xs
xsm
sm
md
lg

เพื่อน แพง ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เพื่อนแพง ตอนที่ 1

ท้องทุ่งบ้านสร้างในยามนี้ นาข้าวกำลังเริ่มตั้งท้องสีเขียวชะอุ่มสุดสายตา ลอ หนุ่มฉกรรจ์วัย 21 ปี หน้าตาดี กล้ามเป็นมัด ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ไอ้หนุ่มท้องนาอารมณ์ดีควบขี่เจ้าเปลี่ยว ควายร่างทะมึนบึกบึน เสียงดังมาตามทาง ฝุ่นตลบราวกับควบม้าก็ไม่ปาน

ส่วนที่ลานบ้านครูแสง ซึ่งเป็นที่ซ้อมวงดนตรีปี่พาทย์ของครู เพื่อน สาวสวยแห่งบ้านสร้างวัย 21 ปีหน้าตาสวยคม เก่งการบ้านการเรือน ผิวพรรณดี รักสวยรักงาม กำลังสอนเด็กสาวๆ ในหมู่บ้านที่มาฝึกรำกับคณะปี่พาทย์ของครูแสงให้ร่ายรำอย่างอ่อนช้อยสวยงาม ครูแสงนั่งดูอย่างชื่นชม
แพง หญิงสาวกะโปโลวัย 17 ปี นุ่งผ้าถุงเก่าๆ และเสื้อซีดๆ ก้มหน้างุดๆ มุดเข้าไปในกองฟาง โผล่มาแต่ก้นกลมกลึงส่ายไปมา แพงตะโกนเรียกหาแมวรักที่เลี้ยงเอาไว้
“อีทิ้ง อีทิ้ง หายหัวไปไหนวะ เจอเมื่อไหร่โดนจับอดข้าวอดน้ำให้เข็ดแน่”
แพงคลานถอยออกมาจากกองฟางเพราะได้ยินเสียงแมวร้อง
“อยู่นี่เอง กลัวข้าจะไม่ให้ข้าวให้ปลาเอ็งล่ะสิถึงโผล่ออกมา”
แพงจะเดินเข้าไปหาแมวสาวแต่แมวกลับวิ่งหนีออกไปอีก แพงตะโกนลั่น
“อีทิ้ง กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะโว้ย”
แพงรีบวิ่งไล่ตามแต่ไม่ทันมองเท้า เลยย่ำลงไปที่พื้นเฉอะแฉะ ลื่นล้มหน้าคะมำร้องเสียงดัง หน้าแพงล้มลงไปจมแอ่งโคลน พอเงยหน้าขึ้นมา โคลนสีน้ำตาลเต็มหน้า ดูแล้วชวนขัน ทั้งๆ ที่ใบหน้าของแพง ก็มีความสวยไม่น้อยไปกว่าเพื่อน ซึ่งเป็นพี่สาว

ผู้ใหญ่ผาดกับพิศยืนดูรวงข้าวซึ่งหลายต้นเริ่มมีอาการเฉาให้เห็นเพราะขาดน้ำมาหลายอาทิตย์จนทั้งคู่เริ่มหน้าเครียดๆ
“เฮ้อ ถ้าฝนยังทิ้งช่วงอยู่แบบนี้ มีหวังข้าวได้ยืนต้นตายกันทั้งทุ่งบ้านสร้างแน่”
“งั้นก็ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะผู้ใหญ่ เอาไว้ฉันจะเป็นธุระจัดการเอง”
ผาดกับพิศมองหน้ากันได้ครู่ก็ได้ยินเสียงชาวบ้านในท้องนาพากันร้องตกอกตกใจชี้ให้ดูบางอย่าง
พิศกับผาดมองไปก็เห็นตัวต้นเหตุคือ ลอ ควบไอ้เปลี่ยวฝุ่นตลบลัดเลาะผ่านทุ่งนาแถมยังอวดเก่งขึ้นยืนบนหลังควาย ก็ตกใจแทบหงายหลัง ชาวบ้านหญิงคนหนึ่งอุทาน
“อกอีแป้น ผีตายโหงตายห่าสิงเอ็งเหรอวะไอ้ลอ เดี๋ยวก็ตกลงมาคอหักตายหรอกเว้ย”
“ตกไม่กลัว กลัวไม่ตกหรอกจ้ะยายแป้น”
ลอหันมาตะโกนหัวเราะตอบกลับไปอย่างสนุกสนานแล้วควบควายฝุ่นตลบไปตามทาง สะดุดเกือบตกนิด หนึ่งให้คนเฒ่าคนแก่ใจหายใจคว่ำ ก่อนจะยิ้มทะเล้นควบไอ้เปลี่ยวไปต่อ ผาดหัวเราะชอบใจ
“สันดานควายตัวผู้ว่าคึกคะนองแล้วยังไม่เท่าเจ้าของที่เลี้ยงมัน ควาย ทำงานเสร็จก็คิดถึงคอก ส่วนไอ้ลอก็คิดถึงนังเพื่อนของมันไง ฮ่าๆๆ จริงมั้ยไอ้พิศ”
ผาดหัวเราะชอบอกชอบใจมองตามลอที่ควบไอ้เปลี่ยวฝุ่นตลบ พิศมองตามลอแล้วยิ้มชอบใจ

เพื่อนจบท่ารำอันสวยงามพร้อมกับท่อนจบของวงดนตรีปี่พาทย์ที่มีครูแสงเป็นหัวหน้าและเจ้าของวง จนครูแสงอดชื่นชมเพื่อนไม่ได้
“นี่ขนาดเอ็งทิ้งวิชาความรู้ไม่ได้มาเรียนกับข้านานแล้ว แต่ฝีไม้ลายมือเอ็งไม่มีตกไปเลยนะนังเพื่อน”
“ครูก็ชมฉันเกินไปจ้ะ ฉันก็แค่พอจะจำได้เท่านั้นเอง ที่ช่วยสอนให้เมื่อกี้นี้ก็ไม่รู้จะช่วย สอนน้องๆให้ครูได้รึเปล่า”
“ช่วยได้สิ เอ็งช่วยข้าได้เยอะเลย ว่าไปข้าก็ยังเสียดาย เอ็งไม่น่าเลิกเรียนกับข้าเลย”
“จะให้ฉันไปตระเวนรำที่อื่นบ่อยๆ ไม่ได้หรอกจ้ะครู ไม่มีใครดูแลพ่อ”
“แต่น้องเอ็งปีนี้ก็โตเป็นสาวแล้วไม่ใช่เหรอ จะฝากผีฝากไข้อะไรมันไม่ได้เหรอไง”

“อีแพงน่ะเหรอจ๊ะครู จะไปหวังอะไรกับมันได้”

เพื่อนพูดไม่ทันขาดคำเสียงแพงก็ดังลั่นเข้ามาด้วยสภาพหน้าเปื้อนโคลนเนื้อตัวเลอะเทอะ มอมแมม

“อีทิ้ง อยู่เฉยๆ ให้ข้าลากคอเอ็งกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะเว้ย”
แพงชี้ผ่าวงไปที่แมวซึ่งไปยืนอยู่กลางวงดนตรีปี่พาทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครเห็น แพงกระโจนเข้าไปหวังตะครุบแมว แต่แมวโดดหนี แพงเลยหน้าคะมำชนข้าวของเครื่องดนตรีล้มระเนระนาด ต่อหน้าตาต่อตาครูแสงกับเพื่อน
“อีแพง หยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้าวของครูเขาป่นปี้หมดแล้ว”
“หยุดไม่ได้หรอกพี่เพื่อน เดี๋ยวอีทิ้งมันไปเยี่ยวเรี่ยราดใส่เครื่องดนตรีครูแล้วฉันจะยิ่งซวย”
แพงพูดไปก็หันไปเห็นแมวเข้าไปยืนคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ขาเพื่อน
“อีทิ้ง อยู่เฉยๆ ให้ข้าจับเอ็งกลับบ้านซะดีๆ”
แพงพูดพร้อมพุ่งกระโจนใส่แต่ไม่ทันระวัง ชนเพื่อนล้มโครมก้นจ้ำเบ้า แล้วแพงก็ตะครุบแมวมาจนได้ เพื่อนลุกขึ้นอย่างเจ็บใจ
“อีแพง มึง”
แพงสะดุ้งเห็นเพื่อนถลึงตาโกรธแถมที่มือยังเจ็บเพราะตอนล้มมือลงไปยันพื้นจนเคล็ด แพงเลยจ๋อยอุ้มแมวไปอย่างหน้าเครียดๆ

ลอช่วยนวดข้อมือให้เพื่อนอย่างเป็นห่วงเป็นใย อยู่ที่บ้านของเพื่อน
“ยังเจ็บอยู่อีกรึเปล่าจ้ะแม่เพื่อน”
“ดีขึ้นหน่อยแล้วจ้ะพี่ลอ”
“งั้นพี่นวดข้อมือให้อีกหน่อยนะจะได้หายเจ็บไปเลย”
ลอพูดไปก็ทั้งนวดทั้งคลึงและช่วยเป่าอย่างเป็นห่วงเป็นใย แพงแอบชะโงกหน้ามอง
“ขอบใจมากนะจ๊ะพี่ลอ ดูสิ ออกไปทำงานให้บ้านฉันตั้งแต่เช้ามืด ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กิน แล้วยังต้องเสียเวลามาดูแลฉันอีก”
“ไม่เป็นไรหรอกแม่เพื่อน ต่อให้หิวขนาดไหนพี่ก็หิ้วท้องรอแม่เพื่อนทำกับข้าวให้กินได้จ้ะ”
“แต่จนป่านนี้ฉันยังไม่ได้เข้าครัว พี่ลอจะไส้กิ่วเอาก่อนน่ะสิจ๊ะ”
แพงได้โอกาสรีบเสนอหน้า
“พี่ลอจ๊ะ ถ้าพี่ลอหิวฉันมี”
“อีแพง ยังมีหน้าโผล่มาอีกเหรอ เอาอีทิ้งไปปล่อยวัดรึยัง ถ้ายังข้าจะเป็นคนเอามันไปปล่อยเอง”
“ขอฉันเลี้ยงมันเอาไว้ไม่ได้เหรอ ฉันสัญญา ฉันจะไม่ปล่อยให้มันไปเพ่นพ่านข้างนอกอีก”
“ไม่ได้”
“โธ่พี่เพื่อน ขอฉันเลี้ยงอีทิ้งให้มันฟังฉันบ่นบ้างเถอะ ไม่งั้นอยู่บ้านฉันก็มีแต่โดนพ่อกับพี่บ่นด่ากรอกหูทุกวัน ด่าจนฉันหูจะหนวกอยู่แล้ว”
พิศเดินเข้ามา
“หนอยอีแพง ที่เอ็งโดนข้ากับพี่สาวบ่นด่าทุกวัน เพราะเอ็งนั่นแหละทำตัวเอง เกิดมาก็เป็นตัวซวยทำให้เมียข้าตาย ทำให้ไอ้เพื่อนมันกำพร้าแม่”
แพงชะงัก
“พ่อ ถ้ารู้ว่าเกิดมาแล้วทำให้แม่ตาย ฉันก็ไม่อยากเกิดหรอก”
“อีนี่ ยังจะเถียงอีก”
“อาพิศจ้ะ ฉันว่าพอเถอะจ้ะ อีแพง จะไปไหนก็ไป ไปสิ”
แพงหน้าเศร้ารีบออกไป เพื่อนถอนใจเหนื่อยหน่ายแพง ส่วนพิศมองตามลูกสาวแล้วหัวเสีย นึกถึงเรื่องในอดีต วันนั้น ฝนฟ้าคะนองระคนเสียงร้องเจ็บปวดของสายแม่ของเพื่อน กำลังร้องเจ็บปวดจะเป็นจะตาย เพื่อนในวัย 5 ขวบ สีหน้าตื่นตระหนกตกใจกลัว แต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็นชะโงกหน้าเข้าไปดูแม่ที่กำลังพยายามเบ่งท้องคลอด โดยมีหมอตำแยกับพ่อช่วยกันเอาใจช่วย
“ไม่ไหว ฉันไม่ไหวแล้ว เจ็บเหลือเกิน โอ๊ย ช่วยฉันด้วย ช่วยด้วย”
“ทำไมนังสายมันเจ็บจะเป็นจะตายอย่างนี้ล่ะ”
“ก็ลูกเอ็งไม่ยอมกลับหัวออกมาน่ะสิวะ” หมอตำแยบอกพิศ
“แล้ว แล้วจะทำยังไงล่ะ” พิศร้อนใจ
“เอ็งออกไปก่อน อย่ามาเกะกะข้า”
หมอตำแยไล่ให้พิศถอยออกไปแล้วเข้าไปช่วยดูอาการให้สายที่ยังร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาน
พิศเดินถอยออกมาหาเพื่อนที่รออยู่ข้างนอกด้วยความเป็นห่วงแม่
“พ่อจ๋า แม่จะเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
“แม่เอ็งต้องไม่เป็นอะไรนังเพื่อน”
พิศดึงลูกสาวเข้ามากอดหน้าเคร่งเครียด แต่ไม่ทันไรเสียงร้องโหยหวนทรมานของสายก็ดังลั่น พิศกับเพื่อนชะงักหันไป ไม่ทันจะทำอะไร เสียงร้องของเด็กแรกคลอดก็ดังลั่นตามมา พิศกับเพื่อนรีบเข้าไปข้างใน เห็นหมอตำแยอุ้มเด็กตัวแดงๆ อยู่ในห่อผ้า
“เอ็งได้ลูกสาว”
“แล้วนังสายล่ะ”
หมอตำแยนิ่งไปไม่พูดอะไรได้แต่เบือนหน้าไปทางสายที่นอนตายตาเบิกค้าง ดูน่าตกใจและสมเพชเวทนา
“นังสาย นังสาย เอ็งอย่าทิ้งข้าสิวะ นังสาย เอ็งตายไม่ได้นะ”
พิศคร่ำครวญเสียใจในขณะที่ลูกน้อยที่เพิ่งเกิดใหม่ก็ส่งเสียงร้องดังลั่น พิศหันมามองอย่างเกรี้ยวกราด
“อีลูกอัปรีย์ เอ็งทำให้เมียข้าตาย”

เวลาผ่านไป เพื่อนในวัย 10 ขวบ เล่นหม้อข้าวหม้อแกงอยู่กับเด็กในวัยเดียวกัน แพง 6 ขวบ เล็กกว่าเพื่อนเดินเข้ามาขอเล่นด้วย แต่ไม่มีใครให้เล่น ส่วนพิศกำลังก่อกองไฟเตรียมไล่ยุงใกล้ๆ คอกควาย
“ฉันขอเล่นด้วยไม่ได้เหรอพี่เพื่อน”
“เอ็งเล่นด้วยทีไร ของเล่นพวกข้าแตกหักพังหมด ไปเลยอีแพง ไปเล่นคนเดียวของเอ็งนั่นแหละ”
เพื่อนตวาดใส่จนแพงหน้าจ๋อยๆ เดินออกไปนั่งเซ็งๆ อยู่ข้างๆ กองไฟที่พิศเพิ่งจะก่อทิ้งไว้แล้วเดินออกไป แพงเห็นกองไฟแล้วสงสัยตามประสาเด็กเลยเข้าไปหยิบท่อนฟืนที่ติดไฟขึ้นมาแต่รู้สึกร้อนเลยเผลอโยนทิ้งไปตรงกองฟาง ไฟลุกพรึ่บ เพื่อนหันมาเห็นก็ตกใจร้องเสียงหลง
“พ่อ พ่อ อีแพงทำไฟไหม้ มันจะเผาบ้านเราแล้วพ่อ”
พิศตกใจรีบเข้ามา เห็นไฟลุกไหม้กองฟางก็รีบเอาน้ำไปสาดดับไฟแล้วหันมาหน้าตาถมึงทึงใส่แพง
“อีแพง อีตัวซวย มึงจะผลาญทุกอย่างในชีวิตกูหมดเลยใช่มั้ย ไอ้ลูกเวร”
“ฉันไม่ตั้งใจจ้ะพ่อ”
“แต่ฉันเห็นอีแพงมันโยนฟืนใส่กองฟางเมื่อกี้นี้นะพ่อ”
“ฉันไม่ตั้งใจจริงๆ นะจ๊ะพ่อ”
“มึงไม่ตั้งใจยังทำให้แม่มึงตาย แล้วถ้ามึงตั้งใจมึงไม่ทำให้ชีวิตกูกับพี่สาวมึงบัดซบไปมากกว่านี้อีกเหรอ”
พิศอารมณ์ฉุนเฉียวคว้าไม้เรียวขึ้นมาแล้วจับแพงมาฟาดไม่ยั้ง

แพงร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น

พิศเข้ามานั่งในบ้านยังไม่หายโมโหแพง

“ที่หลังเอ็งไม่ต้องไปให้ท้ายอีแพงมันอีกนะไอ้ลอ ไม่เห็นเหรอไง มันถึงไม่รู้จักโตซะที”
“พ่อจะไปโทษพี่ลอเขาไม่ได้นะ อีแพงมันต่างหากที่หัวแข็ง สอนอะไรไปเคยจำซะที่ไหน แถมยังชอบอวดฉลาดอีก”
“ฉันก็แค่สงสารอีแพงมันจ้ะอา ช่วยเลี้ยงมันมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก”
“เอาล่ะๆ ข้าพูดเตือนเอ็งมากเดี๋ยวจะกลายเป็นโดนนังเพื่อนแขวะข้าให้อีก อะไรก็แตะเอ็งไม่ได้สักอย่าง มันจะหวงเอ็งมากกว่าหวงพ่อมันซะอีก”
“พ่อนี่ก็ พูดอะไรอย่างนั้น”
เพื่อนเขินหน้าแดงไม่กล้าหันไปสบตาลอ พิศชอบอกชอบใจแล้วนึกได้ขยับห่อใบตองที่ถือติดมือมาด้วยให้ดู
“เออ ข้าไปช่วยบ้านไอ้เนื่องมันล้มควายมาเลยได้เนื้อมาให้นังเพื่อนทำกับข้าว เย็นนี้เอ็งอยู่กินด้วยกันนะไอ้ลอ ข้าจะได้คุยกับพวกเอ็งเรื่องที่ฝนมันทิ้งช่วงจนข้าวจะเฉาตายทั้ง ทุ่งบ้านสร้างอยู่แล้ว”
“ได้จ้ะอา มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอก”
“งั้นเดี๋ยวฉันเอาเนื้อไปแกงให้พี่ลอกินนะ ของโปรดของพี่ลอเลยไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
“ขอบใจจ้ะแม่เพื่อน ถึงจะเป็นของโปรดพี่แต่ถ้าไม่ใช่รสมือแม่เพื่อนทำล่ะก็ แกงเนื้อที่ไหนว่าอร่อยพี่ก็เมินหมดแหละจ้ะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ลอเอาไอ้เปลี่ยวไปอาบน้ำ แล้วพี่ลอก็อาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวด้วย กลับมาจะได้กินแกงเนื้อรสมือของฉัน”
“จ้ะแม่เพื่อน”
ลอกับเพื่อนสบตาหวานฉ่ำ ลอเดินออกไป เพื่อนมองตามชายหนุ่มคนรักโดยไม่รู้ตัวว่าพ่อมายืนข้างๆ
“โชคดีของเรานะนังเพื่อนที่ไอ้ลอมันอยู่ช่วยทำไร่ทำนาให้เรา ไม่งั้นข้าคนเดียวคงไม่ไหว”
“พี่ลอเขาบอกฉันเสมอว่าเขาสำนึกบุญคุณที่พ่อช่วยเลี้ยงเขามา ถ้าไม่มีพ่อเขาก็ไม่มีใคร”
“ไอ้ลอมันเป็นคนดีสมกับที่พ่อมันสั่งเสียเอาไว้ก่อนตาย”
พิศยิ้มรับมองตามลอพร้อมกับเพื่อนที่ยิ้มชื่นชมลอเหมือนกัน

บริเวณบึงน้ำร่มรื่น ลอขี่ควายมาหยุดข้างๆ บึง ยกแขนตัวเองขึ้นมาดมรักแร้แล้วหน้าเหยเก ก่อนจะยื่นหน้าไปดมตามตัวควาย
“กลิ่นเอ็งกับกลิ่นข้านี่มันแข่งกันเหม็นจริงๆ เลยว่ะไอ้เปลี่ยว วันนี้ต้องไล่เหงื่อไล่ไคล ออกไปเยอะๆ นะเว้ยไอ้เกลอ เวลากอดหอมแม่เพื่อนเขาจะได้หอมชื่นใจ”
ลอเอามือตีบั้นท้ายควายไสให้เดินไปแช่น้ำในบึง ส่วนตัวเองเดินไปที่ริมตลิ่งแล้วปลดผ้าขาวม้า ถอดกางเกงลงจะเล่นน้ำ แพงแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วบริเวณริมตลิ่ง เธอตกใจหน้าเหวอ เมื่อเห็นลอถอดกางเกงลงมากองกับพื้น แพงตาโต รีบเอามือปิดตาแต่ถ่างนิ้วแอบดู
“อี๋ ทุเรศลูกตา แหวะ”
ลอรู้สึกเหมือนมีคนแอบดูอยู่เลยรีบดึงกางเกงขึ้นมามัดแล้วหันขวับไปมอง
“ใครวะ”
ลอหันไปมองหาเพราะคิดว่าต้องมีใครอยู่แถวนี้แน่ๆ แต่ทุกอย่างเงียบกริบ เลยไม่คิดอะไรหันหน้าลงไปแหวกว่ายในบึงอย่างสบายใจ ส่วนแพงก็ค่อยๆ ชะโงกหน้าออกมาอีก
“หน้าด้านไม่รู้จักอายจริงๆ เลยพี่ลอ เจ้าประคู้น ขอให้โดนปลิงเกาะตรง”
แพงชะงักอมยิ้ม หัวเราะคิกคัก
“ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวต้องเดือดร้อนหายามารักษาพี่ลออีก”
แพงพูดไปก็ขยับตัวชะเง้อออกมามองลอแหวกว่ายอยู่ในบึง ชูห่อข้าวเหนียวเปียกที่มีผ้าขาวม้าห่อไว้แล้วอมยิ้ม และโดยไม่ทันระวังเท้าตัวเองเลยเหยียบไปที่รังมดแดงเต็มๆ มดแดงเริ่มไต้ยั่วเยี้ยที่ขา จนเริ่มรู้สึกคันยุกยิก
“เฮ้ย มดแดง ซวยแล้วอีแพง คันโว้ย”
แพงเต้นไปมาเพราะมดแดงกัดเต็มสองขาแถมยังไต่ขึ้นมาถึงผ้านุ่งอีก ทำให้คันยิบๆ เต้นเป็นลิงค่าง

ลอแหวกว่ายอยู่ในบึงน้ำ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ของเขาทำให้ดูบึกบึน ดำผุดดำว่ายอย่างสบายใจ แล้วทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาใบหน้าหล่อเหลา
“ทีนี้เนื้อตัวข้าก็สะอาดสะอ้านพอจะไปกอดไปหอมแม่เพื่อนได้แล้วใช่มั้ยไอ้เปลี่ยว”
ลอพูดกับไอ้เปลี่ยวซึ่งขึ้นจากน้ำมายืนเคี้ยวหญ้าอยู่ข้างบึง แต่ไม่ทันที่ลอจะขึ้นจากบึงก็ได้ยินเสียงแปลกๆ จากหลังดงต้นกกที่ขึ้นหนาแน่นอีกด้านของบึง
“อู้ย ทั้งแสบ ทั้งคันไปหมดทั้งตัว ยังเข้าตูดข้าอีก อู้ย ไอ้มดบ้าเอ๊ย เจอรังเจอไข่ของพวกเอ็งล่ะก็ อีแพงจะเอามาแกงกินให้หมด อู้ย”
ลอขมวดคิ้วสงสัยเพราะเสียงร้องซี้ดซ้าดแสบๆ คันๆ เป็นเสียงที่คุ้นเคย เขาค่อยๆ แหวกว่ายผ่านดงต้นกกเข้าไปช้าๆ และอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว จึงเห็นแพงกำลังยืนแช่ตัวอยู่ในน้ำมีผ้าแถบพันอก และผ้านุ่งที่ถลกขึ้นมาถึงโคนขาอ่อน ยืนเกาคันคะเยอไปทั้งตัว
“อู้ย ยิงคันก็ยิ่งแสบ ยิ่งแสบก็ยิ่งคัน ซวยอะไรอย่างนี้เนี่ยอีแพง”
แพงบ่นไปแล้วได้ยินเสียงขำหัวเราะเบาๆ มาจากดงต้นกก พอหันไปเห็นว่าเป็นลอกำลังหัวเราะเยาะก็ตกใจ
“พี่ลอ ลามกจกเปรต มาแอบดูฉัน”
แพงรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกแล้วรีบไปคว้าเสื้อแขนยาวที่พาดอยู่ริมตลิ่งมาสวมทับทันที
“น้อยๆ หน่อยอีแพง ข้าเนี่ยนะมาแอบดูเอ็ง เอ็งมันมีอะไรให้ข้าดูนักหนาวะ”
“ถ้าพี่ไม่คิดจะมาแอบดูฉัน แล้วพี่จะแอบเข้ามาเงียบๆ ทำไม เจตนามันฟ้อง ลามก”
แพงควักขี้เลนจากในน้ำขึ้นมาปาใส่ลอไม่หยุด ลอฉากหลบไปมาสองสามก้อนแรกไม่โดน
“ฝีมือเอ็งมีแค่นี้เหรอวะอีแพง ไม่สมราคาคุยที่เอ็งเที่ยวฟุ้งไปทั่วว่าเอ็งมันเป็นตัวแสบประจำทุ่งบ้านสร้างนี่หว่า”
“พี่ลอ”
แพงจิกหน้าเจ็บใจควักขี้เลนขึ้นมาแล้วเล็งอีกที ขี้เลนโปะเข้าไปกลางหน้าลอเต็มๆ
“ทีนี้ฉันใช่ตัวแสบประจำทุ่งบ้านสร้างรึยังจ๊ะ พี่ลอจ๋า”
ลอเจ็บใจลูบขี้เลนออกจากหน้า
“อีแพง นี่เอ็งเอาจริงกับข้าเหรอ”
“ก็พี่ลออยากมาดูถูกฉันทำไม”
“ก็เอ็งมาแอบดูข้าอาบน้ำ คิดจะหาเรื่องแกล้งข้าก่อน”
“ฉันเปล่าซะหน่อย”
“อย่ามาเถียง ข้าอุตส่าห์ช่วยห้ามไม่ให้เอ็งโดนอาพิศด่า แต่เอ็งก็ยังคิดหาเรื่องมาแกล้งข้า เจตนาไม่ดีแบบนี้ก็สมแล้วที่จะโดนมดแดงรุมกัดแบบนี้”
“พี่ลอเนี่ย รู้ทันเรื่อย ฉลาดพอๆ กับไอ้เปลี่ยวเลย แบร่”
แพงแลบลิ้นกวนๆ ใส่ แล้วรีบกระโจนลงไปในน้ำที่ลึกกว่าเดิม
“คิดจะหนีเหรออีแพง”
“แน่จริงก็จับฉันให้ได้สิ พี่ลอจ๋า”
แพงดำลงไปในน้ำแล้วหายต๋อม ลอมองตาม ยิ้มเยาะมุมปากอย่างยียวนทันกัน
“คิดจะดำน้ำหนีไอ้ลอ คิดผิดแล้วอีแพง ใครๆ เขาก็ว่ากันว่าข้ามันน่าเกิดเป็นปลามากกว่าเกิดเป็นคนเว้ย”
ลอค่อยลดตัวลงแล้วจมลงไปในน้ำช้าๆ อย่างย่ามใจ
ใต้ผืนน้ำยามนี้ แสงอาทิตย์ส่องลงมาเป็นประกาย แพงแหวกว่ายหนีลอที่ไล่ตามหลัง สองหนุ่มสาวหยอกล้อกลั่นแกล้งกันอยู่ในน้ำ ผลัดกันวนรอบตัวบ้าง ผลัดกันว่ายหนีไล่จับกอดรัดฟัดกันอย่าง สนุกสนาน เหมือนเป็นเรื่องปกติของหนุ่มสาวที่เติบโตมาด้วยกัน
แพงแหวกว่ายแล้วหยุดหันมามองหาลอ แต่อยู่ๆ ลอก็หายตัวไป แพงลอยตัวอยู่ในน้ำพยายามกวาดตา มองหาลอไปรอบๆ ตัว แต่ก็ไม่เจอ แพงเริ่มสังหรณ์ใจ จะแหวกว่ายต่อแต่ก็เกิดเจ็บแปลบที่ขาเพราะตะคริวขึ้นมากะทันหัน ทำให้ขยับขาไม่ได้และดิ้นไปมาในน้ำด้วยความทรมาน

เพราะกำลังจะขาดอากาศหายใจ

เหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมา เมื่อเพื่อนในวัย 12 ปี ส่งเสียงร้องเรียกหาน้องสาวที่หายไปในน้ำนานจนผิดสังเกต

“อีแพง ขึ้นมาได้แล้ว ข้าไม่เล่นแบบนี้นะ อีแพง”
เพื่อนเรียกหาน้องสาวอีกหลายครั้งแต่ผิวน้ำก็นิ่งเงียบสงบจนเริ่มใจคอไม่ดี
“อีแพง ข้าบอกให้ขึ้นมาได้แล้วไง ไม่งั้นข้าจะไปฟ้องพ่อ เอ็งได้โดนตีตายอีกแน่”
เพื่อนน้ำตาเอ่อเพราะตกใจกลัว แล้วก็รีบวิ่งลงไปที่ตลิ่งเอามือตีน้ำเรียก
“อีแพง เอ็งอยู่ไหน ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที อีแพงจมน้ำ ฮือๆๆๆ”
เพื่อนร้องไห้โฮอย่างตื่นกลัว ระหว่างนั้น ลอ ในวัย 13 ปี วิ่งเข้ามาแล้วกระโจนลงไปในบึงน้ำทันที ลอแหวกว่ายอยู่ครู่พยายามดำขึ้นลงควานหาตัวอย่างสุดกำลัง เพื่อนยืนตกอกตกใจอยู่บนตลิ่ง ลุ้นกับความพยายามช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก
เวลาเดียวกันนั้น พิศกับเทิดกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน โดยพิศรินเหล้าในไหใส่
“ทุ่งบ้านสร้างเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะ ตั้งแต่ 20 กว่าปีที่เอ็งหายหน้าไปนั่นแหละไอ้เทิด”
“ก็หวังว่าพอข้ากลับมาแล้วคงไม่ทำให้ที่นี่วุ่นวายเหมือนเมื่อตอนที่ข้า”
“เฮ้ย เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย”
พิศพูดไปก็รินเหล้าในไหใส่ถ้วยให้เทิดสหายเก่า เทิดสังเกตเห็นไหเหล้าที่กินหมดแล้วเรียงรายอยู่ตรงมุมห้อง
“เดี๋ยวนี้เอ็งกินเหล้าขนาดนี้เลยเหรอวะไอ้พิศ”
“ย้อมใจว่ะ ตั้งแต่นังสายมันตาย ข้าก็ไม่รู้จะทำอะไร ว่างจากงานในนาก็ต้องกินเหล้า นี่แหละ เอ็งกลับมาคราวนี้ก็ดีแล้ว อยู่พักกับข้าที่นี่เลย ข้าจะได้มีเพื่อนกินเหล้าด้วย”
“แต่ข้ากับลูกจะมารบกวนเอ็งเปล่าๆ”
“รบกวนอะไรกันวะไอ้เทิด คนกันเองทั้งนั้น ถ้ายังหาที่อยู่ไม่ได้ จะอยู่ด้วยกันที่นี่เลยก็ได้ ลูกเรามันก็อายุไล่เลี่ยกัน มาเป็นเพื่อนเล่นกันเด็กๆ มันคงชอบ”
เทิดยังไม่ทันจะตอบอะไรเสียงร้องตกใจของเพื่อนก็ดังลั่นเข้ามา
“พ่อ พ่อ ช่วยด้วย ช่วยอีแพงด้วย ฮือๆๆๆ”
เทิดกับพิศพากันตกใจเมื่อหันไปเห็นแพงลูกสาวคนเล็กถูกลอลูกชายของเทิดอุ้มเข้ามาในสภาพเนื้อตัว เปียกปอนและหมดสติ
“เกิดอะไรขึ้นนังเพื่อน อีแพงเป็นอะไร”
“อี อีแพง มันจมน้ำจ้ะพ่อ แต่พี่คนนี้เขาไปช่วยงมมันขึ้นมา”
“ไอ้ลอ เอ็งช่วยมันไว้เหรอ”
“จ้ะพ่อ ฉันงมขึ้นมาจากน้ำได้ แต่เรียกเท่าไหร่มันก็ไม่รู้ตัวเลย”
“ส่งอีแพงมานี่ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เทิดเข้าไปรับแพงที่หมดสติไม่รู้สึกตัวมาแล้วรีบพาขึ้นไปบนเรือนพร้อมกับพิศ เพื่อนยังร้องไห้สะอื้น
“อีแพง ฮือๆๆ. บอกอย่าลงเล่นน้ำก็ไม่เชื่อหาเรื่องแท้ๆ ฮือๆๆๆ”
ลอเห็นเพื่อนร้องไห้ก็อดสงสารตามนิสัยสุภาพบุรุษไม่ได้ เลยเข้าไปจับมือเพื่อนมาบีบเบาๆ ปลอบใจ
“น้องสาวเอ็งไม่เป็นอะไรหรอก มีพ่อข้าอยู่ทั้งคน พ่อข้าช่วยชีวิตน้องสาวเอ็งได้แน่”
ลอพยักหน้าหนักแน่นและให้กำลังใจ เพื่อนรู้สึกคลายลงอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นความตั้งใจ ด้วยสีหน้าและแววตาของเด็กหนุ่มคนนี้
“ถ้าเอ็งโกหก น้องสาวข้าเป็นอะไรไปล่ะก็ ข้าเอาเอ็งตายแน่”
“คนอย่างไอ้ลอไม่เคยผิดคำพูด เชื่อไอ้ลอได้เลยจ้ะ เพื่อน”
“พี่ลอ”

แพงดิ้นทุรนทุรายอยู่ในน้ำเพราะขาที่เป็นตะคริวเกร็งจนขยับไม่ได้ เธอกำลังขาดอากาศ หายใจเข้าไปทุกทีจนเริ่มตาปรือและจะหมดสติ ทันใดนั้นลอก็แหวกว่ายพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แพงตาปรือมือไขว่คว้าหาลอ ลอเห็นแพงกำลังจะหมดอากาศหายใจก็รีบช่วยด้วยการประกบปาก แล้ว แบ่งลมหายใจให้แพง ก่อนจะค่อยๆ ประคองพาแพงขึ้นสู่ผิวน้ำ อุ้มแพงมานั่งพิงที่ใต้ต้นไม้
“ค่อยๆ ช้าๆ เดี๋ยวก็สำลักตายหรอกอีแพง”
แพงสำลักน้ำอยู่อีกครู่ก็รู้สึกดีขึ้น ลอเลยเอาผ้าขาวม้าแห้งๆ มาช่วยซับน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้
“หาเรื่องใส่ตัวดีนัก เกือบต้องไปนอนจมอยู่ก้นบึงแล้วมั้ยล่ะ”
“ยังมาว่าฉันอีก ก็เพราะพี่ลอนั่นแหละแกล้งฉัน”
“นี่ เอ็งมาหาเรื่องข้าก่อนนะเว้ย เดี๋ยวก็โดนข้ายันโครมให้ หัดโตบ้างสิวะ ปีนี้เอ็งโตเป็นสาวแล้ว แต่ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ คอยคิดแต่จะหาเรื่องแกล้งข้าอยู่ได้”
“คำก็หาเรื่องสองคำก็หาเรื่อง ทำไมพี่ลอไม่คิดว่าฉันมีธุระอย่างอื่นกับพี่ลอบ้าง”
“ธุระ อย่างเอ็งเนี่ยนะจะมีธุระอะไรจริงๆ จังๆ ข้าเสียเวลากับเอ็งมากแล้ว ยิ่งหิวๆ ข้าวอยู่ เดี๋ยวโมโหหิวขึ้นมาจะลืมตัวยันโครมเอ็งให้”
ลอบ่นแล้วลุกขึ้นดึงผ้าขาวม้าที่แพงยังเช็ดหน้าไม่เสร็จคืนมา แพงลุกขึ้น หัวเสียหงุดหงิด ลอขี่หลังไอ้เปลี่ยวเดินมาตามคันนา แพงก็วิ่งตามมาพร้อมกับห่อข้าวในมือ
“เดี๋ยวสิพี่ลอ อย่าเพิ่งรีบไป รอฉันก่อน”
“อะไรของเอ็งอีกวะอีแพง หูหนวกเหรอไง”
“ถ้าหูฉันหนวกก็ดีสิ เวลาพี่ด่าฉัน ฉันจะได้ไม่รู้ไม่ชี้ ด่าอะไรมาอีแพงก็ไม่สะดุ้ง”
“อีแพง ถ้าเอ็งจะมายั่วโมโหข้าอีกล่ะก็ คราวหน้าถ้าเอ็งจมน้ำอีก ข้าจะปล่อยให้เอ็งกลายเป็นผีอยู่ในบึง”
“ถ้าฉันเป็นผีอยู่ในบึง แล้วพี่ลอไม่กลัวฉันตามมาหลอกหลอนพี่ลอเหรอจ๊ะ พี่ลอจ๋า”
“ทะลึ่งเข้าไปทุกวันนะอีแพง”
ลอส่ายหน้าเบื่อแล้วจะขี่ไอ้เปลี่ยวออกไปต่อ แพงเลยรีบเข้าไปขวางหน้าเอาไว้
“เดี๋ยวสิพี่ลอ ก็เพราะฉันเป็นห่วงพี่ลอไง เห็นพี่ลอทำงานหนักมาทั้งวันข้าวปลาก็ยังไม่ได้กิน ฉันเลยเอาข้าวเหนียวเปียกมาให้ แต่ถ้าพี่ไม่อยากกินก็ช่างปะไร ฉันเอาไปเลี้ยงหมาที่วัดก็ได้”
แพงชูถุงผ้าที่ห่อข้าวเหนียวเปียกไว้ข้างในให้ดูแล้วชักสีหน้าไม่พอใจ น้อยใจ
“เอ็งเนี่ยนะเปียกข้าวเหนียวมาให้ข้ากิน มันจะกระเดือกลงคอได้เหรอวะอีแพง”
“ถ้าพี่ลอไม่อยากกระเดือกลงคอ ก็บุญวาสนาของพวกหมาวัดแล้วที่ได้กินของอร่อยๆ ฝีมืออีแพง หึ”
แพงเริ่มโมโหแล้วเดินสะบัดหน้าออกไปอย่างหัวเสีย ลอหัวเราะชอบใจ

แพงเดินหน้าเซ็งหัวเสียมาตามคันนา ลอรีบเดินตามเข้ามา
“จะรีบเดินไล่ควายที่ไหนหาอีแพง ไหนบอกว่าโตเป็นสาวพูดกันรู้เรื่องแล้วไง ยังนิสัยเป็นเด็กอยู่เลย ว่าเข้าหน่อยก็โกรธตะพึดตะพือหน้าหงิกเหี่ยวเป็นตูดยายแป้นเลย”
“พี่ลอ ฉันขอเอาเลือดออกจากปากพี่หน่อยเถอะจะได้เลิกด่าฉันซะที”
แพงกำหมัดจะเข้าไปเอาเรื่องแต่ดันลื่นโคลนที่คันนาหน้าจะคะมำร้องดังลั่น ลอรีบเข้าไปคว้าตัวแพงเอาไว้อย่างทันท่วงที แพงเลยอยู่ในอ้อมแขนของลอ ใบหน้าของลออยู่ใกล้หน้าแพง ทำเอาแพงหัวใจเต้น
“ข้ายอมเสียเวลาตามมาเพราะอยากกินข้าวเหนียวเปียกฝีมือเอ็ง ข้าจะได้กินมั้ยอีแพง”
“พี่ลออยากกินข้าวเหนียวเปียกฝีมือฉันจริงๆ เหรอ”
“เออ ข้าไม่อยากให้เอ็งไปทำบาปกับหมาวัด เดี๋ยวมันท้องเสียแล้วจะเดือดร้อนไปทั้งวัด”
“พี่ลอ”

แพงงอนกระทุ้งศอกใส่ลอ ลอจุกนิดหนึ่ง แล้วอมยิ้มชอบใจ แพงยิ้มตามหายงอน แล้วยื่นห่อผ้าให้

อ่านต่อหน้า 2

เพื่อนแพง ตอนที่ 1 (ต่อ)

เพื่อนคนแกงเนื้อในหม้อที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง สีสันของเครื่องแกงที่แตกมันในหม้อสวยงาม ชวนกิน เพื่อนตั้งใจทำและชิมรสชาติ

“แบบนี้เลยที่พี่ลอชอบ แกงให้กินทีไรหมดหม้อทุกที”
เพื่อนยิ้มแก้มปริ ก่อนจะหันไปเห็นแมวของแพงมาคาบปลาช่อนตากแห้งที่เตรียมจะทอดให้ลอกิน เพื่อนร้องเสียงหลง
“อีทิ้ง อีแมวขโมย เอาปลาแห้งข้าคืนมาเดี๋ยวนี้”
แมวตกใจเสียงร้องของเพื่อน รีบคายปลาช่อนตากแห้งแล้วกระโจนวิ่งหนีไปอย่างเร็ว เพื่อนยิ่งโมโหหันไป คว้ามีดอีโต้ขึ้นมาตาถลน
“จับตัวได้ล่ะก็ เอ็งเจ็บตัวแน่อีแมวขโมย”

แพงนั่งอยู่ตรงคันนา มองลอพยายามกระเดือกข้าวเหนียวเปียกรสชาติไม่ได้เรื่องฝีมือตัวเอง แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“แหม ข้าวเหนียวเปียกฉันอร่อยขนาดนี้เลยเหรอพี่ลอ ค่อยๆ กินก็ได้เดี๋ยวติดคอ”
ลอพูดไม่ออกเพราะข้าวเหนียวติดคออยู่ แต่แพงกลับคิดเข้าข้างตัวเอง
“เห็นพี่ลอชอบแบบนี้ ไว้วันหลังฉันจะหัดทำอย่างอื่นมาให้พี่ลอกินอีก พี่ลออยากกินอะไร”ฃ
ลอหน้าดำหน้าแดงอยากได้น้ำมาช่วยกลืน แต่แพงก็ยังเพ้อไปไม่เลิก
“พี่ลอไม่ต้องบอกฉันก็ได้ เอาไว้ฉันทำมาให้กินเลย ยังไงก็ต้องถูกปากพี่ลอแน่ เพราะฉันรู้ว่าพี่ลอชอบไม่ชอบกินอะไร”
ลอทนไม่ไหวติดคอจะตายให้ได้ เลยลุกพรวดแล้วผลักแพงจนล้มก้นจ้ำเบ้าแล้ววิ่งไปเอาน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ที่แขวนอยู่ใกล้ๆ เถียงนามาดื่ม
“อู้ย อะไรของพี่ลอเนี่ย ผลักฉันทำไม ตูดฉันเจ็บไปหมดแล้ว อู้ย”
“ก็ข้าวเหนียวเปียกของเอ็งน่ะสิอีแพง นอกจากรสชาติจะไม่ได้เรื่องแล้ว เอ็งดูมั่งรึเปล่า ว่าข้าวเหนียวมันสุกรึยัง ก่อนเอามาให้ข้ากิน”
“ต้องดูด้วยเหรอพี่ลอ”
“นังนี่ เพราะเอ็งไม่ดูไง ข้าวเหนียวมันถึงได้แข็งติดคอข้าเกือบตาย”
“อ้าว ตายแล้ว งั้นพี่ลอกินน้ำเยอะๆ กินเยอะๆ เลย”
“ช้าไปแล้วอีแพง ข้าวเหนียวแข็งๆ ของเอ็งมันลงไปกองอยู่ในกระเพาะแล้ว โธ่เว้ยทีหน้า ทีหลังไม่ต้องทำอะไรมาให้ข้ากินอีกแล้ว ข้าไม่อยากตายเพราะน้ำมือเอ็ง รู้ถึงไหน อายไปถึงนั่น”
“แหม ใช่สิ ฉันมันทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง สู้พี่เพื่อนก็ไม่ได้ใช่มั้ย พี่ลอจะพูดแบบนี้ใช่มั้ย”
“ข้ายังไม่ได้เปรียบเอ็งกับนังเพื่อนนะ”
“ฉันโตมากับพี่ลอนะ มองหน้าพี่ฉันก็รู้แล้วว่าจะพูดอะไร”
“เออ งั้นใช่ก็ได้ ในเมื่อฝีมือเอ็งเทียบไม่ได้กับพี่สาว เอ็งก็ไม่ควรจะไปวัดรอยเท้าเขา เพราะเดี๋ยวจะทำให้เอ็งเสียความตั้งใจเปล่า”
ลอพูดพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มหัวแพงอย่างผู้ใหญ่สอนเด็กให้จำ แพงหน้าเซหัวเสียไปอย่างไม่พอใจ
“พี่ลอ”
แพงกอดอกโกรธหันหลังให้อย่างน้อยใจแล้วบ่นยาวโดยไม่หันกลับมาที่ลอ
“ฉันทำผิดพลาดครั้งเดียว พี่ลอก็ว่าๆๆ ฉัน เหมือนฉันทำผิดเรื่องใหญ่เรื่องโต แต่กับพี่ เพื่อนทำอะไรก็ไม่เคยผิด ฉันอยากรู้จริงๆ เลย ทำไมเมื่อก่อนพี่ลอไม่เคยว่าฉันสักคำ มีแต่ตามใจฉันตลอด ทำไมล่ะพี่ลอ ทำไม”
แพงบ่นหัวเสีย ตั้งคำถามแล้วหันกลับมาแต่เจอหน้าตาชวนสะดุ้งของด้วงยืนฉีกยิ้มแทนที่ แพงร้องตกใจ สัญชาติญาณทำให้ง้างหมัดแล้วซัดเข้าหน้าด้วงไปเต็มเหนี่ยว ด้วงเซถลา
“อู้ย อีแพง แค่นี้ก็ต้องล่อเบ้าตาข้าเลยเหรอวะ”
“ก็เอ็งโผล่มาแบบนี้ ข้าไม่ยันโครมให้อีกดอกก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
“ก็ข้าเห็นเอ็งยืนบ่นอยู่คนเดียว ข้าก็อยากรู้ว่าเอ็งบ่นอะไร”
“ไม่ได้บ่นเรื่องเอ็งก็แล้วกัน แล้วพี่ลอล่ะเมื่อกี้นี้ยังอยู่ตรงนี้เลย”
“โน่น ขี่ไอ้เปลี่ยวออกไปแล้ว”
“พี่ลอ”
แพงจะรีบตามไปแต่ด้วงรั้งไว้
“เดี๋ยวก่อนอีแพง เอ็งไม่ต้องไปไหนเลย หลวงพ่อให้ข้ามาตาม ป่านนี้ทำไมเอ็งยังไม่ไป ท่องหนังสือกับหลวงพ่ออีก”
“ก็วันนี้ข้าไม่ว่างนี่หว่า”
“แต่เอ็งเป็นคนรบเร้าตื้อขอเรียนหนังสือกับหลวงพ่อ แล้วมาผัดผ่อน ขี้เกียจบ่อยๆ แบบนี้ ระวังเถอะ หลวงพ่อจะเลิกสอนเอ็งนะเว้ย”
แพงชะงักหน้านิ่วออกอาการเซ็งๆ ตัดสินใจไม่ถูก

บริเวณด้านหลังบ้าน แมวของแพงคาบปลาช่อนตากแห้งเข้ามายืนแทะกินอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่จะโดนตาข่ายหล่นลงมาคลุมเอาไว้ทั้งตัวและดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในตาข่ายหนีไปไหนไม่ได้ เพื่อนเดินเข้ามายืนมองอีทิ้งอย่างสะใจที่จับมันจนได้
“เสร็จข้าจนได้อีทิ้ง อีนังแมวขโมย ของๆ ข้า แต่เอ็งยังกล้ามาขโมย เดี๋ยวเถอะเอ็งได้โดน ข้าเล่นงานหนักแน่”
เพื่อนจ้องแมวที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในตาข่าย มือกำมีดอีโต้เอาไว้แน่น

แกงเนื้อหน้าตาน่ากินพร้อมปลาช่อนแห้งย่างอยู่ในสำรับที่เพื่อนเอามาให้ลอกิน
“โอ้โห น่ากินจังเลยจ้ะแม่เพื่อน มีปลาช่อนแห้งย่างมาด้วย”
พิศเดินเข้ามา
“เอาใจแต่ไอ้ลอคนเดียวเหรอไงวะนังเพื่อน อย่าลืมว่าเอ็งยังมีพ่ออยู่นะเว้ย”
“พ่อก็พูดไป ฉันทำให้กินกันทุกคนนี่แหละ เนื้อเนี่ยฉันก็เคี่ยวจนเปื่อย รับรองพ่อกินไปไม่ มีติดฟันแน่นอน”
เพื่อนพูดไปก็หันไปตักข้าวใส่จานแล้วยื่นให้พ่อก่อนจะตักข้าวพูนๆ จาน ยื่นให้ลอ
“กินเยอะๆ เลยนะจ๊ะพี่ วันนี้ฉันแกงเยอะกว่าคราวก่อน พี่จะได้กินให้หายอยาก”
ลอเห็นข้าวพูนจานแล้วชะงักมองจานข้าวมองแกงในถ้วยแล้วอึกอัก เพื่อนเห็นสีหน้าก็สงสัย
“มีอะไรเหรอจ๊ะพี่ลอ กินสิจ๊ะ”
“เอ่อ คือ”
ลอไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่พิศขัดจังหวะชวนคุยขึ้นมาก่อน
“เออ แล้วอีแพงล่ะหายหัวไปไหนอีก มืดค่ำแล้วยังไม่กลับบ้านช่อง”
“มันก็คงไปรบกวนหลวงพ่อตามเคยนั่นแหละจ้ะพ่อ”
“นี่มันยังไปเรียนหนังสือกับหลวงพ่ออยู่อีกเหรอ นึกว่ามันจะเห่ออยู่ประเดี๋ยวก็เลิก กลับมาต้องสั่งให้มันเลิกไปกวนหลวงพ่อ”
“อย่าไปให้อีแพงเลิกเรียนเลยจ้ะอา เรียนหนังสือมีความรู้ก็ดีเหมือนกัน”
“แต่มันเป็นผู้หญิง จะเรียนหนังสือไปทำไม งานที่บ้านนี่ต่างหากที่มันควรต้องอยู่ช่วย”
“ไม่เอาหรอก อย่าให้มันมาช่วยอะไรฉันเลยดีกว่าจ้ะพ่อ ช่วยทีไรยุ่งทุกที ให้มันอยู่ใกล้หลวงพ่อน่ะดีแล้วจะได้ช่วยดัดสันดานให้มันเป็นผู้หญิงขึ้นมาหน่อย”
เพื่อนพูดไปแล้วหันมาเห็นลอไม่แตะข้าวเลยสักคำ
“ทำไมพี่ลอไม่กินเลยล่ะจ๊ะ หรือว่าพ่อเอาแต่ชวนคุย”
“เอ่อ เปล่าหรอกจ้ะแม่เพื่อน แกงเนื้อของแม่เพื่อนพี่อยากกินจริงๆ นะ แต่ขอเก็บเอาไว้กินพรุ่งนี้ได้มั้ยจ๊ะ”
“ทำไมล่ะพี่ลอ”
“คือพี่อิ่มอยู่จ้ะ อิ่มมากด้วย ข้าวแม้แต่เม็ดเดียวตอนนี้ก็ทำให้พุงพี่แตกได้จ้ะ”
“อิ่ม พี่ลอไปกินอะไรมาทำไมถึงอิ่มก่อนมากินแกงเนื้อของฉัน”
“เอ่อ อาพิศจ๊ะ เห็นอาพิศบอกว่าอยากคุยกับฉันเรื่องที่ฝนทิ้งช่วงจนข้าวในทุ่งบ้านสร้างจะเฉาตายหมดแล้ว อาพิศอยากให้ฉันช่วยอะไรเหรอ”
“อ๋อ ข้าว่าจะจัดแห่นาง”
“พี่ลอ ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น ฉันถามว่าพี่ลอไปกินอะไรมาถึงอิ่ม”

ลอชะงัก สะดุ้งโหยง เพราะท่าทางของเพื่อนคาดคั้นเอาจริงมาก ลอเลยยิ้มเจื่อนๆ

แพงกลับมาบ้านในตอนค่ำ มาถึงก็ร้องเรียกหาแมวเสียงดัง

“อีทิ้ง หายหัวไปอีกแล้วนะเอ็ง ออกมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย ถ้าข้านับถึงสาม แล้วเอ็งไม่โผล่หัวมา เอ็งอดข้าวเย็นแน่ อีทิ้ง”
“ไม่ต้องไปเรียกหามันให้เสียเวลาหรอกอีแพง อีทิ้งมันไม่อยู่แล้ว”
“ไม่อยู่ พี่เพื่อนหมายความว่ายังไง”
“ไม่ต้องมาย้อนถาม ไม่อยู่ก็คือเอ็งจะไม่ได้เห็นหัวอีทิ้งอีกแล้ว”
“พี่เพื่อนเอาอีทิ้งไปปล่อยเหรอ มันเป็นแมวของฉันนะ พี่เอามันไปปล่อยที่ไหน”
เพื่อนไม่บอก กอดอกมองหน้าแพงอย่างชอบใจ แพงไม่พอใจเข้าไปเขย่าแขนให้บอก
“พี่เพื่อน บอกฉันมานะ พี่เอาอีทิ้งไปปล่อยที่ไหน บอกฉันมาสิ”
เพื่อนรำคาญ ได้ทีจับมือแพงมาบีบแรงจ้องหน้าเอาเรื่อง
“เอ็งจะไม่ได้เลี้ยงมันอีก อีนังแมวขโมยตัวนั้นมันจะต้องไม่อยู่ให้เกะกะขวางหูขวางตาข้า”
“แมวขโมย อีทิ้งมันไปขโมยอะไร ฉันขอโทษแทนมันก็ได้นะพี่เพื่อน สงสารมันเถอะ พ่อแม่มันไม่มี มีก็แต่ฉันคนเดียวที่ดูแลมันอยู่”
“หยุดเพ้อเจ้อไร้สาระได้แล้วอีแพง มันก็แค่แมวหลงตัวหนึ่ง จะอยู่หรือจะตายมันก็แค่แมว”
“พี่เพื่อน ของๆ พี่เพื่อน พี่เพื่อนยังหวงไม่ให้ใครยุ่งได้ แล้วทำไมของๆ ฉัน ฉันจะหวงบ้างไม่ได้”
แพงลุกขึ้นแล้วเข้าไปเขย่าแขนเซ้าซี้ถาม
“บอกฉันมา พี่เอาอีทิ้งไปปล่อยที่ไหน บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ”
“มันตายไปแล้ว เอ็งไม่ต้องถามถึงมันอีก”
“ตาย ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อก็เรื่องของเอ็ง ข้าโยนซากมันทิ้งน้ำไป ป่านนี้คงลอยออกไปไหนต่อไหนแล้ว”
แพงน้ำตาคลอ
“พี่เพื่อนฆ่ามันเหรอ”
“อีแพง นี่เป็นการสั่งสอนให้เอ็งรู้ว่า เวลาที่เอ็งมายุ่งเรื่องของข้ากับพี่ลอแล้วผลมันจะออกมาเป็นยังไง ถ้าข้ารู้ว่าเอ็งเอาอะไรไปให้พี่ลอกินตัดหน้าข้าอีกล่ะก็ เอ็งกับข้าได้เห็นดีกันแน่”
เพื่อนขู่ด้วยสีหน้าจริงจังแล้วเดินออกไป แพงยืนอึ้งน้ำตาคลออย่างเจ็บปวด

แพงเดินมาที่ท่าน้ำ น้ำตาคลอน่าเวทนา ส่งเสียงเรียกหาแมวรัก
“อีทิ้ง อีทิ้ง”
แพงกวาดตามองไปทั่วทั้งคุ้งน้ำเผื่อจะเจอซากแมวลอยติดอยู่ตรงไหนสักที่ ระหว่างนั้นด้วงกับแก้วเข้ามา
“อีแพง”
“แก้ว เอ็งเจอซากของอีทิ้งมั้ย”
“ข้ากับไอ้ด้วงช่วยกันพายเรือหาแล้วแต่ไม่เจอเลย”
“พวกเอ็งแน่ใจนะว่าหาจนทั่วแล้ว”
“แน่ใจสิวะ ซากแมวตายนะเว้ยไม่ใช่มด ถ้ามันไม่ลอยออกไปปากแม่น้ำยังไงก็ต้องเจอ”
“ทำใจเถอะวะอีแพง มันคงไปดีแล้ว”
“นั่นสิวะ ก็แค่แมวตัวเดียว”
“มันไม่ใช่แค่แมวตัวเดียวนะไอ้ด้วง มันเป็นอย่างเดียวที่ข้ารู้สึกว่ามันเป็นของๆ ข้า”
ด้วงสะดุ้งที่เผลอพูดออกไปไม่ทันคิด แก้วรู้และเข้าใจแพงเลยช่วยกระทุ้งศอกใส่ลิ้นปี่ด้วง
“ข้าอุตส่าห์สั่งให้เอ็งหุบปาก ดันเสือกทะลึ่งอีก ก็รู้อยู่ว่าอีแพงไม่เคยได้อะไรใหม่นอกจากต้องรอให้พี่สาวมันเบื่อก่อน”
“ข้าขอโทษ”
“ข้าว่านี่ก็มืดมากแล้ว เอ็งกลับบ้านเถอะวะอีแพง ไว้พรุ่งนี้เสร็จงานแห่แล้ว เราค่อยไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้มัน”
แก้วปลอบ แพงนิ่งไป มองหน้าเพื่อนสนิทสองคนแล้วเอาแต่เงียบ

เช้าวันใหม่ ที่หน้าบ้านเพื่อนแพง เสียงแตรวงกับกลองยาวดังประโคมด้วยจังหวะสนุกสนานแต่ร้องรำ เหมือนเป็นขบวนขันหมาก ลอเดินนำก้อนกับเรืองที่ร้องรำทำเพลงกันอย่างครึกครื้น
“เฮ้ยไอ้เรือง ข้าให้เอ็งเอาขบวนกลองยาวมาช่วยอาพิศแห่ขอฝน ไม่ใช่ชวนให้พวกเอ็งมาแห่ขอเมียนะเว้ย เลิกร้องชวนให้คนอื่นเข้าใจผิดซะที”
“ปั้ดโธ่ไอ้ลอเอ๊ย ปากเอ็งพูดให้มันตรงกับใจหน่อยเถอะวะ ข้ารู้ว่าเอ็งอยากให้ขบวนนี้ เป็นขบวนขันหมากจนอยากจะลงไปดิ้นตายอยู่แล้ว จริงมั้ยวะไอ้ก้อน”
“เออ ขาดก็แค่สินสอด ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าจะได้โฮ่ฮิ้วรวบรัดให้เลย เอ็งไปเจรจาขออาพิศว่าสินสอดไม่ต้องได้มั้ย ข้าเชื่อว่าอาพิศยกนังเพื่อนให้เอ็งวันนี้แน่ ฮ่าๆๆ”
“ไอ้เวร ทะลึ่ง ไม่รู้จักกาลเทศะ อาพิศให้ตั้งขบวนมารับเทพีไปแห่ขอฝนเว้ย”
พิศเดินออกมาที่ชานเรือน
“มากันแล้วเหรอวะไอ้ลอ เดี๋ยวนะเว้ย เทพีขอฝนยังไม่พร้อม”
“จ้ะอา พวกฉันรอได้จ้ะ”
“ข้าว่าเอ็งขึ้นไปอุ้มเทพีมานั่งเสลี่ยงเลยดีกว่าว่ะไอ้ลอ โอกาสได้อุ้มสาวแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ นะเว้ย”
ก้อนบอก เรืองเห็นด้วย ช่วยกันผลักลอจนกระเด็นไปที่หน้าบ้าน
“ไอ้ลอมันจะช่วยไปอุ้มเทพีมานั่งเสลี่ยงให้เองจ้ะอาพิศ”
“เออ งั้นก็ขึ้นมาเลยไอ้ลอ”
ลอชะงัก หอึกอัก หันไปมองเพื่อนที่ช่วยกันสนับสนุนตาเขียวปั้ด
“ไปสิวะ โอกาสง้อนังเพื่อนของเอ็งไง”
ลอนิ่งไปแล้วมองไปบนเรือน ก่อนจะเดินขึ้นเรือน แล้วเคาะประตูหน้าห้องเพื่อน
“เสร็จแล้วจ้ะพ่อ ไปแล้วจ้ะ”
ประตูห้องเปิดออกมา ลอถึงกับตะลึงในความสวยของเพื่อนที่อยู่ในชุดผ้าโจงกระเบน คาดแถบสไบ ทาปากสีแดง ผัดแป้งจนงามหยด
“พี่ลอ ขึ้นมาทำไม แล้วพ่อฉันล่ะ”
“เอ่อ อาพิศให้พี่มาอุ้มแม่เพื่อนไปขึ้นเสลี่ยงแห่เทพีจ้ะ”
“ฉันเดินไปขึ้นเสลี่ยงเองได้ ไม่ต้องให้พี่มาอุ้มฉันหรอก”
เพื่อนพูดไปก็ทำหน้างอนๆ ไม่หายเคืองเรื่องเมื่อวาน
“โธ่แม่เพื่อน ยังไม่หายโกรธพี่อีกเหรอ พี่ขอโทษแล้ว ที่พี่ต้องกินข้าวเหนียวเปียกของอีแพงมันไปก่อนก็เพราะ”
“พอแล้วพี่ลอ ไม่ต้องมาพูดซ้ำๆ ซากๆ ให้มากความ ฉันขี้เกียจฟัง”
“แต่พี่อยากให้แม่เพื่อนหายโกรธ พี่ผิดเองที่ไปสงสารอีแพงเลยกินข้าวเหนียวเปียกมัน จนอิ่ม พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำแบบนี้อีก ต่อให้ต้องหิวจนไส้กิ่ว หิวจนกินช้างม้าวัวควายได้ทั้งตัว พี่ก็จะไม่ยุ่งไม่แตะแล้วหิ้วท้องรอกินแต่แกงเนื้อฝีมือแม่เพื่อนคนเดียวเท่านั้น”
เพื่อนนิ่งไป ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาฟัง
“ตั้งแต่รู้จักกันมา พี่เคยผิดคำพูดรึเปล่า แม่เพื่อนโตมากับพี่ เห็นมากันตั้งแต่แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกัน แม่เพื่อนก็น่าจะรู้”
“พี่ลอ พอได้แล้ว พูดอะไรแบบนั้น ฉันอายเป็นนะ”
“ก็พี่อยากให้แม่เพื่อนยกโทษให้พี่”
“ฉันยกโทษให้พี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ที่ฉันยังทำแกล้งเคืองพี่อยู่ เพราะฉันอยากให้พี่ง้อฉันก็แค่นั้นแหละ”
“แม่เพื่อน”
เพื่อนแอบหัวเราะยิ้มขำที่แกล้งลอ แล้วยื่นดอกชบาสีสวยให้ชายหนุ่ม
“พี่ลอช่วยทัดดอกชบาให้ฉันหน่อยสิจ๊ะ”
ลอยิ้มดีใจรับดอกชบามาทัดหูให้
“แม่เพื่อนของพี่ รู้ตัวมั้ยว่าแม่เพื่อนเป็นเทพีขอฝนที่สวย ที่สุด สวยจนเทวดาต้องหลงแล้วเทฝนลงมาให้ทุ่งบ้านสร้างของเราชุ่มฉ่ำเหมือนหัวใจพี่ที่กำลังชุ่มฉ่ำด้วยความสวยของแม่เพื่อน”
“เลิกชมฉันแล้วพาฉันขึ้นเสลี่ยงได้แล้ว”
ลอยิ้มปลื้มปริ่มแล้วเข้าไปช้อนตัวเพื่อนขึ้นมาอุ้มด้วยแขนอันแข็งแรงกำยำ ก่อนจะพาเดินออกไป

เสียงแตรวงและกลองยาวประโคมเฮรับสนั่นหวั่นไหว เมื่อลออุ้มเพื่อนออกมา ท่วงทำนองยิ่งสนุก สนานมากขึ้นเมื่อลออุ้มเพื่อนขึ้นไปนั่งบนเสลี่ยงที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เพื่อนกับลอสบตากันหวานซึ้งตามประสาคู่รัก จากนั้นขบวนแห่เทพีก็ประโคมเสียงดนตรีคึกคักดังลั่นพากัน ออกไปจากบริเวณบ้าน เรืองรั้งท้ายขบวน มองหาแพง คิดว่าน่าจะอยู่ในขบวน แต่กลับไม่เห็น เลยหันไปถามก้อน
“ไอ้ก้อน เอ็งเห็นอีแพงรึเปล่าวะ”
“ไม่เห็นว่ะ มันคงอยู่กับขบวนแห่นางแมวมั้ง เดี๋ยวก็ต้องไปเจอกันอยู่แล้ว”
“เออว่ะ”
เรืองโห่ฮิ้วร้องรำปิดท้ายขบวนแห่เทพออกไปพร้อมกับทุกคน แพงชะโงกหน้าออกมาจากหลังเสาใต้ถุนเรือน มองตามขบวนแห่ไปด้วยแววตาเศร้าๆ ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนาน
แต่ตัวเองคนเดียวที่เหมือนถูกลืม ไม่มีใครสนใจ ภาพจำครั้งอดีตผุดขึ้นมาอีกในจังหวะนี้

ตอนนั้น ลอในวัยเด็กเอาใบไม้มาเป่าเล่นให้แพงฟัง

“พี่ลอเก่งจังเลยจ้ะ ฉันยังไม่เคยเห็นใครเอาใบไม้อะไรก็ได้มาเป่าเป็นเพลงได้เลย”
“เอ็งก็ยอพี่เกินไปอีแพง สมัยพี่อาศัยอยู่กับหลวงตา พี่ไม่มีของเล่นอะไรก็ต้องเอาใบไม้มาเป่าเล่นแบบนี้แหละ”
“ฉันอยากฟังอีกจ้ะพี่ลอ เป่าให้ฉันฟังอีกนะ”
“ได้สิ แต่ใบนี้เป่าไม่เพราะแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวฉันหาใบไม้อื่นมาให้พี่ลอเป่าอีก รอเดี๋ยวนะ”
แพงตื่นเต้นดีใจตามประสาเด็ก พอบอกเสร็จก็รีบวิ่งเข้าไปในดงต้นไม้ใกล้ๆ ลอมองตามแล้วยิ้มชอบความน่ารักของแพง ระหว่างนั้นเพื่อนก็เดินเข้ามา
“พี่ลอมาอยู่นี่เอง ฉันหาพี่ลอซะทั่วเลย”
“อาพิศตามให้พี่ไปช่วยทำงานเหรอ”
“เปล่าหรอกจ้ะพี่ลอ พ่อเขาชมพี่จะตายว่าพี่ขยันช่วยงานพ่อได้ตั้งเยอะ ฉันจะมาชวนพี่ลอไปเล่นด้วยกันต่างหาก”
“แต่พี่กำลังเล่นอยู่กับอีแพง”
“เล่นกับอีแพงจะไปสนุกอะไร มันยังเด็ก เล่นไม่รู้เรื่องหรอก ไปเล่นกับฉันดีกว่า ไปเถอะ นะพี่ลอ”
ลอดูลังเลแต่เพื่อนก็รบเร้าดึงแขนลากพาออกไปด้วยกันจนได้ แพงวิ่งออกมาจากดงพุ่มไม้ พร้อมใบไม้ในมือหลายใบ
“พี่ลอจ๋า ฉันได้ใบไม้มาเยอะเลย”
แพงชะงักเมื่อไม่เจอลอ
“พี่ลอ พี่ลอจ๋า พี่ลออยู่ไหน พี่ลอจ๋า พี่ลอ”
แพงหน้านิ่วร้องเรียกหาไปทั่วบริเวณ
“พี่ลอ พี่ลออยู่ไหน พี่จ๋า พี่ลออยู่ไหน พี่ลอ”
แพง เด็กน้อยวัย 7 ขวบ พยายามร้องเรียกหา แต่ร้องตะโกนไปก็ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นเลย จนเริ่มใจเสีย กลัวไม่เจอลอ น้ำตาเริ่มคลอ และเริ่มจะร้องไห้ จนไม่ทันระวังตัว เท้าก็พลาดลื่นคันนาร่วงลงไปในแอ่งโคลนเปรอะเปื้อนทั้งตัว ความตกใจทำให้แพงยิ่งร้องไห้ดังลั่น
“พี่ลอจ๋า ฮือๆๆ พี่ลออยู่ไหน ฮือๆๆ พี่ลอจ๋า”
แพงร้องไห้อย่างน่าเวทนา
เวลาเดียวกันนั้น เพื่อนกำลังเล่นเป็นพ่อเป็นแม่กับลอ เพื่อนหุงหาอาหารปลอมๆ จากเตาดิน เผาของเล่นมาใส่จานกระทงให้ลอกิน
“นี่จ้ะพี่ลอ แกงเนื้อของโปรดพ่อ แม่ตั้งใจเคี่ยวจนเนื้อเปื่อยอร่อยเคี้ยวไม่ติดฟันเลยจ้ะ”
“แกงเนื้อ”
ลอตั้งคำถามแล้วมองที่จานกระทงเห็นเป็นเศษหินเศษดินที่เอามาสมมุติเป็นอาหาร
“ใช่จ้ะ แกงเนื้อไง พ่อกินเลยนะ กินเยอะๆ ด้วย จะได้มีแรงออกไปทำนาไง”
“ต้องกินจริงๆ เหรอเพื่อน พี่ดูยังไงมันก็แค่เศษดินกับเศษหินนะ”
“พี่ลอ เรากำลังเล่นเป็นผัวเมียกันนะ”
“เอ่อ จ้ะแม่ พ่อต้องกินจริงๆ เหรอไอ้แกงเนื้อเนี่ย”
“ต้องกินสิจ๊ะพ่อ แม่อุตส่าห์ตื่นมาทำตั้งแต่เช้ามืด ถ้าพ่อไม่กินก็แสดงว่าพ่อไม่รักแม่”
เพื่อนเล่นบทโศกบีบน้ำตา
“จ้ะๆๆ กินก็ได้จ้ะ พ่อจะกินให้หมดเกลี้ยงเลย”
“พ่อน่ารักที่สุดเลยจ้ะ”
ลอเอามือตักเศษดินในจานกระทงขึ้นมาอย่าง
กระอักกระอ่วน ระหว่างนั้นเสียงร้องไห้ของแพงที่ร้องดังเข้ามาเหมือนระฆังช่วยไว้
“พี่ลอจ๋า ฮือๆๆ”
เพื่อนกับลอชะงักหันขวับไปเห็นแพงร้องไห้เข้ามาในสภาพเปรอะเปื้อนโคลนไปทั้งตัว
“อีแพง ไปทำอะไรของเอ็งมาเนี่ย”
“ฉันตามหาพี่ลอไม่เจอ ฮือๆๆ ฉันตกคันนา ฉันเลอะไปทั้งตัวเลย ฮือๆๆ”
ลอมองแพงอย่างสงสารแล้วลูบหัวอย่างเอ็นดู แล้วพาแพงมาตักน้ำจากตุ่มใกล้ๆ บริเวณนั้นล้างหน้าล้างตาที่เปรอะไปด้วยคราบโคลน แพงหยุดร้องไห้แล้ว ส่วนเพื่อนยืนมองด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“พี่ลอเขาก็ไม่ได้ไปไหนซะหน่อย เอ็งมันกระต่ายตื่นตูมเอะอะก็ร้องไห้กระจองอแงไม่เข้าเรื่อง”
“ก็ฉันเล่นอยู่กับพี่ลอดีๆ พี่เพื่อนมาพาพี่ลอไปทำไมล่ะ”
“พี่ลอเขาโตกว่าเอ็ง เขาเล่นกับเอ็งไม่สนุก เขาถึงมาเล่นกับข้าไง”
“ใครว่าฉันเล่นกับพี่ลอไม่สนุก พี่ถามพี่ลอรึยัง”
“อีแพง ข้าเป็นพี่เอ็ง มาย้อนแบบนี้ได้ไง”
“เอาน่าเพื่อน เล่นด้วยกันก็ได้ จะได้ช่วยดูอีแพงไม่ให้ไปตกน้ำตกท่า ตกโคลนที่ไหนอีก”
“แต่เราเล่นพ่อแม่กันอยู่นะจ๊ะพี่ลอ แล้วจะให้อีแพงมาเล่นด้วยได้ยังไง”
“งั้นฉันเล่นเป็นแม่ด้วย”
“ข้าเล่นเป็นแม่แล้วนะอีแพง แม่ต้องมีคนเดียวเข้าใจมั้ย”
“ผลัดกันเป็นแม่ไม่ได้เหรอพี่เพื่อน พี่เป็นแม่วันหนึjง ฉันเป็นแม่วันหนึjง คนละวันไง”
“ไม่ได้ ผู้ชายผู้หญิงมันต้องมีผัวเดียวเมียเดียว”
“แต่ว่า”
“เอาล่ะๆ งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ให้อีแพงเล่นเป็นลูก ตกลงนะแพง”
“ก็ได้จ้ะพี่ลอ เล่นอะไรก็ได้ ฉันขอแค่ได้เล่นกับพี่ลอก็พอแล้ว”
แพงยิ้มสดใส ลอยิ้มรับ ส่วนเพื่อนเซ็งๆ เริ่มมีอาการเบื่อน้องสาว

เสียงโฮ่เสียงกลองยาวผสานกับเสียงแตรวงดังสนั่นครึกครื้นไปทั่วถนนในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างออกมาสนุกสนานเฮฮาพร้อมขันน้ำและสารพัดวัสดุอุปกรณ์เท่าที่จะหามาใส่น้ำเอาไว้สาดใส่เทพีขอฝนและนางแมวขอฝนในชะลอมขบวนแห่ ซึ่งตามหลังขบวนแห่ที่มีเพื่อนเป็นเทพีนั่งอยู่บนเสลี่ยง โดยลอร้องขอฝนไปด้วย
“นางแมวเอย มาร้องแจ้วแจ้ว นางแมวขอไก่ ขอไม่ได้ ร้องไห้ขอฝน ขอน้ำมนต์รดแมวข้าที มีแก้วนัยน์ตา ออกมาเดือนหก ฝนตกทุกที มาปีนี้ไม่มีฝนเลย”
ลอร้องไป ชาวบ้านออกมาสาดน้ำใส่นางแมวที่อยู่ในชะลอมซึ่งก็คือแมวของแพงนั่นเอง การร้องเพลงตระเวนแห่นางแมวและเทพีขอฝน หลังชาวบ้านสาดน้ำใส่แมวและเทพีเป็นการเอาเคล็ด ชาวบ้าน ก็จะเอาเหล้า ข้าวปลา ไข่ต้ม เงินหรือของกินอย่างอื่นให้กับชาวบ้านในขบวนแห่ เสร็จแล้วก็เคลื่อนต่อไปยังบ้าน อื่นๆ จนสุดเขตหมู่บ้าน แล้วก็กลับมาชุมนุมเลี้ยงดูกันเป็นที่ครึกครื้น ก้อนร้องต่อ
“พ่อตาลูกเขย นอนก่ายหน้าผาก พ่อหม้ายลูกมาก มันยากเพราะข้าว คนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าหัวห้อย”
เรืองร้องรับ
“พาเด็กน้อย มาเล่นนางแมว มาร้องแจ้วฝนก็เทลงมา ฝนก็เทลงมา โห่ ฮิ้ว”
ดนตรีประโคมสนุกสนาน ผู้ใหญ่ผาด พิศและครูแสงก็ออกมาร่วมสนุกกับขบวนแห่ ด้วงหิ้วขันน้ำออกมาแล้วเข้าไปสาดเทพี แต่สาดแรงไปหน่อยน้ำเข้าหน้าเข้าตาเพื่อน
“ชะอุ๋ย โทษจ้ะแม่เพื่อน”
เพื่อนตาเขียวปั้ดใส่ด้วง ก่อนที่ขบวนแห่เทพีจะผ่านออกไป ด้วงจึงหันไปเห็นนางแมวที่อยู่ในชะลอม จำได้

“เฮ้ย นั่นมันอีทิ้งนี่หว่า”

แพงนั่งเศร้าอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ครู่หนึ่งแก้วก็เข้ามา

“มาอยู่นี่เอง เอ็งไม่ไปช่วยเขาแห่นางแมวขอฝนเหรอวะอีแพง”
“ไม่ไปหรอก ข้าไม่สนใจจะไปทรมานสัตว์ ฟ้าฝนมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เอาแมวไปสาดน้ำใส่มัน แล้วฝนจะตกลงมาได้ยังไง”
“เอ้าอีนี่ เอ็งนี่มันขวางโลกนะอีแพง คนเฒ่าคนแก่เขาก็ทำกันมาแบบนี้มานมนาน อย่าไปพูดให้ใครได้ยินเชียว เดี๋ยวเอ็งจะโดนด่าเปิง”
“ด่าข้าก็เถียงตามความเป็นจริงสิวะ ข้าเลี้ยงแมวข้ารู้จักนิสัยมันดี”
“นิสัยอะไรวะ”
“แมวมันไม่ชอบน้ำ โบราณก็เลยว่ามันเป็นตัวแล้ง จับมันเอาไปแห่สาดน้ำให้มันเปียก ถือเคล็ดว่าจะได้หายแล้ง แต่โดนสาดน้ำทั้งหมู่บ้านแบบนั้น ถ้าแมวมันไม่สบายมันก็มีแต่จะป่วยตายกันพอดีน่ะสินังแก้ว”
“เออว่ะ มันก็จริงของเอ็ง กว่าจะครบรอบหมู่บ้านมีหวังเปียกมะล่อกมะแล่ก ขนาดคนยังเป็นปอดบวมได้เลย”
ด้วงวิ่งเสียงดังเข้ามา
“อีแพง อีแพง รีบไปที่ขบวนแห่นางแมวเถอะ”
“เอ็งไม่ต้องมาชวนข้า ข้าไม่ไป”
“แต่ว่า”
“ไม่ต้องมาตงมาแต่อะไรทั้งนั้น ข้าถามมันแล้ว มันไม่อยากไปทรมานสัตว์ ยิ่งเพิ่งเสียอีทิ้งไปแบบนี้ อีแพงคงไม่มีทางโผล่ไปยืนดูแมวคนอื่นให้ช้ำใจแน่”
“ฟังก่อนสิวะ”
“หุบปากเอ็งไปเลยไอ้ด้วง เอ็งมันก็แค่อยากได้ของกินที่ชาวบ้านเขาเอามาให้ขบวนแห่ ไอ้ตะกละเอ๊ย ไม่ต้องมายุ่งกับข้าเลย”
แพงรำคาญรีบเดินลงจากท่าจะไปขึ้นเรือพาย แก้วรีบถาม
“แล้วนั่นเอ็งจะไปไหนอีแพง”
“ข้าจะพายเรือไปปากคลอง เผื่อจะเจอซากอีทิ้ง”
“เอ็งไม่ต้องเสียเวลาไปหรอกเว้ยอีแพง อีทิ้งของเอ็งยังไม่ตาย มันเป็นนางแมวอยู่ในขบวนแห่กับพี่สาวเอ็งโน่น”
“ว่าไงนะ อีทิ้งยังไม่ตาย แล้วทำไมเอ็งไม่รีบบอก โธ่เว้ย”
แพงรีบวิ่งออกไปทันที แก้วกับด้วงรีบวิ่งตาม

ขบวนแห่งนางแมวยังร้องรำทำเพลงแห่ไปตามถนนหมู่บ้าน ชาวบ้านยังออกมาสาดน้ำโครมๆ ใส่ชะลอม ที่มีอีทิ้งอยู่ข้างใน จนเปียกโชกไปทั้งตัว เสียงแพงดังลั่นเข้ามาแข่งกับเสียงแตรวงกลองยาวแต่โดนกลบหมด
“อีทิ้ง ปล่อยอีทิ้งเดี๋ยวนี้ ปล่อยมันออกมาเดี๋ยวนี้”
แพงตะโกนคอแทบแตกแต่ไม่มีใครได้ยิน จึงพยายามเดินไล่ตามขบวนแห่แต่ก็เจอชาวบ้านออกมาเบียดจนล้มลงก้นจ้ำเบ้า เรืองหันมาเห็นพอดี
“แพง ลงไปนั่งกับพื้นทำไม เอ็งเมื่อยขาก็บอกข้า เดี๋ยวข้าให้เอ็งขี่คอ ข้าจะพาเอ็งเดินแห่เอง มาสิ ขี่คอข้าเลย”
เรืองยื่นมือจะไปฉุดให้แพลุกขึ้น แต่แพงปัดมือแล้วลุกขึ้นเอง
“ข้าไม่ได้เมื่อย ข้าโดนชนจนล้มเว้ยไอ้เรือง”
“อ้าว”
“เอ็งรีบไปบอกพรรคพวกเอ็งที่กำลังตีกลองให้หยุดตีได้แล้ว ข้าจะเอาอีทิ้งของข้าออกจากชะลอม ข้าไม่ยอมให้มันเป็นนางแมว”
“ได้ยังไงล่ะแพง เขากำลังแห่นางแมวอยู่ ขืนไปบอกให้หยุดข้าก็โดนด่าเปิงสิ”
“งั้นถ้าเอ็งช่วยข้าไม่ได้ก็หลบไป”
แพงผลักเรืองแล้ววิ่งไปที่ขบวนเสลี่ยงที่กำลังแห่เทพี เข้าไปบอกลอ ในขณะรอบๆ ตัว ทุกคนสนุกสนาน
“พี่ลอ พี่ลอ บอกพี่เพื่อนให้หยุดแห่ก่อนเถอะ”
“อ้าว หยุดทำไมล่ะอีแพง อีกเดี๋ยวก็ครบรอบหมู่บ้านแล้ว”
“แต่ฉันไม่ยอมให้อีทิ้งเป็นนางแมวนี่ ฉันจะเอามันออกมา มันยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ ปล่อยให้มันโดนสาดน้ำเปียกทั้งวันแบบนี้ เดี๋ยวมันก็ตายพอดี”
เพื่อนมองลงมาเสียงดัง
“อีแพง หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“พี่เพื่อน”
“ข้าอุตส่าห์ใจดีไม่เอาอีทิ้งไปปล่อย แต่เอามันมาเป็นนางแมวแห่คู่กับข้า แต่เอ็งก็ยังเสนอหน้ามาขวางอีก ทำไม หะ อีแพง เอ็งเห็นคนอื่นเขามีความสุขไม่ได้ใช่มั้ย เห็นแล้วจะชักดิ้นชักงอตายเหรอไง”
“เปล่านะพี่เพื่อน ฉันไม่ได้อยากขวางพิธีแห่ ไม่ได้อยากขวางไม่ให้พี่เพื่อนเป็นเทพีด้วย ฉันสงสารอีทิ้งมันต่างหาก มันไม่ค่อยสบาย ฉันกลัวมันจะตาย”
“อีทิ้งมันไม่ตายหรอกอีแพง”
“แต่ว่า”
พิศเดินเข้ามา
“พอได้แล้วอีแพง ข้าเหลืออดกับเอ็งแล้ว คนทั้งทุ่งบ้านสร้างเขากำลังเดือดร้อน แต่เอ็งคนเดียวที่ยังเห็นแก่ตัว ข้าจะไม่ยอมให้เอ็งทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเหมือนข้าอีก”
พิศเข้าไปกระชากแขนพาแพงออกไป แต่แพงพยายามขืน น้ำตาคลอ
“พ่อ ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัวนะ ฉันไม่ได้จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่อีทิ้งเป็นแมวของฉัน ฉันรักมัน ฉัน
มีสิทธิ์ที่จะหวงมันไม่ใช่เหรอ”
“เอ็งมันหัวหมอมากไปแล้วอีแพง สงสัยจะไม่โดนไม้เรียวมานาน มานี่”
พิศกระชากแพงลากตัวออกไปท่ามกลางเสียงแตรวง เสียงกลองยาวที่ดังสนั่น และไม่มีใครสนใจ เพราะกำลังสนุกสนานอยู่กับการแห่และสาดน้ำใส่อีทิ้งในชะลอม แก้วกับด้วงตามเข้ามา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ลอมองตามด้วยสายตาเป็นห่วง
“อีแพง”
“พี่ลอ ถ้ายังไปสงสารมันอีก มันก็จะหาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้เราไม่หยุดนะ”

คำพูดของเพื่อน ทำเอาลอชะงักนิ่งงันไป

อ่านต่อหน้า 3

เพื่อนแพง ตอนที่ 1 (ต่อ)

พิศฉุดกระชากแพงเข้ามา แล้วผลักลงพื้นตรงใต้ถุนเรือนอย่างหัวเสีย

“ข้าเห็นเอ็งโตเป็นสาวแล้ว เลยไม่ยากตีให้อายชาวบ้านชาวช่องเขา แต่ในเมื่อเอ็งยังดื้อด้าน ไม้เรียวข้าก็ต้องสั่งสอนเอ็งให้เป็นเหมือนคนอื่นเขาบ้าง”
พิศพูดพร้อมหันไปคว้าไม้เรียวที่เหน็บเสาเรือนมา แก้วกับด้วงรีบปรี่เข้ามาห้าม
“อาพิศจ๊ะ ฉันขอร้องล่ะอย่าตีอีแพงเลย”
“เอ็งหลบไปเลยอีแก้ว ข้าจะตีสั่งสอนลูกข้า พวกเอ็งอย่ามาเสือก”
“แต่อีแพงมันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนี่จ๊ะอาพิศ”
“มันจะไม่ผิดได้ยัง พี่สาวมันกำลังเป็นเทพีแห่นางแมว จะช่วยให้ชาวบ้านเขาหายทุกข์ร้อน แต่มันดันไปบอกให้เขาเลิกแห่ เพราะเอ็งอิจฉาพี่เอ็งใช่มั้ย เอ็งถึงอยากให้คนอื่นเกลียดนังเพื่อน”
“เปล่านะจ๊ะพ่อ ฉันไม่ได้อิจฉาพี่เพื่อน อีทิ้งมันไม่ค่อยสบาย ฉันกลัวมันจะตาย”
“เอ็งอย่าเอาอีทิ้งมาอ้าง แล้วก็ไม่ต้องทำหัวหมออวดฉลาดกว่าคนอื่น มันก็แมวตัวเดียว ถ้ามันจะตายมันก็แค่แมว”
แพงน้ำตาคลอ สะอื้น
“อีทิ้งไม่ใช่แค่แมวนะจ๊ะพ่อ ฉันรักมันเพราะมันเป็นอย่างเดียวในชีวิตที่เป็นของฉันจริงๆ ไม่ใช่ของเหลือที่ต้องรอให้พี่เพื่อนเบื่อก่อนฉันถึงจะได้มา”
“นั่นไง พูดไปเอ็งก็อิจฉาพี่เอ็งจริงๆ นั่นแหละ อีแพง”
พิศฟาดไม้เรียวลงไปที่ตัวแพงจนร้องเจ็บลั่น แก้วกับด้วงตกใจรีบเข้าไปช่วยกันล็อคแขนล็อคตัวพิศ
“อย่าตีอีแพงเลยจ้ะอา ฉันขอ”
“อีแพง เอ็งหนีไปก่อน ให้พ่อเอ็งเย็นลงแล้วค่อยกลับมา”
พิศโวยวาย
“ปล่อยข้านะเว้ยอีแก้ว ไอ้ด้วง ปล่อย”
“ไปสิวะอีแพง ไปสิ”
แพงได้แต่สะอื้นน้ำตาคลอมองพ่อที่กำลังฉุนเฉียว

ที่ลานหมู่บ้าน เสียงแตรวงและเสียงกลองยาวยังครึกครื้นสนุกสนานหลังจากแห่มาจนรอบหมู่บ้าน ทุกคนก็พากันมารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันกินอาหารที่ได้รับแจกมาตลอดทางที่แห่ เพื่อนลงจากเสลี่ยง ลอเอาผ้าขาวม้ามาช่วยคลุมไหล่ให้ เพราะเพื่อนตัวเปียกมาทั้งวัน
“ฮัดชิ้ว”
“โดนสาดน้ำมาทั้งวัน พี่ว่าแม่เพื่อนจะป่วยเอาได้นะ”
“กระหม่อมฉันไม่บางขนาดนั้นหรอกจ้ะพี่ลอ”
“แต่พี่ว่าแม่เพื่อนน่าจะกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งๆ ดีกว่า”
“กลับไปตอนนี้ได้ยังไง ชาวบ้านเขายังสนุกกันอยู่เลย ถ้าเทพีไม่อยู่งานก็กร่อยหมดสิจ๊ะ”
“แต่ว่า”
“พี่ลอเป็นห่วงอีแพงมันเหรอ”
ลอชะงักเพราะเป็นห่วงจริงๆ แต่ไม่ทันจะพูดอะไร เรืองกับก้อนก็พากันเข้ามา
“ไอ้ลอ ข้าว่าเอ็งไปดูอีทิ้งมันหน่อยสิวะ ดูมันหงอยๆ ซึมๆ ยังไงพิกล ให้อะไรไปมันก็ไม่กินเลย แถมยังอ้วกออกมาอีกพะเรอ
“จริงเหรอวะไอ้เรือง งั้นที่อีแพงพูดมาก็มีเหตุผล อีทิ้งมันไม่ค่อยสบายอยู่ เจอสาดน้ำทั้งวันมันจะไม่ไหวเอา ข้าว่าเอามันกลับไปให้อีแพงดีกว่า”
ลอจะเดินออกไป แต่เพื่อนดึงแขนรั้งไว้
“ฉันว่าอย่ากระต่ายตื่นตูมกันเลยจ้ะพี่ อีทิ้งมันเป็นแมวหลง กว่าจะมาเจออีแพงเก็บไปเลี้ยง มันก็เฉียดตายมาหลายครั้ง เรื่องแค่นี้มันคงไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“นั่นสิวะไอ้ลอ แล้วถ้าวันนี้ฝนยังไม่ตก พรุ่งนี้ก็ต้องเอาอีทิ้งออกมาแห่ใหม่จนกว่าฝนจะตก แมวมันมีตั้งเก้าชีวิตไม่ตายง่ายๆ หรอก”
แก้วเห็นด้วยกับเพื่อน แต่ลอยังกังวลเป็นห่วง ระหว่างนั้นชาวบ้านพากันตื่นเต้นชี้ชวนให้ดูท้องฟ้า ผาดร้องเสียงดัง
“เฮ้ย ดูนั่น เมฆฝน เมฆฝนตั้งเค้าแล้วโว้ย”
เพื่อนหันไปดูตาม
“พี่ลอ เมฆฝนจริงๆ ด้วย”
ไม่ทันขาดคำสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา สร้างความตื่นเต้นดีอกดีใจให้กับชาวบ้านทุกคนที่พากันวิ่งออกมา ร้องรำดีใจ เต้นไปกับสายฝนที่โปรยปราย แสงหันมาบอกผาด
“ผู้ใหญ่ ข้าวในนาของพวกเราจะไม่เฉาตายแล้วโว้ย”
ทุกคนดีใจกันสุดเหวี่ยง ก้อนกับเรืองเข้าไปช่วยกันอุ้มเพื่อนขึ้นไปนั่งที่เสลี่ยงแล้วแห่ด้วย ความดีใจร่วมกันทุกคน เพื่อนกลายเป็นขวัญใจของพวกชาวบ้านอยู่ท่ามกลางสายฝน ลอยืนกลางสายฝนมองเพื่อนที่กำลังถูกจับแห่ด้วยความครุ่นคิด

ด้วงกับแก้วยังพยายามห้ามพิศไม่ให้ตีแพง
“อย่าไปตีอีแพงเลยจ้ะอาพิศ ฉันขอร้องล่ะ”
“ปล่อยข้า บอกให้ปล่อย”
“อีแพง รีบไปซะทีสิเว้ย อยากหลังลายเหรอไงวะ ข้าจะยันพ่อเอ็งไม่ไว้อยู่แล้วนะเว้ย” ด้วงตะโกน
“พอเถอะ พวกเอ็งไม่ต้องห้ามพ่อข้าหรอก”
แก้วชะงัก
“อีแพง”
พอแก้วกับด้วงชะงัก เลยทำให้พิศสะบัดทั้งคู่หลุด
“ถ้าพ่ออยากตีฉัน ก็ตีมาเถอะ ฉันชินแล้วกับไม้เรียวของพ่อ จะตีฉันเท่าไหร่ก็ได้ แต่ขอให้ปล่อยอีทิ้งไป อย่าเอามันไปทรมานเลย”
“อีแพง เอ็งนี่มัน มันดื้อด้านจริงๆ ก็เพราะสันดานเอ็งเป็นแบบนี้ หัวหมอ อวดฉลาด ข้าถึงต้องคอยสั่งสอนเอ็ง ไม่งั้นทั้งหมู่บ้านก็จะมีแต่คนเกลียดขี้หน้าเอ็ง”
“ฉันไม่ได้อยากอวดเก่งเกินคนอื่นหรอกพ่อ ฉันก็แค่กล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ผู้หญิงคนอื่นๆ ในทุ่งบ้านสร้างไม่กล้าทำก็แค่นั้น”
“อีแพง มึง”
พิศเงื้อไม้เรียวเตรียมจะฟาดแพง แต่ระหว่างนั้นเสียงฝนก็สาดโครมลงมาห่าใหญ่ พิศชะงักมองไป แล้วตกใจ
“ฝน ฝนตกแล้ว”
พิศตื่นเต้นดีใจรีบเดินออกไปยืนกลางสายฝนที่หน้าบ้าน
“ฝนตกแล้ว ไชโย ฝนตกแล้วโว้ย ฝนตกแล้วโว้ย”
แก้วกับด้วงรีบเข้าไปประคองแพงขึ้นมาแล้วมองพิศที่กำลังดีใจอยู่กลางสายฝน
“เห็นมั้ยอีแพง แหกตาเอ็งดู พี่สาวเอ็งเป็นเทพีแห่นางแมวขอฝน ฝนก็ตกลงมาช่วยทุกคน ถ้าไม่มีข้ากับพี่สาวเอ็ง ชีวิตเอ็งมันก็ไม่ต่างจากอีทิ้งหรอก หัดรู้จักสำนึกบ้าง”
พิศบอกแพงไปก็ตื่นเต้นดีใจต่อท่ามกลางสายฝน ส่วนแพงได้แต่ยืนน้ำตาคลอ เจ็บปวด
“พ่อเอ็งกำลังดีใจอยู่ อย่าไปฟังที่เขาพูดเลยนะอีแพง”
แก้วปลอบ แพงไม่พูดอะไร ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มแล้วรีบวิ่งฝ่าสายฝนออกไป
“อีแพง”
“ไม่ต้องตามมันไปหรอกไอ้ด้วง ให้มันอยู่คนเดียวสักพักเถอะ”

ด้วงกับแก้วได้แต่มองตามแพงไปอย่างเวทนา

เพื่อนถูกห้อมล้อมด้วยชาวบ้านที่เข้ามาแห่เชิดชูเทพีนางแมวด้วยความตื่นเต้นดีใจ ท่ามกลางสายฝน ราวกับเพื่อนเป็นนางฟ้านางสวรรค์ของชาวทุ่งบ้านสร้างก็ไม่ปาน

ในขณะที่แพงวิ่งร้องไห้ไปตามคันนาท่ามกลางสายฝน คันนาที่เปียกแฉะจนกลายเป็นดินโคลนทำให้แพงลื่นล้ม เนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนจนดูน่าเวทนาสงสาร แพงได้แต่ร้องไห้เสียใจเหมือนถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว เท้าของใครบางคนเดินย่ำโคลนเข้ามากลางสายฝน แพงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง
“พี่ลอ”
ลอไม่พูดอะไร เอาผ้าขาวม้าออกมากางแล้วช่วยบังสายฝนให้แพง
“ลุกขึ้นเถอะอีแพง เลอะโคลนไปหมดแล้ว”
“พี่ลอ พี่จ๋า ฮือๆๆ”
แพงเข้าไปสวมกอดขาลอแล้วร้องห่มร้องไห้ ลอนิ่งมองอย่างเวทนา จากนั้น แพงเดินตามลอมาตามดงต้นไม้บริเวณป่าช้าของวัด
“พี่ลอพาฉันมาที่ป่าช้าทำไม”
ลอไม่พูดอะไร เดินหน้าเครียดๆ พาแพงมาถึงโคนต้นไม้ใหญ่ มีหลุมที่เพิ่งจะฝังกลบอีทิ้งโป่งนูนออกมา
“ข้าเพิ่งจะเอาอีทิ้งมาฝังไว้ที่นี่”
แพงชะงัก
“อีทิ้ง หมายความว่ายังไงพี่ลอ ไม่จริงใช่มั้ย พี่ลอแกล้งฉันเล่นใช่มั้ย”
“อีทิ้งมันตายแล้วอีแพง พอฝนตกลงมา ข้าเห็นว่าหมดหน้าที่นางแมวของมันแล้ว ก็เลยจะไปปล่อยมันเอากลับมาให้เอ็ง แต่ว่า”
ลอไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่มองไปที่หลุมศพอีทิ้งอย่างเศร้าๆ แพงน้ำตาอาบแก้ม
“ไม่ ไม่จริง อีทิ้ง ไม่จริง ฮือๆๆ”
แพงร้องไห้และจะตะกุยดินขุดซากอีทิ้งขึ้นมา ลอรีบเข้าไปห้าม ดึงแพงให้ออกมา
“อย่าทำอย่างนี้เลยอีแพง อีทิ้งมันไปสบายแล้ว ปล่อยให้มันอยู่ของมันอย่างนี้แหละ”
“แต่ แต่ฉันยังไม่ได้กอดมันเลยนะพี่ลอ ฮือๆๆ มันชอบให้ฉันกอดมัน เพราะมันก็เหมือนกับฉัน มันเป็นแมวที่ไม่มีใครเอา ไม่มีใครชอบมันเลยสักคน ฮือๆๆ”
“ไม่จริงหรอกอีแพง เอ็งกับอีทิ้งไม่เหมือนกัน อีทิ้งอาจจะไม่มีใคร แต่เอ็งก็ยังมีข้าเป็นพี่ชายที่คอยดูแลเอ็งอยู่”
“พี่ลอ”
“ถึงเราจะไม่ได้เป็นพี่น้องคลอดตามกันมา แต่ข้าก็รักเอ็งเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของข้า เพราะฉะนั้นเอ็งไม่ต้องกลัวว่าเอ็งจะเป็นเหมือนอีทิ้ง เอ็งมีข้าอยู่กับเอ็งนะอีแพง”
“พี่ลอจ๋k ฮือๆๆ”
แพงสวมกอดลอแล้วซบหน้าร้องไห้กับอกของชายหนุ่มที่โอบไหล่กอดปลอบประโลมอย่างน้องสาว

ตอนดึก แพงนั่งเศร้าอยู่ที่แคร่บริเวณลานบ้าน เพื่อนเดินออกมาหยุดมองน้องสาวอยู่ครู่ก่อนจะยกสำรับเข้ามา
“เอ็งจะเอาแต่นั่งอยู่แบบนี้แล้วไม่กินอะไรเลยไม่ได้นะอีแพง”
“พี่เพื่อน เก็บไปเถอะฉันไม่หิว”
“เอ็งโกรธข้า”
แพงไม่พูดอะไร ลุกขึ้นเดินเลี่ยง แต่เพื่อนตามไปขวาง
“อีแพง เรื่องที่อีทิ้งตาย ถ้าเอ็งอยากจะโทษว่าเป็นความผิดของข้า ข้าก็จะยอมรับผิด”
“ใช่ มันเป็นความผิดของพี่ ทั้งๆ ที่ฉันบอกพี่แล้ว แต่พี่ก็ไม่ฟังฉันเลย”
“ข้าไม่ฟังเอ็งเพราะข้ามีเหตุผล”
“เหตุผลของพี่ก็คือตัวพี่ คือสิ่งที่พี่พอใจ ถ้าฉันพูดอะไรไปแล้วขัดหู ฉันก็ผิดทั้งปี”
“อีแพง ที่ข้าเอาอีทิ้งไปแห่นางแมวเพราะข้าหวังดีกับมัน หวังดีกับเอ็งต่างหาก อีทิ้งมันสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว เที่ยวไปขโมยปลาย่างบ้านคนนั้นทีคนนี้ที ถ้าโดนใครจับได้ มันไม่พ้นโดนตีตาย พอพ่อมาบอกข้าว่าจะจัดแห่นางแมว ข้าก็เลยบอกให้พ่อเอาอีทิ้งไปแห่ เพราะถ้าฝนตกขึ้นมา อีทิ้งก็จะไม่ใช่แค่อีแมวขโมยที่ทุกคนรังเกียจ มันโผล่ไปบ้านไหนก็จะมีแต่คนป้อนข้าวป้อนน้ำให้มัน เอ็งจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะมันอีกไง”
แพงชะงักอึ้ง
“พี่เพื่อน”
“เอ็งเป็นน้องสาวข้านะอีแพง ตั้งแต่แม่ตาย ข้าก็ต้องเลี้ยงเอ็งมาตลอด หลายครั้งที่เอ็งทำให้ข้าหงุดหงิดรำคาญเพราะสันดานดื้อของเอ็ง แต่เอ็งก็เป็นน้องสาวข้า ใครมาด่า เอ็งก็เหมือนมาด่าข้า ด่าไปถึงพ่อด้วย”
“พี่เพื่อนกับพ่อก็เลยต้องด่าฉันเอง ก่อนให้คนอื่นมาด่าเลยดีกว่าใช่มั้ย”
“อีแพง ยังมาพูดหัวหมออีก พ่อเขาห่วงเอ็ง ข้าก็ห่วงเอ็ง เห็นเอ็งไม่เหมือนคนอื่นเขา ถ้าคิดว่าพวกข้าเกลียดเอ็ง ป่านนี้เอ็งโดนขี้เถ้ายัดปากไปนานแล้ว”
แพงชะงักเมื่อสิ่งที่เพื่อนพูดออกมาคือความหวังดี ไม่ใช่ความเกลียดชังอย่างที่เข้าใจ
“ข้าวที่ข้าเอามาให้ พ่อเขาเก็บไว้ให้เอ็ง สั่งมาด้วยว่าให้เอ็งกินให้หมด พรุ่งนี้ออกไปจับปลาจะได้ไม่เป็นลมเป็นแล้งไป อ้อ อีกอย่าง พ่อเขาบอกไม่ให้เอ็งเลี้ยงแมวอีก เพราะ ลำพังเลี้ยงเอ็งคนเดียวเขาก็ห่วงจะแย่อยู่แล้ว”
เพื่อนพูดแค่นั้นแล้วก็เดินออกไป แพงนิ่งงันอยู่คนเดียว มองสำรับอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วน้ำตาคลอ ค่อยๆ ตักข้าวเข้าปาก
“ฉันขอโทษจ้ะพ่อ ขอโทษจ้ะพี่เพื่อน”
แพงกินข้าวทั้งน้ำตา

เช้าวันใหม่ หลังฝนตกลงมา สร้างความชุ่มฉ่ำให้กับทุ่งบ้านสร้าง เพื่อนหุงข้าวทำอาหารอยู่ที่ครัวหลังบ้าน ระหว่างนั้นพิศถือข้องจับปลากลับมาพร้อมกับปลามากมาย
“ทำไมกลับมาเร็วจังเลยจ๊ะพ่อ”
“ได้ปลามาเยอะ พ่อก็เลยเอากลับมาให้เอ็งทำกับข้าวก่อน”
“แล้วอีแพงล่ะ”
“ฝนตกมาเมื่อวาน ปลาเต็มคลอง มันเลยไม่ยอมเลิกหาปลาซะที พ่อก็เลยปล่อยมัน”
“เห็นมั้ยพ่อ อีแพงมันโตซะที่ไหน เมื่อวานยังน้ำหูน้ำตานอง มาวันนี้เป็นกระดี่ได้น้ำ ก็ดีเหมือนกันจ้ะ ฉันจะได้เอาปลามาย่างให้พี่ลอกินกับแกง เดี๋ยวเที่ยงแล้วจะหิ้วท้องรออีก”
พิศยิ้มรับกับลูกสาว ระหว่างนั้นเสียงกริ่งจักรยานดังเข้ามาไม่หยุดพร้อมกับเสียงเรียกของวีระดังลั่น
“แม่เพื่อน แม่เพื่อนจ๊ะ แม่เพื่อน อยู่รึเปล่าเอ่ย แม่ยอดขมองอิ่มของไอ้วี”

เพื่อนชะงักกึก รำคาญเหลือทน

วีระเป็นลูกชายของนายประจวบเศรษฐีในอำเภอ ขี่จักรยานคันใหม่วนไปวนมาพร้อมกดกระดิ่งระรัวส่งเสียงน่ารำคาญ โดยมีไม้ ลูกสมุนคู่ใจ มือหนึ่งกางร่มกันแดดให้ อีกมือก็ถือถุงกระดาษของฝากและคอยวิ่งตามลูกพี่ที่ขี่จักรยานวนไม่หยุด ส่วนมาด สมุนคู่ใจอีกคนยืนหน้าเข้มดุดันคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ

“แม่เพื่อนจ๊ะ ฉันรู้ว่าแม่เพื่อนอยู่บ้าน ออกมาเถอะจ้ะ ไอ้วีคิดถึงแม่เพื่อนเหลือเกิน”
วีระพูดพร้อมกับกดกริ่งและขี่จักรยานวนไปวนมาตั้งใจโชว์จักรยานคันใหม่ของเขา ส่วนไม้ ก็คอยวิ่งกางร่มตาม
“พี่วี ฉันว่าหยุดขี่ก่อนได้มั้ยพี่ ฉันกางร่มวิ่งตามพี่มาตั้งแต่โรงสีแล้ว ฉันเหนื่อย”
วีระหันมาหัวเสียแล้วยันไม้โครม ก้นจ้ำเบ้า
“วันนี้แดดร้อน ถ้าข้าไม่สั่งให้หยุดเอ็งก็ห้ามหยุด”
“จ้ะๆๆ พี่วี”
วีระยังกดกริ่งเรียกไม่หยุด พิศรีบเดินออกมาร้องห้ามเสียงลั่น
“หยุดกดกริ่งจักรยานของเอ็งซะทีได้มั้ยวะไอ้วี เสียงมันปวดหัวข้าเว้ย”
“สวัสดีจ้ะอาพิศ จักรยานคันใหม่ของฉันจ้ะ เพิ่งส่งมาจากปีนัง ฉันก็เลยอยากมาชวนแม่เพื่อนไปซ้อนท้ายขี่เล่นชมวิวกินลมด้วยกัน”
“นังเพื่อนมันไม่อยู่ เอ็งกลับไปเถอะ”
“แต่ฉันถามคนแถวนี้ เขาบอกเห็นแม่เพื่อนอยู่ในบ้านนี่จ๊ะอา”
“ก็ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว เอาจักรยานของเอ็งกลับไปเถอะ”
วีระหยุดนิ่งไปครู่แล้วชะเง้อมองไปบนบ้าน นิ่วหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ เพื่อนแอบหลบอยู่ข้างเสา พอเห็นสายตาที่วีระมองมาก็รีบถอยหลบไปทันที วีระยิ้ม รู้ว่าเพื่อนจงใจหลบตน
“แต่ฉันตั้งใจมาหาแม่เพื่อน แล้วก็ไม่ได้มามือเปล่าด้วย ฉันซื้อเสื้อผ้าสวยๆ จากพระนครมาให้แม่เพื่อนด้วยนะ ผ้าขาวม้าผืนใหม่ของอาพิศฉันก็เอามาฝาก ไอ้มาด ไปพาแม่เพื่อนลงมาหาข้าเดี๋ยวนี้”
มาดพยักหน้าโหดๆ เข้มๆ แล้วตรงดิ่งไปที่เรือน แต่ไม่ทันที่มาดจะขึ้นบันไดเรือน พิศก็ปรี่ลงมาห้าม
“มันจะมากไปแล้วเว้ย ลงไปจากเรือนข้าเดี๋ยวนี้”
มาดไม่สนใจ ปัดมือพิศแล้วยื้อยุดกันจะขึ้นไปบนเรือนให้ได้ จนทำให้พิศเสียหลักล้มลง เพื่อนจึงรีบออกมาร้องห้ามเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้มาด ลากคอลูกพี่เอ็งออกไปให้พ้นจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้”
เพื่อนจิกหน้าเอาเรื่อง มือก็ถือมีดทำครัวออกมาขู่ วีระมองเพื่อนแล้วไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน กลับยิ้มมุมปากอย่างชอบอกชอบใจและดูร้ายกาจก่อนจะยอมถอยออกไป
เพื่อนพยุงพิศขึ้นมานั่งบนเรือน หลังจากไล่ตะเพิดวีระกับลูกน้องออกไปได้
“เจ็บมั้ยจ๊ะพ่อ”
“ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ็บใจไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างพวกมันมากกว่า เป็นเมื่อก่อนมาลองดีถึงเรือนข้าแบบนี้ล่ะก็ โดนข้าฟันหัวแบะไปแล้ว”
“แต่เมื่อกี้นี้ถ้าฉันเอาจริงก็ฟันหัวมันแบะได้เหมือนกันนะจ๊ะพ่อ”
พิศหันมายิ้มชื่นชมลูกสาว
“ทั้งทุ่งบ้านสร้างชื่นชมว่าเอ็งทั้งสวยทั้งเป็นแม่ศรีเรือนเหมือนแม่เอ็ง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสันดานเอาเรื่องเอ็งก็ได้มาจากพ่อเต็มๆ เหมือนกัน”
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับคนอย่างมันหรอกจ้ะพ่อ แต่รำคาญมันเหลือเกิน เที่ยวอวดรวย ดีแต่ข่มเหงคนอื่นเพราะเงินพ่อมันทั้งนั้น”
“ดอกไม้สวยๆ แมลงภู่ก็ต้องแห่มาตอมเป็นเรื่องปกติ ยกเว้นแต่จะมีเจ้าเข้าเจ้าของคอยกันไม่ให้แมลงตัวอื่นมาตอม ปีนี้เอ็งก็อายุไม่น้อยแล้วนะนังเพื่อน”
“พูดอะไรของพ่อเนี่ย”
“จะเอาข้าวไปให้ไอ้ลอกินไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ เดี๋ยวไอ้ลอมันจะหิ้วท้องรอ”
“จ้ะพ่อ”
เพื่อนยิ้มให้พ่อแล้วรีบเอาห่อข้าวที่ผูกไว้อย่างดีลงจากเรือนไป พิศมองตามลูกสาว ยิ้มเอ็นดู

เพื่อนถือห่อผ้าแกงและข้าวสวยเพื่อเอาไปให้ลอกิน แต่ระหว่างทางได้ยินเสียงกริ่งรถจักรยานแว่วๆ มา เพื่อนชะงักกึกหันขวับไปด่าใส่ข้างหลังทันที
“ไอ้วี ยังกล้ามาตามรังควาญข้าอีกเหรอ”
เพื่อนไม่เห็นมีใครอยู่บริเวณนั้นเลย แปลกใจมองไปรอบๆ ก็ไม่เจอ จนเกือบคิดว่าตัวเองคงหูแว่ว แต่เสียงกริ่งจักรยานก็ดังเข้ามาอีก
“ว่าฉันตามรังควาญแบบนี้ฉันก็เสียสุภาพบุรุษหมดสิจ๊ะ ฉันแค่อยากเป็นสารถีขี่แม่เพื่อน เอ๊ย ขี่จักรยานพาแม่เพื่อนไปเที่ยวกินลมชมวิวด้วยกันแค่นั้นเองจ้ะ”
วีระพูดพร้อมกับขี่จักรยานออกมาจากข้างทาง ไม้ยังกางร่มเดินตามเจ้านายไม่ห่าง มาดก็ยังเดินตามคุมเชิง
“ขาข้ามีเดินเองได้”
เพื่อนพูดตัดบทไม่อยากยุ่งอีก แล้วเดินหน้าตึงออกไป แต่วีระไม่ยอมลดราวาศอก ยังถีบจักรยานตามไป จอดขวางดักหน้าไม่ให้เพื่อนไปไหนอีก
“จะเดินทำไมให้เมื่อยน่องจ๊ะแม่เพื่อน เบาะรถจักรยานฉันน่ะหุ้มหนังแท้จากปีนังเลยนะ รับรองว่าสบายก้นแม่เพื่อนแน่นอน มาสิ มาลองนั่งดูแล้วจะติดใจ”
“ขอบใจนะไอ้วีที่เป็นห่วงแม้กระทั่งตูดข้า นี่ถ้าเอ็งห่วงเรื่องทำมาหากินเหมือนห่วงเรื่องตูดชาวบ้านล่ะก็ เอ็งคงดูเป็นผู้เป็นคนกว่านี้เยอะ”
วีระโดนเพื่อนยอกย้อน ทำเอาไม้แอบขำ วีระหันขวับไปยันไม้โครม เพื่อนเลยใช้จังหวะนั้นรีบเดินหนี วีระหันมาเจ็บใจ
“ฉันพยายามเอาใจแม่เพื่อน เห็นนั่งแต่หลังควายของไอ้ลอก็อยากให้รู้จักความสบายบ้าง แต่ในเมื่อแม่เพื่อนดูถูกน้ำใจฉัน นอกจากไม่ขอบคุณสักคำแต่ยังด่าฉันแบบนี้ คนอย่างไอ้วีระ เสียหน้าไม่ได้”
วีระเสียงขึงขังจริงจังแล้วพยักหน้าให้มาดเดินปรี่เข้าไปหาเพื่อน มาดจับแขนเพื่อนแน่น แล้วพยายามฉุดมาให้ลูกพี่ เพื่อนเลยร้องเสียงดัง
“ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย”
มาดยิ่งบีบแขนแน่นแล้วออกแรงกระชาก เพื่อนเหลือมืออีกข้างที่ถือห่อผ้าแกงร้อนๆ อยู่ เลยตัดสินใจฟาด เข้าไปที่หน้ามาดทันที แกงร้อนๆ เปรอะเต็มหน้า มาดร้องลั่น เซถลาเอามือกุมหน้า เพื่อนได้โอกาสรีบวิ่งหนีออกไปทันที วีระเจ็บใจ
“แม่เพื่อน”

วีระพยักหน้าสั่งให้ไม้รีบตามไป

เพื่อนวิ่งหนีเข้ามาในป่าช้าที่รายล้อมไปด้วยเจดีย์บรรจุกระดูก บรรยากาศโพล้เพล้วังเวง

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
เพื่อนพยายามร้องตะโกนขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น และโดยไม่ทันระวัง เพื่อนสะดุดขอนไม้ ล้มลงข้อเท้าพลิกเจ็บร้องโอดโอย ระหว่างนั้นเสียงกริ่งจักรยานของวีระดังแว่วเข้ามาอย่างชวนขวัญเสีย
“แม่เพื่อน แม่เพื่อนอยู่ไหนจ๊ะ อย่าหนีฉันเลยดีกว่า มีอะไรเรามาคุยกับตรงๆ ก็ได้ เรื่องเมื่อกี้นี้ถือซะว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
วีระร้องตะโกนพร้อมกับๆ เสียงกริ่งจักรยาน ยิ่งทำให้เพื่อนกลัว เลยพยายามลุกขึ้น ทั้งๆ ที่เจ็บ แล้วเดินเซหาที่หลบที่ด้านหลังเจดีย์บรรจุอัฐิเก่าๆ พังๆ ที่พอมีช่องให้มุดลอดเข้าไปซ่อนตัว วีระกับไม้ และมาด ซึ่งเอาผ้าขาวม้ามาพาดหน้าเพราะแผลโดนแกงลวกหน้าก็พากันเข้ามา
“แม่เพื่อนไม่ได้หนีไปไหนไกลหรอก ยังอยู่แถวๆ นี้แหละ”
“ขนาดไอ้มาดมันยังเล่นซะหน้าเกือบเละ ฉันว่าจับตัวได้ พี่วีลากมันไปทำเมียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า”วีระหันมาเตะไม้
“ไอ้วิธีแบบนั้นข้าใช้แต่เฉพาะกับพวกที่ข้าชอบชั่วครั้งชั่วคราวเว้ย”
“แต่นังนี่มันแสบเอาเรื่อง พยศยิ่งกว่าม้าป่า ถ้าไม่ลงมือให้มันรู้จักเกรงซะบ้างมันจะพยศจนพี่วีเอามันไม่อยู่นะ” มาดยุ
“ข้ารู้เว้ย ยังไงข้าก็ไม่ยอมให้มันพยศใส่ข้าจนเกินงามหรอก เอาเป็นว่าพวกเอ็งหาตัว มันให้เจอ แล้วเอาตัวมาให้ข้า ไป”
ลูกสมุนพยักหน้ารับคำสั่งแล้วแยกย้ายกันไปหารอบๆ บริเวณนั้น เพื่อนซึ่งซุกตัวซ่อนอยู่ในเจดีย์พังๆ พยายามห่อตัวหลบไม่ให้พวกนั้นเห็น มือก็ปิดปากเอาไว้ไม่ให้มีเสียงลมหายใจเล็ดลอดออกมา ไม้กับมาดกวาดตาค้นหาไปรอบๆ จนใกล้จะมาถึงตัวเพื่อนที่หลบซ่อนตัวอยู่ เพื่อนยิ่งใจหายใจคว่ำ ขยับตัวมุดเข้าไปข้างในให้ลึกเข้าไว้

ลอขี่ไอ้เปลี่ยวเข้ามาที่กองฟาง แล้วรีบโดดลง ตรงไปที่อีกด้านของกองฟางทันที
“พี่มาแล้วจ้ะแม่เพื่อน หิวเหลือเกิน รอกินข้าวฝีมือแม่เพื่อนจนจะเป็นลมอยู่แล้ว”
ลอโผเข้าไปที่ข้างกองฟางเพราะคิดว่าเพื่อนจะรออยู่แต่ปรากฏว่าไม่เจอ
“แม่เพื่อน เห็นพี่มาช้าเลยคิดจะแกล้งเหรอ ออกมาเถอะน่า อย่าให้พี่ต้องหิวจนจะขาดใจ เพราะเดี๋ยวพี่จะจับแม่เพื่อนมากอดมาหอมให้อิ่มแทนข้าวนะจ๊ะ”
ลอเรียกหา แต่ทุกอย่างก็เงียบกริบจนอดแปลกใจไม่ได้
“สงสัยจะยังไม่มา ไม่เป็นไร สำหรับแม่เพื่อนแล้ว ไอ้ลอรอได้เสมอ”
ลออมยิ้มหน้าตาสดใส แล้วนั่งลงข้างๆ กองฟาง พลางเอาขลุ่ยที่เหน็บเอวอยู่ออกมาเป่าเล่นๆ ฆ่าเวลา

เพื่อนแอบซุกตัวอยู่ในซากเจดีย์ร้างที่ลึกและมืด ระหว่างนั้นเธอต้องชะงัก เมื่อเจองูเห่าตัวหนึ่งชูคอแผ่แม่เบี้ยในระยะประชิด เพื่อนตกใจแต่ไม่กล้าร้องออกมา เหงื่อแตกหน้าซีด ในขณะที่วีระและลูกน้องยืนอยู่ที่ด้านนอกเจดีย์
“ทางฉันหาจนทั่วแล้วไม่เจอเลยพี่วี”
“ทางฉันก็ด้วย”
“หรือว่านังเพื่อนจะหนีไปแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ สองเท้าของแม่เพื่อนจะวิ่งได้เร็วกว่าสองล้อจักรยานของข้าได้ยังไง”
“งั้นมันก็ยังซ่อนตัวอยู่แถวนี้”
วีระมองไปรอบๆ แล้วหันมาสนใจที่เจดีย์ร้างใกล้ๆ
“พวกเอ็งหาที่นี่รึยัง”
“ยังจ้ะพี่วี”
“เข้าไปดู ถ้าเจอตัวก็อย่าเพิ่งทำอะไร ปล่อยให้ข้าดัดนิสัยม้าพยศงามๆ ตัวนี้เอง เวลาขี่มันจะได้รู้สึกสนุกถูกใจข้า หึๆๆ”
ไม้กับมาดเข้าไปดูใกล้ๆ เพื่อนเผชิญหน้าอยู่กับงูเห่าที่กำลังแผ่แม่เบี้ยขู่ฟ่อๆ ใส่ ไม่ให้เธอขยับตัวหนี ไม้กับมาดเดินเข้ามาค้นหาจนใกล้จะถึงตัวเพื่อน วีระยืนยิ้มรออยู่ข้างรถจักรยาน
“แม่เพื่อน ฉันรู้ว่าแม่เพื่อนหลบฉันอยู่แถวนี้ แม่เพื่อนออกมาเถอะ อย่าคิดเอาเองเออเองว่าฉันจะทำร้ายแม่เพื่อนเลย เพราะถ้าจะมีใครรักแม่เพื่อนชนิดยอมยกชีวิตให้ได้ล่ะก็ คนนั้นต้องเป็นฉันคนหนึ่งล่ะ”
วีระพยายามตะล่อมปากหวาน แต่สายตาก็ยิ้มร้ายมองลูกน้องตัวเองที่กำลังเข้าไปดูข้างในเจดีย์ เพื่อนยังหน้าเครียดกลัว เพราะงูเห่ายังชูคอไม่ยอมเลื้อยหนีไปไหน เพื่อนก็เลยหนีไปไหนไม่ได้เหมือนกัน ไม้กับมาดเข้าไปจนกระทั่งเห็นเท้าของเพื่อนโผล่ออกมา ทั้งสองยิ้มชอบใจแล้วหันไปพยัก หน้าส่งสัญญาณให้วีระรู้ว่าเจอตัวแล้ว วีระยิ้มชอบใจ
“แม่เพื่อนจ๋า อย่ากลัวฉันเลยนะ นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว ถ้าแม่เพื่อนยังหลบอยู่แถวนี้ เดี๋ยวเจองูเงี้ยวเขี้ยวขอขึ้นมาจะลำบาก มืดๆ ค่ำๆ กลับบ้านก็ลำบาก เพราะงั้นถ้าฉันเจอแม่เพื่อนล่ะก็ ฉันต้องขอพาแม่เพื่อนนั่งซ้อนท้ายจักรยานฉันไปพักอยู่บ้านฉันสักคืนนะ ที่พูดเนี่ยเพราะฉันเป็นห่วงจริงๆ นะจ๊ะ”
วีระพูดตะล่อมให้ดูดีแต่จิกหน้ายิ้มร้ายพยักหน้าให้ลูกน้องเข้าไปฉุดเพื่อนออกมา ไม้กับมาดพยักน้ารับคำสั่งแล้วชักมีดพกออกมา แต่ระหว่างนั้นเสียงสมภารบุญดังเข้ามาขัดจังหวะ
“ไอ้วี พวกเอ็งมาทำอะไรแถวนี้”
“หลวงพ่อ”
วีระกับพวกลูกน้องชะงักหันมาเจอสมภารบุญเดินเข้ามาพร้อมกับก้อน
“กับคนอื่นในหมู่บ้าน เอ็งอาจจะทำคอแข็งใส่ได้ แต่นี่หลวงพ่อถามเอ็ง เอ็งยังกล้าคอแข็งใส่เลยเหรอวะไอ้วี”
“ไม่มีอะไรหรอกหลวงพ่อ ฉันก็แค่ผ่านเข้ามาเฉยๆ”
“ในป่าช้าเนี่ยนะ ข้าว่ามันไม่ใช่ที่ๆ เอ็งจะผ่านเข้ามาโดยไม่มีเจตนาอะไร”
“ถ้าฉันจะมีเจตนาอะไร มันก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะต้องสอดรู้สอดเห็นW
“ไอ้วี ปากเอ็งนี่มันวอน”
ก้อนจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่สมภารบุญยกมือห้าม
“ที่นี่เป็นเขตวัดที่ข้าดูแลอยู่ เอ็งจะมาอ้างว่าเจตนามาที่นี่ของเอ็งไม่ใช่เรื่องกิจของสงฆ์คงไม่ได้ ว่าไงไอ้วี เอ็งมีธุระอะไรที่นี่”
“ไปก็ได้วะ”
วีระหัวเสียขึ้นจักรยานปั่นออกไป ไม้กับมาดรีบวิ่งตามลูกพี่ไป สมภารบุญกับก้อนมองสงสัย แล้วมองไปที่เจดีย์ร้าง
“เข้าไปดูสิไอ้ก้อนว่าพวกมันหาอะไร”
ก้อนเดินเข้าไปดูข้างในเจดีย์ร้าง แล้วตกใจเมื่อเพื่อนนอนหมดสติอยู่ที่พื้น

“นังเพื่อน”

อ่านต่อหน้า 4

เพื่อนแพง ตอนที่ 1 (ต่อ)

ลอยังรออยู่ที่บริเวณกองฟาง เป่าขลุ่ยรอจนท้องเริ่มส่งเสียง

“ใจเย็น ข้ารู้ว่าเอ็งหิว แต่ข้ารับปากแม่เพื่อนแล้วว่าจะไม่กินฝีมือคนอื่นเด็ดขาด นอกจากฝีมือแม่เพื่อนคนเดียว”
ระหว่างนั้นเสียงแพงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“พี่ลอ พี่ลอ”
“อีแพง อะไรของเอ็งอีก”
“พี่เพื่อนแย่แล้ว รีบกลับไปที่บ้านเถอะจ้ะพี่ลอ”
“แม่เพื่อนเป็นอะไร”
ลอวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแทบจะกระโดดจากบันไดขั้นแรกสุดขึ้นมาบนเรือนได้ด้วยความเป็น ห่วงเพื่อนอย่างสุดหัวใจ ไล่หลังด้วยแพงที่ห่วงพี่สาวไม่แพ้กัน
“แม่เพื่อน แม่เพื่อน”
ลอมาถึงก็เจอเพื่อนนอนอยู่ มีพิศช่วยดูแลอยู่ใกล้ๆ ร่วมกับสมภารบุญและก้อน พอเพื่อนเห็น ลอมาหาก็ดีใจหายกลัวทันที
“พี่ลอ”
“แม่เพื่อนเป็นอะไรรึเปล่า ไอ้ด้วงมันไปบอกฉันว่าแม่เพื่อนถูกงูกัด ไหนงูมันกัดตรงไหน”
“ฉันไม่ได้ถูกงูกัดหรอกจ้ะพี่ลอ”
“แต่ไอ้ด้วงมันไปบอกฉันว่าพี่เพื่อนถูกงูกัดนี่”
“ไอ้ด้วงมันฟังไม่ได้ศัพท์แล้วก็เอาไปพูดเป็นกระต่ายตื่นตูม นังเพื่อนมันเกือบจะถูกงูกัด ตกใจกลัวก็เลยเป็นลมหมดสติ โชคดีที่ข้ากับไอ้ก้อนไปเจอเข้าก็เลยพากลับมาบ้าน”
“แน่ใจนะแม่เพื่อนว่าไม่ได้ถูกงูกัดจริงๆ ดูทั่วตัวแล้วแน่นะ”
“แน่ใจสิจ๊ะพี่ลอ ถ้างูมันกัดฉัน ฉันก็ต้องรู้ตัว แถมเป็นงูเห่าซะด้วย ฉันคงตายอยู่ที่ป่าช้า นั่นไปแล้ว”
“ถ้าแม่เพื่อนไม่เป็นอะไรแล้วก็หายห่วง กลัวแม่เพื่อนจะเป็นอะไรจะแย่”
“แล้วพี่เพื่อนไปทำอะไรที่ป่าช้าวัดล่ะถึงได้ไปเจองูมันขู่เอา”
เพื่อนชะงักไป กระอักกระอ่วนไม่ค่อยอยากพูด
“มีอะไรเหรอแม่เพื่อน เล่าให้ฉันฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
เพื่อนไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไหร่ เหลือบตามองพิศอย่างกังวล ยิ่งทำให้ลอสงสัยมากขึ้น
“อาพิศ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่มั้ย”
พิศถอนใจเฮือก

ลอรีบวิ่งลงจากเรือนด้วยความเจ็บใจอยากไปเอาเรื่องวีระ แต่พิศกับก้อนรีบตามมา
“ไอ้ลอ หยุด ข้าสั่งให้เอ็งหยุด”
“อาพิศอย่ามาห้ามฉันเลยดีกว่า ที่ไอ้วีมันกล้ามาทำแบบนี้ก็เพราะมันยังไม่เคยถูกสั่งสอน”
“ข้าเห็นด้วยกับเอ็งว่ะไอ้ลอ นับวันมันชักจะเหิมเกริมขึ้นทุกที ถ้าไม่สั่งสอนให้มันจำซะบ้าง ต่อไปมันจะยิ่งได้ใจ” ก้อนบอก
“ต้องให้มันรู้ว่าเงินพ่อมันไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่าง”
สมภารบุญเดินเข้ามา
“พอกันเลยทั้งสองคน เรื่องใช้กำลังล่ะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย”
“หลวงพ่อครับ มันพยายามข่มเหงแม่เพื่อน ทำให้แม่เพื่อนเกือบเอาชีวิตไม่รอด จะให้ผมทนอยู่เฉยๆ ผมทนไม่ได้หรอกครับ”
“ทนไม่ได้ก็เลยจะต้องไปมีเรื่องมีราวกับมัน ให้เรื่องมันบานปลาย กลายเป็นใช้กำลังตัดสินกันไม่หยุด คำพูดแบบนี้เอ็งคุ้นๆ มั่งมั้ยไอ้ลอ”
ลอชะงักอึ้งไป
“เอ็งต้องจำได้สิไอ้ลอ เพราะนั่นมันเป็นคำสอนของพ่อเอ็งก่อนที่มันจะตาย พระของพ่อเอ็งที่ห้อยคออยู่นั่น มันไม่ได้ช่วยเตือนสติเอ็งเลยเหรอ”
ลอนิ่งไป มือกำหมัดแน่น เจ็บใจ แล้วหุนหันเดินกลับเข้าไปที่หลังบ้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ไอ้ลอ”
“ปล่อยมันไอ้ก้อน กัลยาณมิตรที่ดีต้องไม่สนับสนุนให้เพื่อนทำเรื่องเดือดร้อน”
ก้อนชะงักพูดไม่ออก

ลอเดินเข้ามานั่งลงที่แคร่บริเวณคอกควายอย่างหงุดหงิดและเจ็บใจ ปลดเสื้อออกแล้วกำพระที่ ห้อยคออยู่ด้วยสีหน้าเจ็บปวด เพื่อนเดินเข้ามาหา
“พี่ลอจ๊ะ”
“แม่เพื่อน ลงมาทำไม แม่เพื่อนควรจะนอนพักผ่อนนะ”
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วละจ้ะ ห่วงแต่พี่ลอนั่นแหละ เชื่อที่หลวงพ่อเตือนเถอะนะ”
ลอมองหน้าเพื่อนแล้วยังคาใจเลยเบือนหน้าหลบ เพื่อนยิ่งเป็นห่วงจับหน้าลอให้หันมาช้าๆ
“ฉันรู้ว่าพี่ลอเป็นห่วงฉัน มันก็น่าอยู่หรอกที่คนอย่างไอ้วีระควรจะต้องถูกสั่งสอน แต่คนที่จะทำกับมันแบบนั้น ต้องไม่ใช่พี่ลอ”
“รอให้คนอื่นจัดการกับมัน คงต้องรอเก้อ เพราะตั้งแต่อำเภอยันทุ่งบ้านสร้าง มีแต่คนก้มหัวให้เงินของพ่อมัน”
“ไม่หรอกจ้ะพี่ เงินของมันไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่าง เหมือนที่มันพยายามจะซื้อหัวใจฉัน แต่มันก็แพ้พี่ลอมาตลอด”
“แม่เพื่อน”
เพื่อนยิ้มให้แล้วจับคางชายหนุ่มมาเชยจ้องตาอย่างรักใคร่
“ฉันรักพี่ลอเพราะพี่ลอเป็นคนดี เป็นคนขยันทำมาหากิน และที่สำคัญ เพราะพี่ลอไม่เคยรักใครอื่นนอกจากฉันคนเดียว”
“หัวใจพี่เป็นของแม่เพื่อนตั้งแต่วันที่พี่ได้เจอหน้าแม่เพื่อนแล้ว”
“ฉันมองตาพี่ฉันก็รู้แล้วจ้ะ”
เพื่อนกับลอยิ้มให้กันอย่างรักใคร่ เพื่อนค่อยๆ จูบที่แก้มลอเบาๆ เป็นการมอบความรักให้อย่างเต็มใจ แพงแอบยืนมองพี่สาวกับลอ แววตาเศร้าที่เห็นเขารักกันและทำให้เธอกลายเป็นส่วนเกิน

แพงเซ็งๆ เดินออกไป

วีระอยู่กับลูกสมุนคู่ใจ มาดพูดเอาใจลูกพี่ขึ้นมาว่า

“น่าเจ็บใจนะพี่วี นี่ถ้าหลวงพ่อไม่โผล่มา ป่านนี้นังเพื่อนก็คงจะกลายเป็นแมวเชื่องๆ ของพี่ไปแล้ว”
“พระไม่อยู่ส่วนพระ วันหลังก็อย่าหวังเลยว่าข้าจะไปทำบุญให้”
“ว่าแต่ป่านนี้ไอ้ลอมันคงรู้เรื่องที่พี่ไปทำให้นังเพื่อนมันตกใจขวัญเสีย มันคงสั่นเป็นเจ้าเข้า อยากมาโดนพี่กระทืบแล้วมั้ง ฮ่าๆๆๆ” ไม้สอพลอ
“ไอ้ลอ คนอย่างมันไม่เคยอยู่ในสายตาข้าหรอกเว้ย”
“อย่าประมาทมันนะพี่ ฝีมือมันมี เห็นมันเข้าๆ ออกๆ ฝึกเชิงมวยที่บ้านผู้ใหญ่ผาดมาตลอด ถ้ามันคิดจะเอาเรื่องคงรับมือไม่ได้ง่ายๆ”
“เอ็งพูดแบบนี้ มันคุ้มกับค่าจ้างที่ข้าจ้างเอ็งมาทำงานด้วยมั้ยวะไอ้มาด”
“ใจเย็นๆ พี่วี ฉันก็แค่พูดให้พี่ระวังไว้บ้าง หึ อย่างไอ้ลอน่ะเหรอ ฝีมือมันเทียบกับฉันยังห่างอีกเยอะ”
“ไอ้ลอ ไอ้กระจอกเอ๊ย อย่างเอ็งมันก็เป็นได้แค่ ไอ้ลูกโจร”

ตอนค่ำ ลอนอนอยู่บนแคร่ใกล้ๆ กับคอกเลี้ยงควาย ใกล้ตัวมีกองไฟที่สุมจนควันขโมงเพื่อไล่ยุง ลอนอนหนุนแขนตัวเองเหม่อมองไปที่ดวงจันทร์บนท้องฟ้า มือกำสร้อยพระที่ห้อยคอแล้วนิ่วหน้าคิดถึง พ่อที่เคยสวมสร้อยนี้ไว้กับตัวจนวันที่พ่อถูกยิงตายต่อหน้าต่อหน้า วันนั้น ลอยืนอึ้งตกใจเมื่อเห็นพ่อถูกตำรวจกระหน่ำยิงตายคาที่บริเวณลานต้นไทร
ลอกัดฟันกรอด น้ำตาคลอๆ เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่พ่อถูกยิง มือของเขากำสร้อยพระที่ห้อยคอแน่น จนกระทั่งเสียงแพงดังขึ้น ดึงสติของลอให้คืนมา
“ยังไม่ไปนอนอีกเหรอจ๊ะพี่ลอ”
“เอ็งนั่นแหละลงมาทำไมอีแพง”
“ฉันจะนอนหลับได้ยังไง พี่ลอเล่นสุมควันไล่ยุงจนควันมันลอยไปที่ห้องฉันน่ะสิ”
“ข้าก็สุมควันตรงนี้อยู่บ่อยๆ ไม่เห็นเอ็งบ่นควันลอยเข้าห้องสักที”
“ก็คืนนี้ลมพัดมาทางห้องฉันไง พี่ลอนี่ก็ แค่ฉันลงมาคุยด้วยต้องถามโน่นนี่เหมือนจะจับผิดฉันงั้นแหละ”
“ข้าไม่ได้จะจับผิดอะไรเอ็ง แต่มืดๆ ค่ำๆ เอ็งเป็นสาวเป็นนางแล้ว ออกมาอยู่นอกเรือนแบบนี้มันไม่ดี”
“เหรอ งั้นที่พี่เพื่อนลงมาหาพี่ตอนกลางคืนบ่อยๆ ก็ไม่ดีเหมือนกันใช่มั้ย”
“พูดกับเอ็งแล้วข้าอารมณ์เสีย เดี๋ยวคันฝ่าตีนขึ้นมาแล้วจะยันโครมเอ็งเข้าให้ คืนนี้ข้ากลับไปนอนที่กระท่อมพ่อข้าก็ได้วะ”
ลอรีบลุกขึ้นจะเดินออกไป แพงชะงักที่ดันปากเสียติดนิสัยยอกย้อนจนทำให้ลออารมณ์เสีย แต่ระหว่างนั้นเสียงเพื่อนแทรกขึ้นมา
“ดึกแล้วไม่ต้องกลับไปที่กระท่อมหรอกจ้ะพี่ลอ ถ้าข้างล่างนี่ยุงมันเยอะ ก็ขึ้นไปนอนพักบนเรือนก็ได้จ้ะ”
“ก็ดีเหมือนกันนะพี่เพื่อน นอนที่ชานเรือนก็ได้ เดี๋ยวฉันไปเอามุ้งมากางให้”
“หุบปากเอ็งไปเลยอีแพง พี่ลอเขาอุตส่าต์มาช่วยนอนเฝ้าควายให้ แต่เอ็งก็ยังมาหาเรื่องกวนให้เขาไม่ได้พักผ่อน”
“ฉันไม่ได้มากวนนะพี่เพื่อน แค่เห็นพี่ลอยังนอนไม่หลับเลยมาชวนคุย”
“ช่างมันเถอะแม่เพื่อน ฉันชินแล้ว นังนี่มันเกิดมาผิดที่ มันน่าจะเกิดเป็นนกเอี้ยงนกขุนทองมากกว่า”
“ถ้าพี่ลอเห็นว่าฉันน่าจะเกิดเป็นนกเอี้ยงนกขุนทอง งั้นชาติหน้าพี่ลอก็เกิดมาเป็นควายด้วยนะ ฉันจะได้เป็นนกเอี้ยงมาเลี้ยงควายเฒ่าไง”
“อีแพง ยอกย้อนได้ทุกคำ ต้องโดนฝ่าตีนข้ายันโครมสักทีถึงจะหยุด”
“กลัวตายแล้วพี่ลอ”
แพงแลบลิ้นใส่แล้วหันหลังส่ายก้นไปมายั่วโมโหพร้อมร้องเพลงกวนๆ
“นกเอี้ยงเอย มาเลี้ยงควายเฒ่า ควายกินข้าวนกเอี้ยงหัวโต ไปจับต้นโพธิ์ร้องไห้หงิงๆ ไปจับต้นขิงเขายิงลงมา ไปจับต้นข่าเขาด่าแม่ให้ ไปจับต้นตะไคร้เขาไสหัวเสีย”
ลอฉุนโดนล้อเลียนลุกพรวดจะไล่เตะ แพงรีบวิ่งไปทันที เพื่อนไม่ค่อยพอใจน้องสาวกับความสนิทสนมที่มีให้ลอ

แพงหอบเอาหมอนมุ้งจากตู้ออกมา เพื่อนเข้ามายืนรอมองน้องสาว
“แค่นี้ก็ต้องมาตาม เดี๋ยวฉันเอามุ้งออกไปกางให้เอง พี่ไปอยู่กับพี่ลอเถอะ”
“ข้าจะเอามุ้งไปกางให้พี่ลอเอง”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันเอาไปกางให้ก็ได้”
เพื่อนผลักไหล่แพงจนเซแล้วกระชากมุ้งจากมือ
“หน้าที่ดูแลพี่ลอเป็นของข้าไม่ใช่ของเอ็ง ข้าจะเอาไปกางให้พี่ลอเอง”
แพงตกใจชะงักไป แล้วยอมปล่อยให้เพื่อนเอามุ้งไปจากมือ
“กับอีแค่เรื่องกางมุ้งไม่เห็นต้องโกรธฉันขนาดนี้เลยนี่พี่เพื่อน”
“ข้าไม่ได้โกรธเอ็ง แต่ข้าไม่ชอบที่เอ็งชอบไปยั่วโมโหหาเรื่องให้พี่ลออารมณ์เสีย”
“ฉันก็แกล้งพี่ลอมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นพี่จะไม่ชอบเลยนี่”
“ก็ตอนนี้ไงที่ข้าไม่ชอบ เอ็งโตแล้วนะอีแพง ไม่ใช่เด็กๆ ไปหยอกล้อเล่นหัวถึงเนื้อถึงตัวกับพี่ลอเขาแบบนี้ คนอื่นเห็นเข้าจะนินทามาถึงพ่อถึงข้า”
“โธ่เอ๊ย ปากคนฉันไม่กลัวหรอก หน้าฉันมันหนา”
“พูดกับเอ็งแล้วข้าเหนื่อยใจ”
เพื่อนหยิกแขนแพง
“เก่งนัก หาเรื่องเถียงข้างๆ คูๆ”
“โอ๊ยๆๆ ฉันเจ็บนะพี่เพื่อน ก็ได้ๆ ฉันไปนอนแล้วดีกว่า ส่วนพี่เพื่อนกางมุ้งให้พี่ลอเสร็จ แล้วก็รีบๆ เข้าห้องนอนล่ะ อย่าไปนั่งอยู่กับพี่ลอนานๆ เกิดชาวบ้านมาเห็นแล้วเอาไปนินทา หน้าพี่เพื่อนไม่หนาอย่างฉันเดี๋ยวจะชักตายเพราะปากคน”
แพงเหน็บแนมย้อนกลับพี่สาวแล้วรีบเดินออกไป เพื่อนฉุน

“อีแพง”

ลอขึ้นมามองบนชานเรือน หาที่นอน แต่ไม่เห็นมีใครมากางมุ้งให้เลย ขณะที่ยืนงงๆ อยู่เพื่อนก็เข้ามา

“อ้าวแม่เพื่อน ไหนล่ะหมอนมุ้ง พี่ชักจะง่วงอยากนอนแล้ว”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว คืนนี้พี่ลอกลับไปนอนที่กระท่อมของพ่อพี่เถอะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ก็เมื่อกี้นี้แม่เพื่อนยังชวนให้พี่ขึ้นมานอนบนชานเรือนเลย พี่น่ะดีใจจนเนื้อเต้นเลยนะ ที่จะได้นอนอยู่ใกล้ๆ กับแม่เพื่อนห่างกันก็แค่ฝาเรือนกั้น”
ลอพูดไปก็ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วถือโอกาสเข้าไปสวมกอดเพื่อน
“ถ้าแม่เพื่อนไม่เชื่อ แม่เพื่อนลองเอามือมาแตะตรงหัวใจพี่ก็ได้ หัวใจพี่มันเต้นแรง กลัวห้ามใจไม่ไหว ถ้าคืนนี้ลมแรงแล้วเกิดหนาวขึ้นมา พี่คงดิ้นตายเพราะอยากแอบเข้าไปขอนอนเบียดแม่เพื่อนให้หายหนาว”
เพื่อนรีบแกะมือกลัวคนเห็น
“ไม่เอานะจ๊ะพี่ลอ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“อาพิศหลับไปแล้วใครจะมาเห็นได้อีกล่ะ”
“ก็ชาวบ้านแถวนี้ไง ถึงพี่ลอจะเข้าออกบ้านฉันจนคนอื่นเขาเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ ปากคนมันก็สรรหาเรื่องมาโพนทะนาเสียๆ หายๆ ได้เหมือนกันนะจ๊ะ”
ลอชะงักหน้าเซ็ง
“พี่ว่าตั้งแต่แม่เพื่อนเป็นเทพีแห่นางแมวมีแต่คนห้อมล้อมรักแม่เพื่อน ป้อยอแม่เพื่อน แม่เพื่อนของพี่ก็ดูจะหวงเนื้อหวงตัวกว่าแต่ก่อน”
“ฉันไม่ได้หวงตัวไม่ให้พี่ลอกอดเพราะหลงคำป้อยอของคนอื่นนะ ฉันเป็นผู้หญิงต่างหาก”
“ก็ได้ พี่ขอโทษที่พี่เป็นผู้ชายสันดานเสียมือไวใจเร็วไม่ให้เกียรติแม่เพื่อน เอาเป็นว่าพี่จะกลับไปนอนที่กระท่อมพ่อพี่ก็แล้วกัน”
ลอตัดพ้อน้อยใจแล้วเดินออกไป เพื่อนหน้าเจื่อนลง ไม่คิดว่าพูดแบบนี้แล้วจะทำให้ลอน้อยใจ
“พี่ลอ”
แพงแอบยื่นหน้าชะโงกมามองพี่สาวที่มีเรื่องให้ต้องงอน เคืองใจกับลอ แพงอมยิ้มหัวเราะคิกคัก เพื่อนได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมาเลยหันขวับไป แพงตกใจรีบหลบผลุบหัวเข้าไป แต่ซุ่มซ่ามรีบร้อนเลยหัว กระแทกขอบหน้าต่าง แพงเจ็บน้ำตาไหลแต่กัดฟันไม่ร้อง

ตอนเช้า ชาวบ้านไปทำบุญที่วัดทุ่งบ้านสร้าง เพื่อน แพง พิศ เรือง แสง นั่งพนมมือฟังสมภารบุญให้ศีลให้พร เรืองนั่งมองแพง หญิงสาวที่ตัวเองชื่นชอบอยู่ตลอดเวลา และพยายามชวนคุยซุบซิบเบาๆ
“แพง เดี๋ยวทำบุญเสร็จแล้วเอ็งไปไหนรึเปล่า”
“เปล่า”
“งั้นเอ็งไปเที่ยวอำเภอกับข้ามั้ย วันนี้พี่สาวข้าจะกลับจากพระนคร ข้าจะไปรับเขากลับมาอยู่ที่บ้านสร้าง เอ็งจำเขาได้รึเปล่า พี่แรมน่ะ”
“จำได้ เขาหายหน้าไปนานแล้วนี่ แต่พี่แรมเป็นพี่สาวเอ็ง แล้วข้าจะเสนอหน้าไปรับทำไม”
เสียงคุยกัน แม้จะเบาๆ แต่ก็รบกวนสมภารบุญที่กำลังสวดให้ศีลให้พร สมภารบุญเลยจ้องเขม็งมาที่แพงกับเรือง แล้วกระแอมดักคอให้หยุดคุย แพงยิ้มทะเล้นนิดๆ ให้หลวงพ่อแล้วหันไปตาขวางใส่เรือง
“เอ็งทำให้ข้าโดนหลวงพ่อดุแล้ว”
“แต่ข้าอยากชวนเอ็งไปเที่ยวนะ ในอำเภอมีของขายตั้งหลายอย่าง ไปนะแพง”
“ไอ้เรือง นี่มันเวลาทำบุญ ถ้าเอ็งไม่อยากได้บุญได้กุศลก็ลงศาลาไป”
“โธ่ ว่าแต่ไอ้เรืองเรื่อย ดูพี่สาวเอ็งก่อนเถอะ ชะเง้อคอยาวตั้งแต่ขึ้นศาลาไม่ได้สนใจจะทำบุญเหมือนกันนั่นแหละ”
คำพูดของเรืองทำให้แพงหันไปที่เพื่อนซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าๆ ของกลุ่มชาวบ้าน ท่าทางของเพื่อนเป็นอย่างที่เรืองบอกจริงๆ เพื่อนเอาแต่ชะเง้อคอมองหาลอจนไม่ได้สนใจทำบุญ
หลังจากที่ชาวบ้านทำบุญกันเสร็จ เพื่อนเดินออกมาชะเง้อมองเหมือนกำลังรอใครสักคน แพงเดินเข้ามาหาพี่สาว
“ชะเง้อคอยาวเป็นนกตะกรุมแบบนี้ รอใครอยู่เหรอจ๊ะพี่เพื่อน”
“รออะไร ข้าไม่ได้รออะไรซะหน่อย”
“เหรอ แต่ฉันเห็นตั้งแต่บนศาลาแล้วนะ”
“เอ็งอย่ามาเซ้าซี้ข้าได้มั้ยอีแพง วันนี้เอ็งไม่มีเรียนหนังสือกับหลวงพ่อเหรอไง ถึงได้มายุ่งกับข้าจัง”
“ที่จริงก็มีอยู่หรอก แต่หลวงพ่อรับกิจนิมนต์เลยไม่ว่างสอนหนังสือฉัน”
แพงตอบไป แล้วก็ทำลอยหน้าลอยตาอย่างรู้ทัน เข้าไปยืนใกล้ๆ พี่สาว แล้วตกใจเหมือนเห็นอะไรสักอย่าง
“นั่นไง พี่ลอมานั่นแล้ว”
เพื่อนชะงักสะดุ้งแล้วรีบเชิดหน้าวางท่าเมิน
“มาแล้วเหรอ ถ้าพี่ลอถามหาข้า เอ็งบอกไปเลยนะว่าข้าไม่อยู่ วันนี้ข้าไม่ว่าง ต้องช่วยพ่อตัดบัวไปขาย”
“แล้วพี่เพื่อนทำไมไม่บอกเองล่ะ”
“เอ็งเป็นน้องข้า ข้าสั่งอะไรเอ็งไม่ต้องถาม”
“แต่ฉันโกหก พี่ลอไม่ได้เข้ามาซะหน่อย”
“อีแพง นี่เอ็งแกล้งข้าเหรอ”
“ก็ฉันอยากรู้นี่ว่าพี่เพื่อนจะแกล้งงอนรอให้พี่ลอมาง้อจริงรึเปล่า แล้วก็จริงอย่างที่ฉันคิดซะด้วย ระวังเถอะพี่เพื่อน เล่นตัวมากๆ แบบนี้ ถ้าพี่ลอเขาเบื่อขึ้นมา น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”
“อีแพง เอ็งชักจะเอาใหญ่ ไม่รู้จักเด็กจักผู้ใหญ่”
เพื่อนโมโหน้อง พยายามจะหยิกแขนสั่งสอน แต่แพงไม่ยอมถูกหยิกเลยรีบวิ่งหนี
“อีแพง กลับมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ยอมพี่ฉันก็เจ็บตัวน่ะสิพี่เพื่อน”

แพงรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด เพื่อนรีบตามไป

ลออยู่ที่บ้านผาด กำลังฝึกมวยอยู่ เขาตั้งการ์ดเชิงมวยคาดเชือกแล้วซ้อมมวยกับก้อน ลูกชายผาด ร่วมกับลูกศิษย์นักมวยของผาดอีกหลายคน ลอออกชั้นเชิงมวยด้วยท่วงท่าสวยงาม รับ รุกกับก้อนอย่างหนักหน่วง

ผาดเดินเข้ามาดูการซ้อมเชิงมวยที่ได้ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ทั่วๆ ลานซ้อมในบริเวณบ้าน ลอกับก้อนเริ่มออกแรงใส่กันอย่างหนักหน่วงรุนแรงขึ้น จนทำให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ต้องหยุดซ้อมหันมาดู สองคนซัดใส่กัน
ผาดเองก็ต้องหยุดดูลอกับก้อนแลกหมัดแลกเชิงมวยออกแม่ไม้กันอย่างชื่นชมเพราะทุกอย่างที่ทั้งสองกำลังทำอยู่นั้นเป็นผลมาจากการฝึกสอนของตนเองทั้งสิ้น ลอออกหมัดแล้วโดนก้อนสวนกลับเซถลา ก้อนยิ้มกริ่มที่เล่นงานลอได้ เลยตามไปประเคนแม่ไม้มวยไทยเข้าให้อีก แต่พลาดท่าโดนลอเอี้ยวตัวหลบแล้วตวัดศอกกลับกระแทกหน้าจนเซ เสียงเชียร์จาก พรรคพวกลูกศิษย์ผาดดังเฮให้ลอเข้าไปจัดการ ลอจ้องเขม็ง ตั้งท่าแล้วพุ่งเข้าไปเตะจระเข้ฟาดหางใส่ ก้อนตัวลอย แล้วลงมากระแทกพื้นแทบหมดสภาพ
“เอาล่ะ วันนี้ซ้อมกันแค่นี้ กลับบ้านกลับช่องไปทำไร่ทำนากันได้แล้ว”
ลูกศิษย์คนอื่นๆ พากันมายกมือไหว้ผาดแล้วแยกย้ายออกไป ผาดเข้ามาหาลอ
“เชิงมวยที่ข้าสอนเอ็งแข็งแรงขึ้นทุกวันนะไอ้ลอ”
“ครูสอนดีลูกศิษย์ก็ต้องได้ดีสิจ๊ะครู”
“แต่เอ็งต้องจำคำที่ข้าสอนให้มั่น ข้าฝึกมวยให้พวกเอ็งเพื่อไว้ช่วยดูแลคนอื่น ไม่ใช่ฝึกเอาไว้เพื่อให้ไปมีเรื่องมีราว”
“จ้ะครู”
ผาดยิ้มรับตบบ่าลออย่างภูมิใจ แล้วหันไปที่ลูกชายที่นอนแผ่อยู่ที่พื้น
“ไอ้ก้อน โดนตีนไอ้ลอแค่นี้ทำเป็นนอนขี้เกียจลุกไม่ขึ้นเลยนะเอ็ง รีบๆ ลุกขึ้นมาช่วยข้าทำงานได้แล้ว”
ก้อนนอนกองอยู่ที่พื้นร้องโอดโอย พยายามจะลุกแต่สะดุ้งเจ็บ
“ถ้าฉันลุกได้ง่ายๆ ฉันลุกไปนานแล้วพ่อ แต่นี่ฉันลุกไม่ไหวจริงๆ”
“มา ข้าช่วยเอ็ง”
ลอเข้าไปช่วยพยุงให้ก้อนลุกขึ้นแต่ก้อนร้องลั่นเจ็บมาก
“โอ๊ยๆๆๆ เบาๆๆๆ ไอ้ลอ ขา ขาข้า อู้ย”
“เฮ้ย นี่เอ็งเจ็บจริงเหรอวะไอ้ก้อน”
“โธ่พ่อ ถามแบบนี้ ลองเอาหน้ามารับจระเข้ฟาดหางไอ้ลอดูมั่งมั้ย อู้ย”
“ไอ้ก้อน ข้าขอโทษว่ะ ข้าไม่ตั้งใจจะซัดเอ็งจนเจ็บขนาดนี้”
“เอ็งไม่ต้องมาขอโทษข้า ถ้าอยากช่วยก็ช่วยพยุงพาข้าไปหายามาให้ข้าดีกว่า”
“นี่เอ็งเจ็บหรือสำออยหาเรื่องขี้เกียจช่วยงานข้ากันแน่วะไอ้ก้อน”
“ฉันว่าไอ้ก้อนมันเจ็บจริงๆ จ้ะครู เดี๋ยวฉันพามันไปหาหยูกหายามาให้มันนะ”
“เออ พามันไปเถอะ วันนี้เอ็งไม่ต้องช่วยข้าทำงานสักวันก็แล้วกัน”
ผาดอนุญาตให้ลอประคองพาลูกชายออกไป ลอพยุงก้อนเดินออกมา ก้อนยังทำเสียงร้องโอดโอยให้รู้ว่ายังเจ็บ
“อู้ย เบาๆ หน่อยไอ้สิวะไอ้ลอ”
“ข้าว่าเอ็งเลิกเล่นละครได้แล้ว พ่อเอ็งเขาไม่ได้ตามออกมาหรอก”
“เป็นไงวะ ข้าเล่นละครตบตาพ่อข้าซะพ่อข้าเชื่อสนิทเลยใช่มั้ย”
“เออ แต่เอ็งไม่น่าทำแบบนี้ ข้าไม่อยากโกหกครู ทำให้ครูลำบากใจ แล้วก็ไม่อยากให้เอ็งมาเกี่ยวข้องกับเรื่องบาดหมางของข้า”
“เฮ้ย พูดแบบนี้ได้ไงวะ ข้ากับเอ็งเป็นเพื่อนกันนะเว้ย มีที่ไหนที่เพื่อนจะปล่อยให้เพื่อนไปมีเรื่องคนเดียว ยิ่งกับพวกไอ้วีระด้วยแล้ว ข้ายิ่งปล่อยให้เอ็งไปคนเดียวไม่ได้”
“ข้าไม่ได้จะไปมีเรื่อง แค่จะไปเจรจากับมัน ไม่ให้มันมาเข้าใกล้แม่เพื่อนของข้าอีก”
“แต่สันดานอย่างไอ้วีระมันไม่เจรจากับเอ็งง่ายๆ หรอกไอ้ลอ เอ็งต้องมีข้าไปด้วย ไม่งั้น ข้าไม่ให้เอ็งไปเด็ดขาด”
ลอนิ่งไป

เรืองรีรอแพงอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ จนแสงต้องเข้ามาตาม
“เรือเข้าไปอำเภอมาแล้วนะไอ้เรือง ยังไม่รีบไปอีก เดี๋ยวพี่สาวเอ็งก็รอนานหรอก”
“อีกเดี๋ยวพ่อ พ่อไปรอที่เรือก่อนนะเดี๋ยวฉันตามไปจ้ะ”
“เร็วๆ เข้าล่ะ
แสงเดินไปที่ท่าน้ำที่เรือจอดรออยู่ ระหว่างนั้นแพงวิ่งหนีพี่สาวที่ไล่หยิกเข้ามา
“พี่เพื่อน แขนฉันช้ำไปหมดแล้ว พี่จะโกรธอะไรฉันนักหนาเนี่ย ฉันก็แค่พูดความจริง”
“พูดความจริงหรืออยากกระแนะกระแหนข้า เดี๋ยวนี้เอ็งชักจะเอาใหญ่แล้วนะ เพราะพี่ลอตามใจเอ็งมาก เอ็งก็เลยเอาใหญ่ ไม่รู้จักใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง”
“เป็นน้องเตือนพี่ไม่ได้เหรอไง ก็ฉันไม่อยากเห็นพี่เพื่อนไปหาเรื่องเล่นตัวพี่ลอแล้วให้เขามาง้องอนพี่ ทำแบบนั้นถ้าใครรู้เข้าเขาจะหาว่าพี่ลอไม่มีเชิง แค่ผู้หญิงเล่นตัวก็กลัวหงอ”
“เอ็งเพิ่งจะโตเป็นสาว อย่าริมาสอนเรื่องพวกนี้ข้าหน่อยเลย ไว้มีผู้ชายมาชอบเอ็งเมื่อ ไหร่ ข้าจะคอยดู เก่งให้มันตลอดเถอะอีแพง”
เพื่อนพูดไม่ทันขาดคำ เรืองก็เสนอหน้าเข้ามาหาแพง
“แพง ตกลงจะไปเที่ยวอำเภอกับข้าใช่มั้ย รีบไปเถอะ เรือจอดรออยู่นานแล้ว”
“ใครบอกข้าจะไปกับเอ็ง ข้าไม่ว่างไปเที่ยวไหนหรอก ข้าต้องไปช่วยพี่ลอทำนา พี่เพื่อนจะไปด้วยกันมั้ยล่ะ แต่เอ๊ะ พี่เพื่อนคงไม่อยากเจอหน้าพี่ลอ เพราะพี่เพื่อนกำลังเล่นตัวอยู่ใช่มั้ยจ๊ะ”
“อีแพง”
“เสียเวลาเปล่าอีแพง ไอ้ลอมันไม่อยู่ให้เอ็งไปช่วยงานมันหรอก”
“เอ็งรู้เหรอไอ้เรืองว่าพี่ลออยู่ไหน”
“เอ่อ คือ ฉันไม่รู้หรอกจ้ะแม่เพื่อน”
“เอ็งจะบอกไม่รู้ได้ยังไง เมื่อกี้เอ็งยังพูดออกมาเหมือนเอ็งรู้ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะไอ้เรือง พี่ลอหายไปไหน ทำไมถึงไม่มาทำบุญ”
เรืองหน้าจ๋อยๆ เมื่อเจอเพื่อนบีบแขน บังคับให้พูดออกมา

เพื่อนนั่งอยู่บนเรือโดยสารกับเรืองและแสง แพงยืนอยู่ริมตลิ่งพยายามวิ่งตามเรือแล้วร้องตะโกนเรียกพี่สาว
“พี่เพื่อน ให้ฉันไปด้วยสิ พี่เพื่อน ให้ฉันไปด้วย ฉันก็ห่วงพี่ลอเหมือนกันนะ พี่เพื่อน”
แพงร้องตะโกนสุดเสียงแต่เสียงก็ดังไปไม่ถึง เพราะเสียงเครื่องเรือดังกลบ แสงเห็นก็สงสัย
“อีแพงมันตามมาร้องโหวกเหวกอะไรของมันอยู่บนตลิ่ง”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะครู อีแพงมันอยากตามฉันไปซื้อของที่อำเภอ แต่ฉันไม่ให้มันไปด้วย”
“นังนี่ โตเป็นสาวแล้วแท้ๆ แต่ยังทำตัวเป็นเด็กวิ่งไล่ตามเอ็งทีตามไอ้ลอที”
“มันไม่รู้จักโตอย่างนี้แหละจ้ะครู”
“แล้วอย่างนี้จะมีผู้ชายที่ไหนมาสนใจมัน หะ นังเพื่อน”
เรืองอมยิ้มตอบแทน
“เดี๋ยวก็มีเองแหละพ่อ แพงมันก็สวยใช้ได้อยู่”
เรืองพูดไปก็อมยิ้ม ไม่แสดงท่าทีให้คนอื่นรู้ว่าคำพูดนั้นหมายถึงตัวเอง ขณะนั้นแพงได้แต่ยืนมองเรือโดยสารแล่นไปตามลำคลองด้วยความเป็นห่วงทั้งเพื่อนและลอ

ภายในโรงสีของประจวบ วีระกระชากคอเสื้อชาวบ้านคนหนึ่งขึ้นมา
“เอ็งผัดผ่อนหนี้พ่อข้ามากี่ครั้งแล้ว หา”
“สาม สาม ครั้งแล้วจ้ะพ่อวีระ”
“สามครั้งแล้ว และนี่ก็จะขอผลัดอีกเป็นครั้งที่สี่ ที่นี่ไม่ใช่โรงทานที่จะให้เอ็งเดินเข้ามายืมเงินไปใช้แล้วไม่ต้องคืนนะเว้ย”
วีระไสหัวแล้วถีบยอดอกชาวบ้านจนล้มโครมไปทางกระสอบข้าว ต่อหน้าต่อตาพวกคนงานที่กำลังแบกกระสอบข้าวสารขึ้นจากเรือขึ้นมาไว้ที่โกดังเก็บข้าว ลอกับก้อนแอบอยู่ตรงซอกหลืบของโรงสี เอาผ้าขาวม้าคลุมหน้าคลุมตาแอบเข้ามาดู จึงได้เห็นเหตุการณ์ที่วีระกำลังข่มเหงชาวบ้าน ลอไม่พอใจ ก้อนรีบรั้งไว้ให้อยู่เฉยๆ ก่อน
“ช่วยเมตตาฉันหน่อยเถอะจ้ะพ่อ ปีนี้นาฉันเจอแล้งฝนไป ข้าวจะเก็บไว้กินยังไม่เหลือ แล้วจะเอาอะไรมาใช้หนี้ให้ได้ล่ะ”
“ไม่ใช่ธุระของข้าที่จะมาคิดให้เอ็งว่าต้องหาอะไรมาใช้หนี้”
วีระพูดพร้อมกระชากคอเสื้อขึ้นมาแล้วง้างหมัดจะชก แต่เสียงของประจวบดังขัด
“พอได้แล้วไอ้วี คนเขาเดือดร้อนมา เราต้องเข้าใจ อย่าเพิ่งซ้ำเติมเขา”
ประจวบทำเหมือนเข้าอกเข้าใจชาวบ้านที่กำลังลำบาก แล้วเข้าไปช่วยพยุงชาวบ้านขึ้นมา
“เรื่องหนี้สินของเอ็ง ข้าพอจะเข้าใจ ทำนาทำไร่มันก็ต้องพึ่งฟ้าฝน ส่วนข้าทำโรงสีก็ต้องพึ่งชาวนาอย่างพวกเอ็ง ถ้าน้ำไม่พึ่งเรือเสือไม่พึ่งป่า แล้วจะทำมาหากินด้วยกันได้ยังไง”
“คุณประจวบจะผ่อนผันให้ฉันอีกใช่มั้ยจ๊ะ”
“ข้าก็อยากผ่อนผันให้เอ็งได้ลืมตาอ้าปากอีก แต่ลูกหนี้ข้ามีอีกเป็นร้อย ถ้าข้าให้เอ็งได้ คนอื่นๆ ก็ต้องมาขอร้องข้าเหมือนเอ็งอีก เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าเอ็งอยากปลดหนี้ เอ็งก็ขายที่ทั้งหมดของเอ็ง แล้วมาเป็นลูกจ้างทำนาให้ข้า”
ชาวบ้านชะงักจะปฏิเสธ แต่ประจวบฉีกยิ้มแสร้งเห็นใจแล้วควักเงินยัดใส่มือ
“ยังไม่ต้องตอบข้าตอนนี้ เอาเงินนี่ไปซื้อของกินของใช้กลับบ้านแล้วค่อยๆ คิด ข้าไม่รีบ”
ประจวบยิ้มให้แล้วปล่อยให้ชาวบ้านเดินออกไปพร้อมเงินที่ให้ไปด้วยแววตาร้าย
“ส่งพวกเราตามมันไป แล้วหาที่ลับตาคนกระทืบบังคับให้มันขายที่ให้ข้า ถ้ามันปากแข็งไม่ยอมขาย ก็หักขาตัดลิ้นมันให้พิการ ทีนี้มันไม่มีปัญญาทำนาเองอีกแน่”
วีระยิ้มพอใจ ลอกับก้อนได้ยิน ได้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของประจวบ ลอไม่พอใจมาก

วีระกับประจวบเดินคุยกันมาตามทางเดินเลียบคลองข้างโรงสี
“สันดานเอ็งมันใจร้อนเกินไปไอ้วี เอ็งต้องดูตัวอย่างพ่อ ยิ่งเรามีเงินมากคนมันก็ยิ่งหมั่นไส้เรามาก เวลาจะทำอะไรก็มักจะตกเป็นเป้าสายตา”
“เพราะฉะนั้นเราต้องทำตัวให้ดูเป็นคนดีมีเมตตาเข้าไว้ใช่มั้ยพ่อ”
“ฮ่าๆๆ เอ็งจำเอาไว้ มือตีนเรามีไว้หาเงินเพื่อจ้างให้คนอื่นทำตามที่เราต้องการ เรื่องไหนที่มันไม่จำเป็นต้องทำก็อยู่เฉยๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกลิ่วล้อมันทำไป เรื่องไหนดีได้ชื่อก็รับเอาไว้ เรื่องไหนพลาดก็ปล่อยให้คนอื่นรับไปแทน”
“งั้นฉันขอยกเว้นเรื่องหาเมียไว้สักคนนะพ่อที่ฉันขอทำเอง”
“ไอ้เรื่องนั้นมันก็ต้องทำเองสิวะ จะให้คนอื่นมาทำแทนได้ไง ฮ่าๆๆ ว่าแต่ เอ็งพูดมาแบบนี้แสดงว่าเอ็งไปเล็งสาวที่ไหนเอาไว้แล้ว”
“ก็มีที่ถูกใจอยู่บ้างจ้ะพ่อ”
“ดูให้มันดีๆ นะไอ้วี เอามันมาให้เป็นหน้าเป็นตาข้าได้ ไม่ใช่ไปคว้าพวกผู้หญิงในซ่อง ในโรงฝิ่นมาทำเมีย แบบนั้นข้าไม่เอา”
“ฉันรู้จ้ะพ่อ คนที่ฉันชอบอยู่เนี่ยรับรองว่าถ้าได้มาเป็นสะใภ้ล่ะก็ พ่อไม่อายใครแน่ แม้ฐานะอาจจะไม่ร่ำรวยแต่ความสวยระดับจังหวัด”
“ใครวะที่เอ็งอยากเอามาทำเมีย”
“แม่เพื่อน ลูกสาวตาพิศทุ่งบ้านสร้างไงจ๊ะพ่อ”
ลอแอบตามมาเฝ้าดูวีระ พอได้ยินพูดแบบนี้ก็ยิ่งเจ็บใจกำหมัดแน่นกัดฟันจนทนไม่ไหว อยากจะออกไปเอาเรื่องกับวีระ และประกาศให้รู้ว่าเพื่อนเป็นของเขาคนเดียว แต่ก้อนตามเข้ามารั้งไว้
“ใจเย็นๆ ไอ้ลอ อย่าเพิ่ง”
“เอ็งหายไปไหนมาวะ”
“ข้ารู้สึกเหมือนเอ็งนั่นแหละไอ้ลอ เห็นพวกมันข่มเหงคนจนแล้วมันทนไม่ไหวจริงๆ เลย ต้องหาเรื่องดัดสันดานพวกมันบ้างนิดๆ หน่อยๆ”
ลอสงสัยคำพูดของเพื่อน ในขณะที่ประจวบกับวีระคุยกันต่อ
“นังเพื่อน ทุ่งบ้านสร้าง อ๋อ ข้าเคยได้ยิน ชื่อเสียงเรื่องความสวยของมันดังใช้ได้”
“นั่นแหละจ้ะพ่อ ตอนนี้ฉันกำลังพยายามเกี้ยวมันอยู่ ถ้ามันใจอ่อนให้ฉันเมื่อไหร่ล่ะก็ พ่อต้องไปสู่ขอมันให้ฉันนะ”
ลอได้ยินวีระมั่นใจแบบนั้นก็ยิ่งเจ็บใจ ระหว่างนั้นมาดรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา
“นาย นาย แย่แล้ว ไฟไหม้โกดังข้าว”
“ว่าไงนะ อยู่ๆ ไฟจะไหม้โกดังข้าวข้าได้ยังไง”
“รีบไปดูเถอะพ่อ”
วีระกับประจวบรีบตามมาดออกไป ลอขยับออกมามองตามพวกนั้นด้วยความงง แล้วหันไปมองก้อน
“ไอ้ก้อน นี่อย่าบอกนะว่าที่เอ็งหายไปเมื่อกี้นี้”
“หึๆๆ เก่งแต่ข่มเหงคนจน โดนซะบ้าง จะได้เข็ด ฮ่าๆๆ”

“แต่เอ็งจะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เดือดร้อนไปถึงคนทุ่งบ้านสร้าง”

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น