ภรรยาทั้งหลายโปรดฟัง นี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องต้องการความเห็นอกเห็นใจ หรือแม้กระทั่งจะยึดยื้อเอาความยิ่งใหญ่กลับคืนมา แต่ถ้าคุณๆ ได้รับสารจากเหล่า “พ่อบ้านใจกล้า” คุณๆ ที่รักจะรู้ว่ามันฮาเพียงใด หึหึหึ...
“เกลียมัว” หรือ “กลัวเมีย” นับเป็นหัวข้อที่มักจะถูกหยิบมาล้อมาอำกันให้ได้ขำสม่ำเสมอในกลุ่มผู้ชาย โดยเฉพาะพวกที่มี “ภรรเมีย” แล้ว หรือแม้แต่คนที่ยังไม่มีก็ยังไม่วายจะล้อเลียนคนที่มี ด้วยถ้อยวจีที่นำความครื้นเครงมาสู่วงสนทนาได้เสมอ
จากนวนิยายสุดคลาสสิกชุด “สามเกลอ” ที่นำเสนอเรื่องของผู้ชายกลัวเมียได้อย่างมีอารมณ์ขัน มาจนถึงภาพยนตร์โดยการกำกับของขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ที่มีชื่อเรื่องตรงๆ ว่า “กลัวเมีย” และอีกหลากหลายวรรณกรรมที่ล้วนสะท้อนเห็นถึงความขบขันสายพันธุ์ “ผู้ชายกลัวเมีย” ที่เหมือนจะฝังลึกอยู่ในขนบผัวๆ เมียๆ ของบ้านเรามาเนิ่นนาน
คราวนี้ก็ถึงทีของ “พ่อบ้านใจกล้า” เพจเฟซบุ๊กที่เพียงเปิดตัวได้เดือนกว่าๆ ก็สามารถหาแนวร่วมได้มากกว่าสองแสน และมีแต่จะทบเพิ่มทวีคูณ เพราะนี่คือศูนย์รวมที่ใหญ่ที่สุด อันบรรจุเรื่องราวของเหล่า “สามี” ที่นำมาแชร์กันอย่างขันขำ สะเทือนไปถึงซาง แต่คุณภรรยาอ่านแล้วก็คงขำๆ
เพจดังกล่าว ประกอบไปด้วยสามแกนนำ ผู้ขอสงวนสิทธิ์ในการเปิดเผยตัวตนอันแท้จริง นัยว่าเพื่อเป็นการรักษาความมั่นคงของสถานะผู้นำทางครอบครัว (หึหึ) คนแรกคือ “ต้อม" ทัวร์ลีดเดอร์ คนสองคือ “โอ” วิศวกรโยธา และคนสุดท้าย “วีร์” เภสัชกรผู้พ่วงตำแหน่งพ่อครัวมือหนึ่ง ซึ่งทั้งหมด ได้เปิดเผยหมดใจ ถึงความ “ใจกล้า” ในฐานะพ่อบ้าน ที่พ่อบ้านอ่านได้ แม่บ้านอ่านดี...และการันตีได้ว่า ยิ่งอ่านจะยิ่งรักกันเข้าใจกันมากขึ้น...
• มันอัดอั้นตันใจเพียงใด ถึงกับต้องลุกขึ้นมาทำเพจ “พ่อบ้านใจกล้า”
(หัวเราะ) คือจริงๆ ตอนแรกเพียงแค่แซวๆ ล้อๆ แกล้งกันในกลุ่มเฉยๆ เพราะในกลุ่มเราและเพื่อนรู้จักกันมานาน ก็จะคุยเล่นกันในโลกโซเชียลบ่อยๆ วันนี้พี่คนนี้ไม่ว่างนะ
"โดนเมียใช้ซักผ้า"
"พี่คนนั้นเป็นพ่อบ้านมือหอม"
"ทำไงดี...เมียจับได้ว่าแอบซื้อเสื้อบอล" (หัวเราะ)
หรือเรื่องหนีเที่ยวกลับดึกโดนภรรยาตี ก็จะเฮฮากันไป
จนวันหนึ่งก็สร้างเพจขึ้นมา เหมือนเป็นที่ไว้แกล้งอำกันเอง
โพสต์แรกๆ ก็จะมีแต่เรื่องของพวกเราและเพื่อนๆ รอบตัว หน้าตา ชื่อแซ่นี่มาครบ ทีนี้ก็มีการแชร์ต่อๆ กันไปจนคนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น พวกเราเองก็ยังงงๆ ตั้งตัวกันไม่ทัน แต่พอตั้งหลักได้ ก็มาคุยกันว่า โอเค เราลองมาจริงจังกับเพจนี้กัน แล้วดูว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน ก็เริ่มมีการคุยเรื่องแนวทางของเพจ เรื่องการแบ่งหน้าที่ของแต่ละคน ใช้เวลาว่างจากงานประจำ
• ตอนนั้น มีเป้าหมายในใจชัดเจนแล้วหรือเปล่าว่าเราจะบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเพื่อจุดประสงค์อะไร
จริงๆ ทีแรกก็แค่ตั้งเพจขึ้นมาเฉยๆ ครับ แล้วก็ดึงคนโน้นคนนี้เข้ามาร่วมด้วย โดยที่ไม่มีจุดหมายอะไรทั้งนั้น คือทำเพื่อขำขันตลกเรื่อยเปื่อย (ยิ้ม) เอามาจากเรื่องในครอบครัวของพวกเรากันเอง แคปชันภาพที่คุยเล่นกันในสเตตัสเก่าๆ มาแปะ จะว่าไป จุดประสงค์หลักๆ ก็เพื่อความสนุกส่วนตัวล้วนๆ แล้วก็มีคนเข้ามาสนุกร่วมกับเรามากขึ้น พอเราตั้งประเด็นอะไรขึ้นมาก็เหมือนไปตรงกับเรื่องของอีกหลายๆ คน
“โอ๊ย...อันนี้เหมือนผมเลย”
“เฮ้ย...อันนี้ชีวิตจริงผมชัดๆ”
ตกลงชีวิตพ่อบ้านประเทศนี้มันเป็นเหมือนกันหมดทุกคนเลยใช่ไหม (หัวเราะ)
พอตอนหลังๆ มีแฟนเพจส่งรูป ส่งข้อมูลมาแจมอีกเพียบ ส่วนใหญ่ก็เป็นรูปคุณผู้ชายใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวอยู่ในอิริยาบถของการทำงานบ้าน ถูพื้น ซักผ้า ล้างจาน เจริญหูเจริญตามากครับ (ยิ้ม) ทั้งนมทั้งซิกแพก ลายสัก หนวดเครานี่มาครบ ซึ่งก็น่ารักดีนะครับ ส่วนคุณภรรยาที่ส่งรูปเข้ามาก็เหมือนภูมิใจในตัวแฟนของเขา เหมือนเรามีส่วนช่วยให้สถาบันครอบครัวเข้มแข็ง มันคงจะเป็นเรื่องที่คุยกันสนุกเหมือนคุยเล่นกันในวงเหล้า ได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกัน คล้ายๆ การตั้งวงนินทาเมีย เล่าความจริงของชีวิต
• ประสบการณ์ที่ว่า พอบรรดาภรรยามาอ่านแล้ว คิดว่าจะส่งประโยชน์ช่วยให้เข้าใจหัวจิตหัวใจเราขึ้นบ้างไหม
ฮืม...ไม่ครับ (หัวเราะ) อย่างถ้าผมเล่นอยู่แล้วแฟนมา ผมก็รีบชิ่งจากสเตตัสนั้นทันที คือเท่าที่สังเกตดูนะครับ เขาเข้ามาเฮฮากันมากกว่า ผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องซีเรียสนะ เพราะคอนเซ็ปต์ของเราก็คือเอาเรื่องจริงมาล้อเล่นแบบขำขัน ไม่มีการเมกอัพเรื่องขึ้นมา ไม่มีเรื่องราว เป็นประสบการณ์ล้วนๆ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก แอดมิน 3 คนที่ทำร่วมกันก็คือ เฮฮา ตลกโปกฮาไปเรื่อยๆ
แต่มันก็จะมีดราม่าบ้างบางประเด็น ก็ยังไม่เคยเห็นมีดราม่าในตัวเพจ สำหรับคอมเมนต์ เราพยายามตามอ่านตามเก็บทุกอันนะครับ อันไหนน่าสนใจ ดูแล้วฮา เอามาเล่นต่อได้ เราก็แชร์มาโพสต์ที่หน้าเพจ หรือเอามาต่อยอดเป็นประเด็น ทั้งเอามาวาดการ์ตูน หรือทำบทวิเคราะห์แบบซีเรียส อย่างพี่ต้อม กับคุณวีร์ ก็จะมีความรู้พื้นฐานเคมี ฟิสิกส์ อนาโตมีมาตั้งแต่ตอนเรียน แถมยังบ้านิยายจีน ก็เอามาผสมรวมๆ กันเขียนออกมาแบบฮาๆ มีคนชอบ นอกจากนี้ คอมเมนต์ของคนที่มาตอบก็ยังฮาไม่แพ้กัน คือทำเพจนี้มันสนุกตรงที่คนที่เข้ามาเล่นเขามีอารมณ์ร่วมกับเรา
• อารมณ์ร่วมนี้คือ ร่วมกันผนึกกำลังเพื่อลุกขึ้นมาต่อต้านหรืออย่างไร
(หัวเราะ) ลุกขึ้นมาเข้าใจชีวิตจริงๆ มากกว่าครับว่า มันไม่ได้โหดร้าย คือผลตอบรับส่วนใหญ่ในเพจจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คุณผู้หญิงภรรยาก็จะมองว่าการที่ผู้ชายทำท่ากลัวเกรงเขา ช่วยเหลือแบ่งเบาเขาเรื่องงานบ้านเป็นสิ่งที่น่ารัก เพราะว่าที่เราคุยๆ กันอยู่มันเป็นมุกแกล้งอำกันขำๆ ชีวิตจริงๆ คงไม่มีใครโดนภรรยาจิกหัวใช้งาน ฟาดด้วยไม้แขวนเสื้อจนตัวแตกหรอก หรือว่ามี (หัวเราะ)
คือจริงๆ เราเองก็คุยกันเรื่องนี้ว่า ห่วงกลัวคนจะเข้าใจผิดว่าเพจพ่อบ้านใจกล้าสนับสนุนให้ภรรยาแปลงร่างขึ้นมาข่มสามี เพราะบางทีหลังๆ เริ่มมีรูปข่มกันแบบแรงๆ ส่งมา เราก็หลีกเลี่ยงไม่นำเสนอ ดังนั้น มุกต่างๆ ที่โพสต์ไปก็สลับ เราโดนบ้าง ภรรยาโดนแกล้งแบบน่ารักๆ บ้าง เพื่อรักษาบรรยากาศ ส่วนตัวพวกผมคิดกันว่ามันก็เป็นความน่ารักในครอบครัว ที่เขาเสนอมาให้ผู้ชายนี้ดูแข็งแรงภายนอกตอนอยู่ข้างนอก แต่พออยู่ในบ้านก็ทำตัวน่ารักให้ภรรยาเอามาเผยแพร่ได้ ผมว่าเป็นเรื่องน่ายินดีนะครับ (ยิ้ม)
• ในฐานะผู้นำ “พ่อบ้านใจกล้า” มีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องสิทธิ์การเป็นใหญ่ของผู้ชายที่บรรพบุรุษเราสั่งสมมา
ผมมองว่าเรื่องสิทธิ์ผู้ชายกับผู้หญิงในสมัยก่อน มันข้องเกี่ยวกับเรื่องสรีระร่างกายมากกว่า คือเนื่องด้วยผู้ชายเป็นเพศที่แข็งแรง ต้องออกไปใช้แรงทำงาน ออกไปรบ เป็นผู้นำ ในขณะที่ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าก็ต้องเป็นผู้ตาม มันก็เหมือนโลกตามธรรมชาติทั่วไป ใครเก่งก็เป็นจ่าฝูง แต่ยุคนี้ ความเป็นผู้นำไม่ได้วัดกันที่ความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว ตัวอย่างง่ายๆ เราสามารถหาเงินได้โดยไม่ต้องพึ่งพลังกล้ามแขน โลกนี้เลยมีผู้หญิงที่เก่งกาจมากมาย (ยิ้ม) ผมมองว่าเรื่องสิทธิพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าเพศไหนก็ควรได้รับความเท่าเทียมกัน แต่ที่มันจะมีปัญหาก็ต่อเมื่อมีใครคนหนึ่งคิดว่าตัวเองได้น้อยเกินไปและเรียกร้องอยากได้มากกว่าคนอื่น
• ส่วนตัวมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรไหมกับการที่เราเคยเป็นเพศผู้ยิ่งใหญ่แต่ฝ่ายเดียว
คือยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมว่ามันอยู่ที่สภาวะแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญด้วย ปัจจุบันนี้ผู้หญิงส่วนมากในวัยทำงานก็ออกไปทำงานกันข้างนอก การที่จะให้มาเหมือนสมัยก่อน มันก็ไม่ใช่ จะให้เหมือนในละครทีวีมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง ดังนั้นก็สมควรที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันก็ต้องช่วยกันดูแลบ้านช่อง ดูแลบุตรหลาน แบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน อีกอย่างภรรยาเราแต่งงานกันมา อยู่กันด้วยความรักใช่ไหมครับ เราก็อย่าให้เธอเหนื่อยอะไรมากมายนัก ก็ช่วย...(ลากเสียง) แบ่งเบากันไป
คือถ้าย้อนถามว่าแล้วตอนแต่งงาน ทำไมภรรยาต้องไหว้สามี ในเรื่องนี้ผมมองว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งของพิธี คือมันเป็นวันพิเศษ วันนั้นมันจะเกิดขึ้นได้เพราะคนสองคนรักกัน ดังนั้น ให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น หอมแก้มกันต่อหน้าคนเป็นร้อยยังทำได้เลย ก็นี่มันงานเรา (ยิ้ม) การจะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันนานๆ ก็ต้องเคารพกัน ให้เกียรติกันและกันเป็นปกติ แต่ผมว่าหลังจากนี้ รูปภรรยาก้มกราบสามีในวันแต่งงาน น่าจะมีความหมายให้เชิงสร้างขวัญกำลังใจของคุณผู้ชายมากขึ้น (หัวเราะ)
• อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย ถ้าเราจะผละจากความเป็น "เสือ"?
คือเราเป็นแมวก็เพื่อให้ภรรยาเราหลงกล (หัวเราะ) เพราะว่าผู้หญิงส่วนใหญ่แพ้แมว ดังนั้น จริงๆ ตามหลักการพวกเธอเป็นทาสของเราครับ อันนี้ผมเอามาจากคอมเมนต์ของลูกเพจ เพราะเขาบอกว่าแมวเป็นสัตว์ที่จ้องจดจำพฤติกรรม แมวไม่ใช่สัตว์ที่อยู่นิ่งๆ มักจะชอบหนีออกไปนอกบ้าน มันเป็นสัญลักษณ์ในกาย (หัวเราะ) เราเป็นแมว แต่ว่าเรากบฏนี่คือในใจ
ฉะนั้น การที่เรายอมรับโอวาทอย่างเดียว ถือว่าเราอ่อนหัดมากๆ เราควรจะคุยกันด้วยเหตุและผล การพูดคุยทำให้รู้ว่าอะไรถูกหรือผิด ที่เหลือหลังจากนี้คืออีโก้ของแต่ละคน
• คิดว่าทำอย่างไรจะให้ชีวิตผัวเมียราบรื่น
ก็คุยกัน และอยู่ที่สามัญสำนึกด้วย เพราะเราก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของครอบครัว ไม่ใช่ว่ากลับมาก็ถอดถุงเท้าโยนไปที่เตียง แล้วก็จะให้ภรรยามาช่วยเก็บกวาดอะไรตามหลังมันก็ไม่ใช่ เราก็ควรดูแลสิ่งที่เรามีกันอยู่ แต่เรื่องนี้ก็เคยได้ยินว่ามันมีจริงๆ เคยรับรู้มา แต่ก็อย่างที่บอก แล้วแต่สามัญสำนึกของคนด้วยกันครับว่าเราอยู่ด้วยกันเราน่าจะเกื้อหนุนจุนเจือกัน
• "กลัวภรรยาแล้วชีวิตจะเจริญ" รู้สึกอย่างไรบ้างกับคำนี้
(หัวเราะ) ที่มาของคำนี้อาจจะลึกซึ้งกว่าที่คิด คือผมไม่ทราบว่าใครตั้งขึ้นมา แต่เจ้าสัวท่านนั้นน่าจะใช้ความกลัวเกรงภรรยารักษาบรรยากาศครอบครัวให้มีความสุขสงบร่มเย็นเอาไว้ได้ และเมื่อเรื่องที่บ้านราบรื่นก็หมดห่วง (แอบยิ้ม) เรื่องงานเรื่องธุรกิจอื่นๆ ก็ราบรื่นตาม ลองเอาไปประยุกต์ใช้กันครับ
• แล้วถ้าประโยคทำนอง "ภรรยาไม่ใช่แม่ ตอแ...ลตบ" คิดหรือรู้สึกอย่างไรบ้าง
ฮืม...ไม่ว่าจะเป็นภรรยาเราหรือภรรยาคนอื่นก็ไม่ควรทำร้ายร่างกายกันทั้งนั้นครับ
• แต่มันก็ยังจะมีบางกรณีสิทธิ์ขาดผู้ชายที่มากกว่า อย่างเราทำได้แต่เขาทำไม่ได้ในบางเรื่อง
ผมคิดว่าเป็นค่านิยมสมัยก่อนนะครับที่ไม่ให้ผู้หญิงออกมาข้างนอก แต่คิดว่าในส่วนตัว ในครัวเรือนสมัยก่อน เวลาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเขาก็คงน่าจะปรึกษากัน แต่สมัยนี้เรามีอะไรเราก็พูดกันตรงๆ เพราะความรู้ ความสามารถของผู้หญิงก็เท่ากับผู้ชาย อย่างที่เคยอ่านมาก็คือหัวหน้าหรือเจ้านายบริษัทใหญ่ๆ ของประเทศไทยบ้านเราก็เป็นผู้หญิงเยอะพอสมควร ผมจำตัวเลขเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ก็เลยคิดว่าสังคมไทยก็ยอมรับตรงนี้เยอะขึ้นแล้ว
• ยอมรับได้เยอะขึ้น แต่ว่าก็ยังเห็นว่าลูกเพจนำเสนอเรื่องราวทำนองทนไม่ไหวกับพฤติกรรมภรรยา เยอะอยู่ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น...
คือผมคิดว่าเขาล้อเล่นมากกว่า ไม่ได้เอาจริงเอาจัง แต่อย่างว่าคนเรามันคิดไม่เหมือนกัน ก็จะมีดราม่าบ้างบางสเตตัส บางคอมเมนต์ "เออ...ทำอย่างนี้ทำไม เสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรีหมด" ซึ่งจริงๆ ถ้าดูแล้วเขาน่าจะซีเรียสนะคนนี้ แต่ที่เห็นและคิดมีแค่ 0.001 เปอร์เซ็นต์ของคนที่คิดอย่างนี้ เพราะเขาเข้าใจคนเซ็ปต์ของเพจพ่อบ้านใจกล้าเป็นอย่างไร เราเป็นเพจที่นำเสนอในเรื่องสนุกสนานๆ ขำขันมากกว่า ไม่ใช่เอามาซีเรียส
• คิดว่าความสำคัญของความสัมพันธ์ฉันสามีและภรรยาควรเป็นอย่างไรถึงจะราบรื่น
ก็อย่างที่ผมบอก เริ่มต้นก็ต้องเกื้อหนุนจุนเจือกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่พยายามเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่อย่างนั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข จริงๆ สมัยก่อนผมก็ไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่หลังจากแต่งงานมามีลูกมีอะไรอย่างนี้ เราก็ทบทวนพฤติกรรมของเรา ก็นั่นแหละครับความรัก มันไม่เหมือนในละครทีวี อันนั้นผมว่ามันดราม่าเกินไป (หัวเราะ) ไม่ใช่ชีวิตจริง เขาสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงของผู้ชมอย่างเดียว ชีวิตจริงกับละครไม่เหมือนกัน
• แล้วอันไหนมันเศร้ากว่ากัน ระหว่างชีวิตกับละคร
ฮืม...(คิดนาน) คือถ้าเรามีความเข้าใจ มีความรัก มันก็คงจะไม่มีดราม่าอะไรมากมาย แต่อย่างว่านิสัยคนเรา บางคนมันไม่ใช่ มันไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ก็เลยมีข่าวอย่างในหนังสือพิมพ์ออกมาบ่อยๆ เรื่องทำร้ายกันในครอบครัว
จริงๆ ก่อนคิดจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ต้องทบทวนก่อนว่าถ้าทำไปแล้วจะเหมาะสมไหม มันไม่ใช่แค่เราคนเดียว เราต้องคิดถึงเบื้องหลัง เรามีใครบ้าง พ่อแม่ มีบุตรหลานที่ต้องดูแล การไปทำร้ายกัน ฆ่าแกงกัน แล้วลูกหลานจะอยู่กับใคร
• มาอย่างนี้แล้วก็ต้องมีคนพูดว่าแล้ว “ศักดิ์ศรี” ของเราชายชาตรีล่ะเอาไว้ตรงไหน
ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ครับ ก็อย่างว่าเรื่องบางเรื่องไอ้ที่ตายกันบ่อยๆ ไม่ใช่แค่ในครัวเรือน แต่เป็นเรื่องในท้องถนน ในร้านอาหาร ในผับ ในสถานที่เที่ยว คือมันเรื่องเกี่ยวกับตรงนี้ทั้งนั้น จริงๆ ผมก็ผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ตอนนี้ก็อายุจะ 40 กันแล้ว ก็เลยอาจจะใจเย็นลงกว่าเดิม
• เท่าๆ ที่มองเพจรวมๆ เหมือนท้ายที่สุดแล้วเพจพ่อบ้านใจกล้า แท้จริงคือ กล้าที่จะยอมรับในการช่วยเหลือภรรยา และการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองสมานฉันท์
ก็น่าจะกล้าที่จะยอมรับความเป็นจริง เพราะมันเป็นเรื่องจริง แต่คือเราจะบอกว่าจริงๆ แล้วเรายังไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น อีกอย่างก็เพิ่งเปิดมาได้ครบหนึ่งเดือนเมื่อไม่กี่วันนนี่เอง คอนเซ็ปต์เราก็ไม่ได้มีอะไรมาก ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร คือกะว่าจะหือกับภรรยา แต่บังเอิญว่าหือไม่ขึ้น (หัวเราะ) ก็เลยออกมาแนวนี้แทน ทำสนุกภายในเพื่อนฝูงกัน คือภรรยาแท็กสามีให้มาดู เขาทำอย่างนี้อย่างนั้นนะ อ้าว...ชีวิตจริงเรานี่หว่ามันฮิตขึ้นมา เราก็พยายามวางกรอบของเรา เราจะเซ็นเซอร์คำหยาบคายออกไป อันไหนดราม่ามากๆ หรือว่าหยาบมาก เราก็จะลบทิ้งไป
• ฟังไปฟังมาท้ายที่สุดถามจริงว่า...เรากลายเป็นแมวไปแล้วหรือเปล่า
(หัวเราะ) ยังๆ ครับ ยังไม่ถึงขนาดนั้น บางทีผมก็ดุภรรยาได้เหมือนกัน คือร่วมเดินไปด้วยกันครับ
• แล้วถ้าช้างเท้าหลังถีบ จะเป็นอะไรไหม
อ่อ...ไม่เป็นไรครับ เพราะเคยเถียงกันมาแล้วเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เคยชนะสักที ได้แต่ใจกล้า แต่ไม่หือไม่อือ (หัวเราะ)
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพประกอบจากเพจเฟซบุ๊ก : พ่อบ้านใจกล้า
“เกลียมัว” หรือ “กลัวเมีย” นับเป็นหัวข้อที่มักจะถูกหยิบมาล้อมาอำกันให้ได้ขำสม่ำเสมอในกลุ่มผู้ชาย โดยเฉพาะพวกที่มี “ภรรเมีย” แล้ว หรือแม้แต่คนที่ยังไม่มีก็ยังไม่วายจะล้อเลียนคนที่มี ด้วยถ้อยวจีที่นำความครื้นเครงมาสู่วงสนทนาได้เสมอ
จากนวนิยายสุดคลาสสิกชุด “สามเกลอ” ที่นำเสนอเรื่องของผู้ชายกลัวเมียได้อย่างมีอารมณ์ขัน มาจนถึงภาพยนตร์โดยการกำกับของขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ที่มีชื่อเรื่องตรงๆ ว่า “กลัวเมีย” และอีกหลากหลายวรรณกรรมที่ล้วนสะท้อนเห็นถึงความขบขันสายพันธุ์ “ผู้ชายกลัวเมีย” ที่เหมือนจะฝังลึกอยู่ในขนบผัวๆ เมียๆ ของบ้านเรามาเนิ่นนาน
คราวนี้ก็ถึงทีของ “พ่อบ้านใจกล้า” เพจเฟซบุ๊กที่เพียงเปิดตัวได้เดือนกว่าๆ ก็สามารถหาแนวร่วมได้มากกว่าสองแสน และมีแต่จะทบเพิ่มทวีคูณ เพราะนี่คือศูนย์รวมที่ใหญ่ที่สุด อันบรรจุเรื่องราวของเหล่า “สามี” ที่นำมาแชร์กันอย่างขันขำ สะเทือนไปถึงซาง แต่คุณภรรยาอ่านแล้วก็คงขำๆ
เพจดังกล่าว ประกอบไปด้วยสามแกนนำ ผู้ขอสงวนสิทธิ์ในการเปิดเผยตัวตนอันแท้จริง นัยว่าเพื่อเป็นการรักษาความมั่นคงของสถานะผู้นำทางครอบครัว (หึหึ) คนแรกคือ “ต้อม" ทัวร์ลีดเดอร์ คนสองคือ “โอ” วิศวกรโยธา และคนสุดท้าย “วีร์” เภสัชกรผู้พ่วงตำแหน่งพ่อครัวมือหนึ่ง ซึ่งทั้งหมด ได้เปิดเผยหมดใจ ถึงความ “ใจกล้า” ในฐานะพ่อบ้าน ที่พ่อบ้านอ่านได้ แม่บ้านอ่านดี...และการันตีได้ว่า ยิ่งอ่านจะยิ่งรักกันเข้าใจกันมากขึ้น...
• มันอัดอั้นตันใจเพียงใด ถึงกับต้องลุกขึ้นมาทำเพจ “พ่อบ้านใจกล้า”
(หัวเราะ) คือจริงๆ ตอนแรกเพียงแค่แซวๆ ล้อๆ แกล้งกันในกลุ่มเฉยๆ เพราะในกลุ่มเราและเพื่อนรู้จักกันมานาน ก็จะคุยเล่นกันในโลกโซเชียลบ่อยๆ วันนี้พี่คนนี้ไม่ว่างนะ
"โดนเมียใช้ซักผ้า"
"พี่คนนั้นเป็นพ่อบ้านมือหอม"
"ทำไงดี...เมียจับได้ว่าแอบซื้อเสื้อบอล" (หัวเราะ)
หรือเรื่องหนีเที่ยวกลับดึกโดนภรรยาตี ก็จะเฮฮากันไป
จนวันหนึ่งก็สร้างเพจขึ้นมา เหมือนเป็นที่ไว้แกล้งอำกันเอง
โพสต์แรกๆ ก็จะมีแต่เรื่องของพวกเราและเพื่อนๆ รอบตัว หน้าตา ชื่อแซ่นี่มาครบ ทีนี้ก็มีการแชร์ต่อๆ กันไปจนคนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น พวกเราเองก็ยังงงๆ ตั้งตัวกันไม่ทัน แต่พอตั้งหลักได้ ก็มาคุยกันว่า โอเค เราลองมาจริงจังกับเพจนี้กัน แล้วดูว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน ก็เริ่มมีการคุยเรื่องแนวทางของเพจ เรื่องการแบ่งหน้าที่ของแต่ละคน ใช้เวลาว่างจากงานประจำ
• ตอนนั้น มีเป้าหมายในใจชัดเจนแล้วหรือเปล่าว่าเราจะบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเพื่อจุดประสงค์อะไร
จริงๆ ทีแรกก็แค่ตั้งเพจขึ้นมาเฉยๆ ครับ แล้วก็ดึงคนโน้นคนนี้เข้ามาร่วมด้วย โดยที่ไม่มีจุดหมายอะไรทั้งนั้น คือทำเพื่อขำขันตลกเรื่อยเปื่อย (ยิ้ม) เอามาจากเรื่องในครอบครัวของพวกเรากันเอง แคปชันภาพที่คุยเล่นกันในสเตตัสเก่าๆ มาแปะ จะว่าไป จุดประสงค์หลักๆ ก็เพื่อความสนุกส่วนตัวล้วนๆ แล้วก็มีคนเข้ามาสนุกร่วมกับเรามากขึ้น พอเราตั้งประเด็นอะไรขึ้นมาก็เหมือนไปตรงกับเรื่องของอีกหลายๆ คน
“โอ๊ย...อันนี้เหมือนผมเลย”
“เฮ้ย...อันนี้ชีวิตจริงผมชัดๆ”
ตกลงชีวิตพ่อบ้านประเทศนี้มันเป็นเหมือนกันหมดทุกคนเลยใช่ไหม (หัวเราะ)
พอตอนหลังๆ มีแฟนเพจส่งรูป ส่งข้อมูลมาแจมอีกเพียบ ส่วนใหญ่ก็เป็นรูปคุณผู้ชายใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวอยู่ในอิริยาบถของการทำงานบ้าน ถูพื้น ซักผ้า ล้างจาน เจริญหูเจริญตามากครับ (ยิ้ม) ทั้งนมทั้งซิกแพก ลายสัก หนวดเครานี่มาครบ ซึ่งก็น่ารักดีนะครับ ส่วนคุณภรรยาที่ส่งรูปเข้ามาก็เหมือนภูมิใจในตัวแฟนของเขา เหมือนเรามีส่วนช่วยให้สถาบันครอบครัวเข้มแข็ง มันคงจะเป็นเรื่องที่คุยกันสนุกเหมือนคุยเล่นกันในวงเหล้า ได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกัน คล้ายๆ การตั้งวงนินทาเมีย เล่าความจริงของชีวิต
• ประสบการณ์ที่ว่า พอบรรดาภรรยามาอ่านแล้ว คิดว่าจะส่งประโยชน์ช่วยให้เข้าใจหัวจิตหัวใจเราขึ้นบ้างไหม
ฮืม...ไม่ครับ (หัวเราะ) อย่างถ้าผมเล่นอยู่แล้วแฟนมา ผมก็รีบชิ่งจากสเตตัสนั้นทันที คือเท่าที่สังเกตดูนะครับ เขาเข้ามาเฮฮากันมากกว่า ผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องซีเรียสนะ เพราะคอนเซ็ปต์ของเราก็คือเอาเรื่องจริงมาล้อเล่นแบบขำขัน ไม่มีการเมกอัพเรื่องขึ้นมา ไม่มีเรื่องราว เป็นประสบการณ์ล้วนๆ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก แอดมิน 3 คนที่ทำร่วมกันก็คือ เฮฮา ตลกโปกฮาไปเรื่อยๆ
แต่มันก็จะมีดราม่าบ้างบางประเด็น ก็ยังไม่เคยเห็นมีดราม่าในตัวเพจ สำหรับคอมเมนต์ เราพยายามตามอ่านตามเก็บทุกอันนะครับ อันไหนน่าสนใจ ดูแล้วฮา เอามาเล่นต่อได้ เราก็แชร์มาโพสต์ที่หน้าเพจ หรือเอามาต่อยอดเป็นประเด็น ทั้งเอามาวาดการ์ตูน หรือทำบทวิเคราะห์แบบซีเรียส อย่างพี่ต้อม กับคุณวีร์ ก็จะมีความรู้พื้นฐานเคมี ฟิสิกส์ อนาโตมีมาตั้งแต่ตอนเรียน แถมยังบ้านิยายจีน ก็เอามาผสมรวมๆ กันเขียนออกมาแบบฮาๆ มีคนชอบ นอกจากนี้ คอมเมนต์ของคนที่มาตอบก็ยังฮาไม่แพ้กัน คือทำเพจนี้มันสนุกตรงที่คนที่เข้ามาเล่นเขามีอารมณ์ร่วมกับเรา
• อารมณ์ร่วมนี้คือ ร่วมกันผนึกกำลังเพื่อลุกขึ้นมาต่อต้านหรืออย่างไร
(หัวเราะ) ลุกขึ้นมาเข้าใจชีวิตจริงๆ มากกว่าครับว่า มันไม่ได้โหดร้าย คือผลตอบรับส่วนใหญ่ในเพจจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คุณผู้หญิงภรรยาก็จะมองว่าการที่ผู้ชายทำท่ากลัวเกรงเขา ช่วยเหลือแบ่งเบาเขาเรื่องงานบ้านเป็นสิ่งที่น่ารัก เพราะว่าที่เราคุยๆ กันอยู่มันเป็นมุกแกล้งอำกันขำๆ ชีวิตจริงๆ คงไม่มีใครโดนภรรยาจิกหัวใช้งาน ฟาดด้วยไม้แขวนเสื้อจนตัวแตกหรอก หรือว่ามี (หัวเราะ)
คือจริงๆ เราเองก็คุยกันเรื่องนี้ว่า ห่วงกลัวคนจะเข้าใจผิดว่าเพจพ่อบ้านใจกล้าสนับสนุนให้ภรรยาแปลงร่างขึ้นมาข่มสามี เพราะบางทีหลังๆ เริ่มมีรูปข่มกันแบบแรงๆ ส่งมา เราก็หลีกเลี่ยงไม่นำเสนอ ดังนั้น มุกต่างๆ ที่โพสต์ไปก็สลับ เราโดนบ้าง ภรรยาโดนแกล้งแบบน่ารักๆ บ้าง เพื่อรักษาบรรยากาศ ส่วนตัวพวกผมคิดกันว่ามันก็เป็นความน่ารักในครอบครัว ที่เขาเสนอมาให้ผู้ชายนี้ดูแข็งแรงภายนอกตอนอยู่ข้างนอก แต่พออยู่ในบ้านก็ทำตัวน่ารักให้ภรรยาเอามาเผยแพร่ได้ ผมว่าเป็นเรื่องน่ายินดีนะครับ (ยิ้ม)
• ในฐานะผู้นำ “พ่อบ้านใจกล้า” มีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องสิทธิ์การเป็นใหญ่ของผู้ชายที่บรรพบุรุษเราสั่งสมมา
ผมมองว่าเรื่องสิทธิ์ผู้ชายกับผู้หญิงในสมัยก่อน มันข้องเกี่ยวกับเรื่องสรีระร่างกายมากกว่า คือเนื่องด้วยผู้ชายเป็นเพศที่แข็งแรง ต้องออกไปใช้แรงทำงาน ออกไปรบ เป็นผู้นำ ในขณะที่ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าก็ต้องเป็นผู้ตาม มันก็เหมือนโลกตามธรรมชาติทั่วไป ใครเก่งก็เป็นจ่าฝูง แต่ยุคนี้ ความเป็นผู้นำไม่ได้วัดกันที่ความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว ตัวอย่างง่ายๆ เราสามารถหาเงินได้โดยไม่ต้องพึ่งพลังกล้ามแขน โลกนี้เลยมีผู้หญิงที่เก่งกาจมากมาย (ยิ้ม) ผมมองว่าเรื่องสิทธิพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าเพศไหนก็ควรได้รับความเท่าเทียมกัน แต่ที่มันจะมีปัญหาก็ต่อเมื่อมีใครคนหนึ่งคิดว่าตัวเองได้น้อยเกินไปและเรียกร้องอยากได้มากกว่าคนอื่น
• ส่วนตัวมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรไหมกับการที่เราเคยเป็นเพศผู้ยิ่งใหญ่แต่ฝ่ายเดียว
คือยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมว่ามันอยู่ที่สภาวะแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญด้วย ปัจจุบันนี้ผู้หญิงส่วนมากในวัยทำงานก็ออกไปทำงานกันข้างนอก การที่จะให้มาเหมือนสมัยก่อน มันก็ไม่ใช่ จะให้เหมือนในละครทีวีมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง ดังนั้นก็สมควรที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันก็ต้องช่วยกันดูแลบ้านช่อง ดูแลบุตรหลาน แบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน อีกอย่างภรรยาเราแต่งงานกันมา อยู่กันด้วยความรักใช่ไหมครับ เราก็อย่าให้เธอเหนื่อยอะไรมากมายนัก ก็ช่วย...(ลากเสียง) แบ่งเบากันไป
คือถ้าย้อนถามว่าแล้วตอนแต่งงาน ทำไมภรรยาต้องไหว้สามี ในเรื่องนี้ผมมองว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งของพิธี คือมันเป็นวันพิเศษ วันนั้นมันจะเกิดขึ้นได้เพราะคนสองคนรักกัน ดังนั้น ให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น หอมแก้มกันต่อหน้าคนเป็นร้อยยังทำได้เลย ก็นี่มันงานเรา (ยิ้ม) การจะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันนานๆ ก็ต้องเคารพกัน ให้เกียรติกันและกันเป็นปกติ แต่ผมว่าหลังจากนี้ รูปภรรยาก้มกราบสามีในวันแต่งงาน น่าจะมีความหมายให้เชิงสร้างขวัญกำลังใจของคุณผู้ชายมากขึ้น (หัวเราะ)
• อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย ถ้าเราจะผละจากความเป็น "เสือ"?
คือเราเป็นแมวก็เพื่อให้ภรรยาเราหลงกล (หัวเราะ) เพราะว่าผู้หญิงส่วนใหญ่แพ้แมว ดังนั้น จริงๆ ตามหลักการพวกเธอเป็นทาสของเราครับ อันนี้ผมเอามาจากคอมเมนต์ของลูกเพจ เพราะเขาบอกว่าแมวเป็นสัตว์ที่จ้องจดจำพฤติกรรม แมวไม่ใช่สัตว์ที่อยู่นิ่งๆ มักจะชอบหนีออกไปนอกบ้าน มันเป็นสัญลักษณ์ในกาย (หัวเราะ) เราเป็นแมว แต่ว่าเรากบฏนี่คือในใจ
ฉะนั้น การที่เรายอมรับโอวาทอย่างเดียว ถือว่าเราอ่อนหัดมากๆ เราควรจะคุยกันด้วยเหตุและผล การพูดคุยทำให้รู้ว่าอะไรถูกหรือผิด ที่เหลือหลังจากนี้คืออีโก้ของแต่ละคน
• คิดว่าทำอย่างไรจะให้ชีวิตผัวเมียราบรื่น
ก็คุยกัน และอยู่ที่สามัญสำนึกด้วย เพราะเราก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของครอบครัว ไม่ใช่ว่ากลับมาก็ถอดถุงเท้าโยนไปที่เตียง แล้วก็จะให้ภรรยามาช่วยเก็บกวาดอะไรตามหลังมันก็ไม่ใช่ เราก็ควรดูแลสิ่งที่เรามีกันอยู่ แต่เรื่องนี้ก็เคยได้ยินว่ามันมีจริงๆ เคยรับรู้มา แต่ก็อย่างที่บอก แล้วแต่สามัญสำนึกของคนด้วยกันครับว่าเราอยู่ด้วยกันเราน่าจะเกื้อหนุนจุนเจือกัน
• "กลัวภรรยาแล้วชีวิตจะเจริญ" รู้สึกอย่างไรบ้างกับคำนี้
(หัวเราะ) ที่มาของคำนี้อาจจะลึกซึ้งกว่าที่คิด คือผมไม่ทราบว่าใครตั้งขึ้นมา แต่เจ้าสัวท่านนั้นน่าจะใช้ความกลัวเกรงภรรยารักษาบรรยากาศครอบครัวให้มีความสุขสงบร่มเย็นเอาไว้ได้ และเมื่อเรื่องที่บ้านราบรื่นก็หมดห่วง (แอบยิ้ม) เรื่องงานเรื่องธุรกิจอื่นๆ ก็ราบรื่นตาม ลองเอาไปประยุกต์ใช้กันครับ
• แล้วถ้าประโยคทำนอง "ภรรยาไม่ใช่แม่ ตอแ...ลตบ" คิดหรือรู้สึกอย่างไรบ้าง
ฮืม...ไม่ว่าจะเป็นภรรยาเราหรือภรรยาคนอื่นก็ไม่ควรทำร้ายร่างกายกันทั้งนั้นครับ
• แต่มันก็ยังจะมีบางกรณีสิทธิ์ขาดผู้ชายที่มากกว่า อย่างเราทำได้แต่เขาทำไม่ได้ในบางเรื่อง
ผมคิดว่าเป็นค่านิยมสมัยก่อนนะครับที่ไม่ให้ผู้หญิงออกมาข้างนอก แต่คิดว่าในส่วนตัว ในครัวเรือนสมัยก่อน เวลาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเขาก็คงน่าจะปรึกษากัน แต่สมัยนี้เรามีอะไรเราก็พูดกันตรงๆ เพราะความรู้ ความสามารถของผู้หญิงก็เท่ากับผู้ชาย อย่างที่เคยอ่านมาก็คือหัวหน้าหรือเจ้านายบริษัทใหญ่ๆ ของประเทศไทยบ้านเราก็เป็นผู้หญิงเยอะพอสมควร ผมจำตัวเลขเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ก็เลยคิดว่าสังคมไทยก็ยอมรับตรงนี้เยอะขึ้นแล้ว
• ยอมรับได้เยอะขึ้น แต่ว่าก็ยังเห็นว่าลูกเพจนำเสนอเรื่องราวทำนองทนไม่ไหวกับพฤติกรรมภรรยา เยอะอยู่ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น...
คือผมคิดว่าเขาล้อเล่นมากกว่า ไม่ได้เอาจริงเอาจัง แต่อย่างว่าคนเรามันคิดไม่เหมือนกัน ก็จะมีดราม่าบ้างบางสเตตัส บางคอมเมนต์ "เออ...ทำอย่างนี้ทำไม เสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรีหมด" ซึ่งจริงๆ ถ้าดูแล้วเขาน่าจะซีเรียสนะคนนี้ แต่ที่เห็นและคิดมีแค่ 0.001 เปอร์เซ็นต์ของคนที่คิดอย่างนี้ เพราะเขาเข้าใจคนเซ็ปต์ของเพจพ่อบ้านใจกล้าเป็นอย่างไร เราเป็นเพจที่นำเสนอในเรื่องสนุกสนานๆ ขำขันมากกว่า ไม่ใช่เอามาซีเรียส
• คิดว่าความสำคัญของความสัมพันธ์ฉันสามีและภรรยาควรเป็นอย่างไรถึงจะราบรื่น
ก็อย่างที่ผมบอก เริ่มต้นก็ต้องเกื้อหนุนจุนเจือกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่พยายามเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่อย่างนั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข จริงๆ สมัยก่อนผมก็ไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่หลังจากแต่งงานมามีลูกมีอะไรอย่างนี้ เราก็ทบทวนพฤติกรรมของเรา ก็นั่นแหละครับความรัก มันไม่เหมือนในละครทีวี อันนั้นผมว่ามันดราม่าเกินไป (หัวเราะ) ไม่ใช่ชีวิตจริง เขาสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงของผู้ชมอย่างเดียว ชีวิตจริงกับละครไม่เหมือนกัน
• แล้วอันไหนมันเศร้ากว่ากัน ระหว่างชีวิตกับละคร
ฮืม...(คิดนาน) คือถ้าเรามีความเข้าใจ มีความรัก มันก็คงจะไม่มีดราม่าอะไรมากมาย แต่อย่างว่านิสัยคนเรา บางคนมันไม่ใช่ มันไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ก็เลยมีข่าวอย่างในหนังสือพิมพ์ออกมาบ่อยๆ เรื่องทำร้ายกันในครอบครัว
จริงๆ ก่อนคิดจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ต้องทบทวนก่อนว่าถ้าทำไปแล้วจะเหมาะสมไหม มันไม่ใช่แค่เราคนเดียว เราต้องคิดถึงเบื้องหลัง เรามีใครบ้าง พ่อแม่ มีบุตรหลานที่ต้องดูแล การไปทำร้ายกัน ฆ่าแกงกัน แล้วลูกหลานจะอยู่กับใคร
• มาอย่างนี้แล้วก็ต้องมีคนพูดว่าแล้ว “ศักดิ์ศรี” ของเราชายชาตรีล่ะเอาไว้ตรงไหน
ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ครับ ก็อย่างว่าเรื่องบางเรื่องไอ้ที่ตายกันบ่อยๆ ไม่ใช่แค่ในครัวเรือน แต่เป็นเรื่องในท้องถนน ในร้านอาหาร ในผับ ในสถานที่เที่ยว คือมันเรื่องเกี่ยวกับตรงนี้ทั้งนั้น จริงๆ ผมก็ผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ตอนนี้ก็อายุจะ 40 กันแล้ว ก็เลยอาจจะใจเย็นลงกว่าเดิม
• เท่าๆ ที่มองเพจรวมๆ เหมือนท้ายที่สุดแล้วเพจพ่อบ้านใจกล้า แท้จริงคือ กล้าที่จะยอมรับในการช่วยเหลือภรรยา และการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองสมานฉันท์
ก็น่าจะกล้าที่จะยอมรับความเป็นจริง เพราะมันเป็นเรื่องจริง แต่คือเราจะบอกว่าจริงๆ แล้วเรายังไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น อีกอย่างก็เพิ่งเปิดมาได้ครบหนึ่งเดือนเมื่อไม่กี่วันนนี่เอง คอนเซ็ปต์เราก็ไม่ได้มีอะไรมาก ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร คือกะว่าจะหือกับภรรยา แต่บังเอิญว่าหือไม่ขึ้น (หัวเราะ) ก็เลยออกมาแนวนี้แทน ทำสนุกภายในเพื่อนฝูงกัน คือภรรยาแท็กสามีให้มาดู เขาทำอย่างนี้อย่างนั้นนะ อ้าว...ชีวิตจริงเรานี่หว่ามันฮิตขึ้นมา เราก็พยายามวางกรอบของเรา เราจะเซ็นเซอร์คำหยาบคายออกไป อันไหนดราม่ามากๆ หรือว่าหยาบมาก เราก็จะลบทิ้งไป
• ฟังไปฟังมาท้ายที่สุดถามจริงว่า...เรากลายเป็นแมวไปแล้วหรือเปล่า
(หัวเราะ) ยังๆ ครับ ยังไม่ถึงขนาดนั้น บางทีผมก็ดุภรรยาได้เหมือนกัน คือร่วมเดินไปด้วยกันครับ
• แล้วถ้าช้างเท้าหลังถีบ จะเป็นอะไรไหม
อ่อ...ไม่เป็นไรครับ เพราะเคยเถียงกันมาแล้วเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เคยชนะสักที ได้แต่ใจกล้า แต่ไม่หือไม่อือ (หัวเราะ)
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพประกอบจากเพจเฟซบุ๊ก : พ่อบ้านใจกล้า