xs
xsm
sm
md
lg

ใยกัลยา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ใยกัลยา ตอนที่ 1

ค่ำนั้น ในความคึกคักของงานแต่งระหว่าง สิเรมอร เจ้าสาว และ เจ้าบ่าว มนัสวิน มีแต่ความอบอุ่นของความรักเจือปนภายในงานที่ตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีชมพูหวาน

หากสังเกตดีๆ จะพบว่าองค์ประกอบต่างๆ รวมทั้งการแต่งกายของแขกที่มาร่วมงาน ล้วนแต่งกายย้อนยุคไปจากปัจจุบันหลายสิบปี
แขกเหรื่อจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ตามมุมต่างๆ บ้างยืน บ้างนั่ง ทุกคนมีจานอาหารในมือ คนที่เพิ่งมาถึงก็กำลังเลือกอาหารตามซุ้มที่จัดไว้เป็นระยะๆ ทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
บริกรหลายคนเดินแยกย้ายกันเสิร์ฟเครื่องดื่มให้บรรดาแขกเหรื่อ
กระทั่งเสียงพิธีกรดังขึ้น “เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวตัดเค้กได้แล้วครับ”
สิเรมอรและมนัสวิน เจ้าบ่าว เจ้าสาว ซึ่งกำลังถ่ายรูปกับเพื่อนๆ หันไปขอตัวแล้วเดินไปยังเวที ที่เขียนตัวหนังสือตรงกลางว่า
“สิเรมอร - มนัสวิน 25 พฤศจิกายน 2529”
ไฟบนบริเวณเวทีหรี่ลง เจ้าบ่าวประคับประคองเจ้าสาวขึ้นเวทีเพื่อตัดเค้ก ท่ามกลางเสียงพึมพำชื่นชมเบาๆ จากแขกในบริเวณ
ทันใดนั้น เสียงใครหนึ่งแผดดังก้องขึ้น!
“นังสิเรมอร นังแพศยา”
ทุกคนสะดุ้ง พากันหันไปมองตามเสียง
แลเห็นหญิงสาวสวยในชุดดำหรู ถือกระเป๋าราคาแพง เดินตัวตรงท่วงท่าสง่างามมาหยุดตรงหน้าเวที ท่ามกลางสีหน้าที่เปลี่ยนจากแปลกใจและตกใจ กลายเป็นอยากรู้อยากเห็น ของบรรดาแขกเหรื่อ
“แจ่มจันทร์” สิเรมอรอุทาน สีหน้าตกใจปนหวาดระแวง
เจ้าบ่าวบอกเบาๆ ว่า “คุณกลับไปก่อนเถอะนะจันทร์”
สาวเจ้าที่ชื่อแจ่มจันทร์ตาแทบถลน “ไม่กลับ! นังสิเรมอร นังเพื่อนทรยศ อย่าอยู่เลย”
พูดจบแจ่มจันทร์ก็เปิดกระเป๋าหยิบปืนออกมาแล้วยิงเปรี้ยง
สิเรมอรกรีดร้องด้วยความตกใจและเจ็บปวด ร่างงามในชุดเจ้าสาวแสนสวยล้มลง เลือดที่หน้าอกแดงฉานเปื้อนชุดแต่งงานสีขาว
บรรดาแขกเหรื่อหวีดร้องด้วยความตกใจ ในขณะที่เจ้าบ่าวผวาเข้าซ้อนร่างเธอไว้ เป็นห่วงสุดๆ
“อร...อร”
แจ่มจันทร์หึงจัด “เป็นห่วงมันนักก็ไปอยู่ด้วยกันเสียเลย”
ขาดคำ แจ่มจันทร์ยิงใส่เจ้าบ่าวอีกนัด ร่างเขาฟุบลงไป ท่ามกลางแขกที่พากันหวีดร้องตะลึงตะไล และแตกตื่นหนีตายไปคนละทาง
โดยไม่มีใครคาดคิด แจ่มจันทร์ใช้ปืนกระบอกเดียวกันนั้นจ่อศีรษะยิงตัวเองตายตาม
ท่ามกลางเสียงหวีดร้องอีกระลอก ด้วยความตกใจและความ โกลาหลสุดๆ

เสียงของเจคร้องดังขึ้น “คัท”
ที่แท้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงฉากหนึ่งในการถ่ายทำละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่ง
สิเรมอร ที่รับบทโดย พุธกันยา และ ขวัญอนงค์ ที่แสดง เป็น แจ่มจันทร์ ลุกขึ้น ขณะที่เจคเดินเข้ามาพร้อมปรบมือชื่นชม
“ดีมากครับ...ดีมาก”
ที่แท้ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงฉากหนึ่งในการถ่ายทำละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่ง
บรรดาตัวประกอบ และทีมงานต่างปรบมือชื่นชม พระเอก และ ขวัญอนงค์คุยกับทีมงานยิ้มแย้มแจ่มใส
“กัลยา” เจคออกเสียงชื่อ กัน-ละ-ยา อันเป็นชื่อเดิมของ พุธกันยา ปานรัมภา อย่างชัดเจน “เดี๋ยวไปงานเลี้ยงปิดกล้องด้วยกันนะ”
“ฉันไปไม่ได้ค่ะ ตาศวัสไม่ค่อยสบาย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ”
พุธกันยาเดินกลับเข้าไปข้างในเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว

มีสายตาของเจคมองตามด้วยความน้อยใจ

พุธกันยาเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้ายังไม่ได้ล้างและทรงผมยังไม่เปลี่ยน

เธอรีบเร่งเดินออกมา แล้วตรงไปยังรถ โดยไม่ทันสังเกตว่าที่หน้าโรงแรมบัดนี้เต็มไปด้วยกองทัพนักข่าวจากทุกสำนัก
ทันใดนั้น แสงแฟลชมากมายสว่างวาบขึ้นพร้อมคำถามที่ยิงมาจากนักข่าวโดยไม่ให้พุธกันยาตั้งตัว
นักข่าว 1 ถามนำ “จริงมั้ยค่ะ ที่เขาลือกันว่า คุณพุธกันยา มีครอบครัวแล้ว”
นักข่าว 2 ถามจี้ตาม “หมายถึงมีลูกมีสามีแล้วน่ะครับ”
พุธกันยายืนตกตะลึง ไม่ทันได้ตอบอะไร นักข่าว 3 ถามซักทันที
“จริงหรือเปล่าคะ ประชาชนอยากทราบความจริงค่ะ”
พุธกันยาได้สติรีบเดินแหวกวงล้อมนักข่าวเดินไปที่รถ
นักข่าว 4 ยื่นไมค์ไปถาม “จะรีบไปไหนครับ คุณพุธกันยา”
บรรยากาศโกลาหน นักข่าวคนอื่นๆ ร้องถามเซ็งแซ่ “คุณพุธกันยา” / “คุณพุธกันยา”
พุธกันยารีบแหวกวงล้อมตรงไปที่รถ โดยบรรดานักข่าวตามสัมภาษณ์ไม่ลดละ
“ขอโทษค่ะ ยังไม่สะดวกที่จะตอบนะคะ”
นักข่าวพยายามรุมกันถามด้วยคำถามเดิมๆ อีก
“ยังไม่สะดวกที่จะตอบค่ะ”
พุธกันยาตอบเพียงเท่านั้น แล้วเดินมาถึงรถแล้วไขกุญแจประตูเปิดเข้าไป นักข่าวยังคงไม่ลดละความพยายาม แต่ละคนรัวคำถามถี่ยิบ
พุธกันยารวบรวมสติ สตาร์ตรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
บรรดานักข่าวตะโกนตามไล่หลังด้วยความไม่พอใจ

พุธกันยากลับถึงบ้านตอนค่ำ เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วปิดอย่างรีบร้อน เธอทิ้งตัวพิงประตูแล้วหลับตาลง
ภาพนักข่าวระดมคำถามใส่ไม่ยั้ง โดยใบหน้าแต่ละคนกระเหี้ยนกระหือรือ ดูน่าสยอง ผุดขึ้นมาหลอกหลอน
พุธกันยาปล่อยโฮ ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ ขณะค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นนิ่งขึงอยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ ลุกเดินไปที่เตียง
นางเอกชื่อดังของวงการผู้ปกปิดชีวิตครอบครัวด้วยกลัวแฟนๆ ไม่ยอมรับ พยายามกลั้นก้อนสะอื้น เอื้อมมือไปหยิบยานอนหลับที่หัวเตียง เทใส่มือแล้วกรอกเข้าปาก รินน้ำดื่มตาม ค่อยๆ เอนตัวลงนอนหลับตา
ใบหน้างดงามของพุธกันยายังคงมีน้ำตาไหลออกมาทางปลายตา

เหตุการณ์นั้นผ่านมานานถึง 28 ปีแล้ว ทิ้งเรื่องราวของ พุธกันยา ปานรัมภา ให้กลายเป็นตำนานของวงการบันเทิงไป

เย็นวันนี้ แท็กซี่คันหนึ่งแล่นช้าๆ เข้ามาภายในซอยซึ่งค่อนข้างเงียบ บ้านช่องแต่ละหลังใหญ่โต เพราะมีแต่บ้านเศรษฐี
ภายในรถ สองสาวเพื่อนซี้ หอมน้ำ และ สินีนุช หรือ เขน เด็กฝึกงานของกองถ่ายละคร กำลังไล่สายตาจับจ้องมองบ้านเลขที่ของบ้านแต่ละหลังอย่างใจจดจ่อ
ทั้งคู่ได้รับมอบหมายจาก โค้ก ผู้จัดการกองถ่ายให้มาติดต่อบ้าน เพื่อใช้เป็นโลเกชั่นถ่ายทำละครเรื่อง “เพลิงนารี”
สักพักหนึ่งหอมน้ำร้องบอกแท๊กซี่ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“ถึงแล้ว จอดหลังหน้าขวามือเลยค่ะ”
แท็กซี่แล่นมาจอดตรงหน้าบ้านพุธกันยา เขนเปิดกระเป๋าสะพายใบค่อนข้างใหญ่หยิบซองสีน้ำตาลออกมา
“เดี๋ยวขอดูรูปให้แน่ใจก่อน”
เขนหยิบรูปออกมาจากซองขึ้นมาดูสลับกับมองบ้าน ขณะที่หอมน้ำส่งเงินให้แท็กซี่ตามจำนวนที่ปรากฏ
ในมิเตอร์
เขนดูรูปในมือจนมั่นใจ
“โอเค. ใช่ชัวร์”
2 สาวลงรถแล้วปิดประตู แท็กซี่แล่นวนออกไป
หอมน้ำ และ สินีนุชก้าวเข้ามาที่ประตูบ้านแล้วมองเข้าไป เห็นตัวบ้านค่อนข้างใหญ่โตโอฬาร บ่งบอกฐานะเข้าขั้นเศรษฐีของเจ้าของบ้าน
“เงียบอย่างกับป่าช้าแน่ะ” หอมน้ำว่า
“บ้า ป่าช้าอะไรสวยขนาดนี้” เขนพูดพลางกดกริ่ง
เหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังมองจากทางหน้าต่างข้างบนลงมาที่ 2 สาว
เขนและหอมน้ำชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน หอมน้ำทำหน้าเหมือนรู้สึกตัวว่ากำลังถูกมอง แล้วเงยหน้าขึ้นไป
เธอเห็นหลังไวๆ เป็นด้านหลังของผู้หญิงผมสั้น เสื้อคอปาดสีฟ้าจุดขาวกำลังเดินผละ ไปจากหน้าต่าง
หอมน้ำรีบตะโกนเรียก “คุณ...คุณคะ”
เขนเงยหน้ามองตามอย่างแปลกใจ “แกเรียกใครน่ะหอม”
“ผู้หญิง...สงสัยจะเป็นเจ้าของบ้าน” หอมน้ำตะโกนต่อ “คุณคะ คุณ”
เขนกดกริ่งอีก แต่ทุกอย่างเงียบสนิทไม่มีการตอบรับใดๆ
“ไหนแกว่ามีคนอยู่ไงแล้วทำไมเงียบยังงี้”
“ไม่รู้เหมือนกัน” หอมน้ำยังชะเง้อมองต่อ

ที่บ้านที่รั้วติดกับบ้านพุธกันยา เป็นบ้านของ กนกรัตน์ สาวใหญ่ผู้มีนิสัยสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านเป็นงานอดิเรก เธอมีสาวใช้ ชื่อ วันทนา หน้าตาอายุแก่กว่ากนกรัตน์ผู้เป็นเจ้านายเล็กน้อย และคอยเตือนไม่ให้เจ้านาย สอดรู้สอดเห็น บุคลิกตรงกันข้ามกับเจ้านาย จนน่าจะสลับฐานะกัน
ในขณะที่วันทนากำลังล้างผักจัดใส่จานแก้วอย่างสวยงามอยู่ในครัว กนกส่งเสียงตื่นเต้นดังเข้ามาก่อนตัว
“วันทนา วันเอ๊ย วัน”
วันทนาทำสีหน้าเบื่อหน่าย “เอะอะตึงตังอะไรคะ คุณหนก ไม่น่ารักเลย” เจ้าหล่อนเว้นไปนิด “พูดไปก็ได้เท่านั้น”
“แกไปดูหน่อยซิว่า ใครมาร้องเรียกอยู่หน้าบ้านท่านบุรี”
“ก็ช่างเขาเป็นไรล่ะคะ ไม่เกี่ยวกับคุณหนกหรือวันสักหน่อย”
กนกรัตน์ท้าวสะเอว “นังวันทนา...ฉันสั่งให้แกออกไปดูเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ “อย่างว่า” มันจะชิงตัดหน้าแก”
“เอาอีกแล้ว วันบอกไม่รู้กี่หนแล้วว่า ผี เอ๊ย! “อย่างว่า” ของคุณน่ะไม่มีจริง เฮ้อ...พูดไปก็ได้เท่านั้น”

วันทนาเอือมผู้เป็นนายเหลือหลาย

ผู้หญิงที่เห็นตรงหน้าต่างชั้นบนกำลังมองลงมาโดยสองสาวไม่ทันเห็น เขนหันมาทางหอมน้ำด้วยสีหน้าตัดสินใจ

“เอางี้ ในเมื่อไม่มีใครอยู่ เราก็ถ่ายเป็นคลิปส่งให้พี่โค้กดูก่อน ถ้าเขาไม่โอเค เราจะได้กลับไม่ต้องรอให้เสียเวลา”
หอมน้ำท้วง “เฮ้ย จะดีเหรอ”
เขนมั่นอกมั่นใจ “ดีแน่นอน เพราะฉันหิวข้าวจะแย่อยู่แล้ว...ตอนเที่ยงกินซาลาเปาไป 5 ลูกเอง”
เขนพูดพลางเอานิ้วแตะหน้าจอโทรศัพท์ถ่ายภายนอก ในขณะที่หอมน้ำมีสีหน้าไม่สบายใจ หันหน้า
ออกนอกถนนชะเง้อมองไปโดยรอบอย่างกังวล
เขนจะสอดแขนเข้าไปถ่ายข้างใน แต่แล้วก็ทำหน้าเซ็งๆ เมื่อมือป้อมๆ ของเจ้าหล่อนติดแหง็กเข้าไปไม่ได้
“หอม! มานี่หน่อย”
หอมน้ำพูดโดยยังไม่หันมา “อะไร”
“เออน่า บอกให้มาก็มา”
หอมน้ำเดินมาที่เพื่อนตรงข้างรั้ว
“แกช่วยเอามือสอดเข้าไปถ่ายข้างในให้หน่อย รั้วมันถี่มือฉันเข้าไปไม่ได้”
“รั้วมันถี่หรือว่าแขนแกใหญ่กันแน่ เอาโทรศัพท์มา”
เขนค้อนขวับ แต่ก็ส่งให้โดยดี

หอมน้ำปีนขอบล่างของประตูอัลลอย แล้วสอดแขนยื่นเข้าไปถ่าย
“นี่ มันต้องแขนอันเรียวงามของฉันนี่”
“แขนอันเรียวงาม เพี้ยง ขอให้ติดแหง็กทีเทิ้ด” เขนหมั่นไส้
ขณะที่ทั้งสองถกเถียงกันนั้น รถเก๋งคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาแล้วแล่นตรงมาเรื่อยๆ
“ข้างในสวยมากเลยเขน เจ้าของบ้านคงรวยพิลึก” หอมน้ำถ่ายไปเรื่อย
“รวยแล้วพิลึกอย่ารวยดีกว่า...”
เขนยังพูดไม่ทันขาดคำ เสียงแตรรถดังขึ้นถี่ๆ คล้ายผู้เป็นเจ้าของรถไม่พอใจ
สองสาวสะดุ้งเฮือกหันขวับมามองพร้อมกัน พบว่ารถคันนั้นจอดหน้าบ้าน คนขับมองตรงมาอย่างเอาเรื่อง
หอมน้ำพยายามจะดึงแขนออก แต่แขนดันติดออกมาไม่ได้
เขนเรียกเสียงสั่น ตามองรถขณะพูด “ไอ้หอม พอได้แล้วเจ้าของบ้านเค้ามา”
หอมน้ำเสียงสั่นพอกัน “รู้แล้ว ฉันดึงแขนไม่ออก” เธอเริ่มหงุดหงิดกับเสียงแตรที่ดังขึ้นอีก “เฮ้ย จะบีบหาอะไรเฮอะ”
เขนเสียงยังสั่น “ไหน ไหนแกว่าแขนแกเรียวงามไง”
หอมน้ำพยายามดึง “ไม่รู้เหมือนกัน มันเหมือนมีใครดึงไว้”
หอมพยายามดึงมือออกขณะมองเข้าไป แล้วต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อสายตามองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวในยุค 2520 -2521 กำลังดึงแขนหอมน้ำไว้ แต่เห็นหน้าไม่ชัด
หอมน้ำร้องลั่น กระชากแขนออกเต็มแรง จนเสียหลักตกลงมากลิ้งไปหัวกระแทกพื้นร้องลั่น ชุดกระโปรงเธอเปิดเผยให้เห็นกางเกงขาสั้นที่สวมซ้อนข้างใน โทรศัพท์ตกจากมือกระเด็นไป
ท่ามกลางความตกใจของเขน ศวัส ชายหนุ่มรูปงามเจ้าของรถเปิดประตูก้าวตรงมาอย่างหงุดหงิด
“หอม”
ศวัส เปิดฉากฉะทันที “จับได้คาหนังคาเขาเลย เป็นเด็กเป็นเล็กหัดเป็นขโมย แต่งชุดนักศึกษาเสียด้วย มิน่าถึงไม่มีใครสงสัย”
หอมน้ำยังคงอยู่ในท่าเดิม หลับตานิ่วหน้าด้วยอาการมึนๆ เพราะหัวโดนพื้น ขณะที่เขนเบิกตากว้าง ตะลึงตะไล มองศวัสงงๆ ทำอะไรไม่ถูก
“นี่ ลุกขึ้นมาได้แล้ว นอนเปิดกระโปรงอ้าซ่าอยู่ได้” ศวัสบอก
หอมน้ำลืมตาขึ้น หน้ายังเหวอๆ มึนงง
เขนร้องบอกเพื่อน “ไอ้หอม หุบ”
หอมน้ำมองเพื่อนงงๆ “หุบอะไร”
ศวัสก้าวมายืนเหนือศีรษะหอมชี้มือ “กระโปรงเปิด ไม่รู้สึกเย็นบ้างหรือไง” สีหน้าแววตาเรียบเฉยเป็นที่สุด
หอมน้ำสะดุ้งผงกหัวขึ้นมองแล้วรีบปิดกระโปรงผุดลุกขึ้นนั่ง หน้าแดงจัดด้วยความอับอายขายขี้หน้า ก่อนจะเงยหน้ามองเขนสลับมองศวัสอ้าปากจะพูดแต่พูดไม่ออก
เขนรีบเข้าประคองให้หอมน้ำลุกขึ้นและพยายามปลอบ แต่ยิ่งไปกันใหญ่
“ไม่เป็นไร เปิดแค่ 2 นาทีเองมั้ง”
หอมน้ำส่ายหน้าปล่อยโฮ “2 นาที โอ๊ย! ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
เสียงร้องของหอมน้ำทำให้กนกรัตน์รีบตาลีตาลานมาแอบดูที่รั้วในบ้านตัวเอง
“เอาไว้อย่างเดิมนั่นแหละ” เขนรีบเรียกเมื่อเห็นศวัสหันหลังกลับจะขึ้นรถ “เดี๋ยว เฮียคะ”
ศวัสหันกลับมาสีหน้าเย็นชา เสียงขุ่นกว่าเก่า “ใครเฮีย”
“ขอโทษค่ะ พี่คะ นี่เพื่อนหนูค่ะ ชื่อหอมน้ำ”
ศวัสมองหอมน้ำนิ่งๆ
“โอ๊ยไปบอกเขาทำมาย...ย..ย” หอมน้ำเจ็บปวด ระคนอับอายสุดๆ
“ส่วนหนูชื่อ สินีนุช เรา 2 คนมาจากบริษัท...”
ศวัสสวนออกมาโดยไม่แยแส “บริษัทอะไรผมก็ไม่สน มาทางไหนก็ไปทางนั้นอย่ามาเกะกะแถวนี้”
ศวัสกลับขึ้นรถ แต่ยังอุตส่าห์กดกระจกลงยื่นหน้าหล่อๆ มาบอกว่า
“ถ้าไม่กลับไปดีๆ จะให้ตำรวจมาจัดการ”
จากนั้นศวัสขับรถเข้าบ้านไป
หอมน้ำร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ และอับอายที่ประดังขึ้นมา
เสียงกนกรัตน์ดังเข้ามา “หนู...หนู....”
สองสาวหันไปมอง หอมน้ำยังสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น
กนกรัตน์ยิ้มเป็นนัย อยากรู้อยากเห็นสุดๆ “หนูมีอะไรกับคุณหมอเหรอ ถึงได้มาร้องห่มร้องไห้”
สองสาวเหวอ อุทานลั่น “คุณหมอ”
“อาเฮียนั่นเขาเป็นคุณหมอหรือคะ” เขนไม่อยากเชื่อ
“ก็ใช่น่ะสิ! เขาเป็นหมอฟันทันตแพทย์ ไม่รู้จักกันหรอกเรอะ”
“ไม่ค่ะ คือ เรามาติดต่อขออนุญาตถ่ายละครที่บ้านอาเฮีย...เอ๊ย! คุณหมอน่ะค่ะ”
กนกรัตน์เบิกตากว้าง “ถ่ายละคร”

น้ำเสียง ตลอดจนท่าทางของติ่งดาราตัวแม่ตื่นเต้นเป็นที่สุด

สองสาวพากันมาอยู่ในห้องรับแขกตามคำชวนของเจ้าบ้าน

สักครู่วันทนาเอาน้ำหวานมาวางตรงหน้า 2 สาว แล้วถอยออกมายืนกอดอกคอยคุมเชิงผู้เป็นนาย
เขนยกขึ้นดื่มอึกเดียวหมด ขณะที่หอมน้ำรับทิชชู่มาสั่งน้ำมูกดังครืด วันทนาทำหน้าตาท่าทางขยะแขยง
“แหม ทีแรกคุณหนกน่ะนึกว่าหนูมีอะไรกับคุณหมอแล้วมาร้องไห้ ร้องห่มให้รับผิดชอบเสียอีก” กนกรัตน์เปิดฉากสาระแน
หอมน้ำและเขนสะดุ้งเฮือก
“ไหนเมื่อกี๊บอกว่าจะมาถ่ายละครใช่ไหม ละครเรื่องอะไร”
“เพลิงนารีค่ะ” เขนบอก
กนกรัตน์ถามต่อทันที “ใครนำแสดง”
“แจ็ค ธันวา กับ ลูกนัท ณัชชา ค่ะ” เขนบอก
กนกรัตน์ตบเข่าดังฉาด “ว้าย! คู่จิ้น”
วันทนาส่งเสียงปราม “คุณหนกขา”
กนกรัตน์ไม่นำพา “แล้วมีใครอีก”
วันทนาทำหน้าเซ็ง “พูดไปก็ไอ้เท่านั้น”
“หนูจำไม่ค่อยได้ค่ะ” เขนว่า
หอมน้ำเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยขึ้น “กลับกันเถอะเขน จะได้บอกพี่โค้กให้เขาไปหาบ้านหลังใหม่”
กนกรัตน์แปลกใจ “คุณหมอเขาไม่อนุญาตเรอะ”
สองสาวประสานเสียง “ค่ะ”
กนกรัตน์เอ่ยขึ้น “คุณหนกมีวิธี”
สองสาวมีท่าทางตื่นเต้น และมีความหวังเพิ่มขึ้น
วันทนาปรามอีก “คุณหนกขา”
กนกรัตน์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ลูกไม่ให้ ก็ขอพ่อซิ”
วันทนายิ่งเซ็งผู้เป็นนาย “พูดไปก็ไอ้เท่านั้น”

หอมน้ำกับสินีนุชกลับมาถึงคอนโดฯ ที่พักนักศึกษาไม่ไกลจากมหา’ลัย ในตอนค่ำ เห็นนักศึกษาที่อาศัยอยู่ในคอนโดฯนั้น เดินสวนไปมา อีกหลายคนอยู่ในอิริยาบถพักผ่อนตามจริตใครมัน
หอมน้ำแยกจากเพื่อนเปิดประตูเข้ามาในห้อง ด้วยท่าทีเหนื่อยล้าปนเซ็ง วางกระเป๋าใบใหญ่ลงบนโต๊ะ
แล้วเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำดื่ม ก่อนจะเดินมานั่งวางแก้วน้ำลง หลับตาเอนศีรษะพิงพนักครู่หนึ่งแล้วลืมตาขึ้นอย่างนึกได้
หอมน้ำจัดแจงเปิดค้นกระเป๋า หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เลื่อนไปที่ชื่อๆ หนึ่ง จ้องเขม็งที่หน้าจอ “พลเรือตรี บุรี จินต์ไท” ด้วยสีหน้าครุ่นคิดตริตรองถึงเรื่องเมื่อตอนเย็น

เวลานั้นกนกรัตน์บอกด้วยท่าทีกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ขณะยื่นหน้าเข้ามาใกล้หอมน้ำ
“เจ้าของบ้านเขาชื่อพลเรือตรี บุรี จินต์ไท คุยง่ายใจดีกว่าลูกชายเยอะคุณหนกยังชอบเลย”
วันทนากระแอมเตือนด้วยสีหน้าเคร่งเป็นเชิงเตือน
กนกรัตน์ไม่สน “คุณหนกมีเบอร์ เมมเอาไว้เลย ศูนย์แปดหนึ่ง...”
วันทนาเสียงเข้มขึ้น “คุณหนกขา”
“วันทนา ฟังไม่ได้ก็ออกไปจ้ะ” กนกรัตน์ชักหงุดหงิด
“หนูเป็นเด็กอยู่ดีๆ โทร.หาผู้ใหญ่ขนาดนั้นจะดีหรือคะ” หอมน้ำท้วง
กนกรัตน์ท้วง “แล้วเธอมีวิธีอื่นหรือจ๊ะ ถ้าจะเข้าไปพบ หากผ่านด่านลูกชายไปได้ก็ต้องเจอด่านแม่บ้าน ซึ่งคุณหนกเชื่อว่าต้องสืบเชื้อสายมาจากพวกผีดิบแวมไพร์ หรือไม่ก็ซอมบี้”
หอมน้ำหันมาทางสินีนุช “เอาไงเขน”

คิดขึ้นมาแล้วหอมน้ำถอนใจเฮือก สีหน้ายังดูลังเลชัดแจ้ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงสินีนุช
“หอม นอนยัง”
หอมน้ำวางโทรศัพท์แล้วเดินไปเปิดประตู เขนซึ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงนอนเรียบร้อยแล้ว
“อ้าว! ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ”
หอมน้ำยักไหล่แล้วเดินมาทิ้งตัวลงนั่ง “กำลังคิดว่าจะโทร.ถึงเจ้าของบ้านนั้นดีหรือไม่ดี”
“นั่นซิ” เขนเดินไปเปิดตู้เย็นหอมหาของกินแล้วหยิบเดินมานั่ง
หอมน้ำขยับตัว “ให้พี่โค้กจัดการดีกว่าเขน แกส่งคลิปบ้านนั้นไปให้พี่โค้กดูสิ”
เขนควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“โชคดีนะเนี่ยที่โทรศัพท์ไม่เสีย”
สินีนุชจัดการส่งคลิปไปทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น แท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดห่างบ้านศวัสเล็กน้อย หอมน้ำและเขนเปิดประตูก้าวลงมา
หอมน้ำมองไปที่หน้าบ้านแล้วเม้มปาก ภาพตอนตัวเองตกจากรั้วนอนกระโปรงเปิดอ้าซ่าผุดขึ้นมาหลอกหลอน
หอมน้ำยืนนิ่งอยู่กับที่ ขณะเขนด้อมๆ มองๆ ไปที่รั้ว
ส่วนเขนมองลอดรั้วเข้าไปสำรวจ “เฮ้ย รถคุณหมอฟันทันตแพทย์ยังอยู่เลย 9 โมงกว่าแล้วยังไม่ไปทำงานอีก”
“หน้าโหดๆ แบบนั้นน่าจะเป็นพนักงานทวงหนี้มากกว่า”
หอมน้ำพูดยังไม่ทันขาดคำ ประตูบ้านค่อยๆ เลื่อนเปิดออก เขนถอยออกมาเล็กน้อย ศวัสขับรถออกมา เขนรีบไหว้อย่างนอบน้อม ขณะที่หอมน้ำทำเป็นมองไม่เห็น ด้วยยังรู้สึกอายจากเหตุการณ์กระโปรงเปิด
ศวัสหยุดรถทันทีเมื่อเห็น สองสาว แล้วเปิดประตูก้าวลงมาสีหน้าไม่พอใจ
“มากันอีกแล้วเหรอ”
เขนรีบไหว้อีกครั้งและยิ้มอย่างผูกไมตรี “สวัสดีค่ะ คือเมื่อวานยังแนะนำตัวไม่เสร็จ หนูชื่อนางสาวสินีนุช วงศ์เกล้า แล้วนี่เพื่อนหนู ชื่อนางสาวหอมน้ำ เรามาจากบริษัท...”
ศวัสสวนตามเคย “ไม่ได้อยากรู้”
เขนชักจ๋อยลง หันมาพยักพเยิดสะกิดหอมกระซิบขอความช่วยเหลือ “น่าหอม...เรื่องส่วนรวมย่อมสำคัญกว่าเรื่องส่วนตัว”
“พวกคุณมาบ้านผมทำไม มาขายของหรือว่ามาหาใคร”
หอมน้ำพยายามกล้ำกลืนความอาย
“เปล่าค่ะ เราไม่ได้มาขายของแล้วก็ไม่ได้มาหาใคร แต่มาขออนุญาตถ่ายละครที่บ้านเฮีย เอ๊ย บ้านพี่...คือว่าบ้านพี่สวยดี” เธอพูดโดยไม่สบตาทันตแพทย์ขี้เก๊ก “แล้วก็ไม่ได้มาหาใคร”
ศวัสนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมาแว่บหนึ่งตรง “เรามาขออนุญาตถ่ายละคร” และตอบทันทีว่า “ไม่อนุญาต”
หอมน้ำพยายามโน้มน้าวต่อ “มีคู่จิ้น แจ๊ค ธันวา กับ ลูกนัท ณัชชา แสดงด้วยนะคะ คู่นี้ฟินสุดๆ”
เขนรีบพยักพเยิดสนับสนุน
“ไม่ได้บ้าดารา” ศวัสบอกเสียงเรียบ
สองสาวอ้าปากจะเกลี้ยกล่อมต่อแต่ศวัสพูดต่อทันที
“คุณกลับไปได้ เพราะยังไงๆ ผมก็ไม่มีวันอนุญาต เย็นนี้ผมกลับมา อย่าให้เห็นหน้าอีก”
ศวัสขึ้นรถ ขับออกไปค่อนข้างเร็ว
สองสาวชะเง้อมองตาม
“มิน่า บ้านนี้ไม่ต้องเลี้ยงน้องหมา” เขนเซ็งโครตๆ
หอมน้ำหันมามอง เขนเสริมอีกว่า
“เจ้าของบ้านดุซะขนาดนี้”
สองสาวหัวเราะกันคิกคัก มองไปเห็นรถเก๋งของเจคเลี้ยวเข้าซอยมาพอดี ในนั้น มีโค้ก ผู้จัดการกองถ่าย มาด้วย

“พี่โค้กมาแล้ว ไม่เห็นจะต้องง้ออาเฮียเลย”

อ่านต่อหน้า 2

ใยกัลยา ตอนที่ 1 (ต่อ)

อาคารรูปทรงทันสมัยของโรงพยาบาลแห่งนี้ ภายนอกดูโอ่อ่าใหญ่โต ส่วนภายใน โดยเฉพาะล็อบบี้ตกแต่งอย่างทันสมัย ราวกับเป็นโรงแรมกระนั้น มีคนไข้และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเดินทำภารกิจของตนไปมา บ้างนั่งคอย บ้างคุยกัน บ้างอ่านหนังสือเงียบๆ

ส่วนที่แผนกทันตกรรมของโรงพยาบาล มีคนไข้เด็กและผู้ใหญ่มารอ 4-5 คน ทุกคนอยู่ในอิริยาบถต่างๆ กันไป พวกเด็กๆ ร้องโยเยจะกลับบ้าน ส่วนพ่อแม่หลอกล่อตามประสา โดยคนอื่นๆ ในบริเวณนั้นเมียงๆ มองๆ พร้อมกับแอบ
ซุบซิบกัน
คนไข้ 1เปิดประเด็นว่าใช่ดาราไหม “ใช่ขวัญอนงค์หรือเปล่า”
คนไข้ 2 ว่า “น่าจะนะ อายุเยอะแล้วยังสวยจัง”
คนไข้อื่นๆ ก็ซุบซิบกันไปขณะผู้ถูกซุบซิบถึง กำลังอ่านหนังสือเงียบๆ
“คุณหมอมาแล้วค่ะ” เสียงพยาบาลขานชื่อคนไข้ดังขึ้น
ขวัญอนงค์ และทุกคนมองไป เห็นหมอศวัสเดินตรงมาที่แผนก ขวัญอนงค์มองเขาอย่างกระตือรือร้น
ศวัสทักคนไข้เด็กที่มาทำฟันประจำ โดยเด็กเบือนหนีร้องไห้จ้า เพราะเด็กกลัวหมอฟัน พ่อแม่เด็ก
หัวเราะแล้วปลอบโยน ขณะศวัสจับศีรษะเด็กเอ็นดูแล้วเดินเข้าห้องตรวจไป
พยาบาลเรียกขึ้นมาว่า “เชิญคุณขวัญอนงค์ค่ะ”

ท่านนายพลบุรีเอนพิงพนักโซฟาในห้องรับแขกอย่างอารมณ์ดี บนโต๊ะตรงหน้าท่านมีน้ำเปล่า และผลไม้จัดวางในจานแก้วสวยงามพร้อมทาน ด้วยฝีมือ แจ่ม สาวใช้ วางรับรองแขกอยู่
ในขณะที่เจคซึ่งถึงแม้จะมีท่าทีของคนที่รู้จักคุ้นเคยกับบุรีมาก่อน แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างลึกๆ ข้างใน กินใจชายสูงวัยสองคนนี้อยู่
“นานทีเดียวที่ไม่ได้พบกัน” บุรีเยื้อนยิ้ม
“ครับ นานมาก ตั้งแต่...” เจคชะงักไปนิดหนึ่ง “กัลยาเสีย”
โค้ก หอมน้ำ และสินีนุช ต่างมองทั้ง 2 คน เงียบๆ แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
บุรีพยักหน้ารับ แววตาหมองลงเห็นถนัด “ยี่สิบแปดปี ตอนนั้นตาศวัส 3 ขวบ ตอนนี้ 31 แล้ว”
เจคประหลาดใจ “ตาศวัสน่ะหรือครับอายุ 31 แล้ว เฮ้อ...แล้วเราจะไม่แก่ได้ยังไง”
เขนสบตากับหอมน้ำพลางยักคิ้วนิดๆ ขณะที่เจคและบุรีพูดถึงศวัสพลางกระซิบเบาๆ
“สงสัยเฮียดุเขาชื่อตาศวัส”
หอมน้ำพยักหน้าหงึกหงัก พลางส่งเสียงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “อายุ 31 แก่เวอร์เลย”
เขนเอาศอกกระทุ้งเพื่อน ขณะที่คนอื่นๆ มองมาเป็นตาเดียว
หอมน้ำเลยยิ้มแห้งๆ “ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ เสียงมันออกมาเอง”
เขนช่วยแก้ตัวให้ “เพื่อนหนูเค้าเวิ่นเว้อแบบนี้แหละค่ะ”
หอมน้ำสะดุ้ง เจอสายตาทุกคู่ที่มองมายิ่งทำให้เหวอ เลยเรียกสติตัวช่วยเสียงอ่อยๆ
“เขน...”
สินีนุชนึกได้รีบพูดใหม่ “คือเขนหมายความว่า ถ้าหากหอมเขามีสติ เขาจะ จะเลิศล้ำเลอค่ามากเลยค่ะ”
เจคแดกดัน “แล้วเขาเวิ่นเว้อ หรือมีสติมากกว่ากันล่ะ”
“คือ...”
เห็นเขนอึกอักหอมน้ำรีบพูดว่า “มีสติค่ะ หอมเป็นคนมีสติ”
ทุกคนพยักหน้า โดยโค้กยิ้มให้กำลังใจ

บุรีและเจคเดินคุยกันออกนอกประตูไปยังหน้าตึก โดยมีโค้กเดินเยื้องไปข้างหลังเล็กน้อย หอมน้ำและเขนเดินตามห่างออกไป
เหมือนมีลมพัดวูบมาที่หอมน้ำจนผมยาวสลวยและเสื้อผ้าปลิว หญิงสาวหยุดชะงัก เหลียวมองโดยรอบ
ลมหายใจของหอมน้ำออกมาคล้ายเป็นไอหมอกราวกับอากาศรอบตัวเย็นลงโดยทันทีทันใด หอมน้ำถึงกับห่อตัวยกแขนขึ้นกอดอกด้วยความรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา โดยที่คนอื่นไม่ได้รู้สึกไปด้วย
เขนซึ่งเดินเลยไปแล้ว 2-3 ก้าว หันมามองเพื่อนอย่างแปลกใจ
“หอม เป็นอะไรน่ะ”
หอมน้ำไม่ได้ยินยังคงเหลียวมองรอบๆ ตัว
เขนเรียกเสียงดังขึ้นอีก “เฮ้ย! หอม”
หอมน้ำรู้สึกตัวหันมามองทางเขน ทุกอย่างที่ดูหลอนๆ โดยรอบตัวเมื่อครู่เข้าสู่สภาวะปกติ
“เขน...รู้สึกอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เห็นมีอะไรนี่ ทำไม มีอะไร”
“เปล่า...ไปกันเถอะ”
หอมน้ำดึงแขนเขนเดินออกไป โดยที่เขนยังคงมองเพื่อนด้วยสีหน้างุนงงมากๆ

อาคารสำนักงานรูปทรงปานกลางไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กแห่งนี้ ภายนอกติดป้ายชื่อ “บริษัทสร้างศิลป์ 2000 จำกัด” เป็นบริษัทผลิตหนังละคร มาร่วม 30 ปี
เจคผู้เป็นเจ้าของ และผู้กำกับของบริษัทเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน และปิดลงเบาๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมปนเศร้า
เขาเดินมานั่งที่โต๊ะ เอนตัวลงพิงพนัก สีหน้าเหมือนทบทวนความทรงจำรำลึก
“กันยา...ผมยังรักคุณเสมอ”
สักพักหนึ่ง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
เจคตื่นจากภวังค์ ร้องถามออกไป “ใคร”
เสียงดังเข้ามาว่า “พิไลค่ะ”
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก เห็นพิไลเข้ามาพร้อมถาดวางแก้วน้ำเปล่า น้ำผลไม้ เค้กลูกพรุน
“เค้กลูกพรุนเพื่อสุขภาพค่ะ พอดีพิไลไปเจอเจ้าอร่อย”
“ขอบใจ”
พิไลพึมพำรับคำเบาๆ แล้วเดินกลับไปที่ประตู ขยับจะเปิดออก แต่นึกได้หันกลับมานัยน์ตาเป็นประกาย ตื่นเต้นดีใจ

“คุณเจคคะ”

เจคซึ่งกำลังเปิดซองหยิบภาพบ้านศวัสออกมาดู เงยหน้าขึ้นมอง
“พิไลได้ยินพวกในกองถ่ายเขาพูดกันว่า จะไปถ่ายละครบ้านคุณพุธกันยา หรือคะ”
“ใช่ ใครบอกล่ะ”
“คุณลักษณาค่ะ เห็นบอกว่ามาจากคุณโค้ก โอ๊ย! พิไลตื่นเต้นดีใจจังเลย ถึงตัวแกจะไม่อยู่แล้วแค่ได้ไปเห็นบ้านก็ยังดี พิไลน่ะช๊อบ ชอบ”
“พิไล”
“ขา”
“ออกไปได้แล้ว”
“ค่ะ”
พิไลเปิดประตูออกไปแบบหน้าจ๋อยๆ
เจคส่ายหน้า ก้มลงดูภาพบ้านต่อ

ภายในห้องอาหาร พ่อลูกทานมื้อค่ำด้วยกัน มีแจ่มคอยดูแลอยู่ ศวัสซึ่งกำลังจะตักข้าวเข้าปากชะงัก เงยหน้ามองพ่อ
“คุณพ่ออนุญาตหรือครับ”
“ก็ทำไมจะไม่อนุญาตเล่า” บุรีว่า
“เพราะคุณพ่อไม่ชอบความวุ่นวาย แล้วเรื่องถ่ายละครนี่ ถึงผมจะไม่คุ้นเคย แต่ก็พอจะนึกภาพออกว่า มันต้องวุ่นวายสุดๆ บ้านเราจะมีแต่คนแปลกหน้าเดินไปเดินมา มีแต่เสียงดังเอะอะโครมคราม บ้านช่องจะสกปรกเลอะเทอะไม่เป็นระเบียบ เราจะไม่มีความเป็นส่วนตัว”
ระหว่างนี้ที่ตรงประตู มีร่างเยาว์ยืนหลบฟังเงียบๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา
“เขาไม่ได้ไร้อารยะธรรมถึงขนาดนั้นหรอกน่า”
ศวัสขยับจะพูดอีก
บุรีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พ่ออยากเห็นบรรยากาศอย่างนั้นกลับคืนมาอีก”
ศวัสพิศวง “คุณพ่อ”
บุรีรวบช้อนส้อมและลุกขึ้น
เยาว์รีบหลบไปก่อน ขณะที่บุรีเดินออกมา ศวัสถอนใจ เอนหลังพิงพนัก
“คุณหมออิ่มแล้วใช่มั้ยคะ” แจ่มถาม
ศวัสมองเขม็งจนแจ่มต้องหลบตา “ยัง แต่มันกินไม่ลง”
ศวัสขยับตัว แจ่มถามต่อ โดยไม่รู้เรื่อง
“ยัง แต่กินไม่ลง...แปลว่าอะไรคะ”
หมอหนุ่มลุกพรวดขึ้นทันทีจนแจ่มสะดุ้งเฮือก “แปลว่ารำคาญ”
ศวัสเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์

ศวัสเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยสีหน้าอารมณ์หงุดหงิด เขาปิดประตูลงแล้วเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง แต่ก็นิ่งได้ครู่หนึ่งก่อนจะลุกเดินกลับไปกลับมาเหมือนจะดับ อารมณ์อันพลุ่งพล่านในอก
ที่สุดศวัสกลับไปทิ้งตัวบนเตียงอีกครั้ง แล้วเอนลงนอนก่ายหน้าผาก
ในใบหน้าหล่อคมของศวัส ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะรำลึกด้วยภาพเหตุการณ์ในอดีต

ภายห้องรับแขกวันนั้น เด็กชายศวัสในวัย 3 ขวบ กำลังเล่นอยู่กับเยาวภาซึ่งทำหน้าที่พี่เลี้ยง ที่ศวัสกำลังเพลินๆ
พุธกันยาเดินเร็วรี่เข้ามา ด้วยสีหน้าทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว
สองคนเงยหน้ามอง เยาวภามีท่าทีประหลาดใจ ส่วนเด็กชายยิ้มไร้เดียงสาอย่างดีใจที่เห็นแม่
“แม่”
พุธกันยาเดินแกมวิ่งขึ้นบันไดไป โดยไม่หันมามองลูก เด็กชายศวัสเบะปากจะร้องไห้

ศวัสหลับตาลงเมื่อนึกถึงภาพนั้น ใบหน้าของเขามีน้ำตาซึมออกมา หมอหนุ่มจมอยู่กับความเศร้านั้นพักหนึ่ง

ฝ่ายบุรียืนอยู่ที่ระเบียงห้องทอดสายตามองไปข้างหน้า เศร้าลึก คิดถึงอาลัยอาวรณ์ต่อพุธกันยา สักพักหนึ่ง แล้วมีเสียงศวัสเคาะประตู และส่งเสียงเข้ามาว่า
“ผมเข้าไปได้ไหมครับคุณพ่อ”
บุรีจมอยู่ในความคิดที่ระเบียง จึงไม่ได้ยิน
ศวัสเปิดประตูเข้ามา และกวาดสายตามองหาจนไปเจอบุรีอยู่ที่ระเบียง เขาเดินออกไปหา
“คุณพ่อครับ”
บุรีผินหน้ามามองลูกชายแวบหนึ่ง “ถ้าจะมาพูดให้พ่อเปลี่ยนใจล่ะก็”
“เปล่าครับ...ผมแค่ไม่อยากให้คุณพ่อต้องกลับไปอยู่ในวังวนของอดีตอีก คนเราควรจะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน”
“พ่อไม่มีวันลืมแม่ ไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว การที่บริษัทคุณเจคมาถ่ายละครนี่ ก็เหมือนกับพ่อได้ใกล้ชิดเขาอีกครั้ง”
ศวัสนิ่งงันไป
“ตอนนั้นแกยังเล็กมาก คงจำไม่ได้ว่าแม่เป็นดาราในสังกัดบริษัทนี้”
ศวัสหน้าขรึมลง ทำภาพซ้อนในฉาก18 แว่บเข้ามาในห้วงความคิด
บุรีขยับตัว เปลี่ยนบรรยากาศให้ดีขึ้น “พ่อบอกเขาไปแล้วว่าส่วนไหนของบ้านที่ถ่ายได้ ส่วนไหนถ่ายไม่ได้ เพราะฉะนั้นแกไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมารุกล้ำความเป็นส่วนตัวของแก”
“ขอบคุณครับ”

ศวัสเดินออกไปเงียบๆ บุรีมองตามแล้วเบือนหน้ากลับไปมองข้างหน้าอย่างเดิม

เช้าวันนี้ บรรยากาศบริเวณสนามหญ้า และสวนสวยหน้าบ้านศวัสเต็มไปด้วยความคึกคัก เนื่องจากเป็นวันเปิดกล้องละคร เพลิงนารี

แจ๊ค ธันวา พระเอก และ ลูกนัท ณัชชา นางเอก ขวัญและเพลิน และตัวประกอบอื่นๆ รวมทั้งเจค กำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวที่แห่กันมาทำข่าวมากมายหลายสำนัก
ทีมงานหน้าที่อื่นๆ ในกองถ่ายประจำที่ อุมาและผู้ช่วยรวมทั้งช่างหน้าช่างผมออกมาบริการที่ซุ้มอาหาร ซึ่งจัดอาหารน่ากินคอยบริการเต็มที่
ธันวา และ ณัชชา กำลังให้สัมภาษณ์อยู่
นักข่าว 1 ยิงคำถาม “หนักใจกับบท drama หนักๆ ในเรื่องนี้ไหมคะ”
“นิดหน่อยค่ะ เพราะเป็นบทที่ลูกนัทยังไม่เคยเล่น แต่ลูกนัททำการบ้านมาเป็นอย่างดี ก็ขอให้คนดูแล้วก็พี่ๆ นักข่าวเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ” ณัชชายิ้มแย้ม
“รู้สึกยังไงกับกระแสคู่จิ้นลูกนัทธันวาครับ” นักข่าวอีกคนถาม
ธันวาพูดกลั้วหัวเราะร่าเริงสบายใจ “ฟินครับ” เขาหันมาทำตาเจ้าชู้ใส่ลูกนัท “ใช่มั้ยคะ ลูกนัท”
“ไม่เลยค่ะ”
นักข่าวเฮ ธันวาหน้าเสียนิดหนึ่ง แล้วพลอยเฮไปด้วย
ตรงมุมโต๊ะอาหาร ลักษณาเดินมาที่กลุ่มพิไล หน้าตาร้อนอกร้อนใจ
“มีใครเห็นน้องเอิงบ้าง”
ทุกคนพากันส่ายหน้า
“ไม่เห็นจ้ะ” พิไลบอก
ทับทิมทำหน้าทำตาประหลับประเหลือก “ยังไม่ตื่นมั้ง แค่วันแรกก็เบี้ยวแล้ว เฮอะ ถือว่าเป็นหลาน บก.ใหญ่...”
อุมารีบอุดปากทับทิมก่อนจะพูดจบ “เหม่...เหม่...เหม่...นังทับ เดี๋ยวความทราบถึงนางละก็ แกถึงไร้ญาติขาดมิตรเลยนะยะ”
ทับทิมดึงมืออุมาจนหลุดจากปาก “กลัวเมื่อไหร่ล่ะ ทับมีคุณเจคเป็นแบ็ค”
“แบ็คก็แบ็คเถอะแก”
ขณะนั้นขวัญอนงค์เดินตรงมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
พิไลยิ้มทัก “คุณขวัญจะรับประทานอะไรคะ กระเพาะปลาหรือว่าก๋วยจั๊บ”
“กระเพาะปลาจ้ะ”
พิไลตักกระเพาะปลาขณะที่ทับทิมและอุมาจี๋จ๋าชวนคุย
ขวัญอนงค์ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่นัยน์ตาคอยมองไปที่ตัวบ้านเป็นระยะโดยไม่มีใครทันสังเกต

บริเวณหลังบ้านศวัสเป็นสวนสวย สงบร่มรื่น ด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยซึ่งปลูกแต่งอย่างเป็นระเบียบ
หอมน้ำเดินนำสินีนุชเข้ามาบริเวณนั้น
“เฮ้ย กลับออกไปเถอะหอม เดี๋ยวเจ้าของบ้านเขาจะว่าเอาว่าละลาบละล้วง”
“ไม่ว่าหรอกน่า เราไม่ได้เข้าไปในบ้านสักหน่อย” หอมน้ำหยุดเดิน สีหน้าแววตาแจ่มใสเหมือนเห็นของถูกใจทันที “นั่นไง เจอแล้ว อุตส่าห์เดินตามกลิ่นมา”
หอมน้ำพูดพลางเดินไปที่กอดอกพุดซ้อน ซึ่งกำลังออกดอกสะพรั่ง แล้วก้มลงดม
“ฮื้อ...หอมจังเลย”
เสียงขุ่นเขียวของเยาวภาดังขึ้นมา “ใครอนุญาตให้เข้ามาที่นี่”
สองคนสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมอง เห็นเยาวภายืนมองมาด้วยสีหน้านิ่ง เรียบเฉยเหมือนสวมหน้ากาก
“ออกไป”
หอมน้ำรีบยกมือไหว้ “ขอโทษค่ะ คือพวกหนู...”
เยาว์สวนออกมา “ออกไป”
เขนพึมพำ “ออกก็ได้...ไป...หอม”
สองสาวหันหลังจะเดินออกไป ในขณะที่บุรีเดินออกมาจากประตูพอดี
“อะไรกัน เยาว์”
สองสาวหยุดเดิน ค่อยๆ หันกลับมาใหม่
“แม่ 2 คนนี่ซิคะ เดินทะเร่อทะร่าเข้ามาถึงหลังบ้าน ไม่มีมารยาท” เยาวภาตำหนิ
เขนเม้มปากไม่พอใจ ขณะที่หอมน้ำก้มหน้าลงเหมือนละอายใจ
บุรีนิ่วหน้าไม่พอใจ “ไปว่าเด็ก เยาว์มีอะไรก็ไปทำเถอะ หนู 2 คนอยู่นี่แหละ”
สองสาวมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่เยาวภาตวัดสายตาเย็นชามาที่ทั้งคู่ แล้วเดินกลับเข้าไป
เขนยกมือไหว้เช่นเดียวกับหอมน้ำ “หนู 2 คนขอประทานโทษค่ะที่ละลาบละล้วงเข้ามาแถวนี้โดยไม่ได้ขออนุญาต”
หอมน้ำจ๋อยสนิท “เป็นความผิดของหนูเองค่ะ พอดีหนูได้กลิ่นดอกพุดซ้อน เลยเดินตามกลิ่นมา คือบ้านหนูที่ต่างจังหวัดปลูกเอาไว้เหมือนกันค่ะ ได้กลิ่นแล้วคิดถึงบ้าน”
บุรีมองมาด้วยความเมตตา “อยากได้ก็ไปเก็บซิ ลุงอนุญาต”
หอมน้ำดีใจ ลังเลแวบหนึ่งแล้วสุดท้ายเปลี่ยนใจ “ขอบพระคุณมากค่ะ แต่หนูว่าให้อยู่กับต้นดีกว่า เก็บไปเดี๋ยวก็เฉา”
บุรียิ้ม “ตามใจ เข้ามาข้างในก่อนไหม”
สองสาวส่ายหน้าและพูดพร้อมกันว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”
“คือ...เราต้องช่วยงานข้างนอก” เขนบอก
“เขากำลังยุ่งกันอยู่ ไม่เป็นไรหรอก”
สองสาวสบตากัน ท่าทีลังเล

บุรีพา สองสาวเดินผ่านบริเวณโถงกลางอันกว้างใหญ่ซึ่งจัดอย่างสวยงามและมีระเบียบภายในบ้าน โดย 2
คน ต่างมองอย่างตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งผ่านตรงบริเวณบันไดจะขึ้นชั้นบน
อะไรอย่างหนึ่งทำให้หอมน้ำเงยหน้าขึ้นมอง เธอชะงัก หยุดยืนนิ่ง
รูปภาพครึ่งตัวขนาดใหญ่ของพุธกันยาติดอยู่ตรงทางขึ้นดูเด่นเป็นสง่า ภาพใบนั้นพุธกันยามอง
ข้ามหัวทุกคนตรงไปข้างหน้า มุมปากยิ้มนิดๆ หน้าเชิดน้อยๆ โดยปลายคางวางอยู่บนหลังมือ เสื้อที่พุธกันยา
สวมเป็นเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม มีตุ้มหูมุกเม็ดเล็กเรียบๆ เป็นเครื่องประดับเพียงอย่างเดียว
ใบหน้าหอมน้ำมองภาพนั้นอย่างพิศวง ด้วยพบว่านัยน์ตาพุธกันยา แวววาวราวกับมีชีวิตขึ้นมา
หอมน้ำสะดุ้ง “อุ๊ย”
บุรีและเขนซึ่งเดินล่วงหน้าไปหันมามอง
“มีอะไรหรือ”
หอมน้ำเพ่งมอง รูปนั้นกลับเป็นปกติดังเดิม
หญิงสาวลอบผ่อนลมหายใจ “เปล่าค่ะ” แล้วหันไปมองใหม่ “นั่นรูปใครหรือคะ”
บุรีเบือนหน้ามองตาม นัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก “ภรรยาลุงเอง กัลยา...พุธกันยา ปานรัมภา”
หอมน้ำนิ่วหน้าคิดราวกับเคยได้ยินชื่อนี้มาจากไหน ขณะที่เขนมองอย่างชื่นชม“สวยจังเลย”
“ภรรยาคุณลุงไม่อยู่บ้านหรือคะ” หอมน้ำถาม
“ไม่อยู่ เขาเสียไปนานแล้ว”
สองสาวสบตากันด้วยความตกใจ
หอมน้ำไหว้ขอโทษ เขนไหว้ตาม “ขอโทษค่ะ หนูไม่ทราบ”
“ไม่เป็นไร”

บุรีเดินต่อ สองสาวตามไปเงียบๆ

เวลานั้น ลักษณา หรือฟ้า ธุรกิจกองถ่าย เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวนักแสดง แล้วนิ่วหน้าอย่างหงุดหงิด เพราะไม่เจอใครในนั้น

“อ้าว หายไปไหนกันหมด สั่งแล้วเชียวว่าให้เฝ้าของอยู่ในห้องนี้”
ฟ้าเหลียวซ้ายแลขวาท่าทีหงุดหงิด แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

ไม่นานต่อมา แจ่มยกน้ำหวานและขนมมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วางให้สองสาว ที่เวลานี้นั่งอยู่ในห้องรับแขกกับเจ้าบ้าน
“ขอบคุณค่ะ แต่พวกหนูทานอิ่มกัน” หอมน้ำเกรงใจสุดขีด
แต่พูดไม่ทันจบ เขนหยิบขนมใส่ปากเคี้ยวหยับๆ
“อร่อยจังค่ะ” เขนสะดุ้ง “เฮ้ย” ตามองตรงไปที่ประตู
หอมน้ำก้มลงหยิบโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมารับ ขณะที่บุรีมองไปทางทิศเดียวกับเขน
เห็นศวัสยืนที่เหมือนอ้อมมาเข้าทางหลังบ้าน นิ่วหน้ามองสองสาวเขม็งอยู่ เขนเจื่อนจ๋อย กลืนขนมไม่
ลง
“อ้าว เลิกงานแล้วหรือลูก เพิ่งจะ 10 โมงเอง”
“เปล่าครับ ผมลืมกระเป๋าสตางค์”
น้ำเสียงของศวัสทำให้หอมน้ำซึ่งกำลังพูดโทรศัพท์เบาๆ กับฟ้าหันขวับไปมอง แล้วกลืนน้ำลายด้วยความกลัว
นัยน์ตาที่จ้องเขม็งมาดุๆ
ศวัสเบือนหน้ากลับแล้วเดินตัวตรงขึ้นห้องไป
หอมน้ำสะกิดเขนและพูดเบาๆ “ไปเถอะ พี่ฟ้าโทร.มาตามแล้ว”
เขนพยักหน้าแล้วหันไปทางบุรี “พี่ฟ้าโทร.มาตามแล้วค่ะ หนูกับหอมขออนุญาตไปก่อนนะคะ”
หอมน้ำกับเขนไหว้บุรี “ขอบคุณสำหรับขนมค่ะ” หอมน้ำชะเง้อมอง “ครัวอยู่ตรงไหนคะ หนูจะเอาจานไปล้าง”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวแจ่มเขามาเก็บเอง ไปเถอะ”
“ค่ะ”
สองสาวไหว้ขอบคุณอีกครั้ง แล้วหลบเดินย้อนออกไปทางด้านหลังที่เข้ามา
“ออกทางด้านหน้าใกล้กว่า”
บุรีลุกว่า พลางเดินนำไป สองสาวรีบตาม

สองสาวตรงมายังฟ้าซึ่งหน้างอรออยู่ในห้องแต่งตัว รีบไหว้ขอโทษพร้อมกัน
“ขอโทษค่ะพี่ฟ้า”
“หายไปไหนกันมา”
“คุณลุงเจ้าของบ้านเรียกให้ไปทานขนมข้างในค่ะ” หอมน้ำบอก
“แล้วมันเรื่องอะไร ไปรู้จักเขามาตั้งแต่ครั้งไหน” ฟ้าบ่นๆ
เขนจะอธิบาย “ก็...”
ฟ้าตัดบท “เร็วเข้า พี่โค้กหาตัวให้วุ่นไปหมด”
สองคนรีบตามฟ้าไป

ศวัสลงบันไดมา ขณะที่บุรีเดินกลับเข้ามาพอดี ศวัสมองไปยังโต๊ะวางขนมในห้องรับแขกแวบหนึ่ง
“เด็กสมัยนี้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย กินเสร็จก็สะบัดก้นลุกไป”
บุรีมอง รู้ทัน “เขาก็จะเก็บจานเหมือนกัน แต่พ่อห้ามไว้”
“แล้วมันเรื่องอะไรถึงถือวิสาสะเข้ามาข้างในบ้าน คุณพ่ออย่าไว้ใจนะครับ”
“พ่อเป็นคนชวนเขาเข้ามาเอง”
ศวัสมองพ่ออย่างแปลกใจ
บุรีตำหนิ “แกเล่นงานเขาไว้เยอะนี่”
“เด็กนั่นกล้ามาฟ้องคุณพ่อหรือครับ”
“ใครเขาจะกล้าฟ้อง คุณโค้กผู้กำกับเขาเล่าให้พ่อฟัง”
ศวัสทำท่าจะพูดอีก บุรีขัดขึ้น “แกจะกลับไปทำงานหรือเปล่า”
“ไปครับ”
“งั้นก็ไปซิ มัวแต่บ่นอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวคนไข้รอตาย”
ศวัสยังคงมีสีหน้าหงุดหงิดขณะเดินออกไป
บุรีมองตามพลางส่ายหน้า

บุรีเดินช้าๆ ขึ้นมาหยุดตรงหน้ารูปพุธกันยาตรงบริเวณโถงบันไดทางขึ้นบ้าน ใบหน้าบุรีเต็มไปด้วยความรัก
“ผมอนุญาตให้คุณเจคยกกองละครมาถ่ายทำที่บ้านเรา ถ้าวิญญาณคุณยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่ ก็คงจะหายเหงาที่ได้เห็นบรรยากาศเดิมๆ”
อีกมุมหนึ่ง เยาวภาหลบมองภาพนั้นด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ชีวิตจิตใจ
บุรีมีสีหน้าหมองลง “ผมอยากให้คุณมีความสุขจะได้ไม่ต้องจากผมไปไหน คุณต้องรอผมนะ กัลยา”

ขณะที่บุรียังคงยืนมองรูปพุธกันยาด้วยสีหน้าถวิลหาอาวรณ์ ส่วนเยาวภาเดินจากไปเงียบๆ

อ่านต่อหน้า 3

ใยกัลยา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ศวัสเดินมายังรถที่จอดอยู่ เขากดรีโมทแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่ง แต่แล้วต้องชะงักเมื่อมองกระจกข้าง เห็นเงาของหอมน้ำหอบแฟ้ม 4-5 แฟ้ม เดินอย่างเร่งรีบตรงมา

หมอหนุ่มเจ้าอารมณ์เปิดประตูรถก้าวออกมา นัยน์ตาดูเอาเรื่องจ้องหอมน้ำเขม็ง จนคนถูกมองสะดุ้งเฮือก แฟ้มทั้งหมดร่วงจากอ้อมแขนหล่นกระจาย
“แม่เจ้า”
ศวัสยกมือกอดอก นัยน์ตาดุเข้ม เพิ่มแววตำหนิเข้าไปด้วย
หอมน้ำลนลานไหว้ “ขอประทานโทษค่ะ พ่อเจ้า”
ศวัสเลิกคิ้วฉงน
หอมน้ำพยายามอธิบายแต่ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ “คือ เอ๊ย...เอ๊ย...พี่เป็นผู้ชาย หนูต้องอุทานว่า พ่อเจ้า ไม่ใช่ แม่เจ้า”
“ผมไม่ใช่พี่คุณ เพราฉะนั้นไม่ต้องมานับญาติ...ไม่ชอบ”
หอมน้ำจะร้องไห้เสียให้ได้ “ค่ะ”
ศวัสพยักหน้าไปที่แฟ้มที่ตกกระจาย “ของตกนั่น...เห็นไหม”
หอมน้ำรีบตอบ “เห็นค่ะ หนู หนูทำตกเอง กำลังจะเก็บ”
หอมน้ำพูดพลางรีบก้มลงลนลานเก็บแฟ้ม แต่อารามรีบร้อนลนลาน ดันแฟ้มตกอีก
“ทีหน้าทีหลังอย่ามาพูดจากวนประสาทผม”
หอมน้ำเก็บของเสร็จ เงยหน้าขึ้นมองศวัสงงๆ
ศวัสขึ้นรถ ปิดประตูแล้วขับออกไป
หอมน้ำมองตามยังงงๆ อยู่ “กวนประสาท...กวนตรงไหน”

อาคารออฟฟิศ นิตยสารบันเทิงชื่อดัง “ชิดขอบบันเทิง” โดดเด่น ดูโอ่อ่า มีผู้คนเดินเข้าออกและผ่านไปผ่านมาคึกคัก
บรรยากาศภายในวุ่นวายรีบเร่ง บรรดานักข่าวบันเทิงในสังกัดอยู่ตรงโต๊ะทำงานใครมัน
ภายในห้องทำงาน วดี เจ้าของและบรรณาธิการบริหาร กำลังว้ากใส่ ลิซซี่ กะเทยนักข่าวลูกน้อง โดยลุกยืนปาแฟ้มต้นฉบับ และข้าวของประดามีบนโต๊ะใส่อย่างหงุดหงิด โดยลิซซี่ใช้ความว่องไวหลบหลีกทางโน้นทางนี้อย่างน่าขัน
“นังลิซซี่ ฉันสั่งแล้วว่าให้ไปง้างปากธีรภาพให้ได้ว่าจะแต่งงานเดือนหน้าใช่หรือเปล่า ทำไมแค่นี้ถึงทำไม่ได้...ทำไมถึงทำไม่ได้ เฮอะ นังลิซซี่”
“พยามยามแล้วค่ะ แต่มันง้างไม่ออก”
“ฉันไม่เชื่อ เจอหน้าพระเอกคนนี้ทีไรแกอ้าปากไม่ออกซักที จ้องเขานัยน์ตาเยิ้มอยู่นั่นแหละ”
“ก็แหม...”
ประตูเปิดออก เอิงเดินกรีดกรายเข้ามา อ้าปากหาวขณะลงนั่งไขว่ห้าง
“พี่ลิซ ช่วยกันคั้นน้ำส้มให้เอิงหน่อยซิ”
“จัดให้เลยค่ะ น้องเอิง”
ลิซซี่รีบถือโอกาสออกไปทันที
วดีหันมาทางหลานสาว “วันนี้เปิดกล้องละครไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ..เอิงตื่นสายเลยขี้เกียจไป”
วดีส่ายหัว “เวร ฉันอุตส่าห์ยัดเยียดฝากฝังแกกับคุณเจค แต่แกดันมาเบี้ยวเขาแบบนี้ แล้วฉันจะมองหน้าเขาได้ยังไง เฮ้อ...”
เอิงจีบปาก “แหม...ป้าขาป้า อย่าลืมว่าป้าเป็นเจ้าแม่วงการบันเทิงนะคะ คุณเจคเขาต้องเกรงใจป้าอยู่แล้วล่ะ ไม่มีใครกล้ามาว่าหรอก”
“แกมันพูดเอาแต่ได้”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ลิซซี่กลับเข้ามาพร้อมแก้วน้ำส้มคั้น 1 แก้ว กับน้ำใบบัวบก 1 แก้ว
“มาแล้วค่ะ มาแล้ว น้ำส้มคั้นของน้องเอิง แถมน้ำใบบัวบกของคุณป้าวดี”
ลิซซี่ส่งแก้วน้ำส้มให้เอิง แล้ววางแก้วใบบัวบกให้วดี
“อร่อยมั้ยคะ คุณป้า คุณหลาน”
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ออกไปทั้ง 2 คนเลย”
ลิซซี่กับเอิงหัวเราะกันคิกคัก แล้วออกไป
วดีมองตามอย่างอารมณ์เสีย แล้วทิ้งตัวลงนั่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นิ้วเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ จนที่จอโทรศัพท์ปรากฏชื่อ “เจค” วดีค่อยๆ คลายความหงุดหงิดลง

สีหน้าเหมือนรำลึกทบทวนความทรงจำ

มันเป็นเหตุการณ์ ซึ่งเกิดขึ้น เมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นเจคบุกเข้ามาชี้หน้าด่าวดีในออฟฟิศอย่างคนที่กำลังโกรธจัด

“คุณใช่ไหมวดี ที่เป็นคนเอาเรื่องกัลยา ไปบอกนักข่าว”
วดียิ้ม “เจคขาเจค เรื่องแบบนี้ปิดไม่มิดหรอกค่ะ กัลยามีลูกมีผัวอยู่ทนโท่ ตาศวัสโตขึ้นทุกวัน อีกหน่อยก็ต้องเข้าโรงเรียน ต้องมีชื่อพ่อชื่อแม่ เจคคงไม่คิดจะให้เขาใช้ชื่อปลอมกันหรอกนะคะ” เจ้าหล่อนยักไหล่ “ความลับไม่มีในโลก”
เจคฟังแล้วยิ่งโกรธ “ทำไมคุณไม่คิดอย่างนั้นเสียตั้งแต่แรก คุณเองนั่นแหละเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้กัลยา ปกปิดเรื่องครอบครัว”
วดีชักหงุดหงิด “ก็แน่ละซีคะ คนดูที่ไหนเขาจะยอมรับนางเอกที่มีลูกมีผัวแล้ว”
เจคตวาดลั่น “เห็นแก่ตัว เวลาต้องการผลประโยชน์จากเขาก็พูดอย่างนึง เวลาเขารับได้ว่าคุณเอาเปรียบ แอบโกงค่าตัวก็พูดอีกอย่างนึง แถมยังใจดำขนาดทำลายชื่อเสียงเขาจนย่อยยับ ออกไป แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก”

วดียังจมอยู่กับความคิดหนหลัง อยู่ที่ห้องทำงานในออฟฟิศชิดขอบบันเทิง
สุดท้ายวดีถอนใจยาวแล้วกดโทรศัพท์

ทางด้านทับทิมถอนใจเฮือก “เฮ้อ...” ขณะมองดูบริเวณเสื้อที่ปักลูกปัด
หอมน้ำเดินเข้ามาพอดี “อะไรหรือคะพี่ทับทิม”
“ลูกปัดหลุดน่ะซิคะ น้องหอมมาพอดี หนูช่วยไปหยิบลูกปัดในกล่องเครื่องมือพี่ให้หน่อยได้มั้ยคะ อยู่ในรถพี่น่ะค่ะ เอ้า นี่กุญแจ”
“ได้ค่ะ” หอมน้ำรับกุญแจจากทับทิมแล้วรีบเดินไป

รถของนักแสดงและทีมงานจอดเรียงกันเป็นแถวยาวริมถนนหน้าบ้านศวัส หอมน้ำเดินตรงมายังรถทับทิม แล้วกดรีโมท เปิดประตูรถเข้าไปนั่ง เปิดดู 2-3 กล่องนั้น ให้แน่ใจ ในกล่องหนึ่งเป็นอุปกรณ์ทำอาชีพของทับทิมวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ตรงช่องเล็กๆ มีลูกปัดสีสวยวางอยู่ หญิงสาวปิดกล่อง แล้วลงจากรถเดินย้อนกลับไป

หอมน้ำรีบเดินตรงมา ขณะที่เด็กกองรุ่นพี่กำลังเดินมาหาเช่นกัน
“น้องหอม พี่ทับทิมให้เอากล่องไปให้หลังบ้าน”
“ค่ะ”
หอมน้ำรีบเดินไป

ภายในห้องแต่งตัว ราวเสื้อติดล้อถูกตั้งแขวนเสื้อผ้านักแสดงแยกเป็นชื่อแต่ละคร ทับทิมกับเพลินกำลังเลือกดูเสื้อ 2-3 ตัว ที่จะใส่เข้าฉากต่อไป
เพลินดูแล้วส่ายหน้า “ไม่สวยเท่าตัวนี้” แล้วหยิบตัวที่ลูกปัดหลุดขึ้นมา
“งั้นพี่ก็ต้องรอ ทับให้น้องหอมไปเอากล่องลูกปัดมาแล้ว”
หอมน้ำเดินเลี้ยวมาทางบริเวณด้านหลังบ้านศวัส สายตาเหลือบมองไปที่พื้น แล้วเห็นอะไรอย่างหนึ่งเป็นประกายแว๊บขึ้นมาเข้าตา
หอมน้ำก้มลงเก็บขึ้นมาดู พบว่าสิ่งนั้นคือลูกปัดเม็ดเล็กๆ เปื้อนดินเขรอะ แต่ก็ยังพอเห็นสีสวยภายใต้ดินที่จับเป็นคราบนั้น
ทับทิมหันมาเห็นก็ตะโกนเร่ง “น้องหอม ทำอะไรอยู่...เร็วเข้า พี่เพลินต้องเข้าฉากต่อไปแล้ว”
“ค่ะ”
หอมน้ำเดินแกมวิ่งไปหาทันที โดยไม่ดูตาม้าตาเรือด้วยความรีบร้อน เท้าดันไปสะดุดก้อนหินจนเซถลาหน้าคะมำหกล้ม
ลูกปัดเขรอะดินหลุดมือลอยขึ้นไป พร้อมกล่อง หอมน้ำเงยหน้ามองจะคว้ากล่องเครื่องมือนั้น ปว่าลูกปัดเม็ดนั้นลอยเข้าปากที่อ้าของเธอ กล่องเครื่องมือลอยลงกระแทกหน้าผากหอมน้ำอย่างจัง
ก่อนที่หอมน้ำจะหมดสติ เธอมองไปที่มุมหนึ่ง ตาลอยคว้าง เห็นร่างๆ หนึ่งที่ยืนหันหลังให้ ก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้ากลับมามอง แต่เห็นใบหน้าไม่ค่อยชัดนัก ด้วยสายตาหอมพร่าเลือนเต็มที่ แต่ยังพอมองออกว่าใบหน้านั้นเป็นพุธกันยานั่นเอง
สติของหอมน้ำดับวูบลง

หอมน้ำค่อยๆ ลืมตา เห็นเพดานพร่าเลือน โดยข้างๆ ตัวเธอตอนนี้เป็นใบหน้าศวัส เขน บุรี และโค้ก ที่กำลังก้มลงมอง แต่ก็พร่าเลือนเช่นกัน
เสียงคุ้นหูของโค้กดังขึ้น อย่างโล่งใจ “ฟื้นแล้ว”
หอมน้ำนอนอยู่บนโซฟาห้องรับแขก นัยน์ตาที่ยังดูเบลอๆ งงๆ นั้น กระพริบถี่ๆ อีก 2-3 ครั้ง
จนภาพตรงหน้าชัดขึ้น
เขนดีใจ “เป็นไงบ้าง หอม”
หอมน้ำทวนคำงงๆ “เป็นไง เป็นอะไร อุ๊ย”
หอมน้ำยันตัวจะลุกขึ้น แต่ต้องยกมือกุมขมับ แล้วหลับตาเอนตัวลงนอนใหม่
“เมื่อกี้หนูหกล้ม”
ขณะบุรีพูด ศวัสหันหลังจะเดินออกไป
บุรีรีบเรียกไว้ “เดี๋ยว ศวัส ช่วยดูน้องอีกทีซิ”
โค้กเสริม “ท่าทางหอมยังมึนๆ อยู่เลยครับคุณหมอ”
หอมน้ำเหลือบมองสีหน้าที่เหมือนจะตำหนิของศวัสแวบหนึ่ง “หอมไม่เป็นไรแล้วค่ะพี่โค้ก”
“ให้เฮีย...เอ๊ย คุณหมอเขาตรวจหน่อยเถอะน่า” เขนบอก
“ก็ได้”
หอมน้ำอ้าปากกว้างอย่างว่าง่าย ตามองศวัส ประมาณเตรียมพร้อมให้ตรวจฟัน
ทุกคนมองอย่างงงๆ
เขนงงกว่าใคร “เฮ้ย แกอ้าปากทำไม”
หอมน้ำหน้าตาเหลอหลา “อ้าว ก็ ก็...เขาเป็นหมอฟันทันตแพทย์ไง หมอฟันเขาก็ต้องดูฟันไม่ใช่เหรอ”
เขนยกมือกุมขมับทำตาเหลือกมองเพดานเซ็งนัก ขณะที่โค้กมองอย่างเอ็นดู และจับหัวหอมโยกเบาๆ ด้วย
ความรักและเอ็นดูจนลืมตัว
ศวัสมองภาพนั้นอย่างตำหนิ และมองเลยด้วยสายตาเดียวกันนั้นไปที่หอมน้ำด้วย
“ศวัส ดูศรีษะให้น้องหน่อยซิ” บุรีบอก
“ผมก็ดูตั้งแต่มาถึงแล้ว แต่ถ้าจะให้แน่ใจต้องพาไปให้เพื่อนผมดูที่โรงพยาบาล”
หอมน้ำรีบตัดบททันที “ไม่ต้องค่ะ หนูหายแล้ว”
โค้กบอกด้วยสีหน้าห่วงใย “พี่ว่าให้หมอดูหน่อยก็ดีนะ พี่พาไปก็ได้”
ศวัสยิ้มนิดๆ ในหน้าแวบหนึ่ง ขณะที่เขนพยักพเยิดเห็นด้วย
“ไปเถอะหอม”
บุรีมองโค้ก “คุณต้องทำงาน ให้ศวัสพาไปดีกว่า”
ขณะทุกคนพูดกัน หอมน้ำมองไปตรงมุมห้องด้วยสีหน้าพิศวง เธอเห็นพุธกันยานั่งอยู่บนเก้าอี้ มองตรงมาที่หอมน้ำพลางยิ้มนิดๆ
บุรีเรียก “หนูหอม”
โค้กก็เรียก “น้องหอม”
“ไอ้หอม” เขนเรียกดังสุดและเขย่าแขนเรียกสติเพื่อน
หอมน้ำรู้สึกตัว หันมามอง “อะไร”
“แกมองอะไรอยู่รึ ปล่อยให้เรียกอยู่ได้ตั้งนาน”
หอมน้ำมองไปที่บนห้องเดิมอีก ทุกคนมองตาม
“เอ๊ะ หายไปไหนแล้ว”
โค้ก บุรี และเขนถามพร้อมกัน “ใครหาย”
ศวัสมองตามเช่นกันแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ผู้หญิงคนนั้นค่ะ”
บุรีฉงน “เยาวภาหรือ”
“ไม่ใช่ค่ะ เธอยังสาวแล้วก็สวยมาก หน้าตาคุ้นๆ”
“คงต้องไปตรวจสมองเสียแล้วละมั้ง ที่นี่ไม่มีผู้หญิงที่ยังสาวแล้วก็สวยอย่างที่เธอว่าแน่นอน”
หอมน้ำหันขวับมามองศวัสด้วยแววตารั้น

ศวัสมองตอบด้วยแววตาเหมือนจะตำหนิว่า “โกหก”

หอมน้ำเดินมาที่รถศวัส โดยมีเขนคอยระวังไม่ให้ล้ม

“เมามโนหรือเปล่าหอม”
หอมน้ำทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้แถวนั้น
“มโนบ้าบอที่ไหน ฉันเห็นจริงๆ เขาแต่งตัวเชยๆ หน่อย แต่สวยจัง เอ...นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนน้า”
เขนลดเสียงลง “ท่าทางคุณหมอฟันทันตแพทย์เขาจะคิดว่าแกบ้าว่ะ”
หอมน้ำถอนใจ “เฮ้อ...แต่ก็ยังดี ฉันว่าเขาคิดว่าฉันโกหกด้วยซ้ำไป”
เสียงศวัสดังเข้ามาว่า “เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรหัดโกหก”
สองสาวสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมอง ศวัสซึ่งหยุดถามขณะจะผ่านไปที่รถ ยืนมองมาด้วยสีหน้าดุนัยน์ตาเข้ม
หอมน้ำหันไปสบตาเขนแวบหนึ่งแล้วกลืนน้ำลายเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาดุดันคมปลาบนั้น พยายามจะพูดอธิบายแต่ก็พูดไม่ออก
“แล้วยังโกหกไม่เนียนเสียด้วย”
ศวัสหันหลังจะเดินเลยไป
หอมน้ำเอ่ยขึ้น “หนูไม่ได้โกหกค่ะ”
ศวัสหยุดกึก หันกลับมาทันที “ยังจะเถียงอีก”
หอมกัดปากแน่น น้ำตาปริ่มจะหยดเสียให้ได้
เขนรีบปกป้องเพื่อน “หอมเขาเป็นคนดีนะคะ เขาไม่เคยโกหก”
ศวัสท่าทีแสนเย็นชา ขณะเบือนสายตามามองเขน “ไม่ได้ขอความเห็น”
เขนกลืนน้ำลาย เสียงเบา “ค่ะ”
ศวัสเบือนหน้ามาที่หอมน้ำ “แค่เธอบอกว่าไม่ได้โกหก นั่นก็เท่ากับโกหกแล้ว”
เขนไปไม่เป็น “หนู...”
“กำลังจะโกหกอีกใช่ไหม โกหกเป็นไฟเลยนะเรา”
ศวัสเดินตัวเองออกไป
หอมน้ำน้ำตาไหลทันที ขณะที่เขนลุกเดินไปมองตามศวัสงงๆ
“แปลกว่ะ” สาวอวบระยะสุดท้ายหันมามองเพื่อน “อีตาหมอฟันทันตแพทย์นี่เขาจงใจจะกัดแกจริงๆ เลย ยังกับเป็นศัตรูกันมาเป็นร้อยๆ ชาติ”
หอมน้ำพยักหน้า พลางเช็ดน้ำตา “ฉันก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน” เธอเว้นวรรคไปนิดก่อนจะสะบัดหน้าไล่ความหม่นหมองทิ้ง “ช่างเขาเถอะ เราก็อยู่ส่วนของเรา เขาก็อยู่ส่วนของเขา” หอมน้ำลุกขึ้น “ไปทำงานกันเถอะ”
เขนยังห่วงเพื่อน “ไหวแน่นะ”
หอมพยักหน้าหนักแน่น “ไหว”
“งั้นก็ไปล่างหน้าล้างตาก่อน”
หอมน้ำพยักหน้า แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ

หอมน้ำเปิดก๊อกน้ำ ก้มลงล้างหน้าล้างตา แล้วเงยหน้าขึ้น มีไอเย็นออกมาจากลมหายใจของเธอหอมน้ำสะดุ้งเฮือก เมื่อเจอสายตาพุธกันยาประกฎอยู่ในกระจก
หอมน้ำหันขวับมามองข้างหลัง พบว่าบริเวณนั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรผิดปกติ ไอเย็นหายไป
เธอถอนใจเฮือก “หรือว่าจะมโนไปเองจริงๆ”
หอมน้ำหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ ซึ่งเตรียมมาด้วยเช็ดหน้า

ทีมงานถ่ายทำกันอยู่ตรงบริเวณสนามหญ้าหน้าเรือน ทุกคนเร่งการทำงานในหน้าที่ของฝ่ายตน แข่งกับเวลาที่เย็นย่ำค่ำลงไปทุกขณะ กระทั่งทุกอย่างจบลง พร้อมๆ ความมืดที่ห่อคลุมไปทั่วบริเวณ
บรรดาดาราต่างพากันทยอยกลับ รวมทั้งทีมงานด้วย ในที่สุด บริเวณบ้านก็กลับเป็นปกติ

เวลาเดียวกันที่บ้านกนกรัตน์ วันทนากำลังเช็ดจานชามเก็บเข้าตู้ ขณะกนกรัตน์เดินเข้ามา
“กลับกันหมดแล้ว เงียบไปเลย”
“ดีแล้วล่ะค่ะ ชาวบ้านเขาจะได้หลับได้นอนกันเสียที”
“ต๊าย หยาบคายร้ายกาจ ชาวบ้านนั่นแหละตัวดี ไปเกาะรั้วดูดาราที่เขาปลื้ม คุณหนกเองยังชอบเลย แจ๊ค..ธันวาน่ะ ตัวจริงล้อหล่อ ลูกนัทก็สวยมาก เฮ้อ...ฟินสุดๆ”
วันทนามองนายด้วยสีหน้าปลงๆ “คุณหนกขา คุณหนกน่ะไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะคะ”
กนกรัตน์บอกอย่างภาคภูมิใจ “แฟนคลับน่ะเขาไม่ได้จำกัดอายุย่ะ”
แล้วเดินตัวปลิวออกไป

วันทนาส่ายหน้า “พูดไปก็ไอ้เท่านั้น”

ค่ำคืนนี้ บนท้องฟ้าดวงจันทร์ลอยคล้อย เคลื่อนตัวลับหายเข้าไปในหมู่เมฆ บ้านแต่ละหลังตกอยู่ท่ามกลางความมืดและวังเวง

ภายในห้องนอนซึ่งปิดไฟ กนรักตน์พลิกตัว ลืมตาตื่น ลุกเดินจะไปเข้าห้องน้ำ
กนกรัตน์หยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วเดินไปที่หน้าต่างมองออกไป แต่แล้วต้องเบิกตากว้าง ผงะเล็กน้อย
เมื่อเห็นใครคนหนึ่งแต่งกายคล้ายพุธกันยาเดินช้าๆ เหมือนกำลังรื่นรมย์กับธรรมชาติในบริเวณนั้น
“สงสัยอยากจะกลับมาเล่นละคร”
กนกรัตน์ไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นเยาวภา ที่ปลอมตัว โดยแต่งตัวคล้ายพุธกันยา เท่านั้น

อีกฟากภายในห้องนอน ที่คอนโดฯ หอมน้ำนอนหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย ใบหน้าของเธอมีไอเย็นพ่นออกมาพร้อมกับลมหายใจ
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ สลับเข้ามาในความฝัน นับจากตอนเห็นแสงลูกปัดส่องมาเข้าตา แล้วหกล้มลูกปัด
นั้นลอยเข้าปาก
สุดท้ายเป็นภาพที่พุธกันยาหันมามอง นั่งอยู่ในห้องรับแขก และใบหน้าพุธกันยาปรากฎในกระจก
หอมน้ำตกใจตื่นผุดลุกขึ้นนั่ง ไอเย็นหายไป หญิงสาวยกมือลูบหน้า ถอนใจยาวด้วยความสับสน งุนงง

หอมน้ำแต่งชุดเตรียมไปกองถ่าย เดินเข้ามาภายในห้องนอนเขน เห็นเขนยังนอนอ้วนอยู่ในชุดนอน
หอมน้ำแตะหน้าผากเพื่อน “ตัวอุ่นๆ จะมีไข้นิดหน่อย กินยาหรือยัง”
“กินแล้ว แต่มันยังปวดหัวอยู่”
“ถ้าไม่สบายก็ไม่ต้องไป”
“เดี๋ยวก็คงหาย ฝากบอกพี่ฟ้าด้วยว่าเดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง”
“แต่ถ้าไม่หายก็ไม่ต้องไปนะ”
“เออน่า”
“ไปละ”
เขนโบกมือให้แล้วเอนตัวลงนอนต่อ

บริเวณหน้าบ้านศวัส ยังคงค่อนข้างเงียบ ด้วยยังเป็นเวลาเช้า มอเตอร์ไซค์วินคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้าน หอมน้ำก้าวลงมาและส่งเงินให้ มอเตอร์ไซค์แล่นกลับออกไป ในขณะที่หอมมองบริเวณบ้านศวัสอย่างแปลกใจที่ไม่มีรถทีมงานจอดสักคัน
“ไหนว่านัดเก้าโมง ทำไมยังไม่มีใครมาสักคน”
หอมน้ำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. รอสายครู่หนึ่ง “ฮัลโหล พี่ฟ้าขา ทำไมยังไม่มีใครมาคะ จะเก้าโมงแล้ว”
เสียงฟ้าหงุดหงิดเหมือนคนงัวเงียที่ถูกปลุก “ใครวะ”
“หอมค่ะ ตอนนี้หอมอยู่ที่บ้านถ่ายละคร ไม่เห็นใครสักคน”
ฟ้าเสียงแทบจะหายง่วงทันที “เฮ้ย ตายแล้ว พี่ลืมโทร บอกว่าเขาเลื่อนเป็น 11 โมง ขอโทษด้วยนะหอม หอมกลับไปนอนก่อนก็ได้”
หอมน้ำเซ็ง “ไม่ล่ะค่ะ กว่าจะกลับไปถึงหอ แล้วกว่าจะย้อนกลับมาที่นี่อีก มีหวังบ่ายโมงโน่น หอมรออยู่แถวๆ นี้ดีกว่า”
ฟ้าตอบด้วยสุ้มเสียงเสียใจ “แหมกิลตี้จังเลย ขอโทษอีกทีนะหอม”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
หอมน้ำเก็บโทรศัพท์ด้วยสีหน้ายังเซ็งๆ บ่นเบาๆ กับตัวเอง แล้วชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน ทุกอย่างดูเงียบสงัด เหมือนยังไม่มีใครตื่น
“เฮ้อ ตื่นสายชะมัด”
หอมน้ำเบือนหน้ากลับมาแล้วต้องชะงัก เธอเห็นชายเสื้อสีฟ้าไหวๆ และร่างพุธกันยาเดินอยู่ในบริเวณบ้าน
หอมน้ำเปลี่ยนสีหน้าเป็นโล่งใจแกมดีใจ แล้วรีบเดินไปปีนเกาะประตูรั้ว ชะเง้อจะเรียกใครคนนั้น แต่พบว่าบริเวณที่พุธกันยายืนอยู่เมื่อกี้กลับว่างเปล่า
“ว้า...หายไปไหนแล้ว”
หอมน้ำขยับจะลงจากรั้ว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง ร้องลั่นด้วยความตกใจ เมื่อประตูรั้วอัลลอยนั้นเคลื่อนเปิด
เสียก่อน
ศวัสซึ่งอยู่ตรงบริเวณโรงรถ กำลังกดรีโมทให้ประตูรั้วเปิด มองภาพนั้นด้วยสีหน้านิ่งๆ
ประตูรั้วหยุดเมื่อเปิดเต็มที่แล้ว หอมน้ำขยับขาข้างหนึ่งก้าวลงมา แต่มือยังเกาะรั้วอยู่
ศวัสกดรีโมทอีก หอมน้ำตกใจ รีบยกเท้าขึ้นไว้บนประตูตามเดิม ศวัสหัวเราะหึๆ กับภาพตรงหน้า
หอมน้ำละล้าละลังจะลงหรือไม่ลงดี
ประตูเลื่อนเปิดอีก แล้วจึงเห็นรถศวัสแล่นออกมา หอมน้ำหันมามอง กระโดดลงจากรั้ว รีบเดินตรงมาที่รถ
กระจกข้างคนขับค่อยๆ เลื่อนลงมา ศวัสมองหอมน้ำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจแวบหนึ่งเมื่อเด็กสาวยกมือไหว้และยิ้มแป้น
“สวัสดีค่ะ”
“มีอะไร” สีหน้าและน้ำเสียงศวัสไม่ยินดียินร้าย
หอมน้ำหน้าเจื่อนกับสีหน้าและน้ำเสียงนั้น “เอ้อ...คือ...เอ้อ...”
ศวัสชักสีหน้าเหมือนรำคาญ “ติดอ่างเหรอ”
หอมน้ำรีบตอบ “ค่ะ เอ๊ย เปล่าค่ะ คือ หนู...หนูอยากจะขอบคุณที่เมื่อวานคุณหมอช่วยดูอาการให้น่ะค่ะ”
“หนูอะไรตัวโตขนาดนี้”
พูดเท่านั้นศวัสก็เลื่อนกระจกปิด แล้วขับรถออกไป
หอมน้ำมองตาม “ค่ะ”
เสียงกนกรัตน์ร้องเรียก “หนู...หนูน้ำหอม”
หอมน้ำหันไปดู เห็นกนกกวักมือเรียกอยู่ เด็กสาวมีสีหน้าลังเลชั่วขณะหนึ่ง

วันทนาเดินถือถาดชามข้าวต้มมาวางให้ทั้ง 2 คน โดยดวงตามองผู้เป็นนายซึ่งกำลังกระตือรือร้นซักถามหอมแบบแทบจะไม่ให้หายใจอย่างตำหนิ
“ถามจริง เมื่อคืนอยู่ถ่ายละครจนดึกเห็นอะไรเด็ดๆ บ้างไหม”
“เห็นค่ะ”
เห็นท่าทีหอมน้ำกระตือรือร้น กนกรัตน์ตบเข่าฉาด แล้วชี้หน้าหอม “นั่นไง”
วันทนาซึ่งหันหลังกำลังจะออกไป ชะงักและหันกลับมามอง
“เห็นซุปตาร์ ตัวจริง แล้วก็ดาราอีกตั้งหลายคน”
กนกรัตน์ยกมือกุมขมับ ถอนใจเฮือก ขณะที่วันทนายิ้มขัน
“หอมเคยเห็น” สีหน้าผู้เล่ายังยิ้มแย้ม
กนกรัตน์ขัดทันทีทำสุ้มเสียงหน้าตาลึกลับ “คุณหนกหมายถึง...อย่างว่า”
หอมน้ำงง “อย่างว่า”
กนกรัตน์ขัดอกขัดใจ “ก็ผีไง”
วันทนาส่งเสียงปราม “คุณหนกขา”
“ยุ่งน่า ว่าไง เห็นบ้างหรือเปล่า หนูน้ำหอม”
“หอมน้ำค่ะ” เด็กสาวแย้งอย่างเกรงใจ
“นั่นแหละ บ้านนั้นน่ะเฮี้ยนนะ คุณหนกเห็นบ่อยๆ”
วันทนาลากเสียง “คุณหนก...”
ผู้เป็นนายชัดหงุดหงิด “วันทนา จะทำอะไรก็ไป”
วันทนาบ่นขณะเดินออกไป “พูดไปก็ไอ้เท่านั้น”
กนกรัตน์หันมาซักหอมน้ำใหญ่ “หนู ตกลงว่าเจอผีหรือเปล่า”
“ไม่เจอค่ะ”
กนกรัตน์ผิดหวัง ถอนใจเฮือก “แปลก หรือว่าคุณหนกจะเป็นคนเดียวที่มีซิกซ์เซ้นส์”

หอมน้ำเดินออกมาจากบ้านกนกรัตน์ แล้วเดินเลยมายังหน้าบ้านศวัส พบว่าตอนนี้ประตูเปิดแล้ว บุรีซึ่งกำลังเดินดูต้นไม้บริเวณหน้าบ้านเห็นพอดี ยิ้มทักทาย
“หนูหอมน้ำ เข้ามาซิ”
หอมน้ำรู้สึกโล่งใจและไหว้บุรีขณะเดินเข้ามา “สวัสดีค่ะคุณลุง”
บุรีรับไหว้ “ป่านนี้ยังไม่มีใครมาอีกหรือ”
“เขาเปลี่ยนเวลาเป็น 11 โมงเช้าค่ะ พี่ฟ้าลืมบอกหอม แต่คงเรียนให้คุณแม่บ้านทราบแล้ว”
บุรีพยักหน้า “เราก็เลยมาเก้ออยู่คนเดียว นี่กินอะไรหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณหนกเรียกไปทานข้าวต้ม”
“งั้นก็เข้าไปรอข้างในบ้านก่อน”
“ขอบคุณค่ะ”
หอมน้ำขยับเดินตามบุรีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่แล้วต้องชะงัก ใบหน้าของหอมมีไอเย็นพ่นออกมากับลมหายใจ ในขณะที่เธอจ้องเป๋งไปทางมุมหนึ่ง เห็นร่างพุธกันยาในเสื้อคอปาดสีฟ้าลายจุดชุดเดิม กำลังเดินอ้อมไปทางหลังบ้าน โดยหันมามองเธอแวบหนึ่ง
บุรีมองสีหน้าหอมน้ำอย่างแปลกใจ “มีอะไรหรือ”
หอมน้ำซึ่งไอเย็นระเหยไปหมดแล้ว เนื่องเพราะพุธกันยาหายลับไปทางหลังบ้าน
“คงเป็นพวก Extra น่ะค่ะ เดินไปทางหลังบ้านแล้ว”
“ลุงเพิ่งเปิดประตูเมื่อกี้นี้เอง แต่ยังไม่เห็นมีใครเข้ามานะ ไปดูกันก็ได้”
บุรีเดินอ้อมนำหอมไปหลังบ้าน

ไม้ดอกและไม้ใบบริเวณหลังบ้านชูช่ออวดใบสะพรั่ง รวมทั้งกอดอกพุธซ้อนกอนั้นด้วย
บุรีเดินนำหอมเข้ามา ในสายตาหอมน้ำ พบว่าบริเวณนั้นว่างเปล่า
“ไม่มีใคร”
หอมน้ำย้ำคำ “แต่เมื่อกี้หอมเห็นจริงๆ ค่ะ”
“หนูอาจจะตาฝาด เข้าไปข้างในเถอะ”
บุรีเดินนำหอมเข้าทางด้านหลังบ้านนั้น โดยหอมน้ำไม่วายหันมามองสำรวจอีกครั้ง

ครู่ต่อมาบุรีเดินนำเข้ามาในห้องรับแขก หอมน้ำซึ่งยังคงมีสีหน้าครุ่นคิดชะงัก และหยุดยืนมองไปทางบันได
บุรีหยุดแล้วหันมามองอย่างแปลกใจ “มีอะไรหรือหนูหอม”
หอมน้ำยังคงมองภาพนั้นนิ่ง ภาพเหตุการณ์ที่เคยเห็นพุธกันยา ผุดเข้ามาในห้วงความคิด
บุรีมองตามสายตาหอมแว่บหนึ่ง “หนูหอม มีอะไรหรือ”
หอมน้ำรู้สึกตัว “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
บุรีมองสีหน้าหอมน้ำอย่างแปลกใจ แล้วเดินนำไปนั่ง

คล้ายกับว่าพุธกันยาในรูป นัยน์ตาเหมือนจะขยับมองตามหอมน้ำไปตลอดเวลา

อ่านต่อหน้า 4

ใยกัลยา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ตอนสาย บรรดาดารา และทีมงานทุกคนทยอยเดินทางมาถึงกองถ่ายตามเวลานัดหมาย
ก่อนเวลา 11 โมง บริเวณหน้าบ้านกลับมาคึกคักด้วยดาราและทีมงานที่เดินทางมาถึงพร้อมถ่ายทำ

สองนักแสดงสาว เพลินพิศ ขวัญอนงค์ พร้อมด้วยฝ่ายเสื้อผ้า ทับทิม อุมาช่างหน้า ช่างผม ตลอดจน กุ๊ก ธุรกิจกองถ่าย อยู่ในห้องแต่งตัว
เพลินพิศนั้นกำลังนั่งให้อุมาแต่งหน้า ขณะที่ขวัญอนงค์ทำผมอยู่
ทับทิมกำลังเลือกเสื้อผ้าให้ทั้ง 2 คน
“น้องเพลินแต่งชุดนี้นะคะ”
เพลินพิศเหลือบมองและเบ้ปาก “ไม่เอา บอกไม่รู้กี่หนแล้วว่าเพลินเกลียดสีดำ เพลินใส่ไม่ขึ้น”
ทับทิมท้วง “แต่ฉากนี้เป็นฉากที่น้องเพลินต้องไว้ทุกข์นะคะ น้องขา”
“ก็ตัดฉากนั้นออกไปซิ”
ทับทิมหันไปมองธุรกิจกอง ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่
“ถ้าอย่างนั้นต้องถามผู้กำกับหรือคนเขียนบทแล้วละค่ะ”
เสียงโทรศัพท์กุ๊กดังขึ้น เธอรับสาย
“ฮัลโหล น้องนัท ถึงไหนแล้วค่ะ โอเค ค่ะ”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดและคุยกันนั้น หอมน้ำเดินเข้ามา
เพลินหันไปสั่ง “นี่ ไปเอาน้ำกีวี่มาให้ฉันหน่อยซิ”
หอมน้ำเหวอไปเลย
เพลินเม้ง “โอ๊ยตาย ยังจะทำหน้าบื้ออยู่อีก บอกให้ไปเอาน้ำกีวี่มาให้ฉันไง”
“น้ำกีวี่ไม่มีค่ะ มีแต่น้ำเปล่า แล้วน้องหอมเขามาฝึกงานกับกองถ่าย ไม่ใช่พนักงานเสิร์ฟน้ำ” ทับทิมว่า
เพลินฉุน “เอ๊ะ! มันเรื่องอะไรของพี่ทับ”
หอมน้ำรีบตัดบท “ไม่เป็นไรค่ะ หอมไปเอามาให้ได้” พลางมองไปที่ขวัญอนงค์ “เอ้อ...พี่จะรับน้ำด้วยไหมคะ”
ขวัญอนงค์ยิ้มอย่างใจดี “ไม่ค่ะ ขอบใจหนูมาก”
หอมน้ำเดินกลับออกไป
ทับทิมชมขวัญอนงค์จงใจแดกดันเพลินพิศ “พี่ขวัญนี่พูดเพร้าะ...เพราะ เป็นผู้ดี๊ ผู้ดี จังนะคะ”
ขวัญอนงค์เพียงยิ้มบางๆ
เพลินพิศค้อนทับทิมขวับ “คอยดูนะ เพลินจะฟ้องพี่โค้ก”
อุมาช่างหน้า ชอบใจหันไปยักคิ้วกับทับทิม นั่นทำให้เพลินยิ่งโกรธไปใหญ่

ขณะเดียวกันวดีอยู่ในห้องทำงาน ออฟฟิศ ชิดขอบบันเทิง กำลังพูดโทรศัพท์กับเจค ด้วยสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจ
“อีกแล้วหรือคะ ทำไมถึงได้เหลวไหลขนาดนี้ วดีน่ะกำชับแล้วกำชับอีกว่าให้ไปให้ทัน เดี๋ยววดีจะโทร.ตามให้ ต้องขอโทษเจคด้วยนะคะ”
เจคอยู่ที่กองถ่าย “อ๋อ...ธุรกิจผมโทรไปแล้ว แต่เอิงปิดโทรศัพท์”
“งั้นวดีจะไปตามเดี๋ยวนี้เลย โอเคนะคะ”
วดีเก็บโทรศัพท์ แล้วกดโทรศัพท์ภายใน
“ลิซซี่ ขับรถให้ฉันหน่อย”
วดีกดวางสาย แล้วหิ้วกระเป๋าเดินออกไปบ่นบ้าออกมา
“ขืนขับเองมีหวังชนกระจาย”

อาคารคอนโดมิเนียม ตั้งตระหง่าน ค่อนข้างใหญ่และตกแต่งหรูหรา
ภายในห้องนอน ประตูห้องเปิดออก วดีถือแก้วน้ำเดินเข้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง แล้วราดลงที่หน้าเอิง
ซึ่งกำลังหลับพริ้มอย่างสบายอยู่บนเตียงนอน
เอิงร้องลั่นด้วยความตกใจ “ว้าย” เธอดีดตัวลุกขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “อะไรกันล่ะป้าวดี”
“ฉันก็เอาน้ำสาดหน้าแกน่ะซียะ รู้หรือเปล่าวว่านี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว”
เอิงลงมาจากเตียงยังโมโหกรุ่นๆ “จะกี่โมงก็ช่าง ป้าวดีสาดน้ำเอิงทำไม ปลุกกันดีๆ ก็ได้”
“ปลุกดีๆ แกก็ไม่มีทางตื่นหรอก มันต้องแบบนี้ ไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วๆ เข้ากองถ่ายเขารอรู้ไหม”
“เอิงบอกธุรกิจไปแล้วว่าให้จัดถ่ายเอิงบ่ายๆ หรือเย็นๆ ตอนเช้าน่ะเอิงต้องพักผ่อน เพราะเอิงมีปาร์ตี้กับเพื่อนๆ จนดึก ถ้าอยากได้เอิงไปเล่นละคร ก็ต้องทำตามนี้”
วดีหมั่นไส้ “โอ๊ย แม่คุณแม่ทูนหัว แม่ซุปตาร์ มีใครเขาอยากได้แกไปเล่นบ้างยะ นี่...นี่...ฉันนี่แหละ” บก.ใหญ่เอามือตบหน้าอกตัวเองซ้ำๆ กัน “ที่เป็นคนบากหน้าไปอ้อนวอนฝากฝังให้แกเล่น เขาก็อุตส่าห์รับเล่นเพราะเกรงใจฉัน แล้วยังจะมาอวดดีอีก”
“งั้นก็ให้เอิงเป็นนางเอกซิคะ เอิงจะได้ไปเช้าๆ นี่เป็นแค่เพื่อนนางเอก ไม่เห็นอยากจะเล่น พี่ลิซซี่ยังบอกเลยว่าเอิงสวยกว่ายัยลูกนัทอีก”
“อ้อ แล้วแกก็เชื่อ นังลิซซี่น่ะมันประจบสอพลอ มันเห็นแกเป็นหลานฉันมันก็ยอไปเรื่อย ไป ไปอาบน้ำแต่งตัวเดี๋ยวนี้ ฉันให้เวลา 20 นาที”
เอิงโวยลั่น “ยี่สิบนาที”
วดีมองจ้องด้วยสีหน้าเอาเรื่อง “ยี่สิบนาที”

อีกฟาก มีรถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าบ้านศวัส เขนก้าวลงมาแล้วแท็กซี่แล่นออกไป เขนเดินจะเข้าบ้าน แต่แล้วก็ชะงักเพราะเสียงเรียกของกนกรัตน์ที่วิ่งตรงมาหา
“หนูแขน...หนูแขน”
เขนถอนใจเฮือก “เขนค่ะ หนูชื่อเขน”
“ไม่เป็นไร เขนกับแขนก็คล้ายๆ กัน หนูแขน เอ๊ย..หนูเขน ช่วยพาแจ็ค ธันวากับลูกนัทมาถ่ายรูปกับคุณหนกหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
เขนอ้าปากจะตอบ แต่ไม่ทันกนกรัตน์
“เพลินพิศไม่เอานะ คุณหนกไม่ปลื้ม ฝากบอกด้วยว่า รังแกนางเอกมากๆ ระวังเปลือกทุเรียน”
“ค่ะ หนูรีบไปทำงานก่อนนะคะ” เขนรีบเดินไป
กนกรัตน์ยิ้มแล้วนึกได้ “อ้าว..หนูแขน แล้วเรื่องถ่ายรูปล่ะ หนูแขน หนูแขน”

ตอนท้ายกนกรัตน์ตะโกนโหวกเหวก แถมกวักไม้กวักมือเรียกพัลวัน แต่เขนเดินไปไม่เหลียวหลัง

ภายในห้องตรวจผู้ป่วยที่แผนกทันตกรรม ศวัสกำลังรักษารากฟันให้คนไข้ ด้วยกรรมวิธีการรักษาอันคล่องแคล่ว เขามุ่งมั่นกับงานอยู่พักหนึ่งจึงวางอุปกรณ์ พลางเอ่ยขึ้น

“เรียบร้อยแล้วครับ”
ศวัสเดินไปถอดมาสค์ถุงมือยาง ล้างมือ ขณะคนไข้ขยับตัวลุกขึ้น โดยมีพยาบาลเข้ามาช่วยอำนวยความ
สะดวก
ศวัสเดินกลับมานั่งโต๊ะเขียนใบสั่งยาและใบนัด
“รับยากับใบนัดครั้งต่อไปข้างนอกนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ คุณหมอมือเบ๊า เบา”
ศวัสยิ้มนิดๆ รับคำขอบคุณนั้น
“เชิญค่ะ”
พยาบาลยิ้มแย้มพาคนไข้ซึ่งท่าทางคุ้นเคยกันดีเดินออกไป
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ศวัสหยิบขึ้นมารับ
“ครับ...คุณพ่อ”
เสียงบุรีดังลอดออกมาว่า “เย็นนี้เลิกงาน แล้วแกไปไหนหรือเปล่า”
“คิดว่าไม่นะครับ”
“ดีแล้ว จะได้รีบกลับบ้านไปช่วยดูแลให้ความสะดวกกองถ่ายละครเขาหน่อย พ่อจะไปงานเลี้ยงเกษียณที่กรม”
ศวัสมีสีหน้าขรึมลงทันที “ก็ผมบอกคุณพ่อแล้วว่า…”
เสียงบุรีตัดบท “แค่นี้แหละ”
สัญญาณถูกตัดไปเลย ศวัสถอนใจเซ็งๆ

เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง จากบ่ายเป็นเย็นคล้อย เห็นพนักงานทำความสะอาดกำลังใช้ม็อบถูพื้นทำความสะอาดตามพื้นทางเดิน
ศวัสก้าวออกมาจากห้องตรวจ แล้วเดินออกไป
พยาบาล 2 ทัก “จะกลับแล้วหรือคะ คุณหมอ”
“ครับ”
ศวัสเดินไป พบหมออีกคน ทั้ง 2 ทักทายกันสักครู่ แล้วศวัสออกไป

ที่กองถ่ายเอิงซึ่งเพิ่งเข้าฉากเสร็จ เดินหน้างอมากับฟ้าบ่นอย่างหงุดหงิด
“เซ็ง อุตส่าห์เสียเวลามา มีถ่ายแค่ 2 ซีน พี่ฟ้าช่วยบอกธุรกิจด้วยนะคะว่าถ้าพรุ่งนี้มีไม่ถึง 20 ซีน เอิงไม่มา”
เอิงชะงัก นัยน์ตาเหมือนพิศวงขณะมองไปที่บริเวณโรงรถ เห็นศวัสซึ่งจอดรถเรียบร้อย ก้าวลงมาจากรถ
“ใครน่ะ พี่ฟ้า หล่อเป๊ะเว่อร์”
“อ๋อ ลูกชายเจ้าของบ้านค่ะ ได้ยินว่าเป็นหมอฟัน”
“ว้าว หล่อกว่าพระเอกอีก”
เอิงพูดพลาง รีบก้าวยาวๆ ตรงมาที่ศวัส ซึ่งกำลังเดินจะอ้อมไปทางด้านหลังบ้าน
“อ้าว น้องเอิง” ฟ้ารีบตามไป
เอิงร้องเรียกไว้ เพราะเห็นท่าว่าจะเดินไม่ทัน “คุณหมอคะ คุณหมอ”
ศวัสหยุด และหันมามองด้วยสีหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม
เอิงยกมือไหว้ ศวัสรับไหว้ด้วยสีหน้านิ่งดังเดิม “เอิง ชื่อเอิงค่ะ เล่นละครเรื่อง เพลิงนารี ด้วย ผู้กำกับให้ชิมลางเล่นเป็นเพื่อนนางเอกก่อน แต่เรื่องต่อไปจะให้เป็นนางเอก”
ฟ้าสะดุ้ง เอิงหันมาขยิบตากับฟ้า “ใช่ไหมคะ พี่ฟ้า”
แม้จะงง แต่ฟ้าก็รีบรับตามน้ำ “ค่ะ ใช่ค่ะ”
ศวัสมองประมาณว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน” แต่ตอบออกมาว่า “ครับ”
จากนั้นศวัสหันหลังกลับจะเดินต่อ
เอิงรีบตาม “เดี๋ยวค่ะ คือเอิงอยากจะปรึกษาเรื่องทำฟัน”
ศวัสหยุด หันกลับมา สีหน้าเรียบเฉย
เอิงรีบพูดต่อ “เอิงอยากทำกับคุณหมอ”
ฟ้าตกใจร้อง “ว้าย”
เอิงรู้ตัวรีบแก้ทันที “เอิงหมายถึง ทำฟันน่ะค่ะ ตกฟันไปคำเดียว เอิงอยากทำฟันกับคุณหมอค่ะ”
“คุณคงต้องไปที่โรงพยาบาลครับ นี่มันนอกเวลาทำงานของผมแล้วขอตัวนะครับ”
ศวัสก้มศรีษะให้นิดๆ แล้วเดินอ้อมไปทางหลังบ้าน
เอิงมองตามตาลอย “สเป็ค”
ฟ้าบอกว่า “ท่าทางหยิ่งจะตาย”
เอิงยิ้มย่อง “ดี เอิงน่ะชอบ พรุ่งนี้เอิงจะไปหาหมอฟันรูปหล่อคนนี้”
ฟ้าอึ้ง “อ้าว แล้วคิวถ่ายละครล่ะคะ”
“ยกไปก่อน คุณหมอฟันสำคัญกว่า”
ฟ้าเกาหัวด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ขณะที่เอิงมีสีหน้ามาดหมายเป็ยอย่างยิ่ง

ศวัสเดินเข้ามาทางด้านหลังบ้าน และเดินเลยเข้ามาพบเยาวภากำลังเดินลงมาจากชั้นบน
“คุณหนูทราบแล้วใช่ไหมคะว่าเย็นนี้คุณพ่อไม่ทานข้าวบ้าน”
“ครับ คุณพ่อโทร.ไปบอกแล้ว”
ศวัสก้าวขึ้นบันไดไปแล้วนึกได้ หันกลับมา
“น้าภาเลิกเรียกผมว่า คุณหนู ได้แล้ว”
“มันยากค่ะ น้าภาเรียกติดปากมาตั้งแต่คุณหนูเพิ่งเกิด”
ศวัสทำท่าจะพูด แล้วเปลี่ยนใจ “ช่างเถอะ” เขาเดินขึ้นห้องไป
เยาวภามองตาม ใบหน้าเย็นชาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เหมือนแม่ที่มีต่อลูก

ฝ่ายหอมน้ำเดินคุยกับทับทิม และ เขน มาเรื่อยๆ ตรงไปที่ห้องแต่งตัว
“เหนื่อยมั้ยคะ คุณน้อง”
“ก็เหนื่อยค่ะ แต่สนุกมากกว่า” เขนบอก
“เดี๋ยวพอชินก็เริ่มเบื่อ แล้วทีนี้ไอ้ความเหนื่อยก็จะตามมา” ทับทิมเย้าหยอก
ขณะ 2 คนคุยกัน หอมฟังยิ้มๆ พลางสะบัดผมที่ปลิวมาระใบหน้า
หอมน้ำชะงัก เมื่อเห็นร่างพุธกันยาเดินเข้าไปในบ้านช้าๆ
หอมน้ำหยุดเดิน เบิกตากว้าง ที่จมูกมีไอเย็นออกมา โดยที่ไม่มีใครเห็นไอเย็นนั้น
เขนกับทับทิมซึ่งเดินคุยกันต่อ ล่วงหน้าไป 2-3 ก้าว หันมามองอย่างแปลกใจ
“อะไรหรือคะน้องหอม”
เขนมองเพื่อน “ทำหน้ายังกับเห็นผีแน่ะ”
“เขมกับพี่ทับไปกันก่อน เดี๋ยวหอมตามไป”
ขาดคำหอมน้ำเดินแกมวิ่งตรงไปที่ตัวบ้านอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย...ไอ้หอม จะไปไหน”
หอมน้ำหันมาตะโกนบอก “ไปตามตัวประกอบ”
เขนงง “ตัวประกอบที่ไหน”
“ช่างเถอะค่ะ เราไปกินส้มตำกันดีกว่า”

สองคนเดินกันไป โดยที่เขนไม่วายหันไปมองเพื่อนอีกอย่างงุนงง

หอมน้ำเดินแกมวิ่งเข้ามา และเหลียวมองหาพลางร้องเรียก

“พี่...พี่คะ”
สายตาหอมน้ำเห็นหลังไวๆ ของพุธกันยาเดินไปที่บันได
“พี่ ขึ้นไปข้างบนไม่ได้นะคะ”
หอมน้ำรีบเดินตามไปที่บันได แล้วต้องแปลกใจ เมื่อบริเวณนั้นว่างเปล่า “หายไปไหนเร็วจัง”
หอมน้ำรีบขึ้นบันไดไป โดยที่พุธกันยาบนผนังเหมือนจะมองตาม

เมื่อหอมน้ำก้าวขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดแล้วต้องสะดุ้ง หน้าตาเจื่อนจืดทันที เห็นศวัสยืนกอดอกพิงเสามองอย่างเอาเรื่อง
“ขึ้นมาทำไม”
หอมน้ำมีสีหน้ากระตือรือร้นขึ้น “มีคนบุกรุกขึ้นมาบนนี้ค่ะ เฮีย เอ๊ย คุณหมอฟันทันตแพทย์เห็นมั้ยคะ”
“เห็น”
หอมน้ำโล่งใจ “นั่นไง หนูไม่ได้ตาฝาดจริงๆ ด้วย แล้วเขาอยู่ที่ไหน”
“ก็อยู่ตรงหน้าฉันนี่ไง”
ศวัสพูดพลางเดินช้าๆ มาหยุดตรงหน้าเด็กสาว
หอมน้ำงง “อยู่ตรงหน้า ไหนล่ะคะ”
“ก็เธอไง”
หอมน้ำสะดุ้ง “อุ๊ย ไม่ใช่ค่ะ ผู้หญิงคนนั้นแก่กว่าหนู เขาใส่เสื้อสีฟ้า”
“เลิกแก้ตัวเสียที คิดว่าไม่มีใครอยู่ แล้วจะขึ้นมาขโมยของใช่มั้ย”
หอมน้ำตกใจมาก หน้าเสีย รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน “เปล่า เปล่าค่ะ หนู...”
“นี่ฉันอยู่บนนี้ ไม่เห็นมีใครนอกจากเธอคนเดียว นึกแล้วว่าต้องเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย หน้าตาท่าทางไม่น่าไว้ใจตั้งแต่เห็นครั้งแรก”
หอมน้ำตกใจและเสียใจจนน้ำตาคลอ “หนูเปล่าจริงๆ ถึงหนูจะไม่ร่ำรวยแต่หนูก็ไม่เคยขโมยของใคร หนูเห็นผู้หญิงใส่เสื้อสีฟ้าขึ้นมาจริงๆ ค่ะ”
“แล้วผู้หญิงที่เธอว่าอยู่ไหนล่ะ”
หอมน้ำมองไปโดยรอบ น้ำตาร่วง “หนู...หนูไม่ทราบค่ะ”
ศวัสด่า “ผู้ร้ายปากแข็ง”
หอมน้ำโวยขึ้นมาด้วยความอัดอั้นแกมโกรธ “บอกว่าไม่ใช่ หนูไม่ได้ขโมย ถ้าไม่เชื่อก็ค้นตัวได้เลย”
มุมปากศวัสเหยียดยิ้มนิดหนึ่งเหมือนจะเยาะหยัน “เข้าใจพูดนี่ จะเจอได้ยังไงในเมื่อฉันจับเธอได้ก่อนที่เธอจะขโมย”
หอมน้ำเชิดหน้า “คุณจะทำยังไงก็ตามใจ แต่หนูขอยืนยันด้วยเกียรติว่าหนูไม่ใช่ขโมย”
หอมน้ำหันหลังกลับจะเดินลงไป
ศวัสคว้าแขนไว้ทันที “จะหนีไปไหน”
หอมน้ำพยายามบิดแขนออก “ไม่ได้หนี ปล่อยนะ”
“ฉันไม่ปล่อยให้เธอหนีไปไหนได้ง่ายๆ หรอก มานี่!”
ศวัสเป็นฝ่ายลากแขนหอมน้ำลงบันได จนร่างเด็กสาวเซถลาต้องจับราวบันไดไว้ด้วยกลัวตก

ต่อมาไม่นานศวัสลากแขนหอมน้ำมาถึงห้องรับแขกและตะโกนเรียก
“แจ่ม...แจ่ม”
“ขา...” แจ่มรีบร้อนเข้ามาบวกตกใจเมื่อเห็นภาพนั้น “อุ๊ย”
“ไปตามผู้กำกับเข้ามานี่”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวนี้เลยนะ บอกว่าฉันมีธุระสำคัญ”
“ค่ะ” แจ่มรีบออกไป”
หอมน้ำพยายามบิดแขนออก “ปล่อย”
“ไม่ นี่ฉันยังเห็นว่าเป็นเด็กเลยไม่อยากประจาน เดี๋ยวจะหาว่าใจร้าย ไม่อย่างนั้นฉันพาไปประกาศข้างนอกให้รู้กันทั่วแล้ว”
หอมน้ำกัดปากแน่น และมองศวัสด้วยความคับแค้นใจ

ที่ห้องแต่งตัวหลังบ้าน เขน ทับทิม อุมา พิไล และกุ๊กธุรกิจกอง กำลังจกส้มตำกันเอร็ดอร่อยจนน้ำหูน้ำตาไหล
“น้องหอมมัวแต่ทำอะไรอยู่น่ะ เดี๋ยวก็หมดก่อนหรอก” อุมาถามหา
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวป้าตำให้ใหม่ได้” พิไลบอก
“เขนว่าเขนไปตามดีกว่า”
ทับพยักพเยิดสนับสนุน แต่พูดไม่ออกเพราะส้มตำเต็มปาก

ด้านโค้กรีบเร่งเดินเข้ามาในห้องรับแขก
“มีอะไรหรือครับ ผู้กำกับกำลังยุ่งผมเลยเข้ามาแทน”
ศวัสฟ้องทันที “เด็กคนนี้บุกรุกเข้ามาในบ้านผม อาจจะมีเจตนาไม่ดี”
หอมน้ำมองโค้กน้ำตาคลอ “หอมเปล่าจริงๆ ค่ะ พี่โค้ก”
เสียงเขนดังขึ้น “หอม”
ทุกคนหันไปมอง ในนั้นมีเยาวภาและแจ่มยืนดูห่างๆ
เขนรีบตรงมาที่เพื่อน “หอม เกิดอะไรขึ้น”
“คุณหมอฟันทันตแพทย์ เขาหาว่าหอมบุกรุกเข้ามาขโมยของ” หอมน้ำพูดด้วยเสียงขาดเป็นห้วงๆ พูดไปสะอื้นไป
“ถ้าไม่ใช่ก็อธิบายซิว่าเข้ามาในบ้านฉันทำไม” ศวัสเสียงแข็ง
หอมน้ำสะอึกสะอื้น เขนเข้ามาโอบไหล่เพื่อนไว้อย่างปลอบโยน
โค้กยืนยันกับศวัสหนักแน่น “น้องหอมไม่ใช่คนอย่างนั้นแน่นอนครับ ผมรับรองได้”
หอมน้ำยังพูดปนสะอื้นเช่นเดิม “หอม...หอมเห็นตัวประกอบเข้ามาในนี้ หอมก็เลยเข้ามาตาม”
ศวัสสวน “แต่ผมไม่เห็นมีใครสักคน”
“มี...มี...จริงๆ ค่ะ หอมเห็นตั้งแต่เข้ามาถ่ายวันแรกแล้ว หน้าตาเขาสวยมาก ไว้ผมซอยสั้นสไลด์สูง ข้างหน้าเป็นผมม้าปัดๆ ท่าทางเหมือนหยิ่งนิดๆ”
โค้กและเขนครุ่นคิดเหมือนพยายามทบทวน
“ใครกัน”
ศวัสยิ้มเยาะ “ถ้าสวยขนาดที่เธอบอกคงเป็นนางเอกแล้วมั้ง ไม่ต้องเป็นตัวประกอบหรอก”
หอมน้ำมองหน้าแต่ละคนด้วยสีหน้าแววตาหนักแน่น “หอมสาบานได้ว่าหอมไม่ได้โกหก หอมเห็นผู้หญิงคนนี้เข้ามาในบ้านแล้วก็ขึ้นไปข้างบน”
“ผมอยู่ข้างบนแต่ก็ไม่เห็นมีใครเลย นอกจาก” เขาเบือนหน้าจากโค้กมาทางหอมน้ำนัยน์ตาดุ “เธอ”
โค้กและเขนดูกังวลกับถ้อยคำกล่าวหาอย่างหนักแน่นของศวัส ในขณะที่หอมเชิดหน้าขึ้นด้วย
ความถือตัวและตัดสินใจแน่วแน่
“ในเมื่อคุณปักใจเชื่ออย่างนั้น หนูก็จะไม่เหยียบเข้ามาในบ้านนี้อีกเลย แล้วถ้ายังไม่สะใจ คุณจะแจ้งความจับหนูขังคุกก็ได้”

หอมน้ำกลับมาถึงหอพักในตอนค่ำ เวลานี้นั่งเครียดอยู่ภายในห้อง และเลื่อนชามราดหน้าทะเลตรงหน้าให้เขน

“เขนกินเถอะ หอมกินไม่ลง”
โค้กซึ่งมาส่งกับทับทิมดูเป็นห่วงเป็นใยมาก “เอาน่า...กินสัก 2-3 คำก็ยังดี”
“กระเดือกเข้าไปสักนิดก็ยังดีนะน้องหอม ให้พี่โค้กป้อนให้ก็ได้ ท่าทางอยากป้อนจะแย่” ทับทิมประชด
“บ้าน่า นี่มันเป็นเรื่องจริงจังไม่ใช่มาพูดกันเล่นๆ”
“หรือหอมจะกินโจ๊ก เอามั้ย พี่โค้กจะไปซื้อให้” เขนว่า
โค้กฉุน “ไอ้เขน”
เขนค้อนควัก “ทีเขนละก็เรียกไอ้..ทีหอม...”
สีหน้าหอมน้ำไม่ดีขึ้น ทับทิมสะกิดเขนแล้วส่ายหน้าให้หยุดพูด
หอมน้ำยกมือปิดหน้าร้องไห้ “หอมคงไม่ผ่านวิชานี้แน่เลย”
เขนโอบหอมมากอดเพื่อน
โค้กบอกเสียงหนักแน่น “ใจเย็นๆ พี่จะขอให้คุณเจคช่วย”

ในห้องรับแขกคืนเดียวกันนี้ บุรีชะงัก สีหน้าแววตาตื่นเต้นเมื่อฟังลูกชายพูดจบ
“หนูหอมบอกว่าอย่างนั้นหรือ”
“ครับ อุตส่าห์พยายามอธิบายรูปร่างหน้าตาเสียดิบดี” สุ้มเสียงของศวัสยังเต็มไปด้วยแววเยาะหยัน
“เขาไม่ได้พยายามหรอก” บุรีว่า
ศวัสมองพ่ออย่างแปลกใจ
“พ่อรู้ว่าเขาหมายถึงใคร” น้ำเสียงบุรียังตื่นเต้น
ศวัสอึ้ง “คุณพ่อ”
บุรีมองลูกด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง “พ่ออยากจะเตือนหน่อย แกเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นถึงหมอฟัน อย่าไปเอาเรื่องเอาราวกับเด็กที่ยังเรียนไม่จบ”
ศวัสขัดทันที “แต่เด็กนั่น”
“ฟังพ่อพูดให้จบก่อน”
ศวัสจำต้องนิ่งฟัง
“ไม่อย่างนั้นใครๆ เขาจะพูดได้ว่ารังแกเด็ก”
ศวัสหน้าตึง “ผม”
“บอกว่าฟังพ่อพูดให้จบก่อน”
“ครับ”
“พรุ่งนี้แกต้องบอกทางกองถ่ายว่าอนุญาตให้หนูหอมน้ำกลับมาฝึกงานที่นี่ต่อ แล้วถ้าจะเข้ามาในบ้านก็ได้”
ศวัสขัดใจนัก “แต่ว่าเด็กนั่น”
“แกอายุเท่าไหร่แล้ว”
ศวัสนิ่งอึ้ง
บุรีลุกขึ้นกำชับลูกชายเสียงเข้ม “อย่าไปเอาเรื่องเอาราวกับเด็กมันเลย”
แล้วเดินออกไป ศวัสยังคงนั่งนิ่ง

บุรีเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนอน ภายในห้องมีรูปพุธกันยาจัดวาง ตั้ง และแขวนอยู่ตามมุมต่างๆ ดูออกว่าผู้เป็นเจ้าห้อง ไม่สามารถปล่อยวาง และตัดใจจากพุธกันยาผู้ล่วงลับไปได้
บุรีเดินช้าๆ มาหยุดตรงหน้ารูปพุธกันยารูปหนึ่ง ซึ่งแต่งตัวตามที่หอมน้ำเห็น
“เขาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสวยมาก ไว้ผมสั้นแถมซอยสไลด์สูง ข้างหน้าเป็นผมม้าปัดๆ หน้าตาท่าทางเหมือนหยิ่งนิดๆ ผมว่าเด็กนั่นโกหกเป็นไฟจนแม้แต่ตัวเองยังเชื่อ”
นึกถึงคำพูดลูกชายแล้ว บุรีถอนใจยาว
“หอมน้ำไม่ได้โกหกหรอกศวัส” สีหน้าและแววตาท่านนายพลหมองลง มองภาพพุธอย่างตัดพ้อ “คุณยังวนเวียนอยู่ในบ้านนี้ใช่ไหม แล้วทำไมผมถึงไม่เคยเห็นคุณเลย กัลยา”

ระหว่างนี้วิญญาณพุธกันยาปรากฏตัวขึ้นที่มุมหนึ่ง มองมายังบุรี ใบหน้าสวยหมองเศร้า

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น