xs
xsm
sm
md
lg

นางชฎา ตอนที่ 14

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นางชฎา ตอนที่ 14

วันถัดมา ตำรวจและเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ช่วยกันขุดหากระดูกริลณีที่ฝังอยู่ใต้ดินบ้านทรงไทยของเตชิน มี เจ้าของบ้าน ชมพู ชัช เอทีเอ็ม และเฟื่องฟ้า ยืนดูอยู่ใกล้ๆ

เตชินนั้นหน้าตาหมองเศร้า จนชมพูต้องคอยจับมือให้กำลังใจ เอทีเอ็มเหลือบเห็น ก็แอบสะเทือนใจ เฟื่องฟ้ามองเพื่อนอย่างเห็นใจ ส่วนชัชมองไปรอบๆ เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง จังหวะที่มองไปเหมือนเห็นริลณียืนหน้าเศร้ามองเจ้าหน้าที่ขุดศพตัวเองอยู่ แต่ครั้นพอมองไปอีกที ก็ไม่เห็นริลณีอยู่ตรงนั้นแล้ว
“มองอะไรเหรอคะคุณชัช”
เฟื่องฟ้าถามอย่างสงสัย ชัชหน้าเจื่อน
“เอ่อ...คิดว่าน้องรินจะยังอยู่ที่นี่มั้ย”
“เค้าบอกว่า ถ้าดวงวิญญาณหมดห่วงเมื่อไหร่ก็จะไป ตอนนี้ตำรวจก็เจอกระดูกแล้ว และอีกไม่นานก็ต้องจับคนร้ายได้แน่ รินคงหมดห่วงแล้วล่ะค่ะ”
“แต่พี่ว่าน้องรินคงไม่ได้หมดห่วงแค่เรื่องคนร้ายอย่างเดียวหรอกมั้งครับ”
ชัชไม่วายกังวล เมื่อหันไปมองชมพูยืนจับมือเตชิน ทั้งสองเหมือนกลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม เฟื่องฟ้ามองตามอย่างเข้าใจ
“ถ้ารินจะยอมให้ใครสักคนคบพี่เตชิน ก็ต้องเป็นชมพูนี่แหละค่ะ คนที่เรารักที่สุด กับเพื่อนที่รักเรามากที่สุด เหมาะสมกันสุดๆ แล้ว”
อยู่ดีๆ ก็เกิดลมพายุพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง พร้อมเสียงตำรวจที่ตะโกนเข้ามา
“เจอครบทุกส่วนแล้วนะครับ”
ทุกคนรีบเข้าไปดู เห็นโครงกระดูกแต่ละส่วนของริลณีถูกขุดขึ้นมาวางเรียงบนผ้าพลาสติกเป็นร่างจนครบ เตชินเบือนหน้าหนีด้วยความสะเทือนใจ ในขณะที่คนอื่นๆ ก็โศกเศร้าไม่ต่างกัน
“เดี๋ยวทางเราจะพิสูจน์และตรวจสอบดีเอ็นเอ ว่าจะใช่คนตามที่พวกคุณสงสัยรึเปล่า”
ตำรวจหัวหน้าทีมหันมาบอก เอทีเอ็มถามสวนกลับไปทันที
“แล้วพอจะบอกได้มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนตาย”
“ตอนนี้คงไม่สามารถบอกอะไรได้หรอกครับ คงต้องรอตรวจสอบข้อมูลที่แน่ชัดอีกที แต่คนที่ถูกฆ่าตาย แล้วถูกเอามาฝังลืมแบบนี้ ยังไงก็น่าสงสารและทรมานมากอยู่แล้วละ”
“คุณตำรวจต้องจับคนที่ทำเรื่องเลวๆ แบบนี้มาลงโทษให้ได้นะคะ” ชมพูหันมาพูดย้ำ
“มันเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แล้วครับ”
ตำรวจหันไปพยักหน้าสั่งให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิยกโครงกระดูกริลณีออกไป เตชินเดินไปขวางไว้ จดสายตามองจ้องกระดูกหญิงคนรัก แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปจับโครงกระดูกเอาไว้ น้ำตารินไหลออกมา ด้วยความเจ็บปวดสุดจะประมาณ
“ริน...”
ชมพูกับชัชต้องเข้ามาปลอบอยู่นาน กว่าเตชินจะยอมปล่อยมือออก ให้เจ้าหน้าที่ยกโครงกระดูกออกไป และเตชินมองตามจนลับตา ชมพู ชัช เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็ม มองเขาอย่างสงสาร

เฟื่องฟ้ายื่นกล่องกระดาษใบใหญ่ที่เตรียมมาจากบ้านเด็กกำพร้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
“นี่เป็นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของริน ที่เก็บเอาไว้ตั้งแต่รินหายตัวไปค่ะ เผื่อคุณตำรวจจะเอาไปใช้เทียบเคียงเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นกระดูกของรินได้”
ตำรวจเปิดดูในกล่อง หยิบหวีที่มีผมของริลณีติดอยู่ขึ้นมาพิจารณา
“ก็คงต้องใช้หลักฐานการทำฟัน และหลักฐานอย่างอื่นๆ ด้วย”
“แต่ฉันมั่นใจนะคะว่าเป็นรินแน่ๆ” ชมพูพูดอย่างมั่นใจ
“เราฟันธงไม่ได้จากแค่ที่คุณฝัน หรือว่าวิญญาณมาบอกหรอกนะครับ ยังไงก็ต้องมีหลักฐานมายืนยัน”
เอทีเอ็มหันมาบอกชมพู
“ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนเถอะ ตำรวจเค้าต้องรู้แน่ว่ากระดูกนั้นเป็นของใคร”
“ผมจะขอเชิญทุกคนไปให้ปากคำด้วยนะครับ”
ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม รีบคำพร้อมกัน
“ยินดีค่ะ” / “ยินดีครับ”
ตำรวจพยักหน้าลา แล้วเดินออกไป เฟื่องฟ้าถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ
“แล้วคุณเตชินอยู่ไหนแล้วล่ะ”
“อยู่บนบ้าน ให้เวลาเค้าหน่อย การทำใจจากลาสิ่งที่รักเป็นครั้งสุดท้ายไม่ใช่เรื่องง่าย”
ชมพูพูดอย่างเข้าใจและเห็นใจ เอทีเอ็ม กับเฟื่องฟ้า พยักหน้ารับรู้

เตชินพาตัวเองเข้าไปในห้องต่างๆ ที่เคยอยู่กับริลณีด้วยความรู้สึกที่เศร้าใจปนอาลัยรัก ก่อนจะค่อยๆ ไล่ปิดล็อกประตูในบ้านทีละห้องๆ จนมาถึงประตูบานสุดท้าย เขาจับค้างไว้ ยืนนิ่งมองเข้าไปในบ้านอีกครั้ง จนชัชต้องเดินเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจ
“แกคิดถูกแล้วไอ้เต ถ้าแกยังอยู่ที่นี่ เรื่องเลวร้ายต่างๆ ที่มันเคยเกิดกับริน มันจะทำให้แกไม่มีความสุข ปล่อยให้น้องรินเค้าได้ไปยังที่ที่เค้าควรอยู่ การที่แกคิดถึงเค้า มันทำให้ดวงจิตแกกับเค้าผูกติดกัน ทำให้เค้าไปไหนไม่ได้ ปล่อยเค้าไปเถอะเตชิน”
“ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะความทรงจำดีๆ ของฉันกับรินมากเกินไปต่างหาก มองไปทางไหน ฉันก็คิดถึงเค้า”
เตชินยิ้มเศร้า ปิดประตูบานนั้นลงช้าๆ ช่องประตูค่อยๆ แคบลงๆ ด้านในห้องมืดขึ้นๆ หากเตชินมองเข้าไปในห้อง จะเห็นริลณียืนนิ่งหน้าเศร้าอยู่ในนั้น ก่อนที่ประตูจะปิดสนิท

เตชินคล้องกุญแจปิดตายห้องทุกห้อง ในบ้านแห่งความทรงจำแสนเจ็บปวดหลังนี้

ทางฝ่ายประวิทย์กำลังบีบเค้นนวดขาให้เอกราชอย่างเอาอกเอาใจ โดยไม่ทันสังเกตว่าสายตาของพ่อยอดดวงใจเอาแต่จับจ้องแต่เครื่องรางห้าแฉกที่ห้อยออกมานอกเสื้อของตน ด้วยความรู้สึกอยากได้มาเป็นของตัวเอง

ประวิทย์บีบเทครีมลงบนท่อนขาอันแข็งแกร่งของเอกราชนวดเค้นอย่างตั้งใจ แล้วนวดสูงขึ้นๆ อย่างเคลิ้มคล้อย และฟิน! เอกราชถึงกับสะดุ้งเมื่อพบว่ามือของอีกฝ่ายอยู่บนโคนขาสูงเกินไปจวนจะถึงจุดยุทธศาสตร์แล้ว
“เฮ้ย ไม่ต้องนวดสูงขนาดนั้น ตรงนั้นไม่ได้ปวดสักหน่อย”
ประวิทย์ได้สติ
“ขอโทษที คิดอะไรเพลินไปหน่อย นายมีตรงไหนอยากให้ทายาอีกมั้ย”
“ไม่ต้อง”
เอกราชตวาดเสียงดังรีบขยับยกขาออกโดยไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ไม่ชอบให้อีกฝ่ายโดนตัวมากขนาดนั้น ประวิทย์รีบเอาใจ
“จะทานอะไรเลยมั้ย ฉันเตรียมไว้ให้แล้ว หรืออยากทานบนเตียง จะได้ไม่ต้องเดิน”
“จะบ้าเหรอ ฉันแค่เจ็บไม่ได้พิการ ฉันเดินไปกินเองได้”
เอกราชพยายามจะลุกแต่ทำไม่ได้ ประวิทย์รีบเข้าไปประคองให้ลุกขึ้น พาเดินไปที่โต๊ะช้าๆ อย่างสุขล้นที่ได้ใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัว ส่วนเอกราชเอามือโอบไหล่เอื้อมมือมาจับเครื่องรางห้าแฉกเล่นๆ ด้วยความอยากได้ จนประวิทย์หันมามองอย่างแปลกใจ
“มีอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เสียดายที่ของฉันไม่น่าแตกไปเลย”
ประวิทย์รีบบอก “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องกลัว ฉันจะอยู่ใกล้ๆ ดูแลนายเอง”
“นายมีเครื่องรางอยู่กับตัวนายก็พูดได้ ยังไงนังผีนั่นก็ทำอะไรนายไม่ได้”
ประวิทย์พูดด้วยดวงตาเป็นประกาย “งั้นนายก็อยู่ใกล้ๆ ฉันแบบนี้สิ”
“อย่ามาพูดอะไรให้ขนลุกได้มั้ยวะ ฟังแล้วมันแปลกๆ”
ประวิทย์รีบแก้ตัว
“ก็ถ้าไม่อยู่ใกล้ พลังเครื่องรางจะคุ้มครองได้ไง นายไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวถ้าเราไปหาอาจารย์ดำ เค้าก็ต้องหาเครื่องรางที่ดีกว่าให้นายได้อยู่แล้ว คราวนี้ผีริลณีก็จะทำอะไรนายไม่ได้”
“ไม่ใช่ เฉพาะผี ใครหน้าไหนก็ทำอะไรพวกฉันไม่ได้”
เอกราชพูดอย่างมั่นใจ จนมีเสียงกดกริ่งจากหน้าประตูดังระรัวขึ้น ทั้งคู่หันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ

ประตูห้องเปิดออก เห็นตำรวจ 2 นายยืนอยู่หน้าห้อง หน้าตาดูซีเรียส
“พวกคุณเป็นเพื่อนกับ นางสาวหงส์หยก แซ่เล้า กับ นายเชิงชาย จริยวรรณ รึเปล่าครับ”
เอกราชกับประวิทย์ที่ออกมาเปิดประตูหันมองหน้ากันงงๆ ก่อนจะตอบ
“ใช่ครับ ทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนเรา คุณตำรวจมีอะไรเหรอครับ”
“พวกคุณรู้จักผู้หญิงในรูปนี้รึเปล่า”
ตำรวจยื่นรูปถ่ายของริลณีให้เอกราชกับประวิทย์ดู ทั้งสองยืนอึ้ง แต่พยายามทำเหมือนปกติ
“เคยเห็นเค้าบ้างตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมาก” เอกราชพยายามพูดเลี่ยง
“ไม่สนิท แต่พวกคุณเคยมีเรื่องกับผู้หญิงคนนี้ จนทำให้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยมาแล้ว”
ตำรวจพูดต่อ ทั้งคู่ยิ่งหน้าเสียหนัก แต่ยังควบคุมอารมณ์ได้
“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว พวกเราจำไม่ได้หรอก พวกเราก็ไม่เคยเจอเค้าอีกเลยด้วย”
ประวิทย์รีบบอกปัด เอกราชพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณตำรวจมีอะไรก็พูดมาตรงๆ ดีกว่าครับ ผู้หญิงในรูป เกี่ยวอะไรกับเพื่อนผม 2 คน”
“ก็เรื่องนี้แหละครับ ที่เราอยากจะเชิญพวกคุณไปให้การที่โรงพัก”
เอกราชกับประวิทย์มองหน้ากันอึ้งๆ เป็นเชิงว่าความซวยมาเยือนแล้ว

เตชินเดินออกมาจากห้องสอบสวน ชมพู ชัช เฟื่องฟ้า เอทีเอ็มนั่งรออยู่หน้าห้อง ตำรวจเดินตามออกมาติดๆ
“ขอบคุณนะครับที่ให้ความร่วมมือ เราคงต้องสอบสวนพยานคนอื่นๆ ก่อนจะสรุปคดี”
“ใช้เวลานามั้ยครับ กว่าจะหาตัวคนร้ายได้” เตชินถามอย่างกังวล
“ก็ต้องขึ้นอยู่กับคำให้การของพยานชุดถัดไป ว่าจะมีความคืบหน้าแค่ไหน”
ตำรวจเดินกลับเข้าห้องสอบสวนไป เตชินหันไปมอง แล้วเห็นเอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดา เดินขึ้นมาบนสถานี ท่าทางดูกร่างๆ พร้อมทีมทนายความชุดใหญ่ เขารีบเดินเข้าไปหาทั้ง 4 คนด้วยความโกรธ จนชมพู ชัช เอทีเอ็ม เฟื่องฟ้า วิ่งตามไปจับแทบไม่ทัน
“ทำไมพวกแกต้องฆ่าริน รินไปทำอะไรให้พวกแก”
เตชินชี้หน้าเอาเรื่อง ตุลเทพรีบโวยกลับ
“เจอหน้าก็มากล่าวหากันชุ่ยๆ แบบนี้ พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรสักหน่อย”
“พวกเราก็มาให้ปากคำเหมือนพวกคุณ ถ้าคุณคิดว่าพวกเราน่าสงสัย พวกคุณก็น่าสงสัยไม่ต่างกันหรอกครับ”
ประวิทย์ยิ้มหยันกวนๆ เตชินโมโหจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ชัชเข้าไปจับตัวเอาไว้ทัน
“ใจเย็นๆ ไอ้เต เรายังไม่มีหลักฐาน อย่าเพิ่งไปกล่าวหาพวกเค้า”
“เราต้องได้หลักฐานแน่ค่ะพี่ชัช ชมพูมั่นใจ ว่าคนอย่างหงส์หยกไม่มีทางฆ่ารินคนเดียวแน่”
ชมพูพูดย่างมั่นใจ ปริมลดามองเขม่น
“ถ้าเธอยังกล่าวหาพวกเราอีกคำเดียว ฉันจะให้ทนายความฟ้องเธอฐานหมิ่นประมาทนะ”
“ฟ้องก็ดี เรื่องจะได้ดัง คนจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับริน”
เอกราชทำหน้าตาย
“จะเกิดอะไรก็คงไม่เกี่ยวกับพวกเรา เพราะพวกเราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น รีบไปให้ปากคำกันเถอะ อย่าทำให้เรื่องไร้สาระนี้ มาทำให้ฉันเสียเวลามากไปกว่านี้เลย”
พูดจบก็จ้องมองเตชินพลางยิ้มเยาะ ก่อนจะเดินนำเข้าไป ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดา และทีมทนายความรีบเดินตาม
เฟื่องฟ้า ตะโกนด่าไล่หลัง
“คนทำผิดยังไงก็หนีไม่พ้น คนที่ทำร้ายรินต้องได้รับเวรกรรมเจ็บปวดไม่ต่างจากริน”
เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดา และทีมทนายความเดินเข้าห้องไปสอบสวนอย่างไม่สะทกสะท้าน เตชิน ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม มองตามด้วยความแค้น
เอทีเอ็มพูดอย่างมั่นใจมาก
“พวกนั้นไม่มีทางรอดหรอก”

เวลาผ่านไปจากบ่าย จนถึงดึก ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม ชัช นั่งหลับไปกันหมด เหลือแต่เตชินนั่งจ้องไปที่ห้องสอบสวนอย่างจดจ่อ ก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออก
เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดา และทีมทนาย เดินออกมาจากห้อง ท่าทางสบายๆ โดยมีตำรวจเจ้าของคดีตามมาส่งหน้าห้อง มีการจับมือกับเอกราชอย่างสนิทสนม
“ขอบคุณนะครับที่พวกคุณให้ความร่วมมืออย่างดี”
ปริมลดาฉีกยิ้มหวาน “พวกเรายินดีค่ะ ยังไงซะ ริลณีเค้าก็เคยเรียนกับพวกเรา”
“ถึงจะเคยมีเรื่องกันมา แต่มันก็ผ่านไปแล้ว”
ประวิทย์พูดเสริมด้วยสีหน้าปกติ เอกราชรีบโยนความผิด
“จริงๆ พวกเราก็อยากจะปกป้องเพื่อนสนิทของเรา 2 คนที่ตายไปแล้วนะครับ แต่ยังไงคนผิดก็คือคนผิด เราคงแก้ตัวให้ไม่ได้”
“พวกเราอยากให้คุณตำรวจให้ความยุติธรรมกับริลณีมากที่สุด”
“แน่นอนครับ”
ตุลเทพพยักหน้ายิ้มๆ “ถ้าอยากรู้เรื่องอะไร ก็ติดต่อผ่านทนายพวกเราได้ พวกเรายินดีให้ความร่วมมือเสมอ”
“คงไม่มีอะไรที่ต้องรบกวนแล้วละครับ จากการสอบปากคำและหลักฐานที่พวกคุณเอามาให้
ก็มากพอที่จะชี้ตัวคนผิดได้แล้ว”
“งั้นพวกเราไปก่อนนะครับ”
ทุกคนยกมือไหว้ลาตำรวจ และขยับจะเดินออกจากโรงพักไป เอกราชหันมามองเตชินที่ยืนจ้องอยู่ ด้วยสีหน้ายิ้มเย้ย ก่อนจะเดินออกไป
เตชินรีบรุดเดินเข้าไปถามตำรวจด้วยความสงสัย
“ทำไมคุณตำรวจไม่จับพวกนั้นไว้”
“ทำไมต้องจับครับ”
“ก็พวกนั้นเป็นคนฆ่าริลณี”
ตำรวจรีบอธิบาย
“ผมไม่ทำคดีจากความรู้สึก ผมทำคดีตามหลักฐาน และผมขอแนะนำ ถ้าไม่มีหลักฐานอย่าพูดจามั่วซั่วแบบนั้นอีก เพราะถ้าพวกเค้าฟ้องหมิ่นประมาท คุณจะเดือดร้อน”
พูดเสร็จก็เดินเข้าห้องไป เตชินได้แต่ยืนอึ้ง ชมพู ชัช เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็ม ตื่นขึ้นมาเห็นตำรวจเพิ่งเดินเข้าห้องไป ก็รีบวิ่งเข้าไปถามความคืบหน้ากับเตชิน
“เป็นยังไงคะพี่เตชิน ตำรวจจับพวกนั้นแล้วใช่มั้ย”
ชมพูถามอย่างตื่นเต้น เตชินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เฟื่องฟ้าทำหน้างง
“อ้าว ทำไมตำรวจไม่จับคนผิดละคะ”
“ไม่รู้ว่าพวกนั้นให้การอะไรกับตำรวจบ้าง”

ทุกคนหน้าเครียด ต่างคนต่างอยากรู้ว่าผลสรุปคดีจะออกมาเป็นยังไง

วันรุ่งขึ้น ชัชหยิบหนังสือพิมพ์อ่านมือไม้สั่น แทบจะขยำหนังสือพิมพ์ในมืออยู่แล้ว

“สันนิษฐานจากคำให้การของพยาน น่าจะมาจากเรื่องชู้สาว โดยอดีตนางรำแอบมีความสัมพันธ์กับนายเชิงชาย จริยวรรณ อดีตนักแต่งเพลงที่เสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรมเมื่อสองเดือนที่แล้ว โดยนางสาว หงส์หยก แซ่เล้า ที่เพิ่งกระโดดตึกตาย ซึ่งเป็นแฟนกับนายเชิงชายในตอนนั้น น่าจะหึงหวง จึงลวงนางสาวริลณีไปฆ่าเพื่อล้างแค้น”
พออ่านเสร็จก็เงยหน้ามองเตชิน ชมพู เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็มที่นั่งฟังอยู่ ทุกคนทำหน้าเซ็ง
“หงส์หยกเนี่ยนะเป็นแฟนเชิงชาย ขำเวอร์ เชิงชายไม่มองคนอย่างนางหรอก”
เฟื่องฟ้าส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้ เอทีเอ็มรีบพูดสรุป
“พวกนั้นคงพยายามแต่งเรื่องเพื่อโยนความผิดให้ 2 คนนั้น”
“แต่ตำรวจเค้ายังไม่สรุปแน่นอน นี่แค่สันนิษฐานไม่ใช่เหรอ”
เตชินย้อนถาม เอทีเอ็มรีบบอก
“แต่ถ้าข่าวออกมาขนาดนี้ รูปคดีก็น่าจะไปทางนั้นนะครับ”
“แล้วจะเป็นไปได้มั้ยวะ ว่า 4 คนนั้นไม่เกี่ยวกับคดีจริงๆ เพราะเอาเข้าจริง เราก็ยังไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรกับรินกันแน่”
ชัชถามโพล่งขึ้นมา ชมพูพูดตอบอย่างมั่นใจ
“พวกนั้นต้องเกี่ยวแน่ค่ะ ชมพูมั่นใจ”
“เสียดายเนอะ เราน่าจะถามเรื่องที่เกิดกับรินก่อน จะได้ตามจับคนร้ายถูก”
เฟื่องฟ้าทำหน้าเศร้า เตชินพูดเสียงเข้ม
“ถึงไม่ถามพวกเราก็ต้องรู้เรื่องทุกอย่างให้ได้ ตอนนี้คดียังไม่สรุป เรายังมีเวลาหาหลักฐานไปพิสูจน์ ถ้าพวกนั้นผิดจริง เราต้องหาหลักฐานที่จะมัดตัวพวกนั้นได้แน่”
พูดพลางมองชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และชัชอย่างมั่นใจ

ชายโฉด หญิงชั่ว และเกย์โหด สุมหัวอยู่ที่คอนโดเอกราชซึ่งเวลานี้ยิ้มเหยียด พูดอย่างมั่นใจ
“ไม่มีทางหรอก ไม่มีใครหาหลักฐานมาทำอะไรเราได้ เพราะคดีนี้จะต้องปิดโดยที่เชิงชายและ หงส์หยกจะต้องรับเคราะห์แทนพวกเรา”
ปริมลดา ตุลเทพ และประวิทย์ ยิ้มสะใจ
“ก็ต้องขอบคุณ 2 คนนั่นที่ตายนะ ตายเพื่อให้พวกเรารอด”
แต่ประวิทย์ยังไม่วายกังวล
“แต่เตชินกับพวกไม่น่าจะหยุดขุดคุ้ยเรื่องนี้ เห็นท่าทางมันที่โรงพัก เหมือนมันมั่นใจมากว่าเราเป็นคนฆ่าริลณี หรือนังผีนั่นจะเคยบอกอะไรมัน”
เอกราชส่ายหน้า
“มันคงไม่รู้อะไรหรอก เพราะถ้ารู้จริง มันไม่มีทางปล่อยพวกเราแบบนี้แน่”
“ถ้าไอ้เตชินมันวุ่นวายมาก ก็ส่งมันไปอยู่กับนังริลณีเมียผีของมันเลยสิ จะได้หมดเรื่อง”
ตุลเทพยิมเหี้ยม ปริมลดายังแอบหวั่นใจ
“เมียมันคงไม่ยอมให้เราทำอะไรผัวมันหรอก”
“งั้นก็จัดการทั้งผัวทั้งเมียไปเลย จะได้หมดเรื่อง เครื่องรางเราก็มีอยู่แล้วนี่ อ้อ ลืมไปนายไม่มี แต่นายก็มีประวิทย์อยู่ดูแลใกล้ชิดขนาดนั้นแล้วนี่ เอาน่า ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ฉันว่าพวกเรามาฉลองกันดีกว่า”
ตุลเทพรินแชมเปญฉลอง 4 แก้ว ก่อนจะส่งให้ทุกคน
“แด่การตายของ 2 เพื่อนรัก ที่จะทำให้เรา 4 คนรอดพ้นคดีอย่างสวยงาม”
พูดจบก็หัวเราะสะใจ ก่อนที่ทั้งหมดจะชนแก้วกันอย่างไม่สะทกสะท้าน

เตชินยื่นห่อใส่กระดูกของริลณีตรงหน้าหลวงพ่อคง
“ผมขอฝากกระดูกของริลณีไว้กับพระอาจารย์ ผมจะยังไม่เผาจนกว่าคดีจะจบ”
ผู้ทรงศีลยิ้มรับ
“ก็ดีนะ เอากระดูกมาไว้ที่นี่ โยมริลณีจะได้สงบ” ขณะพูดก็เหลือบไปด้านหลังเตชิน เห็นผีริลณีนั่งสงบนิ่งอยู่ “อยู่ในวัด จะได้รู้สึกเย็นสบาย จะได้ไม่ต้องร้อนรนไปทำร้ายใครอีก”
ผีริลณีก้มหน้านิ่งไม่ตอบ เตชินหันมองอย่างแปลกใจว่าหลวงตาคงคุยกับใคร
“หลวงพ่อพูดกับใครเหรอครับ”
“อาตมาพูดสื่อไปสื่อโยมริลณี ให้เค้าเข้าใจสิ่งที่โยมพยายามทำอยู่”
เตชินสงสัย “ริลณียังอยู่เหรอครับ”
“โยมยังเห็นเค้ารึเปล่าล่ะ”
เตชินมองไปรอบๆ มองผ่านเลยไป ไม่เห็นว่าริลณียังนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ไม่เห็นแล้วครับ”
“ดีแล้วล่ะ บางอย่างถ้าเห็นแล้วเกิดทุกข์ ก็ไม่ควรไปพยายามเห็น งั้นอาตมาจะเก็บโครงกระดูกนี้ไว้ให้ ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงนะ”
เตชินก้มลงกราบ ก่อนจะลุกเดินออกไป ผีริลณีจะลุกตาม แต่หลวงพ่อเรียกเอาไว้
“อย่าตามไปเลยโยมริลณี ไม่มีประโยชน์หรอก”
“ฉันสัญญานะคะ ว่าจะไม่ให้เค้าเห็นร่างที่น่าเกลียดน่ากลัวของฉัน”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ” หลวงพ่อคงย้อนถาม “ปล่อยโยมเตชินไปเถอะ ยังไงโยมกลับไปหาเค้าไม่ได้แล้ว”
“ฉันก็แค่...อยากอยู่ใกล้ๆ เค้าตราบจนวินาทีสุดท้ายของฉันก็เท่านั้นเอง”
ผีริลณีหน้าสลด
“ถ้าโยมยังไม่เลิกยึดติด แล้วโยมจะพบความสงบได้ยังไง โยมริลณี”
ผีริลณีไม่ฟังเสียงทัดทาน รีบหายตัวไปจากตรงนั้น หลวงตาคงถอนหายใจอย่างหนักใจ

เตชินนั่งหน้าเศร้าคิดถึงริลณีอยู่คนเดียวที่บ้าน ท่าทางหดหู่ และหม่นหมอง อีกมุมหนึ่ง ณรงค์เข็นรถวีลแชร์จิตราที่นั่งอยู่เข้ามา ผู้เป็นแม่มองลูกชายที่เศร้าซึมอย่างรู้สึกผิดกับสิ่งที่เคยทำทุกอย่าง เพื่อให้เตชินและริลณีไม่ได้อยู่ด้วยกัน
จิตราน้ำตาซึม พยายามพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ถ้า แต่ก่อน...ฉัน...มะ...มะ ไม่พยายามขัดขวางพวกเค้า วันนี้ลูกชายเราก็คง...มะ...มะ...ไม่นั่งเศร้าแบบนี้”
ณรงค์รีบพูดปลอบ “แต่คุณพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกนะ”
“ตะ...ตะ...แต่ สิ่งที่ดีที่สุดของฉัน...มัน...ไม่ใช่ สิ่งที่ดีที่สุดของลูก”
“ผมเองก็ไม่ได้ปรามคุณ จะว่าไป เราก็ผิดพอๆ กันนั่นแหละ”
จิตราก้มหน้าเศร้า “เราจะทำอะไร ชะ...ชะ...ชดเชยให้ลูกได้บ้าง”
“ปล่อยให้เค้ามีชีวิตของเค้าอย่างที่เค้าต้องการ ผมว่าแค่นั้นก็พอแล้วหละ ส่วนต่อไป เค้าจะไปรักใครชอบใคร ก็คงต้องแล้วแต่เค้าแล้วหละ”
จิตราพยักหน้าอย่างเข้าใจและเห็นด้วย ณรงค์บีบมือให้กำลังใจภรรยา

ฝ่ายอาจารย์ดำมองเครื่องรางห้าแฉกที่เหลือเพียงสามชิ้นอย่างพิจารณา
“ถ้าผีตัวนั้นโดนเครื่องรางเข้าไปเต็มๆ แล้วยังไม่สลายกลายเป็นจุณละก็ แสดงว่ามันคงมีพลังมาก นอกจากเครื่องรางห้าแฉก ก็คงไม่มีสิ่งไหนต้านทานพลังมันได้อีกแล้ว”
“หมายความว่า อาจารย์ทำเครื่องรางใหม่ไม่ได้ แล้วก็ไม่มีเครื่องรางอันอื่นให้ผมด้วย แล้วผมจะทำยังไงล่ะ”
เอกราชย้อนถาม ประวิทย์รีบพูดสนับสนุน
“นั่นสิครับ ผีตัวนั้นยังตามรังควานพวกเราไม่หยุดหย่อน”
“ปกติผีจะไม่ตามรังควานคนมากขนาดนี้ หากไม่มีความแค้นต่อกัน” อาจารย์ดำพูดพลางจ้องทั้ง
4 คนอย่างสงสัย “ถามจริงๆ เถอะ พวกเราไปทำอะไรผีตนนั้น”
เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดา มองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนทำเหมือนไม่มีอะไร
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่านังผีนั่นมาตามทำร้ายพวกเราทำไม”
ตุลเทพตอบเลี่ยงๆ
“พวกเธอรู้แต่แค่ไม่พูด และถ้าพวกเธอไม่พูด ฉันก็คงจะช่วยอะไรไปไม่ได้มากกว่า เก็บเครื่องรางเอาไว้ มันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยพวกเธอได้”
“แต่เครื่องรางมันเหลือแค่ 3 อัน แต่มีคน 4 คนนะคะ” ปริมลดาถามอย่างกังวล
“พวกเธอก็ต้องไปจัดการกันเอง ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าไม่รู้อะไรมากกว่านี้”
อาจารย์ดำทำเป็นหลับตาทำสมาธิ ทั้ง 4 คน จำใจต้องเดินออกไป ทันทีที่ทั้ง 4 คนออกไปแล้ว จอมขมังเวทย์ก็ลืมตามองตามด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“คิดว่าไม่บอก แล้วฉันจะไม่มีทางรู้งั้นเหรอ”

เสียงหมาหอนโหยหวนดังก้อง ชวนให้บรรยากาศวังเวงน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มกำลังช่วยกันปิดประตูหน้าต่างบ้านเด็กกำพร้า

ขณะกำลังจะปิดประตูเอทีเอ็มก็ชะงักแปลกใจ เมื่อเห็นผู้หญิงผมยาวนั่งก้มหน้าอยู่หน้าบ้าน
“เอ๊ะ ผู้หญิงที่ไหนมานั่งตรงนั้น ท่าทางดูคุ้นๆ เหมือนรินยังไงก็ไม่รู้”
เฟื่องฟ้าโวยวายขึ้นมาทันที
“รินเค้าไม่อยู่แล้ว จะมานั่งอยู่ตรงนั้นได้ยังไง”
พูดเสร็จก็หันกลับมาจะปิดหน้าต่างต่อ แต่แล้วก็ต้องช็อก เมื่อเห็นริลณีมายืนตรงหน้า เฟื่องฟ้ากำลังจะอ้าปากกรี๊ด แต่ริลณีพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“อย่ากลัวฉันเลย ฉันไม่ได้มาทำร้ายพวกเธอหรอก ฉันแค่อยากจะมาขอโทษ ที่วันนั้นทำพวกเธอบาดเจ็บ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
เฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็ม รีบเดินเข้าหากันอย่างหวั่นๆ ทั้งคู่มองริลณีในสภาพผีที่ยืนก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ
“ริน นี่รินจริงๆ เหรอเนี่ย รินยังไม่ได้ไปไหนเหรอ”
เอทีเอ็มถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันไปไหนไม่ได้หรอก ฉันยังมีสิ่งที่ฉันต้องทำ”
“ถ้ารินหมายถึงคนที่ทำร้ายริน รินแค่บอกพวกเราว่าใครทำร้ายรินบ้าง เดี๋ยวพวกเราจะช่วยจัดการให้เอง รินไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
ริลณีตวาดเสียงดัง
“ไม่ พวกเธอห้ามเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ คนเลวๆ พวกนั้น ฉันจะเป็นคนจัดการเอง”
“รินคิดจะทำอะไร” เฟื่องฟ้าย้อนถาม
“จะฆ่าพวกมัน เหมือนที่พวกมันเคยทำกับฉัน”
เอทีเอ็มรีบห้าม
“อย่าทำสร้างกรรมให้มันมากไปกว่าเดิมเลยริน ถ้าไม่เห็นแก่พวกเราก็เห็นคุณเตชินเถอะ เค้ารักรินมากนะ เค้ายอมทำทุกอย่าง เพื่อให้รินไม่มีห่วงตรงนี้”
“ถ้ารินไปทำร้ายคนอื่น ก็เท่ากับสิ่งที่คุณเตชินพยายามทำทั้งหมดไม่มีค่า แล้วรินจะไม่มีโอกาสกลับไปหาเค้าได้อีกแล้วนะ”
ริลณีหน้าเศร้า
“ฉันก็ไม่มีโอกาสกลับไปหาเค้าได้แล้ว ผีน่าเกลียดน่ากลัวอย่างฉัน จะกลับไปหาเค้าได้ยังไง”
เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มมองอย่างเห็นใจ
“แล้วขอร้อง เธอ 2 คนอย่าไปบอกเค้าว่าฉันยังอยู่ ฉันไม่อยากให้เค้าเป็นห่วง”
เฟื่องฟ้ารีบพยักหน้ารับ “พวกเราสัญญา”
“ขอบใจมากเพื่อนรัก”
ริลณีหายตัวไป เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มได้แต่เศร้าใจและสงสารอย่างที่สุด ก่อนจะนึกได้ว่าคุยกับผี รีบวิ่งเข้ามากอดกันแน่นด้วยความกลัว

ที่บ้านทรงไทยอันมืดสนิทดูสยดสยอง มีเสียงเพลงไทยเดิมบรรเลงอย่างโศกเศร้ารันทดดังไปทั่วบริเวณ
ริลณีกำลังร่ายรำอยู่บนชานเรือนหลังใหญ่ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง มองไปทางไหนก็มีภาพความทรงจำที่ดีๆ และมีความสุข ระหว่างที่ใช้ชีวิตร่วมกับเตชินซ้อนขึ้นมาในทุกๆที่ ของบ้าน น้ำตาของเธอรินไหลอย่างเจ็บปวด
จนเมื่อภาพความทรงจำอันโหดร้าย ขณะที่โดนฆ่าอย่างทารุณและเหี้ยมโหดผุดขึ้นมาในความคิดท่วงทำนองเพลงก็เปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวและดุดันน่ากลัว ริลณีร่ายรำด้วยท่าทางเดียวกัน สุดท้ายกระแทกเท้าลงพื้นอย่างแรง ดวงตาสีเลือดเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นสุดจะประมาณ

“พวกมึงทำให้กูไม่มีความสุข พวกมึงต้องตาย”

อ่านต่อหน้า 2

นางชฎา ตอนที่ 14 (ต่อ)

อีกฟาก เอกราชสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง เหมือนรับรู้ได้ถึงพลังความแค้นของริลณีที่ส่งมาถึง เสียงเพลงไทยเดิมยังแว่วดังอยู่ในห้อง ทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เห็นและได้ยินเมื่อครู่ ไม่ได้เป็นแค่ความฝันแน่ๆ

เขาเหลียวหาประวิทย์เห็นอีกฝ่ายนอนหลับอยู่บนโซฟา จึงรีบลุกจากเตียงเดินไปซุกนอนบนโซฟาเดียวกันด้วยความกลัว ประวิทย์งัวเงียตื่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เป็นอะไร”
หน้าตาเอกราชตื่นกลัวไม่หาย “นายได้ยินเสียงเพลงไทยมั้ย”
“ไม่ได้ยินนี่”
“เมื่อกี๊ฉันฝันเห็นนังผีนั่นรำ มันบอกว่าจะฆ่าฉัน แล้วเสียงเพลงนั่นยังดังอยู่ในห้องนี้”
ประวิทย์โอบกอดเอกราชไว้แนบแน่น ฝ่ายถูกกอดไม่รู้ตัวเพราะกลัวอยู่
“ไม่ต้องกลัว นายอยู่ใกล้เครื่องรางนี้ มันทำอะไรนายไม่ได้หรอก นอนซะเถอะ”
“นายจะไม่ลุกไปไหนใช่มั้ย” เอกราชถามย้ำ
“ไม่ลุกไปหรอก”
ประวิทย์ผลักอีกฝ่ายให้ล้มตัวนอนบนโซฟา พร้อมเอาผ้าห่มมาห่มด้วยกัน เอกราชกลัวมากซุกตัวใกล้เครื่องรางห้าแฉกบริเวณคอประวิทย์มากที่สุด ประวิทย์ลอบยิ้มหลับตาพริ้ม สุขสม

เช้าวันถัดมา ทุกคนมารวมตัวกันอยู่บริเวณโต๊ะกลุ่มตัวที่ริลณีและชมพูนั่งประจำตอนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย แต่ละคนหน้าเครียด เตชินเป็นฝ่ายถามขึ้น
“ทุกคนพอจำได้มั้ยว่าเจอรินครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
เฟื่องฟ้านิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง “วันที่ชมพูกับรินประกวดรำ พวกเรา 2 คนมาช่วยรินแต่งตัว แล้วก็มาส่งขึ้นรถตรงนั้น”
พูดพร้อมกับชี้ไปตรงจุดที่เคยส่งริลณีขึ้นรถตู้หน้าตึกกิจกรรม เอทีเอ็มรับช่วงต่อ
“แต่วันนั้นพวกเรารู้ว่า หลังจากประกวดรำเสร็จ รินจะไปหาคุณ”
เอทีเอ็มชี้ไปที่หน้าชัช
“ใช่ น้องรินจะต้องมาพักที่หอพักของผมชั่วคราว เพื่อเตรียมตัวไปอเมริกา แต่คืนนั้นน้องรินไม่ได้มา .. “
เตชินพยายามลำดับเหตุการณ์ต่อ
“คืนนั้นผมรถผมเสีย เลยออกมารับรินช้ากว่ากำหนด ผมโทรไปหาริน ตอนนั้นรินกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ในห้องชมรมนาฎศิลป์”
ทุกคนหันไปมองหน้าชมพู ที่น่าจะรู้เรื่องราวต่อจากที่เตชินเล่า ชมพูอึกอัก
“เอ่อ ชมพูจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ รู้แต่ว่าวันนั้นพี่เตชินขับรถชน แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย”
“เป็นไปได้มั้ยว่า รินกลับจากประกวดรำ มาเปลี่ยนชุดที่ห้องชมรม แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นรินอีกเลย”
เอทีเอ็มคาดคะเนเหตุการณ์ เตชินพยักหน้ารับ
“ก็เป็นไปได้นะครับ เพราะหลังจากวันนั้น ผมพยายามติดต่อรินก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย”
ชัชสรุปทันที
“งั้นก็น่าจะชัวร์แล้วล่ะ ว่าเหตุมันน่าจะเกิดวันนั้น หลังจากที่น้องรินกับชมพูกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องชมรม หลังจากที่ไอ้เตโทรหาน้องริน ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แล้วคิดว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้อีกมั้ย”
เฟื่องฟ้าพยายามนึกต่อ
“แต่วันนั้น รินรำกับชมพู 2 คน กว่าจะกลับก็ค่ำแล้ว ไม่น่าจะมีใครอยู่ที่ชมรมอีก เพราะมันปิดเทอมแล้ว ถ้าจะมีใครรู้ก็น่าจะเป็นชมพู นี่แหละที่น่าจะรู้เรื่องที่สุด”
ชมพูหน้าเสียรู้สึกผิดเพราะคิดอะไรไม่ออกจริงๆ เอทีเอ็มสงสารรีบหาทางช่วย
“อาจารย์นาฎไง บางทีอาจารย์นาฎอาจจะกลับมากับ 2 คนนี้ด้วย”
“งั้นรีบไปถามหา อาจารย์นาฎกัน” เตชินพูดอย่างร้อนใจ

เฟื่องฟ้าเดินพาเตชิน และชัช ไปยังตึกที่คาดว่าอาจารย์นาฎน่าจะอยู่ เอทีเอ็มที่เดินรั้งท้ายอยู่กับชมพูห่างจากกลุ่มแรกพอสมควร สังเกตเห็นอีกฝ่ายดูซึมๆ ก็พอจะเข้าใจว่าเศร้าเพราะอะไร
“ไม่มีใครว่าสักหน่อยเรื่องที่จำไม่ได้ ไม่เห็นต้องซึมขนาดนั้นเลย”
“ก็ถ้าฉันจำเรื่องวันนั้นได้ เราอาจจะจับคนร้ายที่ฆ่ารินได้แล้วก็ได้”
เอทีเอ็มส่ายหน้ายิ้มๆ
“หรือไม่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย เพราะเธอน่ะซื่อบื้อจะตาย มองคนในแง่ดีไปหมด แล้วจะไปรู้ได้ไงว่าใครจะมาดีหรือไม่ดีกับริน แล้วเอาเข้าจริงนะ ถ้าคนที่คิดจะฆ่ารินเค้าคงวางแผนมาอย่างดี คงไม่ให้เธอรู้แผนง่ายๆหรอก”
“พยายามพูดให้ฉันสบายใจรึเปล่าเนี่ย”
เอทีเอ็มยิ้มขำ “แล้วดีขึ้นมั้ยล่ะ”
ชมพูพยักหน้าช้าๆ รู้สึกดีขึ้นเยอะ เอทีเอ็มยิ้มให้ สายตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือในมือชมพูที่ปิดเสียงไว้มีคนโทร.เข้ามา
“มีคนโทร.เข้ามาไม่รับหน่อยเหรอ”
ชมพูส่ายหน้าดิก “ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจคุยกับสายนี้”
พูดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตัดสาย แล้วหันมายิ้มเหมือนไม่ได้สนใจอะไร เอทีเอ็มมองอย่างแปลกใจ ว่าใครโทร.เข้ามา

เอกราชเขวี้ยงโทรศัพท์ไปบนโซฟาด้วยความโมโห ประวิทย์ที่นั่งอ่านหนังสือที่โซฟามองยิ้มๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องเจอแบบนี้
“หนอย กล้าตัดสายฉันงั้นเหรอ”
“เค้าอาจจะกำลังทำธุระ หรือไม่ก็ช่วยเตชินหาหลักฐานมาเล่นงานพวกเราก็ได้”
“ชมพูจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับฉัน” เอกราชพูดอย่างมั่นใจ
“แต่เท่าที่เห็นที่โรงพัก ไม่น่าจะใช่อย่างนั้นนะ” ประวิทย์หมั่นไส้
“นายต้องช่วยฉันคิดนะ ว่าจะทำยังไงถึงจะให้ชมพูเค้าคิดว่า สิ่งที่เค้าคิดมันแค่เป็นเรื่องเข้าใจผิด”
ประวิทย์แอบหึง “ฉันช่วยนายคิดไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ นายก็ช่วยฉันคิดทุกเรื่อง ยากกว่านี้นายยังคิดได้”
“เอาเป็นว่า เรื่องนี้ฉันไม่อยากช่วยคิดก็แล้วกัน”
ประวิทย์เดินออกไปเลย เอกราชมองตามแล้วยิ่งโมโห

“โว้ย อะไรของมันวะ”

รูปถ่ายงานประกวดรำที่ริลณีและชมพูไปร่วมประกวดเมื่อปีก่อน หลายๆ ภาพถูกเปิดไปเรื่อยๆ อาจารย์นาฎนั่นเอง ที่เป็นคนเปิดรูปภาพพวกนั้นดู พร้อมกับหันมาเล่าเรื่องวันนั้นให้ทุกคนที่รอฟังอยู่

“พอประกวดเสร็จ ครูก็มีธุระที่ต้องคุยกับผู้ใหญ่ในงาน ก็เลยให้ชมพูกับริลณีกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มหาวิทยาลัยก่อน เพราะกลัวว่าจะดึกเกินไป”
“งั้นแสดงว่า อาจารย์ก็ไม่ได้กลับมากับพวกเค้า” เอทีเอ็มรีบถามต่อ
“ใช่ จริงๆ ครูไม่ได้กลับมาที่มหาวิทยาลัยเลยจนกระทั่งเช้าวันต่อมา แล้วก็ได้ข่าวว่าชมพูถูกรถชนอาการสาหัสมาก”
“แล้วริลณีล่ะคะ” เฟื่องฟ้าย้อนถาม
“ครูก็ไม่ได้ข่าวเค้าเลย เหมือนพวกเธอนั่นแหละ”
“แสดงว่าคืนนั้น น้องชมพูอยู่กับน้องรินแค่ 2 คนในห้องจริงๆ”
ชัชพยายามสรุป เตชินรีบหันไปทางชมพู
“น้องชมพูลองพยายามคิดหน่อยได้มั้ยครับ ว่าคืนนั้นเกิดเรื่องอะไรบ้าง แล้วมีใครที่เข้ามาที่
ห้องนี้อีก”
ชมพูพยายามครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ พร้อมกับมองไปรอบๆ ห้อง ชุดนางรำ ทั้งตัวพระ ตัวนางยังแขวนอยู่ในห้อง ข้าวของในห้องก็ยังคงอยู่ที่เดิม
จังหวะนั้นมือถือของชัชก็ดังขึ้น ชมพูสะดุ้งเฮือก เหมือนจะเคยได้ยินเสียงโทรศัพท์แบบนั้นในห้องวันนั้น
ภาพความทรงจำเก่าๆ ค่อยๆ หลั่งไหลออกมาจากสมองแบบขาดๆ เกินๆ ไม่ปะติดปะต่อกัน
ชมพูจำได้ว่ามีเสียงโทรศัพท์ดัง ก่อนที่กระเป๋าของริลณีหล่นที่พื้น ข้าวของในนั้นตกกระจาย ทั้งคู่รีบเข้าไปช่วยเก็บข้าวของ ชมพูก้มหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา
“โอ๊ย”
ชมพูลงไปดิ้นและกุมขมับด้วยความปวดหัว ทุกคนในห้องตกใจ รีบวิ่งเข้ามาดูอาการทันที

ถัดมาเอทีเอ็มแอบยืนมองชมพู ที่กำลังร้องไห้กับเตชินด้วยความเสียใจ
“ขอโทษที่ชมพูจำเรื่องวันนั้นไม่ได้ ชมพูพยายามคิดแล้ว แต่มันคิดไม่ออกจริงๆ”
เตชินพยายามพูดปลอบ
“มันไม่ใช่ความผิดของชมพูนะครับ มันเป็นความผิดของพี่ ถ้าวันนั้นพี่ไม่ขับรถชนชมพูก็คงไม่เป็นแบบนี้ แล้วบางทีรินอาจจะไม่เป็นอะไรด้วย”
พูดแล้วเขากลับเป็นฝ่ายเศร้า จนชมพูต้องเป็นคนปลอบ
“มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย อย่าโทษตัวเองอย่างนั้นเลยนะคะพี่เตชิน”
เอทีเอ็มแอบยืนมองอยู่ เห็นชมพูกอดปลอบเตชินด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่สุด ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ
“พี่เลยต้องให้ชมพูเป็นคนปลอบพี่ พี่นี่แย่จริงๆ”
“เรา 2 คนต้องเลิกโทษตัวเองสักทีนะคะ ถ้าเราไม่เข้มแข็ง เราก็ช่วยรินไม่ได้”
“นั่นสินะ ถึงชมพูจะจำเรื่องวันนั้นไม่ได้ ก็ต้องมีทางอื่นสิที่เราจะรู้เรื่องนี้”
เตชินมองชมพูอย่างมั่นใจ ทั้งคู่ยิ้มให้กำลังใจกันและกัน เอทีเอ็มที่แอบมองอยู่รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว ต้องรีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันที

อีกด้านหนึ่งชัชเดินไปเดินมาพยายามครุ่นคิด
“น่าเสียดายนะ ที่น้องชมพูจำอะไรไม่ได้ ไม่งั้นเราคงได้รู้เรื่องอะไรที่น่าสงสัยอีกเยอะ”เฟื่องฟ้ารีบบอก “เอาเข้าจริง ชมพูอาจจะไม่รู้อะไรก็ได้นะ”
“แต่เรื่องนึงที่น้องชมพูต้องรู้แน่ คือถ้าตึกกิจกรรมอยู่ตรงนี้ แล้วทำไมอยู่ดีๆ น้องชมพูถึงวิ่งไปให้
เตชินขับรถชนที่ประตูทางออกมหาวิทยาลัยโน่นล่ะ เวลาค่ำๆ มืดๆ อย่างนั้น น้องชมพูไม่น่าวิ่งไปคนเดียว”
“นี่คุณชัชกำลังจะบอกว่ามันมีอะไรใช่มั้ย”
ชัชพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ใช่ มันมีบางอย่างน่าสงสัยอยู่”
“ถ้าอยากรู้ ก็ต้องไปถามคนที่น่าจะเห็นเหตุการณ์ตรงนั้น”
ชัชและเฟื่องฟ้าหันไปตามเสียง ก็เห็นเอทีเอ็มเดินหน้าจ๋อยเข้ามา เฟื่องฟ้ารีบกระซิบชัช
“หน้าจ๋อยกลับมาแบบนี้ต้องแห้วมาแน่”
“แห้วใครเหรอ”
“ก็คุณพี่เอทีเอ็มเค้าชอบชมพู”
เอทีเอ็มทำหน้าเอือม
“เลิกนินทาได้แล้ว ฉันจะแห้วจะจ๋อยยังไง มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตอนนี้เราต้องหาคำตอบของคุณชัช จากคนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ที่สุด”
“ใครเหรอ” เฟื่องฟ้าถามอย่างร้อนใจ

ใครที่ว่าคือสองยาม กล้ากับน้าไหว ที่เวลานี้ มอง ชัช เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็ม ด้วยสายตากวนๆ
“โอ๊ย เรื่องมันผ่านมาตั้ง 2-3 ปีแล้วใคจะไปจำได้”
“น้าช่วยคิดหน่อยไม่ได้เหรอ วันที่เกิดอุบัติเหตุวันนั้นมีอะไรแปลกๆ อีกบ้าง”
เฟื่องฟ้าพยายามซักไซร้ น้าไหวมองหน้ากล้า แล้วพยายามครุ่นคิด
“จำอะไรไม่ได้อ่ะ จำได้แค่วันนั้นเรา 2 คนเมาเละอยู่ที่ตึกกิจกรรมนั่นแหละ”
“โหย น้า 2 คนนี่เป็นยามยอดเยี่ยมแห่งปีจริงๆ เกิดเรื่องอะไรที่ไหนไม่รู้สักอย่าง”
เอทีเอ็มพูดอย่างระอา กล้ารีบพูดต่อ
“เอ้า ก็คืนนั้นมันเมาจะให้จำได้ยังไง น้านี่แหละเป็นคนชวนฉันเมา”
“ไม่ต้องมาโทษกันเลย แกน่ะแหละ ไม่มีปรามกันบ้างเลย”
กล้าและน้าไหวเถียงกันวุ่นวาย ชัช เอทีเอ็ม เฟื่องฟ้า มองหน้ากันเซ็งๆ

ฟากเตชินมาส่งชมพูที่หน้าประตูทางเข้าบ้าน พูดขึ้นอย่างเชื่อมั่น
“พี่ก็ยังไม่หมดหวัง แต่จะลองหาทางอื่นด้วย ยังไงก็อย่าลืมกินยาก่อนนอนนะครับ วันนี้ปวดหัวมาทั้งวันเดี๋ยวอาการจะกำเริบ”
“พี่เตชินโทร.มาเตือนชมพูนะคะ ชมพูลืมทุกทีเลย”
“ได้ครับ”
ชมพูมองเตชิน แล้วยิ้มอย่างมีความสุข พิชัยที่เดินนำพิสมัยออกมามองเตชินหน้าตึงๆ ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ก็พยายามเก็บอาการ
เตชินหันไปเห็น ก็รีบหันไปยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณอา ต้องขอโทษจริงๆ นะครับที่มาส่งชมพูเย็นไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ไปกับเตชิน อาไว้ใจ” พิสมัยพูดยิ้มๆ
“งั้นผมลานะครับ”
เตชินยกมือไหว้ลาก่อนจะขึ้นรถ แล้วขับออกไป

ชมพูมองตามยิ้มอย่างมีความสุข โดยไม่รอดพ้นสายตาของพิชัยและพิสมัยที่แอบมองอยู่

พิชัยเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางหงุดหงิด

“ไม่รู้จะกลับมายุ่งกับลูกเราทำไมอีก”
“ฉันว่าคนที่กลับไปยุ่งกับเค้า คือลูกสาวเรามากกว่า นี่คุณไม่เห็นหรือแกล้งทำไม่รู้ว่าลูกเรามีความสุขแค่ไหนเวลาที่อยู่กับเตชิน”
พิชัยถอนหายใจเฮือก
“แต่เค้ากับลูกเราจบไปแล้ว แล้วอีกอย่างลูกเราก็มีคนที่เหมาะสมมาชอบพออยู่แล้วด้วย”
“เอกราชน่ะเหรอ คุณอยากให้ลูกเราคบกับคนที่มีส่วนพัวพันคดีฆ่าคนเหรอคะ”
“ตำรวจเค้ายังไม่ได้สรุปอย่างนั้น”
พิสมัยย้อนแย้ง “คนเราลองได้มีส่วนเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีแบบนั้น ไว้ใจไม่ได้หรอกค่ะ สำหรับฉัน ถ้าลูกจะแต่งงานกับใครสักคน เตชินนี่แหละค่ะ เหมาะสมที่สุด”
“คุณพิสมัย”
พิสมัยไม่สนใจ รีบเดินเลี่ยงออกไป ปล่อยให้พิชัยยืนหงุดหงิดไม่พอใจอยู่คนเดียว

มอเตอร์ไซค์ของน้าไหวแล่นมาตามถนน ได้ยินเสียงกล้าและน้าไหวคุยกันเสียงดัง
“เออน้า จะว่าไปแล้ว ฉันก็เริ่มจำวันที่เรา 2 คนเมาปลิ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้วได้นะ คืนนั้นน้าเมาอย่างกะหมา”
“แหม...แล้วแกเมาดูดีมากนี่ไอ้หน้าผี คืนนั้นล่อเหล้าฝรั่งไปซะจนเดินไม่เป็นเลย”
กล้าทำหน้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“เฮ้ย คืนนั้นเรากินเหล้าฝรั่งเลยเหรอน้า เม้าท์ป่าว”
“ไม่ได้เม้าท์ ก็ไอ้เหล้าฝรั่งนี้แหละ ทำเอาเราเมาซะหมาเรียกพี่”
“แล้วพวกเราเอาเงินไหนไปซื้อเหล้าฝรั่งกิน พวกเรามีเงินขนาดนั้นเลยเหรอน้า”
น้าไหวทำหน้ายุ่ง “เออนั่นสิวะ ปกติแค่เหล้าโรงไทยก็แทบจะไม่มีเงินซื้ออยู่แล้ว แล้วเราไปเอาเงินจากไหนมาซื้อเหล้าฝรั่ง ขวดเป็นพันๆ”
ขณะที่น้าไหวกำลังคิด อยู่ๆ รถมอเตอร์ไซด์ก็หยุดสนิทนิ่งที่หน้าบ้านทรงไทยของเตชินแบบไม่มีสาเหตุ
กล้ามองไปรอบๆ ก่อนจะจำได้ว่าเคยถูกผีริลณีหลอกตรงนี้
“เอาอีกแล้วน้า รถมาเสียตรงนี้อีกแล้ว เดี๋ยวก็โดนผีหลอกอีกหรอก”
“ผีเผอที่ไหนไม่มี้ ตำรวจเค้ามาขุดศพน้องนางรำไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว”
“คิดแล้วสงสารนะ เห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆ แท้ๆ”
“เห็นหน้าบ่อยๆ เนี่ย เคยเห็นที่มหาวิทยาลัยบ่อยๆ หรือเป็นผีมาหลอกบ่อยวะ” น้าไหวย้อนถาม
“กล้าแซวผีนะเนี่ย เออน้า ฉันคิดได้แล้ว ว่าคืนนั้นเราเอาเงินมาจากไหน”
น้าไหวเลิกคิ้ว “เอามาจากไหนวะ”
“ก็มีกลุ่มนักศึกษา 4-5 คนมาให้เงินพวกเราน่ะสิ ฉันจำได้ว่านักศึกษาพวกนั้นเคยมีเรื่องกับน้องนางรำที่ตายไปด้วย”
น้าไหวครุ่นคิด “เออว่ะ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว พวกเค้าจะมากันทำไม ในเมื่อ 3 คนในกลุ่มนั้นเพิ่งโดนไล่ออก”
ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนจะตะโกนออกมาพร้อมกัน “หรือว่า...”
น้าไหวชี้หน้ากล้า “พวกนั้นจะเกี่ยวข้องกับการตายน้องนางรำ”
กล้าชี้หน้าน้าไหว “อยู่ดีๆ ก็ให้เงินเราไปกินเหล้าเมา เพราะเราจะได้ไม่รู้ว่าพวกเค้าจะทำอะไร งั้นพวกเราต้องรีบไปบอกตำรวจ เผื่อจะได้เลื่อนขั้นจากยาม เป็นยามดีเด่นบ้าง”
พลันเสียงหมาหอนก็ดังโหยหวนขึ้นมาอย่างน่ากลัว พร้อมๆ กับที่ริลณีปรากฏร่างเอามือชี้หน้าทั้งคู่
“น้า 2 คนอย่ายุ่งเรื่องของฉัน ห้ามเอาเรื่องไอ้คนเลวพวกนั้นไปบอกใครเด็ดขาด”
น้าไหวกลัวจนปากคอสั่น
“ทะ ทะ ทำไมล่ะจ๊ะ น้องนางรำไม่อยากให้ตำรวจจับมันได้เหรอจ๊ะ”
“นั่นสิ น้องนางรำจะได้ไปสงบ ไม่ต้องมาหลอกใครแบบนี้อีกไง” กล้าถึงกับขาสั่นพั่บๆ
“ฉันไม่ต้องการไปสงบ ฉันต้องการแก้แค้น ฉันจะจัดการพวกมันให้ยิ่งกว่าที่พวกมันทำกับฉัน น้า
2 คนอย่าเข้ามายุ่ง ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
พูดจบริลณีก็หายตัวไป พร้อมรถมอเตอร์ไซด์ของน้าไหว ที่อยู่ๆ ก็เครื่องติดขึ้นมาเอง
“จะเอายังไงดีละน้า”
“ก็หนีสิวะ จะให้น้องเค้ากลับมาหลอกอีกรอบรึไง”
2 ยามรีบกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซด์แล้วขับไปทันที ผีริลณีที่นั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ใหญ่ มองตามไป ก่อนจะยิ้มด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นและน่ากลัวสุดๆ

ประวิทย์นั่งเขียนไดอารี่อยู่ที่โต๊ะ พอเอกราชเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ก็รีบปิดสมุด เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นข้อความข้างใน
“ว่าจะถามหลายทีแล้ว ไอ้สมุดนั่นมันคืออะไร ฉันเห็นนายเขียนมาตั้งแต่เรียนแล้ว”
ประวิทย์รีบตอบเลี่ยงๆ “สมุดไดอารี่น่ะ ก็เขียนอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีสาระอะไรหรอก”
“นึกว่ามีแต่พวกผู้หญิงที่ชอบเขียนไดอารี่”
ประวิทย์ร้อนตัว “นายไม่เขียนก็อย่าเหมาว่าผู้ชายคนอื่นเค้าไม่เขียนสิวะ”
“เออ นายก็รู้นี่ ว่าฉันไม่ชอบเขียนอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวคืนนี้นายไปนอนบนเตียงกับฉันก็แล้วกัน”
ประวิทย์ตาวาวดีใจขึ้นมาทันที “ทำไมล่ะ”
“ก็เมื่อคืนฉันมานอนบนโซฟากับนายแล้วมันปวดหลัง นายไปนอนบนเตียงจะได้นอนสบายๆ แล้วฉันก็จะได้อยู่ใกล้เครื่องรางด้วย นังผีนั่นจะได้ไม่มากวนอีก”
เอกราชพูดเสร็จก็เดินเข้าห้องนอนไป ประวิทย์มองตาม ยิ้มตาเป็นประกาย

ในห้องนอนที่เปิดไฟสลัวๆ เอกราชยังไม่หลับ นอนเอามือก่ายหน้าผาก ในขณะที่ประวิทย์นอนหันหลังให้ยังไม่หลับเหมือนกัน
“คิดอะไรวะ ทำไมถึงยังไม่หลับ อย่าบอกนะว่านายกลัวผีริลณีจนนอนไม่ได้”
“เปล่า แค่กำลังคิดว่าจะทำยังไงให้ชมพู เค้าเลิกเข้าใจผิดฉัน”
ประวิทย์หันหลังให้อยู่ทำหน้าเซ็ง
“นายจะไม่ช่วยฉันคิดเรื่องนี้จริงๆ เหรอวะ”
ประวิทย์เงียบไม่ตอบ เอกราชรีบหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าฝ่ายนั้นนอนหลับไปแล้ว
“อะไรวะ เมื่อกี้ก็คุยอยู่ดีๆ หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
เอกราชทำหน้าเซ็ง ปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนหลับไป ประวิทย์ที่แกล้งหลับอยู่ลืมตาขึ้น แอบยิ้มกับตัวเองอย่างสะใจ

“ฉันไม่มีวันให้นายกลับไปยุ่งกับผู้หญิงคนไหนอีกแล้ว”

ชมพูพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้ามหาวิทยาลัย ก่อนจะมองเข้าไปด้วยสายตามุ่งมั่น คำพูดของหมอยังก้องยู่ในหู

“ถ้าคุณอยากจะกระตุ้นให้ความทรงจำกลับมาเร็วมากขึ้น หมอแนะนำให้คุณลองกลับไปใช้ชีวิตในสถานที่ที่ความทรงจำในอดีตของคุณหายไป ลองเดินตามแผนที่ชีวิตเดิม บางทีคุณอาจจะค้นพบความทรงจำที่หายไปก็ได้นะครับ”
ชมพูลองกลับมาใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยตามคำแนะนำของหมอ เดินไปตามทางเดินในมหาวิทยาลัย มองไปข้างๆ มือตัวเองที่แกว่งอยู่ ก่อนที่ภาพในทรงจำจะเห็นว่าริลณีเป็นคนที่จับมือที่ว่างเปล่านั้นอยู่เสมอ
“ริน เธออยู่ข้างฉันตลอดเลยนี่”
ชมพูเดินมาถึงทางเข้าสระว่ายน้ำ พอมองเข้าไปที่นั่น ก็รู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาที่หน้าอก ภาพความทรงจำของริลณีที่กำลังจับมือกันมาหายไปอย่างรวดเร็ว
“ทำไมอยู่ดีๆ รู้สึกเจ็บที่หน้าอกแบบนี้นะ”
ชมพูมองเข้าไปที่สระว่ายน้ำ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในนั้นทันที

ชมพูเดินเข้ามาในสระว่ายน้ำที่ไม่มีใครอยู่ ยิ่งเดินเข้ามา ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บหน้าอกจนแทบทนไม่ไหว รู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน
เสียงร้องไห้กระซิกๆ ของใครบางคนดังเข้ามาในหัว พร้อมเสียงพูดคุยซุบซิบของคนกลุ่มหนึ่ง
ที่ฟังดูไม่ได้ศัพท์ ดังเข้ามาในสมอง ชมพูพยายามมองหาที่มาของเสียง แต่ไม่เห็นใครในนั้น เมื่อเดินตามหาเสียงจนมาถึงที่ขอบสะว่ายน้ำ เสียงเหล่านั้นยังคงดังในหัว
ชมพูชะโงกมองลงไปในสระ เห็นเงาของมือใครบางคนที่สะท้อนลงไปในน้ำ ทำท่าเหมือนกำลังจะผลักเธอให้ตกลงไปในน้ำ
“อ้าวหนู สระปิดไม่ใช่เหรอ เข้ามาได้ยังไงเนี่ย”
ชมพูได้สติหันไปมองตามเสียง มือที่กำลังจะผลักหายไป พร้อมกับที่น้าไหวเดินนำกล้าเข้ามา
“ขอโทษนะคะ คือหนูพยายามจะฟื้นความทรงจำ ก็เลยมาเดินเล่นในมหาวิทยาลัย เผื่อได้มาอยู่ที่เดิมๆ ทำอะไรซ้ำๆ แบบเดิมเผื่อ ความทรงจำจะกลับมาบ้าง”
กล้ามองหน้าชมพูอย่างคุ้นๆ “เอ๊ะ นี่น้องนางรำอีกคน ที่ถูกรถชนจนความจำเสื่อมคนนั้นใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ ที่เมื่อวานหนูก็มากับเพื่อนๆ ที่มาถามว่าพวกพี่จำเหตุการณ์วันนั้นได้รึเปล่า”
2 ยามหันมองหน้ากัน หน้าเสีย และมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด จนชมพูจับได้
“พวกพี่จำอะไรได้แล้วใช่มั้ยคะ”
กล้ารีบปฎิเสธ
“ปละ เปล่า จำอะไรไม่ได้เลย ก็บอกแล้วไงว่าพวกเราเมาเละ”
“ไม่เห็นว่าใครมาทำอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นจริงๆ ไม่รู้เรื่องเลย สาบานได้ ว่าพวกเราไม่ได้รับเงินจากใครไปกินเหล้าทั้งนั้น”
น้าไหวหลุดปาก พอนึกขึ้นได้ ก็รีบปิดปาก ชมพูมองอย่างจับผิด
“พวกน้ารับเงินใครไปกินเหล้า แสดงว่าพวกน้าเห็นคนไม่น่าไว้ใจเข้ามาในมหาวิทยาลัยใช่มั้ย น้าเห็นใครบอกมาสิ บางทีคนกลุ่มนั้นอาจจะเป็นคนที่ทำร้ายรินก็ได้ ถ้าน้าไม่พูด ฉันจะไปบอกให้ตำรวจมาเอาตัวน้าไปสอบสวนที่โรงพักนะ”
“โหย ต้องขู่กันขนาดนี้เลยเหรอ อยากรู้บอกก็ได้ วันนี้พวกเราเห็น….”
กล้ากำลังจะเปิดปากบอก แต่เห็นผีริลณียืนจ้องหน้าเอาเรื่องอยู่ข้างหลังชมพู
“ฉัน บอก แล้ว ใช่ มั้ย ว่า อย่า ยุ่ง เรื่อง ของ ฉัน”
2 ยามอึ้ง ช็อก แหกปากตะโกนร้องโวยวาย ก่อนจะรีบวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต หลือชมพูที่ยืนอึ้ง และงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะยืนอยู่ในสระว่ายน้ำคนเดียว อยู่ดีๆ ก็รู้สึกวังเวง และเริ่มหนาวยะเยือกแปลกๆ เหมือนมีใครยืนอยู่ข้างหลัง ชมพูค่อยๆ หันหน้าจะหันกลับไปมอง แต่แล้วก็ไม่กล้าหัน ตัดสินใจรีบวิ่งออกไปจากสระว่ายน้ำทันที
ผีริลณีมองตาม แล้วยิ้มด้วยสายตาร้ายกาจ และเอาเรื่องที่สุด

ชมพูที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเตชิน รีบเล่าให้เหตุการณ์ให่เขาฟังอย่างตื่นเต้น
“ชมพูมั่นใจนะคะ ว่ายาม 2 คนนั้นต้องรู้อะไรแน่ๆ แต่พอชมพูไปตามหาพวกเค้า ก็หาไม่เจอแล้ว ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่ายาม 2 คนนั้นอยู่ที่ไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราลองไปตามหาเค้าอีกทีดีมั้ยคะ พี่เตชิน ฟังชมพูพูดอยู่
รึเปล่าคะ”
ชมพูเรียกเตชินที่ดูท่าทางเหม่อเศร้า จนเขาได้สติ หันมามองด้วยความรู้สึกผิด
“พี่ขอโทษนะครับ พอดีพี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“คิดถึงคดีเหรอคะ”
เตชินส่ายหน้าเศร้าๆ “เปล่าครับ พี่คิดถึงริน”
ชมพูแอบอิจฉาอยู่ลึกๆ
“อิจฉารินจังเลยนะคะ ขนาดเค้าไม่อยู่แล้ว ก็ยังไม่มีใครเข้าไปแทนที่เค้าในใจของพี่เตชินได้
รินเป็นผู้หญิงที่โชคดีจริงๆ”
“ไม่หรอกครับ รินเป็นผู้หญิงที่อาภัพมากกว่า ถึงเค้าจะได้รับความรักอย่างสุดหัวใจของพี่ แต่เค้าก็ไม่ได้อยู่เพื่อรับความรักนั้น”
ชมพูยิ่งฟัง ก็ยิ่งเจ็บปวดใจ
“แล้วมันจะต่างอะไรกับคนที่พยายามทำทุกอย่างแต่ไม่ได้รับความรักเลยละคะ เพราะยังไงก็ไม่มีใครได้ความรักนั้นเหมือนกัน”
เตชินมองจ้องที่ชมพูพูดอะไรแปลกๆอยู่ จนเธอต้องรีบกลบเกลื่อน
“ชมพูก็พูดไปเรื่อยน่ะค่ะ อย่าสนใจเลย วันนี้พี่เตชินดูเหนื่อยๆ ไว้เราค่อยมาคุยเรื่องนี้ใหม่วันหลังก็ได้ค่ะ พี่เตชินกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
“แล้วชมพูล่ะครับ”
“อ๋อ ชมพูขอนั่งเล่นไปเรื่อยๆ เผื่อจะจำอะไรช่วงเรียนที่นี่ขึ้นมาได้บ้าง”
เตชินพยักหน้าเข้าใจ แล้วลุกเดินออกไป ชมพูแอบก้มหน้าผิดหวังที่เขาดูเฉยเมย จังหวะที่เงยหน้ามองตามไป ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเหมือนผีริลณีที่เดินตามเตชินออกไปจากร้าน หันกลับมามองด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ สะใจ
ชมพูตกใจรีบขยี้ตาแล้วมองอีกครั้ง เห็นว่าจริงๆ แล้วเป็นผู้หญิงคนอื่นๆ เดินอยู่ข้างๆ เตชินเท่านั้น

เตชินเดินไปเดินมาอยู่ที่สนามหน้าบ้าน ก่อนจะจ้องมองไปที่บ้านทรงไทยที่ปิดเงียบ วังเวง
“ริน ผมไม่รู้ว่าคุณยังอยู่ที่นี่รึเปล่า แต่ผมคิดถึงคุณ คิดถึงคุณมาก คุณรู้มั้ย”
ริลณีที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยที่เตชินไม่รู้ เดินเข้าไปกอดแขนเขาไว้ด้วยความคิดถึงไม่แพ้กัน
“รินก็คิดถึงคุณค่ะ ริน ...”
ขณะที่ริลณีกำลังจะพูดอะไรต่อ เสียงท่องมนต์ดุดันและน่ากลัวแบบภาษาเขมรก็ดังเข้ามา พร้อมกลุ่มควันจำนวนมากที่ลอยโขมงเข้ามา เหมือนจะพันรอบตัว ริลณีพยายามจะปัดควันนั้นออก แต่ยิ่งปัด ควันนั้นก็ยิ่งมากและโอบล้อมรอบตัว เหมือนจะมัดเธอแน่นเข้าไปอีก

เป็นอาจารย์ดำกำลังบริกรรมคาถาเขมรอยู่หน้าเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง จากนั้นก็หยิบผงดิน และน้ำโยนที่เป็นสีแดงเลือดเข้าไปในกองไฟ ยิ่งก่อให้เกิดควันมากขึ้นไปอีก แล้วควันนั้นค่อยๆ รวมตัวกันเป็นร่างโหงพราย
รับใช้ ก้มหน้ารอรับคำสั่ง

“โหงพราย ไปเอาตัวนังผีนั่นมาให้ข้า บอกมันว่าข้าต้องการคุยกับมัน”

อ่านต่อหน้า 3

นางชฎา ตอนที่ 14 (ต่อ)

ควันสีดำล้อมรอบตัวริลณี ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นร่างโหงพรายที่พยายมจะจับตัวไป เธอพยายาม ขัดขืน และโหงพรายดูเหมือนจะทำอะไรเธอไม่ได้

“ปล่อยฉันนะ ฉันไม่มีวันไปกับพวกแกหรอกไอ้พวกผีรับใช้”
โหงพรายปล่อยตัวริลณี แล้วตรงเข้าไปจะทำร้ายเตชินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แทน โหงพรายค่อยๆกลายเป็นควัน แล้วค่อยๆ เข้าไปในปากและจมูก เตชินเริ่มสำลัก ตาเหลือก หายใจไม่ออก
เสียงมนต์คาถาเขมรยิ่งดังและดุดันขึ้น จนริลณีทนไม่ไหวแล้ว จะเข้าไปช่วยเตชินก็เข้าไปไม่ได้
“ปล่อยเตชิน แล้วฉันจะยอมไปกับพวกแก”
โหงพรายค่อยๆ ออกมาจากร่างเตชิน แล้วมาล้อมร่างริลณีไว้จนเห็นควันลอยเต็มไปหมด ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป
เตชินสะดุ้งเหมือนเพิ่งได้สติ เอามือจับคอรู้สึกแปลกๆ งงๆ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

ควันที่เป็นก้อนของโหงพราย ค่อยๆ หายไป กลายเป็นร่างริลณี ที่ยืนจ้องอาจารย์ดำด้วยความโมโห
“แกเรียกฉันมาทำไม”
จอมขมังเวทย์หยุดบริกรรมคาถา ลืมตาจ้องมองผีริลณีตรงหน้า ก่อนจะลุกเดินเข้าไปคุยใกล้ๆ
“ฉันก็แค่มีเรื่องสงสัย อยากถามอะไรเธอนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำร้ายอะไรหรอก”
“ถึงแกคิดจะทำร้ายฉัน แกก็ไม่มีวันทำได้หรอก ไอ้หมอผีกิ๊กก๊อก”
ขาดคำ ผีริลณีก็ตรงเข้าไปจะบีบคออาจารย์ดำ แต่ว่ามือนั้นกลับบีบลงไปไม่ได้บนคอไม่ได้
“เจ้าเป็นผีที่มีพลังแก่กล้า และเต็มไปด้วยความแค้นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ เก็บแรงของเจ้าไว้เถอะ วันนี้ข้าไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า”
ผีริลณีเห็นว่าทำอะไรอาจารย์ดำไม่ได้ก็ยอมรามือ พลางจ้งมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“แกต้องการอะไรจากฉัน”
“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าทำไมแกต้องคอยตามเล่นงานคุณเอกราชกับเพื่อนเค้าด้วย”
ริลณีแสยะยิ้มด้วยความแค้น
“ก็เพราะพวกมันฆ่าฉันน่ะสิ ฉันถึงต้องตามล้างแค้นมัน และถ้าขืนแกยังช่วยพวกมันอีก ฉันก็จะฆ่าแกด้วย จำเอาไว้”
ผัริลณีพูดเสร็จก็หายไป พร้อมลมพายุแรงในสำนัก ทำให้ข้าวของล้มเสียหายกระจัดกระจาย ควันโหงพรายรวมตัวจะตามไปเล่นงาน แต่อาจารย์ดำที่ยืนยิ้ม ยกมือห้ามไว้
“ไม่ต้อง ไม่ต้องตามมันไป ฉันได้รู้สิ่งที่ฉันต้องการแล้ว พวกนั้นฆ่านังผีนั่นตายงั้นเหรอ มิน่าถึงได้กลัวนังผีนั่นกันนัก ยังหรอก พวกแกยังไม่รู้จักความน่ากลัวที่แท้จริง”
อาจารย์ดำยิ้มอย่างมีแผนชั่วร้ายสุดๆ



เอกราชวางแก้วกระแทกบนโต๊ะด้วยความโมโห และเจ็บใจสุดๆ
“ฉันอุตส่าห์ยอมทำดีทุกอย่าง จริงใจกับเค้า ทำไมชมพูถึงยังไปเข้าข้างไอ้เตชินมันอีก”
ตุลเทพ ปริมลดาที่นั่งดื่มอยู่เป็นเพื่อนมองเอกราชขำๆ ในขณะที่ประวิทย์นั่งหน้าขรึม เครียด
“ก็เค้าแอบรักเตชินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรนายก็รู้ ยิ่งตอนนี้ไม่มี “ผี” คู่แข่ง เค้าก็ยิ่งมีหวังสิ”
ปริมลดาพูดขึ้นมาตรงๆ เอกราชเบะปาก
“มีอะไรที่ฉันดีสู้เตชินไม่ได้”
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก สำคัญแค่ผู้หญิงเค้าไม่รักนาย มันก็จบ”
ตุลเทพพูดหน้าตาเฉย
“แล้วทำยังไง ถึงจะเปลี่ยนใจให้เค้ามารักฉัน”
ประวิทย์ที่นั่งหน้าเครียดฟังอยู่นาน เริ่มทนไม่ไหว
“ ถามจริงๆ ที่นายพยายามทำอยู่เนี่ย เพราะนายรักเค้า หรือว่าอยากจะเอาชนะกันแน่”
เอกราชตอบอย่างมั่นใจ
“อยากเอาชนะ คนอย่างฉันถ้าอยากได้ใคร แล้วต้องได้”
“ถ้านายแค่อยากเอาชนะ มันก็ไม่ยาก” ตุลเทพพูดพลาง เขยิบหน้าเข้าไปใกล้ๆ “ก็จับปล้ำเลยสิวะ ผู้หญิงอย่างชมพู ลองได้เป็นของใคร ก็พร้อมจะมาศิโรราบแทบเท้าแล้ว”
ปริมลดารีบยุต่อ
“เตชินก็น่าจะเป็นสุภาพบุรุษพอ น่าจะยังไม่เคยทำอะไรชมพู ถ้านายทำ นายก็จะได้เป็นคนแรกเลยน้า แล้วหลังจากนั้น นายจะรัก จะเลิก ก็ถือว่าคุ้มแล้ว”
เอกราชแอบยิ้มชอบใจ “จริงสิ ทำไมฉันไม่เคยคิดถึงวิธีนี้เลยนะ”
“ก็นายมัวแต่จะให้เกียรติ เป็นคนดี แล้วเป็นยังไงล่ะ ไม่ได้ผล แถมโดนเมินอีกต่างหาก”
“เชื่อพวกเราเถอะวิธีนี้เด็ดสุด”
ตุลเทพพูดหนุนต่อ แต่ประวิทย์พยายามห้าม
“แต่ถึงยังไงชมพูเค้าก็เคยเป็นเพื่อนพวกเรานะ ถ้านายทำอย่างนั้น...”
เอกราชหันไปจ้องหน้าเอาเรื่อง
“หยุดพูดไปเลย นายบอกเองว่าจะไม่ช่วยคิดเรื่องนี้ งั้นนายก็ไม่ต้องเกี่ยว ฉันจะหาทางจัดการชมพูเอง”
เอกราชหันไปหัวเราะชอบใจกับปริมลดาและตุลเทพ ประวิทย์มองด้วยความรู้สึกผิดหวังสุดๆ

ชมพูนั่งหยิบรูปเก่าๆ ระหว่างที่อยู่มหาวิทยาลัยออกมาดู พยายามจะฟื้นความทรงจำของตัวเองให้เร็วที่สุด พลันสียงมือถือที่วางอยู่บนเตียงก็ดังรัว เธอรีบหยิบขึ้นมารับ โดยไม่ได้มองว่าใครโทรมา
“สวัสดีค่ะ ชมพูพูดค่ะ”
เอกราชที่อยู่ทางปลายสาย แกล้งทำเสียงเครียด
“นี่เราเอกราชนะ อย่าเพิ่งวางนะ เรามีเรื่องสำคัญอยากคุยกับเธอ”
ชมพูทำหน้าเซ็ง
“ถ้านายจะพยายามพูดเรื่องของเรา 2 คน ฉันคงไม่มีเวลาฟังนะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ฉันจะพูดเรื่อง ริลณี”
ชมพูตื่นเต้น สนใจขึ้นมาทันที “เรื่องริน เรื่องรินทำไม”
“เธออยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าเกิดอะไรขึ้นกับริลณี เมื่อ 2 ปีที่แล้ว”
“ใช่ ฉันอยากรู้”
เอกราชยิ้มร้าย “ ถ้าเธอยอมออกมาพบฉัน ฉันจะเล่าความจริงทุกอย่างให้เธอฟัง”
ชมพำหน้าอึ้งๆ เมื่อรู้ว่าเอกราชต้องการให้ไปพบ
“ทำไมต้องออกไปพบด้วย นายก็เล่าให้ฉันฟังทางโทรศัพท์เลยสิ”
“ไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น ฉันแค่อยากจะสารภาพผิดกับใครสักคน ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้น”
ชมพูตกใจ “ไม่อย่างนั้นทำไม”
“ผีริลณีจะฆ่าฉัน ชมพู ชมพูต้องช่วยฉันนะ ฉันยังไม่อยากตาย”
ประวิทย์แอบยืนมองเอกราชที่กำลังโทรศัพท์เล่นละครอยู่ ด้วยความโกรธ ขณะที่ชมพูลังเล ไม่รู้จะทำยังไงดี
“แล้วนายมาพูดกับฉันจะช่วยอะไรได้”
“อย่างน้อยก็ช่วยให้ฉันปลดปล่อยสิ่งที่เก็บเอาไว้มาหลายปี”เอกราชแกล้งตีหน้าเศร้า “ดีไม่ดีหลังจากที่พูดความจริงกับเธอทุกอย่างแล้ว ฉันอาจจะขอให้เธอพาไปสถานีตำรวจก็ได้ พวกเราจะได้จบเรื่องเลวร้ายนี้สักที”
ชมพูหลงกลรีบตอบรับ “ตกลง ฉันจะไปพบนาย แล้วฉันต้องไปพบนายที่ไหน”
“เดี๋ยวฉันจะไปรับเธอเอง”
เอกราชยิ้มร้าย วางโทรศัพท์อย่างสาสมใจ

ประวิทย์แอบฟังอยู่ พยายามครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี

เตชินยืนให้อาหารปลาอยู่ริมแม่น้ำที่วัดหลวงพ่อคง ยกนาฬิกาขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ

“ไหนชมพูบอกว่าจะมาทำบุญให้รินด้วยกัน ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก”
เขารีบหยิบโทรศัพท์โทรหา แต่กลับไปด้ยินสัญญาณเหมือนปิดเครื่อง เขาจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์เข้าไปที่บ้าน
“สวัสดีครับ คุณอาพิสมัยเหรอครับ นี่ผมเตชินครับ คือผมนัดกับชมพูว่าจะออกมาทำบุญที่วัดกัน ตอนนี้ ออกมาแล้ว? ออกมานานรึยังครับ เหรอครับ สงสัยรถอาจจะติด งั้นไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมรอ แล้วถ้าน้องมาถึง ผมจะรีบโทร.บอกคุณอานะครับ”
เตชินวางโทรศัพท์ยิ่งรู้สึกแปลกใจ และกังวลใจ
“ออกมาที่วัดแล้วงั้นเหรอ ทำไมถึงยังไม่มาถึงสักที”

ชมพูที่นั่งรถมากับเอกราช หันมามองอีกฝ่ายที่ขับรถด้วยท่าทางสบายอารมณ์อย่างแปลกใจ ขณะนั้นเสียงมือถือของเธอก็ดังอยู่ตลอดเวลา พอเธอจะกดรับ เอกราชก็รีบหันมาห้าม
“ถ้าเธอบอกใครว่าออกมากับฉัน ฉันจะไม่บอกความลับกับเธอ”
ชมพูลำบากใจ ต้องยอมปล่อยให้โทรศัพท์เตชินที่โทรเข้ามาดังไป โดยไม่รับสาย
“แล้วนายจะพาฉันไปคุยที่ไหน ทำไมต้องขับรถออกมาไกลด้วย”
“ก็ไปที่ที่จะไม่มีใครมารบกวนเรา แล้วก็จะพาเธอไปเอาหลักฐานสำคัญด้วย”
ชมพูตาวาว “หลักฐานสำคัญอะไร”
“หลักฐานที่จะทำให้ทุกคนรู้น่ะสิว่า ใครเป็นคนฆ่าริลณี”
ชมพูตื่นเต้น อยากรู้ว่าหลักฐานนั้นคืออะไรกันแน่ เอกราชแอบยิ้มชั่วร้ายสะใจ ที่อีกฝ่ายหลงกล

เตชินเดินไปเดินมาด้วยความกังวลใจ พยายามหยิบโทรศัพท์พยายามโทรหาชมพู แต่ก็ไม่มีคนรับสายสักที
“ทำไมถึงไม่ยอมรับสายนะ ชมพูไปไหนของเค้า”
พลันเสียงเรียกเข้าก็ดังสวนขึ้นมา เมื่อมองหน้าจอ ก็เห็นว่าเป็นประวิทย์โทรเข้ามา
เตชินรีบกดรับโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ประวิทย์ก็รีบเล่าด้วยความร้อนรน เขายืนฟังด้วยความโกรธและโมโห ก่อนจะตะโกนออกมา
“ว่าไงนะ มันพาตัวชมพูไปที่ไหน”
เตชินกดวางสาย ด้วยความโกรธจัด ก่อนจะ รีบวิ่งขึ้นรถ แล้วขับพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ที่หมู่บ้านร้างห่างไกลผู้คน เอกราชพยายามจะพาชมพูเดินเข้าไปในบ้าน แต่ฝ่ายหลังยืนลังเลไม่ยอมเข้าไป
“ฉันจะรออยู่ตรงนี้แหละ นายเข้าไปเอาหลักฐานออกมาสิ”
“เอาออกมาไม่ได้หรอก เธอต้องเข้าไปดูเอง”
ชมพูทำหน้าสงสัย “มันเป็นอะไร ทำไมถึงเอาออกมาไม่ได้”
“ของมันชิ้นใหญ่มาก เก็บเอาไว้ข้างใน 2 ปีกว่า กลัวว่าถ้าเคลื่อนย้ายของจะเสีย เธอเข้าไปดูเองเหอะ อยู่ในห้องตรงนี้เอง ไม่ต้องกลัวหรอก”
ชมพูมองเข้าไปในบ้านอย่างชั่งใจ เอกราชพยายามหว่านล้อม
“ฉันอุตส่าห์จะยอมเล่าทุกอย่างให้ฟังแล้ว แค่เธอยอมไปดูหลักฐานแค่เนี้ย เธอก็จะช่วยปิดคดีเพื่อนรักของเธอได้ไง เธอไม่อยากให้ทุกอย่างมันจบเหรอ”
ชมพูคิดหนักก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าบ้านไป เอกราชยิ้มชั่วร้ายรีบตามเข้าไปในบ้านทันที
อีกมุมหนึ่ง ประวิทย์ที่แอบสะกดรอยตามทั้งคู่มา ยืนสังเกตการณ์อยู่อย่างกังวล ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์รายงานเตชิน
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน เอกราชพาชมพูเข้าไปในบ้านแล้วนะ”
เตชินรีบขับรถไปตามถนนด้วยความเร่งร้อน ขณะใส่บลูทูธคุยโทรศัพท์กับประวิทย์
“อีกไม่ถึงสิบนาทีผมจะไปถึง คุณช่วยทำอะไรก็ได้ อย่าให้เอกราชทำอะไรชมพูเด็ดขาดเข้าใจมั้ย”
ประวิทย์แอบยืนคุยโทรศัพท์ในขณะที่สายตาก็คอยมองเข้าไปในบ้าน
“เรื่องนั้นผมรู้แล้วน่า แต่คุณก็ต้องเข้าใจนะ ผมทำอะไรไม่ได้มาก ถ้าเอกราชรู้ว่าผมหักหลังเอาเรื่องนี้มาบอกคุณ เค้าต้องโกรธผมมากแน่ๆ แต่ที่ผมยอมทำแบบนี้ เพราะผมไม่อยากให้เค้าทำอะไรผิดอีก แล้วชมพูก็เป็นเพื่อนผม”
“คุณรีบไปดูชมพูดีกว่า” เตชินร้อนใจ
“แล้วคุณคงไม่ลืมสัญญา ว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ใคร ผมไม่อยากให้เอกราชเดือดร้อน”
“ก็ถ้ามันไม่ทำอะไรชมพู ผมก็จะไม่ทำอะไรมัน คุณต้องช่วยชมพูนะ ผมจะรีบไป”
เตชินวางโทรศัพท์แล้วรีบเหยียบคันเร่ง ขับรถไปอย่างรวดเร็ว

ชมพูเดินเข้ามาในบ้านพยายามมองหาหลักฐาน เอกราชเดินตามมาข้างหลังมองด้วยสายตา
น่ากลัว
“ไหน หลักฐานนายอยู่ตรงไหน”
“เข้าไปอีกนิดเดี๋ยวก็เห็น”
ชมพูมองไปรอบๆ เห็นมีแต่เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ไม่มีอะไรที่พอจะเป็นหลักฐานได้
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย นี่นาย...”
ชมพูยังพูดไม่ทันจบ เอกราชก็ตรงเข้าไปกอดแน่นจากด้านหลัง เธอตกใจพยายามขัดขืน
“นายจะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ”
“ปล่อยทำไม กว่าจะหลอกพาเธอมาที่นี่ได้ ฉันต้องยอมพูดถึงชื่อนังผีบ้าตั้งหลายครั้ง แต่ก็ต้องขอบใจนังผีนั่นเหมือนกันนะ เพราะมันจะทำให้ฉันได้สิ่งต้องการจากเธอมากที่สุด”
เอกราชพูดเสร็จก็ก้มลงจูบที่ซอกคอด้านหลัง แล้วดันตัวชมพูลงไปบนโซฟาเก่าในห้อง เธอพยายามจะดิ้นรนหนี แต่กลับถูกอีกฝ่ายเข้าไปจับตัวไว้
“เล่นตัวดีนักใช่มั้ย วันนี้เธอหนีฉันไม่รอดหรอก ยังไงเธอก็ต้องเป็นของฉัน”
เอกราชจับชมพูกดลงบนโซฟาโน้มตัวลงไปจะจูบ เธอฉวยจังหวะ ใช้เข่าเตะผ่าหมาก จนอีกฝ่ายจุก แล้วรีบลุกวิ่งหนีออกมา พร้อมตะโกนร้อง
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
เอกราชที่โดนชมพูเตะจนจุก มองตามอย่างแค้นใจ
“คิดว่าจะมีใครมาช่วยงั้นเหรอ”

ประวิทย์ที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงชมพูร้องขอความช่วยเหลือก็ตกใจ ร้อนรน ไม่รู้จะช่วยยังไง จะเข้าไปในบ้านไปช่วยตรงๆ ก็ไม่ได้ พอมองซ้ายมองขวา เห็นรถเอกราชจอดอยู่ ก็นึกรู้ว่าจะช่วยยังไง

ชมพูพยายามจะวิ่งหนี แต่เอกราชตามมาข้างหลัง ตรงเข้ามาจับตัวเอาไว้ เธอพยายามจะ
ขัดขืนแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะฝ่ายหลังแรงมากกว่า
“ไม่ต้องร้องให้เหนื่อยแรงหรอกน่า แถวนี้ออฟฟิศร้าง ไม่มีใครมาช่วย”
เอกราชยังพูดไม่ทันจบ เสียงสัญญาณกันขโมยจากรถที่จอดอยู่หน้าบ้านก็ดังไปทั่วบริเวณ โดย
ไม่มีสาเหตุ เขาชะงักหันไปมองนอกบ้านด้วยความตกใจ สักพักก็มีเสียงเคาะประตูหลังบ้านรัวๆ จนเขาเริ่มจะรู้สึกกลัว
เอกราชถอดเข็มขัดออกมาพันมือชมพูกับเสาในบ้านเพื่อ ไม่ให้ไปไหน ก่อนจะค่อยๆ เดินไปที่ประตูหลังบ้าน ที่ยังมีเสียงเคาะรัวอยู่ ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูออกทันที แต่ที่ด้านนอก กลับไม่เห็นมีใครอยู่
ตรงนั้น เขาเริ่มรู้สึกกลัว รีบปิดประตูทันที โดยไม่เห็นประวิทย์ที่ในมือถือไม้ที่ใช้เคาะประตูแอบอยู่แถวนั้น
เอกราชเดินย้อนกลับจะเข้าไปหาชมพู แต่กลับถูกเตชินที่เปิดประตูหน้าบ้านพรวดเข้ามา เดินรี่เข้าไปต่อยด้วยความโมโห จนล้มคว่ำลงไปกองกับพื้น
“ผู้ชายอย่างแกก็ดีแต่จะทำร้ายผู้หญิง กี่คนแล้วล่ะที่แกทำแบบนี้”
เตชินด่าเสร็จก็รีบเข้าไปแกะมือชมพูที่ถูกมัดอยู่ เอกราชค่อยๆยืนขึ้น หยิบไม้ที่วางหล่นบนพื้น
แถวนั้น ตรงเข้าไปจะฟาดเตชินที่กำลังยืนหันหลังให้ทันที
“พี่เตชินระวังค่ะ”
เตชินหันกลับมาหลบไม้ได้ทัน เอกราชพยายามจะใช้ไม้ฟาด ทั้งคู่ต่อสู้กันนัวเนีย ในที่สุดเอกราชก็พลาดถูกเตชินผลักล้มลงไปกับพื้น ก่อนที่ฝ่ายหลังจะรีบเข้าไปหาชมพูที่ยังถูกผูดติดกับเสา
“รีบไปกันเถอะ”

เตชินแกะเข็มขัดที่มัดมือชมพูออกไปหมดแล้ว เอกราชมองด้วยความแค้น

ประวิทย์แอบสังเกตการณ์อยู่นอกบ้าน เฝ้ามองด้วยความเป็นห่วง เห็นเอกราชค่อยๆแอบหยิบขวดเบียร์ที่กลิ้งอยู่ใกล้ตัวขึ้นมา

เสียงฟาดขวดเบียร์ดังขึ้นมา เตชินกับชมพูกำลังจะเดินออกไป หันหลับมามอง เห็นเอกราชยืนขึ้นพร้อมกำขวดเบียร์ปากฉลามแน่น
“แกคิดว่าจะเดินเข้ามา แล้วพาชมพูกลับออกไปง่ายๆ งั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก ในเมื่อแกทำฉันเจ็บ แกก็ต้องเจ็บด้วย ไอ้เตชิน”
เอกราชวิ่งเข้าไปจะเอาขวดเบียร์ปากฉลามแทงเตชิน แต่กลับต้องชะงัก เมื่อเห็นผีริลณีปรากฏร่างออกมา ยืนจ้องอย่างอาฆาตอยู่ข้างหลังเตชิน
เอกราชกลัวจนต้องปล่อยขวดเบียร์ตกลงพื้น ก่อนจะถอยหลังพยายามจะหนี ผีริลณีค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อย่างเอาเรื่อง เอกราชยิ่งถอยหนี จนเกือบจะเดินไปทางที่มีขวดเยียร์ตกอยู่ และไม้แหลมหักอยู่
ผีริลณีเดินจ้องหน้าเอาเรื่อง เอกราชเดินถอยจนเหยียบขวดเบียร์กำลังจะลื่นล้มลงไปโดนไม้เสียบ แต่เตชินที่เห็นเหตุการณ์อยู่ วิ่งเข้าไปรับตัวไว้ ก่อนจะล้มลงโดนไม้นั้นเสียบแทน
ชมพูตกใจ “พี่เตชิน”
ริลณีกรีดร้อง “เตชิน”
ทั้งคู่รีบเข้ามาดูอาการเตชิน เอกราชได้โอกาสรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีออกไป
ผีริลณีหันขวับมองตามด้วยความแค้น กำลังจะตามไป แต่เมื่อเห็นเตชินอาการไม่ดีเลือดไหลไม่หยุด ก็ค่อยๆ เอามือปิดแผลนั้น พลันเลือดที่ไหลอยู่ค่อยๆ หยุดไหล ในขณะที่ชมพูลนลานโทรตามรถพยาบาล
“ช่วยด้วยค่ะ มีคนบาดเจ็บ ส่งรถพยาบาลมารับด่วนนะคะ”

เตชินที่นอนอยู่บนเตรียงในห้องฉุกเฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นริลณีนั่งอยู่ข้างเตียง จับมือเขาไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณไม่เป็นไรแล้ว แผลของคุณอีกไม่กี่วันก็จะหาย”
เตชินจับหน้าริลณี แล้วยิ้มอย่างมีความสุข
“นี่รินอยู่ดูแลผมตลอดเลยเหรอ ผมดีใจนะครับ ที่ตื่นมาแล้วเห็นคุณเป็นคนแรก”
“รินจะไม่ไปไหน รินจะอยู่ใกล้ๆ คุณ คอยอยู่ดูแลคุณ ไม่ให้ใครทำอะไรคุณได้”
ทั้งคู่ยิ้มอย่างตื้นตันใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง พลันเสียงของชมพูก็ดังแทรกเข้ามา
“พี่เตชินฟื้นแล้วเหรอคะ พี่เตชิน”
เตชินค่อยๆ ลืมตาเห็นชมพูที่นั่งอยู่ข้างเตียง จับมือเขาไว้แน่น แล้วร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ
เขามองไปรอบๆ พยายามมองหาริลณี แต่เมื่อไม่มีก็รู้ว่าเมื่อครู่คือความฝัน เขาถอนหายใจอย่างเศร้าใจ ก่อนจะหันไปมองชมพูที่กำลังร้องไห้ น่าสงสาร
“เพราะชมพูแท้ๆ ที่ทำให้พี่เจ็บขนาดนี้ ชมพูขอโทษนะคะ ชมพูไม่น่าโง่ให้เค้าหลอกเลย”
“ชมพูไม่เป็นไรพี่ก็ดีใจมากแล้วครับ สัญญานะครับ ถ้าคราวหลังมีอะไรต้องบอกพี่ ห้ามทำอะไรคนเดียวเด็ดขาด”
ชมพูพยักหน้ารับช้าๆ “ค่ะ ชมพูสัญญาว่าจะไม่ทำเก่งแบบนี้อีก”
“แล้วเอกราชจะเอายังไง จะเอาเรื่องเค้ามั้ย”
“ช่างเค้าเถอะค่ะ ถือว่าได้เรียนรู้สันดานผู้ชายเลวๆ ดีนะคะที่ชมพูไม่เคยคิดอะไรกับเค้า แล้วพี่
เตชินเจ็บแผลมากมั้ยคะ”
“ก็นิดนึง” แต่ครั้นชมพูเอามือจับบนแผลเบาๆ ก็ร้องเสียงดัง “โอ๊ย”
“อย่างนี้ไม่น่าจะนิดนึงแล้วมั้งคะ”
เตชินหัวเราะอายๆ ชมพูก็ยิ้มออกน้อยๆ ก่อนจะเอาผ้าห่มมาห่มให้

พิสมัยที่ยืนมองชมพูและเตชินจากข้างนอก หันมองหน้าพิชัยแล้วยิ้มเยาะ
“เป็นไงล่ะคะ คนดีของคุณ เกือบทำลูกสาวเราแย่แล้วมั้ยล่ะ นี่ถ้าเตชินไปช่วยไม่ทัน ฉันไม่รู้ว่า
ลูกเราจะเป็นยังไง”
“ผมยอมรับว่ามองคนผิดไปจริงๆ นี่ถ้าลูกไม่ขอร้องไว้ ผมต้องเอาเรื่องเค้าจนถึงที่สุดแน่”
“แต่เรื่องแบบนี้เอะอะไปคนที่จะเสียหายก็คือลูกเรานะคะ ในเมื่อลูกเราไม่มีอะไรเสียหายก็ปล่อยมันไปเถอะค่ะ ก็แค่ระวังอย่าให้เค้ามายุ่งกับลูกของเรา”
พิชัยหน้าเครียด “สงสัยใครที่จะมารักมาชอบลูกเรา ผมคงต้องดูให้มากกว่านี้”
“ไม่ต้องเสียเวลาไปมองใครแล้วละคะ เพราะคนที่ลูกเรารักมีอยู่แค่คนคนเดียว”
พิชัยอึกอัก ไม่พอใจ “แต่ ...”
“เชื่อฉันเถอะค่ะ ไม่มีใครจะดีและเหมาะสมกับลูกเรามากกว่าเตชิน”
พิชัยมองเข้าไปในห้อง เห็นชมพูที่หน้าตายิ้มแย้มดูแลเตชินด้วยความสุข ก็ได้แต่ถอนใจ

เอกราชนั่งหน้าเครียด โดยมีตุลเทพและปริมลดานั่งประกบข้างเอามือตบหลังปลอบใจ
“ไม่ต้องกลัวน่า ผีริลณีมันตามมาทำอะไรนายไม่ได้แล้ว”
เอกราชได้ฟังแบบนั้นก็ยิ่งโมโห ขว้างแก้วน้ำที่อยู่ในมือลงพื้นแตกกระจาย
“ฉันไม่เข้าใจ อยู่ๆ ไอ้เตชินมันตามไปช่วยได้ยังไง ในเมื่อที่ที่ฉันพาไปก็ไม่มีใครอยู่ แล้วฉัน
ก็ไม่เคยบอกแผนนี้กับใครด้วย”
“ชัวร์เหรอว่าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครจริงๆ” ตุลเทพย้อนถาม
“คนที่รู้ก็มีแค่พวกเรา แล้วก็ประวิทย์อีกคน นอกนั้นก็ไม่เคยพูดกับใครอีกแล้ว”
ตุลเทพกับปริมลดาหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย
“ถ้ารู้กันแค่ 4 คน ก็คงหลุดจากใครสักคนนี่แหละ”
ปริมลดารีบส่ายหน้า
“ฉันไม่ได้พูดแน่ เพราะฉันก็รอดูนังชมพูเวลามันถูกย่ำยีป่นปี้ มันยังจะเชิ่ดหน้าชูคอเป็นคนดีวิเศษได้มั้ย”
ตุลเทพส่ายหน้าตาม “ฉันก็ไม่ได้พูด เพราะพูดไปก็ไม่ได้อะไร”
“งั้นก็เหลือแต่ประวิทย์ แต่ฉันมั่นใจว่าประวิทย์ไม่มีวันหักหลังฉันแน่”
เอกราชพูดอย่างมั่นใจ ปริมลดาแย้งขึ้นมาทันที
“นายจะแน่ใจได้ยังไง ในเมื่อประวิทย์เป็นคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”
“แล้วประวิทย์ก็รู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับนาย ดีกว่าที่นายรู้เรื่องของตัวเองซะอีก”
ตุลเทพพูดอย่างไม่ไว้ใจ ปริมลดารับรับลูกต่อ
“ฉันว่านายลองกลับไปดูคนที่นายไว้ใจที่สุดดีกว่า บางทีนายอาจจะพบอะไรที่นายไม่เคยรู้ก็ได้”
ปริมลดาหัวเราะขำๆ ก่อนจะมองหน้าตุลเทพยิ้มๆ เหมือนรู้อะไรกัน เอกราชมองทั้งคู่อย่าง
แปลกใจ
“ประวิทย์เนี่ยนะ”

ประวิทย์กำลังอาบน้ำอย่างเพลิดเพลิน เอกราชมองซ้ายมองขวา ก่อนจะแอบเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือของประวิทย์ที่วางกองรวมไว้กับสมบัติส่วนตัวขึ้นมาเปิดดู ก่อนจะเห็นเบอร์ที่โทรออก มีชื่อเตชินอยู่ในนั้น เขารีบกดดูเวลาที่โทรออก แล้วก็อึ้ง ช็อก คาดไม่ถึง ไม่อยากเชื่อ
“แกโทร.บอกมันจริงๆ”
เอกราชโกรธมากกำลังจะปิดโทรศัพท์ของประวิทย์ แต่สายตาเหลือบไปเห็นหมวดรูปภาพในโทรศัพท์ เป็นรูปผู้ชายเซ็กซี่ ใส่เสื้อโชว์มัดกล้าม รูปนักร้องเกาหลีหล่อๆ โชว์ซิกซ์แพก
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
เอกราชเปิดดูภาพต่อ เห็นภาพประวิทย์ถ่ายกับคู่ขาคนอื่นๆ หลายๆ คน ทั้งในบาร์เกย์ ในโรงแรม และสถานที่ที่เป็นส่วนตัว ด้วยท่าทางสนิทสนมแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งเปิดดูภาพเหล่านั้นไปเรื่อยๆ เอกราชก็อ้าปากค้าง อึ้ง ช็อก ไม่อยากเชื่อ

“อย่าบอกนะว่า ไอ้ประวิทย์เป็นเกย์”

เอกราชรื้อข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าของประวิทย์กระจุยกระจายด้วยความโมโห ก่อนจะเจอสมุดไดอารี่ที่อีกฝ่ายเขียนทุกคืน จึงรีบคว้ามาเปิดออกดู แล้วก็เห็นรูปภาพของตัวเองในชุดนักศึกษาถูกตัดแปะกับรูปประวิทย์ตั้งแต่สมัยปีหนึ่ง เป็นภาพยืนคู่กันราวกับคู่รัก

เอกราชถึงกับช็อก ยิ่งเปิดดู ก็ยิ่งมีภาพคู่ที่ถ่ายกับประวิทย์ ภาพกลุ่มที่ถ่ายแล้วประวิทย์ตัดออกเหลือแค่ 2 คน ภาพแอบถ่ายเขาในอิริยาบถต่างๆ ภาพเขาถอดเสื้อดูเซ็กซี่ พร้อมไดอารี่ในแต่ละวันที่บรรยายถึงความสุขที่ได้อยู่กับใกล้กับเขา เอกราชมือไม้สั่น ช็อกจนไม่รู้จะช็อกยังไง
พอประวิทย์เดินเข้ามาเห็นตกใจ รีบไปแย่งไดอารี่คืนมา เอกราชโกรธมาก ชกจนประวิทย์ลงไปกองที่พื้น
“แกทำแบบนี้ทำไม แกเป็นเพื่อนที่ฉันไว้ใจมากที่สุด ทำไมถึงกล้าหักหลังฉัน”
“ฉันหักหลังอะไรนาย”
เอกราชมองจ้องหน้าเอาเรื่อง “แกเป็นคนโทรไปบอกไอ้เตชิน”
ประวิทย์หน้าเสีย
“ฉันขอโทษ ฉันแค่ไม่อยากให้นายทำผิดอีก แต่ไม่รู้จะหยุดนายยังไง”
“แกก็เลยไปช่วยคนที่เป็นศัตรูฉัน”
ประวิทย์เข้าไปกอดเอกราชจากหลังด้วยความรู้สึกผิด พลางพยายามอ้อนวอนขอโทษ
“ฉันขอโทษ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”
เอกราชมองมือประวิทย์ที่กอดอยู่ ก่อนจะเอามือสะบัดออกจากตัวอย่างรังเกียจ
“เอามือของแกออกไป ฉันไม่ใช่พวกสับสนอย่างแก”
ประวิทย์มองเอกราชด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
“ฉันไม่ได้สับสน ฉันรู้ว่าฉันเป็นอะไร ฉันไม่เคยหลอกตัวเอง”
“แต่แกหลอกฉัน ทำเป็นแมน ทำเป็นมาเป็นเพื่อน จริงๆ แกคิดอะไรทุเรศๆ กับฉันใช่มั้ย”
“การรักใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องทุเรศนะ แล้วฉันไม่เคยขอให้นายมาเป็นแบบฉัน ฉันก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆ นาย คอยดูแล ช่วยเหลือ เป็นเพื่อนที่ดีของนายเท่านั้นเอง”
เอกราชยิ้มหยัน
“ฮึ เพื่อนที่ดีงั้นเหรอ ถ้ารู้ว่าแกเป็นอย่างนี้ ฉันไม่ให้เข้าใกล้ฉันตั้งแต่แรก”
“ทำไมล่ะ ฉันรักนายนะ”
ประวิทย์พยายามจะเข้าไปกอด แต่กลับถูกผลักออกอย่างรังเกียจ จนเซล้มมาชนขอบโต๊ะจนหัวแตก เลือดไหลเป็นทาง
เอกราชไม่สนใจ กลับยังชี้หน้าด่าซ้ำ
“อย่ามาพูดอะไรทุเรศๆ แบบนั้น ฟังแล้วอยากจะอ้วก ไปเลยนะ ออกไปจากคอนโดฉัน ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจฆ่าแกตายซะก่อน”
ประวิทย์วิงวอนอย่างเจ็บปวด “เอกราช”
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉัน ออกไป๊”
“นี่นายรังเกียจฉันมากขนาดนี้เลยเหรอ”
เอกราชมองเหยียด “ก็เออสิวะ”
“ทั้งๆ ที่ฉันเคยทำทุกอย่างให้นาย เป็นเพื่อนที่ดีกับนายมาตลอด”
“ไม่ต้องมาพล่ามอะไรอีกแล้ว ออกไป๊”
ประวิทย์มองเอกราชด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ ราวกับโลกทั้งโลกได้พังทลายอยู่ตรงหน้า
ฝ่ายหลังเห็นเขายืนนิ่งไม่ยอมไปไหน ก็รีบโกยเอาข้าวของของเขาไปโยนทิ้งที่หน้าห้องอย่างรังเกียจ ก่อนจะผลัก เขาออกไปจากห้อง แล้วปิดประตูใส่ปัง แล้วรีบปัดเนื้อปัดตัวด้วยความขนพองสยองเกล้า
“อึ๊ย ขนลุก เป็นเพื่อนกับมันมาตั้งนาน คนเค้าจะคิดว่าเราเป็นเหมือนมันมั้ยเนี่ย”

ประวิทย์ยืนหลังพิงประตูอย่างเจ็บปวด เลือดที่แผลยังไหลเป็นทาง ก่อนจะมองข้าวของที่ถูกโยนเกลื่อนหน้าห้องด้วยความเสียใจ จากนั้นก็ค่อยๆ เก็บของใส่กระเป๋าหน้านิ่งๆ ทีละชิ้นๆ ด้วยความทั้งโกรธ เสียใจ และหัวใจแตกสลายที่สุด เมื่อเหลือบไปเห็นสมุดไดอารี่ที่โยนออกมาด้วย ก็รีบเข้าไปหยิบสมุดมาถือไว้ แล้วฉีกหน้าที่เป็นรูปและเรื่องราวของเอกราชออกด้วยความโกรธ จนไปถึงหน้าหนึ่งที่มีแต่ตัวหนังสือเต็มไปหมด เลือดจากแผลไหลหยดลงไปบนกระดาษ บนข้อความที่เขียนไว้ว่า
“พวกเราฆ่าริลณี”
จากนั้นก็รีบปิดสมุดไดอารี่ แล้วเก็บสมุดใส่กระเป๋า ลุกขึ้นแล้วมองเข้าไปในห้องเอกราชด้วยความแค้น เสียใจ และผิดหวัง
“ฉันก็อยากรู้ ถ้านายไม่มีฉัน นายจะอยู่ยังไง”
พูดเสร็จก็ตัดสินใจเดินออกไปทันที

ตุลเทพเพิ่งกลับมาจากเล่นเวคบอร์ด มองเอกราชด้วยความสงสัย
“เอ้า นายไม่รู้ว่าประวิทย์เป็นเกย์เหรอวะ”
ปริมลดาทำหน้างง “เรา 2 คนคิดว่านายรู้ซะอีก”
“แล้วฉันจะรู้ได้ไง มันก็ดูเหมือนผู้ชายปกติ ใครจะไปคิดว่ามันเป็น อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน คนเค้าคงไม่คิดว่าฉันเป็นด้วยหรอกนะ”
ปริมลดายิ้มขำ “ก็ถ้าใครคิดว่านายเป็น ฉันจะแก้ข่าวให้ก็แล้วกัน”
“ทำไมดู 2 คนท่าทางไม่แปลกใจ อย่าบอกนะว่ารู้อยู่แล้ว”
“ไม่รู้ก็บ้า เห็นชัดขนาดนั้น ว่าประวิทย์เอาใจใส่ดูแลนายสุดฤทธิ์”
เอกราชทำท่าขนลุก “พอเถอะ อย่าไปพูดเรื่องมันเลย คิดแล้วขนลุก”
“แสดงว่าตอนนี้นายก็เลิกคบกับประวิทย์ ไม่แรงไปหน่อยเหรอวะ” ตุลเทพ ไม่วายกังวล
“แล้วที่มันทำกับฉัน มันยังแรงไม่พอเหรอ”
“แต่ประวิทย์สนิทกับนาย แล้วรู้เรื่องของนายทุกอย่างนะ”
ปริมลดาพลอยกังวลไปด้วย ตุลเทพรีบพูดเสริม
“แล้วยังจะเรื่องนังผีนั่นอีก ถ้าประวิทย์มันเกิดแค้น แล้วเอานั้นไปบอกใคร พวกเราแย่แน่”
เอกราชที่ได้ฟังทั้งคู่พูดถึงกับอึ้ง คิดไม่ถึงจริงๆ

บรรยากาศในบาร์เกย์ยามค่ำคืนคึกคักไปด้วยนักท่องราตรีชายที่หลงใหลในเพศเดียวกัน
ประวิทย์นั่งซึมอยู่ที่โต๊ะ มีเด็กหนุ่มหน้าตาดีกำลังเอามือจับแผลด้วยความเป็นห่วง
“น่าสงสารจัง ทำไมแฟนพี่เค้าใจร้ายกับพี่แบบนี้”
ประวิทย์หน้าเศร้า “อย่าไปเรียกเค้าว่าแฟนฉันเลย แค่เพื่อนเค้ายังไม่อยากเป็น
“พี่เสียใจมากใช่มั้ยที่เค้าทำกับพี่แบบนี้”
“เสียใจงั้นเหรอ” ประวิทย์แค่นยิ้ม “แค่เสียใจมันยังน้อยไป มันเหมือนกับทุกอย่างที่ฉันเคยพยายามทำ มันไม่มีความหมาย แล้วฉันก็รู้สึกว่าฉันโง่ ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเค้า”
พูดพลางจะคว้าเหล้าขึ้นดื่มแต่เหล้าหมด เด็กหนุ่มรีบเอาใจ
“ถ้าดราม่าพี่ขนาดนี้ ผมว่าแค่นี้ไม่พอสำหรับพี่หรอก เดี๋ยวผมไปจัดแรงๆ ให้”
เด็กหนุ่มลุกเดินออกไปเอาเหล้าใหม่ ประวิทย์คอตกรู้สึกแย่มากๆ หยิบแก้วเหล้าขึ้นมามองอย่างไร้จุดหมาย แต่สิ่งที่มองทะลุผ่านแก้ว กลับกลายเป็นภาพผีริลณีที่เดินผ่านไปด้านหน้า เขาผงะ ตกใจ รีบเงยหน้ามอง เมื่อไม่เห็นผีริลณีอยู่ตรงนั้น ก็ถอนหายใจโล่งอก โดยไม่เห็นว่าผีริลณีปรากฏขึ้นด้านหลัง มองจ้องเขาด้วยสายตาน่ากลัว ปนสมเพช
เด็กหนุ่มเดินเข้ามานั่งตักพร้อมยื่นแก้วในมือให้ ประวิทย์รับเครื่องดื่มแก้วใหม่ไป ก่อนจะหันไปบอกเด็กหนุ่ม
“จำไว้ อย่ารักใครจนเยอมทำทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่ชั่วร้ายที่สุด เพราะถ้าเค้าไม่เห็นค่า มันจะเป็นเรื่องที่เศร้าเพราะเรากลับไปแก้ไขเรื่องที่ทำไม่ได้แล้ว”
ประวิทย์ดื่มเหล้าพรวดเดียวหมดแก้ว เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นผีริลณีที่ยืนอยู่ด้านหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ จังหวะที่กำลังจะอ้าปากร้อง ก็ถูกผีริลณีจ้องตาสะกดจิต เด็กหนุ่มชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปคุยกับประวิทย์ด้วยดวงตาที่แปลกไป
“แล้วพี่จะทำยังไงต่อไป”
ประวิทย์ตอบเศร้าๆ “ฉันยังไม่รู้เลย”
ผีริลณีเดินมาข้างๆ ก่อนจะพูดกระซิบข้างหู เหมือนบอกให้ชายเด็กหนุ่มพูดตาม
“นายต้องแก้แค้น อย่าปล่อยให้เค้าทำเราเจ็บฝ่ายเดียว”
เด็กหนุ่มหันมาพูดกับประวิทย์ ด้วยน้ำเสียงหลอนๆ
“ถ้าเค้าทำพี่เจ็บแบบนี้ ผมว่าพี่ต้องแก้แค้น อย่าปล่อยให้เค้าทำเราเจ็บฝ่ายเดียว
ผีริลณีพูดต่อ “นายต้องเอาคืน”
เด็กหนุ่มพูดตาม “พี่ต้องเอาคืน”
ประวิทย์ชะงักไปนิด “เอาคืน เอาคืนยังไง”
เด็กหนุ่มพูดกับประวิทย์โดยไม่มีเสียง แต่เป็นเสียงของผีริลณีแทน
“ก็ทำให้คนที่ทำเราเจ็บ เจ็บยิ่งกว่าเราเป็นสิบเท่า ในเมื่อรักกันไม่ได้ ก็เกลียดกันไปเลยก็แล้วกัน”
“ละ แล้ว ฉันควรทำยังไง”
ผีริลณียิ้มร้าย
“นายรู้จักเค้าดีนี่ นายก็ต้องรู้สิ ว่าเรื่องอะไรจะทำให้คนๆ นั้นเจ็บปวดมากที่สุด”
“เรื่องที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดงั้นเหรอ”

ประวิทย์ทวนคำใคร่ครวญครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบมองไปที่โทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่

อ่านต่อหน้า 4

นางชฎา ตอนที่ 14 (ต่อ)

เสียงโทรศัพท์ดังระรัว ชมพูเห็นชื่อรับสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงขุ่น

“ฮัลโหล”
ประวิทย์พูดอย่างร้อนรน “ฉันจะบอกความจริงเรื่องริลณีทุกอย่าง”
ชมพูอึ้งตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นไม่เชื่อโดยทันที
“จะมาไม้ไหนอีกล่ะ ลูกพี่นายสั่งให้ทำใช่มั้ย ไปบอกเค้าเลยนะว่าไม่มีทางที่ฉันจะหลงกลอีก ฉันไม่แจ้งความคราวที่แล้วก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“ไม่เกี่ยวกับเอกราช มีแค่ฉันคนเดียว ฉันอยากสารภาพความจริง”
ชมพูได้ฟังประวิทย์พูดแบบนั้นก็แปลกใจ “ทำไม”
“เราก็แค่ต้องการแก้ไขในสิ่งที่เคยทำผิด แล้วก็แก้แค้นคนที่ทำให้เราเสียใจ”
“หมายความว่ายังไง นายทะเลาะกับพวกนั้นเหรอ” ชมพูย้อนถาม
“เอาเป็นว่าเราแค่อยากบอกความจริงทั้งหมดก็พอแล้ว”
“แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไง ว่านายไม่มีแผนอะไรเหมือนเอกราช”
“งั้นเธอก็ถามเตชินสิ ว่าใครเป็นคนโทร.บอกเค้าให้ไปช่วยเธอ”
ชมพูขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ประวิทย์รีบพูดต่อรอง
“แต่มีข้อแลกเปลี่ยน ถ้าฉันบอกเรื่องที่พวกเราทุกคนทำกับริลณี เธอจะต้องกันฉันเป็นพยาน ฉันไม่อยากติดคุก สัญญาได้มั้ย”
ชมพูคิดนิดหนึ่งก่อนตัดสินใจตอบ “ก็ได้ ฉันจะพยายามช่วย”
จากนั้นก็กดวางโทรศัพท์ หน้าเครียด ด้วยยังไม่ค่อยแน่ใจนัก
ประวิทย์ยังอยู่ในบาร์เกย์ ยืนมองโทรศัพท์ที่เพิ่งวางไปด้วยสายตาเจ็บปวด ปนแค้น
“ไหนๆ ก็จะเกลียดกันแล้ว ก็เกลียดกันให้สุดๆ เลยละกัน”
พูดเสร็จก็ถอนหายใจเศร้า โดยไม่เห็นว่าผีริลณียืนอยู่ในมุมมืด ยิ้มด้วยความสะใจ

ชมพูเดินเข้ามาหาเตชินที่นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลด้วยความสงสัย
“จริงเหรอคะ ที่ประวิทย์เป็นคนโทร.บอกให้พี่เตชินมาช่วยชมพู”
“ใช่ครับ พี่คิดว่าเค้าคงมีปัญหาบางอย่างกับเอกราช”
ชมพูพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะรีบบอกต่อ
“เมื่อกี๊เค้าโทร.มาบอกชมพูว่า จะยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่พวกเค้าทำกับริลณีให้ฟัง พี่เตชินไปกับชมพูนะคะ”
“ถึงชมพูไม่ขอ พี่ก็จะไป”
เตชินพูดอย่างมุ่งมั่นเอาจริง

ประวิทย์ออกมายืนระบายอารมณ์ที่มุมหนึ่งของบาร์เกย์ มือถือวางอยู่ใกล้ๆ ตัว ขณะกำลังมองเหม่อ หางตาก็เหลือบเห็นผีริลณีในกระจก แต่พอหันไปมองกลับไม่มีอะไร เขารู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
ครู่หนึ่งเด็กหนุ่มคนเดิม ก็เดินเข้ามาหา
“ออกมาคุยกับใครอยู่ตั้งนาน”
ผีริลณีปรากฏร่างออกมา ใช้พลังทำให้โทรศัพท์ของประวิทย์กดโทร.ออก
“ก็นายบอกให้พี่แก้แค้น พี่ก็เลยจัดให้เค้าชุดใหญ่ รับรองว่าเค้าจะลืมพี่ไม่ลงแน่”
“พี่ทำอะไรเหรอ”
ประวิทย์ยิ้มร้าย
“ขายความลับไง ความลับที่ไม่มีใครควรรู้ ความลับที่ทำลายอนาคตทุกคนได้ พีขายมันเพื่อตัวพี่จะได้รอด”
เด็กหนุ่มยิ้มเอาใจ
“มันต้องอย่างนี้สิพี่ พี่นี่เจ๋งสุดๆ เลย งั้นคืนนี้ผมต้องให้รางวัลพี่ชุดใหญ่ซะแล้ว”
พูดจบก็เข้าไปกอด ประวิทย์รีบกอดตอบ ทั้งสองจะก้มหน้าเข้าไปใกล้กันโดยไม่เห็นว่าโทรศัพท์ของประวิทย์ถูกกดโทร.ออกอยู่

อีกฟาก เอกราชยืนถือโทรศัพท์มือสั่นด้วยความโกรธแค้น ค่อยๆ ลดโทรศัพท์ลงและกดตัดสายไป กำโทรศัพท์แน่นราวกับจะบีบให้แหลกคามือให้ได้
“ไอ้ประวิทย์ แกคิดจะหักหลังฉันงั้นเหรอ”

เตชินแต่งตัวอย่างเร่งร้อน โดยไม่สนใจบาดแผลอยู่ที่หลัง
“น้องชมพูโทร.ไปคอนเฟิร์มนัดกับประวิทย์แล้วใช่มั้ยครับ”
ชมพูพยักหน้ารับ “โทร.ไปแล้วค่ะ เค้าบอกว่าจะรอที่ร้านอาหารของเค้า”
“แล้วเค้าไม่มีปัญหาใช่มั้ยครับ ที่พี่จะไปด้วย”
“ไม่มีค่ะ แต่ต้องเป็นพี่เตชินคนเดียวเท่านั้น ถ้าคนอื่นมาเค้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น พี่เตชินไหวมั้ยคะเนี่ย”
เตชินยิ้มตอบ

“ไม่ไหวก็ต้องไหวครับ เพราะนี่คือช่วงเวลาสำคัญที่สุด เราจะได้รู้สักทีว่าใครเป็นคนฆ่าริน

ร้านอาหารของประวิทย์แขวนป้ายหน้าร้านว่าปิด ด้านในทั้งมืดและเงียบ เจ้าของร้านนั่งอยู่ในร้านเงียบๆ คนเดียว กำลังอ่านไดอารี่ที่ตัวเองเขียนทบทวนความจำ

“นี่เป็นการเขียนไดอารี่ที่ผมไม่ควรเขียน แต่ผมจำเป็นต้องเขียนมันไว้ เพื่อเป็นหลักฐาน การยืนยัน และเตือนความจำตัวเองเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่ง ผม เอกราช ตุลเทพ เชิงชาย ปริมลดาและหงส์หยก ได้ร่วมกันฆ่าคนคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ แม้มันจะเป็นความผิดพลาดที่ไม่อยากให้เกิด แต่เราทุกคนก็ต้องยอมรับว่า พวกเราทั้ง 6 คน เป็นคนทำให้ ริลณีต้องตาย”
อ่านมาถึงตรงนี้ เสียงกริ่งหน้าร้านดังขึ้น ประวิทย์สะดุ้งตกใจมองนาฬิกาอย่างแปลกใจนิดๆ
“ทำไมมาเร็วจัง”
เขามองไดอารี่หน้าตาครุ่นคิด ตัดสินใจเดินหายเข้าไปอีกส่วนของร้าน แล้วเดินกลับออกมาโดยไม่มีไดอารี่ในมือแล้ว จากนั้นก็รีบเดินไปเปิดประตูทันที

พอประตูเปิดออก กลับเห็นเอกราชยืนอยู่ ประวิทย์ถึงกับตกใจ อึ้ง จนทำอะไรไม่ถูก
“นะ...นะ...นายมาทำอะไร”
เอกราชแกล้งมองหน้าประวิทย์อย่างสำนึกผิด
“ฉันอยากจะมาขอโทษ เรื่องที่ฉันทำกับนายเมื่อวันก่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่ตกใจมากไปหน่อยเท่านั้นเอง”
ประวิทย์มองเอกราชอึ้งๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาพูดแบบนี้
“นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยขอโทษใคร อย่าโกรธกันเลยนะ”
เอกราชจะเดินเข้ามาจับมือขอโทษ แต่ประวิทย์ถอยหลังไม่ยอมให้จับ ฝ่ายแรกถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
“ฉันรู้ว่าฉันทำกับนายมากเกินไป ถ้านายยังให้โอกาส ฉันก็อยากจะขอโทษนายจริงๆ นายเป็นเพื่อนรักที่สุดของฉัน ถ้านายเกลียดฉัน ฉันก็คงไม่เหลือใคร”
ประวิทย์ยังยืนนิ่ง แต่เริ่มใจอ่อน เอกราชเล่นละครต่อ
“เอาเถอะ ถ้านายจะไม่ให้อภัยฉัน ฉันก็เข้าใจ”
พูดเสร็จก็เดินหันหลังคอตกกำลังจะเดินออกไป ประวิทย์ใจสั่น หวั่นไหว มองตาม รู้สึกสับสน ปั่นป่วนหัวใจ ไม่รู้จะทำยังไง ก่อนจะตัดสินใจตะโกนเรียก
“เดี๋ยว”
เอกราชหยุดเดินยิ้มร้ายสมใจ ก่อนจะหันไปหาประวิทย์ด้วยสีหน้าเศร้า
“แล้วนายรับที่ฉันเป็นได้แล้วเหรอ”
“คนที่เป็นเพื่อน ไม่ว่าเค้าจะเป็นยังไงเค้าก็เป็นเพื่อนใช่ป่าววะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาย ที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ตอนนี้ไม่ว่านายจะเป็นอะไรฉันไม่สนหรอก”
เอกราชมองหน้าประวิทย์ด้วยสายตาจริงจังสุดๆ จนฝ่ายหลังยิ้มออกมาได้ ดีใจที่เขาเข้าใจและยอมรับ

เสียงข้อความดังเตือนที่มือถือ ชมพูอ่านก่อนจะหันมามองหน้าเตชินที่กำลังขับรถอย่างตกใจ
“ประวิทย์ส่งข้อความมาว่า วันนี้ไม่ว่าง ขอเลื่อนนัดไปก่อน”
เตชินทำหน้าแปลกใจ
“เลื่อนไปก่อน ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าก็ยังยืนยันการนัดเนี่ยนะ พี่ว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
“หรือเค้าจะเปลี่ยนใจไม่บอกเรื่องนี้เราคะ”
เตชินนิ่งคิด “ก็เป็นไปได้”
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะพี่เตชิน”
“พี่ไม่ยอมหรอก ยังไงเค้าก็ต้องบอกเรื่องนี้กับเรา วันนี้ด้วย”
“ดีค่ะ งั้นเราก็ไปหาเค้า ถ้าเค้าไม่ยอมพูด ชมพูจะเป็นคนบังคับเค้าให้พูดเอง”
วิญญาณของริลณีปรากฏตัวที่เบาะหลังรถ มองเตชินและชมพูที่กระตือรือร้นจะไปหาประวิทย์ แล้วยิ้มสะใจ
“ฉันไม่มีวันให้คุณไปขัดขวางความสุขของเพื่อนรักทั้งสองหรอกค่ะ”
ทันทีที่ริลณีพูดจบ รถของเตชินก็เครื่องยนต์ดับไปเฉยๆ แม้เขาจะพยายามจะสตาร์ทเครื่องใหม่ แต่ทำยังไงๆ ก็ไม่ติด
“ทำไมอยู่ดีๆ รถก็มาเสีย แปลกมาก”
“สงสัยเราจะไม่ได้ไปจริงๆ แล้วมั้งคะ”
เตชินไม่ยอมแพ้ “ก็ไม่ได้มีแต่รถคันนี้นี่ ที่ทำให้เราไปหาประวิทย์ได้”
พูดจบก็รีบลงจากรถ แล้วเดินไปริมถนนแล้วพยายามโบกแท็กซี่ แต่ยังไม่มีคันไหนจอด ชมพูลงจากรถ ไปช่วยเรียกด้วย ผีริลณีมองทั้งสองอย่างไม่พอใจนิดๆ ก่อนจะหายตัวไป

ประวิทย์ยืนมองข้อความที่เพิ่งส่งไปให้ชมพูอย่างรู้สึกผิด เอกราชเดินเข้ามายื่นหน้าเข้ามามองดูโทรศัพท์อย่างใกล้ชิดสนิทสนม โดยจงจำทำให้ดูเกินเพื่อน จนอีกฝ่ายรู้สึกเขิน แต่พยายามเก็บอาการ
“นายนัดใครไว้รึเปล่า นี่ฉันมากวนเวลานัดของนายใช่มั้ย”
ประวิทย์รีบบอก “ไม่เป็นไรหรอก เลิกนัดไปแล้ว ไม่ใช่นัดสำคัญอะไร”
“งั้นนายก็ยังเห็นว่าเรื่องของเราสำคัญที่สุด แสดงว่านายหายโกรธฉันแล้วใช่มั้ย”
ประวิทย์มองหน้าเอกราชอย่างจริงจัง
“ถ้าเรื่องของนายไม่สำคัญ แสดงว่าคนอื่น ก็คงไม่มีความหมายอะไรกับฉันแล้ว”
เอกราชแกล้งยิ้ม
“นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันจริงๆ ฉันจะยังไว้ใจจะเชื่อใจนายได้เหมือนเดิมใช่มั้ย นาย
จะไม่มีวันหักหลังฉันใช่มั้ย”
ประวิทย์คิดนิดหนึ่ง ก่อนตอบ “ฉันจะไม่หักหลังนาย”
“นายสัญญาว่าจะไม่เล่าความลับของพวกเราให้ใครฟัง”
ประวิทย์สะดุ้งนิดๆ หลังชาวาบ ก่อนจะสารภาพออกไปด้วยควงามรู้สึกผิด
“ฉันจะไม่พูด แต่จริงๆ ฉันก็เกือบพูด ถ้านายไม่มาก่อนฉันก็คงจะพูดเรื่องนั้นไปแล้ว”
เอกราชมองประวิทย์ยิ้มๆ แบบไม่ถือโกรธ
“ไม่เป็นไรๆ เพราะฉันผิดเอง ถ้าฉันไม่ทำให้นายรู้สึกแย่มาก นายคงไม่คิดทำแบบนั้น เรื่องมันผ่านไปแล้ว เรามาเริ่มต้นใหม่กัน ยังไงเรา 2 คนก็ยังเป็นเพื่อนกัน”
“นายไม่โกรธฉันจริงๆ นะ” ประวิทย์ถามย้ำ
“ไม่โกรธหรอก แต่นายต้องทำอะไรให้ฉันอย่างนึง”
ประวิทย์แอบกังวล “อะไรเหรอ”
“คือตอนนี้ฉันหิวมากเลย นายช่วยทำอะไรอร่อยๆ ให้ฉันทานหน่อยได้มั้ย”
ประวิทย์มองหน้าเอกราชขำๆ ก่อนจะตอบอย่างมีความสุขที่สุด

“ได้สิ”

รถแท็กซี่วิ่งผ่านไปฉิวๆ ไม่มีใครจอดรับเตชินและชมพูเลย ทั้งคู่หันมองหน้ากันอย่างสงสัย ที่แท้แล้วคนขับรถแท็กซี่กำลังจะจอดรับ แต่เมื่อเห็นผีริลณียืนอยู่ข้างหลังเต็มๆ ตา ก็รีบแล่นออกไป โดยไม่มีใครกล้ารับทั้งคู่

ส่วนในครัวของร้านประวิทย์ มีมีดขนาดต่างๆ แขวนเอาไว้ บนเตามีหม้อน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ และเส้นสปาเก็ตตี้ ที่กำลังจะเตรียมต้ม รวมทั้งเครื่องปรุงต่างๆ ที่ถูกจัดเตรียมอย่างสวยงามวางใส่จาน ประวิทย์จัดเตรียมของพวกนั้นอย่างมีความสุข
สักครู่เอกราชเดินเข้ามาพร้อมด้วยไวน์ และแก้ว 2 ใบ หน้าตาร่าเริง
“ระหว่างที่รออาหาร เรา 2 คนก็มาจิบไวน์รอไปพลางๆ ก่อนดีกว่า ไม่ยักรู้ว่านายมีไวน์ดีๆ แบบนี้เก็บไว้ด้วย”
ประวิทย์พูดเขินๆ “ฉันก็ซื้อเก็บเอาไว้ให้นายน่ะแหละ เห็นว่านายชอบ”
“นายนี่เป็นคนที่รู้ใจฉันที่สุดจริงๆ งั้นเรามาดื่มฉลองมิตรภาพของเรา 2 คน”
ประวิทย์ยิ้มให้ หันไปเตรียมอาหารต่อ เอกราชเดินไปอีกมุมเปิดไวน์เทใส่แก้ว 2 ใบ เหลือบไปมองอีกฝ่าย เห็นว่ากำลังง่วนทำอาหารอยู่ ก็หยิบขวดยานอนหลับขวดเล็กๆ ออกมา แล้วเทยานั้นใส่แก้วไวน์ใบหนึ่งทันที ก่อนจะเดินเอาแก้วไวน์ใบนั้นมายื่นให้ประวิทย์
“แด่มิตรภาพของเรา”
ประวิทย์ยิ้มหวาน ชนแก้วตอบแล้วจิบไวน์ เอกราชจิบไวน์ของตัวเองลอบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาโหดเหี้ยม

รถแท็กซี่แล่นผ่านไป โดยไม่ยอมจอดรับ เตชินกับชมพูหน้าเครียด โดยไม่เห็นผีริลณีที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เอายังไงดีคะ พี่เตชิน”
“ถ้าหารถไม่ได้ พี่ก็จะเดินไป”
เตชินทำท่าจะเดินออกไปจริงๆ แต่ชมพูวิ่งไปจับแขนไว้
“ใจเย็นๆ ค่ะพี่เตชิน ขอชมพูลองทำอะไรสักอย่างนะคะ” พูดพลางรีบก็ยกมือไหว้ “ขอ
อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษา ขอให้ช่วยลูกปัดเป่าอุปสรรคที่ขัดขวาง ขอให้เรา 2 คนได้เดินทางไปยังที่ที่เราตั้งใจ และทำในสิ่งที่เรามุ่งหวังสำเร็จเถิด”
ทันทีที่ชมพูอธิษฐานจบ ก็บังเกิดแสงสีทองส่องเข้ามา ผีริลณีที่ยืนอยู่ไม่สามารถทนความร้อนแรงของแสงนั้นได้ จำเป็นต้องหายไปจากตรงนั้น พร้อมกับรถแท็กซี่ที่แล่นเข้ามาจอดรับ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะเนี่ย”
“ชมพูก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันค่ะ”
ทั้งคู่รีบขึ้นรถ ก่อนที่รถแท็กซี่จะแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

ประวิทย์กำลังจะเอาเส้นสปาเก็ตตี้ต้มในน้ำที่เดือด อยู่ดีๆ ก็รู้สึกมึนๆ หัวหนักและง่วงขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ สายตาที่มองไปรอบๆ เริ่มมึนๆ ง่วงงุน เบลอๆ งงๆ เขารีบวางเส้นสปาเกตตี้ลง เดินออกมาจากเตาไฟ เพื่อหาที่พัก ก่อนจะเห็นริลณีปรากฏกายตรงหน้า
ประวิทย์พยายามจะหนีแต่ก็หนีไม่ไหว รีบจับที่เครื่องรางห้าแฉกที่สวมคอไว้ป้องกันตัวไว้
“อย่าเข้ามานะ แกทำอะไรฉันไม่ได้”
“ก็แล้วใครว่าฉันจะทำอะไรนายล่ะ วันนี้ฉันแค่มาดูนายตายเท่านั้น”
ประวิทย์มองอย่างเย้ยหยันเป็นเชิง “ฉันไม่มีวันตาย แกฆ่าฉันไม่ได้ นังผีร้าย”
ผีริลณียิ้มเยาะ
“แล้วนายคิดว่าคนที่อยากฆ่านายมีฉันคนเดียวงั้นเหรอ ประวิทย์ผู้น่าสงสาร ตานายก็ยังมืดบอดเพราะความรักเหมือนเดิม”
ขาดคำก็หัวเราะสะใจพร้อมเดินเข้ามาใกล้ๆ ประวิทย์ถอยหนี พยายามจะหยิบอุปกรณ์ครัวใกล้ตัวขึ้นมาป้องกันตัว แต่หยิบไม่ได้
“คนบางคนคิดว่าตัวเองฉลาด แต่กลับต้องมาโง่ เพราะโดนคนที่ตัวเองรักและเชื่อใจหลอก เหมือนฉันที่เคยไว้ใจพวกแก เพราะเห็นว่าเป็น เพื่อน...เพื่อนที่ไม่ควรจะทำร้ายกัน แต่พวกแกก็ทำร้ายฉัน ฆ่าฉันอย่างเจ็บปวดทรมาน และความเจ็บปวดนั่น นายก็กำลังจะได้รับไม่ต่างจากฉัน”
“แกพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“เดี๋ยวนายก็รู้ ว่าฉันหมายถึงอะไร”
ผีริลณียิ้ม พลางหันไปมองเอกราชที่เดินเข้ามาในห้อง ประวิทย์หันไปมองตาม แล้วก็ยิ้มดีใจที่สุด เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะมาช่วย
“นายช่วยฉันด้วย ผีริล....”
ประวิทย์ยังพูดไม่ทันจบคำ ก็ต้องชะงัก แปลกใจเมื่อเห็นเอกราชเดินไปหยิบมีดแล้วเดินตรงเข้ามาหาเขา ด้วยหน้าตาคุกคามประสงค์ร้าย เกย์อีแอบพยายามถอยหนี แต่ทำได้ลำบาก
“นะ...นะ...นายจะทำอะไร”
เอกราชเดินถือมีดเข้ามาใกล้ๆ
“ในฐานะที่นายเป็นเพื่อนที่สนิทและรู้ใจฉันมากที่สุด นายรู้มั้ยว่าฉันเกลียดอะไรมากที่สุด”
ประวิทย์หันไปมองผีริลณีที่ยืนมองอยู่ ก่อนจะหันกลับมามองเอกราช ด้วยความรู้สึกกลัวยิ่งกว่าผี
“ฉะ...ฉันไม่รู้”
“นายต้องรู้สิ ว่าฉันเกลียดการถูกหักหลังมากที่สุด ฉันเคยบอกนายแล้วใช่มั้ย ว่าจะไม่มีใครทำอะไรฉันได้ ฉันจะต้องรอด เข้าใจมั้ย ฉันจะต้องรอด”
ประวิทย์ตกใจกลัว พยายามจะถอยหนี
“ฉันไม่มีวันยอมปล่อยให้นายเอาเรื่องของฉันไปบอกใครที่ไหนหรอก แล้วทางเดียวที่จะปิดปากนายได้สนิทก็คือ ฆ่านายซะ”
ประวิทย์ตกใจ ตาเบิกโพลง ไม่อยากเชื่อ เอกราชยิ้มเหี้ยม
“ขอโทษนะ ฉันเก็บนายไว้ไม่ได้จริงๆ”
พูดเสร็จก็เอามีดเล่มเล็กที่ถือไว้ในมือ แทงเข้าที่ท้องของประวิทย์จนมิดด้าม แล้วบิดมีดจนประวิทย์สะดุ้งเฮือก ตาเหลือกลานด้วยความเจ็บปวด
เอกราชมองประวิทย์ด้วยหน้าตาอำมหิตผิดมนุษย์
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะไม่ทำให้นายเจ็บปวดนาน ฉันจะทำให้นายตายเร็วที่สุด”
พูดพลางหันไปหาอุปกรณ์ ก่อนจะเห็นมีดเล่มใหญ่วางอยู่ ประวิทย์ที่ยังมีสติ เหลือบไปมองหม้อที่มีน้ำเดือดอยู่บนเตา ค่อยๆ เอื้อมมือไปจับหม้อนั้น พยายามยกขึ้น แล้วสาดไปทางเอกราชที่กำลังหามีดอยู่
เอกราชโดนน้ำร้อนสาดตรงขา แม้ไม่มากนัก เพราะประวิทย์ไม่มีแรงยกมากแล้ว ร้องครวญครางด้วยความปวดแสบปวดร้อน
ประวิทย์ฉวยโอกาสหนีออกไปจากห้องครัว เพื่อขอความช่วยเหลือ ผีริลณียืนมองเอกราชที่พยายามฆ่าประวิทย์ และประวิทย์พยายามเอาตัวรอดก็หัวเราะอย่างสะใจ
“ดูคนฆ่ากันสนุกอย่างนี้เอง”
เสียงหัวเราะของริลณีดังกึกก้องไปทั่วร้าน ประวิทย์หนีรอดออกไปจากห้องครัวสำเร็จ

เอกราชตั้งสติ เห็นอีกฝ่ายหนีออกไปได้ ก็หันไปหยิบมีดเล่มใหญ่ แล้วรีบตามออกไปทันที

ประวิทย์พยายามกระเสือกกระสนไปที่ประตู แต่ผีริลณีปรากฏร่างมาขวางทางไว้ไม่ให้ออก

“จะรีบหนีไปไหนล่ะ ยังไม่ถึงตอนจบเลย อีกเดี๋ยวนายก็จะได้เข้าใจความรู้สึกของฉันแล้ว”
“ไม่ หลีกไปนะ”
ผีริลณีหัวเราะสะใจยืนขวางประตูไว้ไม่ให้หนี ประวิทย์หันกลับพยายามจะหนีไปอีกทาง เมื่อเห็นเอกราชเดินถือมีดใหญ่เข้ามา จึงพยายามจะอ้อนวอนครั้งสุดท้าย
“อย่านะเอกราช อย่าทำอะไรฉัน ฉันรักนายนะ ฉันไม่มีวันหักหลังนาย”
“ไอ้โกหก ฉันได้ยินเต็ม 2 หู นายขายความลับเพื่อที่ตัวนายจะได้รอด”
“ก็ตอนนั้นฉันนึกว่านายเกลียดฉัน”
เอกราชถลึงตาใส่ “ตอนนี้ฉันก็ยังเกลียดนายอยู่ นายคิดเหรอว่าฉันจะยอมให้คนวิปริตผิดเพศอย่างนายมาอยู่ใกล้ฉัน นายมันหมดประโยชน์กับฉันแล้วประวิทย์ ลาก่อน”
พูดจบก็เงื้อมือที่ถือมีดเล่มใหญ่ขึ้นสุดแขน ประวิทย์หมดแรง หนีไปไหนไมได้แล้ว จดสายตามองตามคมมีด พร้อมกับพยายามจะยกมือไหว้อ้อนวอน น้ำตาไหลพราก ทั้งกลัว ทั้งเจ็บปวด
“อย่าฆ่าฉันเลย ฉันรักนายนะ”
ผีริลณียืนมองยิ้มเยือกเย็น อย่างสุขล้น
“ลาก่อนประวิทย์”
ขาดคำขอริลณี เอกราชก็ฟันมีดเล่มใหญ่ลงที่คอประวิทย์เต็มแรง
ประวิทย์ตาเหลือกค้าง มองเอกราชด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย ร่างล้มลงกับพื้นหัวที่ขาดกระเด็นออกจากร่าง
เอกราชยืนเหนื่อยหอบ มองประวิทย์ด้วยความสมเพช เดินเข้าไปยังศพไร้คอที่ยังมีเครื่องรางห้าแฉกห้อยคออยู่ หยิบสร้อยคอนั้นออกมาถือไว้
“จริงๆ นายก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์กับฉันซะทีเดียวหรอก”
เขามองเครื่องรางที่อยู่ในมืออย่างสมใจ แล้วเดินออกไปจากร้าน โดยไม่เห็นผีริลณีที่ยืนยิ้มอยู่ มองการฆ่ากันของทั้งสองอย่างมีความสุข

รถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าร้านของประวิทย์ เตชินและชมพูรีบลงมาจากรถ เดินเข้าไปที่ร้าน ทั้งคู่แปลกใจเมื่อพบว่าร้านปิดเงียบ ทั้งคู่มองหน้ากันรู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง เตชินจะเปิดประตูเข้าไป ชมพูห้ามไว้
“แน่ใจนะคะพี่เตชิน ชมพูรู้สึกสังหรณ์ใจอะไรแปลกๆ”
“แต่ถ้าเราไม่เข้าไป เราก็ไม่รู้”
ชมพูพยักหน้า เตชินจับลูกบิดประตู ค่อยๆ หมุน ก่อนจะพบว่าประตูไม่ได้ล็อก
“คุณประวิทย์ครับ คุณประวิทย์ คุณอยู่ข้างในรึเปล่า”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ เตชินตัดสินใจเปิดประตู และทันทีที่ประตูค่อยๆ เปิดออกกว้างออก เลือดที่ไหลเจิ่งนองพื้น ก็ไหลออกมาข้างนอก ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างตกใจ
เตชินตัดสินใจเปิดประตูออก และภาพที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ทั้งคู่ถึงกับตะลึง ช็อกคาที่ ชมพูกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจถึงขีดสุด
“ประวิทย์”
เตชินโอบหน้าชมพูมาซบอก ไม่อยากให้เห็นภาพสยดสยองนั้น

เอกราชอาบน้ำล้างตัวสะอาดเอี่ยม เดินใส่ผ้าขนหนูตัวเดียวมาหยุดยืนที่หน้ากระจก หยิบเครื่องรางห้าแฉกที่ฉกมาจากศพประวิทย์มาใส่ที่คอ ชายชั่วมองตัวเองในกระจกแล้วยิ้มอย่างลำพองใจ

“นังริลณี ต่อจากนี้ แกไม่มีวันจะทำอะไรฉันได้อีกแล้ว”

อ่านต่อตอนที่ 15
กำลังโหลดความคิดเห็น