เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 8
ที่บ้านจิตวรบรรจง ในค่ำคืนก่อนวันแต่งงาน ชุดแต่งงานสีชมพูหวานถูกแขวนไว้มุมหนึ่งของห้อง พร้อมสำหรับใส่พรุ่งนี้ วันวิสานั่งซึมอยู่มุมหนึ่ง จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้เธอต้องตื่นจากภวังค์ วรินเปิดประตูเข้ามาเลย ถือกล่องเครื่องประดับมาด้วย
“ม๊า...”
“สร้อยแหวนต่างหูนี่ม๊าให้ลื้อ”
“ม๊าเก็บไว้เถอะ เอาไว้ให้พี่สะใภ้หนูก็ได้”
“ถึงพรุ่งนี้จะต้องกลายไปเป็นคนตระกูลอื่น แต่ม๊าก็ให้ลื้อรู้ไว้ ยังไงลื้อก็เป็นลูกสาวของม๊าตลอดไป”
“ม๊า” วันวิสากอดวรินน้ำตาไหล
“ไม่ว่าจะต้องไปเจออะไร ลื้อก็ต้องอดทนนะ ต่อให้ใครไม่เห็นค่าของเรา ลื้อก็ต้องทำหน้าที่ของลื้อให้ดีที่สุด อย่าให้ใครตำหนิเอาได้”
“จ้ะ ม๊า”
เช้านี้ รถเจ้าบ่าวผูกโบว์สีชมพูสดใสแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกบ้านจิตวรบรรจง ตามฤกษ์งาม ประยูรแต่งตัวหล่อเต็มยศ แถมมีโบว์เจ้าบ่าวติดเสื้อมาด้วย ลงจากรถหน้าบาน
บันลือ วริน พร้อมด้วย บดิน ยืนคอยต้อนรับขบวนเจ้าบ่าวใบหน้ายิ้มแย้ม
ถัดมา วันวิสาในชุดเจ้าสาว สวยสงบนิ่งอยู่มุมหนึ่งในห้องโถง
ประยูรเนื้อเต้นออกหน้าออกตา มอบซองสีแดงให้บันลือ แล้วมอบปิ่นทองให้ บันลือปักปิ่นทองให้วันวิสา แล้วตามด้วยใบทับทิม ขั้นตอน พิธีการต่างๆ ดำเนินไปอย่างถูกต้องตามประเพณีจีนโบราณ
บดินประคองตะเกียงน้ำมันขึ้นนั่งด้านหน้ารถเจ้าบ่าว ประยูรจะพาวันวิสาขึ้นรถแล้ว วันวิสาหันกลับมามองวรินเป็นครั้งสุดท้าย วรินยิ้มให้กำลังใจลูก
วันวิสาขึ้นรถเจ้าบ่าว รถแล่นออก
บันลือยิ้มขรึม ด้วยรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถัดจากนี้ วรินยิ้มบางๆ
ในขบวนรถเจ้าบ่าว วันวิสานั่งก้มหน้านิ่งมาตลอดทาง ประยูรขยับตัวเข้าเบียดใกล้ เอื้อมมือไปกุมมือเจ้าสาวใจเต้นโครมคราม วันวิสาอึดอัด
มองจากในรถ จู่ๆ ขบวนเชิดสิงโตก็โผล่พรวดออกมากลางถนน จนรถต้องเบรกกะทันหัน ตะเกียงน้ำมันในมือบดินแทบหลุดจากมือ ดีที่ประคองไว้ได้ทัน แต่เจ้าบ่าว เจ้าสาวหัวทิ่มหัวตำ
ประยูรโงหัวขึ้นมาก็เอะอะโวยวานลั่นรถ “เฮ้ย อะไรกันวะ”
ขบวนสิงโตเข้าล้อมรถเจ้าบ่าวจนแทบมิดทั้งคัน เสียงกลองเสียงฉาบดังชวนปวดหู
“เอาตังค์ให้มันไป มันจะได้ไปๆ ซะที” ประยูรสั่ง
สิงโตเชิดยื่นหน้ายื่นตาหลอกหลอนตามกระจกข้าง ประยูรไขหน้าต่างยื่นเงินออกไปให้ แต่สิงโตยิ่งรุกทุกด้าน ประยูรถูกมารุมมาตุ้มดึงตัวออกจากรถ บดิน กับคนขับรถ ต้องลงมาจากรถมาช่วย เหตุการณ์ชุลมุนจนไม่รู้ใครเป็นใคร
วินาทีนั้นเอง จู่ๆ รถเจ้าบ่าวพุ่งตัวออกไปทันที ทิ้งไว้แต่ซากโบว์ชมพู เหลือไว้ให้ประยูรดูต่างหน้า
ประยูรแหกปากวิ่งไล่ตามรถแต่ก็ไม่ทัน
“เจ้าสาวอั๊ว...เจ้าสาวอั๊ว”
ในรถที่แล่นมา วันวิสาแหกปากโวยวายอยู่ด้านหลัง
“จอดรถเดี๋ยวนี้นะ บอกให้จอด แกเป็นใคร ต้องการอะไร”
ภรพดึงผ้าที่ปิดหน้าเป็นไอ้โม่งโยนใส่วันวิสา
“เรื่องชั่วๆ ยังงี้จะเป็นใครได้ ถ้าไม่ใช่ไอ้จู๋คนนี้”
วันวิสาอีลุงตุงนังกับผ้าที่ถูกโยนมาใส่ เงยหน้ามอง เห็นภรพยิ้มกวนตีนมาให้
คณะเชิดสิงโต สร้างความชุลมุนจนถึงที่สุด แล้วสลายตัวไปอย่างรวดเร็วไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อะไรของพวกมันวะ ไอ้บ้า” ประยูรโวยวาย
“เฮีย...อาวัน...อาวันหายไปไหน” บดินตกใจ
“เจ้าสาวอั๊ว เจ้าสาวอั๊ว”
ประยูรวิ่งพล่านสติแตก
วันวิสาโวยวายลั่นรถที่แล่นมาตามถนน
“นายทำอะไรของนาย
“ก็บอกแล้วไงว่า อย่าท้าทาย เตือนแล้วใช่ไหมว่างานแต่ง ต้องไม่มีเกิดขึ้น”
“นายจะพาฉันไปไหน จอดรถเดี๋ยวนี้”
“จอดให้โง่สิ”
“คิดว่าฉันไม่กล้าโดดลงไปรึไง”
“หุบปาก แล้วนั่งเฉยๆ”
“นายมันเลว คิดเลว ทำแต่เรื่องเลวๆ”
“บอกให้หุบปาก”
ภรพตวาดดังลั่นจนวันวิสาต้องนั่งตัวแข็ง
ที่บ้านจิตวรบรรจง บันลือรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่แกล้งทำเป็นโกรธถึงขีดสุดเมื่อบดินรายงานจบ
“มันฝีมือใคร”
“ไม่ รู้เลยป๊า ตอนนั้นมันชุลมุนไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร”
วรินซัก ห่วงหมวยเล็กมาก “แล้วทำไมมันต้องเอาตัวอาวันไป พวกจี้ปล้นรึเปล่า”
“ไม่ใช่หรอกม๊า ทองหยองยังอยู่ครบ มันเอาตัวอาวันไปอย่างเดียว”
“มันต้องการอะไรของมันกันแน่วะ” บันลือทำเป็นงง
“แจ้งตำรวจไหมป๊า”
บันลือเสียงดัง “จะแจ้งได้ยังไง ขายขี้หน้าเขาตาย”
“เฮียก็ห่วงแต่เรื่องขายหน้า แล้วถ้ามันทำร้ายลูกล่ะ”
บันลือนิ่งคิด สามคนหาทางออกไม่ได้
ทางด้านประยูรอยู่ที่บ้านแล้ว ยังคงฟูมฟาย หมดสภาพอยู่ต่อหน้าประกิตผู้เป็นมารดา
“อั๊วกำลังจะได้เมียอยู่แล้ว ป๊าไม่ยอมนะป๊า อั๊วจะเอาเมียอั๊วคืนมา ป๊าต้องช่วยอั๊ว นะไม่งั้นอั๊วไม่ยอม”
“ไอ้ตี๋ ลื้อเลิกงอแงได้แล้ว” ประกิตเริ่มรำคาญ
“อั๊วจะเอาเมีย อั๊วจะเอาเมีย”
ประกิตตบกะโหลกเรียกสติ “ไอ้ตี๋ ลื้อเลิกคิดได้แล้ว”
ประยูรโกรธ “ป๊าพูดยังงี้ได้ยังไง”
“เจ้าสาวลื้ออีถูกชิงตัวไปยังงี้ ป่านนี้อียับเยินแหกไปถึงไหนแล้วก็ไม่ รู้ ลื้อจะเอาเข้ามาร่วมตระกูลได้ยังไง ไอ้บ้า”
ประยูรชะงักชั่วขณะ แล้วสุดท้ายกลับมาฟูมฟายต่อ
รถแล่นเข้าจอดหน้ารถอีกคันหนึ่ง ที่จอดทิ้งไว้รออยู่ ภรพลงจากรถประยูร แล้วเดินไปยังรถอีกคัน หยิบถุงกระดาษ ใส่เสื้อผ้าออกมา เดินกลับมาที่รถคันเก่า โยนถุงเสื้อผ้าใส่วันวิสา
“เปลี่ยนไอ้ชุดนี่ซะ ไวๆ”
“ทำไมต้องเปลี่ยนด้วย”
“ฉันไม่ชอบ”
“ไม่เปลี่ยน”
“จะเปลี่ยนเองดีๆ หรือจะให้เปลี่ยนให้” ภรพเปิดประตูรถท่าทีคุกคาม
วันวิสาวี้ด “อ๊าย ไอ้บ้า...ออกไป”
“ให้เวลาหนึ่งนาที ขืนโอ้เอ้โดนดีแน่”
“นายก็ถอยไปไกลๆ สิ มายืนจ้ออยู่ยังงี้ ใครจะเปลี่ยนได้”
ภรพปิดประตูรถ หันหลังปักหลักคอย ตรงนั้น
“อย่าหันมานะ”
“เห็นมาหมดแล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่าดูซักอย่าง มีอะไรต้องอายวะ”
วันวิสาที่สวมชุดใหม่ เป็นเสื้อ และกางเกงที่ภรพเตรียมให้ มุดออกมาจากรถ โดยยังติดกระดุมเสื้อพัลวัน
“คนอย่างนาย จนตายก็ไม่มีวันเสียรู้หรอกว่า ควรปฏบัติกับผู้หญิงยังไง”
ภรพไม่ต่อปากต่อคำ แต่ฉุดดึงวันวิสาตัวปลิวไปยัดใส่รถคันใหม่ทันที
ชุดเจ้าสาวแสนสวยที่ถูกถอดทิ้งไว้ในรถประยูรให้เป็นที่ระลึก
เสี่ยเฮ้งรู้ข่าวรีบรุดมายังบ้านจิตวรบรรจงเพื่อแสดงความเห็นใจต่อบันลือและวริน
“ไอ๊หยา...เกิดเรื่องยังงี้ได้ยังไง”
“แล้วลื้อรู้เรื่องนี้ได้ยังไงอาเฮ้ง” บันลือ
“อีพูดกันไปทั่วหมดแล้ว”
บันลือเสียหน้า “น่าอาย น่าอายจริงๆ”
“อาประกิตอีคงมีศัตรูเยอะ มันคงหวังจับตัวไปเรียกค่าไถ่ แล้วลื้อจะทำยังไงต่อไป”
“ถ้ามันเรียกค่าไถ่มาจริงๆ ก็ต้องจ่ายมันไป ลูกสาวอั๊วทั้งคน”
“แต่งออกไปแล้ว ลื้อก็ต้องให้ อาประกิตอีเป็นคนจ่ายสิ ลื้อจะจ่ายทำไมเสียเปรียบนา”
วรินโมโห “ลูกสาวอั๊วไม่ใช่ผักปลา คนนะไม่ใช่ข้าวของที่จะตีราคากันด้วยเงิน ถ้าเป็นลูกสาวลื้อ ลื้อจะคิดกำไรขาดทุน ยังงี้รึเปล่า”
เฮ้งอ้าปากค้างถูกวรินด่า
บันลือเอ็ด “อาวริน ลื้อไปอยู่หลังบ้านไป”
วรินลุกเดินออกไปจากห้องรับแขกทันที
“เมียลื้ออีคิดยังงี้ได้ยังไง”
“มันก็ถูกของอีไม่ใช่เหรอ ลูกผู้หญิง ลูกผู้ชาย ยังไงก็ลูกเรา”
เฮ้งแปลกใจ กับความคิดนอกคอกนี้ของเถ้าแก่บันลือ
ภรพคุมตัววันวิสาเข้ามาในบ้านเช่าแหล่งกบดานของเขา ซึ่งอยู่ในย่านกลางเมืองนั่นเอง
“บ้านใหม่ของเธอ ถ้าคิดว่าจะได้อยู่อย่างหรูหราสุขสบายเป็นเถ้าแก่เนี้ย ก็บอกได้เลยว่าเสียใจนะ”
“นายคิดว่าที่แบบนี้จะขังฉันไว้ได้เหรอ”
ภรพหัวเราะหยัน “เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าเนี่ย”
“อย่าเผลอก็แล้วกัน ฉันหนีแน่ ฉันจำได้หมด เข้าทางไหนออกทางไหน”
“ฉันรู้ เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด”
“อย่าท้าฉันนะ”
“จะหนีไปไหน แม่คุ้ณ กลับไปหาเจ้าบ่าว หรือกลับไปหาป๊ากับม๊าเธอ ค่ามันก็เท่ากันน่ะแหละ ไม่มีใครเขาต้อนรับเธอหรอก เจ้าสาวที่ถูกฉุดในวันแต่งงาน ใครเขาจะเชื่อว่ายังบริสุทธิ์ผุดผ่อง”
“นายมันเลว”
“ขอบใจที่ชม แต่อย่าคิดอะไรมากเลย เราสองคนสวรรค์คงส่งให้ลงมาเป็นคู่กันแหละ”
วันวิสาคุมแค้น
“เอ้า ยืนเฉยอยู่นั่นละ บ้านช่องรกยังกะอะไรดี เก็บกวาดเช็ดถูทำความสะอาดเข้าสิ หน้าที่แม่บ้าน ม๊าเธอคงสอนมาให้หมดแล้ว ว่าต้องทำอะไรยังไง ผัวถึงจะรักจะหลง”
ภรพหัวเราะ แล้วเดินปร๋อออกไป
ทิ้งวันวิสาให้ฮึดฮัด งุนงง โมโห โกรธ เกลียด สารพันอารมณ์ที่มีต่อชายคนนี้
ข่าววันวิสาฉาวโฉ่ไปทั่วเยาวราช ออกจากบ้านบันลือเสี่ยเฮ้งรีบเสนอหน้ามาฟ้องเถ้าแก่ไพศาลถึงบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ
“มีเรื่องยังงี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ”
“สดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้านี่เอง เจ้าสาวยังไม่ทันได้เข้าบ้านเจ้าบ่าวเลย ไอ้บ้าที่ไหนมันมาฉุดไปก็ไม่รู้”
“ไม่น่าเลย” สุพรรษาหน้าสลด
“มันน่าอายนะซ๊อ รู้ไปถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น อั๊วว่ามันคงเป็นคราวเคราะห์ของไอ้บันลือมันน่ะแหละ มันทำเรื่องชั่วๆ เอาไว้มาก เจอยังงี้ก็สมควรแล้ว ลูกสาวมันคงไม่ใช่ย่อย ใครได้ไปร่วมวงศ์ตระกูลคงหาความเจริญไม่ได้หรอก”
“ขอบใจลื้อนะอาเฮ้ง ที่อุตส่าห์มาส่งข่าว”
“คนชั่วๆ หากินไม่สุจริตอย่างมันพวกเราต้องร่วมมือกัน เขี่ยมันออกไป อย่าให้มันมีที่ยืน ใช่ไหมล่ะอาเซี้ย”
ไพศาลยิ้มเยือกเย็น มิรู้ประมุขแก๊งเสือคิดอะไร
ขณะที่มงคล นั่งรอเฮ้งอยู่ในบริเวณบ้านนั้น พราวตาออกมาเจอมงคล ก็ดีใจ
“มงคล”
“คุณพราว”
“นายย้ายไปอยู่ที่ไหน ฉันนึกว่านายไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วซะอีก”
“ผมได้งานใหม่แล้ว เลยย้ายไปอยู่ใกล้เจ้านายใหม่ครับ”
“นายใจดำมาก แทนที่จะส่งข่าวให้รู้กันบ้าง”
“ผมคงไม่มีความสำคัญพอที่คุณพราวจะมาใส่ใจหรอกมังครับ”
“นายนี่อะไรๆ ก็ดีหมด ยกเว้นอย่างเดียว ชอบดูถูกตัวเอง”
“ผมรู้จักตัวเองมากกว่าครับ ว่ามีค่าขนาด ไหน อะไรคู่ควร หรือไม่คู่ควร”
“แล้วชีวิตนี้ นายต้องการอะไรกันแน่ ถ้ามัวคิดอย่างนาย ก็คงไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่ออะไรกันแล้ว”
“ชีวิตนี้ ผมต้องการแค่ได้เห็นคนที่ผมรักมีความสุข ผมก็พอใจแล้วครับ”
พราวตาคับข้องใจ
ไพศาล และโชคทวี ตามออกมาส่งเฮ้ง
“ขอบใจนะอาเซี้ย ส่งแค่นี้ก็พอ”
มงคลขยับไปเปิดรถให้เฮ้ง โชคทวี เห็นมงคล ก็ชะงักนิดหนึ่ง
“เพิ่งรู้ว่าเถ้าแก่ได้คนขับรถคนใหม่”
“ไอ้นี่มันใช้งานคล่องดี คงไม่ว่ากันนะอาเซี้ย”
“อั๊วจะไปว่าอะไรได้ก็มันไม่ใช่คนของที่นี่แล้ว ตามสบายลื้อเถอะอาเฮ้ง”
เฮ้งขึ้นรถ มงคลปิดประตูให้ แล้วขับรถออก
“เถ้าแก่เฮ้งแกคงไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่ ไม่น่าไว้ใจขนาดไหนนะครับเจ็ก”
ไพศาลไม่หืออือใดๆ เดินกลับเข้าบ้าน โชคทวีตาม
พราวตามองตามรถเฮ้งจนลับตาไป
ทางฝ่ายวันวิสาอยู่ในสภาพเหงื่อไหลไคลย้อย ทรุดลงนั่งปาดเหงื่ออย่างหมดเรี่ยวแรง หลังจาก เก็บ กวาด เช็ดถู ทำความสะอาดบ้านที่แสนโสโครกรกรื้อ
ภรพออกมาจากหลังบ้าน จะติดกระดุมเสื้อตัวใหม่ โยนเสื้อตัวเก่าที่เปลี่ยนทิ้งไปหมกไว้มุมหนึ่ง ไม่เป็นที่เป็นทางวันวิสามองตาเขียว
“นิสัยเสีย”
“ขอบใจที่ชม”
“ฉันตามเก็บเช็ดถูให้นายไม่ไหวแล้วนะ”
“อย่าบ่น มีหน้าที่ทำก็ทำไป”
“หน้าที่บ้าบออะไรของนายอีก”
“หน้าที่เมียไง” ภรพบอก
“หยาบคาย ใครเป็นเมียนาย”
“ความจำเสี่ยม สงสัยต้องทบทวนความจำใหม่”
ภรพรุกเข้าหา วันวิสาคว้าไม้กวาดขึ้นมาป้องกันตัว
ภรพหัวเราะเยาะ “คิดว่าแค่นี้จะป้องกันตัวเองได้เหรอ คืนนี้อย่ามานอนเบียนก็แล้วกัน”
“ฝันไปเหอะ”
“มาติดกระดุมเสื้อให้หน่อยซิ”
“มือมีก็ติดเอาเองสิ”
“ยังอีก อยากโดนดีใช่ไหม”
วันวิสาจำใจทิ้งไม้กวาด ขยับเข้ามาใกล้ ติดกระดุมเสื้อให้ ภรพพล่ามไม่หยุด
“จะหนีความเป็นจริงไปทำไม ความจริงยังไงก็เป็นความจริงวันยังค่ำ ชาวบ้านแถวนี้เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าเราเป็นผัวเมียกัน”
“ความคิดสกปรก”
“สกปรกตรงไหน ผู้หญิง ผู้ชายอยู่ด้วยกัน บ้านเดียวกัน ไม่เป็นผัวเมียกันแล้วจะเป็นอะไรวะ”
วันวิสากระแทกกระทั้นจะผละออก ภรพยื้อตัวไว้
“ผัวจะออกไปธุระข้างนอก หอมแก้มผัวสั่งลาหน่อยเร็ว”
เห็นวันวิสานิ่งเฉย ภรพเร่ง
“ยังอีก”
วันวิสาจำใจจูบ
“ให้มันจริงใจหน่อย จูบแบบที่มันอาจจะเป็นจูบสุดท้ายในชีวิตน่ะ ทำเป็นไหม”
วันวิสานิ่ง ไม่แม้แต่จะสบตา ภรพเลยเป็นฝ่ายจูบวันวิสาเอง
“เดี๋ยวผัวมานะเมีย ทำกับข้าวไว้เดี๋ยวผัวจะกลับมากิน”
ภรพเดินออกไป วันวิสาได้แต่มองตาม
โชคทวีพุ้ยข้าวต้มกินอยู่ในครัว สีหน้าเครียด ภรีมยกกับข้าวอีกอย่างมาวางให้
“ไม่อร่อยเหรอเฮีย”
“อร่อย หมวยเล็กทำอะไรก็อร่อยทั้งนั้น”
“แต่ท่าทางเฮีย เหมือนถูกใครบังคับให้กินเลย”
“เฮียเครียดหลายเรื่อง”
“เฮีย กินข้าวให้อร่อยก่อนเถอะ”
“บางทีเฮียก็อดน้อยใจไม่ได้นะ ทุกวันนี้เหมือนเฮียเป็นคนนอก ป๊ากับม๊าหมวยเล็กเหมือนไม่ใส่ใจเฮีย”
“เฮียคิดมากไปเอง”
“แต่ก่อนบัญชียังให้เฮียช่วยตรวจ ช่วยดู เดี๋ยวนี้ไม่เคยเรียกใช้เฮียเลย”
“ป๊าคงเห็นเฮียยุ่งหลายอย่าง งานหนักเกินไป แล้วมากกว่า”
โชคทวีถอนใจ
“เอาไว้หมวยเล็กจะคุยกับป๊าให้ละกัน”
“อย่าเลยไม่ต้องหรอก เฮียแค่อยากเสนอตัวผ่อนภาระเจ็กเท่านั้นแหละ”
ภรีมยิ้ม “ถ้าป๊ารู้ก็คงดีใจ”
“เอายังงี้สิหมวยเล็ก แฟ้มเสนอราคาไปเมืองจีน หมวยเล็กช่วยเอาออกมาให้เฮียหน่อย เฮียจะได้ช่วยดู”
“ได้ๆ รู้สึกป๊าจะเก็บใส่ตู้เหล็กใส่กุญแจไว้ หมวยเล็กรู้ว่าป๊าเก็บแจตู้ไว้ที่ไหน”
“อย่าให้เจ็กรู้ละกัน เฮียไม่อยากให้เจ็กรู้สึกว่าเฮียจุ้นจ้าน”
“เฮียละคิดมาก ป๊าไม่คิดยังงั้นหรอก”
โชคทวียิ้มในสีหน้า สมใจ
วันวิสาเหนื่อยหนัก นั่งสัปหงก หมดแรง ปรือตาขึ้นมองอีกทีก็พบว่าภรพยืนท้าวสะเอวมองอยู่
“ถ้าโจรขึ้นบ้าน คงไม่มีอะไรเหลือ หลับน้ำลายยืดยังงี้”
ภรพโยนถุงกระดาษเสื้อผ้าใหม่หลายชุด ใส่วันวิสา เห็นเป็นเสื้อ กางเกงพื้นๆ แบบอาม่าใส่
“เสื้อผ้าเธอ เอาไปเปลี่ยนซะ”
วันวิสาจะหยิบ เสื้อกางเกงในถุงออกมาดู
“ถ้าหวังจะได้ใส่เสื้อผ้าหรูๆ อย่างที่เคยใส่ก็ฝันไปเหอะ ฉันมีปัญญาให้เธอเท่านี้แหละ”
วันวิสาคับแค้นเหลือใจ “นายทำยังงี้กับฉันทำไมนายภรพ”
“ไม่มีคนชื่อภรพ ในโลกนี้แล้ว เขาตายไปแล้ว ไม่มีตัวตนใครๆ ก็รู้”
“นายทำยังงี้กับฉันทำไม ครอบครัวฉันทำให้นายเจ็บแค้นขนาดนี้เลยเหรอ”
“เธอเป็นสมบัติของฉัน ฉันมันคนตัวเปล่า มีสมบัติอยู่กะเขาอย่างเดียว แล้วมันเรื่องอะไร ฉันต้องยกให้คนอื่นล่ะ เป็นเมียคนจนต้องทำใจหน่อยนะ ทำตัวให้สมฐานะด้วย บ้านนี่ยังต้องจ่ายค่าเช่า ต้องช่วยกันทำมาหากิน กว่าจะได้มาแต่ละสลึง แต่ละบาทมันไม่ง่าย เข้าใจใช่ไหม หรือว่าเกิดมาบนกองเงินกองทอง เป็นคุณหนูจนเคยตัวเลยหยิบจับทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง”
ภรพเดินกวนตีนออกไป วันวิสาแค้นแสนแค้น
ฟากวรินพาตัวเองมานั่งไหว้พระในศาลเจ้าตอนเย็นๆ ไหว้ไปน้ำตาไหลไป
“ลูกขอให้อีปลอดภัย ไม่มีอันตรายอะไร ลูกไม่หวังอะไรอีกแล้ว ขอแค่ได้เห็นหน้าลูกอีกสักครั้ง ลูกก็พอใจแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษาอีด้วยเถิด ลูกทำมาหาเลี้ยงตัวเองอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยคดโกงเอาเปรียบใคร ถ้าบาปกรรมอะไรเกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ลูกขอรับบาปกรรมนั้นไว้คนเดียว สิ่งศักดิ์เมตตาลูกด้วยเถิด”
วรินก้มคารวะสามทีแล้วขยับ ไปปักธูปลงกระถาง
ซินแสง้วงมองมาอย่างเข้าใจ เห็นใจ และให้กำลังใจ “พายุลมแรงขนาดไหนก็ต้องสยบให้พลังจากแม่เสมอ”
“ซินแส อั๊วทุกข์ใจเหลือเกิน”
“แค่พายุลมแรงพัดผ่านมา อีกไม่นานมันก็จะพัดผ่านไป ลื้ออย่าทุกข์ใจไปเลย”
“อั๊วอยากรู้ว่าอีปลอดภัยดีรึเปล่า”
ซินแสง้วงยิ้มบางๆ “พระจันทร์ต้องอุ้มพยัคฆ์พร้อมๆ กับพยัคฆ์ต้องปกป้องพระจันทร์”
ระหว่างนี้ภรีมเข็นรถพาสุพรรษามาตามลานหน้าศาลเจ้า ล้อรถเข็นตกร่องลานหิน จนไม่สามารถขยับรถได้ ภรีมใช้ความพยายามแต่ไม่เป็นผล
บดินที่นั่งคอยวรินอยู่มุมหนึ่ง หันมาเห็น ขยับเข้ามาช่วยยกรถเข็นขึ้นได้
สุพรรษาบอก “ขอบใจนะ”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก” ภรีมขอบคุณ
“ล้อไม่ค่อยดีแล้ว ต้องซ่อมนะครับ”
บดินลุกขึ้น ร่างสูงชะลูดของอาตี๋ใหญ่บ้านจิตวรบรรจง เผชิญหน้ากับหมวยเล็กบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริจังๆ
ภรีมหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นเป็นบดิน เช่นเดียวกับบดินก็หน้ากร่อยเมื่อเห็นเป็นภรีม
“นึกว่าใคร รู้งี้ไม่ขอบใจให้เปลืองน้ำลาย ซะก็ดี” ภรีมหน้าตึงใส่
สุพรรษาปราม “หมวยเล็ก ลื้ออย่าเสียมารยาท”
ภรีมสะบัดหน้าใส่
“มาไหว้พระเหมือนกันเรอะ” สุพรรษาทักบดิน
ภรีมค้อนควักโมโหไม่หาย “สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองคนชั่วด้วยเหรอม๊า”
“ผมมาเป็นเพื่อนม๊าครับ ม๊าผมไหว้พระอยู่ข้างใน”
ภรีมบ่น “อย่างที่เขาว่า ทำชั่วได้ดีมีถมไปก็คงเป็นเพราะยังงี้นี่เอง”
สุพรรษาแปลกใจ “ป๊าไม่มาด้วยเรอะ ม๊าลื้อมาคนเดียว”
ภรีมบ่นบ้าอีก “คงจะติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะละสิท่า”
“ป๊าไม่ได้มาครับ”
“ซักวันเหอะ กรรมจะตามทัน อย่าหวังว่าจะรอดตลอดไปเลย”
สุพรรษาเริ่มรำคาญ “ลื้อบ่นอะไรของลื้ออยู่คนเดียว”
“อึ้มจะเข้าไปข้างในใช่ไหมครับ ผมพาไปเอง”
บดินเข็นรถให้สุพรรษาทันที ไม่สนใจภรีมที่แว้ดใส่
“นี่อย่ามายุ่งกับม๊าฉันนะ ได้ยินไหม”
ภรีมวิ่งตามเพื่อแย่งรถเข็นคืน
เข้ามาในศาลเจ้าแล้ว ภรีมยังตามยื้อแย่งชิงรถเข็นคืนมาจากบดินท่าทีน่าขันเพราะบดินตัวยักษ์มาก
“ปล่อย บอกให้ปล่อย” ภรีมทุบตีพัลวัน “ม๊าฉัน ฉันดูแลของฉันได้”
สุพรรษาเอ็ดเอา “อะไรของลื้อ หมวยเล็ก อีช่วยลื้อแท้ๆ ลื้อจะมาโวยวายใส่อีทำไม”
“ใครทำคุณกับเรา อั๊วสำนึกทั้งนั้นม๊า แต่ต้องไม่ใช่นายคนนี้ ม๊าก็รู้ว่าคนบ้านนี้ทำอะไรไว้กับพวกเราบ้าง เฮียภรพตายไปก็เพราะฝีมือคนบ้านนี้แหละ”
“ถ้าเป็นอย่างที่ลื้อพูดจริง ลื้อคิดว่าคนบ้านอั๊วจะต้องชดใช้ยังไง หาลูกชายมาใช้คืนพอไหม” บดินย้อน
ภรีมเกือบปรี๊ดแตก วรินเข้ามาขัดพอดี
“อะไรกัน อาดิน”
“ไม่มีอะไรหรอกม๊า แค่ทำคุณแต่ต้องบูชาโทษเท่านั้นแหละ
ภรีมถลึงตาใส่บดินอยากหมั่นไส้และฝากแค้น
“เด็กๆ ก็ยังงี้แหละ อย่าใส่ใจเลย”
“อั๊วไม่ใช่เด็กแล้วนะม๊า” ภรีมฮึดฮัด
“ลื้ออย่ามาเสียงดังในนี้เกรงใจซินแสมั่ง ม๊าจะไหว้พระ ลื้อจะไปไหนก็ไป เดี๋ยวค่อยกลับมารับม๊า”
ภรีมงอนเสียหน้า ตะบึงตะบอนออกไปจากศาลเจ้า
บดินมองตามภรีม ยิ้มขำ สีหน้าพึงพอใจอาหมวยจอมก๋ากั่นไม่น้อย
ภรีมอารมณ์บูดอยู่นอกศาล พยามสงบสติอารมณ์ บดินตามออกมา
“เกิดปีไหนเราน่ะ”
“เกี่ยวอะไรกับนาย”
“ก็แค่อยากรู้ว่าทายถูกไหม”
“แล้วเรื่องอะไรจะบอก”
“รู้แล้ว ปีหมูแน่ๆ ทำจมูกเป็นหมูยังงี้” บดินหัวเราะร่า
ภรีมยิ่งแค้น “ว่าฉันเป็นหมูเหรอ”
“ใครเกิดปีอะไรก็เป็นอย่างปีเกิดตัวเองน่ะแหละ รึไม่จริง”
ภรีมฉันไม่ได้เกิดปีหมู ฉันเกิดปีลิงต่างหาก
บดินขำหนักกว่าเดิม “มิน่า...” คราวนี้บดินล้อเลียนท่าลิง “แย่กว่าหมูอีก”
ภรีมรู้ตัวว่าถูกหลอก “ไอ้บ้า”
บดินนับข้อนิ้วแล้วส่ายหน้าระอา “เด็กมากนะเรา แต่ก็ดีแล้วละสมวัย สมความคิด...ฉันให้อภัยจะไม่ถือมาเป็นอารมณ์ก็แล้วกัน”
บดินเดินผึ่งผายออกไป
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ฉันโตแล้ว ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ภรีมตะโกนตามหลัง
ส่วนในศาลเจ้าเต็มไปด้วยความโศกา วรินน้ำตาไหลรินเป็นสาย หลังจากได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้สุพรรษาฟัง สุพรรษาเอื้อมมือไปแตะแขนวรินปลอบใจ
“อั๊วไม่หวังอะไร นอกจากขอให้อีปลอดภัย ใครจะคิดยังไงพูดยังไงก็ช่าง อั๊วขอให้อีกกลับบ้าน กลับมาเป็นลูกสาวของอั๊วเหมือนเดิม อั๊วก็พอใจแล้ว”
“อาบันลืออีว่ายังไง”
วรินส่ายหน้า “อีไม่พูดอะไรซักคำเก็บตัวเงียบ”
“อีคงเสียใจไม่แพ้ลื้อหรอก ลูกทั้งคน จะลูกหญิง ลูกชายก็ลูกเหมือนกัน อั๊วเสียใจด้วยนะ เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้น ความจริงถ้าจะหาคนผิด เราก็ผิดกันทั้งหมดนี่แหละ เรามัวแต่โกรธกันจนลืมแม้กระทั้งความสุขของลูก กว่าจะคิดได้มันก็สายเกินไปแล้ว”
สองแม่กุมมือกันร่วมแบ่งปันความทุกข์ไปด้วยกัน
ภรพเดินออกมาจากบ้านเช่า มองไปที่ท่าน้ำ แล้วต้องชะงักหยุดมอง เห็นวันวิสาในชุดชาวบ้านแสนธรรมดา นั่งซักผ้าในกะละมังใบโตเหงื่อตก แต่ท่าทางไม่ย่นย่อ
ภรพสงสารจับใจเหมือนกัน
วันวิสาบิดผ้าชิ้นสุดท้าย ขยับลุกขึ้นจะเอาขึ้นตากใส่ราวไม้ไผ่จึงหันมาเห็นภรพจ้องอยู่
ภรพรีบเปลี่ยนท่าทีทันที
“แรงดีนี่ ผ้ากองเท่าภูเขาซักแป๊บเดียวก็เสร็จ เธอทำให้ฉันได้ความคิดดีๆ เหมือนกันนะ คนแถวนี้หาเช้ากินค่ำกันทั้งนั้นไม่มีเวลาซักผ้าหรอก ฉันจะให้เธอรับจ้างซักผ้าดีกว่า”
“ฉันไม่ใช่จับกังนะ”
“ให้รับจ้างซักผ้าไม่ใช่ให้ไปแบกหามหูดีรึเปล่าเนี่ย เอาน่าอย่าดูถูกเงินน้อย ค่อยทำค่อยเก็บกันไปได้ค่ากับข้าวรายวันก็ยังดี เกิดมาเป็นเมียคนจนยังไงก็ต้องทนลำบากหน่อยซักสิบปียี่สิบปีเราคงลืมตาอ้าปากได้เหมือนคนอื่นเขาบ้างละ รีบๆ ตากให้เสร็จ ฉันหิวข้าวแล้ว”
ภรพเดินออกไป วันวิสาน้ำตาแทบร่วง แต่ชีวิตไม่มีทางเลือกแล้ว
ไม่นานต่อมา ปลาทูเค็มเป็นกับข้าวอย่างเดียวกลางโต๊ะ ภรพซดข้าวต้มเสียงดังโฮก ๆ
“ทีหลังต้มข้าวใส่น้ำให้มันเยอะกว่านี้จะได้กินนานๆ ข้าวสารมันแพงรู้ไหม”
วันวิสาไม่ตอบ ใช้ตะเกียบแซะเนื้อปลาทูเค็มอย่างซังกะตาย
“เอ...ใส่เผือกใส่มันลงไปต้มด้วยก็ดีประหยัดข้าวไปได้เยอะ นี่...รีบกินเข้า อย่ามัวฝันถึงหมูไก่...อยู่กับความเป็นจริงหน่อย มีให้กินก็บุญแล้ว อย่าบ่นนักเลย”
“ฉันยังไม่ได้บ่นซักคำ”
“สายตาเธอมันฟ้อง รู้ไหมว่าคนลำบากกว่าเรายังมีอีกเยอะ ข้าวต้มน้ำใสๆ แบ่งกันกินกันตายกับข้าวก็เป็นแค่ก้อนหินคั่วเกลือ”
วันวิสารำคาญ “นายจะมาเล่านิทานอะไรให้ฉันฟังอีกล่ะ”
“มันไม่ใช่นิทาน แต่มันเป็นเรื่องจริงคนพวกนั้นต้องทนลำบาก แต่ละบาทแต่ละสตางค์กว่าจะหามาได้มันต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อแรงงานกับน้ำตาทั้งนั้น กว่าจะพอลืมตาอ้าปากได้ก็ครึ่งชีวิต ฟังฉันพูดอยู่รึเปล่าเนี่ย”
“อยากพูดอะไรก็พูดมาสิ”
“คนพวกนั้นสร้างตัวเองขึ้นมาอย่างซื่อสัตย์สุจริตไม่เคยคดโกงใครเพราะพวกเขาสำนึกในบุญคุณแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่ให้โอกาสให้ชีวิตใหม่ พวกเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ทำให้แผ่นดินที่มีบุญคุณต่อพวกเขาต้องสกปรกแปดเปื้อน แล้วเธอคิดว่ามันยุติธรรมกับพวกเขาไหมที่คนเลวๆ บางคนจะใช้เล่ห์โกงทำลายล้างพวกเขา”
วันวิสาเงยหน้าขึ้นสบตาภรพ
ภรพสาธยายต่อ “เธออาจจะรังเกียจความยากจน เพราะคนอย่างเธอคงอยู่บนความสุขสบายมาจนเคยตัว และคนรวยอย่างเธอ อาจจะพร้อมทำทุกอย่างให้ตัวเองรวยยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ด้วยการเหยียบย่ำคนอื่นขึ้นไป”
วันวิสาเอือมปนเซ็ง “ทำไมต้องเอาฉันเข้าไปอยู่ในนิทานของนายด้วย”
“เพราะคนพวกนั้นที่ฉันพูดถึงคือป๊าคือเจ็กของฉันทั้งนั้นเธอเป็นเมียน้อย เธอต้องรับรู้ความทุกข์ยากของบรรพบุรุษฉันเอาไว้”
วันวิสานิ่งงันไป
“กับข้าวพรุ่งนี้ให้มันมีผักบ้าง เดี๋ยวขี้ไม่ออกกันพอดี”
ภรพซดน้ำข้าวต้มคำสุดท้ายดังโฮก แล้วลุกออกไป
วันวิสานั่งนิ่งอยู่อย่างเก่า
ตกกลางคืนบ้านเช่าทั้งหลังไฟถูกดับมืดลง วันวิสาโผล่หน้าเข้ามาในมุ้ง พบว่าหมอนก็มีอยู่ใบเดียว และภรพครอบครองไปแล้ว วันวิสามุดหัวกลับออกไป ยังไงก็ไม่ขอนอนร่วมมุ้ง
ภรพพูดทั้งที่หลับตา “จะไปไหน นอนได้แล้ว”
“มุ้งมันแคบ นายนอนเถอะ ฉันไปนอนที่อื่นก็ได้”
“ไม่ได้”
“จะได้ไม่ต้องเบียดกัน”
“มุ้งผัวเมียมันจะใหญ่โตได้ยังไงวะ มันต้องเล็กๆ ยังงี้แหละ เข้ามา มุดเข้ามุดออกยุงเข้าพอดี”
วันวิสาจำใจมุดเข้ามาในมุ้ง
“หมอนก็ไม่มีจะให้นอนยังไง”
“ใครบอกไม่มี...นี่ไง”
ภรพกางแขนออกเป็นหมอนแล้วชี้ชวนวันวิสาให้นอนหนุน
“ไวๆ อย่าโอ้เอ้”
วันวิสาจะขยับลงนอนแต่หันหลังให้ภรพ
“อะไร ไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองเลยก่อนนอนคนเป็นเมียเขาต้องทำยังไง”
“ใครจะไปรู้”
“ต้องให้สอนทุกเรื่องเลย ก่อนนอนเมียต้องจูบผัว” ภรพบอกตำราเมียผัวยุคปี 2500 ที่เขาเขียงเอง
“ฉันไม่เห็นเคยได้ยิน”
“ก็ได้ยินอยู่เดี๋ยวนี่ไง ไวๆ อย่าโอ้เอ้ ง่วงนอนแล้ว”
ภรพชี้จิ้มที่แก้มซ้าย วันวิสาจำใจจูบแก้มซ้าย
ภรพชี้จิ้มที่แก้มขวา วันวิสาจำใจจูบแก้มขวา
สุดท้ายภรพชี้จิ้มที่ริมฝีปากตัวเอง
“ไม่”
ภรพไปน้ำขุ่นๆ “กราบพระยังสามที่เลย จูบมันก็ต้องสามทีเหมือนกันสิวะ”
“ฉันไม่ได้แปรงฟัน”
วันวิสาเอาตัวลอดแขนเขาลงนอน ภรพขยับเข้าเบียดใกล้
“งั้นพรุ่งนี้จะไม่ลืมซื้อสีแปรงสีฟันมาให้”
ภรพดึงวันวิสาเข้ามาหนุนกล้ามแขนตัวเอง
“เราจะมีลูกด้วยกันกี่คนดี”
ภรพหอมซอกคอวันวิสา
“ไม่รู้”
“งั้นมีไปเรื่อยๆ ละกัน ไม่ต้องตั้งเป้า เดี๋ยวเครียดเปล่าๆ”
วันวิสานิ่ง ภรพจูบหอมซ้ำอีกที
“แต่ยังไงลูกคนแรก ขอเป็นผู้ชายนะ”
รุ่งเช้า วันวิสาลืมตาตื่น ใบหน้าแช่มชื่น อย่างคนผ่านฝันดีมาทั้งคืน พลิกตัวไปมอง ข้างตัวไม่มีภรพ เธอได้ครอบครองหมอน ผ้าห่มคนเดียวตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
พอมุดออกมาจากมุ้ง มองหาภรพ แต่ไม่มีแม้เงา เขาพาศีรษะออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
อ่านต่อตอนต่อไป
8.3
บ้านจิตวรบรรจงกำลังต้อนรับเสี่ยประกิต ที่บดินเดินนำเข้ามา ประกิตนั้นหน้าตาบอกบุญไม่รับ
บันลือยิ้มแย้มเชื้อเชิญ “นั่งก่อนๆ อั๊วนึกว่าอาประยูรจะมาด้วย”
“ลื้อมีธุระอะไรก็ว่ามา อั๊วยังมีธุระที่อื่นต่อ”
“อั๊วแค่อยากถามลื้อเรื่องรวมหุ้นบริษัท ตกลงเราจะทำสัญญากันวันไหนดีอั๊วร่างสัญญาเอาไว้แล้ว ลื้อจะลองอ่านดูก่อนก็ได้ อาดิน ลื้อไปหยิบสัญญามาที”
“ครับป๊า”
ขณะบดินขยับ ประกิตบอกทันที “ไม่ต้องหรอก”
“ถ้าลื้อรีบไม่มีเวลาอ่านตรงนี้ก็เอากลับไปค่อยๆ อ่านทีหลังก็ได้”
“อั๊วคงไม่อ่านให้เสียเวลาหรอกเพราะอั๊วคงไม่ร่วมหุ้นกับใคร”
บันลือทะแม่งๆ หู “ก็ไหนเราคุยกันซะดิบดี”
“ลื้อยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่า ล้อทำอะไรไว้กับอั๊ว ลูกชายอั๊วต้องขายหน้าคนทั้งกรุงเทพฯ ขนาดไหน ลูกสาวลื้อมันหยำฉ่า”
ประกิตด่าไม่ไว้หน้า เดินออกไปทันที บันลือซีดแล้วซีดอีก เจ็บปวดลึกล้ำ
บดินโมโหปนตกใจ “ป๊า”
บันลือยกมือขึ้นเหมือนขอร้องไม่ต้องพูดอะไร แล้วค่อยๆ ลุกเดินออกไปอีกทาง
บดินเครียดหนัก
ส่วนที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ ภรีมเดินถือแฟ้มออกมาจากทางห้องทำงานไพศาลอย่างไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้น
“เฮีย แฟ้ม”
โชคทวีงง “แฟ้มอะไร”
“อ้าว ก็แฟ้มเสนอราคาเมืองจีนที่เฮียให้หมวยเล็กหยิบให้ไง ได้อันนี้มาด้วยนะ แฟ้มเสนอราคาประมูลสัมปทาน รู้สึกป๊าจะกรอกตัวเลขเอาไว้แล้วด้วย”
โชคทวีรีบเปิดแฟ้มดูตัวเลขทั้งสองแฟ้ม
“ทีแรกไหนป๊าว่าจะไม่ลงประมูลก็ไม่รู้”
“มีใครเห็นรึเปล่าตอนหมวยเล็กเอาแฟ้มออกมา”
“ไม่มีหรอก ป๊าไม่อยู่ ออกไปข้างนอก หมวยเล็กยังงงว่าทำไมป๊าไม่เรียกเฮียไปด้วย”
“ขอบใจนะหมวยเล็ก”
“เปลี่ยนขอบใจเป็นดูหนังซักรอบได้ไหมล่ะเฮีย”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ แต่ขอเฮียเคลียงานบนโต๊ะให้เสร็จก่อนนะ แฟ้มนี่หมวยเล็กเอาไปเก็บคืนไว้ที่เดิมเถอะ แล้วไม่ต้องบอกใครล่ะ”
“รู้แล้วน่า” ภรีมถือแฟ้มกลับออกไป
โชคทวีรีบจดตัวเลขบันทึกไว้กันลืม ก่อนพับกระดาษเก็บใส่กระเป๋า ดีใจเหมือนได้โชคสองชั้นอย่างไม่คาดฝัน
ภายในห้องรับรองลูกค้าวีไอพีฉั่วเทียนเหลา ปากกาหมึกซึมที่จรดลงเซ็นชื่อท้ายสัญญาการร่วมหุ้นบริษัทประกิตเซ็นชื่อเสร็จ ท่าทางสบายอกสบายใจ
“เป็นอันว่าเราเป็นบริษัทเดียวกันแล้วนะอาประกิต”
เฮ้งยกจอกเหล้าขึ้นเชิญชวนดื่ม ประกิตซดเหล้าในจอกบรรยากาศชื่นมื่น
“แล้วชื่อบริษัทเราจะเปลี่ยนไหมเจ็ก”
“ไม่จำเป็นหรอกมั้ง ใช้ชื่อบริษัทลื้อก็ดีอยู่แล้ว เฮงๆๆ”
“อั๊วว่าอั๊วคิดไม่ผิดที่เลือกลงทุนกับลื้อ” ประกิตยิ้มแย้ม
“ลื้อจะได้โชคหลายชั้นละไม่ว่า เพราะนายทุนใหญ่พร้อมจะลงเงินไม่อั้นกับเรา”
ประยูรหูผึ่ง “นายทุนใหญ่ ใครน่ะเจ็กบอกได้ไหม”
“ใจเย็นๆ อีไม่อยากเปิดเผยตัวเองให้ใครรู้”
“ยิ่งบอกยังงี้ยิ่งอยากรู้จัก”
เฮ้งตัดบท “เอาน่า ที่แน่ ๆ ตอนนี้บริษัทของเราเป็นธุรกิจรังนกที่ใหญ่ที่สุดแล้วก็จะผูกขาดเป็นเจ้าเดียวในเมืองไทยนี่ด้วย วันข้างหน้าจะไม่มีใครรู้จักจิตวรบรรจง กับรุ่งเรืองไพศาลศิริอีกต่อไปแล้ว สาบสูญ”
เฮ้งหัวเราะชอบใจ ชวนทุกคนดื่มฉลองความสำเร็จ
ตรงหน้าทางเข้าฉั่วเทียนเหลาเวลานี้ มงคลยืนดื่มน้ำจับเลี้ยงอยู่หน้าหาบเร่ของพ่อค้า สักครู่เฮ้งออกมาจากภายในพร้อมๆ กับประกิต และ ประยูร
“อีกสองวันเจอกันนะครับเจ็ก” ประยูรบอกลา
“ลื้อเตรียมเงินสดกันไว้อย่างเดียวพอ เรื่องอื่นอั๊วจัดการเอง ไม่มีปัญหา”
เฮ้งจะมาขึ้นรถ มงคลกุลีกุจอเปิดประตูรถให้
“ถ้าแก่จะไปไหนต่อครับ” มงคลพูดเสียงดัง และชัด เหมือนจงใจเผื่อใครได้ยิน
“ไปส่งอั๊วแถวประตูผี เดี๋ยวอั๊วไปต่อของอั๊วเอง”
เฮ้งขึ้นรถ มงคลขับรถออก ประยูรมองตาม สีหน้าฉงน
“อั๊วอยากรู้จังเลยป๊า ว่านายทุนของอีเป็นใคร”
“ก็คงเป็นนักการเมือง หรือไม่งั้นก็ข้าราชการชั้นสูงแหละ ถึงไม่ยอมออกหน้ายังงี้”
“อีกหน่อยเรารวยแล้ว อั๊วขอมีเมียซักสี่คนเลยนะป๊า”
“สี่เองเหรอวะ ทำไมมักน้อยจริงมีมันให้ครบเจ็ดวันไปเลยสิวะ”
สองพ่อลูกชื่นมื่น พากันเดินออกไป
เป็นภรพใส่หมวกเจ๊ก ปลอมตัวเป็นคนขายจับเลี้ยง รับรู้ทุกเรื่องราว
ฝ่ายวันวิสาใช้ถ่านก้อนเขียนข้อความบางอย่างลงบนแผ่นไม้ แล้วถือป้ายแผ่นไม้นั้นออกมาหน้าบ้าน หาจุดแขวนป้ายที่มองเห็นได้ชัด
ป้ายไม้เขียนด้วยถ่านว่า “รับจ้างซักผ้า”
วันวิสาถอยออกมายืนมองอย่างภาคภูมิใจ
“คุณภรพอยู่ไหม”
วันวิสาหันมาเจอหยกมณี จำได้ แต่งงว่าโผล่มาได้ยังไง
“จำฉันไม่ได้รึไง หยกมณีไง”
“จำได้ แต่...” วันวิสาไม่คิดว่าจะมีใครรู้จักที่อยู่ภรพ
“เขาไปไหน บอกไว้ไหม”
วันวิสาส่ายหน้า
“ว้า แย่จัง แล้วนานไหมกว่าจะกลับ”
“ไม่รู้ เขาไม่ได้บอกอะไร”
“ดูซิ อุตส่าห์ซื้อกับข้าวมาฝาก”
หยกมณีถือวิสาสะเดินเข้าบ้านทันที วันวิสาอ้าปากค้าง รีบตามไป
หยกมณีวางถุงกระดาษในนั้นใส่กับข้าวของกินลงบนโต๊ะ กวาดตามองไปทั่วบ้าน
“บ้านช่องเรียนร้อยขึ้นเยอะเลยปกติยังกะรังหนู ที่หลับที่นอนยังไม่ค่อยจะเก็บเลย ต้องลำบากฉันทุกที หลับสบายไหมเมื่อคืน”
วันวิสาเหมือนถูกก้าวก่ายชีวิตส่วนตัว “ก็ดี”
“เป็นผู้หญิงของคุณภรพก็ดีอย่าง เขาไม่ใช่คนเรื่องมาก แค่เอาอกเอาใจเขาให้ถูกเวลาก็ไม่มีปัญหาแล้ว เขาเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย อุ๊ยตายจริง นี่ฉันพูดอะไรอะไรออกไปเนี่ย เธอต้องรู้จักเขาดีกว่าฉันสิถึงจะถูก จริงไหม”
“ก็ไม่แน่หรอก ฉันอาจจะไม่รู้จักตัวตนจริงๆ ของเราเลยก็ได้”
หยกมณีใส่จริต “ตายแล้ว นี่ฉันทำให้เธอคิดมากเกินไปรึเปล่า”
“ตอนนี้ฉันก็คงไม่ต่างไปจากเขาหรอก มีลมหายใจแต่ไม่มีตัวตน”
“ฉันกลับก่อนดีกว่า คงไม่อยู่รอเขาหรอก ฝากบอกคุณภรพด้วยละกันว่าฉันคิดถึง ว่างๆ ก็แวะไปหามั่งจะได้รำลึกถึงเรื่องเก่าๆ ด้วยกัน ฉันไปนะ”
หยกมณีเดินนวยนาดออก
วันวิสาเหมือนถูกสาปให้ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น หัวใจโบยบินล่องหายไปจากร่างตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ที่โรงฝิ่นเถื่อนของเสี่ยเล้ง ในบรรยากาศมืดสลัว รอบๆ ตลบอบอวลด้วยควันสมาชิกสูบฝิ่นนอนเรียงราย...ท่าทางมีความสุข
“อั๊วแน่ใจว่าตอนนี้บริษัทของเราแข็งแรงไม่มีใครสู้ได้แล้ว บันลือยังไงก็ทุนไม่ถึง ไอ้เซี้ยยิ่งแล้วใหญ่ท่าทางจะปิดบริษัทเอา แผนลื้อนี้แยบยลดีจริงๆ อาเล้ง อั๊วนับถือ” เฮ้งว่า
“ลื้อยังไม่เคยฟังนิทานเรื่องไม้ซี่ไม้ซุงรึไง” เล้งหัวเราะ
“เคยสิ อั๊วถึงได้นับถือว่าลื้อปราดเปรื่องจริงๆ ใกล้วันยื่นซองประมูลสัมปทานแล้ว อั๊วจะใส่ตัวเลขแล้วนะ”
“ลื้อแน่ใจขนาดนั้นแล้วเหรอ”
“ใครมันจะมาสู้เราได้”
เล้งบอก “รอ”
“ไอ้บันลือมันใจไม่ถึงพอ ส่วนไอ้เซี้ยก็ถอดใจไปแล้ว”
เล้งตวาด “อั๊วบอกให้รอ ลื้อไม่เข้าใจคำว่ารอรึไง”
“รอก็รอ”
“แล้วลื้ออย่าลืมว่าต้องปิดปากให้สนิทว่าใครเป็นนายทุนรายใหญ่ของลื้อ”
“อั๊วไม่พูดหรอกน่า ขืนอั๊วพูดก็เหมือนอั๊วฆ่าตัวตายน่ะแหละ...ลื้อไม่ต้องห่วง”
เล้งนิ่งจนน่าขนลุก
ภรพเดินกลับมาถึงหน้าบ้าน เห็นป้ายเขียนว่า “รับจ้างซักผ้า” ทำให้เขาชะงัก อดสะท้อนในหัวอกไม่ได้เหมือนกันว่า ทรมานเธอเกินไปรึเปล่า
พอภรพก้าวเข้าบ้าน เห็นวันวิสานั่งกอดเข่าซึมเซาอยู่มุมหนึ่ง
“หิวข้าว มีอะไรกินมั่ง”
วันวิสาป้ายน้ำตาทิ้ง ลุกออกไปทำเป็นหยิบจับทำงานบ้าน
“ผัวกลับมาบ้าน เมียไม่ยิ้มให้ แถมเดินหนีนี่มันยังไงกันวะ”
“ฉันจะไปยกกับข้าว”
ภรพดักหน้าไว้ “ร้องไห้ทำไม ผัวกลับมาบ้านดีใจขนาดนี้เลยเหรอ”
“ฉันไม่ได้ร้องไห้”
“แค่ฝุ่นเข้าตาหรือเพิ่งหันหัวหอมมาล่ะ”
“ฉันมันก็แค่ตัวตลกแค่ของเล่นของนายเฉยๆ เอาเถอะ...จะทำยังไงก็เชิญ”
วันวิสาเดินออกไป ภรพมองด้วยสีหน้าแปลกใจ
กับข้าวหลายอย่างถูกยกมาวางลงบนโต๊ะ ภรพมองพลางยิ้มชอบใจ
“กับข้าวดีๆ ทั้งนั้นเลยนี่หว่า เก่งนะ นี่เตรียมตัวมาเป็นเมียเต็มทีเลยนี่”
“ฉันไม่มีปัญญาทำหรอก ถ้าจะชื่นชมกันก็ตามไปชื่นชมกันที่ฉั่วเทียนเหลาโน่น”
“หยกแวะมาเหรอ เสียดายไม่ได้เจอกัน”
“คิดถึงก็ไปหาสิ เธอฝากบอกด้วยว่าจะได้รำลึกความหลังความเก่ากัน”
วันวิสาไม่ยอมนั่งกินข้าวด้วยเดินออกไป
ภรพแกล้งยั่ว “อืม...หยกนี่ใช้ได้เลย อย่างนี้ต้องตบรางวัลอย่างงาม แล้วนั่นไปไหนทำไมไม่มากินข้าว”
“ฉันไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องกิน ถึงเวลากินก็ต้องกิน มานั่งนี่”
วันวิสาจำใจกลับมานั่งลงตรงข้ามภรพ ที่ตักข้าวต้มให้
“หรือต้องให้ป้อนด้วย”
วันวิสาจำใจหยิบตะเกียบขึ้นมา
“เป็นอะไร หึงฉันเหรอ”
“นายไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น”
“ไม่หึงก็ดีเพราะธรรมชาติของผู้ชายมันก็ยังงี้แหละทำใจได้แต่แรกก็ดี อีกหน่อยสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้วยังไงเธอก็จะได้เป็นซ๊อใหญ่อย่าขี้มูกโป่งให้มันบ่อยนักจะปกครองซ๊อสอง ซ๊อสาม ซ๊อสี่ ซ๊อห้าไม่ได้”
วันวิสาเจ็บจี๊ด ภรพคีบกับข้าวยื่นมาป้อนวันวิสา
“เอ้ากิน ๆ ๆ ซ๊อใหญ่ กิน” ภรพแกล้งอีกยก
วันวิสาจำใจกินกับข้าวคำนั้นอย่างไม่รู้รสชาติ
ตรอก ซอย บ้านเช่าเงียบเหงา ภรพใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ หวีผมหน้ากระจกหล่อเฟี้ยวแล้วเปิดประตูออกไป
ภรพคล้องกุญแจใส่ประตูหน้าบ้านแล้วเดินหายไปในตรอกมืด
วันวิสาที่นอนในมุ้ง ร้องไห้เจ็บปวด คิดน้อยใจว่าเขาต้องไปเริงสวาทกับหยกมณีแน่ๆ
ที่ย่านแหล่งบันเทิง ตอนกลางคืน
หนังรอบค่ำเลิกพอดี ผู้คนมากมายออกจากโรงหนังมาปะปนคับคั่งที่ถนน บรรยากาศพลุกพล่านจอแจ ภรีมออกมาจากโรงหนังพร้อมกับโชคทวี
“หนังสนุกจังเลย นางเอกส้วยสวย หมวยเล็กร้องไห้พระเอกกับนางเอกพรากจากกันด้วย วันหลังมาดูกันอีกรอบนะเฮีย”
“เอาสิ ถ้าเฮียว่างนะ”
“หิวน้ำจังเลย หมวยเล็กไปซื้อน้ำก่อนนะ”
ภรีมแถไปหารถเข็นขายน้ำในโหลแก้วสีสันสดใส ลูกน้องเล้งที่ปะปนอยู่กับฝูงคนเบียดเข้ามาใกล้โชคทวี
“นายให้ลื้อไปพบเดี๋ยวนี้”
ลูกน้องผละออกไปทันทีโดยไม่ให้เกิดพิรุธ ภรีมถือแก้วน้ำหวานกลับมายื่นให้โชคทวี
“เฮีย อันนี้ของเฮีย”
“หมวยเล็ก เดี๋ยวเฮียเรียกเรโนลด์ไปส่งหมวยเล็กที่บ้านนะ หมวยเล็กกลับคนเดียวได้ไหม”
“ทำไมล่ะ เฮียไม่ไปส่งหมวยเล็กเหรอ”
“เฮียนึกขึ้นได้ว่ามีธุระสำคัญต้องไปทำ”
ภรีมหน้างอ แต่โชคทวีไม่สนใจ หันไปเรียกแท็กซี่ทันที ยัดเงินใส่มือภรีม ยัดเยียดให้ขึ้นรถ
“แต่หมวยเล็กอย่าบอกเจ็กนะว่าเฮียไม่ได้ไปส่ง ไม่งั้นเจ็กเล่นงานเฮียตายเลย”
โชคทวีเห็นรถแล่นออกไปแล้ว รีบพาตัวเองหายไปในฝูงคนอีกทางหนึ่ง
รถแล่นออกมาได้นิดเดียว ภรีมก็บอกให้รถหยุด หมวยเล็กลงจากรถ มองหาโชคทวี แล้วตามไปห่างๆ ด้วยความอย่างอยากรู้อยากเห็น
ในย่านแสงสีความบันเทิงเวลานี้ โชคทวีฝ่าผู้คนรีบเร่งไปอย่างมีจุดหมาย ภรีมตามมาห่างๆ ไม่ให้คลาดสายตา อารมณ์จะจ๊ะเอ๋เซอร์ไพร้ส์ถ้าถึงตัว
จู่ๆ ฝูงคนก็แตกฮือ วิ่งถอยร่นกันมาขวางภรีมเอาไว้ พร้อมกันนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยงขึ้น พร้อมเสียงวี้ดว้ายเอะอะ เอ็ดตะโร วงแตกกระเจิง ภรีมตกใจทำอะไรไม่ถูก คนรอบๆ วิ่งหนีเอาตัวรอดอลหม่าน พร้อมจะเกิดลูกหลงทุกขณะ
จู่ๆ ภรีมถูกฉุดกระชากอย่างแรง ออกไปจากที่นั่นอย่างไม่รู้ตัว
ภรีมถูกดันตัวเข้ามาหลบข้างผนังตึก โดยบดิน ที่เบียดแน่นเหมือนเอาตัวบังไว้ให้
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคุณ”
“จะเป็นก็เพราะคุณฉุดฉันแขนแทบหลุดนี่แหละ โอย...อูย” ภรีมร้องโอดโอยตอนท้าย
“ขอโทษที ฉุดแรงไปหน่อย”
ทั้งคู่เห็นหน้ากันชัดๆ เต็มตา
“ไอ้บ้า นายนี่เอง ตัวซวย”
บดินเซ็ง “ไม่น่าเล้ย รู้ยังงี้ปล่อยให้ถูกลูกหลงซักนัดสองนัดก็ดี ดึกดื่นแล้วบ้านช่องไม่มีจะอยู่รึไง ถึงมาเดินซื่อบื้ออยู่ยังงี้”
“ไม่ใช่ธุระอะไรของนาย ฉันจะเดินตรงไหนมันก็เรื่องของฉัน”
“แล้วแถวนี้ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเขามาเดินกัน”
“ทำไมจะเดินไม่ได้ มีขาซะอย่าง”
“ไม่รู้แล้วอวดฉลาด”
“นายน่ะแหละ”
“งั้นไปเลยไป ถูกฉุดเข้าโรงน้ำชาอย่าร้องให้ช่วยก็แล้วกัน”
“อะไรนะ โรงน้ำชา” ภรีมตกใจ
“ซ่องน่ะแหละ ได้ยินชัดไหม ซ่อง มานี่เลย”
บดินฉุดภรีมตัวปลิวออกไป
ไม่นานต่อมารถบดินแล่นทิ่มเข้ามาจอดนอกรั้วหน้าบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ
“ลงไปเลยไป แล้วอย่าให้เจอไปเดินซื่อบื้ออยู่แถวนั้นอีก”
“นายก็คงไปเดินแถวนั้นบ่อยละสิ” ภรีมฉุนที่ถูกด่า
“ผู้ชายเดินได้ผู้หญิงเดินไม่ได้”
“ทุเรศ”
“ถ้าพอมีสมอง ก่อนนอนก็ลองคิดดูว่า ถ้าฉันไม่ลากเธอออกมาซะก่อนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เป็นน้องเป็นนุ่งจะตบกะโหลกให้ เข้าบ้านไปได้แล้ว”
ภรีมจะเปิดประตูลงจากรถ
“จะขอบใจซักคำก็ไม่มี เด็กอะไรวะ”
ภรีมตะโกนอย่างฉุนเฉียว “ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว”
“ฉันหมายถึงอายุสมอง ไม่ใช่โตแต่ตัวยังงี้”
บดินละสายตาจะหน้าลงไปที่หน้าอก
“ทุเรศ”
ภรีมรีบลงจากรถไปทันที
บดินโบกมือไล่แล้วหัวเราะขัน แต่ยังไม่ไปไหน รอจนภรีมเข้าเขตบ้านไปแล้ว
โชคทวีมาตามนัดกับเสี่ยเล้ง ที่บ่อนการพนันของเสี่ย คุยกันสักพักแล้ว เสี่ยเล้งพับกระดาษแผ่นเล็ก อันเป็นตัวเลขราคาประมูลสัมปทานรังนกของเถ้าแก่ไพศาล หลังจากดูตัวเลขแล้ว
“ลื้อทำงานดี วันข้างหน้าลื้อได้ดิบได้ดีแน่”
“เสี่ยเป็นคนบารมีสูง ใครก็อยากมาทำงานถวายหัวให้อยู่แล้ว” โชคทวีป้อยอ
“งานนี้ลื้อจะเอาเท่าไหร่”
“แล้วแต่เสี่ยจะกรุณาดีกว่า ผมทำงานให้เสี่ยด้วยใจครับ”
เล้งควักเงินออกมาปึกหนึ่ง วางลงตรงหน้าโชคทวี มันเป็นเงินจำนวนมากโข โชคทวีดีใจจนแทบเก็บอารมณ์ไม่อยู่
“ลื้ออยากจะพักผ่อนก็ตามสบายไปบอกเด็กๆ อั๊วได้เลย อันนี้ของแถม”
เล้งยิ้มเมตตา โชคทวีมองบรรยากาศรอบตัวอย่างปลื้มปีติ
ที่บ้านเช่าภรพ ตอนเช้าวันนี้ เงินจำนวนหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าวันวิสา
“ฉันจะไม่อยู่หลายวัน เงินนี้เก็บไว้ใช้จ่าย”
“นายเอาคืนไปเถอะ ฉันไม่ขอแตะต้องเงินที่ได้อย่างสกปรก”
“จะสนใจทำไม เงินก็คือเงิน มีไว้แลกความสุขความสบาย”
“ฉันขออดตายดรกว่า ถ้าต้องขายศักดิ์ศรีความเป็นคน”
วันวิสาลุกเดินหนี
“จะไปไหน ยังไม่ได้จูบลาผัวเลย มานี่ก่อน”
วันวิสาจำใจกลับมายืนเผชิญหน้าภรพ แต่หลบสายตาไม่ยอมมองหน้าภรพ
“ขอจูบอย่างชื่นใจที”
วันวิสาจำใจจูบอย่างขอไปที แล้วจะผละออก มือภรพฉวยคว้ามือวันวิสาไว้ แล้วดึงตัวเข้ามาใกล้, จูบอย่างเนิ่นนานเหมือนเป็นจูบสุดท้ายของชีวิต ก่อนจะค่อย ๆผละออก
“ฉันอาจจะไม่ได้กลับมา เราอาจจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเลย ดูแลตัวเองให้ดี”
วันวิสาใจหายวาบกับคำพูดที่เหมือนสั่งลา เธอมองสบตาภรพอย่างต้องการหยั่งไปให้ถึงก้นบึ้งหัวใจ
“อย่าให้ผอมไปกว่านี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงผอมเหลือแต่กระดูกหรอก กอดแล้วมันไม่อุ่น”
คราวนี้ภรพเป็นฝ่ายผละออก เดินออกจากบ้านไป โดยไม่หันกลับมามองเธออีกเลย
วันวิสารีบถลันตามไป ปากอยากตะโกนบอกให้เขาก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี และคิดว่ายังไงก็ต้องกลับมา
ทว่าร่างภรพเดินลิ่วไปตามตรอกแคบ ไกลออกไปเรื่อยๆ
วันวิสาได้แต่เกาะประตูมอง น้ำตาร่วงพรู
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 8 (ต่อ)
เช้าวันประมูลสัมปทานรังนกมาถึง
เถ้าแก่บันลือก้าวเข้ามาในห้องโถงชั้นนอกหน้าห้องประมูล ซึ่งมีผู้คนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว โดยมีการจับกลุ่มคุยกัน พวกใครพวกมัน แต่ละก๊ก แต่ละคน ถ้าไม่หิ้วกระเป๋าเอกสาร ก็ถือซองประมูลของตน
“คนเยอะกว่าที่คิดนะป๊า” บดินว่า
“หน้าใหม่ๆ ทั้งนั้น ใครๆ มันก็อยากได้เกาะหลักทั้งนั้น”
“ป๊าดูนั่นสิ”
บันลือมองตามสายตาบดิน เห็นเฮ้งเกาะกลุ่มอยู่กับประกิต และ ประยูร มีมงคลถือกระเป๋าเอกสารให้เฮ้งอยู่ห่างๆ
“อีก็คงจับมือกันเรียบร้อยแล้วละ ลื้อเห็นแล้วใช่ไหม ธาตุแท้ของคน มันเป็นยังไง ไม่มีผลประโยชน์ให้มัน มันก็ไป”
“เพื่อแท้ไม่มีอยู่จริงใช่ไหมป๊า”
“มี แต่ลื้อต้องมองให้ดีๆ มองให้นานๆ เพื่อนแท้โผล่หน้าเสมอเวลาที่ลื้อมีความทุกข์”
เฮ้ง ประกิต และ ประยูร เดินเข้ามาหา บันลือ กับ บดิน
“อั๊วกำลังคุยกันอยู่เลยว่ายังไงลื้อก็ต้องมา” เฮ้งทัก
“อั๊วยังรักอาชีพนี้อยู่” บันลือบอก
“โลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกอาบันลือ” ประกิตว่า
“อั๊วรู้ แต่ที่ลื้อ อาจจะยังไม่ รู้ ก็ยังมีอีกเยอะ ลื้อคอยดูต่อไปก็แล้วกัน” บันลือบอก
“ลื้อรักษาเกาะเจ็ดเกาะแปดของลื้อเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน ถ้าหวังจะได้เกาะหลักด้วย ระวังลื้อจะชวดทั้งหมด แล้วจะหาว่าอั๊วไม่เตือน” เฮ้งเอ่ยขึ้นคล้ายเตือน
“แล้วแต่ดวง อั๊วยอมรับกฎกติกาอยู่แล้ว ใครชนะก็ได้ไป ยุติธรรมที่สุดแล้ว”
ประยูรเหลียวมองไปรอบๆ พลางเอ่ยขึ้น “ใกล้เวลาแล้วนะป๊า ยังไม่เห็น เถ้าแก่เซี้ยเลย”
“อั๊วว่าอีไม่มาหรอก อีถอดใจไปแล้วตั้งแต่ลูกชายอีตาย” ประกิตบอก
“แต่อั๊วว่า อีต้องมา ธรรมดาเสือน่ะ มันไม่ยอมถอดเคี้ยวเล็บตังเองง่ายๆ หรอก”
สิ้นคำของเฮ้ง เถ้าแก่ไพศาลเดินเข้ามาในห้องโถง มีโชคทวีหิ้วกระเป๋าเอกสารตามอยู่ข้างหลัง ท่ามกลางสายตาทุกคนที่หันไปมองเป็นตาเดียว ด้วยเป็นขาใหญ่สุด เจ้าพ่อวงการ
กลุ่มบันลือหันไปมอง เฮ้งหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม
“ยกเว้นว่ามันพบว่าตัวมันเป็นแค่เสือแก่ๆ ตัวนึง”
ทุกคนพร้อมหน้าอยู่ในที่ทางของตน ภายในห้องยื่นซองประมูล
กล่องรับซองประมูลเรียงรายบนโต๊ะยาว แต่ละกล่องระบุเกาะรังนกแต่ละที่ ผู้เข้าร่วมประมูลทยอยเข้าไปหย่อนซองเสนอราคาลงในกล่องต่างๆ ที่หมายตากันไว้
เฮ้งหย่อนซองเสนอราคาลงกล่องเกาะหลัก อย่างมั่นอกมั่นใจ แล้วเดินกลับมาหาประกิต-ประยูร
“มีแต่คนจ้องจะเอาเกาะหลักนะเจ็ก” ประยูรว่า
“ก็แหงละ ได้เกาะหลักก็เหมือนได้หัวใจ เกาะรังนกทั้งหมด” เฮ้งบอก
ไพศาล หย่อนซองเสนอราคาลงกล่อง
“อีคงนึกเสียดาย” ประยูรเอ่ยขึ้น
“แต่มันก็สายไปแล้ว หมดเวลาของรุ่งเรืองไพศาลแล้วว่ะ”
เฮ้งยิ้มกระหยิ่มอย่างมั่นอกมั่นใจ
ช่วงพักก่อนฟังผลประมูล ไพศาลเดินเข้ามาหา บันลือ กับ บดิน ที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งในห้องโถง
“คิดว่าลื้อจะลงแย่งเกาะหลักด้วยซะอีก”
“อั๊วมีลูกชายคนเดียว ไม่รู้จะสร้างภาระไปมากกว่านี้ทำไม อั๊วพอใจในสิ่งที่อั๊วมีแล้ว”
ไพศาลมองบันลือนิ่ง โดยไม่ทันจะมีรอยยิ้มให้ เฮ้ง ประกิต และ ประยูร พากันเข้ามา เฮ้งเอ่ยขึ้นแดกดันในที
“เมืองจีนหันไปสั่งซื้อรังนกแดงมาเลเซียกันหมดแล้ว รังนกไทยกว่าจะกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ ก็คงต้องใช้เวลาต้องอาศัยเจ้าของสัมปทานใหม่น่ะนะ”
“มันเป็นบทเรียนสำหรับทุกคนน่ะแหละอาเฮ้ง ทำมาหากินอะไร ก็ต้องซื่อสัตย์กับอาชีพของตัวเอง แต่แค่นั้นไม่พอหรอก ฉลาดอย่างเดียวก็เอาตัวไม่รอดมันต้อง เฉลียวด้วย เพราะเราไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าคนรอบตัวเราใครเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่”
ไพศาลยิ้มให้เฮ้ง ก่อนเดินออกไป
“อาเซี้ยอีตำหนิลื้อซึ่งหน้ายังงี้ ลื้อทนได้ยังไงอาบันลือ” เฮ้งยัวะ หันมาเสี้ยมบันลือ
“อั๊วต้องขอบใจอีมากกว่า เพราะอีเตือนสติอั๊วด้วยเหมือนกัน คนสมัยนี้นับวันยิ่งคบยากขึ้นทุกที จริงไหม อาประกิต อาประยูร”
บันลือ เดินออกไปทางห้องประมูลกับบดิน
ประยูรถามอย่างคนฉลาดน้อย “อีด่าเรารึเปล่าป๊า”
ทุกคนกลับเข้าห้องประมูล
เจ้าหน้าที่เปิดซองเสนอราคาต่อหน้าทุกคน ประกาศตัวเลขอย่างโปร่งใส บนบอร์ดมีการเขียนตัวเลขแสดงอย่างเป็นทางการ มาถึงรายการสุดท้ายเป็นไฮไลท์เพราะประมูลเกาะหลัก
เจ้าหน้าที่เปิดซองและอ่านยอดเสนอประมูล “บริษัทรุ่งเรืองไพศาล สิบล้านบาทถ้วน”
เจ้าหน้าที่อีกคนเขียนตัวเลขลงบนบอร์ด
ไพศาลนั่งหน้าเรียบเฉย ในขณะที่ผู้คนฮือฮากับตัวเลข ประกิต กับ ประยูร นั่งไม่ติดที่ ในขณะที่เฮ้งยิ้มละไม
“หมดยุคบริษัทเก่าๆ อย่างรุ่งเรืองไพศาลแล้ว เดี๋ยวพวกลื้อคอยดูหน้ามัน จะชีดเป็นไก่ต้ม”
โชคทวีลอบมองท่าทีไพศาลแว่บหนึ่ง
เจ้าหน้าที่เปิดอีกซอง “บริษัทแสงทองรังนกไทย สิบล้านหนึ่งร้อยบาทถ้วน”
ประกิต และ ประยูร ดีใจกระโดดโลดเต้นท่ามกลางเสียงฮือฮาของผู้คน เฮ้งยิ้มปลื้ม โชคทวีหันมามองเฮ้งผ่านหลังไพศาล แววตาเหมือนสมหวัง
เฮ้ง เดินตัดจากมุมของตังเอง ตรงมาหาไพศาล ทำทีจะมาขอจับมือ แสดงสปิริตผู้ชนะ แต่จริงๆ แล้ว ตั้งใจมาเย้ย
เจ้าหน้าที่เอ่ยขึ้น “ยังไม่หมดนะครับ เหลือซองผู้เข้าร่วมประมูลอีกซองนึง”
เฮ้งชะงัก ประกิต กับ ประยูร อ้าปากค้าง โชคทวีแปลกใจอย่างหนัก
“บริษัท พี วี ไทยแลนด์ เสนอราคาสิบล้านสองร้อยบาทถ้วน”
ทุกคนฮือฮา เพราะการเฉือนชนะกัน แบบหายใจรดต้นคอ
เฮ้งแทบเป็นลมล้มทั้งยืน พ่อลูก ประกิต ประยูรแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“หมายความว่า บริษัท พี วี ไทยแลนด์เป็นผู้ชนะการประมูลสัมปทานรังนกบนเกาะหลักในครั้งนี้ นะครับ ตัวแทนบริษัทแสดงตัวด้วยนะครับ ขอแสดงความยินดด้วยครับ”
ทุกคนเลิกลัก มองหาเพราะไม่เคยมีใครรู้จักบริษัทนี้
“ใครน่ะป๊า ไอ้บริษัทนี้มันเป็นใคร”
“อั๊วจะไปรู้ได้ยังไงวะ” ประกิตหงุดหงิดเอาการ
ในบรรยากาศอื้ออึง จังหวะนี้ไพศาลลุกขึ้นปรบมือเป็นคนแรก ทุกคนปรบมือแสดงความยินดี ต้อนรับเจ้าของบริษัท พี วี ไทยแลนด์
เป็น ภรพ ที่ทุกคนรับรู้ว่าสิ้นชีพไปแล้ว เดินเด่นเป็นสง่าเข้ามากลางห้อง ท่ามกลางสายตาอึ้ง ตะลึงตะไลของทุกคน
ภรพตรงไปจับมือกับเจ้าหน้าที่ทุกคน ก่อนหันกลับมา ตรงเข้ามาสวมกอดไพศาล
โชคทวีแทบช็อกเหมือนถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ ภรพผละออกจากอกพ่อ แล้วหันมาเผชิญหน้าโชคทวีจังๆ
“เป็นไงโชค ไม่ได้เจอกันซะนาน สบายดีใช่ไหมเพื่อน”
ขณะที่ พราวตา ประคองสุพรรษา ฝึกเดินด้วยตัวเองอยู่ในบ้าน แต่ละก้าวช่างยากเย็น ภรีมวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“ม๊า...ม๊า”
“อะไรหมวยเล็ก เสียงดังลั่นบ้าน”
“เจ้กับม๊าดูเอาละกันว่าใครมา”
สุพรรษา ค่อยๆ หันกลับมาอย่างยากลำบาก ภรพก้าวนำเข้ามา มีไพศาล และ โชคทวีตามมา
“ใคร...”
ภรพร้องเรียกด้วยความคิดถึง “ม๊า”
“ภรพ” พราวตา มองน้องชาย ตกตะลึงตาค้าง
“ผมกลับมาบ้านแล้วม๊า”
“ลื้ออย่าเข้ามา หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ” สุพรรษากรีดเสียงร้องห้าม
“อีตั้งใจจะกอดลื้อให้หายคิดถึงซะ หน่อยนะอาษา” ไพศาลบอก
“ม๊าโกรธผม”
“โกรธ ลื้อปล่อยให้ทุกคนรอลื้อนานขนาดไหน ลื้อรู้ตัวไหม อย่าเข้ามานะ”
สุพรรษาเป็นฝ่ายขยับเดินเข้าไปหาลูกชายทีละก้าวเล็กๆ อย่างยากเย็น จะล้มมิล้มแหล่อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยืนหยัดกัดฟัน ภรพน้ำตาร่วง ที่ได้เห็นความแกร่งของแม่
สุพรรษา ก้าวมาหยุดตรงหน้าภรพ
“มันนานขนาดไหน ลื้อเห็นกับตา ลื้อแล้วใช่ไหม” สุพรรษายิ้มทั้งน้ำตา
ภรพยิ้มออก สุพรรษาตบกระโหลกภรพด้วยความรัก
ภรพโผเข้ากอดแม่แน่น ความฟูมฟายอารมณ์ซึ้งสะเทือนใจ ถูกสะบั้นด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุขสม
“ป๊านึกว่าลื้อจะเจอโทษหนักกว่านี้” ไพศาลสัพยอก
“หนักขนาดไหนผมก็ยอม ลูกทำให้ป๊ากับม๊าทุกข์ใจน้อยนิดก็ผิดแล้ว โทษหนักขนาดไหนก็ต้องยอมรับโดยดีแหละป๊า”
พราวตา กับ ภรีม ยังงงเป็นไก่ตาแตก
หนักไปกว่าใครอื่นคือโชคทวี ที่แอบหายใจไม่ทั่วท้อง
สามพี่น้องอยู่อีกมุมในบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ ภรีมเปิดฉากเฉ่งอาเฮียต่อหน้า เจ๊ใหญ่
“เล่นยังงี้ไม่สนุกเลยนะเฮีย ลงทุนว่าตายแล้วเนี่ย”
“คิดจะลงทุนมันก็ต้องแน่ใจว่าจะได้กำไรสิหมวยเล็ก ไม่งั้นจะลงทุนทำไม”
“เล่นเอาคนทั้งบ้านปั่นป่วนไปหมด” ภรีมโมโหอยู่อย่างนั้น
“แต่เจ้ว่า ป๊ากับม๊ารู้ตลอดใช่ไหมว่าอะไร เป็นอะไร” พราวตาถาม
ภรพยิ้ม “เจ้รู้ทัน ป๊ารู้แต่ต้นว่าจะต้องเล่นบทนี้”
“ดีนะ ม๊าไม่หัวใจวาย” พราวตาค้อน
“ผมแอบเข้ามาหาม๊า หลังงานศพ เกลี้ยกล่อมอยู่ตั้งนานกว่าม๊าจะเล่นด้วย”
ภรีมฮึดฮัด “แปลว่ามีแต่หมวยเล็กคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องเลย”
“ฮื่อ เรานะซื่อบื้อยังไงก็ยังซื่อบื้ออยู่ยังงั้น”
“หมวยเล็กโกรธทุกคน” ภรีมงอน
“เอาน่า ถ้าไม่ทำยังงี้แผนของเราจะสำเร็จได้ยังไงล่ะ ที่ต้องทำยังงี้ คนที่มันคิดร้ายกับพวกเราจะได้เปิดเผยตัวเองซะที”
โชคทวีเข้ามาพอดี “ฉันยังตกใจไม่หายเลย ภรพตอนที่นายโผล่ออกมา”
“โทษทีเพื่อน ที่ต้องเล่นแรงยังงี้ แต่ยังไงก็ต้องขอบใจนายมากที่ช่วยดูแลครอบครัวแทนฉันอย่างดี”
ภรพตบไหล่ กระชับมือมั่นคงกับโชคทวี
“ถ้าเฮียไม่กลับมาจริงๆ นี่ เฮียโชคเขาได้เป็นลูกชายบ้านนี้แทนเฮียไปแล้วนะ”
“หมวยเล็กก็พูดไปเรื่อย ไม่มีใครมาแทนที่เฮียของหมวยเล็กได้หรอก”
ภรพนิ่งจนไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ตอนนี้
ฝ่ายเฮ้ง ประกิต และ ประยูร อยู่ในห้องวีไอพีของฉั่วเทียนเหลา
ประกิตโวยลั่น “อั๊วบอกลื้อแล้วใช่ไหมว่าเราต้องเผื่อประมูลแข่งเกาะอื่นด้วย ลื้อก็ไม่ฟังตั้งหน้าแต่จะเอาเกาะหลัก แล้วเป็นยังไง ไม่ได้ซักเกาะ”
“ก็อั๊วบอกแล้ว ได้เกาะหลักก็เหมือนได้เกาะอื่นมันทั้งหมดน่ะแหละ” เฮ้งโต้
“จะเหมือนได้ยังไงวะ” ประยูรงง
“อั๊วมีวิธีของอั๊วก็แล้วกัน นายอั๊วอีมีบารมี หน้าไหนก็ต้องถอยทั้งนั้นแหละโว้ย”
“ถ้านายลื้อมีบารมีจริง เราจะแพ้ประมูลได้ยังไง อั๊วไม่มีทางทำมาหากินแล้ว ลื้อจะรับผิดชอบยังไงว่ามา”
ประยูรแสดงความโง่ขึ้นว่า “เรากลับไปขอร่วมหุ้นกับเถ้าแก่บันลือดีไหมป๊า”
ประกิตตบกะโหลกประยูรโป๊ก
“ลื้อจะมีหน้ากลับไปมองหน้าอียังไง ไอ้ซื่อบื้อ”
“คนอย่างอั๊วไม่ยอมจนตรอกง่ายๆ หรอก” เฮ้งลุกออกไปทันที
“อ้าว ลื้อไปง่ายๆ ยังงี้แล้วใครจะจ่ายค่าอาหาร”
“ก็ต้องเป็นเราเหมือนเดิมแหละป๊า อีเคยจ่ายที่ไหนล่ะ”
“อั๊วคิดผิดแท้ๆ ที่หลงเชื่ออี เพราะลื้อคนเดียวมันไม่เอาไหน” เสี่ยประกิตพาลพาโล
“อ้าว ป๊ามาว่าอั๊วได้ไง”
สองพ่อลูกทะเลาะกันเอง โยนกันไปโยนกันมา
ที่โต๊ะอาหารมื้อค่ำ บ้านจิตวรบรรจง
“ความจริง ถ้าเถ้าแก่เซี้ยอีแย่งเกาะเจ็ดเกาะแปดเราไปจริงๆ อีก็ทำได้จริงไหมป๊าแต่อีไม่ทำ ต้องนับถือน้ำใจอีเหมือนกันนะ”
บันลือตัดบท “เลิกพูดถึงคนอื่นซะที ลื้อนะเตรียมตัวทำงานให้เต็มกำลังแทนป๊าได้แล้ว อย่ามัวลอยไปลอยมาป๊าแก่ลงทุกวัน อีกหน่อยลื้อต้องเป็นหลักให้ครอบครัว”
“ครับป๊า เอาเหล้าจีนมาเปิดฉลองกันหน่อยดีไหมม๊า”
“ใจคอลื้อจะฉลองเข้าไปลงเหรอ บ้านนี้มีกันอยู่สี่คนนะ ไม่ใช่แค่สาม”
วรินลุกออกไปเงียบๆ บันลือ และ บดิน พลอยเงียบงันไปด้วย
ที่บ้านเช่าภรพ ในความมืดสลัวๆ มีแค่ไฟเหนือโต๊ะกินข้าวส่องสว่าง
อาหารกับข้าวง่ายๆ ถูกวางไว้รอ เห็นได้ชัดว่านานพอควรแล้ว วันวิสาฟุบหน้าหลับอยู่มุมหนึ่ง ถัดออกไป
เสียงเคาะเหล็กบอกเวลาจากแขกยาม ดังแว่วมา บอกให้รู้ว่าดึกมากแล้วทำให้วันวิสาสะดุ้งตื่น
เธอพบว่าเขาไม่ได้กลับมา เขาทอดทิ้งเธอไว้อย่างไม่ใยดี
ภรพอยู่ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ ตั้งแต่เมื่อคืนจนเช้าวันนี้ และเขาตัดสินใจถามเรื่องบาดหมางของสองตระกูล
“ป๊า บ้านเรากับบ้านเถ้าแก่บันลือ ผิดใจกันเรื่องค้าขาย อย่างเดียวจริงๆ เหรอ”
สุพรรษา ไพศาลสบตากันแวบหนึ่ง
“ลื้อจะรู้ไปทำไม”
“ก็...ก็...ไม่มีอะไร ผมว่าถ้ามันเรื่องแค่นั้น เราก็น่าจะลืมๆมันไปได้แล้วมั้ง ป๊าก็เห็น ประมูลสัมปทานเมื่อวาน เถ้าแก่บันลือเขาไม่ได้คิดมาแตะต้องเกาะหลักของเราเลย ถ้าเขาคิดจะช่วงชิงเขาต้องฉวยโอกาสนี้แล้ว”
“ก็เพื่อนกัน รู้ไส้รู้พุงกันอยู่” สุพรรษาค่อนขอด
ไพศาลเอ็ด “พูดมากน่า”
ภรพสนใจ “ยังไงเหรอครับม๊า”
“ลื้ออย่ารู้เลยน่า เรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่เห็นจะต้องจดจำ”
โชคทวีเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“เจ็กครับ เกิดเรื่องแล้ว เถ้าแก่เฮ้งเรียกทุกบริษัทรวมตัวกันคัดค้านผลการประมูลเมื่อวานครับ”
ที่ภรพคาดไว้ไม่มีผิด
ในห้องประชุมสมาคมผู้ค้ารังนกตอนนี้ เฮ้งเกรี้ยวกราดปะทะชนทุกคน
“ยังงี้ไม่เรียกฮั้วกันแล้วจะเรียกว่าอะไร พีวีไทยแลนด์ ใครเคยได้ยินชื่อบริษัทนี้บ้าง...ไม่มี มันเป็นบริษัทใหม่เพิ่งตั้ง ยังไงก็ผิดกฎประมูลตั้งมายังไม่ถึงปี ไม่มีสิทธิ์เข้าประมูล”
ทุกคนเห็นด้วย เกิดเสียงฮือฮาขึ้น ไพศาลก้าวเข้าไปเผชิญหน้าคนหมู่มาก
“บริษัทพีวีไทยแลนด์เป็นบริษัทใหม่อั๊วไม่ปฏิเสธ”
เฮ้งสะใจ “เห็นไหมๆ โมฆะ”
ทุกคนฮือฮา อื้ออึง
“แต่อั๊วจดทะเบียนมาร่วมสองปีแล้วหลักฐานก็มี”
ไพศาลกางกระดาษใบจดทะเบียนบริษัทให้ทุกคนเห็น
“ลื้อคัดค้านเพราะต้องการอะไรกันแน่อาเฮ้ง”
“ธุรกิจที่ขาวสะอาด ไม่มีใต้โต๊ะไม่มีโกงกิน ไม่มีคนใช้อำนาจข่มทับคนอื่น” เฮ้งไม่ยอม
“ลื้อพูดได้กินใจอั๊วมาก เพราะอั๊วก็ต้องการสิ่งนั้น ทุกคนในที่นี้ก็ต้องการเหมือนกันธุรกิจที่ขาวสะอาด”
ทุกคนนิ่งฟัง
“แต่ที่ลื้อพูดออกมามันตรงข้ามกับความจริงทั้งหมด ลื้อถือตัวว่าเป็นขาใหญ่ ลื้อรังแกข่มขู่บริษัทอื่น ลื้อทำลายชื่อเสียงรังนกไทยจนประเทศไหนเขาก็ไม่เชื่อใจพวกเราแล้ว ลื้อมันโลภมากได้สิบจะเอาร้อย รังนกย้อมไนเตรตของพวกลื้อที่ถูกตีกลับมาไง ลื้ออย่าทำเป็นจำไม่ได้ ทุกคนเขาเก็บเอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟังกันหมดแล้ว เนี่ยเหรอธุรกิจขาวสะอาดของลื้อ”
ทุกคนฮือฮากันขึ้นอีกรอบ
ภรพนิ่งฟัง ไพศาลไม่สะทกสะท้าน
“เท่านั้นไม่พอ ลื้อเห็นใครได้ดีกว่าลื้อไม่ได้ ลื้อต้องกำจัดทุกคนที่ขวางทางลื้อด้วยวิธีสกปรก”
ภรพก้าวออกไปเผชิญหน้าเฮ้งอีกคน เปิดฉากโต้เถียงกัน
“วิธีสกปรก วิธีไหนเหรอเถ้าแก่เฮ้ง”
“ลื้อส่งคนของลื้อไปปล้นรังนกของเถ้าแก่บันลือ ส่งไปเผาโกดังเขา พวกลื้อมันขี้อิจฉานี่หว่า”
“เถ้าแก่นี่รู้จริงทุกเรื่องเลย”
“ลื้อไม่กล้าปฏิเสธแล้วละสิ”
“ถึงขนาดนี้แล้วคงต้องยอมรับละเถ้าแก่ ผมอยู่ในเหตุการณ์ที่เสี่ยพูดถึงทั้งสองเหตุการณ์นั่นแหละ” ภรพว่า
เฮ้ง “เห็นไหมๆ มันยอมรับแล้ว อาบันลือ ลื้ออยู่ไหน ลื้อได้ยินแล้วใช่ไหม มันยอมรับแล้ว”
ผู้คนฮือฮาเซ็งแซ่
“เสี่ยยังฟังผมไม่จบเลย ผมอยู่ที่นั่นจริง แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างที่เสี่ยคิด”
ทุกคนรอฟัง ภรพเล่าเหตุการณ์ ตอนรถขนรังนกของบันลือถูกปล้น
“เพราะก่อนที่รถของเถ้าแก่บันลือจะถูกปล้น รถของรุ่งเรืองไพศาลก็ถูกปล้นเหมือนกัน”
ตามด้วยเหตุการณ์ตอนรถของภรพถูกปล้น
“แต่โชคยังดีนะของของเถ้าแก่บันลือไม่สูญหายแม้แต่ลังเดียว ตรงกันข้ามกับของรุ่งเรืองไพศาลของในรถทั้งคันหายวับไปกับตา”
เฮ้งไม่ยอมรับ โวยวายลั่นห้องประชุมต่อ หัวหน้าแก๊งก๊วน ทุกคนอยู่ในนั้นพร้อมหน้า
“ก็ฝีมือลื้อน่ะแหละ ลื้ออย่ามาปั้นน้ำเป็นตัวไม่มีใครเขาเชื่อลื้อหรอก”
บันลือ และ บดินก้าวมากลางวง
“แต่อั๊วเชื่อ เพราะคนที่โทรศัพท์มาบอกอั๊วเรื่องถูกปล้นก็คืออาภรพ” บันลือบอก
“ลื้ออย่างี่เงาหลงกลมัน ไอ้สองพ่อลูกนี่มันจ้องจะฮุบบริษัทลื้ออยู่ ไฟไหม้โกดังลื้อก็ฝีมือมัน ลื้อยังโชคดีที่ดับไฟทัน”
ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้โกดังผุดขึ้นมากลางวงสนทนา ทุกคนรับรู้เรื่องนี้
“จริงของลื้อ ถ้าอั๊วไม่ได้รับข่าวทันเวลา ป่านนี้คงฉิบหายไปแล้ว” บันลือหันไปทางภรพ “ขอบใจลื้อที่โทร.ไปบอก”
เฮ้งงงหนัก “นี่มันอะไรกันวะ พวกลื้อรู้กันนี่หว่า”
“รู้กันมาตั้งนานแล้วเสี่ย อยู่ที่จะพูดไม่พูดหรือเมื่อไรพูดมากกว่า”
“ขอบใจลื้อนะอาเฮ้ง ที่ลื้อทำให้พวกเราทุกคนมีวันนี้ขึ้นมาได้” ไพศาลบอกอย่างใจเย็น
“ลื้อชนะประมูลลื้อก็พูดได้สิวะ”
“อั๊วไม่ได้หมายถึงแพ้ชนะ แต่อั๊วหมายถึงความจริงที่ทุกคนก็คงอยากรู้”
“ความจริงอะไรวะ ไป บ้านใครบ้านมัน ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินกันไป โลกนี้มันหาความยุติธรรมไม่ได้หรอกโว้ย อำนาจมันไปอยู่ในมือคนชั่วๆ หมดแล้ว”
เฮ้งทำเป็นโวยวายตัดบทแล้วเดินออกจากห้องประชุมทันที ฝ่ากลุ่มคนที่คับคั่ง
เฮ้งทำทีหงุดหงิดหัวเสียออกมายังห้องโถงข้างนอก ประกิต กับประยูรวิ่งตามหน้าตั้ง ทุกคนเฮละโลตามออกมา ภรพเรียกไว้
“เดี๋ยวสิเสี่ย จะรีบไปไหนล่ะ ทุกคนเขาอยากรู้ความจริงกันทั้งนั้นแล้วเสี่ยไม่อยากรู้รึไง”
“ความจริงอะไร อั๊วมันคนนอกแล้วไม่เกี่ยว”
“แน่ใจเหรอเสี่ย เสี่ยออกไปจากวงการนี้ ไม่มีใครเขาว่าอะไร แต่เรื่องชั่วๆ บางอย่างที่เสี่ยทำเอาไว้ ทุกคนเขาให้อภัยไม่ได้หรอกนะจนกว่าเสี่ยจะยอมรับผิดซะก่อน”
เฮ้งยัวะ “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ลื้อพูดอะไรของลื้อ”
ภรพยิ้ม
ถัดจากนั้น ประตูใหญ่ของโกดังเสี่ยเฮ้งถูกเปิดออกต่อหน้าทุกคน
“พวกลื้ออยากดูอะไรก็ดูให้เต็มตาแต่ถ้าทรัพย์สินอั๊วเสียหายแม้แต่อย่างเดียว อั๊วเล่นงานพวกลื้อแน่”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเสี่ย เพราะหลังจากวันนี่ไปมันคงไม่ใช่ทรัพย์สินของเสี่ยอีกต่อไปแล้วละ”
ภรพเดินนำทุกคนเข้าไปภายใน
ทุกคนตามภรพเข้ามาข้างในแล้ว
“เสี่ยช่วยบอกเราหน่อยเถอะ ว่าไอ้ที่เห็นอยู่นี่มันคืออะไร”
“ลื้อก็เห็นว่ามันถังน้ำมัน จะถามทำไมวะ”
“แล้วในถุงนั่นล่ะ” ภรพชี้ไปมุมหนึ่ง
“อั๊วไม่รู้ คนงานมันเอามาเก็บไว้อั๊วจะไปรู้ได้ยังไง”
ภรพตรงเข้าไป ยกถุงกระสอบขึ้นเท ผงไนเตรตเกลื่อนกระจาย
“ไอ้ผงเนี่ยเขาเรียกไนเตรตเสี่ยต้องรู้ดีนะว่าเขาเอาไว้ใช่ทำอะไร”
บันลือแค้นคำรามลั่น “ที่แท้ไอ้คนชั่วที่มันย้อมไนเตรตใส่รังนกออกไปหลอกขายเขา ก็ลื้อนี่เอง”
เฮ้งตาเหลือก แต่ยังยืนยันกระต่ายขาเดียว “อั๊วไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น มันไม่ใช่ของอั๊ว”
“นี่มันโกดังของลื้อ แล้วลื้อจะปฏิเสธว่าของในโกดังไมใช่ของลื้อได้ยังไง” ไพศาลว่า
“อั๊วถูกใส่ร้าย พวกลื้อสุมหัวกันแกล้งอั๊ว อย่าไปเชื่อมัน” เฮ้งแก้ตัวต่อทุกสายตา
“ที่แท้ก็ไอ้ตัวบ่อนทำลายธุรกิจของเราก็ลื้อนี่เอง ไอ้...ไอ้หมาเฮ้ง” ประยูรแค้นสุดขีด
“อย่าไปเชื่อมัน ใครหลงเชื่อมันก็โง่แล้ว”
ภรพตรงเข้ากระชากคอเสื้อเฮ้งตัวปลิวออกไป
ภรพรากคอเฮ้งมาที่มุมหนึ่ง ที่มีของถูกคลุมปิดไว้ด้วยผ้าใบ
“ลื้อว่าลื้อถูกใส่ร้าย งั้นลื้อตอบอั๊วมาซิว่านี่มันคืออะไร”
ภรพกระชากผ้าใบออก ลังสินค้ามากมายถูกคลุมปิดเอาไว้
“อั๊วถามว่านี่มันคืออะไร”
“รังนกของอั๊วที่เตรียมส่งออก”
“โกหก อั๊วจะให้โอกาสลื้อตอบอีกครั้งนึง”
“รังนกของอั๊ว”
ภรพต่อให้ “ที่ถูกตีกลับมาจากเมืองจีนเพราะมันถูกย้อมไนเตรต ใช่ไหม”
ทุกคนฮือฮา
เฮ้งฮึดฮัด “ลื้ออย่ามาทำเป็นรู้ดี”
“อั๊วรู้ดีเท่ากับลื้อ แถมรู้ดีกว่าลื้อซะอีกด้วย”
ภรพกระทืบเปิดสินค้า หยิบห่อรังนกออกมาจากภายใน ฉีกขว้างใส่หน้าเฮ้ง
“ลื้อบอกทุกคนไป...ว่ารังนกนี่จริงๆ แล้วมันของใคร”
“ของอั๊ว”
“ลื้อแน่ใจนะ”
“ของอั๊ว”
ภรพคว้าลังขึ้นมา
“แล้วตราที่ประทับตรงนี้มันของลื้อด้วยรึเปล่า”
เฮ้งตาค้าง เพิ่งเห็นคำตำหนิตรงนี้
“บังเอิญเนาะที่มันคล้ายตราประทับของรุ่งเรืองไพศาล”
“อั๊วไม่รู้ไม่เห็น”
บดินสนใจมาก ถามขึ้นทันที “มันยังไงของมัน นายเล่ามาซิ”
ทุกสายตาจ้องมายังภรพ
ภรพเล่าเหตุการณ์ตอนรถขนรังนกของภรพถูกปล้นให้ทุกคนฟังเป็นฉากๆ
“ฉันคาดเอาไว้แล้วว่ายังไงมันก็ต้องดักปล้นรถขนของฉันแน่ แล้วก็เป็นยังงั้นจริงๆ ฉันตั้งใจให้พวกมันได้ของที่พวกมันต้องการไป เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่ฉันจะรู้ได้ว่า มันเป็นใครหนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง ยังไงรังนกล็อตนี้ก็ต้องถูกตีกลับมาเพราะมันเป็นรักนกที่ย้อมไนเตรต”
จบด้วยภาพตอนภรพทำเครื่องหมายใส่ข้างลัง
เล่าถึงตรงนี้ภรพหันมาทางเฮ้ง “เสี่ยไม่น่ารีบร้อนส่งออกไปเลยของในลังก็ไม่ตรวจเปลี่ยนลังซะหน่อยก็ไม่มีใครจับได้ไล่ทันยังงี้หรอก เสี่ยชะล่าใจเพราะคิดว่าผมตายแล้วจริงๆ เสือน่ะเวลาออกล่ามันมักล่าเดี่ยวๆ ด้วยตัวมันเองเสมอ ถ้าเสี่ยคิดว่าเสือจะยอมทิ้งลายมันง่ายๆ เสี่ยเข้าใจผิด เสี่ยไม่รู้จักเสือดีพอ”
เฮ้งสลดคอตก จำนนด้วยหลักฐานทั้งหมด
ประยูรแค้นแทบกระอัก “ลื้อบอกว่าบริษัทของเราจะยิ่งใหญ่ที่สุด จะล้มไอ้พวกบริษัทเล็ก บริษัทน้อยพวกนี้ให้ราบคาบด้วยวิธีสกปรกยังงี้เหรอวะ ถุยลื้อไม่ใช่ลูกผู้ชายไอ้เฮ้ง”
ประกิตด่าซ้ำ “เอาหุ้นอั๊วคืนมาเลยนะ คนชั่วอย่างลื้อใครทำมาค้าขายด้วยฉิบหายขายตัวหาความเจริญไม่ได้”
“อาเฮ้ง ลื้อคุกเข่าลงขอโทษพี่น้องทุกคนซะ ลื้ออาจะได้รับการให้อภัยอาจจะยังพอมองหน้าใครๆ ในถิ่นมังกรได้บ้าง”ไพศาลบอก
ภรพเสริม “จะให้ดี เสี่ยเปิดปากออกมาด้วยว่าใครที่มันอยู่เบื้องหลังเสี่ย”
ประกิตก็อยากรู้ “นั่นสิ ลื้อชั่วได้ขนาดนี้แล้วไอ้คนที่เป็นนายของลื้อมันจะชั่วขนาดไหนวะ ลื้อพูดมา มันเป็นใคร”
เฮ้งถูกกดดันอย่างหนัก ชักปืนออกมาชี้กราดไปที่ทุกคน
“พวกลื้อมันหน้าโง่กันทั้งนั้นทำมาหากินซื่อสัตย์สุจริต ถุยชาตินี้จนตายพวกลื้อก็อยู่ใต้ตีนไอ้เซี้ยมันคนเดียวนั่นแหละโว้ย”
เฮ้งยิงปืนขึ้นฟ้านัดหนึ่งเพื่อขู่ ประยูร และ ประกิต หัวหดกระโจนหนีตัวสั่น วงแตกกระเจิง เฮ้งฉวยโอกาสวิ่งหนีออกไปทันที
ไพศาลบอกภรพ “อย่าให้ถึงตาย”
“ครับป๊า ยังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่านายมันเป็นใคร”
ภรพตามออกไปทันที
เฮ้งวิ่งออกมาหน้าโกดัง ลูกน้องที่ได้รับสัญญาณจากเสียงปืนกรูกันออกคุ้มกันเฮ้งให้หนี ภรพกับทุกคนที่ตามกันมาต่างกระเจิงหามุมหลบกระสุน
“ฆ่าพวกมันให้หมด”
เฮ้งหนีเอาตัวรอดก่อน สมุนเฮ้งกราดยิงอย่างบ้าเลือดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ภรพอ้อมมาด้านหลังสมุนเฮ้ง โชว์ทักษะภูมิปัญญาส่วนตัวภรพจัดการสมุนเฮ้งอย่างสร้างสรรค์ บดินตามออกมาแจมภรพ ได้มีโอกาสต่อสู้กับอธรรมร่วมกันเป็นครั้งแรก
ตรงใกล้ทางออกโกดังอีกด้านหนึ่ง เฮ้งหนีออกมาตรงนั้น เจอมงคลโผล่เข้ามา
“เสี่ย”
เฮ้งไม่วางใจใคร เล็งปืนไปที่มงคลทันที
“ผมเอง...ทางนี้ครับเสี่ย”
เฮ้งรีบตามมงคลออกไป
เฮ้ง กับ มงคล วิ่งมาขึ้นรถ ที่มงคลเป็นคนขับ
“ไอ้พวกหน้าโง่ นายอั๊วไม่ทิ้งอั๊วหรอกโว้ย”
มงคลออกรถอย่างแรง ตรงกลางลานโล่งๆ มงคลหมุนพวงมาลัยอย่างแรงและเบรก รถหยุดคว้างกลับลำ
เฮ้งงงเต๊ก “ลื้อทำอะไรของลื้อ”
“เสี่ยหนีไปไหนไม่รอดหรอก ยอมมอบตัวรับผิดซะเถอะ”
มงคลเผยตัวตน ออกรถอย่างแรงทันที เฮ้งหงายหลัง ปืนหลุดจากมือ
รถพุ่งอย่างแรงกลับเข้ามาในโกดัง จอดสนิทนิ่งกลางลาน
“ไอ้คนทรยศ”
เฮ้งเก็บปืนขึ้นมาได้ ยิงมงคลเข้าที่แขน มงคลหลบไม่ทัน เปิดประตูรถ ม้วนตัวออกจากรถไปได้ เขาต้องการจับเป็นเฮ้งเพื่อสาวถึงมือมืดตัวจริง
โชคทวีที่ทำทีดูเหมือนคุ้มกันไพศาล แต่จริงๆ แล้วต้องการยิงทิ้ง แต่ไม่สบโอกาส เพราะมีบันลืออยู่ด้วย ไพศาล กับบันลือ ช่วยกันยิงลูกน้องเฮ้ง
“เจ็กครับ ผมจะไปช่วยภรพทางโน้น”
“ลื้อระวังตัวด้วย”
“ครับเจ๊ก”
โชคทวีหลบออกไปทางหนึ่ง มีแผนในใจ เปลี่ยนเป้าหมาย
ไพศาลยิงปืนอย่างแน่วนิ่งและมั่นคง
“ฝีมือลื้อยังเหมือนเดิมนะอาเซี้ย”
“ถึงเวลาจำเป็นเสือก็ใส่เขี้ยวเล็บได้เสมอ”
สมุนเฮ้งโผล่พรวดเข้ามาด้านหลังบันลือจะยิงทั้งคู่ ไพศาลยิงสวน สมุนดับ ป้องกันบันลือเอาไว้ได้
“อั๊วเป็นหนี้ลื้ออีกแล้ว” บันลือทึ่ง
“เอาไว้ใช้รวมกันซะทีเดียว”
อีกมุมในโกดัง บดิน และ ภรพ ยังประกบติดอยู่ด้วยกัน บดินยิงปืนออกไป
“เฮ้ย อย่ายิงมั่วซั่ว”
“ไม่ได้มั่วซั่ว โน่น”
บนที่สูง สมุนเฮ้งที่ถูกกระสุนของบดินร่วงลงมาต่อหน้าต่อตาทั้งคู่ ภรพยกนิ้วให้
สมุนเฮ้งโผล่มาอีกคน บดินจะยิงแต่ต้องจ๋อย กระสุนหมด
“ฉิบหายแล้ว”
สมุนเฮ้งที่หลบกระสุนไป โผล่มาอีกที ภรพกะยิงเข้าเป้า แต่กระสุนหมดเหมือนกัน
“ฉิบหายแน่นอน”
สมุนเฮ้งฟาดออกมา ยิงใส่
ภรพ และ บดิน จะยิงซ้ำ กระสุนหมดเช่นกัน ภรพยิ้มเผล่ ออกมาเผชิญหน้า
“ลื้อรู้จักคำว่าฉิบหายไหม”
สมุนเฮ้งลุยภรพด้วยมือเปล่า
บดินรับมือสมุนเฮ้งที่กรูกันออกมาฝูงใหญ่ อีกด้าน
ที่ประตูโกดังระหว่างนี้ ปรากฏร่างสี่ร่างที่เห็นเป็นเพียงเงาดำเคลื่อนเข้าเป็นแผง เป็น ทรงกลด ธาม คณิน และ หงส์ ที่ดาหน้าเดินเข้ามา สมุนเฮ้งกรูกันออกมา เปิดฉากบู๊ใส่แต่ละคนตามอัธยาศัย
เฮ้งยังมุดหัวหลบอยู่ในรถ เห็นการตะลุมบอนกันด้วยมือเปล่า เพราะกระสุนหมดกันแล้วทั้งสองฝ่าย เฮ้งฉวยโอกาสเปิดประตูรถออกมาจะโกยหนี หงส์เข้าดักหน้าขวางทางไว้
“อีหน้าขาว ไม่อยากตายลื้ออย่าแส่”
“อั๊วต้องแส่ เพราะอั๊วไม่อยากอยู่ร่วมโลกกับคนชั่วๆ อย่างลื้อ”
เฮ้งยิงเข้าใส่หงส์ทันที หงส์ตีลังกาม้วนตัวด้วยลีลางิ้วหลบกระสุนได้ทัน
เฮ้งจะยิงซ้ำแต่กระสุนดันหมดเกลี้ยง จึงเขวี้ยงปืนทิ้ง โมโหสุดๆ แล้วจะโกยหนี
หงส์กายกรรมเข้าลุยจับตัวเฮ้ง จนเฮ้งสิ้นท่าด้วยสองมือเปล่าของเธอ สยบราบคาบแทบเท้า
ไพศาล กับ ภรพ เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเฮ้งที่บัดนี้สิ้นสภาพ
“อาเฮ้ง คนเราจะให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทุกคนมันต้องเคารพในกฎกติกา เมื่อก่อนอั๊วก็เห็นลื้อตั้งอกตั้งใจทำมาหากิน อั๊วยังนึกชื่นชม ทำการค้าได้บ้างเสียบ้างมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่อั๊วไม่คิดว่าลื้อจะกลายเป็นคนเอาเปรียบคนอื่นด้วยกลโกง ลื้อทำได้ยังไง ทุกคนที่ลื้อเอาเปรียบจ้องทำลาย ก็พี่น้องคนบ้านเดียวกัน บางคนแซ่เดียวกันกับลื้อด้วยซ้ำไป ลื้อทำได้ลงคอได้ยังไง แค่ลื้ออยากจะรวยกว่าคนอื่นให้ได้ลื้อลืมความซื่อสัตย์ต่อพี่น้องต่อการค้าของลื้อได้ขนาดนี้เชียวเหรอ”
เฮ้งเหมือนสำนึกผิด คำด่าว่าของไพศาลกระซวกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ จนน้ำตาไหล
“เสี่ยบอกมาเถอะ ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“อั๊วบอกไม่ได้”
“เสี่ยคิดดูดีๆ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา ยังไงเราก็ต้องเห็นหน้ากัน ทำมาหากินด้วยกันอยู่แล้ว คนชั่วๆ คนเดียว เราจะปล่อยให้มันลอยนวลปะปนอยู่กับพวกเราได้ยังไง”
“อั๊ว...อั๊ว...” เฮ้งเครียดจัด ตายแน่ถ้าเปิดปาก
“เสี่ยจะปลอดภัย แก๊งเสือจะดูแลเสี่ยเอง มันเป็นใคร” ภรพว่า
“เถ้าแก่...”
เฮ้งพูดฟูมฟายได้แค่นั้น เพราะกระสุนปริศนาจากปืนเก็บเสียง ตัดเข้าขั้วหัวใจพอดิบพอดี ร่างทรุดลงขาดใจตายคาที่
“ทางโน้น”
ทรงกลดร้องบอก แล้ววิ่งนำ ธาม คณิน และหงส์โลดลิ่วออกไปตามทิศทางที่คิดว่ามือปืนซ่อนตัวยิงมา โดยไม่รู้ว่าที่แท้เป็นฝีมือโชคทวี
เฮ้งตายอนาถ ตายังลืมค้าง เห็นแววตาแห่งความสำนึกผิด
ภรพ และ โชคทวี กลับเข้ามาในบ้านพร้อมกัน ไพศาลที่รออยู่ถามขั้นทันที
“เรียนร้อยใช่ไหม มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“เรียนร้อยครับป๊า ผู้หมวดชานนท์จะตามคดีนี้ให้เอง”
“เสียดายที่พยานสำคัญมันดันหนีไปครับเจ๊ก” โชคทวีทำเป็นบ่น
“ลื้อพูดถึงใคร” ภรพถาม
“ก็ไอ้มงคลไงครับ”
“มงคลหนีออกไปจากโรงพยาบาลครับป๊า” ภรพว่า
พราวตาซึ่งอยู่ในนั้นด้วยใจหายวาบ
“ผมบอกเจ็กตั้งแต่แรกแล้วว่าไอ้นี่มันไว้ใจไม่ได้ แล้วก็เป็นยังงั้นจริงๆ ผมว่าความลับบริษัทที่รั่วออกไปก็ต้องเพราะมันนี่แหละ เจอตัวมันอีกที ผมจะจัดการมันด้วยมือผมเอง”
“เลี้ยงคนทรยศก็เหมือนเลี้ยงงูเห่าเอาไว้ข้างตัวนั่นแหละ”
เถ้าแก่ไพศาลพูดเป็นนัย
ในขณะที่วันวิสาทำงานบ้านเงียบๆ ไม่ปล่อยตัวเองจมในความทุกข์ หยกมณีก้าวเข้ามาในบ้าน
“อ้าว เธอ ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย นึกว่าไปไหนต่อไหนแล้วซะอีก”
“จะให้ฉันไปไหนได้ล่ะ”
“ก็ไม่รู้สิ เธอก็ท่าทางมีความคิดสติปัญญาเป็นของตัวเองเหมือนกันนี่ ขอโทษนะ”
หยกมณีเดินผ่านวันวิสาไปที่มุมเก็บเสื้อผ้า เลือกหยิบรวบรวมเสื้อผ้าของภรพ
วันวิสามองฉงน “ทำอะไรน่ะ”
“คุณภรพเขาวานให้ฉันมาเก็บเสื้อผ้าของเขาให้ที” หยกมณีตีบทกระจุย
วันวิสาอึ้ง “หมายความว่ายังไง”
“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น ฉันทำทุกอย่างที่เขาร้องขอ ก็เท่านั้น เขาอาจจะไปต่างจังหวัดก็ได้ แต่ไม่น่าใช่หรอก เพราะเขาวานให้ฉันบอกคืนบ้านเช่านี้ด้วย เธอจะอยู่ต่อไปก่อนก็ได้ ยังอีกหลายวันกว่าจะครบเดือน”
“เขาไม่ได้ฝากอะไรถึงฉันใช่ไหม”
“ไม่นี่ ไม่เห็นพูดถึง ก็อย่างที่รู้ๆ กันน่ะแหละผู้ชายอย่างคุณภรพน่ะ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ฉันรู้จักเขามาหมดไส้หมดพุง ไม่เคยเห็นเขาผูกพันกับใครจริงจังซักคน ฉันไปนะ...โชคดี”
หยกมณีมัดเสื้อผ้าภรพรวมในห่อผ้าขาวม้า แล้วเดินนวยนาดออกไป
วันวิสา หมดสิ้นทุกอย่าง
ด้านพราวตา พาตัวเองเดินมาหยุดหน้าบ้านเช่ามงคล เห็นกุญแจถูกคล้องใส่ปิดตายเหมือนเดิม หมวยใหญ่อุตส่าห์คิดว่าเขากลับมานี่ที่ แต่ก็ต้องผิดหวัง ผู้ชายเลวคนนี้มีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอมากมาย เธอต้องการได้ยินคำสารภาพในฐานะคนอกตัญญูจากปากของเขา ชายชาวบ้านคนหนึ่ง ข้างๆ บ้านเช่า โผล่มาเห็นพอดี
“มาหาบ้านเช่าเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“อ้อ ลื้อน่ะเอง ถึงว่าคุ้นๆ หน้า”
พราวตาตัดสินใจถาม “มงคลเขาไม่กลับมาเลยใช่ไหม”
“อีหายหัวไปเลย ป่านนี้ร่ำรวยแล้ว ได้ยินว่าอีไปเป็นลูกน้องเถ้าแก่ใหญ่ ลื้อมีธุระอะไรกะอี อั๊วทายไม่ผิดลื้อต้องมาตามทวงหนี้อีแหงๆ เจ้าหนี้อีเยอะมาทวงกันทุกวัน ลื้อจะฝากบอกอะไรไหมล่ะ”
“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ”
ชายชาวบ้านกลับออกไป พราวตายังซึมอยู่ตรงนั้น
ส่วนภายในบ้านเช่า มงคลยืนอยู่ใกล้ประตู แผลบาดเจ็บได้รับการทำแผลแล้ว รับรู้ทุกสิ่งอย่าง
พราวตาค่อยๆ เอื้อมมือมาสัมผัสประตู
ทั้งคู่เหมือนสัมผัสกัน แต่ประตูนั้นขวางกั้นไว้
พราวตาตัดใจ ค่อยๆ หันตัวเดินจากไป
มงคลที่ยังยื่นนิ่งอยู่ที่เดิม ขณะชายเพื่อนบ้าน ซึ่งเข้ามาจากด้านหลังบ้าน ตรงมาหา
“ผู้หญิงคนนั้นมาอีกแล้วนา”
“อั๊วได้ยินแล้ว”
“ท่าทางอีน่าสงสาร ทำไมลื้อต้องหนีอีด้วยหว่า” เพื่อนบ้านบอก
“งานของอั๊วยังไม่เสร็จ ยังไงก็ขอบใจลื้อนะที่ช่วยเหลือทุกอย่าง”
“คนกันเองน่า เรื่องเล็ก ช่วงนี้ลื้อก็อย่าเพิ่งออกไปไหน รอให้แผลหายดีกว่านี้ก่อน จะเข้าจะออกก็ไปทางบ้านอั๊วโน้นไม่ต้องเกรงใจ”
ชาวบ้านกลับออกไปทางหลังบ้าน
มงคลนิ่งคิด
มือภรพค่อยๆ ผลักบานประตูเปิดเข้าไป พบว่าภายในบ้านเช่าเงียบสงบ ข้าวของถูกเก็บเข้าที่อย่างมีระเบียบ แต่ไม่มีวี่แววของคนอยู่อาศัย วันวิสาจากเขาไปแล้ว
ภรพมองป้าย “รับจ้างซักผ้า” ที่ถูกเก็บเข้ามาวางไว้มุมหนึ่ง
ทั้งที่ทำใจร้ายใจแข็ง เขาก็อดเสียใจกับสิ่งที่ทำไม่ได้
วรินเดินออกมาหน้าบ้านจิตวรบรรจง แล้วแปลกใจเมื่อเห็น ผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดพื้นๆ ปอนๆ นั่งซุกตัวอยู่มุมหนึ่ง
“มาหาใคร”
วันวิสาค่อย ๆ หันกลับมา “ม๊า”
“อาวัน...อาวัน”
วรินโผเข้ามาหา สองแม่ลูกกอดกันแน่น
“ม๊าคอยลื้อทุกวัน ม๊ารู้ว่ายังไงลื้อก็ต้องกลับมาบ้านเรา”
วันวิสาร้องไห้โฮ
บดิน, บันลือรีบตามออกมา
“อาวัน เป็นลื้อจริงๆ ด้วย ลื้อหายไปอยู่ไหนมา ใครมันทำกับลื้อเฮียจะไปเล่นงานมันเอง ลื้อบอกมา”
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ได้ไหม เข้าบ้านก่อน...เข้าบ้าน”
วรินตัดบทแล้วประคองวันวิสาจะพาเข้าบ้าน
“อาวัน” เสียงบันลือดังขึ้น
วันวิสาที่ไม่กล้าสบตาพ่อ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เห็นสายตาของบันลือที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใยส่งมา
“ป๊า”
บันลือเป็นฝ่ายดึงตัวลูกสาวเข้าไปกอด ทั้งชีวิตไม่เคยแสดงความรักต่อลูกแบบนี้
“ลื้อไม่อยู่บ้านซะคน รู้ไหมว่าบ้านมันเงียบเหงาขนาดไหน”
วรินเต็มตื้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ
วันวิสาร้องไห้อย่างหนัก ระบายความทุกข์ออกมาทั้งหมด หลังจากเก็บงำมันไว้ในอกอยู่นาน
บันลือกอดลูกสาวเต็มรัก
วันวิสาอยู่ในห้องนอน ที่บ้านจิตวรบรรจงแล้ว วรินหวีผมให้ลูกสาวอยู่ตรงหน้ากระจก วันวิสาได้แต่ก้มหน้า ไม่อยากเห็นแม้แต่เงาตัวเอง
“ม๊า หนูทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย ป๊ากับม๊าต้องอับอาย หนูควรจะได้รับโทษยังไงดี”
“ช่างหัวมัน ลื้อจะสนใจไปทำไมชื่อเสียง มีไปมันก็เท่านั้น เหมือนเอาโซ่มาผูกคอตัวเองให้มันหนักเปล่าๆ เลิกกังวลซะที ป๊าลื้อเขาก็เข้าใจอะไรมากแล้ว คนเรามันก็เท่านี้ ลื้อไปเจออะไรมาม๊าไม่รู้ แต่ถ้าลื้ออยากเล่าให้ม๊าฟังเมื่อไร ม๊าก็ยินดีรับฟัง”
“ถึงวันนี้หนูรู้แล้ว ในโลกนี้ไม่มีใครรักหนูจริง เท่าป๊ากับม๊าแล้ว”
ส่วนที่โรงฝิ่นเถื่อนของเสี่ยเล้ง ตอนนี้ มันเป็นกลางวัน หรือกลางคืน ก็ยากจะคาดเดา เสียงของเสี่ยเล้งดังขึ้น
“ลื้อทำดีแล้ว ตัดสินใจได้เฉียบคมยังงี้สิ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของอั๊ว”
โชคทวีเมาฝิ่นอยู่มุมหนึ่ง “ผมถามเสี่ยตรงๆ ถ้าสมมุติ เราล้มแก๊งเสือได้ เสี่ยตั้งใจจะให้ผมอยู่ตรงไหน เป็นลูกน้องไอ้เฮ้ง หรือเป็นเจ้าของบริษัทอีกบริษัทนึง”
เล้งยิ้ม “ลื้อทำงานให้อั๊วดีขนาดนี้ อั๊วจะทอดทิ้งลื้อได้ยังไง อาโชค”
“ไอ้เฮ้งมันงี่เง่า มันจะทรยศเสี่ยสมควรแล้วที่ต้องเจออย่างงั้น โอกาสของเรายังมีนะเสี่ย เสี่ยต้องมั่นใจในตัวผมนะ”
“ทำไมอั๊วจะไม่มั่นใจ อั๊วเห็นลื้อเหมือนลูกเหมือนหลานอั๊วคนนึงนะอาโชค ยังไงอั๊วก็ต้องส่งเสริมลื้อให้ถึงที่สุดให้ได้ล่ะ ลื้อไม่ต้องกลัว”
โชคทวีกอดขาเล้งไว้ พูดจาวนเวียนซ้ำซาก เมาปลิ้น ความคิดหลุดลอยไปถึงสวรรค์ชั้นไหนก็ไม่รู้
ขณะเดียวกันที่ห้องแต่งตัวหยกมณี ในฉั่วเทียนเหลา หยกมณีอยู่ในชุดคลุม นั่งเขียนคิ้วให้ตัวเองอยู่หน้ากระจก ยังไม่แล้วเสร็จ พูดเป็นเชิงตำหนิภรพขึ้นว่า
“ถามว่าทำแบบนี้ใจร้ายไปไหม หยกตอบแทนผู้หญิงทุกคนได้เลยค่ะว่า ใจร้ายมาก”
“ช่วยไม่ได้ ก็มันอยากรู้จริงๆ นี่ว่าเขารักเราขนาดไหน”
“โอ๊ย ความคิดผู้ชายนี่น่าปวดหัว คุณทรงกรดก็อีกคนไม่รู้อะไรนักหนา คนที่จะพลอยซวยไปด้วยไม่พ้นหยก”
“แล้วอย่างที่เห็นนี่แปลว่ารักขนาดไหน หยก”
“ขนาดไม่ต้องเจอหน้ากันอีกเลยมังคะ”
“อย่าพูดให้ใจเสียสิ”
“ผู้ชายชอบตัดสินผู้หญิงว่าอ่อนแอ หารู้ไม่ว่าผู้หญิงเข้มแข็งกว่าที่ผู้ชายคิด รักมากก็เกลียดมากได้เหมือนกันค่ะ”
ภรพคราง “อูย…”
“เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้ดีก็แล้วกันนะคะคุณภรพ ผู้หญิงไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวตลอดไปหรอกค่ะ ระวังตัวให้ดี เวลาถูกเอาคืน จะหนาวเข้าไปจับขั้วหัวใจเชียวละ”
หยกมณีหยอกภรพถึงเนื้อถึงตัว ก่อนจะหันไปหยิบชุดสวยที่แขวนไว้ เตรียมใส่ออกไปโชว์ร้องเพลง หายเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ภรพใคร่ครวญครุ่นคิดนิ่งนาน
อ่านต่อตอนต่อไป