xs
xsm
sm
md
lg

นางชฎา ตอนที่ 10

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นางชฎา ตอนที่ 10

ชมพู และสร้อยหันมามองหน้ากันในอาการตื่นตะลึง เหมือนไม่อยากจะเชื่อ ครั้นพอทั้งคู่หันกลับไปมองจิตราอีกที กลับเห็นคุณหญิงนอนดวงตาเบิกโพลง จ้องมายังทั้งสองคนด้วยสายตาเหมือนหวาดกลัวอะไรถึงขีดสุด

ที่แท้ผีริลณีซึ่งยืนอยู่ด้านหลังระหว่างชมพูกับสร้อยพอดี จ้องมายังจิตราด้วยสายตาอันเจ็บปวด แต่น่ากลัว
จิตราตัวสั่น ความกลัวแล่นเข้าจับขั้วหัวใจ ส่งเสียงอือๆ อาๆ พยายามดิ้นหนีแต่ทำไม่ได้ เสียงเครื่องวัดหัวใจดังลั่นห้อง
สร้อยตกใจ “คุณหญิงเป็นอีกแล้วค่ะ คุณชมพู”
“รีบตามหมอ เร็ว”
สร้อยวิ่งออกไปจากห้องโดยเร็ว ชมพูวิ่งไปข้างเตียงจับมือจิตรากุมไว้
“คุณป้าทำใจดีๆ ไว้นะคะ”
แต่ดูเหมือนจิตราจะไม่ได้สนใจชมพูเลย ยังคงจดสายตามองริลณีที่เดินใกล้เข้ามาๆ จนมาหยุดที่ข้างเตียงคนละฝั่งกับชมพู พร้อมกับโน้มหน้าลงมาพูดข้างหูด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“อย่าพยายามเลย ไม่มีใครเชื่อที่คุณหญิงบอกหรอกค่ะ”
ใบหน้าในสภาพผีของริลณีห่างจากหน้าจิตราไม่ถึงคืบ คุณหญิงยิ่งช็อค ยิ่งกลัว ดิ้นทุรนทุรายอย่างยากเย็นเพราะอาการอัมพาต ชมพูพยายามจับตัวทั้งห้ามทั้งปลอบ
“คุณป้าเป็นอะไรคะ คุณป้า ใจเย็นๆ ค่ะ คุณหมอกำลังมานะคะ”
สักครู่ประตูเปิดออก หมอและพยายามวิ่งเข้ามา อาการที่ทุกคนเห็นคือจิตราเกิดอาการช็อคอย่างรุนแรง
ชมพูขยับออกห่างเตียงมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ริลณีที่ยืนอยู่ก่อนหน้า ทั้งผีทั้งคนมองจิตราด้วยความเป็นห่วง

ถัดมาสร้อยเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้อง ชมพูนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองกระดาษตัวอักษรที่ตัวเองเอามาให้จิตราอย่างครุ่นคิด พึมพำเบาๆ
“ทำไมคุณป้าถึงบอกพวกเราแบบนั้น”
สร้อยหันขวับมาตั้งท่าจะเม้าท์ “คุณชมพูไม่รู้อะไร ก็คุณรินน่ะ...”
สาวใช้ยอกนักสืบยังพูดไม่ทันจบ เตชินเดินหน้าเครียดเข้ามา สร้อยเลยต้องหุบปาก ชมพูรีบลุกเข้าไปหา
“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมอยู่ดีๆ คุณแม่ถึงช็อคขึ้นมาอีก”
ชมพูกับสร้อยมองหน้ากัน ก้มหน้ารู้สึกผิด ชมพูตัดสินใจบอก
“เป็นความผิดของชมพูเองน่ะค่ะ ที่ให้คุณป้าทำอะไรเกินกำลังไปหน่อย”
ชมพูยื่นกระดาษตารางอักษรและสระให้ เตชินรับไปดูงงๆ
“คือ...คุณชมพูรู้สึกเหมือนคุณหญิงอยากจะบอกอะไรพวกเรา ก็เลยใช้ตารางอักษร ให้คุณหญิงสะกดคำ” สร้อยมองชมพู ไม่กล้าเล่าต่อ “แล้วคุณหญิงก็บอกพวกเราว่า เอ่อ...”
ชมพูและสร้อยมองหน้ากันไม่มีใครกล้าบอก

ส่วนในห้อง หมอและพยาบาลกำลังช่วยชีวิตจิตรา โดยมีริลณียืนดูอยู่ข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง
จิตรายังอยู่ในอาการช็อค ดวงตาเหลือกลาน หายใจไม่ออก สุดท้ายหมดสติไป หมอรีบเข้าไปคลำชีพจรที่คอ
“ไม่มีชีพจรแล้ว เตรียมปั้มหัวใจ” หมอร้องบอก
พยาบาลหันไปเตรียมเครื่องมือ หมอกำลังจะเตรียมปั้มหัวใจด้วยมือ
ริลณียืนมองนิ่งอยู่ข้างเตียง ค่อยๆ เอื้อมมือไปวางตรงหัวใจจิตรา เพียงชั่วอึดใจ ร่างจิตราก็ผวาเฮือกเหมือนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ลืมตาขึ้นมาอย่างแจ่มใสเหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย
หมอกำลังจะปั้มหัวใจถึงกับผงะ งุนงง พยาบาลมองเครื่องวัดชีพจรด้วยความประหลาดใจ
“ชีพจรมาแล้วค่ะ เหมือนคนไข้จะกลับมาเป็นปกติแล้วค่ะ”
หมอและพยาบาลมองหน้ากันงงๆ ว่าเป็นไปได้ยังไง จิตรามองหมอกับพยาบาลตาปริบๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ส่วนริลณีมองจิตราด้วยความโล่งอก

ฝ่ายเตชินมองชมพูที สร้อยที ต้องการคำตอบ
“ตกลงคุณแม่บอกว่ายังไง”
สร้อยมองชมพูแล้วส่ายหน้าไม่กล้าพูด จนในที่สุดชมพูต้องพูดเอง
“คุณป้าท่านบอกว่า ริลณีเป็น...เอ่อ...เป็น...”
คำว่า ผี กำลังหลุดรอดออกจากปากชมพูรอมร่อ แต่ประตูห้องเปิดออกหมอและพยาบาลเดินออกมา เตชินรีบวิ่งเข้าไปหาหมอทันที
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”
หมอ กับพยาบาลเดินกลับไป เตชินรีบวิ่งเข้าไปในห้อง ชมพูกับสร้อยมองหน้าก่อนจะถอนหายใจโล่งอก
“หมอช่วยชีวิตนะเนี่ย ถ้าคุณเตชินรู้ว่าคุณหญิงบอกว่าอะไร มีหวังเหวี่ยงแน่”
ชมพูมองแผ่นกระดานอักษรในมือ “ฉันว่ากระดานนี้ไม่ได้เรื่องแล้วละ อย่าใช้มันอีกเลยนะ”
ชมพูเดินเอากระดานไปทิ้งลงถังขยะ แต่สร้อยรีบแย่งเอาไว้
“เก็บเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ สร้อยว่ามันมีประโยชน์”
“งั้นก็ตามใจ”
ชมพูยื่นกระดานให้สร้อย ตามเตชินเข้าห้องคนไข้ไป สร้อยมองกระดานครุ่นคิดติดใจไม่หาย

“คุณหญิงต้องการจะบอกอะไรกันแน่”

เย็นนั้นสร้อยแวะมาที่บ้านทรงไทย สมหมายกำลังนั่งเช็ดจานออกความเห็นหลังฟังจบ

“คุณหญิงอาจจะเกลียดคุณรินมาก จนเปรียบว่าคุณรินเป็นผีร้าย”
“แต่หนูว่าไม่หรอก...” เด็กสาวพูดด้วยเสียงหวาดกลัว “คุณหญิงคงเจอดีมากกว่า”
บรรยากาศในห้องอึมครึมขึ้นมาทันที สมหมาย สร้อย และหมูหวานมองตากันปริบๆ
“ไม่อยู่ไม่กี่วัน กล้านะเราเนี่ย” สร้อยมองไปรอบๆ ท่าทางหวั่นกลัว “ไม่กลัวเจอดีรึไง”
“ใครก็มาทำอะไรในห้องนี้ไม่ได้หรอก เพราะห้องนี้มีพระ”
หมูหวานชี้ไปที่ตู้มุมห้อง พบว่ามีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ตั้งบูชาอยู่
“รอบคอบกันมากเลยนะเนี่ย”
“มันก็ต้องกันไว้ดีกว่าแก้ละป้า เพราะขนาดคุณหญิง...”
สมหมายห้ามปราม “อย่าพูดอะไรไป ถ้าเราไม่รู้ความจริง เดี๋ยวปากจะพาซวยกันไปหมด”
“แล้วคุณเตชินอยู่กับคุณริน ทำไมถึงไม่รู้สึกแปลกอะไรเลย” สร้อยแปลกใจไม่หาย
“ก็เพราะ ความรักทำให้คนตาบอดไง” สมหมายว่า
หมูหวานถามขึ้น “พวกเราควรจะบอกคุณเตชินมั้ย”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ พวกเราจะอยู่รอดไปอีกกี่วันก็ไม่รู้” สมหมายมองไปรอบๆ
“ป้าไปถามคุณชมพูให้หน่อยสิ ว่าเมื่อไหร่ฉันกับพ่อจะได้กลับบ้านสักที”
“ถ้าคุณหญิงอาการไม่ดีขึ้น ฉันต้องดูแลคุณหญิง เธอกับพ่อก็ต้องดูแลคุณเตชินที่นี่ต่อไป”
สร้อยมองสมหมายและหมูหวาน อดสงสารไม่ได้ หมูหวานได้แต่ถอนใจเครียด

รถเตชินแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านชมพู โดยในรถ เตชินหันมามองชมพูที่นั่งด้านข้างๆ ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณน้องชมพูมากนะครับ ที่เสียสละเวลาไปช่วยดูแลแม่พี่ทุกวันแบบนี้”
“ก็ช่วงนี้พี่เตชินไม่มีเวลา แล้วรินก็มาดูแลคุณป้าไม่ได้ ชมพูก็ต้องทำหน้าที่เพื่อนที่ดีสิคะ”
“คงต้องให้เวลาคุณแม่สักพัก ท่านรักน้องชมพูมากจนยากที่คนอื่นจะมาแทนที่”
เตชินสะท้อนใจ บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันที
“ความรักทำลายอุปสรรคได้ทุกอย่าง พี่เตชินกับรินอย่าเพิ่งท้อนะคะ”
“ครับ” เตชินคิดขึ้นมาได้ “แล้วที่ชมพูจะบอกพี่ เรื่องที่คุณแม่ท่านมีเรื่องอะไรอยากบอก”
“อ๋อ เรื่องนั้น” ชมพูหน้าเสียไปนิดตัดสินใจไม่บอก “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“ต้องมีอะไรสิ ไม่งั้นน้องชมพูจะทำหน้าอย่างนั้นทำไม”
“มันค่อนข้างไร้สาระ บางทีชมพูอาจจะผสมคำผิดก็ได้ พี่เตชินอย่าไปสนใจเลย”
“บอกมาเถอะครับ พูดแบบนี้พี่ยิ่งอยากรู้”
“สัญญาก่อนนะคะ ว่าจะไม่โกรธชมพู”
“ครับ”
ชมพูสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะตัดสินใจพูด “คุณป้าท่านบอกว่า ริลณี...เป็น...ผี ค่ะ”
เตชินอึ้ง นิ่งงันไปเลย

ฝ่ายริลณียืนเครียดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน ค่อยๆ เปิดชุดนอนขึ้น เห็นสภาพผิวเน่าอย่างซากศพตรงบริเวณหน้าท้องขยายวงกว้างจากเดิมมากพอสมควร
ผีสาวนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ฆ่าคนร้าย 2 คน ขึ้นมา
คนหนึ่งถูกบีบคอแน่นจนคอหักดังกร๊อบ ร่างล้มกองลงไปนอนแน่นิ่งคาพื้น
ส่วนอีกคนริลณีใช้มือเปล่าแทงเข้าไปที่หน้าอกบริเวณหัวใจ บีบหัวใจจนมันสิ้นใจตายคามือ
ริลณีหน้าหมองจัด เอื้อมมือจับรอยแผลอันน่าเกลียดน่ากลัวอย่างเจ็บปวด
ประตูห้องนอนเปิดออกพอดี เตชินเดินเข้ามาในห้อง ริลณีตกใจรีบเอาเสื้อลงกลัวว่าเขาจะเห็นรอยแผล เตชินเห็นหน้าตาท่าทางตื่นกลัว ก็แปลกใจ
“ทำอะไรอยู่ครับ”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
ริลณีเดินออกมาจากหน้ากระจกเตชินเดินเข้าไปกอดจากด้านหลัง
“วันนี้คุณแม่มีอาการช็อคนิดหน่อย แต่หมอว่าไม่มีอะไรน่าห่วง ถ้า 2-3 วันหลังจากนี้ไม่มีอาการอะไรอีก ก็คงจะกลับบ้านได้แล้ว” เขาวางคางลงบนบ่าของเธอ “รินว่าเราสองคนควรย้ายกลับไปดูแลคุณแม่ที่บ้านดีมั้ยครับ”
“คุณก็รู้นี่คะว่า คุณแม่ท่านเห็นรินทีไร ก็เครียดทุกที”
“แต่ถ้าพวกเราไปดูแลท่านอย่างใกล้ชิด แล้วก็มีหลานเล็กๆ น่ารักๆ ให้ท่านสักสามสี่คน คุณแม่น่าจะต้องใจอ่อน เพราะท่านชอบเด็กจะตาย”
เตชินก้มลงจูบแก้ม กระชับวงกอดจนแนบแน่นด้วยอารมณ์ปรารถนา ริลณีหลับตาพริ้มรับสัมผัสนั้นอย่างมีความสุข เตชินจูบที่ซอกคออย่างอ่อนโยน เลื่อนมือเข้าไปในเสื้อของริลณีช้าๆ มือของเตชินลูบไล้ไปที่บริเวณแผลหน้าท้อง ริลณีตกใจลืมตาโพลง ผลักมือเขาออก ละตัวออกมาจากอ้อมกอดของเตชินทันที
เตชินแปลกใจมาก “ริน คุณเป็นอะไร”
ริลณีอึกอัก “ริน...ริน ....รินรู้สึกไม่ค่อยสบายเหมือนจะเป็นลมยังไงก็ไม่รู้”
เตชินขยับเข้าไปใกล้ด้วยความเป็นห่วง แต่ริลณีกลับยิ่งถอยห่างไม่ยอมให้จับตัว
“ขอรินนอนพักนะคะ”
ริลณีรีบขึ้นไปนอนบนเตียงห่มผ้า แล้วแกล้งหลับอย่างรวดเร็ว เตชินยังอึ้งๆ งงๆ มองริลณีด้วยความเป็นห่วง ปนแปลกใจและผิดหวังนิดๆ ชายหนุ่มถอนหายใจเดินไปปิดสวิทช์ไฟเหลือแต่โคมไฟเล็กในห้อง
“งั้นรินนอนพักนะครับ ผมจะไปทำงานต่อ”
เตชินลุกเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ประตูปิดลง

ริลณีรีบลุกขึ้นนั่งก้มมองแผลด้วยความเจ็บปวดสุดจะประมาณ น้ำตาไหลรินออกมา

ดึกสงัด มีเสียงดัง กึกๆๆๆ กังวานในห้อง เป็นเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาโบราณที่แขวนอยู่ในห้องทำงานเตชิน เข็มวินาทีเดินไปเรื่อยๆ ในตอนนั้นใกล้เวลาตีสามเต็มทีแล้ว

เตชินยังคงนั่งทำงานอยู่ท่าทางเคร่งเครียด
นาฬิกาเดินมาจนถึงเวลาตีสาม เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาสามครั้ง เตชินเงยหน้ามองเวลาแว่บเดียว แล้วก้มลงทำงานต่อ พลันเสียงเพลงไทยเดิมดังแว่วเข้ามาในห้อง เตชินถึงชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“เสียงเพลงไทยเดิม ดังมาจากไหน”

ภายในห้องนอนสองพ่อลูกที่เรือนคนใช้ยามนี้ หมูหวานกอดสมหมายตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เสียงเพลงไทยเดิมดังแว่วเข้ามาในห้องชวนให้ขนลุกขนพอง
“เพลงนี้ ดังตอนนี้อีกแล้ว”
“อยู่แต่ในห้องนี้แหละ อย่าออกไปไหน ปลอดภัยที่สุด”
สองพ่อลูกนั่งกอดกันด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ

ฝ่ายเตชินเดินออกมาจากห้องทำงาน พยายามฟังทิศที่มาของเสียงเพลงด้วยความแปลกใจ
“หรือจะมีงานที่ไหน แต่แถวนี้ไม่มีวัดนี่”
เตชินเดินไปที่หน้าต่างขณะกำลังฟังนั้น ผีริลณีซอยเท้าผ่านหลังไป เตชินหันขวับไปมอง ริลณีหายไปจากตรงนั้นแล้ว เตชินแปลกใจ พยายามฟัง ได้ยินเหมือนเสียงซอยเท้าดังอยู่ทั่วบ้าน เตชินตัดสินใจวิ่งตามเสียงซอยเท้านั้นทันที

ได้เวลาตีสาม อดีตนางรำคนสวยซอยเท้าถี่ๆ ท่วงท่าร่ายรำ แวบผ่านไปตามห้องต่างๆ ในบ้านอย่างรวดเร็ว เพื่อจะไปที่หลุมศพตัวเอง เตชินพยายามวิ่งตามเสียงซอยเท้านั้น แต่ก็ไม่ทันสักที
เท้าริลณีแวบผ่านไปตรงนอกชาน แล้วลงจากเรือนไป เตชินวิ่งตามมาเห็นหลังริลณีไวไว
“เฮ้ย นั่นใครน่ะ เข้ามาในบ้านได้ยังไง”
เตชินวิ่งลงจากบ้านตามไป

เตชินวิ่งมาหยุดในสวน โดยไม่รู้ว่าที่นี่เป็นหลุมศพริลณี พยายามสอดตามองหาแต่ไม่เห็นใคร ทั้งที่เสียงเพลงไทยยังดังอยู่
หากเขาหันหลังไปมอง คงจะเห็นริลณีกำลังร่ายรำอยู่บนหลุมฝังศพ
สักครู่หนึ่งเตชินรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนอยู่ด้านหลัง เขาหันหลังกลับไปช้าๆ เห็นจากหางตาไม่ถนัดนักว่ามีใครบางคนกำลังร่ายรำเข้ากับท่วงทำนองเพลง อยู่ทางด้านหลังจริงๆ
เตชินอยากรู้จึงหันขวับไปมองเห็นริลณีกำลังร่ายรำอยู่ ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันอย่างตะลึงพรึงเพริด
“ริน คุณมาทำ...”
เตชินยังถามไม่ทันจบคำ ก็มีกิ่งไม้ขนาดไม่ใหญ่มากนัก หักโค่นลงมากระแทกศีรษะเตชินอย่างแรง ร่างเตชินล้มลงหมดสติไปทันที
ริลณีมองเตชินอย่างเจ็บปวด “คุณไม่ควรมาเห็น รินในสภาพนี้เลย เตชิน”

ตอนเช้าตรู่ เสียงนกร้อง ท่ามกลางใบไม้ ดอกไม้เบ่งบานบาน ทำให้บริเวณสวนสวยนั้นดูสดใสต่างจากเมื่อคืนลิบลับ
“เตชินคะ เตชิน คุณมานอนทำไมตรงนี้คะ เตชิน”
เตชินลืมตาขึ้นช้าๆ ตามเสียงเรียก เห็นริลณีมองมาด้วยหน้าตาท่าทางเป็นห่วงเรียกให้ตื่น โดยมีสมหมายและหมูหวาน ยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“เป็นยังไงบ้างคะ”
เตชินยังงงๆ อยู่ “มีอะไรกันเหรอ ทำไมทุกคนต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นด้วย”
“จะไม่ให้เครียดได้ยังไงครับ ก็คุณเตชิน...” สมหมายหยุดปากเท่านั้น
เตชินมองไปรอบๆ พบว่าตัวเองนอนอยู่ในสวนของบ้านก็ตกใจ พอขยับตัวก็รู้สึกเจ็บแปลบจนต้องเอามือจับหัว
“โอ๊ย”
ริลณีรีบเข้าไปประคองและดูอาการเตชินด้วยความเป็นห่วง
“สงสัยจะกระแทกอะไรแน่ๆ หมูหวานช่วยไปเตรียมผ้ากับน้ำแข็งไว้นะจ๊ะ ส่วนพี่สมหมายช่วยประคองคุณเตชินนั่งทีนะคะ”
หมูหวานวิ่งจู๊ดไป สมหมายกับริลณีช่วยกันพยุงเตชินให้ลุกนั่ง เตชินยังเจ็บแปลบๆ อยู่ ท่าทีมึนๆ งงๆ
“คุณเตชินนึกยังไงถึงมานอนอยู่ตรงนี้ครับ”
เตชินพยายามคิด “ไม่รู้เหมือนกัน จำได้ว่านั่งทำงานอยู่ แล้ว...”
ริลณีตาวาว ลุ้นระทึก ว่าเขาจะจำได้รึเปล่า “แล้วทำไมเหรอคะ”
“เวลาตีสาม...เสียงเพลงไทยเดิม”
“คุณเตชินก็ได้ยินเสียงไทยเดิมเหรอครับ”
“ใช่ พี่สมหมายก็ได้ยินเหรอ”
“ผมกับนังหมูหวาน ได้ยินเพลงนี้ทุกคืน...ตอนตีสาม” สมหมายทำหน้าสยอง

ริลณียืนฟังอยู่เริ่มหน้าเสีย กลัวความลับถูกเปิดเผย
สมหมายมองลุ้น “คุณเตชินเจออะไรรึเปล่าครับ”
“รู้สึกว่าเหมือนจะมี...มี...” เตชินพยายามนึกแต่นึกไม่ออก “ทำไมฉันนึกอะไรไม่ออก จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรหลังจากนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่ามานอนตรงนี้ได้ยังไงด้วย”
“ผมไม่รู้ว่าคุณเตชินเจออะไร แต่ที่แน่ๆ คุณเตชิน เจอดี เข้าแล้ว”
เตชินทำหน้าสงสัยเหมือนอยากจะถามอะไรสมหมายอีก แต่ริลณีรีบตัดบท
“อย่าเพิ่งคุยอะไรเลย” พลางหันไปบอกสมหมาย “พาเตชินขึ้นข้างบนก่อนเถอะค่ะ”
สมหมายประคองเตชินเดินเข้าบ้านไป

ริลณีถอนหายใจโล่งอก

“แกโดนผีหลอก ชัวร์”

เสียงชัชที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่ ชี้หน้าเตชินฟันธงออกมา
สองหนุ่มนั่งทานอาหารกันอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เตชินมองเพื่อนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“ก็เตือนแล้วตั้งแต่ตอนซื้อ ว่าบ้านนั้นน่ะ บ้านผีสิง แกก็ไม่เคยเชื่อ เป็นไงล่ะโดนจนได้”
“ไม่ใช่ผีหรอก ฉันอาจจะแค่ละเมอ”
“ไอ้เต ดูปากฉัน” ชัชเสียงเข้มชี้ไปที่ปากตัวเองเน้นทีละคำ “บ้าน แก มี ผี สิง”
“ทำไมมั่นใจขนาดนั้นวะ”
“ของแบบนี้มันบอกเหตุผลเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ไปบ้านนั้น ความรู้สึกมันบอกว่ามันมีอะไรแปลกๆอยู่”
“แล้วทำไม ฉันกับรินถึงไม่เคยรู้สึกอะไรเลย”
“แกกับน้องรินอาจจะอยู่ในห้วงของความรัก เลยไม่สนใจ ผีสาง เทวดาหน้าไหนก็ได้”
เตชินส่ายหน้า ชัชหัวเราะร่วนได้แซวเพื่อน แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้
“เออ ไอ้เต มีเรื่องอะไรขอถามหน่อย มันคาใจมาก.....” ชัชลากเสียงยาวน่าหมั่นไส้
“ไม่ต้องลากเสียงยาว อยากถามอะไรก็ถามมา”
“ที่แกให้น้องชมพูไปเฝ้าแม่แกที่โรงพยาบาลทุกวัน น้องรินเค้าไม่คิดอะไรเหรอวะ”
เตชินแปลกใจ “ทำไมต้องคิดอะไรด้วยล่ะ”
“เอ้า ก็น้องชมพูเป็นอดีตคู่หมั้น มาช่วยดูแลใกล้ชิดกันอย่างนี้ มันเสี่ยงต่อความมั่นคงภายในครอบครัวเว้ย”
“รินเค้าเป็นคนมีเหตุผล ไม่งี่เง่าเหมือนแกหรอก”
“ถึงเค้าไม่งี่เง่าออกมาให้เห็น แต่ข้างในก็ต้องมีนึกๆ กันบ้างแหละ ยังไงก็อย่าให้มีผู้หญิง คนอื่นไปช่วยดูแลคุณหญิงแม่ก็แล้วกัน ไม่งั้นบ้านบึ้มแน่”
ชัชหัวเราะชอบอกชอบใจ ส่วนเตชินส่ายหน้า มั่นใจว่าจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่

สิ่งที่ชัชเตือนได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อประตูห้องคนไข้ถูกเปิดออกอย่างแรง โดยฝีมือหงส์หยกที่เดินนวยนาดเข้ามาในห้อง พร้อมกระเช้าของเยี่ยมอลังการเวอร์วัง เตชินหันไปมองด้วยความแปลกใจ
“ทำไมไม่บอกกันบ้างเลยเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นี่พอทราบ หงส์หยกก็รีบลางานมาเลยนะคะ”
สร้อยเข้าไปช่วยรับกระเช้า มองผู้มาเยี่ยมไข้พลางพึมพำอึ้งปนทึ่ง
“แร๊งส์”
เตชินเองก็อึ้งไปนิด “เอ่อ...ผมไม่อยากรบกวนน่ะครับ
ไม่เท่านั้นหงส์หยกยังเดินยิ้มหวานไปจับมือเตชิน ราวกับว่าสนิทกันมากมายมาแต่ชาติปางไหน
“รบกวนอะไรคะ เราสองคนสนิทสนมกันแท้ๆ มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันสิคะ”
เตชินมองมืออีกฝ่ายในท่าทีอึดอัด หงส์หยกยิ้มอ่อยจนสายตามองเลยไปเห็นชมพูกำลังป้อนน้ำให้จิตราอยู่ข้างเตียง และมองมาอย่างอึ้งๆ ไม่เชื่อสายตา
แว่บแรกหงส์หยกชะงัก เพิ่งเห็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ แต่พริบตาก็ยิ้มแบ๊วไปให้
“อ้าว ชมพูทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ก็เธอสองคน...”
ชมพูต่อให้ “เลิกแต่งงาน แต่ไม่ได้เลิกเป็นเพื่อนนี่”
สร้อยรีบเสนอหน้า คุยข่มตอบแทน “คุณชมพูมาดูแลคุณหญิงทุกวันเลยค่ะ”
“มาเฝ้าคุณหญิงแม่ หรือ อยากมาเจอลูกชายกันแน่จ๊า” หงส์หยกพูดยิ้มๆ ไม่ไว้หน้าแล้ว “จริงๆ โบราณเค้าว่าถ้าผู้ชายเค้าไม่รัก ก็อย่าไปฝืน จะได้ไม่ต้องกลืนน้ำตา”พลางขยับไปพูดข้างๆ หูชมพูเบาๆ “ซ้ำสอง”
ชมพูชะงักกึก คาดไม่ถึง มองหงส์หยกอย่างไม่พอใจ
หงส์หยกยังยิ้มแบ๊วให้ ไม่แยแส “ที่เราเรียนวิชาไทยศึกษา ตอนปี 1 ไง บทเนี้ย จำแม่นเลย คริคริ”
“แล้วมาบอกฉันทำไม” ชมพูเสียงขุ่น
“ก็เห็นว่าเธอมีปัญหาเรื่องความจำ อาจจะลืมๆ ไปบ้าง”
ชมพูหน้าตึง รู้ว่าถูกหลอกด่า วางแก้วน้ำลงที่โต๊ะข้างเตียงแล้วหันมาบอกเตชิน
“พอดีชมพูนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวหงส์หยกช่วยคุณแลคุณหญิงแม่เองค่ะ เรื่องดูแลคนป่วยนี่ถนัดมว๊าก”
หงส์หยกถลาเข้าไปยืนแทนที่ชมพู โดยอีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว โดนเบียดจนเกือบจะล้ม ดีที่สร้อยจับไว้ทัน สร้อยมองหงส์หยกอย่างไม่พอใจ
“แต่คุณหญิงท่านไม่ชอบ ให้คนที่ไม่สนิทดูแลนะคะ”
หงส์หยกมองไปที่เตียงเห็นจิตรามองมาหน้าตึงเปรี๊ยะ ดูออกว่าไม่พอใจมากๆ แต่หล่อนไม่สะทกสะท้าน
“ไม่สนิทวันนี้ แต่วันหน้า ยิ่งกว่าสนิทอีกค่ะ คุณหญิงแม่”
จิตราทั้งอึดอัดและไม่พอใจมาก ชมพูมองแล้วสงสารแต่ตัดใจเดินไปหยิบกระเป๋า ไหว้ลาคุณหญิง แล้วเดินออกจากห้องไปทันที
“น้องชมพูรอด้วยครับ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่รถ”
เตชินเดินตามชมพูออกไป สร้อยจะตามไปด้วย แต่หงส์หยกเรียกจิกไว้
“เธอน่ะ ไม่ต้องไปไหน อยู่ช่วยฉันก่อน บอกฉันสิว่าทำยังไงบ้าง”
“อ้าว ก็ไหนว่าคุณดูแลคนป่วยเก่งไงคะ”

หงส์หยกมองจิกตาใส่ สร้อยเซ็ง จำใจเดินเข้าไปช่วยสอนให้ป้อนน้ำจิตราอย่างไม่เต็มใจ

อ่านต่อหน้า 2

นางชฎา ตอนที่ 10 (ต่อ)

ฟากชมพูเดินมาตามทางเดินด้วยความหงุดหงิด เตชินวิ่งตามมาดักหน้าทัน

“เดี๋ยวครับน้องชมพู พี่ขอโทษแทนคุณหงส์หยกด้วยนะครับ”
“จะต้องขอโทษแทนเค้าทำไมละคะ เค้าเป็นเพื่อนชมพู ไม่ใช่เพื่อนพี่เตชินซะหน่อย หรือว่าพี่เตชินไปแอบสนิทสนมกับเค้าโดยที่ชมพูไม่รู้อีก”
เตชินอึ้งตอบไม่ถูก รู้ว่าชมพูกัดเรื่องริลณีด้วย ที่แอบเป็นแฟนกันโดยเธอไม่รู้
เตชินมองหน้าชมพูรู้สึกผิด “เอ่อ...คือพี่...”
“เตชินคะ...เตชิน”
เสียงเรียกของปริมลดา ทำเอาสองคนชะงัก หันไปมองทางเสียง เห็นปริมลดาเดินปรี่เข้ามา ชมพูมองหน้าเตชิน ยิ้มเยาะในสีหน้า คล้ายเจ็บปวดกับความจริงที่เพิ่งได้รู้
“ไม่เคยรู้เลยนะคะ ว่าเพื่อนผู้หญิงของชมพูทุกคน ดูเหมือนจะอยากสนิทสนมกับพี่เตชินมากกว่าชมพูซะอีก”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ”
“สำหรับพี่เตชินมันอาจจะไม่ใช่ แต่สำหรับพวกนั้น คนโง่ยังดูออกเลยค่ะว่าต้องการอะไร...ยังไงก็หาทางเคลียร์ดีๆ นะคะ ถ้าไม่อยากให้มีเรื่องกับริน
ชมพูเดินออกไปเลย เตชินอึ้ง เซ็งนิดๆ ปริมลดาเข้าไปหาเตชินอย่างสนิทสนม
“ลดาเพิ่งได้ข่าว รู้เลยว่าตอนนี้คุณคงต้องการกำลังใจ ลดาก็เลยขนมาให้เยอะเลยค่ะ”
ปริมลดายกดอกไม้ช่อสวยในมือให้ดู เตชินได้แต่เซ็ง ดูเหมือนชีวิตเขากำลังจะวุ่นวายตามที่ชัชเตือนจริงๆ

จิตราขืนปากไม่ยอมกินน้ำที่หงส์หยกป้อนให้ แถมสำลักทำน้ำหกกระฉอกออกมาจนเลอะไปหมด หงส์หยกโมโห
“ดื่มหน่อยสิคะ ดูสิหกเลอะหมดเลย” หงส์หยกสั่งสร้อยโดยไม่ได้หันไปมอง “เอาผ้าขนหนูมาหน่อยสิ”
หงส์หยกยื่นมือไปรอผ้าจากใครบางคนที่เดินเข้ามายื่นผ้าขนหนูให้ หงส์หยกหันมารับผ้าขนหนู โดยไม่ได้มองหน้าคนที่ยื่นให้ เช็ดตัวจิตราไปครู่หนึ่งจึงหันกลับมาจะสั่งอีก
“นี่เธอไปเอาน้ำมาเติมให้ด้วย...อ๊ะ”
หงส์หยกหันไปมองแล้วต้องชะงัก เพราะไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น บรรยากาศในห้องดูวังเวงและ น่ากลัว จนหงส์หยกรู้สึกหนาววูบวาบที่หลัง
ประตูห้องน้ำเปิดออก เห็นสร้อยเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ หงส์หยกยิ่งงง
“เธออยู่ในห้องน้ำตลอดเลยเหรอ”
สร้อยยิ้มแหยๆ “ค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“แล้วเมื่อกี้ใครเป็นคนเอาผ้าขนหนูนี่มาให้ฉันล่ะ” หงส์หยกมองผ้าขนหนูในมืองงๆ
“เอ่อ...ไม่ใช่สร้อยแน่ๆ ค่ะ สร้อยแยกร่างไม่ได้”
หงส์หยกรู้สึกประหลาดใจมาก มองไปรอบๆ เห็นเงาใครบางคนที่มีผมยาวสลวยเดินไปเดินมาในห้อง จนต้องขยี้ตาคิดว่าตัวเองตาฝาด
ระหว่างนี้ ประตูห้องเปิดออก เตชิน และปริมลดาเดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่ปริมลดาและหงส์หยกเห็นกัน ต่างฝ่ายต่างอึ้ง ราวกับเห็นผี
หงส์หยกหน้าเสีย “ลดา”
“หงส์หยก”
สร้อยแอบมองทั้งสองยิ้มอย่างสะใจ
“เกิดเรื่องใหญ่แน่”

ไม่นานนักร่างหงส์หยกถูกผลักไปกระแทกผนังห้องตรงทางเดิน ไม่แรงมากแต่ก็เจ็บเอาการ ปริมลดาตามเข้าไปเอาเรื่อง
“เธอคิดจะทำอะไรของเธอ รู้เรื่องแม่เตชิน แล้วไม่ยอมบอกฉัน แล้วยังเสนอหน้ามาเยี่ยมเองอีก อย่าบอกนะว่าเธอคิดจะมาทำคะแนนกับเตชิน”
หงส์หยกตั้งรับ ทำหน้าแบ๊วแก้ตัวเสียงแหลมทันที
“ป่าวน๊า พอดีมาคุยงานกับลูกค้าแถวนี้ ก็เลยแวะมาดูว่าข่าวจริงรึเปล่า เธอก็รู้นี่ว่าสมัยนี้ ข่าวมันเชื่อได้ที่ไหน ก็กะว่าถ้ามาดูแล้วจริง ถึงค่อยโทร.บอกลดาไง จะได้ไม่มาเสียเที่ยว อุตส่าห์ช่วยแสกนให้ขนาดนี้ ยังโดนเข้าใจผิดอีก”
หงส์หยกทำหน้าจ๋อยสนิท จนอีกฝ่ายอ่อนลง และรู้สึกผิด
“งั้นก็แล้วไป คบกันมานาน เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครยุ่งผู้ชายของฉัน”
หงส์หยกพึมพำด่า “ผู้ชายของฉัน กล้าพูดเนอะ”
“พึมพำอะไรอีก”
“อ๋อ แค่พูดว่า อีกไม่นานคุณเตชินก็คงกลายเป็นผู้ชายในคอลเลคชั่น เอ๊ย ผู้ชายของลดาแล้ว น่าเสียดาย เอ๊ย น่าดีใจแทนเนอะ”
ปริมลดามองหน้าหงส์หยกยิ้มร้ายออกมา “เธอมาก็ดีแล้ว จะได้ทำให้เตชินเป็นผู้ชายของฉันเร็วขึ้น เธอต้องช่วยฉัน”
หงส์หยกอึ้ง “เอ่อ จะให้ช่วยอะไรเหรอ” บ่นงึมงำ “ฉันไม่ได้เป็นคนใช้เธอเหมือนตอนเรียนแล้วนะ”
ปริมลดายิ้มจิกตาร้ายมีแผนชั่ว

“เดี๋ยวก็รู้”

ปริมลดากำลังจะเดินกลับเข้าไปในห้องคุณหญิง แต่หงส์หยกนึกบางอย่างได้ รีบจับแขนห้ามไว้

“เดี๋ยวลดา ฉันรู้สึกเหมือนในห้องนั้นมีอะไรแปลกๆ”
ปริมลดายักไหล่ไม่สน พูดแขวะ “ไม่มีอะไรแปลกเท่าฉันเปิดประตูเข้าไป แล้วเห็นเธอเสนอหน้าอยู่ในห้อง
นั้นหรอก”
ปริมลดาสะบัดหน้าเดินเชิด กลับเข้าไปในห้องคนไข้ หงส์หยกค้อนควักเบะปากใส่บ่นบ้าด่าไล่หลัง
“ซวยจริงๆ ไม่น่ามาวันเดียวกันเลย ฮึ”
หงส์หยกเซ็งสุด เดินตามปริมลดาเข้าไปในห้อง

หงส์หยกหน้าหงิกหน้างอ ในขณะที่กำลังช่วยสร้อยยกขาของจิตราเพื่อยืดเส้น แอบมองปริมลดาที่นั่งข้างเตชิน ป้อนขนมเอาใจ ด้วยความอิจฉา
“ขนมนี่อร่อยมากเลยนะคะ หาทานยากมาก ลดาช้อบ..ชอบค่ะ ไม่รู้ยายหงส์หยกไปหามาได้ยังไง ลองดูสิคะ” ปริมลดาคะยั้นคะยอให้กิน
“คุณหงส์หยกเอามาเยี่ยมคนป่วย แต่ผมไม่ได้ป่วยนะครับ”
“งั้นเก็บไว้ให้คุณแม่ก็ได้ค่ะ วันหลังลดาจะมาช่วยคุณดูแลคุณแม่นะคะ ลดาเคยเล่นเป็นนางพยาบาล รู้วิธีดูแลคนป่วยดีค่ะ”
หงส์หยกยืดขาจิตราอยู่เบ้ปากหมั่นไส้เต็มกลืน
“ถ้ารู้ดี แล้วไปนั่งอ่อยผู้ชายอยู่ทำไมล่ะ ทำไมไม่มาช่วยกันทำ”
“คุณคะ ยกเบาๆ หน่อยค่ะ คุณหญิงท่านเจ็บ” สร้อยว่า
หงส์หยกหันไปมองเห็นจิตราทำหน้าเจ็บปวด สร้อย ปริมลดา และเตชิน มองหน้าหงส์หยกเป็นตาเดียว ปริมลดามองเอาเรื่อง
“บ้านหงส์หยกเค้าขายหมู ฟันแต่ปังตอฉับๆ คงไม่เคยทำอะไรแบบนี้”
“คุณหงส์หยกไม่ต้องทำก็ได้นะครับ ผมทำเองได้”
“นั่งพักเถอะค่ะ หงส์หยกมาเพราะอยากช่วยจริงๆ ไม่ดีแต่นั่งพูดน่ะค่ะ”
ปริมลดาหน้าตึง รู้ว่าโดนแขวะ อยากจะไปเอาเรื่อง แต่ต้องห้ามใจกลัวเสียภาพพจน์
“งั้นผมขอตัวไปคุยกับคุณหมอสักครูนะครับ”
“ลดาไปด้วยค่ะ”
ปริมลดาลุกขึ้นควงแขนเตชินจะตามไปด้วย หงส์หยกอิจฉาไม่ยอมขอไปด้วย
“ขอหงส์หยกไปด้วยค่ะ”
หงส์หยกขยับตัวจะรีบตามไป แต่มีมือมาจับข้อมือหล่อนเอาไว้จนแน่น หงส์หยกชะงักหันมามอง แต่ต้องช็อก เมื่อพบว่ามือที่จับไม่ใช่มือคุณหญิง แต่เป็นมือทาเล็บแดงแบบนางรำของริลณี หงส์หยกผวามองไล่ไปตามมือ ขึ้นไปเห็นผีริลณีนอนอยู่บนเตียงแทนที่จิตรา กำลังจ้องเขม็งอยู่
“กลับไปซะ”
หงส์หยกตกใจสุดขีดร้องกรี๊ด “แอร๊ย...”
เตชิน ปริมลดา และสร้อยรีบวิ่งเข้ามาดู ทุกคนเห็นว่าหงส์หยกกำลังสะบัดแขนจิตราที่เกี่ยวเสื้อหงส์หยกไว้ออกอย่างรุนแรง
เตชินตกใจรีบเข้าไปห้ามกลัวจิตราเจ็บ “คุณแม่ เป็นอะไรรึเปล่า”
หงส์หยกได้สติ เห็นตัวเองกำลังทำร้ายจิตราและเตชินมองหน้าตึงอยู่ก็ยิ่งตกใจ
“เมื่อกี้ ฉันเห็น ผะ...ผะ...ผีนอนอยู่บนเตียง”
“เสียมารยาทจริงๆ เลย ว่าคุณแม่เป็นผีได้ยังไง” ปริมลดาหันไปพูดกับเตชิน “ขอโทษแทน...”
ปริมลดาชะงักค้าง พูดไม่ออก เพราะสิ่งที่เห็นไม่ใช่เตชิน แต่กลับเป็นผีริลณียืนจ้องหน้าถมึงทึงอยู่
“กลับไป อย่ามายุ่งที่นี่อีก”
ปริมลดากรี๊ดตลาดแตก “แอร๊ย.....”
หงส์หยกรู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพพากล รีบวิ่งเข้าไปหาปริมลดา
“เป็นอะไรลดา เกิดอะไรขึ้น”
ปริมลดาเอาแต่ชี้ไปทางเตชินที่กำลังจะเดินเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“ผี...ผี...ผี...”
ในสายตาปริมลดาเห็นเตชินเป็นผีริลณีกำลังเดินเข้ามาอย่างคุกคาม น่าสะพรึงเอามากๆ ยิ่งร้องโวยวาย เตชินเข้ามาจับตัว ปริมลดาเกิดภาพหลอน เห็นเป็นผีริลณีมาบีบคอตน
ปริมลดากลัวสุดขีด ทั้งตบ ทั้งตี ทั้งหยิกให้เตชินเอามือออก ก่อนจะวิ่งหนีออกไปอย่างคนสติแตก
หงส์หยกมองซ้ายแลขวาแล้วรีบวิ่งตามออกไป เตชิน และ สร้อย มองหน้ากันงงๆ
“นี่มันอะไรกันคะเนี่ย คุณเตชินเจ็บมากมั้ยคะ”
เตชินส่ายหน้าไม่เจ็บเท่าไหร่ ทั้งสองมองหน้ากันงงอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับปริมลดา และ หงส์หยกกันแน่

จิตรานอนอยู่บนเตียง และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด กลัวจับใจ แต่บอกใครไม่ได้

ปริมลดา โทร.หาเอกราช จนรู้ว่าเขาอยู่ที่ผับประจำ จึงรีบตามมาพร้อมหงส์หยก มาถึงก็โวยวายเสียงดังด้วยความกลัวสุดขีด ในนั้นยังมีตุลเทพนั่งเหล่สาวโต๊ะข้างๆ อยู่ด้วย

“จริงๆ นะ ฉันไม่ได้ตาฝาด ฉันเห็นผีนังริลณีจริงๆ”
ตุลเทพนึกสงสัย “ในโรงพยาบาลผีเยอะจะตาย แน่ใจได้ไงว่าใช่ริลณี”
“หน้ามันฉันไม่มีวันลืมหรอก โอ๊ย ภาพยังติดตาอยู่เลย”
หงส์หยกกับปริมลดามองหน้ากัน เข้าใจหัวอกกันและกันขึ้นมาเชียว ทั้งที่ตอนกลางวันยังแขวะ แย่งผู้ชายกันอยู่เลย
เอกราชนั่งมองอยู่ ส่ายหน้า รำคาญสองสาวนิดๆ
“ก็ไม่เห็นต้องไปกลัวมันนี่ พวกเธอก็รู้มันทำอะไรพวกเราไม่ได้”
“แต่มาหลอกแบบนี้ มันใช่เรื่องมั้ย...แทนที่จะได้ผู้ชาย กลับทำเสียเรื่อง” ปริมลดาบ่น
หงส์หยกเห็นงามด้วย “นั่นสิ แล้วจะกลับไปหาเตชินยังไงเนี่ย”
ปริมลดาเหล่มอง หงส์หยกยิ้มแหยๆ “เอ่อ ที่ฉันพูดหมายถึงเธอน่ะ”
“ก็แล้วไป เรื่องผู้ชายไม่ยากหรอก แต่ทำยังไงนังผีนั่นจะไม่มาตามรังควานอีก”
ตุลเทพนั่งฟังอยู่รีบเสนอตัว
“งั้นเดี๋ยวพาไปหาหมอผีเจ๋ง หาของดีมาป้องกัน นังผีนั่นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“แค่ของขลังนะ ไม่อยากเล่นของอย่างนาย ลายไปทั้งตัวแล้ว”
ปริมลดามองตุลเทพที่มีเครื่องรางของขลังเต็มตัว และรอยสักตามตัว
“ไม่ลองไม่รู้ ถ้าเธอได้เล่นแล้วจะติดใจ”
ตุลเทพหยิบเหล้ามาดก แล้วหันไปยิ้มหว่านเสน่ห์กับสาวๆ โต๊ะข้างๆ อย่างสบายอารมณ์
เอกราชเตือน “ระวังหน่อย เล่นของน่ะเค้ามีข้อห้าม ถ้าไม่ทำตามของจะเข้าตัว”
“เรื่องอื่นฉันระวัง แต่เรื่องสาวๆ ยั้งไม่ได้ว่ะ มีมารอต่อคิวเพียบ”
หงส์หยกหมั่นไส้ “ของไม่เข้าตัว ก็ระวังเอดส์จะเข้าแทนละกัน”
ตุลเทพฉุนกึก มองเหล่เอาเรื่อง หงส์หยกรีบปิดปากทำไม่รู้ไม่ชี้ เอกราชมองหาใครบางคน
“แล้วไอ้ประวิทย์ เชิงชายทำไมไม่มาวะ อุตส่าห์นัดกันได้”
“ไอ้เชิงชายคงหลบเจ้าหนี้ ส่วนประวิทย์ คงงอนนายมั้ง”
เอกราชงง “งอนไรวะ”
“ก็นายทั้งด่า ทั้งไล่มันขนาดนั้น ใครที่ไหนจะไปทน” ตุลเทพตบบ่าเอกราช “ไอ้วิทย์มันรักนายมากนะเว้ย ทำให้นายทุกอย่าง เอาใจมันบ้าง เพื่อนดีๆ แบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ นะเว้ย”
ตุลเทพหันไปเหล่สาวต่อ เอกราชครุ่นคิดหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม รู้สึกผิดขึ้นมาเหมือนกัน

รถประวิทย์จอดนิ่งอยู่ตรงมุมลับตาริมถนนข้างรั้วบ้านทรงไทยของเตชิน มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังออกมาจากในรถ
มือถือประวิทย์วางอยู่ในรถยังดังต่อเนื่อง เห็นชื่อเอกราชเป็นคนโทร.เข้ามา เชิงชายมองฉงนประวิทย์ที่เอาแต่นั่งมองโทรศัพท์ แต่ไม่ยอมรับ
“ทำไมไม่รับวะ”
ประวิทย์เสียงเข้ม ยังงอนเอกราชไม่หาย “ทำธุระกับนายให้เสร็จก่อน”
“แต่เอกราชโทร.มานะ”
ประวิทย์ปรายตามองอยากรับ แต่ทำใจแข็ง จนเสียงโทรศัพท์หยุดไป แล้วนึกเสียดายนิดๆ
“วางไปแล้ว”
“คงไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญหรอก ยังไงเรื่องของนายก็สำคัญกว่า”
เชิงชายมองซึ้ง “ขอบใจนะเว้ย ที่มาเป็นเพื่อน”
“ไม่มีปัญหา นายก็เพื่อนฉันเหมือนกันนี่”
เชิงชายรู้สึกกังวลขึ้นมา “แน่ใจนะ ว่าแผนนี้จะสำเร็จ”
“มีแผนไหนที่ฉันคิดแล้วไม่สำเร็จบ้าง”
ประวิทย์ยิ้มอย่างมั่นใจ หันไปหยิบกล่องที่อยู่เบาะหลังมายื่นให้ เชิงชายมองกล่องอย่างรวบรวมความกล้าก่อนจะลงจากรถไป ประวิทย์หยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วลงตามไป

สองหนุ่มหยุดมองเข้าไปในบ้านเตชิน
“แน่ใจนะว่าตอนนี้ไอ้เตชินไม่อยู่”
“ฉันโทร.เข้าไปเช็คที่บริษัทเอกราชแล้ว เตชินมีประชุมสำคัญวันนี้ กว่าจะกลับคงเย็น” ประวิทย์ว่า
เสียงโทรศัพท์ประวิทย์ดังขึ้นมาอีก ประวิทย์หยิบขึ้นมาเห็นว่าเป็นเอกราช ตัดสินใจรับ
“เป็นไรไปวะ หายเงียบไปหลายวัน เข้ามาหาหน่อยสิ มีเรื่องสำคัญอยากปรึกษา” เสียงเอกราชดังออกมา
ประวิทย์ยิ้มชื่นดีใจขึ้นมาทันที “เดี๋ยวนี้เลยเหรอ”
“ใช่ เดี๋ยวนี้เลย นายไม่ว่างเหรอ”
ประวิทย์ตอบโดยไม่ต้องคิด “ว่างสิ” เชิงชายฟังอยู่ถึงกับเหวอ “งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ”
พอวางสายประวิทย์หันมาหาเชิงชาย หน้าตาเบิกบานสุขล้น ต่างจากเมื่อครู่นี้ลิบลับ เชิงชายเซ็ง
“ไหนว่าเรื่องฉันสำคัญกว่าไง”
“โทร.มาสองครั้งแบบนี้ คงมีเรื่องสำคัญมากแหละ ฉันช่วยนายคิดแผนแล้วนี่ แค่ทำตามแผนทุกอย่างก็เรียบร้อย”
ประวิทย์เดินยิ้มกริ่มไปขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องจะขับออกไป
เชิงชายตกใจ “เฮ้ย! จะทิ้งกันจริงๆ เหรอวะ”
“ขอโทษจริงๆ ว่ะ”
ประวิทย์ไม่สน ขับรถออกไปเลย เชิงชายมองตามรถที่แล่นห่างออกไปอย่างหงุดหงิด
“อะไรๆ ก็เอกราชก่อนทุกที” เชิงชายเหลียวมองเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “ทำเองก็ได้วะ”
เชิงชายถือกล่องในมือแน่น เดินไปที่ประตูบ้านทันที

เสียงกดกริ่งจากประตูหน้าบ้านกรีดเสียงดังขึ้น สักครู่ สมหมาย และ หมูหวาน วิ่งมาที่ประตู มองเชิงชายที่ยืนอยู่ด้านนอกด้วยความแปลกใจ
“คุณเอกราช เจ้าของบริษัทที่คุณเตชินทำงานอยู่ ให้ผมเอาของสำคัญมาส่งให้คุณเตชินไม่ทราบว่าคุณเตชินอยู่รึเปล่าครับ”
“ไม่อยู่ค่ะ” หมูหวานบอก
เชิงชายทำทีเป็นกังวลมาก “แล้วผมจะทำยังไงดี คุณเอกราชกำชับมาว่าต้องให้ของนี้กับมือคุณเตชินด้วย”
“งั้นคุณมานั่งรอในบ้านก่อนก็ได้ครับ อีกไม่นานคุณเตชินก็กลับแล้ว”
หมูหวานตกใจ รีบดึงแขนพ่อออกไปคุย
“จะดีเหรอพ่อ ให้ใครก็ไม่รู้เข้ามานั่งในบ้าน”
สมหมายหันไปมองเชิงชายอย่างพิจารณา “ก็ดูทรงแล้ว ท่าทางก็ไม่น่าจะเป็นคนร้ายอะไร แต่ถ้าคิด
จะมาทำอะไรไม่ดี เดี๋ยวก็ดีเจอเองแหละ”
หมูหวานพยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินไปเปิดประตูให้
เชิงชายรีบเข้ามาในบ้าน ยิ้มชั่วดีใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

สมหมาย และ หมูหวาน พาเชิงชายมานั่งที่เก้าอี้ม้าหินตัวหนึ่งนอกบ้าน ไม่ไกลจากเรือนใหญ่
“คุณนั่งรออยู่ตรงนี้ แล้วอย่าลุกเพ่นพ่านไปไหนล่ะ” สมหมายสั่ง
“ห้องน้ำก็ห้ามไปเหรอครับ”
“ใช่ นั่งตรงนี้นิ่งๆ เฉยๆ เราเตือนคุณแล้วนะ” หมูหวานว่า
สองพ่อลูกรีบเดินออกไปทันที เชิงชายมองตามอย่างแปลกใจ
“คนบ้านนี้แปลกๆ แต่ก็ดี เราจะได้ทำธุระสะดวก”

เชิงชายมองไปรอบๆ อีกครั้ง เห็นว่าไม่มีใครคอยจับตามองแน่แล้ว จึงลุกเดินออกไปทันที

เชิงชายเดินไปรอบๆ บ้าน พยายามหาทิศทางว่าหลุมศพของริลณีอยู่ตรงไหน แต่ทุกอย่างถูกซ่อมแซมและปรับปรุงจน เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้หายากกว่าที่คิด

“เปลี่ยนไปขนาดนี้ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงที่ฝังริลณีอยู่ตรงไหน”
ขณะที่เชิงชายพยายามมองหาที่ฝังศพอยู่นั้น ผีริลณีนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ใหญ่ จ้องมองเชิงชายด้วยดวงตาแดงก่ำ คำรามออกมา
“ทำไมพวกมึงถึงไม่หยุดวุ่นวายกับกู”
เชิงชายชะงัก รู้สึกถึงพลังงานอะไรบางอย่าง เหลียวขวับขึ้นไปมองบนต้นไม้ แต่กลับไม่เห็นอะไร แม้จะเริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่ยังเดินตามหาหลุมฝังศพต่อไป
เชิงชายเดินต่อมาอีกไม่ไกล ก็พบหลุมขนาดใหญ่ ถูกขุดทิ้งเอาไว้ยังไม่ได้กลบ เขาสืบเท้าเข้าไปดู ลักษณะหลุมที่ขุดดูคล้ายๆ หลุมฝังศพ เชิงชายชะโงกหน้าลงไปมองก้นหลุมด้วยความอยากรู้อยากเห็น เห็นร่างของใครบางคนนอนอยู่ ไล่สายตามองไล่ขึ้นไปจากปลายเท้าจนถึงใบหน้าและต้องผงะเมื่อเห็นว่า มันคือศพของเชิงชายนั่นเอง
เชิงชายผวา ถอยหลัง แต่เมื่อหันกลับมาทุกอย่างตรงหน้าเขากลับเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น
บัดนี้บ้านทรงไทยของเตชินกลายเป็นบ้านร้างหลังมหาวิทยาลัย ทุกอย่างตกอยู่ในบรรยากาศเหมือนวันที่พวกเชิงชายเคยฆ่าริลณี เชิงชายผงะจะหนี แต่ริลณีมายืนขวางไว้
“ริลณี”
ริลณียิ้มสยอง “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เชิงชาย”
เชิงชายร้องโวยวายกลบความกลัวในใจ “นังผีบ้า ฉันไม่กลัวแกหรอก แกทำอะไรฉันไม่ได้”
ริลณีหัวเราะเสียงต่ำ “อยากลองดูมั้ยล่ะ ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง”
พลางริลณีปัดมือเพียงเบาๆ ร่างเชิงชายก็ลอยกระเด็นไปฟาดต้นไม้อย่างแรง เชิงชายเจ็บและจุกแต่ยังปากเก่ง
“แกก็ทำได้แค่นี้แหละ นังผีบ้า แกฆ่าฉันไม่ได้”
“เพราะแกคิดว่าทำลายของสำคัญของฉันไปแล้วงั้นสิ” ริลณีระเบิดหัวเราะอย่างสะใจ พูดด้วยเสียงดังทรงอำนาจ “ไอ้พวกโง่ แหวนที่แกทำลายไปมันไม่ใช่ของฉัน”
เชิงชายตกใจ “แกรู้”
“ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกแก ไม่ว่าพวกแกจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร หรือคิดเรื่องชั่วร้ายแค่ไหน ความคิดชั่วร้ายของพวกแกมันดังก้องอยู่ในหัวฉันอยู่ตลอดเวลา อยากได้แหวนกันไม่ใช่เหรอ นี่ไงแหวนที่พวกแกตามหา” ริลณียกแหวนขึ้นมามอง “แหวนที่เปลี่ยนริลณีคนเดิมที่พวกแกจะฆ่าให้ตายอย่างอนาถ ให้กลายเป็นริลณีที่มีอำนาจที่จะฆ่าพวกแกให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้” พลางกรีดนิ้วโชว์แหวนให้ดู “แหวนฉันสวยมั้ย”
เชิงชายมองแหวนอึ้งๆ ไม่ยอมตอบ ริลณียิ่งโมโห ตะคอกเสียงดัง
“ฉันถามว่าแหวนฉันสวยมั้ย”
เชิงชายยังไม่ยอมตอบอีก ริลณีโมโหมากเดินจะเข้าไปใกล้ เชิงชายฉวยโอกาสนั้นรีบลุกขึ้นวิ่งหนีไป ริลณีมองตาม ยิ้มร้ายออกมาดวงตาเต็มไปด้วยความแค้น
“หนีไปเถอะ เชิงชาย หนีไป ยังไงนายก็หนีฉันไม่พ้น”

เชิงชายวิ่งหัวซุกหัวซุน หนีตายไปตามทาง เกี่ยว ชน ต้นไม้รายทาง ปากตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยด้วย”
“ตะโกนไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่มีใครมาช่วยแกได้”
เชิงชายมองตามเสียง เห็นผีริลณีนั่งอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าเขา และกำลังมองมาด้วยสายตาสมเพชปนสะใจ เชิงชายวิ่งหนีไปอีกทาง ร่างริลณีลอยวูบติดตามเชิงชายอย่างไม่ลดละ
เชิงชายวิ่งหนี หอบเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหวแล้ว ทำท่าจะหยุดพัก แต่หันไปเห็นผีริลณีตามเข้ามาใกล้ก็วิ่งต่อ แต่กลับสะดุดขาตัวเองล้มลง ผีริลณีเคลื่อนตัวเข้ามายืนเหนือตัว เชิงชายกระถดหนี ยกมือไหว้ปลกๆ ร้องขอชีวิต
“ปล่อยฉันไปเถอะริลณี ฉันผิดไปแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับเธอแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
“ปล่อยให้นายเอาดินที่หลุมศพฉัน ไปให้ไอ้หมอผีนั่นน่ะเหรอ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกเชิงชาย ฉันไม่มีวันให้นายฆ่าฉันซ้ำสองแน่”
ริลณียื่นมือมาหมายจะบีบคอเชิงชาย ชายชั่วหลับตาปี๋ คิดว่ายังไงคงไม่รอดแล้ว

ระหว่างนี้มีเสียงเรียกเตชินดังเข้ามา
“คุณ…คุณ…คุณ”
เชิงชายสะดุ้ง ลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ทบทวนเรื่องราว จนพบว่าตัวเองยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ม้าหินเดิม เชิงชายตกใจ รีบมองตามเสียงเรียก เห็นเตชินยืนมองอยู่
“คุณเชิงชายรึเปล่าครับ”
เชิงชายพยายามตั้งสติ มองไปรอบๆ เห็นว่ากลับมาที่บ้านเตชินปกติ และ ไม่มีผีริลณีแล้ว เชิงชายโล่งอก
“เด็กบอกว่ามีคนมารอ ผมไม่คิดว่าจะเป็นคุณ มีธุระอะไรรึเปล่าครับ”
“เอ่อ...คือ เอกราชเค้าฝากให้ผมเอาของนี่มาส่งให้ถึงมือคุณน่ะครับ”
เชิงชายยื่นกล่องใส่ของให้ เตชินรับไว้ด้วยสีหน้าเกรงใจมาก
“คุณต้องมาเองแบบนี้ ผมเกรงใจจัง แต่ก็ขอบคุณนะครับ แล้วดูสิ ไม่มีใครเอาน้ำ เอาขนมมาเสิร์ฟ คุณเชิงชายเลย ขึ้นไปบนบ้านก่อนมั้ยครับ”
เชิงชายผวารีบปฏิเสธลั่น “ไม่ล่ะครับ ผมว่าผมกลับเลยดีกว่า ลาละครับ”
จากนั้นเชิงชายรีบร้อนเดินออกไปจากบ้านทันที เตชินมองตามอย่างแปลกใจ
เชิงชายเดินจ้ำอ้าวเพื่อจะออกไปพ้นๆ จากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด ขณะจะก้าวออกจากประตูรั้วอยู่แล้ว แต่เสียงของเตชินทำให้เขาชะงัก
“ริน…ผมกลับมาแล้วครับ”
เชิงชายกลัวจนตัวสั่น ค่อยๆ หันกลับไปมอง เห็นเตชินเดินเข้าไปสวมกอดริลณีในร่างคนปกติที่ออกมารับ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจับมือขึ้นไปบนเรือนด้วยกัน เชิงชายมองภาพนั้นอย่างตะลึงตะไลตาเบิกค้าง สมหมายที่มารอปิดประตูมองฉงน
“มีอะไรเหรอครับคุณ”
“เอ่อ…ผู้หญิงที่ออกมาหาคุณเตชิน เมื่อกี้เค้าเป็นใครครับ”
“อ๋อ คุณริลณี ภรรยาของคุณเตชินครับ”
เชิงชายได้ยินคำนี้ถึงกับช็อก พยักหน้ารับรู้ แล้ววิ่งออกจากบ้านไป

ริลณีกำลังเดินขึ้นเรือนกับเตชิน หันไปมองเชิงชายด้วยความกังวลใจใหญ่หลวง

อ่านต่อหน้า 3

นางชฎา ตอนที่ 10 (ต่อ)

บนรถแท็กซี่ที่แล่นมาตามถนน เชิงชายนั่งอยู่เบาะตอนหลัง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.หาประวิทย์อย่างร้อนรน

“รับเร็วๆ สิวะ ๆๆ”
เชิงชายท่าทางดูร้อนรนมาก คนขับแท็กซี่ต้องแอบมองผ่านกระจกอย่างสงสัย
เสียงประวิทย์รับสายในที่สุด “เป็นไงวะไอ้ชาย สำเร็จมั้ย”
“ฉันมีเรื่องสำคัญมากกว่าเรื่องนั้นอีกว่ะ”
ประวิทย์เพิ่งเดินเข้ามาในเพนต์เฮ้าส์คอนโดหรูของเอกราช นิ่วหน้าสงสัย
“เรื่องอะไรวะ”
“ก็เรื่อง...”
จู่ๆ มีคลื่นแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ เสียงพูดของเชิงชายกลายเป็นภาษาต่างด้าวฟังไม่รู้เรื่อง
“เฮ้ย ไอ้ชาย แกพูดว่าอะไรวะ ฉันฟังไม่รู้เรื่อง”
โทรศัพท์เชิงชายเหมือนถูกตัดไป ประวิทย์รีบโทร.กลับไปใหม่ แต่พบว่าเครื่องเชิงชายปิดไปแล้ว

ส่วนในรถแท็กซี่ที่แล่นมาตามทาง เชิงชายกำลังพูดสายอยู่
“แหวนที่เราทำลายมันไม่ใช่ของนังผีนั่น มันได้แหวนของมันคืนไปแล้ว มันฆ่าพวกเราได้แล้ว แล้วตอนนี้มันก็อยู่กินเป็นผัวเมียกับไอ้เตชิน ไอ้วิทย์ ฟังอยู่รึเปล่า ไอ้วิทย์”
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกของริลณีดังขึ้น “ฟังอยู่”
เชิงชายรู้สึกหนาวหลังขึ้นมาทันที ค่อยๆ หันหน้าไปทางเสียง เห็นว่าผีริลณีนั่งอยู่ข้างๆ แล้ว
แท็กซี่มองผ่านกระจกหลัง เห็นเชิงชายมีท่าทางแปลกๆ หน้าซีด ปากคอสั่น จนดูน่ากลัว
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าคุณ”
ผีริลณียื่นหน้าเข้าไปใกล้เชิงชาย จ้องมองอย่างอาฆาตมาดร้าย
“กูให้โอกาสมึงกลับออกมา เพราะกูไม่อยากฆ่ามึง แต่ถ้ามึงพูดเรื่องของกูกับเตชิน มึงตาย”

รถแท็กซี่แล่นมาเรื่อยๆ ตามถนนย่านชานเมือง ที่ไม่มีรถแล่นผ่านมากเท่าไหร่ อยู่ๆ ประตูรถก็เปิดออก พร้อมกับที่เชิงชายกระโจนออกมาจากรถไปทั้งๆ ที่รถแล่นอยู่ ร่างเชิงชายล้มคะมำอยู่บนถนน แล้วลุกวิ่งกระเสือกกระสนร้องโวยวาย หนีไปด้วยท่าทางหวาดกลัวถึงขีดสุด

คนขับแท็กซี่เบรกเอี๊ยด มองตามเชิงชายอย่างงงๆ ปนอึ้งๆ
“อะไรของเค้าวะ อยู่ดีๆ ก็โดดลงเฉย อยากตายรึไงวะ”
แท็กซี่ส่ายหัว สายตาแลเห็นโทรศัพท์มือถือของเชิงชายตกอยู่ที่พื้นรถ จึงเอื้อมมือไปหยิบยิ้มพอใจออกมา
“อย่างน้อยก็ยังได้ค่ารถ”

ฝ่ายประวิทย์พยายามโทร.หาเชิงชายตลอด แต่ไม่ติด ประวิทย์กดโทร.ออกอีกหลายครั้ง ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม ชักครียดและรู้สึกกังวล เอกราชเดินเข้ามาเห็น
“มีอะไรรึเปล่า ทำไมดูหน้าเครียด”
“ก็เมื่อกี้ไอ้ชายมันโทร.มาบอกว่ามีเรื่องสำคัญอะไรจะบอก แล้วอยู่ดีๆ สายก็หลุดไป โทร.กลับไปก็โทร.ไม่ติด”
“ถ้ามันมีเรื่องอยากเล่า มันก็โทรมาเองแหละ ไม่ต้องไปกังวลหรอกน่า”
เอกราชโอบคอประวิทย์พามานั่งคุยที่โซฟา เทไวน์แล้วยื่นให้เอาใจ ประวิทย์ยิ้มปลื้มลืมโลกไปเลย
“ลงทุนเอาใจกันขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องที่จะปรึกษาต้องเป็นเรื่องสำคัญมากๆ”
เอกราชยิ้ม “ฉันอยากจะปรึกษานายเรื่องชมพูน่ะ”
รอบยิ้มเต็มหน้าประวิทย์หุบลงทันที มองเอกราชด้วยสายตาเจ็บปวด แต่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
“ฉันจีบเค้ามาตั้งนานแล้ว แต่ยังเอาชนะใจเค้าไม่ได้สักที นายว่าฉันควรทำยังไงวะ”
ประวิทย์เอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่ตอบ จนเอกราชรู้สึกแปลกใจ
“เฮ้ย ไอ้วิทย์เป็นอะไรรึเปล่าวะ”
“อ๋อ เปล่า แค่กำลังคิดว่าจีบชมพูน่ะไม่ยากหรอก แค่นายต้องเข้าให้ถูกทางเท่านั้นเอง”
“หมายความว่าไงวะ”
“ชมพูเค้าเป็นคนรักพ่อแม่ ถ้านายทำให้สองคนนั้นหันมาเชียร์นายทุกอย่างมันก็ง่าย”
“แล้วฉันจะทำให้พ่อแม่ของชมพูหันมาเชียร์ฉันได้ยังไง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวฉันหาวิธีให้นายเอง”
“นายแน่ใจนะว่าจะได้ผล”
“ฉันเคยทำอะไรให้นายผิดหวังมั้ยล่ะ”
“ก็เพราะไม่เคยน่ะสิ ฉันถึงต้องให้นายช่วยตลอด ถ้าฉันขาดนาย ฉันจะอยู่ได้ยังไงเนี่ย”
เอกราชหัวเราะร่ามีความสุข แล้วหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอย่างอารมณ์ดี

ส่วนประวิทย์ลอบมองเสี้ยวหน้าเทพบุตรในฝัน ด้วยความรู้สึกเศร้าลึกๆ

ตกกลางคืน ริลณียืนอยู่ที่ระเบียงมองไปบนท้องฟ้าที่มืดหม่น ไร้แสงดาว ด้วยความรู้สึกหวั่นกลัว ว่าวันเวลาที่อยู่ร่วมกับเตชินอาจจะหมดลงในไม่ช้า หากความลับถูกเปิดเผย

แต่หากจะให้ไปฆ่าคนอีกเพื่อปกปิดความลับก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดริลณีก็ยิ่งสับสนไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี
“ผมเห็นคุณยืนหน้าเครียดอยู่ตรงนี้อยู่นานแล้ว มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”
ริลณีหันมามองหน้าคนรัก ถามขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ดูกังวล
“คุณรักรินรึเปล่าคะ”
เตชินแปลกใจปนงง “ทำไมอยู่ๆ ถามแบบนี้ละครับ”
ริลณีเว้าวอน “รินอยากรู้จริงๆ ค่ะ ว่าคุณรักรินรึเปล่า”
“สิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ รินยังไม่แน่ใจอีกเหรอว่า รินคือผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก และ อยากอยู่ด้วยไปจนตาย”
ริลณีมองหน้าเตชิน น้ำตาไหลเจ็บปวดกับโชคชะตา
“ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะเตชิน วันนี้รินรู้ว่าคุณรักริน แต่วันข้างหน้าทุกอย่างมันอาจจะเปลี่ยนไป ถ้าคุณรู้ว่าจริงๆ แล้วรินอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”
เตชินไล้นิ้วเช็ดน้ำตาปลอบ “รินจะเป็นอะไรผมไม่สน ขอแค่อยู่เคียงข้างผมแบบนี้ไปตลอด อยู่กันไปจนแก่” ชายหนุ่มยิ้มหยอกเย้าเพื่อทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น
ทว่าริลณีกลับไม่ยิ้มด้วย “แล้วถ้ารินอยู่ไม่ได้นานขนาดนั้น...”
เตชินรีบขัด “รินอย่าพูดแบบนั้น นี่ เชื่อมะ แค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่กับริน ใจผมก็สลายแล้ว” เขาพูดออกมาจากใจ พร้อมรอยยิ้ม “รินฟังผมนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะพยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้เราสองคนอยู่ด้วยกันนานที่สุด เหมือนที่ผมเคยสัญญากับริน ความตายก็พรากเราจากกันไม่ได้”
ริลณีน้ำตาไหลพราก ตื้นตันใจโผเข้ากอดเตชินแน่น
“ขอบคุณนะคะ เตชิน รินขอบคุณจริงๆ”
ริลณีร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

ใบหน้าเตชินที่ยิ้มอยู่ อดรู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับริลณีกันแน่

อีกฟาก ประตูบ้านหมอผีเจ๋ง ถูกทุบเสียงดังรัวๆ ราวกับเป็นฝีมือของคนบ้า พอประตูบ้านเปิดออก เห็นเชิงชายที่ออกอาการหวาดกลัวจนลนลาน หมอผีเจ๋งมองจ้องอย่างแปลกใจ
“มีอะไรวะ มาเคาะประตูบ้านข้าดึกๆ ดื่นๆ”
เชิงชายระแวงไม่หาย มองซ้าย มองขวา “ผมพูดตรงนี้ไม่ได้ นังผีนั่นจะตามฆ่าผม อาจารย์ต้องช่วยผม ผมยังไม่อยากตาย”
“งั้นรีบเข้ามาในบ้านก่อน มีอะไรค่อยพูดกัน”
เชิงชายลนลานเข้าไปในบ้าน รู้สึกโล่งอกและปลอดภัยแล้ว หมอผีเจ๋งมองไปข้างนอกในความมืด ยกมือพนม ก่อนจะหลับตาพึมพำคาถา เมื่อหมอผผีเจ๋งลืมตาเห็นผีพรายปรากฏกายอยู่ตรงหน้า
“เฝ้าบ้านเอาไว้ ไม่ว่าผีหรือคน อย่าให้ผ่านเข้าไปในบ้านได้”
ผีพรายหายวูบไป จอมอาคมรีบเข้าไปในบ้านทันที

เมื่อได้ฟังเชิงชายเล่าจนจบ หมอผีเจ๋งถึงกับหน้าเครียด
“คนอยู่กับผีงั้นเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ”
“ผมเห็นมากับตาจริงๆ แล้วคนที่นังผีนั่นอยู่ด้วยเป็นคนที่ผมรู้จักด้วย”
“แสดงว่าไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นตาย”
เชิงชายอึกอัก “ผมก็เพิ่งมารู้ ตอนที่ผมโดนหลอกนี่แหละ...ตอนเป็นคนก็ดูหงิมๆ แล้วทำไมตอนเป็นผีถึงได้น่ากลัวแบบนี้” ตอนท้ายเขาบ่นงึมงำ
“คงเพราะความรักและความแค้น ที่ทำให้มีพลังมากมายเกินกว่าผีตัวนี้” จอมขมังเวทย์ตบเข่าดังฉาด “ผีแบบนี้แหละที่ข้าต้องการ”
“แต่ผมหาสิ่งเชื่อมโยงกับนังผีนั่นมาให้อาจารย์ไม่ได้นะ”
“ไม่เป็นไร เรื่องจับนังผีนั่นข้าจัดการเอง แต่ตอนนี้เราสองคนต้องร่วมมือกัน เพราะข้ามีแผนใหม่ ที่จะทำให้เราสองคนได้เงินมากมายมหาศาลแล้ว”
เชิงชายได้ยินถึงกับผวา รีบส่ายหน้าไม่เอาด้วย
“ถ้าต้องเสี่ยงตายกับนังผีนั่น ผมไม่เอานะ ผมกลัว”
“มันต้องเสี่ยง แต่รับรองว่าเอ็งจะไม่ตาย อยู่กับข้าที่นี่ ไม่มีผีตัวไหนทำอะไรเอ็งได้แน่”
“อาจารย์คิดจะทำอะไร” เชิงชายงุงงง
“หาเงินจากผัวนังผีนั่น มันรวยไม่ใช่เหรอ”
เชิงชายทำเสียงตื่นเต้น “รวยมาก”
“งั้นก็เตรียมกระเป๋าใบใหญ่ๆ มาใส่เงินได้เลย งานนี้เราสองคนรวยแน่”

หมอผีเจ๋งหัวเราะสะใจกับแผนชั่วที่คิดได้ เชิงชายคล้อยตาม ยิ้มออกเห็นหนทางได้เงินใช้หนี้แล้ว

ภาพแบบเสมือนจริงของคอนโดหรูริมแม่น้ำหลายภาพ ถูกวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าพิชัย ซึ่งกำลังอ่านแผนการตลาด โดยมีเอกราชนั่งลุ้นอยู่ใกล้ๆ พิสมัยมองเอกราชอย่างสนใจและพิจารณา

พิชัยวางแผนการตลาดลง พลางมองหน้าเอกราชอย่างชื่นชมปนทึ่ง
“เป็นโครงการที่ดีเลิศ และ น่าร่วมลงทุนมาก” พิชัยมองหน้าจ้องตาเอกราชราวกับจะค้นความจริง “คิดยังไงถึงอยากชวนพวกเราไปร่วมลงทุนด้วย”
“ผมทราบว่าคุณอาชอบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ผมคิดว่าไม่มีโครงการไหนจะให้ผลตอบแทนดีเท่าโครงการนี้อีกแล้ว ผมถึงอยากหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดให้ครับ” เอกราชวางมาดนักธุรกิจ พูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“แต่เท่าที่ตามข่าว โครงการนี้ไม่รับผู้ลงทุนรายอื่น” พิชัยทักท้วง
“ใช่ครับ โครงการที่ได้กำไรแบบนี้ เราทำกันในเฉพาะคนใกล้ตัว แต่สำหรับคุณอาทั้งสอง ผมรู้สึกไม่ต่างจากญาติครับ”
“ไม่ต่างจากญาติ หรือ คิดจะอยากรวมญาติกันแน่”
พิชัยมองเอกราชยิ้มเป็นนัยอย่างรู้ทัน เอกราชทำเป็นก้มหน้าอาย
“คุณอารู้ทันผมตลอด”
“ก็ลูกสาวมีคนเดียวนี่นะ ใครจะมาคิด หรือ ไม่คิดอะไรกับลูกสาว ก็ต้องรู้เอาไว้ก่อน จะได้ไม่พลาดอีก” ผู้พูดหันไปถามภรรยา “ใช่มั้ยคุณ”
“เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว จะไปรื้อฟื้นทำไมอีกคะ” พิสมัยติง
“ไม่ได้สิ เรื่องนี้ผมต้องจำไว้ให้แม่น” พิชัยมองหน้าเอกราช “เพราะผมจะไม่ยอมให้ใคร มาทำให้ชมพูเสียใจอีกแล้ว”
เอกราชตัดสินใจพูดออกไป “ผมจริงใจกับชมพู อยากคบ แล้วก็อยากดูแลตลอดไป ผมอยากขอให้คุณ
อาทั้งสองให้โอกาสผม”
พิชัยยิ้มบางๆ “พูดตรงดี ฉันชอบคนตรงๆ แบบนี้ แต่เรื่องแบบนี้ ฉันชอบก็คงช่วยอะไรไมได้ เพราะนายคงต้องทำให้ลูกสาวฉันชอบก่อน”
“แต่ชมพูใจแข็งมาก จนผมไม่รู้จะทำยังไงดีน่ะครับ”
เอกราชตีหน้าเศร้าเรียกคะแนนสงสาร พิชัยมองหน้าพิสมัยหัวเราะชอบใจ
“อยากให้พวกเราช่วยว่างั้น”
“ถ้าคุณอาทั้งสองจะกรุณานะครับ”
พิชัยทำเป็นถามหยั่งเชิงกับพิสมัย “เอายังไงดีล่ะคุณ จะช่วยดีมั้ย”
“ทำมาเป็นถาม คุณก็อยากช่วยอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่ยอมมานั่งด้วยอย่างนี้หรอก” พิสมัยหมั่นไส้
“รู้ทันตลอดเลย”
เอกราชตื่นเต้นดีใจ “ขอบคุณนะครับ”
พิชัยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เอกราชทรุดลงไปที่พื้น ขยับเข้าไปกราบขอบคุณที่ตักของพิสมัยและพิชัย เฉพาะพิชัยมองชายหนุ่มด้วยความชื่นชมและเอ็นดูเอามากๆ เอกราชลอบยิ้มพอใจที่ทุกอย่างสำเร็จตามแผนกุนซือชื่อประวิทย์

อีกฟาก ที่บ้านเด็กกำพร้า ชมพู เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็ม กำลังช่วยกันเรียงขนม และ ผลไม้ใส่จานเล็กๆ เตรียมเอาไว้ให้เด็กๆ เฟื่องฟ้ามองชมพูด้วยสีหน้าสงสัย
“วันนี้ชมพูไม่ต้องไปดูแลคุณแม่ของคุณเตชินแล้วเหรอ”
“ไม่ต้องแล้วละ มีคนอาสาไปดูแลเยอะแล้วนี่ ฉันไปก็ไปเป็นก้างขวางคอพวกเค้าเปล่าๆ”
ชมพูพูดประชดในทีมีอารมณ์โกรธเจือในน้ำเสียง เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มมองหน้ากัน ไม่เคยเจอชมพูอารมณ์แบบนี้มาก่อน
“โอเครึเปล่าเนี่ย” เอทีเอ็มถาม
“โอเค๊” ชมพูยอกเสียงสูง
“เสียงสูงแบบนี้ยังกล้าบอกโอเคอีก” เอทีเอ็มเย้า
“โอเคจริงๆ โอเคมากๆ เพราะฉันกับเค้าไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว พี่เตชินจะมีสาวๆ กี่คนมารุมรักรุมจีบ ก็ไม่เกี่ยวกับฉัน”
เฟื่องฟ้าหน้าเศร้าลง “งั้นคนที่น่าสงสาร ก็คือรินน่ะสิ กับแม่ผัวก็ยังเข้าหน้าไม่ได้ ยังจะมีมารหัวใจมารังควานอีก เกิดเป็นรินนี่ลำบากจริงๆ”
“แต่ก็ยังดีที่คุณเตชินรักรินมาก อย่างน้อยความรักก็ชนะทุกสิ่ง ว่ามั้ย”
เอทีเอ็มหันไปถามชมพู สังเกตเห็นว่าชมพูหน้าหมองลงไปถนัดตา
“เป็นอะไรรึเปล่า”
ชมพูเปลี่ยนเรื่อง “เดี่ยวฉันไปเอาขนมมาเพิ่มดีกว่า”
จากนั้นเดินออกไปเลย เอทีเอ็มมองตามงงๆ ปนเป็นห่วง เฟื่องฟ้าที่มองอยู่ฟาดแขนเผียะ
“ซื่อบื้อ ไปพูดว่าคุณเตชินรักรินมาก ต่อหน้าชมพูได้ไงเนี่ย”
“เอ้า ก็เค้าเลิกกันแล้วนี่”
“เลิกแต่ตัว แต่หัวใจเค้าเลิกรึยังเหอะ ชมพูรักคุณเตชินมาตั้งหลายปี จะให้เลิกรักในวันสองวันเนี่ย เป็นไปไม่ได้หรอก”
เอทีเอ็มได้ฟังก็หน้าเสีย รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดไปจริงๆ

ขณะที่ชมพูยืนนิ่งมองขนมตรงหน้าด้วยแววอันเจ็บปวด เอทีเอ็มเดินตามเข้ามาหยุดมองก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ขอโทษนะ ฉันมันซื่อบื้อ ปากไม่ดี พูดอะไรไม่ทันคิด”
ชมพูหันกลับมา เห็นเอทีเอ็มก้มหน้าจ๋อย
“ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก ฉันต่างหากที่ควรจะทำใจให้ได้ แล้วชินที่จะได้ยินเรื่องที่พี่เตชินรักรินมากสักที” ชมพูมองหน้าเอทีเอ็ม ระเบิดความรู้สึกที่เก็บกดออกมา “ฉันควรยินดีกับเพื่อน แต่ฉันกลับรู้สึกอย่างนี้ มันไม่ดีเลยใช่มั้ย”
“ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้”
“แต่ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น เพราะฉันความจำเสื่อม ฉันจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่ฉันจำไม่ได้ แต่เรื่องนี้ฉันกลับรู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันไม่รู้ว่ามันเพราะอะไร”
“เพราะเธอรักคุณเตชินจริงๆ ไง ฉันเข้าใจที่เธอรู้สึก เพราะฉันก็รักรินแบบนั้นเหมือนกัน”
“ฉันเป็นเพื่อนที่แย่มากใช่มั้ย”
“ถ้าเธอแย่ เราสองคนก็คงแย่ทั้งคู่” เอทีเอ็มพยายามพูดตลก “เพราะฉะนั้นคนแย่สองคนถึงต้องมานั่งแจกขนมให้เด็กอยู่ด้วยกันนี่ไง”
ชมพูมองหน้าอีกฝ่าย ยิ้มออก แล้วนึกขึ้นมาได้
“อุ๊ย ใกล้ถึงเวลาเด็กๆ จะมาแล้ว ยังจัดขนมไม่เสร็จเลย รีบไปทำงานกันต่อเถอะ”
ชมพูเอื้อมไปหยิบถุงขนม แล้วรีบหันตัวจะเดินกลับไป แต่พลาดลื่นสะดุดจะล้ม เอทีเอ็มคว้าตัวไว้ได้ทัน ทั้งสองหันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างเขิน เฟื่องฟ้าเดินเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“เฮ้ย”
สองคนตกใจรีบผละจากกัน ชมพูหยิบถุงขนมแล้วเดินออกไป เฟื่องฟ้าเดินเข้ามามองเอทีเอ็มแขวะแซว
“ร้ายนะยะ”

เฟื่องฟ้าหยิบถุงขนมแล้วเดินออกไปเลย ส่วนเอทีเอ็มยิ้มหน้าแดงเขินใหญ่ แต่มีความสุขล้น

ภายในห้องประชุมของบริษัทเวลานี้ เอกราชนั่งหัวโต๊ะกล่าวกับผู้ร่วมประชุม ล้วนเป็นหุ้นส่วนดูระดับบิ๊ก ในนั้นเตชินที่นั่งอยู่ด้วย

“การแก้ไขและตกแต่งโรงแรมของเราก็เสร็จทันงานแกรนด์โอเพ่นนิ่งที่จะจัดอาทิตย์หน้า ผมขอเป็นตัวแทนทุกคน กล่าวขอบคุณ คุณเตชิน ที่ช่วยให้งานของพวกเราสำเร็จสมบูรณ์”
ทุกคนปรบมือให้ เตชินลุกขึ้นโค้งปลื้มใจ
“แล้วขอเชิญทุกคนมาร่วมสนุกกันในงานแกรนด์โอเพ่นนิ่งนะครับ”
เอกราชกล่าวปิดการประชุม ทุกคนลุกจากที่นั่งไปจับมือพลางตบไหล่เตชินกล่าวขอบคุณ เตชินยิ้มหน้าบานมีความสุข ผู้ร่วมประชุมคนอื่นออกไปหมดแล้ว ขณะเอกราชกำลังจะเดินออกไป เตชินเดินเข้าไปหา
“ผมยังไม่ได้ขอบคุณ คุณเลยทีเมื่อวาน ส่งขนมอร่อยๆ ไปให้”
เอกราชงงมาก “ขนมอะไรเหรอครับ”
“ก็ขนมที่คุณให้คุณเชิงชายเอาไปให้ที่บ้าน ให้เอาไปฝากคุณแม่ผม” เริ่มแปลกใจ
เอกราชยังงงอยู่ คิดปราดเดียวรีบเออออรับมุก “อ๋อ ขนมที่เชิงชายเอาไปให้ คุณแม่ชอบนะครับ”
“คุณแม่คงยังทานได้ไม่มาก แต่คนไปเฝ้าคงจะชอบมาก ของโปรดเค้าเลย”
“ชมพูเหรอครับ”
“ใช่ครับ”
เอกราชหน้าเครียดชัดแจ้ง “ผมได้ข่าวว่า ชมพูไปดูแลคุณแม่คุณเตชินทุกวัน”
“คุณเอกราชคงไม่คิดอะไรมากนะครับ ชมพูสนิทกับคุณแม่มากเลยอยากไปดูแล”
“จะให้ผมไม่คิดก็คงยาก แต่ถ้าคุณเตชินบอกว่าไม่มีอะไร ผมก็จะพยายามเชื่อใจครับ”
เตชินยิ้มขำ “คุณเชื่อใจได้เต็มร้อยครับ ผมมีคนที่คบอยู่แล้ว เรากำลังจะแต่งงานกันเร็วๆนี้ด้วย”
เอกราชฉงน แต่ดีใจมากกว่า “ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องเลยละครับ อย่างนี้ต้องพามารู้จักกันหน่อย อยากเห็น
หน้าสาวผู้โชคดี ที่ได้หนุ่มโสดในฝันของสาวๆ ไปครอง”
“ไว้วันงานเปิดตัวโรงแรม ผมจะชวนเค้ามานะครับ รับรองคุณต้องเซอร์ไพร์สแน่ๆ”
“ผมจะรอเซอร์ไพรส์นั้นครับ”
เตชินยิ้มให้แล้วเดินออกจากห้องไป เหลือเอกราชยืนยิ้มกริ่ม ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว

ขณะที่เตชินหิ้วกระเป๋าเดินออกมาตรงโถง มีโอเปอเรเตอร์สาววิ่งตามมา
“เดี๋ยวค่ะคุณเตชิน”
เตชินหันไปมองสีหน้าแปลกใจ “มีอะไรครับ”
“มีโทรศัพท์ถึงคุณค่ะ”
เตชินยิ่งงง “โทรศัพท์ ถึงผม”
โอเปอเรเตอร์เดินพาเตชินมาที่โทรศัพท์สายของบริษัทที่วางไว้อยู่ เตชินรับสายด้วยความแปลกใจ
“สวัสดีครับ ผมเตชินพูดครับ”
“ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ” เป็นเชิงชายที่ดัดเสียงพูด แต่ฟังดูไม่น่าไว้ใจ
เตชินฉงนฉงาย “เรื่องสำคัญอะไร”
“เรื่องสำคัญเกี่ยวกับผู้หญิงที่คุณอยู่ด้วยตอนนี้ แต่ผมบอกคุณทางโทรศัพท์ไม่ได้ ถ้าคุณอยากรู้คุณต้อง...”
ปลายสายพูดไม่ทันจบ เตชินกระแทกวางโทรศัพท์ลงด้วยความโมโห
“ไอ้พวกโรคจิต”
เตชินเดินออกไปไม่ได้สนใจโทรศัพท์สายนั้นสักนิด

เชิงชายอยู่ในบ้านหมอผีเจ๋ง วางโทรศัพท์ลงหน้าเครียด
“มันวางหูใส่ผมเฉยเลย ท่าทางมันดูไม่สนใจเลยนะอาจารย์ แล้วอย่างนี้เราจะขายความลับได้ยังไง”
“ครั้งแรกไม่สนใจ ครั้งที่สองก็ต้องทำให้สนใจให้ได้”
“แล้วถ้ามันไม่สนใจเลยล่ะ”
“ไม่มีทาง ถ้ามันรักนังผีนั่นจริงมันต้องอยากรู้”
“แล้วเราหาวิธีอื่นไม่ได้เหรออาจารย์”
“นายมีทางเลือกอื่นรึไง บอกได้เลยนะว่าถ้านังผีนั่นมันรู้ว่านายทำแบบนี้ มันไม่เอานายไว้แน่ เพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้คือที่เดียวที่ปลอดภัย”
เชิงชายเซ็งโครตๆ “แสดงว่าผมออกไปไหนไม่ได้ จนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จ ทำไมผมถึงซวยแบบนี้”
“ก็ถ้าอยากได้เงิน ต้องอดทน”
หมอผีเจ๋งยื่นสมุดหน้าเหลืองมาให้ตรงหน้า
“หาเบอร์ทุกอย่างที่มันไป โทร.ตื้อมันไปทุกที่ อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทนไม่อยากรู้ได้มากแค่ไหน”
เชิงชายรับสมุดโทรศัพท์ไปเซ็งๆ ส่วนหมอผีเจ๋งยิ้มชั่วออกมา

หลายวันมานี้ ไม่ว่าเตชินจะไปที่ไหน เชิงชายก็โทร.ไปดักทุกที่ ขณะเดินเข้ามาในบริษัทเอกราช โอเปอเรเตอร์พาเตชินมารับโทรศัพท์ตรงเค้าน์เตอร์ เตชินรับสายหน้าเครียด
“คุณไม่อยากรู้ความลับของผู้หญิงที่คุณอยู่ด้วยเหรอ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับ...”
เชิงชายยังพูดไม่ทันจบประโยค เตชินกระแทกหูโทรศัพท์ด้วยความโมโห ก่อนจะหันไปสั่งโอเปอเรเตอร์
“ถ้าเสียงนี้โทร.มา ตัดสายไปเลย ผมไม่รับ มันเป็นพวกโรคจิต”
เตชินเดินออกไป โอเปอเรเตอร์จ๋อย
พออีกวันมาเยี่ยมจิตราที่โรงพยาบาล กำลังเช็ดหน้าเช็ดตาให้แม่ สร้อยก็ยื่นโทรศัพท์ของโรงพยาบาลให้
“มีคนโทรหาคุณเตค่ะ”
เตชินสงสัย แต่ยอมมารับ “สวัสดีครับ ผม...”
เสียงเชิงชายพูดขึ้นทันที “เชื่อผมสักครั้ง เรื่องนี้คุณต้องรู้จริงๆ ผู้หญิงคนนั้น”
เตชินวางสายไปไม่สนใจ แต่สีหน้าเริ่มเครียด
ขณะเตชินกำลังขับรถกลับบ้าน เสียงโทรศัพท์มือถือดัง เตชินกดรับด้วยบลูทูธ
“คุณไม่อยากรู้จริงๆ เหรอ เรื่องที่ผมจะบอก เกี่ยวกับความเป็นความตายของคุณเลยนะ”
“คุณหยุดรังควานผมสักทีได้มั้ย”
“ผมอยากช่วยคุณจริงๆ นะเตชิน ลองฟังเรื่องที่ผมจะบอกคุณสักครั้งเถอะ”
“ผมไม่ฟังอะไรทั้ง แล้วไม่ต้องโทร.มายุ่งกับผมอีก”

เตชินกดวางสายด้วยความโมโหสุดขีด ชักเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว

อ่านต่อหน้า 4 ไป

นางชฎา ตอนที่ 10 (ต่อ)

เตชินหงุดหงิดมาก ตัดสินใจมาปรึกษาเรื่องโทรศัพท์แปลกๆ กับชัช อีกฝ่ายมองหน้า แล้วถามกลับด้วยความสงสัย

“แล้วนายไม่อยากรู้เหรอวะ ว่าเรื่องอะไร”
“จะเรื่องอะไร๊ มันก็จะโทร.มาหลอกเอาเงินน่ะสิ”
“แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของแก มันก็น่าจะอยากรู้หน่อยนะ เพราะพูดจริงๆ น้องรินเค้าก็เหมือนมีอะไรปกปิดๆอยู่ แกไม่สงสัยเหรอว่าสองปีที่เค้าหายไป เค้าไปทำอะไร”
“ถึงเค้าจะไปทำอะไร หรือ ผ่านอะไรมา ฉันก็ไม่สนใจทั้งนั้น”
“เออ ไอ้คนดี ไอ้คนรักเมียหัวปักหัวปำ ทำเป็นไม่อยากรู้ไปเถอะ ระวังมารู้ทีหลังแล้วจะเงิบ”
ชัชหมั่นไส้ เดินออกไป แต่รีบร้อนจนสะดุดท่าทางน่าขำ เตชินคิดตามแล้วเครียด ไม่รู้จะทำยังไงดี

เตชินและริลณีนั่งดูข่าวทีวีอยู่ด้วยกันในห้องโถง ทั้งสองจับมือกันสวีทหวาน เสียงโทรศัพท์ของเตชินดังขึ้นเตชินเห็นเป็นเบอร์แปลกๆ ก็หน้าเครียดและไม่ยอมรับจนสายหลุดไป สักพักก็โทร.เข้ามาอีก เตชินก็ไม่ยอมรับอีก ริลณีถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ละคะ”
“คงโทร.ผิดมั้งครับ”
“ยังไม่ได้รับเลย แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าโทร.ผิด”
เตชินมองโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาอีก ท่าทางยุ่งยากใจ สุดท้ายตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ลุกเดินออกไปจากห้อง เหมือนไม่อยากรับต่อหน้าริลณี อีกฝ่ายยิ่งสงสัย

ริลณีตามออกมาแอบยืนมอง เห็นเตชินคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“ผมไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น พวกคุณไม่ต้องโทร.หาผมอีก”
“เงินไม่เท่าไหร่ แลกกับความลับของเมียคุณ ความลับที่ถ้าคุณได้รู้แล้ว คุณจะต้องขอบคุณผมที่บอกไปจนวันตาย นี่ถ้าผมไม่รักคุณจริง ผมไม่เสี่ยงชีวิตบอกคุณหรอกนะ” เชิงชายดัดเสียงโน้มน้าวเป็นการใหญ่
“เก็บความหวังดี ของพวกแกเอาไว้เถอะ ไอ้พวกขยะสังคม”
เตชินกดวางสายแล้วปิดเครื่องไปเลย หงุดหงิดและโมโหมาก พอหันมาก็เห็นว่าริลณียืนจ้องมองมา ด้วยหน้าตาบูดบึ้ง เตชินหน้าเสียนึกว่าอีกฝ่ายโกรธตน รีบเข้าไปเอาใจกลบเกลื่อน
“รินออกมาเดินข้างนอกทำไมครับ ดึกๆ น้ำค้างแรง เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เตชินโอบเอวริลณีพาเข้าบ้าน “ไปนอนกันดีกว่า”
“คุณไปนอนก่อนเถอะค่ะ รินคิดว่า รินมีเรื่องต้องจัดการค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของผู้หญิง ไม่สำคัญอะไรหรอกค่ะ”
“แล้วรีบมานอนนะครับ”
เตชินหอมแก้มริลณีอย่างรักใคร่ แล้วเดินเข้าไปด้านใน ริลณียิ้มส่งอย่างอ่อนหวานจนเตชินลับตัวไป แววตายิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดทันควัน คำรามในลำคอ
“กู เตือน พวก มึง แล้ว นะ”

ด้านเชิงชายโวยวายใส่หมอผีเจ๋ง ที่นั่งบริกรรมคาถาอยู่ตรงหน้าโต๊ะบูชา
“อาจารย์ ผมไม่ไหวแล้วนะ โดนมันทั้งด่า ทั้งกระแทกหูโทรศัพท์ใส่ จนหูจะชาหมดแล้ว โทร.แบบนี้ ยังไงก็ไม่มีทางได้ผล”
จอมขมังเวทย์หลับตาบริกรรมคาถายิ้ม
“ไม่ได้ผลกับคนนึง แต่ได้ผลกับอีกคนนึง มันกำลังมาแล้ว”
เชิงชายงงระคนแปลกใจ “ได้ผลกับใคร ใครกำลังมาอาจารย์”
หมอผีเจ๋งลืมตายิ้มร้ายออกมา “ก็นังผีนั่นไง”
เชิงชายตาเหลือก ตกใจแทบเสียสติ “นังผีนั่น ที่อาจารย์ให้ผมโทร.หาเตชิน เพราะต้องการล่อมันมางั้นเหรอ อาจารย์จะบ้ารึไง เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดหรอก”
“ยิงปืนนัดเดียวมันก็ต้องได้อะไรๆ คุ้มหน่อยสิ นายได้เงินค่าความลับ ส่วนฉันได้นังผีนั่นมาเป็นทาสรับใช้ ฮ่าๆๆ”
“แต่เราไม่ได้ตกลงกันแบบนี้นะ ไอ้เจ๋ง ไอ้เจ้าเล่ห์”
เชิงชายโกรธจัด กระโจนเข้าไปหมายจะจัดการหมอผีเจ๋ง แต่มีเสียงโครมคราม เหมือนกับมีอะไรขนาดใหญ่ตกลงบนหลังคาขัดจังหวะ เชิงชายชะงักกึก ส่วนหมอผีเจ๋งเงยหน้ามองไปบนหลังคายิ้มอย่างพอใจ
“ไม่ว่าแกจะชอบใจหรือไม่ชอบใจ แกก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว ก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะอยู่ข้างเดียวกัน หรือออกไปให้นังผีนั่นหักคอ”
เสียงดังกรอบแกรบ เหมือนมีใครเดินย่ำอยู่บนหลังคา ฟังน่าสยดสยอง เชิงชายผวากลัวจับจิตหันไปถามหมอผีเจ๋งเสียงสั่น
“นะ…นะ นั่นเสียงอะไร”
อาจารย์เจ๋งยิ้มสมใจ “มันมาแล้ว”
เชิงชายเบิกตากว้าง ถลันไปซุกหลังหมอผีเจ๋งด้วยความกลัว

จริงดังว่า ผีริลณีเดินย่ำไปมาอยู่บนหลังคาบ้านหมอผีเจ๋ง สีหน้าและแววตาดูน่าสะพรึง ผีริลณีโกรธถึงขีดสุด
“กูบอกพวกมึงแล้วใช่มั้ย ว่าอย่ายุ่งเรื่องของกู ทำไมถึงไม่เคยฟัง ทำไมพวกมึงถึงต้องคอยตามรังควานความสุขของกู ทำไม๊”
ริลณีกรีดร้องคำรามด้วยความโกรธ เสียงดังโหยหวน ชวนขนลุกขนพอง

เสียงกรีดร้องอันโหยหวนชวนสยองของริลณีดังก้องไปทั่วบ้าน เชิงชายทนฟังไม่ไหวต้องเอามือปิดหู
“ทำอะไรสักอย่างสิอาจารย์ เดี๋ยวมันก็ได้ฆ่าพวกเรากันหมดหรอก”
“ตราบใดที่พวกเราอยู่ในบ้านหลังนี้ ไม่มีทางที่มันจะทำอะไรพวกเราได้”
“แล้วอาจารย์จะปล่อยให้มันร้องอยู่อย่างนี้น่ะเหรอ”
หมอผีเจ๋งสั่ง “ไปเอาหม้อดินตรงนั้นมา ข้าจะจับนังผีนั่น”
เชิงชายไม่มีทางเลือกจำใจเดินไปหยิบหมอดินที่วางอยู่ตรงหน้าต่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นผีริลณีที่อยู่นอกหน้าต่าง จ้องเขม็งอยู่ด้วยดวงตาแดงเป็นสีเลือด
“มึง ต้อง ตาย”
เชิงชายตกใจปล่อยหม้อดินตกแตก วิ่งหนีไปหาหมอผีเจ๋ง
“อาจารย์ อาจารย์ มะ…มันอยู่ตรงนั้น”
“พวก มึง หนี กู ไม่ ได้ หรอก ฮ่าๆๆ”
ผีริลณีพยายามจะเข้ามาในบ้าน แต่เข้ามาไม่ได้ หมอผีเจ๋งยิ้มชั่ว หลับตาบริกรรมคาถา ปล่อยผีพรายที่เลี้ยงไว้ บินวนไปวนมาอยู่ในห้อง
“ไปจับนังผีนั่นมา เป็นข้ารับใช้ของข้าให้ได้”
ผีพรายรับคำสั่ง แล้วลอยวูบออกไป หมอผีเจ๋งหยิบหุ่นดินปั้นแทนตัวผีพรายขึ้นมา หลับตาบริกรรมคาถาเพื่อสู้กับริลณี

ผีริลณีจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่กำแพงเวทย์มนต์ที่หมอผีเจ๋งสร้างเอาไว้ ทำให้ร่างถูกผลักกระเด็นออกมาทุกครั้ง นั่นยิ่งทำให้ผีสาวโกรธหนัก ริลณีหลับตารวบรวมกำลัง ดวงตาเปลี่ยนไปเป็นสีดำ เล็บมือ เล็บเท้า สีปากก็เป็นสีดำจนสิ้น บัดนี้ริลณีกลายเป็นปิศาจร้ายผู้ไร้ความงดงามไปแล้ว และพยายามจะฝ่าวงล้อมเวทย์มนต์ให้ได้ ปากร้องคำรามอย่างน่ากลัว
“กู จะ ไม่ ปล่อย พวก มึง สอง คน ให้ กลับ มา ทำ ร้าย กู เป็น หน ที่ สอง อีก แล้ว”
ขณะที่ริลณีพยายามจะฝ่าวงล้อมกำแพงเวทย์มนต์เข้าไป ผีพรายเข้ามาขวางไว้บินวนล้อมรอบตัวเพื่อจะจับวิญญาณของริลณีให้ได้ ผีพรายพันตัวริลณีเอาไว้จนแน่นหนา ราวกับว่าจะจับตัวริลณีได้แล้ว แต่ริลณียิ้มอย่างสะใจ ไม่สะทกสะท้าน
“คิดจะจับตัวฉันงั้นเหรอ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
ริลณีจ้องหน้าผีพรายอย่างไม่กลัวเกรง และด้วยพลังที่เหนือกว่า ทำให้ร่างผีพรายที่พันตัวริลณีอยู่ค่อยๆคลายออก ผีพรายรู้ว่าสู้ไม่ได้พยายามจะหนี แต่ผีริลณีคว้าคอผีพรายเอาไว้ บีบอย่างแรงด้วยมือเดียว ผีพรายดิ้น แต่ไม่สามารถหลุดออกจากมือที่แข็งแกรง และพลังความโกรธแค้นมหาศาลของริลณีได้

ริลณีบีบคอผีพรายแน่นขึ้นๆ จนในที่สุดร่างผีพรายก็แตกสลายหายไปในอากาศ

หุ่นพยนต์ผีพรายในมือหมอผีเจ๋งก็แตกกระจุย จอมอาคมลืมตาขึ้นด้วยความโกรธ ไม่คิดว่าริลณีจะมีพลังมากขนาดนี้

“มันฆ่าผีพรายของข้า นังผีนั่นมีพลังมากกว่าที่ข้าคิด”
เชิงชายกลัวสุดขีด “จะทำยังไงล่ะ อาจารย์ มันจะมาฆ่าเราได้มั้ย”
เสียงดังโครมครามจากบนหลังคาดังขึ้นเสียง และดังย่ำถี่ๆ ราวกับคนเป็นร้อยพยายามจะพังหลังคาลงมาในบ้านนี้ให้ได้ สองคนแหงนมอง
“มันอยู่บนหลังคา มันพยายามจะเข้ามาในบ้านให้ได้”
“ไม่เอานะอาจารย์ อย่าให้มันเข้ามา ผมยังไม่อยากตาย”
อาจารย์เจ๋งรำคาญตวาดลั่น “หุบปากซะทีเถอะ ข้าหมอผีเจ๋ง ไม่มีวันแพ้นังผีกระจอกนั่นหรอก...”
หมอผีจอมอาคมพูดยังไม่ขาดคำ หลังคาบ้านก็พังครืนลงมา
เชิงชายเงยหน้าขึ้นมอง เห็นผีริลณีชะโงกหน้าลงมา จ้องทั้งสองด้วยสายตาแข็งกร้าว เชิงชายร้องเสียงหลง
“อาจารย์...อาจารย์ มันมาแล้ว มันจะเข้ามาแล้ว”
ผีริลณีจ้องทั้งสองคน ก่อนจะยื่นมือยาวออกๆ ลงมาจากหลังคาตรงเข้าไปบีบคอเชิงชาย
เชิงชายถูกบีบคอจนหน้าเขียว พยายามดิ้นหนีแต่หนีไม่ได้ หมอผีเจ๋งหยิบมีดอาคมออกมา บริกรรมคาถาแล้วลุกขึ้นใช้มีดนั้นฟันฉับไปบนแขนผี ริลณีกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ปล่อยมือจากคอเชิงชายทันที
“มึงคิดว่าคนอย่างหมอผีเจ๋งไม่มีของดีรึไง มึงประเมินกูผิดไปแล้ว”
หมอผีเจ๋งใช้มีดหมอฟันไปกลางอากาศ พลังและอานุภาพอันร้ายกาจของมีดอาคมเล่มนั้นทำให้ผีริลณีกระเด็นออกไปจากหลังคา
หมอผีเจ๋งหันไปสั่งเชิงชาย “รีบไปเอาหม้อมาเร็ว ข้าจะจับนังผีนั่น”
เชิงชายกุมคอกระโจนไปเอาหม้อดินอีกใบ แล้ววิ่งตามหมอผีเจ๋งออกไปทันที

ผีริลณีนอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอยู่กับพื้นหน้าเรือน หมอผีเจ๋ง และ เชิงชายปรี่เข้ามา
“เป็นไงล่ะนังผี เจอมีดอาคมเข้าไป ถึงกับจุกเลยใช่มั้ยล่ะ”
ริลณีเจ็บไปทั่วร่าง เหลียวขวับมามองสองคนชั่วด้วยความแค้น
“กูไม่เคยทำอะไรพวกมึง ทำไมมึงต้องทำร้ายกู”
“บีบคอจนจะตาย ยังว่าไม่ทำร้ายอีก อาจารย์จับมันเลย อย่าให้มันได้ไปผุดไปเกิด”
หมอผีเจ๋งเดินถือมีดยื่นไปตรงหน้าริลณี พยายามจะวาดยันต์เพื่อสะกดวิญญาณ แต่ริลณีกลับเอื้อมมือมาจับมือที่กำมีดของหมอผีเจ๋งหมับ หมอผีเจ๋งแปลกใจ
“มึงคิดว่าของกระจอกแบบนี้ จะทำอะไรกูได้งั้นเหรอ”
ริลณียิ้มสะพรึง หักข้อมือหมอผีเจ๋งบิดเต็มแรงจนข้อมือหัก จอมอาคมลงไปนอนดิ้นด้วยความเจ็บปวดบนพื้น
เชิงชายเห็นท่าไม่ดีจะวิ่งหนี แต่ผีริลณีลอยวูบมาขวางไว้ เชิงชายทรุดตัวลง ยกมือไหว้ปลกๆ ร้องไห้อย่างหมดทางสู้
“ฉันผิดไปแล้ว ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว อย่าฆ่าฉันเลยริลณี ฉันขอร้อง”
“กูจะให้โอกาสมึงเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ามึงยังเรื่องยุ่งของกูกับเตชินอีก มึงตายแน่”
ร่างริลณีหายวับไป เชิงชายได้สติรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปดูอาการอาจารย์เจ๋งที่ร้องโอดโอยหมดสภาพอยู่
“อาจารย์...อาจารย์...อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ”
หมอผีเจ๋งโกรธแค้นและเสียหน้าสุดขีด รีบลุกขึ้น
“กูไม่เป็นอะไรหรอก” แต่แขนที่หักเจ็บแปลบขึ้นมาอีก “โอ๊ย...นังผีนั่นมันกล้าหยามกู ต่อให้ต้อง
ขุดวิชาจากสำนักไหน กูก็จะทำ ถ้ากูจับนังผีนั่นไม่ได้ อย่ามาเรียกกูว่าหมอผีเจ๋ง”
“ไหวมั้ยอาจารย์”
“รีบพากูไปโรงพยาบาลสิวะ”
เชิงชายรีบพยุงพาหมอผีเจ๋งออกไปอย่างทุลักทุเล หมอผีจอมอาคมแค้นแทบกระอัก

เช้าวันนี้ เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็มกำลังใส่บาตร หยิบถุงข้าวสวย ถุงกับข้าว ขนม และน้ำลงในบาตร พระให้พร สองคนนั่งลงไหว้รับพรอย่างตั้งใจ จนพระเดินไปแล้วทั้งสองจึงลุกขึ้น เฟื่องฟ้าหันมามองหน้าเอทีเอ็มแปลกใจ
“วันนี้นึกยังไงถึงชวนมาตักบาตร”
“ฉันฝันเห็นรินกำลังถูกคนรุมทำลาย รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เลยอยากมาใส่บาตรให้เจ้ากรรมนายเวรของริน ขออย่าให้เค้าทำร้ายรินเลย”
เฟื่องฟ้าหมั่นไส้ “เป็นห่วงเค้าแทนที่จะไปหาไปบอกว่าห่วง ดั๊นมาใส่บาตรให้ มิน่านายถึงจีบใครไม่ติด”
เอทีเอ็มโวย “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันจีบให้ไม่ได้คิดด้วย”
“ก็เพราะนายมันซื่อบื้อ ไง”
“อูย... แม่คนฉลาดหลักแหลม ถ้าเป็นเธอจะทำยังไงงั้นเหรอ”
“ถ้าเป็นฉัน ฉันก็จะรีบไปเยี่ยมรินที่บ้าน แล้วบอกเค้าว่าเป็นห่วง แล้วก็อาจจะชวนชมพูไปด้วย เพราะเราสี่คนไม่ได้เจอกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตานานแล้ว เป็นไงแผนฉันฉลาดมั้ย”
เอทีเอ็มยิ้มดีใจ “ฉลาด ฉลาดมาก จะไปวันนี้เลยมั้ย”
เฟื่องฟ้าโวยกลับ “เฮ้ย แค่ยกตัวอย่างไม่ได้จะทำจริงๆ”
“แต่ฉันอยากไปจริงๆ นี่” เอทีเอ็มยิ้มกริ่ม “งั้นเดี๋ยวฉันรีบโทร.ไปชวนชมพูก่อนนะ”
เอทีเอ็มเดินเข้าบ้านไป พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร. เฟื่องฟ้ามองตามตะโกนแซว
“แหม…อยากเจอชมพูก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเอาแผนฉันมาอ้าง”

เอทีเอ็มหันมายิ้มเขินอายที่เพื่อนรู้ทัน ส่วนเฟื่องฟ้ามองขำๆ

ไม่นานนัก รถตู้คันหรูของชมพูแล่นเข้ามาจอดหน้าเรือนใหญ่บ้านทรงไทย สมหมายกับหมูหวานรีบเข้าไปเปิดประตู ให้ทันทีที่ชมพู เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็มลงมาจากรถ หมูหวานถลาเข้าไปกอดชมพูด้วยความคิดถึง

“คุณชมพู คิดถึงจังเลยค่า”
“หมูหวานมันบ่นคิดถึงคุณชมพูทุกวันเลยครับ” สมหมายบอก
“เมื่อไหร่ คุณชมพูจะให้หมูหวานกลับบ้านคะ”
“พี่เตชินกำลังหาคนมาแทนอยู่นะจ๊ะ สองคนอดทนอีกหน่อยอีกไม่นานก็ได้กลับแล้ว”
“คุณชมพูไม่รู้อะไร พวกเราสองคนไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เพราะที่นี่…”
ก่อนที่คำว่า ผี กำลังจะหลุดจากปากหมูหวาน ริลณีก็เดินออกมาต้อนรับเพื่อนทั้งสามคนพอดี สายตาดุดันจ้องเขม็งไปที่หมูหวาน จนเด็กสาวกลัว ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“เอ่อ…หมูหวานไปทำงานก่อนนะคะ” พลางเข้าไปจูงมือพ่อด้วย “รีบไปเถอะพ่อ”
หมูหวานรีบร้อนจูงมือสมหมายออกไป ท่าทางลนลานหวาดกลัวจนเห็นได้ชัด
เฟื่องฟ้าโผเข้าไปกอดริลณีด้วยความคิดถึง
“คิดถึงจังเลย รินสบายดีนะ”
“สบายดีจ้ะ”
ขณะกำลังกอดริลณีอย่างสุขใจ อยู่ๆ เฟื่องฟ้าก็ได้กลิ่นเหม็นลอยมาเข้าจมูก จนต้องทำจมูกฟุดฟิดหาที่มา
“อึ๊ย กลิ่นอะไรน่ะริน เหม็นฉุนกึกเข้าจมูกเลย”
ริลณีตกใจ “กลิ่นอะไรเหรอ”
เฟื่องฟ้าทำจมูกฟุดฟิดไปมา “กลิ่นเหมือนอะไรเน่าๆ อย่างกับมีอะไรตายอยู่แถวนี้งั้นแหละ”
เอทีเอ็ม และ ชมพูก็เลยสูดดมกลิ่นไปด้วย
“แต่ฉันไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไรเลยนะ”
“ฉันก็ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย จมูกดีไปเปล่าเนี่ย” เอทีเอ็มเหน็บ
“ฉันได้กลิ่นจริงๆ นะ กลิ่นมันมาจากแถวๆ เนี้ย”
เฟื่องฟ้าเดินดมหากลิ่นวนเวียน อยู่รอบๆ ตัวริลณี โดยเฉพาะบริเวณท้องที่เนื้อเน่าของริลณี
“งั้นเดี๋ยวรินให้พี่สมหมายมาหา อาจจะมีอะไรมาตายจริงๆ พวกเราทุกคนขึ้นบ้านกันก่อนเถอะ”
ริลณีรีบตัดบท เดินนำทุกคนขึ้นเรือนไป เฟื่องฟ้ายังพยายามพิสูจน์ที่มาของกลิ่น
“อ๊ะ กลิ่นมันหายไปแล้วนี่ หายไปได้ยังไง แปลกชะมัด”
เฟื่องฟ้าหันมามอง พบว่าทุกคนหายไปกันหมดแล้ว ก็ตกใจ
“รอด้วย...ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นมีใครเรียก”

ชมพูยืนอยู่ตรงนอกชาน มองไปรอบๆ ตัวเรือน ที่ครั้งหนึ่งเคยเกือบจะเป็นเรือนหอตัวเองด้วยความรู้สึกอึดอัด นึกสะท้อนในอก เอทีเอ็มสังเกตเห็นท่าทีนั้น มองอย่างเป็นห่วง
“โอเครึเปล่า”
“มันก็รู้สึกแปลกๆ นิดๆ น่ะ มานั่งเป็นแขกอยู่ในบ้านที่ครั้งนึงเกือบจะเป็นเรือนหอตัวเอง”
เอทีเอ็มมองอย่างเห็นใจเป็นจังหวะเดียวกับที่ ริลณี และ เฟื่องฟ้า ช่วยกันยกถาดน้ำและขนมเข้ามาวาง
“คราวที่แล้วมาไม่ได้สำรวจบ้าน เมื่อกี้เดินดูไปนิดเดียว บ้านนี้สวยมาก พวกเราไปเดินดูบ้านกันมั้ย” เฟื่องฟ้านึกขึ้นได้ “อ๊ะ เอ่อ ชมพูคงเคยเห็นหมดแล้วสินะ” เลยชวนเอทีเอ็มแก้เก้อ “งั้นนายไปดูกับฉัน”
“ลากไปแบบนี้ เคยถามมั้ยว่าฉันอยากไปมั้ย” เอทีเอ็มบ่น
“จะอยากหรือไม่อยาก ยังไงนายก็ต้องไปกับฉัน”
เฟื่องฟ้าลากเอทีเอ็มออกไปจนได้ ชมพูกับริลณีมองทั้งสองขำๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้กันอย่างเขินๆ บรรยากาศอึดอัดนิดๆ
“เธอคงรู้สึกอึดอัดสินะ ที่ต้องมาที่บ้านหลังนี้อีก”
“ถ้าพูดกันแบบไม่เฟค ก็ต้องบอกว่า มันก็มีบ้าง แต่ไม่มากแล้วละ เห็นรินกับพี่เตชินอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ฉันก็พลอยมีความสุขไปด้วย”
ริลณีอดประชดไม่ได้ “เธอยังคงเป็นเพื่อนที่น่ารักมากเสมอเลยนะ ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยไปดูแลคุณแม่คุณเตชินให้”
ชมพูไม่คิดอะไร “อีกไม่กี่วันคุณป้าก็กลับบ้านได้แล้ว ต้องส่งไม้ต่อให้รินกลับไปดูแลเองแล้วนะ”
“ฉันกลัวว่าท่านเห็นหน้าฉันแล้วอาการจะกำเริบอีกน่ะสิ”
“ไม่หรอก รินต้องไปให้ท่านเห็นหน้าบ่อยๆ ไปดูแลท่าน ยังไงท่านก็ต้องเห็นใจรินอยู่แล้ว อยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณป้า ฉันจะติวให้รินเอง”
“ขอบคุณมากนะชมพู”
“ขอให้ฉันได้มีโอกาส ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีของรินบ้างเถอะนะ”
ชมพูเอื้อมมือไปจับมือริลณี ทันทีที่มือของทั้งสองสัมผัสกัน ชมพูก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แผลเป็นบนฝ่ามือ
“โอ๊ย”
ชมพูรีบชักมือออกพบว่าบริเวณแผลเป็นมีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด
“แปลกจริงๆ เลย ทำไมทุกครั้งที่ฉันพยายามคิดเรื่องริน หรืออยู่ใกล้ๆ ริน ไอ้แผลเป็นบนมือเนี่ยถ้าไม่เจ็บก็ต้องมีเลือดไหลออกมาทุกที รินเคยรู้เรื่องแผลเป็นบนฝ่ามือฉันมั้ย ถามใครก็ไม่มีใครบอกได้”
ริลณีจับมือชมพูมาดู ยิ้มในสีหน้าอันเยือกเย็นดูน่ากลัวนั้น พึมพำออกมาเบาๆ
“เข็มกลัดนางรำ”
ชมพูได้ยินไม่ถนัด “รินว่าอะไรนะจ๊ะ”
“รินบอกว่า รินไม่รู้อะไรหรอก บางทีคนที่รู้ดีเรื่องแผลเป็นนี้ดีที่สุด ก็คือตัวเธอเอง”
“แต่ฉันนึกยังไงก็นึกไม่ออก”
“พยายามนึกให้ออกนะ ฉันอยากให้เธอจำเรื่องวันที่เกิดแผลให้ได้ งั้นเดี๋ยวฉันไปเอาที่ทำแผลก่อนนะ”
ริลณีลุกเดินออกไป ชมพูมองแผลสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

“วันที่เกิดแผลงั้นเหรอ วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”

เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มลงมาชั้นล่าง เดินสำรวจมาจนถึงบริเวณมุมหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเป็นหลุมฝังศพของริลณี แต่ทันทีที่สองคนมาถึง ก็สัมผัสถึงความหนาวเย็นยะเยือกในบริเวณนั้นได้

เฟื่องฟ้าขนลุกซู่ “ทำไมตรงนี้ มันถึงรู้สึกเย็นยะเยือกๆ หลอนๆ ยังไงก็ไม่รู้ นายรู้สึกมั้ย”
เอทีเอ็มเองก็รู้สึกแต่ไม่พูด “บางอย่างรู้สึกแต่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็ได้นะ”
“อ้าว ก็ฉันรู้สึกว่าตรงนี้มันแปลกๆ”
เอทีเอ็มฉุน “เอ้า ยังจะขยี้อีก โบราณเค้าบอกว่าถ้ารู้สึกแปลกๆ อย่าทัก เดี๋ยวอะไรไม่ดีมันจะเข้าตัว”
สองคนเดินสำรวจต่อ ก่อนจะมาหยุดยืนตรงหลุมศพริลณีพอดิบพอดี ริลณียืนอยู่บนหลุมนั้นมองเพื่อนทั้งสองด้วยแววตาเศร้า แต่ทั้งคู่ไม่เห็น เฟื่องฟ้าเพ่งมองสังเกตเห็นดินเหนือหลุมศพ มีลักษณะแตกต่างจากดินส่วนอื่นบริเวณนั้น
“นายดูดินตรงนี้สิ ฉันว่ามันดูแปลกๆ กว่าตรงอื่นๆ นะ มันเหมือนถูกขุดแล้วกลบ แต่ดินมันไม่รวมเป็นเนื้อดินกับบริเวณอื่น แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเลยนะ”
“มันอาจจะเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่เค้าขุดทิ้งไป หรือ เค้าขุดดินตรงนั้นไปทำอะไรก็ได้” เอทีเอ็มว่า
“ใครจะสร้างอะไรเล็กแค่นี้ แล้วถ้าจะขุดดินไปใช้ ทำไมขุดไปเท่าหลุมฝังศพแบบนี้”
เฟื่องฟ้าพูดคำว่าหลุมฝังศพ โดยไม่ได้คิดอะไร แต่เอทีเอ็มสะดุดหูกับคำนั้นมาก
“นี่เธอคงไม่ได้คิดอย่างที่เธอพูดเมื่อกี้นะ”
“พูดอะไร ฉันพูดอะไรไปฉันจำไม่ได้”
“ก็หลุมอะไรที่เธอพูดน่ะ”
“หลุมอะไร ฉันไม่ได้พูดอะไรจริงๆ”
ขณะที่สองคนกำลังเถียงกันนั้น ริลณีที่ยืนอยู่บนหลุมศพเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูเฟื่องฟ้า
“ฉันอยู่ที่นี่…เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าหันขวับ รู้สึกขนลุกขนชันและหนาวแผ่นหลังขึ้นมาอย่างประหลาด
“เป็นอะไรของเธอ”
“อยู่ดีๆ ก็ขนลุกซู่ ๆ แถมยังหนาวๆ ยังไงก็ไม่รู้” เฟื่องฟ้าเริ่มผวากลัวขึ้นมาตะหงิดๆ
“หนาวอะไรของเธอ ร้อนจะตาย”
เฟื่องฟ้าไม่เห็นว่าผีริลณียืนอยู่ข้างหลัง
“ฉันหนาวจริงๆ นะ” พลางมองไปรอบๆ สีหน้าหวาดกลัว “ฉันว่าเรารีบกลับขึ้นเรือนกันเถอะ ฉันว่าที่
ตรงนี้ มันต้องมีอะไรแน่ๆ”
เฟื่องฟ้าวิ่งจู๊ดออกไปทันที
“อะไรของเค้าจะไปก็ไม่รอกันเลย”
เอทีเอ็มหันมองไปรอบๆ ผีริลณีเดินเข้ามาใกล้ จนเอทีเอ็มรู้สึกหนาวยะเยือกขนลุกขึ้นมาอย่างที่เฟื่องฟ้าบอกจริงๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรบางแปลกๆ อย่างที่เฟื่องฟ้าบอกจริงๆ
“ยายเฟื่องฟ้า รอด้วย...”
เอทีเอ็มวิ่งตามเฟื่องฟ้าไป
ผีริลณีได้แต่ยืนมองตามสองเพื่อนด้วยใบหน้าหมองจัด ก่อนจะหายตัวไปจากตรงนั้น

เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็มวิ่งเข้ามาบนเรือน เจอริลณีโผล่ออกมายืนยิ้มรอรับทั้งสองอยู่ตรงนอกชาน โดยทั้งสองไม่ทันตั้งตัว
เฟื่องฟ้าตกใจ “โอ๊ย รินโผล่มาเงียบๆ ตกใจหมดเลย”
ริลณียิ้มหลอนๆ “หนีอะไรกันมาเหรอ”
เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็ม มองหน้ากันยิ้มแหยๆ ริลณียิ้มรู้ทัน แล้วพากันเดินกลับไปหาชมพูที่นั่งอยู่ไม่ไกล โดยทั้งเฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็ม มองหน้ากันซุบซิบไปมา ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกไป

ขณะที่ชมพูมองแผลบนมือด้วยสีหน้าพิศวงที่เลือดหยุดไหลแล้ว ริลณี เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็ม เดินเข้ามาพอดี
“อยู่ดีๆ เลือดก็หยุดไหลแล้วละ แปลกจริงๆ”
เอทีเอ็มเป็นห่วง รีบเข้าไปดู “ชมพูเป็นอะไรเหรอ
“ไม่เป็นอะไรแล้วละ” ชมพูบอกริลณี “ขอโทษนะที่ทำให้รินต้องลำบาก ไปหายาวุ่นวาย”
“ไม่ได้ลำบากอะไรเลย แต่ชมพูหายก็ดีแล้วละ”
เฟื่องฟ้าเดินเข้าไปหาริลณี สีหน้าจริงจัง
“จากที่ไปเดินสำรวจบ้านมา ฉันเริ่มเป็นห่วงรินจริงๆ จังๆ แล้วละ” เฟื่องฟ้าตัดสินใจถอดสายสิญจน์ที่ใส่
ไว้ ยื่นให้ริลณี “ใส่ของแบบนี้ ไว้ป้องกันบ้างก็ดีนะ”
ริลณีชะงักไปชั่วขณะ มองเครื่องรางที่เฟื่องฟ้ายื่นให้โดยไม่กล้ารับ
“รับไปเถอะริน ถึงรินไม่เชื่อ ไม่กลัว แต่ถือว่าเป็นความหวังดีจากเพื่อนนะ” เฟื่องฟ้าคะยั้นคะยอ
“ปกติ ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่ยายเฟื่องฟ้าทำเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ ฉันเห็นด้วยจริงๆ บ้านนี้มันมีอะไรแปลกๆ” เอทีเอ็มเสริม
ริลณีอึกอักใหญ่ ไม่ใช่ไม่อยากรับ แต่เพราะรับไม่ได้ “แต่...”
“เถอะนะริน เพื่อนขอร้องละ”
ริลณีมองหน้าเฟื่องฟ้าที เอทีเอ็มที เห็นถึงความห่วงใย และ หวังดีจริงๆ จำต้องยื่นมือไปรับสายสิญจน์นั้นไว้ อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ขอบใจนะ”
ริลณีรับสายสิญจน์มากำมือเอาไว้ รีบเอามือไปซ่อนด้านหลังทันที ไม่มีใครเห็นว่ามือริลณีกำลังโดนสายสิญจน์แผดเผา เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส แต่ฝืนยิ้มอดทนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะ อยู่ดีๆ รินก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย คงดูแลทุกคนไม่ได้ วันนี้กลับไปกันก่อนเถอะนะ”
ชมพูเป็นห่วง “ต้องหาหมอมั้ย เดี๋ยวฉันพาไป”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่พักผ่อนก็หายแล้ว” ริลณีปวดแสบปวดร้อนมือที่จับสายสิญจน์มากขึ้นๆ “ขอตัวก่อนนะ”
ริลณีรีบร้อนเข้าห้องไป ท่ามกลางความแปลกใจของเพื่อนๆ เฟื่องฟ้ามองตามริลณีที่เดินออกไป เห็นร่างริลณีหายไปกลายเป็นร่างโปร่งแสง เฟื่องฟ้าตกใจรีบหันกลับมา ด้วยความรู้สึกแปลกๆ
“พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เฟื่องฟ้ารีบเดินนำลงบันไดไป โดยมีเอทีเอ็ม และ ชมพูที่ยังงงๆ เดินตามลงไป

ริลณีหลบเข้ามาในห้องได้ ก็รีบโยนสายสิญจน์นั้นทิ้งลงพื้นทันที มองมือที่ไหม้เป็นแผล ก่อนจะหลับตาฟื้น
พลัง จนแผลไหม้นั้นค่อยๆ กลับเป็นปกติ ริลณีถอนหายใจโล่งอก

เฟื่องฟ้ารีบพาทุกคนมาที่รถ ชมพูขึ้นไปก่อน เฟื่องฟ้ากำลังจะขึ้นตาม ถูกเอทีเอ็มดึงเอาไว้
“เป็นอะไรของเธอเนี่ย”
“ยังเล่าอะไรตอนนี้ไม่ได้ รีบกลับกันก่อนเถอะ”
เฟื่องฟ้า รีบดึงเอทีเอ็มขึ้นรถ ปิดประตูปัง คนรถ ขับออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว
หมูหวาน และ สมหมายยืนมองมาจากอีกมุม
“ลองรีบกลับขนาดนี้ ต้องเจอดีอะไรแหงๆ”
หมูหวานพยักหน้าเห็นด้วย สองพ่อลูกเหลียวมองขึ้นไปบนเรือน เห็นริลณียืนจ้องมองมาดูน่ากลัว ทั้งสองรีบหลบไปอย่างไว

ริลณีที่มองตามรถเพื่อนๆ ไปด้วยสายตาเศร้าสร้อย ความลับของเธอเริ่มไม่เป็นความลับแล้ว

อ่านต่อตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น