
อรชรยื่นจดหมายจากพริมให้ บุญหลงรับมาแล้วรีบเปิดอ่านจดหมาย
“ถึงน้าอร ขอโทษที่ทำให้ต้องเป็นห่วง แต่พริมกับเพชรมีความจำเป็นที่ยังบอกตอนนี้ไม่ได้ ขอให้น้าอรไม่ต้องเป็นห่วง เราสองคนปลอดภัยดี จะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด รัก จากพริม”
บุญหลงดีใจมาก “ลายมือพริมจริงด้วย ไม่มีจ่าหน้าซอง น้าอรได้จดหมายนี้จากไหนครับ”
“มันมาตกที่หน้าประตูทุกเช้าเลย”
“หรือว่าพริมอาจจะอยู่แถวนี้ก็ได้นะครับ”
อรชรฟังก็เริ่มคิดตาม
บุญหลงนึกบางอย่างได้ เอ่ยขึ้นว่า “งั้นถ้าพริมปลอดภัยดีแล้ว เราเอาของๆ บ้านนั้นไปคืนเลยไหมครับ”
“ยังก่อน ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอใช้โอกาสนี้แก้แค้นให้สะใจก่อน”
“แก้แค้น? ตกลงน้าอรกับน้าสำเริงมีเรื่องอะไรกันมาก่อนเหรอครับ”
“ก็...ก็แค่รำคาญเวลาร้องเพลงเสียงดังเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก”
อรชรเดินหนีออกไปเลย
พวกสำเริงกำลังเช็ดโต๊ะ ปัดกวาด พ่อค้าเดินเข้ามา เอาเงินค่าแรงให้สำเริง แฉะ และ ลูกดอก
“ขอบคุณมากนะทุกคน” พ่อค้ายิ้มบอก
“ขอบคุณครับ”
แม้นมาศมายิ้มรอรับเงิน
“เอามา 200 ค่าจานที่แตกไป”
แม้นมาศหุบยิ้ม ต้องควักเงินคืนให้พ่อค้า
“นี่ถ้าไม่ได้เด็กเสิร์ฟใส่ชุดลิเกสวยๆ แบบนี้ วันนี้ร้านคงไม่คนเยอะขนาดนี้ ยังไงก็ขอให้เจอลูกเร็วๆ ละกันนะ”
“ครับ”
พ่อค้าเดินออกไป สำเริงฟังแล้วก็ปิ๊งไอเดีย นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
เย็นลง พริมพยุงเพชรที่เดินขาแข็งๆ งอขาแทบไม่ได้ ท่าทางเหมือนตลก อ่าง เถิดเทิง เข้ามาหาหลวงพ่อ กล้า กะ เอี้ยง อยู่ด้วย พากันก็มองดูอย่างแปลกใจ
“อ้าว ไม่เจอกันแป้บเดียว ไปเล่นตลกซะละ” กล้าแซว
“แหม แต่ก็ดีนะครับ มีสาวสวยมาช่วยด้วย” เอี้ยงแซว
พริมได้ยินก็เขิน พอมาถึงที่พริมก็ทิ้งเพชรลงไปเลย
“โอ๊ย เบาๆ สิ”
“พวกพี่ไปทำไรมาเหรอครับ” เอี้ยงถาม
“ฝึกวิชามวยขั้นเทพของหลวงพ่อไง”
หลวงพ่อเง็ง “ฝึก? หา! หมายถึงไอ้ท่านั่งยองๆ เนี่ยนะ นี่ผ่านมา 2 ชั่วโมงละเนี่ย”
“ก็หลวงพ่อบอกว่า จนกว่าจะเมื่อย”
กล้าตาโตอย่างทึ่ง “โอ้โห 2 ชั่วโมงนี่ไม่มีเมื่อยเลย”
เพชรส่ายหัว “นาทีเดียวก็เมื่อยละพี่”
“แล้วทำไมไม่หยุด บอกแล้วไงว่าปล่อยไปตามธรรมชาติ”
“ก็ผมอยากสำเร็จวิชาเร็วๆ นี่ครับ ผมมีเวลาไม่มาก ที่ต้องพัฒนาฝีมือ ผมฝึกมวยมาก็หลายเดือนแล้ว แต่ฝีมือยังปกป้องใครไม่ได้”
พริมแอบมองเพชร
“ก็ได้ พรุ่งนี้เช้าตรู่เราจะเข้าคอร์สรวบรัด”
รุ่งเช้าของวันใหม่ ทุกคนอยู่หน้าห้องเก็บของ ข้างกุฏิหลวงพ่อ
“ท่าแรกที่ต้องทำก็คือเข้าไปห้องนี้ แล้วก็...”
“ครับ!”
หลวงพ่อพูดไม่ทันจบ เพชรเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปในห้องทันที เสียงประตูปิดลงดังตามมา
“เดี๋ยวยังพูดไม่จบ ในห้องน่ะมืดมาก แล้วก็เปิดจากข้างในไม่ได้”
เสียงเพชรตะโกนร้องโอดโอยออกมาจากในห้อง “โอ๊ย ไรเนี่ย โอ๊ย โอ๊ย อ๊อย”
พริมสงสัย “ข้างในมีอะไรเหรอคะ”
“ยุงครับ” เอี้ยงบอก
“เยอะมากกัดอย่างเจ็บ” กล้าเสริม
เพชรทุบประตูส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือมาจากในห้อง
“ช่วยด้วย... เปิดประตูที”
“ทีนี้ก็เอาตัวรอดจากเหล่ายุงนี่ให้ได้นะ เป็นแบบฝึกหัดช่วยเปิดประสาท เอาตัวรอดในความมืด”
ร่างเพชรเป็นผื่นแดงไปทั้งตัว
“ไม่ไหวจะพอก่อนก็ได้นะ”
“ไม่ครับ ไปต่อเลยครับ”
หลวงพ่อยิ้ม
ร่างเพชรโดนกล้าถีบลงสระดังตูม
เพชรโผล่พรวดกอดกายปากสั่น “อ๊าย หนาว”
“ฝึกร่างกายให้เคลื่อนไหวแม้จะรู้สึกด้านชา อ่ะว่ายขึ้นมา”
เพชรว่ายแล้วเดินสั่นขึ้นมา
หลวงพ่อเรียกเป็นเชิงสั่ง “ไอ้กล้า”
“ครับ”
เพชรบอกกับกล้าว่า “แป๊บนึง...”
พริมมาจากไหนไม่รู้ ยกขาจะถีบเพชรลงสระอีกรอบ
เพชรร้องลั่น “เดี๋ยว”
เพชรลงสระไปเอง
หลวงพ่อบอก “อีก 30 รอบ”
พริมหัวเราะขำ
เพชรยืนตัวสั่นเนื้อตัวเปียกปอน
“พร้อมนะ” หลวงพ่อถาม
“ย..ยังครับ”
“ไป”
พริม กล้า และ เอี้ยงโยนลูกบอลเล็กๆ รัวๆ ใส่เพชรที่ร้องไป หลบหลีกไป
“โอ๊ย เดี๋ยว โอ๊ย”
“ฝึกการหลบหลีก” หลวงพ่อบอก
“โอ๊ย พ่อจะรู้ไหมเนี่ย ว่าเราต้องมาเจออะไรบ้าง โอ๊ย”
อ่านต่อหน้า 2
ลิเกหมัดสั่ง ตอนที่ 17 (ต่อ)
และที่เพชรไม่รู้ก็คือตกเย็นวันนั้น สำเริงต้องแต่งชุดลิเกเป็นนางเอกเรียกแขกอยู่หน้าฉากลิเก โดยเปิดเป็นที่ให้คนแต่งชุดลิเกมาถ่ายรูป
“ไอ้เพชรนะ ไอ้เพชร แกจะรู้ไหม ว่าพ่อต้องมาทำอะไรบ้าง เพื่อมันเนี่ย” โต้โผลิเกตกยากฮึด ตะโกนเรียกลูกค้า “ทางนี้เลยครับเช่าชุดลิเกถ่ายรูป พร้อมฉากสวยงาม ด้านนี้เลยครับ”
มีคนเข้ามาต่อแถวจะถ่ายรูปด้วยมากมาย ลูกดอกทำหน้าที่ขายตั๋ว แฉะคอยช่วยถ่ายรูปให้ลูกค้า
แม้นมาศอาสา “ฉันแต่งได้ไหม”
“มีหน้าที่ช่วยแต่งหน้า ไม่ได้มีหน้าที่เป็นภาระ ไปแต่งหน้าต่อเลย” แฉะว่า
“ฉันจำได้ว่าแต่ก่อนมันไม่ได้พูดกับฉันแบบนี้นะ”
แม้นมาศรำพึงรำพัน แล้วเดินออกไปมึนๆ
“คนเยอะเลยมาทางนี้ท่าจะรุ่งนะน้า” ลูกดอกบอก
“เดี๋ยะๆๆ” สำเริงแสร้งฉีกยิ้มหวาน
อรชรเดินเข้ามากับเอื้อย เปิดฉากกระแนะกระแหน
“แหม อดีตพระเอกลิเกตกอับมาแต่งหญิงซะละ เบื่อหลีสาวๆ แล้วหรือไง”
สำเริงข่มอารมณ์ ชาวบ้านสาวๆ เดินเข้ามา ถึงคิวถ่ายรูป
“พี่สำเริงน่ารักจังเลย ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ” สาว 1 อ้อน
สาวๆ เข้ามากอดสำเริงถ่ายรูป สำเริงหันมายิ้มเยาะอรชร
“พี่เปลี่ยนแนวมาเป็นแบบนี้ชอบไหมจ๊ะ”
สาว 2 ยิ้มหวาน “ชอบค่ะๆ ไหนดูชุดหน่อยสิคะสวยจัง”
“ดูใกล้ๆ ได้เลยจ้ะ ถ้าอยากใส่ละก็ ด้านนั้นเลยนะ เดี๋ยวพี่ช่วยดูให้” สำเริงเอาใจ
“ออกไปนะ!”
อรชรเข้าไปดึงมือสาว 2 ออกมา แล้วเอาตัวบังสำเริงไว้ ทุกคนอึ้งที่เห็นอรชรหึงสำเริง
เอื้อยอ้าปากค้าง “เกิด อะ ไร ขึ้น อ่ะ”
อรชรรีบกระเด้งออกมาทำตัวไม่ถูกอยู่สักพัก แล้วรีบดึงเอื้อยออกไปด้วยกัน สำเริงมองตามอย่างงวยงง ทุกคนเงียบกริบ
บุญหลงนั่งรออยู่หน้าค่ายกะจะจับตาดูเรื่องจดหมายจากพริม เสียงอรชรคุยกับเขาเช้าวานนี้ดังก้องในหู
“ลายมือพริมจริงด้วย ไม่มีจ่าหน้าซอง...น้าอรได้จดหมายนี้จากไหนครับ”
“มันมาตกที่หน้าประตูทุกเช้าเลย”
“หรือว่าพริมอาจจะอยู่แถวนี้ก็ได้นะครับ”
บุญหลงนั่งรอไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปอีกสักระยะ ปรากฏว่าบุญหลงเผลอนั่งหลับ
ระหว่างนี้ เอี้ยง เดินย่องมาหน้าประตูค่ายศ.อรชร สอดส่องดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ก็กวักมือเรียกกล้า กล้าเดินลากเท้าเข้ามาเสียงดัง
จนเอี้ยงต้องจุ๊ปากบอก “เบาๆ สิพี่ เดินให้เหมือนสมองหน่อย”
กล้ายืนนึกอยู่พักหนึ่ง “แปลว่าอะไรวะ”
เด็กเอี้ยงตัดบท “เออ ช่างมันเหอะ เร็วๆเข้า”
กล้าอุ้มเอี้ยงขึ้นไหล่ ทบทวนสิ่งที่เอี้ยงพูดไป เอี้ยงโยนจดหมายข้ามรั้วไปตกตรงหน้าบุญหลงพอดี
“เบาๆ เดินเหมือนสมอง” สุดท้ายนึกได้ “เฮ้ย หลอกด่ากันนี่หว่า”
กล้าโยนเอี้ยงลงไปกองคาพื้น
บุญหลงหลับอยู่ ได้ยินเสียง เอี้ยงหล่นลงตุบ
ตามด้วยเสียงเอี้ยงร้องดังลั่น “โอ๊ย”
บุญหลงสะดุ้งตื่นทันที เห็นจดหมายตรงหน้าตัวเอง รีบลุกขึ้นมา เห็นเอี้ยง กะ กล้ายืนอยู่ ทั้งสองคนช็อก จนได้สติก็รีบวิ่งหนี
บุญหลงเสียงเข้ม “หยุด”
แต่ไม่มีใครฟัง บุญหลงต้องวิ่งตามไปโดยเร็ว กล้าวิ่งหนีมาได้สักระยะแต่ดันทำกระเป๋าตังค์ของพริมตก บุญหลงตามมาทัน วิ่งไปดักหน้าสองคนไว้ได้
“พริมให้พวกนายเอาจดหมายมาส่งเหรอ”
“พี่พูดอะไรครับ ไม่เห็นเข้าใจเลย” เอี้ยงตีมึนใส่
“เออ พริม? ใครอ่ะพริม” กล้าทำไก๋
“แล้ววิ่งหนีทำไม” บุญหลงจ้องหน้าสองคนสลับกัน
“ก็พี่น่ากลัวนี่ครับ พวกผมก็ต้องวิ่งสิ นี่พี่อย่ามากล่าวหากันลอยๆ น้า” เอี้ยงว่า
“ใช่ มีแค่จดหมาย ก็หาว่าเราเป็นคนโยนข้ามรั้วไปให้เหรอ ไหนอ่ะหลักฐาน”
เอี้ยงเซ็ง
บุญหลงไม่วางใจ “ก็ได้ ขอโทษด้วย”
กล้ายิ้มกริ่ม แล้วสังเกตเห็นกระเป๋าตังค์พริมที่ทำตกอยู่
“อุ๊ย กระเป๋าตังค์พริมนี่หว่า” กล้ารีบไปหยิบขึ้นมาปัดๆ “เกือบแล้ว ถ้าหายล่ะโดนยัยพริมด่าเปิงแน่ๆ”
พอกล้าเงยหน้ามามอง เห็นสายตาบุญหลงมองมาอย่างน่ากลัว เอี้ยงได้แต่กุมขมับ กล้ายิ้มเจื่อนๆ
ขณะที่เพชรกำลังซ้อมอยู่คนเดียว หลวงพ่อเห็นก็เดินเข้ามา
“เป็นไง รู้สึกเก่งขึ้นไหม”
เพชรคิดในใจ “ให้เล่นอะไรก็ไม่รู้ มันจะเก่งได้ไงล่ะเนี่ย” แต่ตอบว่า “ครับ”
หลวงพ่อรู้ทัน “โกหก”
“อุ่ย...”
“ก็แก่นของวิชา หลวงพ่อยังไม่ได้สอนเลย พร้อมจะเรียนยังล่ะ”
คราวนี้เพชรตาโตเป็นไข่ห่าน
ฝ่ายลูกดอกกำลังนวดสำเริงที่นอนกับพื้นเรือนอยู่ ฟูกถูกยึดไปจนหมด
“ทำไมมันเมื่อยงี้วะ อรนะอร อุตส่าห์แอบแล้ว ก็ตามมายึดฟูกไปจนได้”
อรชรโผล่เข้ามาพอดี
“ไม่ใช่เพราะไปใส่ส้นสูงมาเมื่อคืนหรือไง”
สำเริงสั่งลูกดอกทันที “ลูกดอกไปเฝ้าของซิ คนแถวนี้เขาชอบเอะอะยึดๆ ของคนอื่นอยู่ด้วย”
“ก็ยึดไปหมดละน้า มันไม่มีอะไรให้เฝ้าละล่ะ” ลูกดอกว่า
“เออ ไปเหอะน่า”
ลูกดอกเดินออกไป
“ฉันไม่ได้มายึดอะไร แค่มาบอกให้เข้าใจ ว่า...”
สำเริงโพล่งขึ้น “ว่าหึงใช่ไหมล่ะ”
อรชรเขิน “นี่”
“พี่ไม่ว่าหรอกนะอร เพราะพี่รู้ว่าอรไม่ลืมเรื่องเราไปง่ายๆ หรอก”
เจอคำหวานอดีตพระเอกลิเก อรชรพูดไม่ออก สำเริงจับมืออรชรมากุม อรชรทำตัวไม่ถูก
“พี่ก็ไม่ลืมเหมือนกัน ความทรงจำของเราพี่เก็บไว้หมดเลยนะ ทั้งจดหมาย รูปถ่าย อยู่ที่โต๊ะหัวเตียงพี่มาตลอด”
อรชรมองหน้าสำเริง เริ่มใจอ่อน สำเริงยิ่งอ้อนมากขึ้น
“พี่ขอคืนได้ไหม...พร้อมกับเตียง ทีวี เก้าอี้ โต๊ะ ตู้เย็น”
“หืม...” อรชรผลักสำเริงออกไป
“ขอของพี่คืนเถอะนะอร”
“แกมันเหมือนเดิมไม่มีผิด ใช่ ฉันยังไม่ลืมเรื่องของเรา และไม่เคยลืมด้วย ว่าพี่ทำอะไรกับฉันไว้บ้าง ไอ้ที่พี่...”
อรชรพูดไม่ทันจบ บุญหลงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา “น้าอร...”
อรชรรีบถดตัวออกห่างสำเริงมากที่สุด
“เรารีบไปที่วัดกันเถอะ พริมอยู่กับเพชรที่นั่น”
สำเริง กะ อรชรมองหน้ากันอึดใจหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างรีบออกตัวไปที่วัดให้เร็วที่สุด
เพชรกำหมัดขึ้นมา หลวงพ่ออยู่ข้างๆ
“ถ้าพร้อมก็ลองดูเลย”
เพชรหลับตาทำสมาธิ
“ว่องไวเหมือนจับยุง ลีลาพุ่งดั่งโดนถีบ”
“เดี๋ยวครับ นี่ตำราว่ามาอย่างนี้เลยเหรอครับ”
“หลวงพ่อก็ด้นบ้างอะไรบ้าง เอาเป็นว่าชกให้ไว ให้คู่แข่งเดาทางไม่ออก แล้วสมาธิอยู่ที่หมัดสุดท้าย นี่ล่ะหมัดขั้นเทพ ซัดไปสุดพลัง”
เพชรเห็นภาพในหัว หลวงพ่อชกอากาศ แต่ต้นกล้วยล้ม
“คู่แข่งเราจะไม่ตายใช่ไหมครับ”
“วะ ฮ่าๆๆ...”
เพชรรอฟังคำตอบ แต่หลวงพ่อเอาแต่หัวเราะ แล้วก็เปลี่ยนอารมณ์มาจริงจังอย่างรวดเร็ว
“ไหนลองซิ”
สำเริง แฉะ ลูกดอก และแม้นมาศวิ่งมาเอารถเครื่อง เจอตัวถังรถเครื่อง แต่ไม่มีล้อ
“โธ่เว้ย ยัยอร”
“ฉันรู้จักทางลัดไปวัดจ้ะ ตามมา”
แฉะวิ่งนำทุกคน ส่วนบุญหลงขี่มอเตอร์ไซค์พาอรชรไปวัด
เพชรกำหมัดขึ้นมา เริ่มชกรัว เร็วขึ้นมาก
“ถ้าพร้อมแล้ว ก็สมาธิ แล้ว ไป”
เพชรหมุนตัว 1 รอบ แล้วเงื้อหมัดสุดท้ายจะปล่อยไป แต่พริมเดินเข้ามา ตรงด้านหน้าเพชรพอดิบพอดี เพชรตกใจยั้งหมัดไว้ แล้วเซไถลล้มไปทับพริม ทั้งสองคนกลิ้งกันไป
สำเริง อรชร บุญหลง แฉะ ลูกดอกวิ่งมาถึงพร้อมกัน และได้เห็นพริมกับเพชรทับกันอยู่ ทุกคนอึ้ง แม้นมาศวิ่งตามมาหลังสุด หัวใจสลายร้องกรี๊ดสุดเสียง
“แอร๊ย.....”
เพชร พริมรีบลุกขึ้น
อรชรคำราม “ไอ้เพชร”
อรชรจะวิ่งเข้ามาต่อยเพชร แต่สำเริงกันไว้
“อร อย่า”
อรชรชะงัก รีบสะบัดตัวออกจากสำเริง
แม้นมาศใจจะขาด ร้องครวญคร่ำ “ไม่จริงใช่ไหมคะ น้องเพชรกับผู้หญิงคนนี้เนี่ยนะ”
หลวงพ่อดูอยู่นาน กระแอมขึ้น
“ใจเย็นโยม หลวงพ่อยืนหัวสะท้อนแสงอยู่นี่ ไม่สนใจกันเลยเหรอ ใครมันจะมาทำเรื่องบัดสีในวัด ต่อหน้าพระล่ะโยม มันเป็นอุบัติเหตุหลวงพ่อเป็นพยาน”
“ก็แล้วไป ไปพริมกลับบ้าน”
อรชรพาพริมกลับ บุญหลงมองหน้าเพชรอย่างผิดหวัง แล้วเดินตามออกไป
“แล้วพวกนั้น...” เพชรกังวลเรื่องปลัดจอมหื่น
“ตำรวจจัดการแล้ว กลับบ้านได้ละเรา”
เพชร สำเริง แฉะ ลงนั่งบนเสื่อที่ปูอยู่ตรงโถงบริเวณที่เคยวางโต๊ะรับแขกมาก่อน
“โต๊ะเราไปซะละพ่อ”
“ปลวกมันกิน เลยเอาไปทำฟืนหมดแล้ว”
ลูกดอกถือขันที่ปกติใช้ราดส้วม ใส่น้ำออกมา
“น้ำเย็นๆ จ้ะ”
“จะบ้าเหรอไอ้ลูกดอก นี่มันขันราดส้วม กลับมาก็แกล้งกันเลยนะ ไปหาแก้วมาใส่ไป”
แฉะรับขันมาเอง “แก้วบ้านเรามันแตกหมดแล้ว” พลางดื่มน้ำจากขันโชว์
ลูกดอกรับมาดื่มต่อ “ดื่มจากขันก็ชื่นใจดีนะ นี่น้ำฝนด้วย”
“อยากกินน้ำเย็นทำไมไม่กินจากตู้เย็นล่ะ” เพชรมองไปยังตู้เย็น
“ตู้เย็น...เสีย” แฉะบอก
เพชรงง มองไปยังพ่อ เห็นสำเริงมีท่าทางรันทดหดหู่ เพชรเลยชักสงสัย รีบลุกขึ้นเข้าไปดูในบ้าน
พอเพชรเข้ามาในโถงบ้าน แปลกใจที่เห็นบ้านโล่งๆ
“โซฟาล่ะ”
“พัง” แฉะบอก
“ทีวีล่ะ”
ลูกดอกบอก “เจ๊งส่งซ่อม”
เพชรถาม “โคมไฟล่ะ”
จริยาบอก “แตก”
“เฮ้ย บ้านเราโดนพายุถล่มเหรอ ทำไมมันเสียหายไปซะทุกอย่างเลยล่ะ”
เพชรเห็นสำเริงคอยแต่จะหลบหน้าหลบตา
“พ่อ บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
สำเริงไม่อยากตอบ
ทางด้าน พริม บุญหลง อรชร ยืนอยู่หน้าโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา ทีวี ตู้เย็น ข้าวของจิปาถะของบ้านลิเกที่วางกองรวมอยู่ตรงหน้า
“น้าอรไปเอาของบ้านพวกลิเกมาทำไม”
“ก็พวกมันอยากกวนประสาทนี้เอง ก็ต้องจัดการด้วยวิธีนี้แหละ”
บุญหลงทักท้วง “แต่ตอนนี้พริมก็กลับมาแล้ว เราเอาไปคืนเค้าเถอะนะน้าอร”
“ของยึดมาแล้วจะเอาไปคืนได้ยังไง ก็ต้องรอจนกว่าพวกนั้นจะเอามาไถ่”
พริมบ่น “น้าอรใจร้าย”
“ชั้นไม่ได้ใจร้าย ชั้นไม่ใช่องค์กรการกุศลนะที่จะให้กู้เงินไปฟรีไม่คิดดอก พริม เลิกคิดถึงคนอื่น แล้วก็ไปเตรียมตัวซ้อมได้แล้ว อย่าลืม ว่าเราลงแข่งไว้นะ”
อรชรออกไป พร้อมกระเป๋าเดินทางในมือ
“น้าอรจะไปไหนคะ”
“ช่วงนี้ น้ายังไม่อยากอยู่แถวนี้เท่าไร จะไปทำธุระที่ต่างจังหวัดซะหน่อย ดูแลค่ายด้วยล่ะ”
“ค่ะ”
“ไม่ใช่พริม” อรชรว่า ขณะเอื้อยเดินเข้ามาแล้วบอกต่อ “เอื้อยดูค่ายให้ดี อย่าให้ใครมาขนของกลับไปได้ แล้วเก็บดอกอย่าให้ขาดนะ”
อรชรหยิบกระเป๋าเดินออกไป พริมหนักใจ สงสารพวกบ้านลิเกแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะรู้ดีว่าอรชรใจแข็งหนักมาก
อ่านต่อหน้า 3
ลิเกหมัดสั่ง ตอนที่ 17 (ต่อ)
บ่ายวันนั้นเพชรหลบมานั่งซึมอยู่เงียบๆ คนเดียว ตรงบริเวณมุมพักผ่อนของหมู่บ้าน พริมขี่จักรยานเข้ามาเจอ
“เพชร มานั่งทำเท่อะไรอยู่คนเดียว เล่นเอ็มวีรึไง”
พริมจอดรถ แล้วไปนั่งด้วยข้างๆ
เพชรหันมาหาหน้าเครียด “พริม ที่ไหนเค้าจะจัดแข่งชกมวยแบบได้ตังค์อีกบ้าง ชั้นอยากไป”
พริมหน้าเสีย “ชั้นขอโทษด้วยนะ”
“เฮ้ย ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดเธอซะหน่อย”
“ชั้นขอโทษเรื่องที่น้าอรทำให้ที่บ้านเธอต้องเดือดร้อน”
“ไม่หรอก ก็พวกชั้นหาเงินไปใช้หนี้ไม่ได้เองต่างหาก ถูกยึดข้าวของไปก็ถูกแล้ว ...ตกลงพริมพอจะรู้ข่าวบ้างมั้ย ว่ามีแข่งที่ไหนอีกรึเปล่า”
“ถ้าจะแข่งตามบ้านนอก เวทีมันไม่ได้มาตรฐาน เดี๋ยวก็โดนโกงเหมือนครั้งที่แล้วอีก”
“แล้วต้องแข่งที่ไหนล่ะพริม”
“กรุงเทพฯ สิ ตอนนี้เค้ากำลังจะมีแข่งไทยไฟต์นะ รู้จักรึเปล่า”
“ไทยไฟต์ รู้จักสิ ดังจะตาย เค้าถ่ายทอดสดด้วยใช่มั้ย”
“ใช่ ถ้าชนะเวทีนั้นนะ ได้เป็นล้านเลย แถมดังด้วย แล้วถ้าโปรโมเตอร์เอาเราไปชกที่ญี่ปุ่นหรือลาสเวกัส รวยเละเลยเพชร”
“แปลว่าชั้นก็จะใช้ทั้งต้นทั้งดอกได้หมดเกลี้ยงเลยน่ะสิ”
“ใช่! แต่ว่าเธอต้องตื่นก่อนนะ ฝันไปแล้วหรือไง! ว่าจะชนะน่ะ มันยากมากนะ มีแต่นักมวยเก่งๆ จากทั่วประเทศไปรวมกันอยู่ที่นั่น”
“จะไปกลัวอะไร ชั้นมีวิชา หมัดสั่ง อยู่กับตัวแล้วนะ”
“ทำเป็นอวด ฝึกมาน่ะเคยใช้เหรอ” พริมหมั่นไส้
สองคนคุยเล่นกันไปกระจุ๋งกระจิ๋งมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งตามประสา
อีกฟาก เม่น กะ เก้ง กำลังแอบมองสองคน และหารือกันอยู่ตรงทางเปลี่ยวไร้ผู้คน
“คราวนี้อย่าให้พลาดอีกนะเว้ย ไอ้เก้ง แกจัดการไอ้เพชร เดี๋ยวชั้นจัดการนังพริมเอง จะจูบปากให้ปากเปื่อยเลยคอยดู” เม่นบอก
“อ้าว แล้วชั้นล่ะ”
“ก็จูบไอ้เพชรไปสิวะ” เม่นว่า
“ไอ้เวร”
“รีบไปแอบเหอะ พวกมันคงใกล้จะมากันแล้ว”
เม่น เก้ง เอาโม่งปิดหน้าเพื่อปฏิบัติชั่วตามคำสั่ง ป๋า และ ปลัด
ขณะเดียวกันขนุนคุมแค้น เตะต่อยกระสอบทรายระบายอารมณ์อยู่ที่ค่าย
“ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก”
ขนุนชกกระสอบทรายอย่างแรง ระบายอารมณ์
“ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ” ขนุนชกอีก “แล้วตัวเองก็ไปขายโอ่ง”
ขนุนชกอีกที ยังไม่หายโมโห
“ไอ้พี่รักษ์บ้า”
ขนุนชกกระสอบทรายรัวๆ บุญหลงเดินเข้ามา ร้องเรียก
“ขนุน”
“ฮึ่ย!”
ขนุนหันมายังอินอยู่กับเรื่องรักษ์ เลยต่อยบุญหลงไปที แต่บุญหลงถอยฉากหลบ หมัดขนุนมาหยุดตรงหน้าบุญหลง ห่างจากจมูกแค่ 1 เซ็น ค้างมือไว้ทัน
“อุ๊ย พี่หลง ขอโทษจ้ะ แหมดีนะที่พี่หลบทัน ไม่เป็นไรเนอะ”
บุญหลงยังอึ้ง ค้างอยู่อย่างเดิม หมัดขนุนก็ยังคงอยู่ที่หน้าตัวเอง
เพชรกำลังซ้อมทวนท่าที่ได้รับการฝึกมาจากหลวงพ่อ
“ถ้าไอ้จีบันเจอหมัดนี้ของชั้นนะ มันไม่รอดแน่”
“เลิกเพ้อได้แล้ว กลับค่ายกันเถอะ พรุ่งนี้ฉันต้องฝึกหนัก”
“เออจริงด้วย เธอจะขึ้นชกแล้วนี่ แล้วเจอใคร รู้หรือยัง”
“ชบา”
“โอ้ย ชื่อชบา หวานเชียว หมูแน่ๆ” เพชรยิ้มกริ่ม
“ใช่...ถ้าหมูคือขนาดของตัวน่ะนะ”
พริมเปิดมือถือ สไลด์รูปและสถิติการชกของชบาให้ดู ชบายืนเบ่งกล้ามหน้าโหด เพชรเห็นถึงกับสะดุ้ง
“ขึ้นชก 12 ครั้ง ชนะน็อค 11 ครั้ง”
“โธ่ แน่จริงน็อคทั้ง 12 ครั้งดิ” เพชรปากดี
“อีก 1 ครั้ง คู่แข่งเป็นลม แพ้บายไป”
เพชรกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ด้วยความกลัวเกรงในกิตติศัพท์ของชบา
“พูดง่ายๆก็คือ จีบันภาคผู้หญิงอ่ะ”
พริมหน้าเครียด เพชรเห็นดังนั้น ก็จับข้อมือพริมยกขึ้น เหมือนประกาศแชมป์
“และผู้ชนะก็คือ พริม ศ.อรชร เป็นผู้ชนะน็อคชบาได้เป็นคนแรกคร๊าบ”
พริมหันมายิ้มกับเพชร
“ขอบคุณนะที่เชื่อในตัวฉัน”
“เชื่อสิ เพราะฉันจะสอนวิชาหมัดสั่งให้เธอเอง”
พริมหุบยิ้มอย่างเร็ว เอามือลง
“คิดว่าฉันเอาชนะด้วยตัวเองไม่ได้หรือไง”
“ไม่ใช่ ก็ถ้าได้หมัดสั่งจะได้เก่งขึ้นไง”
เพชรตั้งการ์ด รัวหมัดโชว์ หันมาอวดพริม
“ไง”
แต่พริมไม่อยู่แล้ว เพชรมองหา เห็นพริมขี่จักรยานออกไปไกลลิบแล้ว
“อ้าว รอด้วยเซ่!”
พริมตะโกนกลับมา “เก่งนัก ก็ใช้หมัดสั่งกลับบ้านเองสิ”
เพชรวิ่งตามจักรยานพริมไป
ฝ่ายขนุนนั่งเช็ดเหงื่ออยู่ บุญหลงนั่งอยู่ข้างๆ
“ฟิตอะไร ดึกดื่นละยังมาซ้อมอยู่คนเดียว”
“ขนุนตัดสินใจละ ขนุนจะเป็นนักมวย”
“อ้าว แล้วไม่ได้เป็นอยู่เหรอ”
“หมายถึงจะตั้งใจเป็นนักมวยอย่างเดียว ไม่ทำอย่างอื่นแล้วไง”
“แล้วขนุนเคยทำไรมาเหรอ”
“ก็...” ขนุนยั้งคำพูดไว้ “แค่คิดเฉยๆ ว่าจะขายครีมไรเงี้ย แต่เพื่อนที่เคยอยากขายครีมเหมือนกัน เขาก็ถอนตัว กลับไปขายโอ่งแล้ว วงการนี้คงอยู่ยาก”
“ดีแล้วละ ทำอะไรที่เหมาะกับเราดีกว่า”
“อิจฉาพี่เพชรเนอะ เล่นลิเกก็ได้ ต่อยมวยก็ได้อีก ได้ทุกอย่างเลย”
บุญหลงหน้าเศร้าลง คิดถึงว่าเพชรทำได้ทุกอย่าง และน่าจะได้ใจพริมไปแล้วด้วย
และอดคิดถึงตอนเข้าไปเห็นเพชรล้มทับพริมในวัดคาตาไม่ได้
ยิ่งคิดบุญหลงยิ่งเครียด นั่งเหม่อ จนขนุนเรียกสติ
“พี่หลง...พี่หลง”
บุญหลงสะดุ้ง “ห๊ะๆ”
“นี่ขนุนชกโดนพี่ไปหรือเปล่าเนี่ย พี่ดูไม่โอเคนะ”
“โอเค...พี่โอเค...ว่าแต่ขนุนเถอะ โอเคหรือเปล่า ที่จะเป็นนักมวยน่ะ”
“ทำไมถามงี้อ่ะ”
“ก็พี่ไม่ค่อยเห็นขนุนซ้อมมวยแล้วยิ้มเลย”
“โดนพ่อบังคับแต่เด็กก็เลยชินน่ะ แต่ทำไงได้ล่ะพี่...ชีวิตเป็นของเราก็จริง แต่ก็ใช่ว่าเราจะกำหนดมันได้ทุกอย่างนี่”
บุญหลงหน้าเศร้า “ต้องยอมรับมันให้ได้ใช่ไหม”
ทั้งสองมองไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง ขนุนคิดถึงเรื่องร้องเพลงของตัวเอง ส่วนบุญหลงคิดถึงเรื่องพริม แล้วถอนหายใจพร้อมกัน เฮือกใหญ่ๆ
“เฮ้อ...”
สุดท้ายเพชรก็ได้ซ้อนท้ายจักรยานพริมที่ขี่มาตามทาง
“ตั้งแต่ฉันฝึกวิชาหมัดสั่งมาเนี่ย มันเหมือนมีพลังลึกลับบางอย่างเกิดขึ้นในตัวเลยอ่ะ”
“พลังเพ้อเจ้ออ่ะสิ ใช้หมัดสั่งชนะสักเวทีก่อนเถอะ”
มีแสงจากข้างหน้าวาบเข้าตาของเพชร
“พริม หยุด”
“โกรธทำไมเนี่ย พูดเล่นเอง”
เพชรเห็นพริมไม่หยุดจึงเอื้อมมือไปเบรคจักรยาน
“เฮ้ย ทำไร เพชร”
“ดูนั่น”
พริมมองไปด้านหน้าตัวเอง เห็นว่ามีเอ็นขึงอยู่ตรงหน้า
“นี่มันเอ็นหนิ เธอรู้ได้ไงอ่ะ”
“หนึ่งในเคล็ดลับวิชาหมัดสั่ง คือสายตาต้องไว”
เม่น กะ เก้ง ที่ใส่ไอ้โม่งแสดงตัวออกมา ท่าทางประสงค์ร้าย
“ตาไวอย่างเดียว ไม่ช่วยหรอก” เม่นเย้ย
“ถ้าฝีมือยังห่วยเหมือนเดิม” เก้งหยัน
สองคนควักมีดออกมาขู่ เพชร กะ พริมอึ้ง
แม้นมาศเดินหาของอยู่ในบ้านลิเก
“แฉะ ลูกดอก เห็นเสื้อฉันหรือเปล่า หายไปไหนไม่รู้ 2 ตัว”
แม้นมาศเดินมาที่โถงบ้าน เจอแฉะ กับลูกดอก ใส่เสื้อตัวเอง นั่งแยกขยะกันอยู่
“อ๊าย เสื้อฉัน ใครให้เอามาใส่”
“เสื้อพวกเรา โดนแม่อรชรยึดไปพร้อมตู้เสื้อผ้าแล้ว ยืมใส่แค่นี้ไม่ได้หรือไง” แฉะบอก
“ไปหาซื้อเสื้อใหม่สิ ดูซิ ใส่เสื้อฉันมานั่งคัดขยะด้วย เลอะหมดแล้ว”
“ถ้าเรามีตังค์ซื้อเสื้อใหม่ ก็ไม่ต้องมานั่งแยกขยะด้วยเสื้อคุณนายแบบนี้หรอกครับ” ลูกดอกว่า
“ก็ไปเล่นลิเกหาตังค์สิ ชุดลิเกยังไม่โดนยึดไม่ใช่เหรอ”
“โอ้ย คุณนาย เห็นไหม ว่าเหลือกันอยู่แค่นี้น่ะ จะเล่นยังไง”
“น้าเริงตอนนี้ก็ต้องไปทัวร์ฟีจเจอริ่งกับลิเกคณะอื่น พี่จริยาก็ต้องกลับไปช่วยที่บ้านกรีดยาง”
“เหลือสองคนแบบนี้ โอน้อยออกยังไม่ได้เลย” แฉะบอกหน้าอย่างเซ็ง
แม้นมาศท้วง “สามคนต่างหาก”
ลูกดอกกระโดดเด้ง ด้วยความตกใจ
“ไหนครับ! คุณแม้นมาศเห็นใคร! นึกแล้วเชียวว่าบ้านนี้มีผีลิเกอ่ะ”
“ไม่ใช่! ฉันหมายถึงสามคนนี้” คุณนายปลัดชี้แฉะนับ “หนึ่ง” แล้วชี้ลูกดอกนับ “สอง” และสุดท้ายชี้ตัวเอง “สาม”
“คุณแม้นมาศเนี่ยนะ”
แม้นมาศตั้งวงรำ ยิ้มแป้น แล้วพยักหน้า
“เออ ใช่มีคุณแม้นมาศนี่หว่า ให้ทำหน้าที่แทนจริยาก็ได้”
ต่อมา กลับเห็นแม้นมาศนั่งล้างขวดแก้วบ่นบ้าอยู่
“ฉันหมายถึงให้ไปเล่นลิเกแทนจริยา ไม่ใช่มาใช้แรงงานแทนแบบนี้”
พริม กะ เพชร ระแวดระวังเต็มที่ มองตา เม่น และ เก้งที่ใส่โม่ง เพชรจ้องมีดในมือของเม่น กับเก้ง แล้วพูดกับพริม มาดนิ่ง ปน เท่
“พริม หลบไปก่อน เดี๋ยวฉันจะ...”
พริมไม่รอช้า ร้อง “ย๊าก...” แล้ววิ่งเข้าไปลุยทั้งสองโดยไม่รีรอ
“อ้าว เฮ้ย! บอกให้หนีไป”
พริมสู้กับเม่น หลบมีดอย่างคล่องแคล่ว แต่เจอเก้งจ้วงมีดเข้ามา พริมหลบ เม่นอาศัยจังหวะนี้เข้าชาร์จพริมจากด้านหลัง
“ชอบแรงๆ ใช่ไหม เดี๋ยวพวกพี่จัดให้!”
เพชรถีบเม่นกระเด็นไป ช่วยพริมหลุดออกมา
“หึ ไอ้อ่อน จะทำตัวเป็นฮีโร่เหรอ คราวก่อนยังไม่เข็ดใช่ไหม” เม่นเยาะ
“ว่าใครอ่อนนะ”
“ก็แกไง ไอ้อ่อน!.”
เม่นกำมีดจะวิ่งเข้าไปแทงเพชร เพชรตั้งการ์ดรับ
“เจอหมัดสั่งสักหน่อย”
เพชรหลับตาทำสมาธิ ลืมตาขึ้นมาแล้วเป่าที่หมัดขวา พบว่ามีกระแสไฟฟ้าแลบที่หมัดของเพชรแวบหนึ่ง แล้วหายไป เม่นเข้ามาใกล้จ้วงมีดใส่เพชรอย่างแรง แต่เพชรปัดมีดในมือเม่นไป หลังจากนั้นเพชรก็รัวหมัดใส่เม่นไม่ยั้ง เม่นโดนชกรัวๆ
ขณะที่เพชรเตรียมง้างหมัดใส่เม่น แต่เก้งวิ่งเข้ามาผลักเม่นออก เป็นจังหวะเดียวกับที่เพชรปล่อยหมัดชกออกไป หมัดนั้นโดนเก้งเข้าอย่างจัง ร่างเก้งกระเด็นไปโดนเม่นด้วยล้มทับกัน นอนสลบไม่ได้สติกันทั้งคู่ เพชรหันมาหาพริม เห็นพริมยืนอึ้งตะลึงตะไล อ้าปากค้าง
“รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวมีพวกมันตามมาอีก”
เพชรดึงพริมไปทั้งๆ ที่ยังอ้าปากค้าง เหวอ ไม่เชื่อสายตาตัวเองอยู่
รุ่งเช้า พริม เพชร ขนุน กำลังวอร์ม เตรียมจะไปวิ่ง บุญหลงวิ่งมาหาพร้อมกระดาษในมือ
“น้าชาติทำตารางซ้อมของพริมมาให้ละ”
พริมดูกระดาษตาราง บุญหลงพูดจังหวะเดียวกับที่พริมเดินไปหาเพชร
“เดี๋ยวหลงช่วยซ้อมให้นะ”
พริมไม่ทันฟังบุญหลง ก็เดินไปหาเพชร แล้วยื่นตารางให้เพชร
“เธอมาช่วยฉันซ้อมด้วยนะ”
เพชรงง ส่วนบุญหลงมองอย่างผิดหวัง
“พี่พริมจะให้พี่เพชรช่วยซ้อม? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย พี่หลงไม่ว่างเหรอ”
บุญหลงเข้าไปใกล้พริม
“หลงช่วยได้นะพริม”
“ไม่เป็นไรหลง ขอบคุณมาก เพชรเขามีวิชามาใหม่ พริมอยากรู้ว่าจะเป็นยังไง”
“หึๆๆ ในที่สุดเธอก็ยอมรับวิชาหมัดสั่งของฉันละล่ะสิ”
พริมดุ “ไม่ต้องพูดมาก ไปวิ่งได้แล้ว! เร็ว”
พริมวิ่งนำไป
“ใครฝึกใครกันแน่เนี่ย!”
พริมส่งเสียงเรียกเร่งมา “ตามมาเร็ว!”
เพชรวิ่งตาม
“คู่นี้ตลกดีเนอะ”
ขนุนยิ้มขำ พลางหันมามองบุญหลง เห็นสีหน้าบุญหลงเศร้ามาก ก็รู้สึกได้ ว่าบุญหลงเศร้าเรื่องพริม
เม่นหน้าตาบวมเป่งเขียวช้ำ ส่วนเก้งใส่เฝือกคอตาเขียว ยืนสงบเสงี่ยมต่อหน้าจีบัน และปลัดจอมหื่น ในค่ายเมฆดำ
“อื้อหืม น้องพริมนี่โหดได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ปลัดว่า
“ไอ้ไอ้อั๊บ อี๋อือไอ้เอ๊ดอั๊บ” เม่นบอกว่า “ไม่ใช่ครับ ฝีมือไอ้เพชรครับ”
จีบันตกใจใหญ่มาก “ห๊ะ” แล้วเปลี่ยนอารมณ์มางงจริงๆ “ใครวะ ไอ้เอ๊ด”
เก้งบอกว่า “เพชรครับ ฝีมือไอ้เพชรมัน มันเก่งขึ้นมากเลยครับป๋า”
จีบันเสียงสูง “ไอ้เพชร...” แล้วสูงขึ้น “ไอ้เพ้ชร” สุดท้ายสูงมาก “ไอ้เพ๊ชรเนี๊ยน๊า”
ปลัดรำคาญ “โอ๊ย...พอแล้ว”
“มันจะเป็นไปได้ไง เราแพ้ไอ้นักมวยค่ายศ.อรชรได้ยังไง ใครรู้เข้า อายตายเลย”
“ใช่ เมื่อไรจะได้ตัวน้องพริมล่ะเนี่ย”
“หยุดบ้ากามแป้บนึงได้ไหมปลัด” จีบันนึกขึ้นได้ “เออ พริม” แล้วหันมาทางเก้ง “ศึกวันเมฆชมพูที่เราจะจัดชกที่ค่าย พริมก็มาสมัครด้วยใช่ไหม”
“ครับ”
“ดีละ ใช้โอกาสนี้แหละ เหยียบชื่อค่ายศ.อรชรให้จมดินเลย”
“จะทำไรน้องพริมหรอ เว้นหน้าไว้ได้ไหม เสียดาย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกปลัด ฉันคิดวิธีที่ทำให้ยัยพริมคนสวยแพ้โดยไม่ต้องเจ็บตัวได้แล้ว”
จีบันยิ้มชั่วในสีหน้าเจ้าเล่ห์สุดๆ
ฝ่ายขนุนนั่งพันผ้าที่มืออยู่ อย่างเซ็งๆ เอื้อยเดินผ่านมา
“นานๆ ทีจะเห็นตั้งใจซ้อมอย่างนี้นะเนี่ย รับรองอนาคตเป็นนักมวยหญิงรุ่งแน่”
ขนุนหนักใจ แต่ก็หันไปฉีกยิ้มให้เอื้อย
“จ้ะ”
เอื้อยยิ้มแล้วเดินผ่านไป ขนุนกลับไปเซ็งเหมือนเดิม สักพักเสียงริงโทนเพลง ตื๊ด ก็ดังขึ้น ขนุนเงยหน้าขึ้นมา เสียงเพลงดังขึ้น
“มีรักทีไรให้ใจก็โดนทิ้ง ไม่รักกันจริง ซะเลยนะผู้ชาย”
ขนุนเริ่มขยับตามจังหวะเพลง
“ก็พอกันที ไม่ไหวมันตรอมใจ มันซังกะตาย กับรักที่น่าเบื่อ Let is go”
ขนุนกำลังจะเริ่มร้อง เพลงก็หยุดกึก เสียงเอื้อยดังมาแทน
“ฮัลโหล”
ขนุนค้างไว้ รอให้เอื้อยเดินคุยโทรศัพท์ ผ่านหน้าขนุนไปก่อน แล้วขนุนก็หยิบนวมเดินออกไป
พริบตานั้นขนุนสะบัดผมหันหน้ามา ในมือถือนวมแทนไมค์ ร้องเพลง "ตื๊ด" ของกระแต อาร์สยาม เหมือนเล่นคอนเสิร์ตของตัวเองอยู่ พร้อมกับเต้นไปด้วยอย่างเมามันส์
“มีความรักกับเขาสักที โอ้ชีวิตนี้ไม่ได้ดั่งใจ
ก็เพราะว่าเจอผู้ชาย ไวไฟลวดลายให้เราเจ็บช้ำ
คงต้องโทษตัวเองเอ้าเซ็ง เซ็ง เซ็งที่ไปถลำ
ไม่รู้ว่าเวรหรือกรรม หลอกกันซ้ำ ซ้ำแทบทนไม่ได้
ให้มันพอกันที อย่างนี้ไปกันไม่ไหว
อกหักไม่ยักกะตาย ไม่เห็นวอร์รี่
อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้ มาตื๊ดสักหน่อย
อารมณ์บ่จอย ก็เลยมาตื๊ดสักที
ให้ลืมผู้ชายที่มันนิสัยไม่ดี
อกหักอย่างเนี้ย มามะ มาตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด
ความรักจืดชืดมาตื๊ดดีกว่า”
ขนุนสะบัดผมหันมาอีกทาง ครวญเพลง "เมรี" ต่อ ใช้ที่กระโดดเชือกทำไมค์ จนจบเพลงหันมาเจอเอื้อยยืนมองนิ่งๆ ท่าทีอึ้งๆ เสียงเพลง เมรี หยุดกึก หายไปจากมโนทันที
เอื้อยมองเหล่ “ทำอะไร”
“เอ่อ วอร์มร่างกายก่อนซ้อมน่ะจ้ะ ร้องไปด้วยวอร์มไปด้วย ดีนะพี่เอื้อย”
“เหรอ ทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน ระวังมันจะไม่ดีสักอย่างนะ เลือกที่มันสำคัญกับเราจริงๆ ดีกว่า”
ขนุนคิดตาม
ส่วนที่ค่ายเมฆดำยิม กล้ามแขนชบาตอนนี้กำลังขยับขึ้นลง เหมือนยกดัมเบล ท่าทางชบามุ่งมั่นมาก โดยยกไข่เค็มแทนบาร์เบลอยู่
“ครบ...ครบ 100 ครั้งแล้วครับ” ไข่ดำบอก
“บอกว่าจะเอา 200 ครั้งไง”
“100 ครั้ง เพราะผมจะ แหวะ” ไข่เค็มทำเสียงจะอ้วก
“เฮ่ยๆๆๆ”
ชบารีบวางไข่เค็มลง จีบันเดินเข้ามา
“ชบา”
ชบารีบยืนตัวตรง ทำความเคารพจีบัน “ค่ะ”
ไข่เค็มรีบหลบหลังชบา
“รู้แล้วใช่ไหม ที่ไอ้เม่น ไอ้เก้ง โดนคนของค่ายศ.อรชรยำมา”
“ค่ะ”
“ศึกเมฆชมพูคราวนี้ เป็นโอกาสที่เราจะยังรักษาชื่อเสียงของค่ายเราไว้ได้ เพราะฉะนั้นความหวังของพวกเราก็คือ”
จีบันชี้มาทางชบาและไข่เค็ม
“เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
จีบันถามเสียงดังอีก “ถามว่าเข้าใจไหม”
ชบาตะโกนรับ “ค่ะ”
“ตะโกนทำไม ฉันถามไอ้เด็กนี่!”
จีบันหิ้วคอเสื้อไข่เค็มขึ้นมา
“ผมเหรอครับ ผมไม่ได้เป็นคนต่อยนะ”
“เพราะงั้นแกเลยว่าง เอายาถ่ายไปใส่ในน้ำยัยพริมตอนชกยังไงล่ะ”
ไข่เค็มตกใจ กำลังจะอ้าปากตอบปฏิเสธ
“และถ้าแกไม่ทำตามคำสั่ง ก็เตรียมตัวไปเป็นเด็กจรจัดได้เลย!.”
ไข่เค็มหนักใจ เครียดเป็นที่สุด
เพชรล่อเป้าให้พริม พริมเตะไปพูดไป
“เมื่อไหร่จะสอนหมัดสั่งให้ฉัน”
“โห เธอจะแข่งพรุ่งนี้อยู่แล้ว จะสอนทันได้ไง”
“ก็สอนมาเหอะ ฉันหัวไว”
“ไม่รู้อะ เรียนเป็นอย่างเดียว สอนไม่เป็น”
พริมหยุดเตะ
“เอ้า แล้วที่พูดดี ว่าจะสอนๆ ฉันน่ะ”
“นี่ก็เชื่อคนง่าย ก็พูดไปอย่างงั้นอะ”
“พูดไปอย่างงั้น”
พริมยัวะเข้าไปรวบคอเพชร แล้วซ้อมเข่าใส่เพชร รัวๆ
“พูดไปอย่างงั้นเหรอ นี่แน่ๆๆๆ”
“เฮ้ย เดี๋ยวโดนจริง”
“นี่แน่ะ”
“เออๆๆ สอนๆๆๆๆ สอนแล้วๆๆๆ”
บุญหลงรีบเข้ามาหาเพชร กับพริม เพราะมีเรื่องด่วน แต่กลับมาเห็น พริมกับเพชรหยอกล้อเล่นกัน บุญหลงอึ้งไปสักพัก ก็ตัดสินใจขัดจังหวะ
“อะแฮ่ม ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะ แต่เกิดเรื่องที่บ้านเพชร รีบไปเถอะ”
สองคนหยุดค้างไว้ที่ท่าพริมรวบคอเพชรอยู่ ทั้งสองงง แล้วหันมามองกันอีกที จนนึกได้ว่าหน้าใกล้กันแค่คืบ เลยรีบผละตัวจากกัน
บุญหลงทนดูไม่ได้ เดินหนีออกไป พริม เพชร รีบวิ่งตามไป
อ่านต่อหน้า 3
ลิเกหมัดสั่ง ตอนที่ 17 (ต่อ)
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นในบ้านลิเก พริม เพชร และบุญหลง วิ่งเข้ามา เห็นเอื้อยถือชุดลิเกในมือ ส่วนมืออีกข้างถือกรรไกร
“ว่าไง จะจ่ายไม่จ่าย! ถ้าไม่จ่าย ไอ้นี่ไม่เหลือแน่”
“เดี๋ยวครับ ชุดนั้นเป็นอุปกรณ์ทำมาหากิน เป็นสิ่งมีค่าของพวกเรา พี่เอื้อยอย่าทำลายเลยนะครับ” เพชรขอร้อง
“พี่เอื้อย เราพูดกันดีๆก็ได้นี่” พริมขอร้อง
“ไม่ได้” เอื้อยกระซิบขนุน “เฮ้ย เล่นบทเจ้าหนี้หน่อยสิ ช่วยหน่อย”
ขนุนกระซิบกลับ “สงสารเขาอ่ะพี่”
“สงสารทำไม นี่ชอบพวกลิเกหรือไง”
ขนุนขัดไม่ได้ สวมบทโหดทันที เพราะกลัวเอื้อยจับได้ว่าเป็นมิตรกับลิเก
“นี่! พวกแกน่ะ อย่ามาอวดดี โธ่ เอ๊ย...” ขนุนพยายามคิดคำด่า “ไอ้พวกเต้นกินรำกิน...พวกเสียงดัง... พวกรำไม่สวย”
“โห เจ็บน่าดูเลย” ลูกดอกประชด
“จะจ่ายไหม ไม่จ่าย พวกเราก็เอาชุดกลับเว้ย” เอื้อยขู่ซ้ำ
“พี่เอื้อย เราเอาไป ก็ไม่ได้ใส่มั้ง” บุญหลงบอก
“ก็ไม่ได้จะเอามาใส่”
“แล้วจะเอาไปทำไรล่ะครับ”
“ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องเอาไรมาสักอย่างอ่ะ”
“ถ้าเอื้อยต้องเอาสิ่งของไปขัดดอกจริงๆ ละก็ เอาหัวใจแฉะไปเถอะจ้ะ” แฉะอ้อน
“เออ ดี แม่จะได้จ้วงด้วยกรรไกรนี่เลย”
ทุกคนตกใจร้องเสียงหลง “เฮ้ยย อย่า”
แฉะดันแม้นมาศไปหาเอื้อย “เอาคุณแม้นมาศไปเลย เอาไปเลยยกให้”
“จะเอาไปทำไมล่ะ”
แฉะ เอื้อย ต่างคนต่างก็ดันแม้นมาศให้กัน จนคุณนายโมโห
“หยุด นี่ฉันมีค่านะ ไม่ใช่จะเอามาขัดดอกกันแบบนี้ ฉันจะหาเงินมาใช้หนี้ให้เอง”
ทุกคนได้ยินแม้นมาศพูดแบบนี้ ก็นิ่งไปสักพัก แล้วแฉะกับเอื้อย ก็ผลัดกันดันคุณแม้นมาศให้อีกฝ่ายต่อ
“เอื้อยเอาไปเถอะจ้ะ”
“ไม่เอา”
พริมสงสาร หันมามอง เห็นเพชรเครียด ก็คิดว่าต้องทำไรสักอย่าง
กลับถึงค่ายพริมซ้อมหนักจนมืดค่ำ โดยมีสายตาคู่หนึ่งกำลังแอบจับจ้องไปที่พริมไม่วางตา
เวลาผ่านไป พริมเก็บของ เดินออกมา สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องพริมอยู่
พอพริมเดินออกมา เจ้าของสายตาคู่ดังกล่าวเดินเข้าใกล้พริมมากขึ้นเรื่อยๆ จนพริมรู้สึกตัวหันมาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย”
พริมจะเตะ แต่หันมาเจอบุญหลงเตรียมหลบ
“พริม หลงเอง”
“หลง มาทำไรดึกดื่นป่านนี้”
“ก็...เห็นพริมยังซ้อมอยู่ หลงก็เลย.... เอ่อ...”
“รอซ้อมต่อ? ล้อเล่น นี่มาเฝ้าพริมเหรอ”
“เพิ่งเกิดเรื่องมา เราไม่อยากให้มันเกิดอีกน่ะ”
“ขอบคุณนะ”
“พริมซ้อมหนักมากเลย ถ้าน้าอรรู้ว่าพริมตั้งใจคว้าแชมป์ขนาดนี้ ต้องดีใจแน่ๆ”
“แต่ถ้าน้าอรรู้ว่าพริมจะเอาเงินรางวัล ไปใช้หนี้ให้เพชรล่ะก็ คงไม่ดีใจแน่ๆ”
บุญหลงได้ยินก็เจ็บจี๊ด
“พริมเป็นห่วงเพชรมากเลยเนอะ”
“ใช่... ก็เพื่อนเราลำบากทั้งคน ใครก็ต้องห่วงทั้งนั้นแหละ ดูอย่างหลงสิ ยังมาเฝ้าเราเลย หลงก็ห่วงเพื่อนใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่ เราห่วงพริมมากกว่านั้น พริม... เราชอบพริมนะ”
พริมอึ้งที่บุญหลงบอกความในใจ
ความจริงแล้ว บุญหลงยืนมองพริมนิ่งนาน
“หลง... หลง!”
จนบุญหลงได้สติ
“ห๊ะๆ อ๋อ ใช่ เราก็ห่วงเพื่อน ใช่ เพื่อน...”
พริมยิ้ม แล้วเดินออกไป บุญหลงได้แต่มองพริมอย่างอึดอัด อยากบอกความในใจ
วันนี้ขนุนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไป เผลอฮัมเพลงออกมา จนนึกขึ้นได้ รีบปิดปากตัวเอง
“ไม่เอาๆ ไม่ร้องเพลงๆๆ”
ขนุนสะกดจิตตัวเองไปก็เปิดหนังสือพิมพ์ไป แล้วเปิดมา เจอประกาศโฆษณาตัวใหญ่มากว่า “ประกวดร้องเพลง” ขนุนเผลอตัว รีบอ่านรายละเอียด อย่างสนอกสนใจ
“รายการแข่งขันร้องเพลง เปิดรับสมัครที่กรุงเทพฯเท่านั้น”
ขนุนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะไม่สนใจการร้องเพลง ก็ปิดหนังสือพิมพ์ทันที
“ไม่ร้องเพลง”
ขนุนขยำหนังสือพิมพ์ลงถังขยะ เหมือนไม่สนใจใยดี
ใกล้เวลาชก พริม เดินเข้ามาในค่ายเมฆดำ มีเพชร บุญหลง เอื้อย ตามมาด้วย เพชรเห็นเม่น กะเก้งที่ยังบาดเจ็บอยู่
“ทำไมหน้ามันเยินอย่างนั้นเนี่ย เฮ้ย หรือว่า...” พริมคิดได้ว่าอาจเป็นพวกเดียวกับนักเลงที่ทำร้ายตยกับเพชร
เอื้อยสอดขึ้น “พวกนักมวยก็งี้แหละ เนอะพริมเนอะ”
พริมงง
“ถ้าเห็นท่าไม่ดี ยอมแพ้เลยนะ เสียโฉมแล้วไม่คุ้มหรอก”
พริมกลอกตาเซ็ง หันไปอีกทางเห็นปลัดอยู่กับแก๊งเมฆดำหันมากระซิบถามกับเพชร
“ไอ้คุณปลัดมาทำไรที่นี่อ่ะ”
“ใจเย็น คนมากมายขนาดนี้ มันไม่กล้าหรอก”
อีกด้าน จีบันกำลังทำพิธีให้ชบา ปลัดอยู่ข้างๆ พนมมือไว้ ชบาก้มหัวพนมมือ จีบันจับหัวชบาไว้ ท่องคาถางึมงำๆ แล้วเป่า “เพี้ยง”
พ่นน้ำลายลงบนหัวชบา
จีบันคุย “ฝีมือ!”
“เอ้อ!.”
ชบาแอบปาดน้ำลายออกจากหัว ไม่ให้จีบันเห็น
พอปลัดหันมาเห็นพริม ก็โบกมือยิ้มให้ แต่พริมทำเป็นไม่มอง
โฆษกขึ้นไปบนเวทีมวย มีคนดูหนาตา
“และคู่ต่อไป คู่โหดของวันนี้ เริ่มที่ ชบา เมฆดำยิม”
ชบาขึ้นไปบนเวที โฆษกรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนทุกย่างก้าว
“พบกับ... โอ้โห จะไหวไหมเนี่ย...พริมพยัคฆ์ ศ.อรชร”
พริมขึ้นไปบนเวที มองโฆษกอย่างเซ็งๆ
กรรมการให้สัญญาณชก โฆษกประกาศ “ยกที่ 1 เริ่ม”
พริม ชบา ต่างดูเชิงกันก่อน
เพชรมองลุ้น แต่เหลือบไปเห็นไข่เค็มทำลับๆ ล่อๆ เดินมาจนถึงกระติกน้ำของพริม
“อ้าว ไข่เค็ม”
ไข่เค็มตกใจ วิ่งหนีออกไป
“อะไรของเขาวะ”
เสียงกองเชียร์ดังขึ้น เพชรหันไปมองบนเวที
พริมกำลังชกรัวๆๆๆๆๆๆ ปล่อยหมัดสั่งไปอย่างเต็มแรง
เพชร บุญหลง และเอื้อย ลุ้นระทึก
พริมปล่อยหมัดไปอีกแต่คราวนี้โดนชบากันไว้ได้ แล้วถีบพริมไปเต็มแรง พริมไถลลงไปนอนที่เวที
กองเชียร์ฝั่งเมฆดำเฮสุดเสียง
“เฮ้”
ฝั่งศ.อรชรหน้าเสีย ปลัดตะโกนขึ้นไปในเวที “อย่าโดนหน้า!”
จีบันและชาวเมฆดำหันมามองปลัดเป็นตาเดียว ปลัดจ๋อย จนมีมือมาสะกิดๆ ปลัดหันไป เจอแม้นมาศ ส่งสัญญาณขอให้ออกไปคุยข้างนอก ปลัดเดินตามออกไปอย่างไม่พอใจนัก
พริมกัดฟันลุกขึ้นมา ระฆังตีหมดยก พริมเข้ามุม บุญหลงกังวล
“พริม อย่าฝืนเลยนะ”
“ไม่ พริมยังไหว”
เพชรเดินเข้ามา พูดลอยๆ “กลับบ้านไปพอกหน้าไป”
พริมอย่างเคือง “อะไรนะ”
เพชรทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ห๊ะ อ๋อ ฉันได้ยินยัยชบาพูดก่อนขึ้นชกน่ะ แล้วก็พูดอีกว่า อย่างเธอ แค่เจอสองสามหมัด ก็ร้องไห้ กลับไปเติมหน้าที่บ้านแล้ว”
พริมแค้น “หึ ร้องไห้เหรอ เอ้อ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะร้องไห้”
สิ้นเสียงระฆัง พริมปรี่ไปหาชบา บุญหลงงง แล้วหันไปดูเวที พริมมีแรงฮึดขึ้น ตั้งท่ารอชบา
“ไหน มีอะไรจะพูด พูดต่อหน้าฉันสิ”
ชบางง “ห๊ะ”
“จะให้กลับไปทำสวยใช่ไหม”
พริมชกชบา แต่อีกฝ่ายหลบได้หวุดหวิด
“กลับไปพอกหน้า”
พริมเตะอัดชบา แต่ชบากันไว้ได้ ชบางงกับท่าทีใหม่ของพริม
เพชรเดินเลาะเข้ามาใกล้ๆเวที แอบตะโกนไปบิวท์พริม
“พวกกระจอก กระจอกทั้งค่ายนั่นแหละ”
พริมฮึดมากขึ้น “ฮึ่ย” แล้วปล่อยหมัดรัวใส่ชบา
เพชรยิ้มสมใจ เห็นพริมชกรัวๆ ไม่หยุด
มวยตกเป็นรอง จีบันเริ่มเครียด มองหาไข่เค็มพยักหน้าให้สัญญาณ ไข่เค็มพยักรับ แล้วแอบเดินเข้าไปใกล้ที่ขวดน้ำของพริม เปิดซองยาถ่าย ไข่เค็มชะงักไปสักครู่ มองพริมที มองเพชรที แล้วตัดสินใจทำบางอย่าง
เด็กชายผมม้าเต่อ เทยาถ่ายไปที่นอกขวดน้ำของพริม เทจนหมดซอง แล้วหันไปยกนิ้วให้จีบัน โดยจีบันคิดว่าแผนสำเร็จก็กระหยิ่มใจ
ฝ่ายปลัดเดินตามแม้นมาศออกมา แม้นมาศแกล้งร้องไห้ออกมาทันที
“ฮือๆๆๆ”
ปลัดตกใจ “เฮ้ย เป็นไร”
แม้นมาศไออย่างแรง
“ฉัน... ฉันกำลังจะตายค่ะคุณปลัด”
แม้นมาศทำเป็นล้มเป็นลมลงไป ปลัดยืนมองงงๆ
“โอ๊ย ช่วยหน่อยสิ”
ปลัดดึงเมียขึ้นมา แม้นมาศทำหน้าป่วยเจียนตายอย่างสมบทบาท
“ฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน เห็นแก่ความหลังที่เรามีร่วมกัน คุณปลัด พอจะมีเงินให้ฉันยืมไปรักษาตัวไหมคะ”
“เท่าไรล่ะ”
แม้นมาศไอโขลกๆ “2 ล้านค่ะ”
ปลัดโมโห ไม่เชื่อ “2 ล้าน! งั้นก็ตายไปละกัน”
แม้นมาศชักโกรธ “คุณปลัด”
“คิดว่าฉันโง่เหรอ หนังเหนียวอย่างเธอ ไม่ตายง่ายๆ หรอก บอกมา จะเอาเงินไปทำอะไร”
แม้นมาศลังเลใจจะบอกหรือไม่บอกดี
เสียงระฆังหมดยกดัง พริมเข้ามุมสภาพหน้าตาฟกช้ำ บุญหลง กะเอื้อยรีบเข้ามาดู ชบาเข้ามุม พบว่าหน้าตายับเยินกว่าพริมหลายเท่า จีบันกุมขมับ แต่แอบส่องดูพริมตลอดว่ากินน้ำอยู่หรือเปล่า
บุญหลงยื่นกระติกน้ำให้พริมดูด เมฆดำยิ้มชั่ว เพชรเข้าไปใกล้พริม
“สมาธิดีๆ นะ”
“เพชร ฉันลองหมัดสั่งไปตอนแรก แล้วมันไม่ได้อ่ะ”
เพชรพูดจริงจัง “ปล่อยไปตามธรรมชาติ จับการเคลื่อนไหวของคู่แข่งให้ได้ แล้วก้าวนำเขา 1 ก้าวเสมอ”
พริมนิ่งไปอย่างเป็นกังวล เพชรเปลี่ยนกลับไปแผนเดิม คือแกล้งยั่วพริม
“ฉันว่าค่ายเมฆดำมีเอี่ยวเรื่องที่ปลัดส่งนักเลงมาจับเธอไปนะ ดูสิ”
พริมมองไปยังปลัดคุยกันถูกคอกับจีบัน แล้วมองไปที่เม่น กะ เก้ง พริมมโนเห็นเป็นโม่งมาสวมหัวเม่น กับเก้ง ก็มั่นใจว่าคือคนเดียวกัน
“ไปจัดการให้มันรู้กันไป ว่าพวกมันจะทำไรเธอไม่ได้!.”
“ใช่”
พริมดีดตัวไปพร้อมความแค้นสุดจะประมาณ
ฟากจีบันอวดแผนกับปลัด
“คอยดูนะ เดี๋ยวน้องพริมจะหมดแรงเกลือแร่ มาทรุดแทบเท้าปลัดเลยล่ะ”
“ถ้าเป็นงั้นจริง ฉันจ่ายไม่อั้นเลย”
จีบบัน กะ ปลัดหัวเราะชอบใจ
ระฆังชกดังขึ้น พริมจินตนาการว่าชบาใส่โม่งอยู่ พริมเพิ่มความแค้นชกชบาเต็มแรง ชบานอนแน่นิ่ง กรรมการมานับเช็ค แล้วยกมือพริมขึ้น
“พริมพยัคฆ์ ศ.อรชร ก็ชนะน็อค ชบา เมฆดำยิม ได้เป็นคนแรก”
พริมกระโดดโลดเต้นดีใจสุดขีด เพชร บุญหลง เอื้อย ร้องเฮลั่น
จีบันส่งสายตาอำมหิตหันไปมองไข่เค็ม เด็กจอมแก่นรู้ตัวก็รีบหนี จีบันจึงเดินตามไป จนถึงจุดที่กระติกน้ำพริมวางอยู่ เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นผงยาถ่ายกองอยู่ข้างถาด เลยได้รู้ว่าไข่เค็มไม่ทำตามสั่ง
“ไอ้ ไข่ เค็ม!”
ทุกคนกลับถึงค่าย เพชรพยุงพริมมานั่ง
“แล้วไปได้ยินชบาพูดตอนไหนเหรอ เรื่องที่…”
เพชรบอกหน้าเฉย “เอ่อ... เดาเอาอ่ะ”
“เดาอะไร”
“ก็เดาว่า ถ้าชบาพูดแบบนี้ แล้วเธอต้องปรี๊ดแตกไง”
พริมอึ้ง “นี่...ตกลงชบาไม่ได้พูดเหรอ”
เพชรยิ้มแหะๆ
“หืม...”
“โอ้ย อย่าๆๆ”
เพชรหลับหูหลับตา กลัวพริมตี พริมหยิบซองเงินรางวัลมาตีที่มือเพชร
“นี่แน่ะ”
เพชรลืมตาดูเห็นซองเงินรางวัลในมือ
“อ่ะ ฉันให้”
เพชรมองพริมอย่างอึ้งๆ งงๆ
บุญหลงแอบดูเพชรกับพริมอยู่อีกมุม ด้วยสีหน้าเศร้า ขนุนเดินมาเห็น
“พี่นี่ซาดิสต์เนอะ”
“ยังไงอ่ะ”
“ก็มาดูภาพบาดตา ให้มันบาดใจเล่นอยู่ได้”
บุญหลงมองหน้าขนุน ตกใจที่ขนุนรู้
“ขนุนดูออกน่า แล้วนี่พี่จะทนไปอย่างนี้เหรอ”
“ก็ขนุนเป็นคนบอกเองนี่ ว่าเรากำหนดไม่ได้ทุกอย่าง”
“แต่นี่มันคนละเรื่องกัน พี่อาจจะเปลี่ยนมันได้ก็ได้นะ”
ขนุนจับไหล่บุญหลง
“ยังไม่ลองบอกความในใจเขาเลย จะรู้ผลได้ไงล่ะ”
บุญหลงมั่นใจขึ้น
“ขอบคุณนะ ขนุนเองก็เหมือนกัน ลองทำให้ถึงที่สุดดู อาจจะขายครีมแล้วรุ่งกว่าเป็นนักมวยก็ได้นะ”
“ครีม? อ๋อใช่ ครีมๆๆๆ ขายครีม”
ขนุนคิดตามบุญหลงสักพัก
“ใช่ ฉันยังไม่ได้ลองให้ถึงที่สุดเลย”
สุดท้ายขนุนวิ่งไปที่ถังขยะ แล้วคุ้ยหาหนังสือพิมพ์ฉบับที่ขยำทิ้งขึ้นมา เปิดดูที่หน้าประกวดร้องเพลง แล้วยิ้มออกมาเต็มใบหน้าตัดสินใจเด็ดขาด
พริม กะ เพชร เข้ามาหาเอื้อย ที่กำลังจัดเก็บเอกสารในออฟฟิศ
เพชร มองหน้าพริม อีกฝ่ายยิ้มแล้วพยักหน้าให้ เพชรยื่นซองรางวัลของพริมให้เอื้อย
“พี่เอื้อย นี่ครับ”
“นี่มันรางวัลน้องพริมนี่” เอื้อยมองนิ่ง
“ไม่ใช่ค่ะ ค่าดอก และค่าผ่อนเงินต้นงวดแรกของคณะสำเริงต่างหาก”
เอื้อยมองอย่างงงๆ “พี่รับไว้ไม่ได้”
พริมอ้อน “นะคะ ไม่ต้องบอกน้าอรก็ได้”
“แล้วผมจะผ่อนงวดอื่นๆ แล้วหามาคืนพริมทีหลังเองครับ”
“แต่ตอนนี้คืนของให้เพชรไปเถอะค่ะ”
“ไม่ใช่ ที่พี่รับไว้ไม่ได้ก็เพราะว่า คณะสำเริงมาใช้หนี้หมดแล้ว ทั้งต้นทั้งดอก แล้วก็เอาโฉนดบ้านคืนไปแล้วด้วย”
“ห๊ะ” สองคนตาเหลือกอุทานลั่น มองหน้ากันงงๆ
เพชร กะพริมวิ่งหน้าตื่นมาที่บ้านลิเก เห็น แฉะ ลูกดอกนั่งอยู่หน้าบ้าน
“พี่แฉะ พี่เอื้อยให้โฉนดคืนเรามาแล้วเหรอพี่”
แฉะนิ่ง ไม่พูดอะไร สักพักปลัดจอมหื่นจึงเดินออกมาจากบ้าน
“ใช่แล้ว”
พริมเหม็นขี้หน้า “นี่ มาที่นี่ทำไม”
“ก็นี่มันบ้านพี่นี่จ๊ะ เห็นโฉนดในมือพี่ไหมล่ะ”
“คุณเอาไปได้ยังไง” เพชรหันมาทางแฉะ “มันขโมยไปใช่ไหมพี่”
ปลัดคุยข่ม “นี่ๆๆ พูดให้ดีๆ ฉันได้มาโดยชอบธรรมตามสิทธิ์ทุกอย่าง ก็ฉันเป็นคนไถ่บ้านหลังนี้คืนมา ฉันก็ต้องมีสิทธิ์ซี่”
“ห๊ะ” เพชรตกใจ
แม้นมาศเดินร้องไห้ออกมา “พี่ขอโทษค่ะ น้องเพชร”
“แต่เจ้าหนี้อย่างฉัน ไม่โหดร้ายหรอก พวกแกหาเงินมาคืนฉันให้ได้ตามกำหนดละกัน ไม่อย่างนั้นบ้านนี้จะตกเป็นของฉัน และพวกแกจะไม่มีที่ซุกหัวนอนตลอดไป ส่วนฉันก็จะได้ใกล้ชิดน้องพริมมากขึ้นไปอีกด้วย”
“ฉันมีเวลาเท่าไร”
“1 เดือน”
ทุกคนมองหน้ากันวิตก ปลัดหื่นยิ้มเยาะสะใจ
ถัดมา แม้นมาศเอาแต่นั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่
“ปลัดมันหลอกฉัน ว่าจะช่วยไถ่บ้านให้ ไม่นึกเลย ว่ามันจะฮุบไว้เอง”
“พี่ขอโทษจริงๆ ว่ะเพชร พี่ไม่น่าเชื่อยัยคุณแม้นมาศนี่เลย” แฉะเครียดปนโมโห
แม้นมาศร้องหนักมากขึ้น
“คุณแม้นมาศเขาก็แค่หวังดี...เกินไปมากๆ เท่านั้นแหละพี่” ลูกดอกปลอบ
เพชรพูดเหมือนช่วยปลอบแต่หลอกด่า “คุณแม้นมาศไม่ผิดหรอกครับ แต่ผิดมากเลย”
“เพชรใจเย็น เวลานี้ ใครๆ ก็ต้องหาวิธีช่วยทั้งนั้นแหละ”
“ปลัดก็ใจดีเชียว ให้เวลาหาเงินมาไถ่ตั้ง เดือนนึง ใครจะไปไถ่ทันวะ” แฉะบ่นงึม
“ฉันจะไปพูดให้เอง” พริมว่า
“พริม เธอทำเพื่อพวกเรามามากแล้ว ถึงเวลาแล้ว ที่ฉันจะกู้คณะสำเริงขึ้นมาด้วยมือฉันเอง”
“เงินตั้งมากมาย ต่อให้พี่แข่งมวยทุกรายการในจังหวัด หรือเล่นลิเกทุกงานที่มี ก็หาไม่ได้หรอก” ลูกดอกบอก
“ฉันจะแข่งแค่รายการเดียวนี่แหละ ฉันจะไปไทยไฟต์”
“ห๊ะ”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เพชรยังคงมุ่งมั่นมาดหมายในความคิดเดิม
รุ่งเช้าของวันใหม่ ขณะเพชรเดินออกมาหน้าค่าย พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ เตรียมตัวไปกรุงเทพฯ พริมเดินตามมาพร้อมกระเป๋าเหมือนกัน
“ไม่รอกันเลยนะ”
“พริม”
“งานใหญ่ระดับนี้ มันต้องมีพี่เลี้ยงสิ ไป”
เพชร กะพริมมองหน้ากัน ยิ้มให้กัน แล้วเดินไปทางประตูค่ายมวย
พริม กะ เพชรเดินออกมาเจอกับบุญหลงพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ สองคนตกใจมาก
“บุญหลง”
“หลงจะไปไหนอ่ะ”
“จะปล่อยให้ไปกันแค่สองคนได้ไง”
บุญหลงมองเพชรอย่างมุ่งมั่น แล้วพูดด้วยความรู้สึกว่าจะขอแข่งกับเพชร ในการเอาชนะใจพริม
“ขอลงแข่งด้วยคนนะเพชร”
ขนุนวิ่งตามออกมาจากค่าย
“รอด้วย”
ขนุนวิ่งมาหอบที่หน้าค่าย
“ขนุนไปกรุงเทพฯ ด้วยนะ ไป...เป็นพี่เลี้ยงด้วยคน”
ขนุนแอบไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง เพราะจริงๆ ตั้งใจจะไปออดิชั่นที่กรุงเทพฯ
เพชรแกล้งพูดแซว “อ่ะ มีใครจะไปด้วยอีกไหมเนี่ย”
เสียงไข่เค็มดังขึ้น “ผมครับ”
ไข่เค็มหอบสังขารเดินเข้ามา เนื้อตัวเป็นแผล สะบักสะบอม
“ไข่เค็ม”
ทุกคนเห็นสภาพทั้งสงสารทั้งตกใจ
อ่านต่อตอนที่ 17