xs
xsm
sm
md
lg

ยิ่งกิน ยิ่งผอม..ดีเจภูมิ “ภูมิใจ ตั้งสง่า” กับอานุภาพของอาหารคลีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพราะความที่ชื่นชอบดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายมาเป็นเวลากว่า 20 ปี แต่ก็ยังไม่มีกล้ามหน้าท้องอย่างที่ต้องการ แถมน้ำหนักยังขึ้นๆ ลงๆ ทำให้เขาลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองจริงจังด้วยการกิน ที่ไม่เพียงเปลี่ยนเขาเป็นคนใหม่ในทางสุขภาพ หากแต่ยังมีผลลัพธ์เป็นธุรกิจที่กำลังรุ่งสุดขีดอีกด้วย

“ภูมิใจ ตั้งสง่า” ดีเจชื่อดังที่หลายคนรู้จักเขาดีในนาม “ดีเจภูมิ” คือคนที่เรากำลังกล่าวถึง ในวันที่กิจการอาหารคลีน DJ POOM MENU กำลังไปได้สวย เราเดินเข้าไปหาคนหนุ่มคนนี้ คุยเรื่องสุขภาพ คุยเรื่องอาหารคลีน และธุรกิจของเขา...

“ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เราเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายมาเป็นเวลา 20 กว่าปีมาแล้ว แต่ไม่เคยมีกล้ามหน้าท้องเลย ก่อนหน้านี้ ทุกๆ ปี ผมต้องขึ้นเวทีที่รูท 66 ก็จะออกกำลังกายเยอะมาก วิ่งหนักเลย วันหนึ่งก็ 5-10 กิโลเมตรได้ แต่ผลลัพธ์ก็คือเรามีซิกแพกแบบรางๆ ไม่ได้ชัดเจนอะไร แล้วพอหมดงานปุ๊บ ก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมแล้วก็กลับมาอ้วนจ้ำม้ำใหม่

“มีอยู่ปีหนึ่ง ผมเริ่มคิดว่าเราจะเอาจริงกับการฟิตหุ่นแล้ว ผมเลยไปซื้อโปรแกรมออนไลน์จากอเมริกาของโค้ชชื่อดังที่เขาสร้างแชมป์เยอะที่สุดในอเมริกา โค้ชคนนี้เขาจะเขียนข้อคิด แรงบันดาลใจ ให้ความรู้อะไรดีๆ เยอะเลย เราจึงลองซื้อโปรแกรมกับเขาดู ซึ่งก็ใช้งบไปหลายหมื่นเลยตอนนั้น สิ่งที่ได้มามันก็โอเคเลยนะ เพราะเราได้โปรแกรมเทรนด์การกินมาด้วย”

ดีเจหนุ่มผู้เป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังไปได้สวย ยิ้มเต็มใบหน้า ก่อนตอบคำถามสนทนากับเราอย่างกระตือรือร้น...

 • ณ จุดนั้นด้วยหรือเปล่าที่ทำให้เราสนใจที่จะทำธุรกิจสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องอาหารคลีน

จริงๆ มันเริ่มมาจากการที่ผมรู้สึกว่าตอนนี้ โลกมันเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ดาราหลายคนมีช่องทางการตลาดอยู่ในมือตัวเอง คือเราไม่ต้องไปซื้อโฆษณาในโทรทัศน์หรือวิทยุแล้ว ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นเย็นวันศุกร์ ผมบอกกับคนที่ติดตามในอินสตาแกรมว่าจะทำอาหารขายดู แต่ก่อนหน้านี้มีน้องๆ หลายคนถามสูตรเราก็บอกตลอดนะครับไม่ได้งกสูตรเลย แต่เราอยากทำขายแล้ว เลยโพสต์ไปว่ามีใครสนใจไหม เราขายเซตละ 10 กล่อง 1,000 บาท (กล่องละ 100 บาท) (ยิ้ม)

 • เลยมาเป็น DJ POOM MENU อย่างที่รู้จักกันทุกวันนี้

ตอนนั้นอยากจะตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ว่า Sixpact Menu แต่กลัวผู้หญิงไม่กล้ากิน กลัวคิดว่ากินแล้วจะมีกล้ามหรือเปล่า เลยได้ชื่อออกมาโง่ๆ ว่า DJ POOM MENU เพราะเราเชื่อว่าเราเป็นคนแรกในโลกที่คิดเอง เอาตารางการกินของฝรั่งมาทำเป็นอาหารไทยโดยไม่ใส่น้ำมัน แล้วก็ขอโอกาสเขาว่าเรากำลังจะลองศึกษาเรื่องของการตลาดทางอินสตาแกรม ตอนนั้นกระแสตอบรับดีมากเลยนะ เข้ามาถล่มทลาย นั่งตอบไลน์เองถึงตี 3 ตี 4 จนต้องบอกเขาว่าตอบไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) พอตื่นมาก็มีไลน์เข้ามาอีกเยอะเลย ตอบจนต้องขอตัวออกไปซื้อของ ตอนนั้นพี่เลือกซื้อของเอง ทำเอง ซึ่งเราจะมีแม่ครัวที่ทำให้กินเป็นประจำ ซึ่งเขาก็จะรู้อยู่แล้วว่าเราต้องผัดยังไง ทำยังไง

ตอนนั้นสนุกสนานมากแต่ก็เหนื่อยมาก เรานั่งสับไก่ถึงหกโมงเช้า น้ำแข็งที่สั่งก็ไม่มา เจอปัญหาเยอะมาก พอตื่นเช้าขึ้นมาก็มีปัญหา ผัดไม่ทัน ทำช้า เย็นวันเสาร์เสร็จหมดทุกอย่างแต่เราเหนื่อยมาก รู้สึกแย่มาก เลยไปลงรูปขอบคุณในอินสตาแกรมว่าเราขอบคุณที่เขาให้โอกาส เราได้ประสบการณ์มาเรียบร้อยแล้วซึ่งเงินทั้งหมดจะขอทำบุญทั้งหมดเลย ตอนนั้นเราก็ปิดกิจการไปเลย

 • ปิดกิจการเลย?

เพราะผมมองว่าเงินที่ได้มา แลกกับความเหนื่อยตอนนั้น มันไม่คุ้ม เรามองว่าเราเป็นพิธีกร ยิงรูปรูปเดียวเราก็ได้เงินหลักหมื่นแล้ว มีคนจ้างเราลงรูปในอินสตาแกรมอาทิตย์หนึ่ง 4-5 รูปก็เดือนละล้านแล้ว อีเวนต์เราชั่วโมงเดียวก็หลักหลายหมื่นแล้ว แต่อันนี้มันเหนื่อยเหลือเกินมันไม่คุ้ม แต่มีอยู่วันหนึ่ง ไปทานข้าวกับครอบครัว น้องก็มาถามว่าเราทำอะไรบ้างวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่าเราลองทำอาหารขายทางอินสตาแกรม เขาก็ถามว่าดีไหม เราก็บอกว่าไม่ดีหรอก มันเหนื่อย มันมีปัญหาเยอะ แค่ตอบไลน์ก็ปวดหัวแล้ว มานั่งทำสุดท้ายก็ทำไม่ทัน รับออเดอร์มา 65 ออเดอร์ แต่ว่าทำไม่ทันทำได้แค่ 35 ออเดอร์ นอกนั้นต้องโอนเงินคืนเขาไป

เราก็เล่าให้น้องฟังว่าขายราคาเท่าไหร่อะไรยังไง แต่น้องกลับบอกมาว่าโอ้โห ถ้างั้น สำหรับการทำการตลาดของพี่แค่รูปเดียว วันเดียวพี่ขายได้สามหมื่นห้า ถ้าทำทุกวันก็เดือนละล้านนะ ผมเลยมานั่งคิดว่ามันก็จริงเว้ย ซึ่งถ้าเราทำได้ครบตามออเดอร์จริงๆ ก็เดือนละสองล้านเลยนะ เรามองว่ามันเป็นเงินไม่เยอะสำหรับความเหนื่อย แต่เรามองว่าถ้ามันได้ต่อเนื่องเรื่อยๆ แล้วมีทีมงานมาช่วยดูระบบ มันก็น่าสนใจดีนะ ซึ่งตอนนั้นก็พักไปอาทิตย์เดียวแล้วก็มาเริ่มใหม่กับน้องชาย ให้เขาเป็นมือขวา

 • เนื่องจากธุรกิจที่คุณทำ เกี่ยวกับอาหารคลีน อยากให้พูดถึงอาหารประเภทนี้หน่อยค่ะว่าหมายถึงอาหารแบบไหน

สำหรับผมแล้ว มันเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน คือจริงๆ แล้วร่างกายคนเราต้องการไขมันนะ แต่ว่ามันสามารถหาได้จากหลายๆ แหล่งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นวิธีการทำอาหารคลีนของเราที่ใช้หลักๆ จะมีอยู่สองอย่าง คือกรรมวิธีในการทำและวัตถุดิบ

เราต้องดูวัตถุดิบให้ดี ขณะที่ขั้นตอนการทำ ต้องไม่มีการทอด ไม่มีผัด ถามว่าปรุงได้ไหม ปรุงได้นะ เพราะถ้าดูพวกหลักการปรุงโดยรวมแล้ว อย่างพริก แคลอรีแทบจะไม่มีเลย น้ำปลาแคลอรีน้อยมาก มะนาวแคลอรีน้อยมาก พลังงานจะเยอะอยู่ที่น้ำตาล แต่ผมมองว่าการปรุงอาหารไม่เหมือนกับการกินเครื่องดื่มเพราะคุณไม่มีทางจะเอาน้ำตาลใส่ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยคุณได้ถึง 10 ช้อน แต่เครื่องดื่ม คุณอาจจะได้น้ำตาลในปริมาณเยอะ โดยที่คุณไม่รู้ตัว

 • ทำธุรกิจอาหารคลีน ส่วนตัวแล้วทานคลีนอยู่ด้วยหรือเปล่าคะ

ผมทานคลีนมาหลายปีแล้ว และก็เห็นถึงอานุภาพของมัน ซึ่งผมอยากจะบอกทุกคนเลยนะว่าสิ่งที่วิเศษที่เราจะทำให้สุขภาพของเราได้คือการกินอาหารที่ดี ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ ออกกำลังกายนี่ไม่มีทางเลย มันได้แค่ 20 เปอร์เซ็นต์ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าอยากผอมต้องออกกำลังกาย แต่จริงๆ แล้วพอเราได้ไปคุยกับโค้ช โค้ชบอกว่า ถ้าเรื่องลดน้ำหนัก การกินอาหารมีความสำคัญถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ การออกกำลังกายจะช่วยน้อยมาก ซึ่งมันจริงนะ

ผมเคยได้ยินฝรั่งเขาพูดว่า คุณไม่มีทางออกกำลังกายเพื่อทดแทนการกินที่ไม่ดีได้ พอเราได้ตารางการกินมาปั๊บ เราเปลี่ยนเลย เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองทุกวัน เราเห็นความมหัศจรรย์ของการกิน ตอนนั้นก็เลยเห่อเรื่องการกินมาก พอกินอะไรหน่อยก็จะโพสต์ลงอินสตาแกรม จะโพสต์ทุกวันว่านี่คือเมนูที่เรากิน ทุกคนต้องหันมาเข้าใจการกินแล้ว เพราะว่ามันเปลี่ยนแปลงชีวิตได้

ตอนนั้นกินได้ประมาณสัก 3-4 เดือน หุ่นผมเปลี่ยนเลย ตัวเป็นหมีเลย หล่อมาก (ยิ้ม) แต่ปัญหาก็คือมันไม่อร่อยเลย เรากินอกไก่ย่างมื้อละ 200 กรัม ต้องกิน 7 มื้อต่อวัน บวกกับบร็อกโคลีต้มอีก 200 กรัม บวกกับนู่นนี่นั่นนิดๆ หน่อยๆ จืดๆ ปรุงรสไม่ได้ แต่ยอมรับว่า หลังจาก 3-4 เดือน หุ่นดีจริง แต่ผมมานึกว่าถ้าจะให้กินแบบนี้ตลอดชีวิต ไม่ไหวนะ ก็เลยเริ่มใหม่ ซึ่งเรามีสูตรของตัวเองแล้วแหละว่าร่างกายต้องการพลังงานเท่าไหร่ ต้องการโปรตีนเท่าไหร่ คาร์โบไฮเดรต ผักเท่าไหร่ แถมเรายังรู้จากโค้ชอีกด้วยว่าโปรตีน แป้ง เครื่องปรุงอันไหนกินได้ อันไหนกินไม่ได้ ตอนนั้นผมเอาลิสต์รายการมานั่งดูกับแม่ครัวเลย ให้เขาช่วยดูว่าในบรรดาอาหารที่เรากินได้และเครื่องปรุงที่สามารถนำมาปรุงแต่งได้ เราสามารถทำอะไรกินกันได้บ้าง

อย่างเช่นไก่ย่าง ก็เอามามาสับคลุกกับเครื่องปรุงแบบโง่ๆ ไปก่อน ก็พบว่ามันใช้ได้ สักพักหนึ่งก็ลองโยนใบกะเพราลงไป มันก็ไปกันได้ มันเหมือนผัดกะเพรา แต่เราไม่ได้ใช้น้ำมัน ใช้น้ำซุปผัดแทน หลังจากนั้นเวลาไปร้านอาหารก็จะบอกกับแม่ครัวเลยว่าขอเป็นผัดนั่นผัดนี่ แต่ว่าไม่ใช้น้ำมันเลยนะ ผมแพ้น้ำมัน ซึ่งมันก็ออกมารสชาติไม่ได้แตกต่างจากเดิมเลยนะ ตอนนั้นเราก็เลยเริ่มที่จะให้แม่ครัวผัดกะเพราทำทิ้งไว้เป็นกล่องๆ แล้วเราก็มาชั่งน้ำหนักวัดปริมาณให้ได้เท่าที่ร่างกายต้องการ มีข้าว มีฟักทอง กินจนอร่อย แล้วก็โพสต์ลงอินสตาแกรม ชวนคนอื่นให้ลองทำดูบ้าง ทำมาหลายปีเหมือนกันซึ่งคนก็เริ่มทำกินกันเอง

 • พอหันมาทานอาหารคลีนแล้ว สุขภาพเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

ผมเป็นคนที่อ้วนมาตลอดชีวิต อายุ 11 ขวบ ก็หนัก 70 กิโลกรัมแล้ว พูดได้ว่าเกิดมาไม่เคยผอมเลย เราเป็นคนที่ตัวใหญ่ ตัวโต พอเริ่มผอมซึ่งตอนแรกไม่ได้ผอมเพราะการกิน แต่ผอมเพราะการออกกำลังกาย แต่ตั้งแต่ที่ผมเข้าใจอาหารคลีน ก็ไม่เคยกลับไปอ้วนอีกเลย ก่อนหน้านี้จะโยโย่เป็นประจำ แต่ตอนนี้ไม่มีทาง น้ำหนักนิ่งตลอด (ยิ้ม)


 • ถามถึงธุรกิจอาหารคลีนสักนิดหนึ่งค่ะว่าจุดเด่นของร้าน DJ POOMMENU แตกต่างอย่างไรจากอาหารคลีนร้านอื่นบ้าง


ก่อนหน้านี้มุมมองของคนที่เขามองอาหารคลีน เขาจะมองว่ามันน่าเบื่อ มันจืด ไม่อร่อย วันนี้มาแล้วเมนู แอปเปิล สองซีก ผักสลัดนิดๆ มีปลาชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งแล้วก็จืดๆ หมดเลย นี่คือมุมมองของโลกที่มีต่ออาหารคลีนซึ่งของเราเป็นเจ้าแรกที่ทำอาหารคลีนแล้วช็อกโลกเลย คือทำไมกินแล้วเปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวานมันมีรสชาติ มันกินได้

หลายคนบอกเรานะว่าทำไมไม่ทำสเต๊กปลา ไม่ทำสเต๊กเนื้ออะไรแบบนี้ล่ะ คือส่วนตัวผมเป็นคนที่ทำงานออฟฟิศมาก่อน แน่นอนว่าเรากินสเต๊กนานๆ ที เรากินมันก็อร่อยแต่ให้เราไปกินสเต๊กแซลมอนทุกเที่ยงมันก็ไม่ไหวเพราะว่าเราเป็นคนไทย เราอยู่ออฟฟิศทุกวัน เราเลยรู้ว่าเวลาลงไปกินข้าว ข้าวแกงเรากินได้ทุกวัน เรากินไก่ย่างข้าวเหนียวได้ทุกวัน เรากินผัดกะเพราได้ทุกวัน อาหารตามสั่งได้ทุกวัน พอมีคนบอกไปลองทำสลัด ลองทำสเต๊กดูสิ เราเลยคิดว่าไม่เอาดีกว่า มันเหมือนกับคนอื่นที่เขาทำแล้ว เราลองทำอาหารที่มันพื้นๆ บ้านๆ แต่กินได้ทุกวัน ราคาต่ำไม่ต้องเหมือนกับอาหารคลีนสมัยก่อนที่คิดคุณเดือนละสองหมื่นบาท สามหมื่นบาท

อีกอย่าง ผมมองว่าเมืองไทยเราโชคดีนะ เพราะเราได้วัตถุดิบที่ดีที่สุดในราคาที่ถูกที่สุด คนไทยชอบกินเนื้อติดมัน ชอบกินปีก กินน่องซึ่งปีกน่องแพงนะ แต่อกไก่ถูกที่สุดเลย แต่คุณลองไปอังกฤษ อเมริกาสิ อกไก่แพงกว่าทุกอย่างหมดเลย ราคา 2-3 เท่าเลย เพราะฉะนั้น เราได้ของดีในราคาถูก

เราเล็งเห็นว่ามันเป็นโอกาสที่สามารถจะทำให้อาหารกล่องร้านเราเข้าถึงทุกคน นักศึกษา นักเรียนก็สามารถกินของเราได้ ไม่ใช่ว่าคุณต้องเป็นเศรษฐีถึงจะกินอาหารคลีนเดือนละสามหมื่นบาทได้ แบบนั้นต้องเงินเดือนเป็นแสน ซึ่งของเราไม่ใช่ขนาดนั้น

 • เห็นสโลแกนของร้านบอกว่ายิ่งกิน ยิ่งผอม อยากทราบว่าอาหารคลีนมันทำให้ผอมจริงเหรอคะ

ล้านเปอร์เซ็นต์ (ตอบเร็ว) บอกทุกคนเลยว่าถ้าไปกินจริงจัง 2-3 วันน้ำหนักไม่ลงหลักกิโลนะ เอาเท้ามาถีบหน้าผมได้เลย (หัวเราะ) ยืนยันแน่นอน

มันมหัศจรรย์มากนะ อย่างอาทิตย์แรกเลยลูกค้า 90 เปอร์เซ็นต์จะเป็นผู้ชายออกกำลังกาย ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับออกกำลังกายของผมเพราะผมจะมีกรุ๊ปแนะนำเรื่องออกกำลังกายด้วย เขากินอาหารผมก็จะลดไป 3 -4 กิโลกรัม บางคน 6 กิโลกรัมก็มี พอได้ผลอย่างนั้นผู้หญิงที่เขาเห็นแฟนกินแล้วน้ำหนักลงก็เลยกินตาม สรุปน้ำหนักก็ลดเหมือนกัน พ่อแม่เห็นก็กินตาม ปู่ย่าตายายก็กินตาม ตอนนี้เลยเป็นอาหารที่ทุกคนทานได้ทุกเพศทุกวัย (ยิ้ม)

มีคุณหมอที่บำรุงราษฏร์หลายคนเหมือนกันที่กินอาหารคลีนจากร้านผม เขาไปเจาะเลือดตรวจ ไม่ได้วัดแค่การชั่งน้ำหนัก ปรากฎว่า 2 เดือน ชีวิตเปลี่ยนเลย ความดันลง ไขมันดีเพิ่มขึ้น ไขมันเลวลดลง คอเลสเตอรอลลง น้ำหนักลง มันเห็นได้ว่าร่างกายได้สิ่งที่ต้องการ (ยิ้ม)

ผมอยากจะบอกว่าถ้าเราอยากจะได้อะไรที่เราไม่เคยได้คุณต้องทำอะไรที่คุณไม่เคยทำ สมมติว่าวันหนึ่งเราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ชีวิตเราก็จะเปลี่ยน ทำอะไรก็ได้ทุกการกระทำมันมีการตอบรับเสมอ เพราะฉะนั้น คนที่น้ำหนักลง ชีวิตคุณเปลี่ยนแน่ๆ อย่างผู้หญิงบางคนผอมลง มีซิกแพกรางๆ หน้าอกใหญ่ ชีวิตเปลี่ยนเลย เหมือนไปทำศัลยกรรมมา น้ำหนักลงมันยิ่งกว่าไปทำศัลยกรรมอีกนะผมว่า ทุกคนดูดีหมดอ่ะ ซึ่งตรงนี้คนก็จะให้ความสนใจเรามากขึ้น เราก็จะให้ความสนใจตัวเองมากขึ้น เราก็จะรักตัวเองมากขึ้น โลกก็จะเปลี่ยน

 • ในฐานะที่มีธุรกิจอาหารคลีนแถมยังทานคลีนด้วย อยากให้ช่วยแนะนำคนที่อยากทานคลีนหน่อยค่ะว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไรบ้าง

ง่ายมากครับ ไม่ต้องซื้อผมกินก็ได้ ทำกินเองเลย แต่อย่าไปใส่น้ำมัน ทอดผัดตัดทิ้ง เปลี่ยนการใช้ชีวิตนิดเดียว อย่างไก่ทอดเปลี่ยนเป็นไก่ย่าง ต้มยำน้ำข้นเปลี่ยนเป็นต้มยำน้ำใส ผัดอะไรก็ใช้น้ำซุปแทน และเลือกใช้วัตถุดิบที่ดี พวกคอหมู หนังไก่ก็หลีกเลี่ยงไป หรือถ้าอยากกินก็นิดๆ หน่อยๆ ก็พอ บางทีอยากกินเค้ก สมัยก่อน เราอาจจะกินชิ้นสองชิ้น ก็ลดลงมาชิมสักสองคำ ของทอดของมันสักคำ สองคำ จริงๆ มันก็คือพิษนะ แต่ก็เข้าใจว่าเราอยากกินบ้างซึ่งตรงนี้นิดๆ หน่อยๆ ได้ ส่วนบางคนที่บอกว่าไม่มีอะไรคลีนๆ กินเลย ผมว่าไม่จริงนะ บ้านเรามีเยอะมาก อย่างก๋วยเตี๋ยวเนี่ยเกือบจะคลีนเลย ดีมาก อาหารอีสานก็ดีมากเพราะแทบจะไม่มีทอด ไม่มีผัดเลย จะเป็นยำ เป็นส้มตำ ไก่ย่างก็ดี แต่ต้องดูวัตถุดิบที่นำมาทำด้วยนะครับไม่ใช่ว่ามานั่งกินยำคอหมูย่างอะไรแบบนี้ ก็ไม่ใช่นะ

 • คิดอย่างไรบ้างกับการที่คนสมัยนี้หันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น

ชอบมาก ชอบมากเลย มันดีนะ ไม่มีอะไรไม่ดีเลย แต่ผมยังมองว่าคนทั่วไปในโลกนี้ยังมีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกา ประเทศอังกฤษ เด็ก 60-70 เปอร์เซ็นต์ของเขาน้ำหนักเกิน เพราะอาหารหลักจำพวกแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย อาหารฟาสต์ฟูดต่างๆ ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ โรคความดัน โรคอ้วนเยอะมาก (เน้นเสียง) ซึ่งสิ่งที่เรากินลงไปมันทำให้เราใส่พิษเข้าไปเรื่อยๆ เรากินของทอด เรากินของมัน เรากินพิษเข้าไปแล้วเราบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเราค่อยไปวิ่งออกกำลังกายก็ได้ ถามจริงๆ ว่าคนคนหนึ่งจะวิ่งได้อาทิตย์หนึ่งกี่วัน แล้ววันหนึ่งจะวิ่งได้กี่นาที

เรามองไม่ออก แต่รู้หรือไม่ว่าโค้กกระป๋องหนึ่งน้ำตาล 10 ช้อนชา ซึ่งเราไม่รู้เพราะเราไม่เห็นตอนเขาใส่น้ำตาลเข้าไป แล้วถ้าคนกินกาแฟแก้วหนึ่งล่ะ กาแฟใส่น้ำตาลสองช้อนธรรมดา 4 เริ่มเยอะ 6 เริ่มหวานมาก ใครใส่ 8 เริ่มพิลึกแล้ว ใส่ 10 นี่โรคจิตเลย แต่น้ำอัดลม 10 ช้อนชา น้ำส้ม น้ำแอปเปิล น้ำผลไม้ 10 กว่าช้อนชา ชาเขียว 14-15 ช้อน คือคุณกำลังใส่พิษเข้าไป ใส่ๆ เข้าไป ร่างกายเราก็เหมือนกับเครื่องยนต์ แต่มนุษย์ไม่รู้ว่าต้องเติมน้ำมันอะไร เหมือนทุกวันนี้ที่เราเข้าปั๊มน้ำมันเราเติมมั่วเลยเดี๋ยว E28 บ้าง เบนซินบ้าง แก๊สโซฮอล์บ้าง เครื่องยนต์ก็น็อก ตกตะกอน ไขมันตามเส้นเลือดอุดตัน แรงน้อย ไม่มีแรง เหนื่อย เป็นโรคนู่นโรคนี่ แต่เมื่อไหร่ที่คุณได้กินอาหารคลีน ผมบอกได้เลยว่าพลัง 100 เปอร์เซ็นต์มาจากโปรตีนทั้งนั้น 100 เปอร์เซ็นต์มาจากคาร์โบไฮเดรต จากผักที่คลีน

เพราะฉะนั้นถ้าคุณกินพิษเข้าไปแล้วกะว่าจะไปออกกำลังกาย มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณกินพิษแล้วบอกว่าเดี๋ยวกินวิตามินตาม เดี๋ยวกินยาแก้ความดัน เดี๋ยวกินยาลด ยาดักไขมัน เป็นไปไม่ได้เพราะคุณใส่พิษไปในร่างกายทุกวัน มันทดแทนกันไม่ได้ อาจจะไปช่วยได้แค่นิดๆ หน่อยๆ แค่นั้น

 • ท้ายนี้มองอนาคตธุรกิจอาหารคลีนหรือวางแผนกับร้านอาหารคลีน DJPOOMMENU อย่างไรต่อไปบ้างคะ

อนาคตของเราคือการเปลี่ยนโลก ตอนนี้มีคนติดต่อเรื่องแฟรนไชส์มาไม่ต่ำกว่าร้อยคน เรามีคนติดต่อให้ไปเมืองนอก แล้ว meal prep (การเตรียมอาหาร) เดี๋ยวนี้กำลังมาแรง ซึ่งฝรั่งเขาจะทำใส่กล่องไว้เลยสำหรับ 7 วันแล้วเอาไปกินทุกวัน และอาหารไทยกับอาหารอินเตอร์เป็นอาหารที่มาแรงที่สุดในโลกซึ่ งโลกนี้ยังไม่เคยมีคนเห็น meal prep ที่เป็นอาหารไทยมาก่อน ไม่เคยเลย เราเป็นเจ้าแรกในโลกซึ่งกำลังมองอยู่ว่าอยากไปแต่ด้วยความเป็นอาหารสด คุณภาพจะควบคุมยากมาก เราเลยยังไม่กล้าปล่อยให้คนอื่นทำ กลัวเสีย กลัวบูด ตอนนี้ก็ขยายไปแล้ว 3 สาขา ซึ่งน้องชายอยากจะขยายให้ได้ 100 สาขา และตัวผมเองก็มองในส่วนของเมนูอาหารที่จะเพิ่มให้มากขึ้น (ยิ้ม)



 เคล็ดลับหุ่นดีจากดีเจภูมิ

ถ้าอยากผอมให้ตัดแคลอรี กินให้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ
ถ้าอยากจะลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน ไขมัน 1 กิโลกรัมใช้พลังงานในการเผาผลาญ 7,700 แคลอรี ถ้าคุณอยากจะลดไขมัน 10 กิโลกรัม คุณก็เอา 10 กิโลกรัมไปคูณกับ 7,700 แคลอรี ก็จะเป็น 77,000 แคลอรี 3 เดือนเราก็หารไป 90 วัน ตัวเลขก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 800 แคลอรีต่อวัน ที่คุณต้องกินให้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ

มนุษย์เรามองคร่าวๆ ว่าผู้ชายใช้พลังงานประมาณ 2,000 แคลอรี ผู้หญิงประมาณ 1,600-1,700 แคลอรี ถ้าคุณอยากผอม กินให้ได้น้อยกว่าที่ต้องการ อยากตัวใหญ่ขึ้นก็กินให้มากกว่าที่ต้องการ ง่ายมาก (เน้นเสียง) ทีนี้สมมติว่าคุณใช้ 1,600 แคลอรี คุณกิน 3 มื้อ มื้อละ 350 แคลอรี ร่างกายคุณจะได้พลังงาน 1,050 แคลอรี เท่ากับร่างกายคุณขาดพลังงานประมาณ 550 แคลอรี ซึ่งร่างกายจะมีส่วนต่างเชิงลบ 550 แคลอรี ร่างกายถ้ามีส่วนต่างเชิงลบทุกวันมันก็จะช่วยดึงไขมันออกมาใช้พลังงานทดแทน

อาหารสำคัญที่สุด
สิ่งที่ดีต่อสุขภาพที่ขาดไม่ได้คืออาหาร ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าอาหารแล้ว และก็ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย แต่ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการอะไร อย่างช่วงนี้อยากจะหุ่นฟิตซิกแพก ต้องคุมอาหารให้ได้ 70-80 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าอยากจะสร้างกล้ามเนื้อ อยากตัวใหญ่จะอยู่ที่อาหาร 33 เปอร์เซ็นต์ ฟิตเนส 33 เปอร์เซ็นต์ พักผ่อนอีก 33 เปอร์เซ็นต์ มันต่างกัน เราต้องรู้ว่าเราต้องการอะไร

อย่าเชื่อการตลาดมากเกินไป
ผมมองว่าบ้านเราโดนการตลาดหลอกนะ ยกตัวอย่างเช่น น้ำผักผลไม้มันดูเหมือนว่าต้องดีต่อสุขภาพ ทุกวันนี้ดังมาก Cold Passed (สกัดเย็น) หรือน้ำผักผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์มันต้องดีสิ ใครๆ ก็รู้ว่ากินแอปเปิลดี เพราะฉะนั้น กินน้ำแอปเปิลก็ต้องดี กินส้มดี กินน้ำส้มก็ต้องดี แต่ไม่ใช่เลย เราต้องเข้าใจว่าคนที่เป็นเจ้าของน้ำพวกนี้เขาเป็นเจ้าของไร่ใหญ่ ทำแอปเปิลปลูกมาทีเป็นล้านๆ ลูก ลูกสวยก็ขึ้นชั้นวางขายได้ราคาแพงๆ แต่ลูกที่ตกพื้น ช้ำ โดนหนอนแซะหน่อย เขาไม่ทิ้งหรอก ก็เอามาคั้นให้คุณกิน คนที่มองว่ากินแอปเปิลดีกินน้ำแอปเปิลก็ต้องดี

อย่างเรากินแอปเปิลสองลูกเราอิ่มเลย แต่ว่าน้ำแอปเปิลแก้วหนึ่งเนี่ย 7-8 ลูกคั้นออกมาเอาไฟเบอร์ เอากากทิ้งหมดเลยแล้วเอาน้ำให้เรากิน เรากินวันหนึ่ง 1 แก้ว บางที 2 แก้วต่อมื้อ สมัยก่อนผมเองก็กินวันละลิตรเลย มันก็เหมือนกับว่าเรากินน้ำตาลไปวันละ 40 ช้อน ไม่อิ่มแถมไม่ได้อะไรที่ดีเลย ได้แต่น้ำตาล

นมช็อกโกแลตบางยี่ห้อก็เหมือนกันที่ชอบมาแจกตามโรงเรียน เขาจะรณรงค์ว่ากินแล้วดี แข็งแรง ฉลาด แต่ส่วนผสมมีแต่นม น้ำตาล ไขมัน ช็อกโกแลต ไม่มีอะไรดีเลย ผมว่าคุณอยากกินอะไรก็ตามที่ดีต่อสุขภาพ คุณต้องอย่ากินอะไรเลยที่มีการตลาด เพราะว่าเขาคงไม่เอาของดีมาขายให้คุณในราคาถูกแล้วทำการตลาด เสียค่าโฆษณาแพงๆ ให้คนทั้งประเทศกิน เป็นไปไม่ได้

พลังความเชื่อมั่น
ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทุกคนควรมีคือความมั่นใจ ความมั่นใจคือความสุขที่เรามีกับตัวเราเอง ถ้าเรามั่นใจคือเรารักตัวเราเอง แต่ไม่ใช่ว่าคุณพูดแล้วมันจะได้มา คุณจะต้องค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาด้วย ซึ่งเราจะสร้างมันยังไงให้มันดีที่สุด นั่นก็คือคุณต้องลงทุนกับตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ทุกคนควรจะมีก็คือ ความรู้ สุขภาพที่ดี รวมถึงวินัย
ขอขอบคุณสถานที่: ร้าน DJPOOMMENU สาขาพระรามหก (สำนักงานใหญ่)
โทร. 09-9126-0722
E-mail: djpoommenu@gmail.com
Facebook: djpoommenu
Instagram: djpoommenu

เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช และ Facebook DJPoomMenu

กำลังโหลดความคิดเห็น