นางชฎา ตอนที่ 11
เสียงกริ่งบ้านเชิงชายดังระรัว เหมือนคนกดไม่มีความเกรงใจเอาเลย เจ้าของผลงานคือหงส์หยก และยังกดซ้ำๆ อย่างไร้มารยาทอยู่อีกนานสองนาน แต่ไม่มีใครมาเปิดรับสักที หงส์หยกชะเง้อชะแง้ สอดตามองเข้าไปด้านใน พบว่าบ้านทั้งหลังเงียบสนิท ราวกับไม่มีคนอยู่
“หายไปไหนของเค้า”
หงส์หยกพกความหงุดหงิดมาโผล่ที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนของประวิทย์ไม่นานต่อมา
ประวิทย์ยกอาหารมาเสิร์ฟ ตอบคำถามหงส์หยกที่นั่งหน้าเครียดอยู่ตั้งแต่มาถึง
“ก็บอกแล้วไง ว่ามันกำลังอาจจะหลบเจ้าหนี้”
“จะหลบไปจนตาย งานการไม่ทำรึไง ฉันอุตส่าห์หางานแต่งเพลงอีเว้นท์มาให้ ดูสิ มาเบี้ยวกันเฉยเลย แล้วฉันจะทำยังไงเนี่ย”
“ก็ให้คนอื่นเต่งไปสิ จะไปยากเย็นอะไร” ตุลเทพที่อยู่ด้วยบอก
“เห็นบอกว่าร้อนเงิน อุตส่าห์หาทางช่วย รู้งี้ไม่ช่วยให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก” หงส์หยกบ่นบ้าไม่เลิก
“แต่คราวนี้ไอ้เชิงชายมันหายไปนานจริงๆ นะ ไม่ติดต่อใครด้วย” ตุลเทพตั้งข้อสังเกต
“คงไม่ได้ถูกเจ้าหนี้ฆ่าตัดตอนไปแล้วนะ”
ประวิทย์ฟังหงส์หยกพูดแบบนั้น เริ่มรู้สึกเป็นห่วงตงิดๆ
คุณหญิงจิตราออกจากโรงพยาบาลวันนี้ เตชิน และ ณรงค์ กำลังช่วยกันอุ้มร่างให้ลงนอนบนเตียงในห้อง ที่จัดเตรียมไว้ จัดท่าให้นอนสบายที่สุด จิตรามองทั้งสามีและลูกด้วยแววตาสดชื่นมีความสุข
“ได้กลับบ้านเราแล้วนะคุณ ดีใจมั้ย” ท่านนายพลยิ้มให้
จิตราพยายามยิ้ม ณรงค์และเตชินมองหน้ากันยิ้มดีใจ
“คุณหมอบอกว่า ถ้าคุณแม่ขยันทำกายภาพ อีกไม่กี่เดือนคุณแม่ก็จะหายนะครับ”
“สัญญาว่าต้องห้ามดื้อ ห้ามเหวี่ยงนะคุณ”
จิตราอือๆ อาๆ เหมือนจะหัวเราะ
“ผมจะให้ริลณีมาคอยดูแลคุณแม่นะครับ”
จิตรายิ้มๆ อยู่กลายเป็นหน้าเครียดทันที และยังมีท่าทางผวากลัวขึ้นมาอีก ณรงค์รีบสะกิดให้เตชินหยุดพูด
“ถ้าคุณแม่ไม่ชอบ ผมไม่ให้รินมาก็ได้ครับ งั้นผมจะจ้างพยาบาลแทนนะครับ”
จิตรามองหน้าลูกชายอย่างห่วงใย ขยับปากบอกความจริงเรื่องริลณีเป็นผี แม้จะยากลำบากแต่จิตราก็พยายามอย่างมาก
“คุณอยากจะบอกอะไรงั้นเหรอ” ณรงค์ฉงน
จิตราพยายามจะพูดอีก
“คุณอย่าพยายามเลยครับ ตอนนี้คุณแม่ต้องพักผ่อนมากๆ ทำตามที่ผมบอก อีกไม่กี่เดือน ผมสัญญาว่าจะทำให้คุณแม่กลับมาพูดให้ได้” พลางเตชินห่มผ้าห่มให้
“ลูกกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อจะดูแลแม่เค้าเอง”
เตชินก้มลงหอมแก้มแม่ แล้วเดินออกไป จิตรามองเตชินด้วยความเป็นห่วงจับใจ แต่พูดอะไรไม่ได้
เตชินเดินขึ้นบ้านทรงไทยมา สร้อยรออยู่รีบเดินเข้าไปยื่นซองจดหมายให้ เตชินมองสร้อยและซองจดหมายงงๆ
“มีคนเอามาฝากไว้ให้คุณเตชินค่ะ”
เตชินพลิกซองจดหมายดู มีแต่ชื่อเขาบนหน้าซอง แต่ไม่มีชื่อผู้ฝาก
“รู้มั้ยว่าใครเป็นคนมาฝากไว้”
“ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครค่ะ”
เตชินมองจดหมายโดยไม่ได้สนใจ พับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้ ไม่ได้สนใจจะเปิดดูสักนิด
ด้านเชิงชายเดินไปเดินมาในบ้านด้วยความกังวล ขณะที่หมอผีเจ๋งในสภาพมือใส่เฝือก นั่งเช็ดหม้อดินเตรียมกักขังวิญญาณริลณีอยู่
“อาจารย์แน่ใจเหรอว่าส่งจดหมายไปแบบนั้น มันจะยอมมา”
“ถ้ามันเห็นข้อความว่า “ถ้าไม่มาเมียมันจะเดือดร้อน” แล้วเราแสดงความจริงใจโดยการบอกที่อยู่ให้มันมาหาแบบนี้ ยังไงมันก็ต้องมาแน่”
เชิงชายกังวลไม่เลิก “แล้วถ้ามันส่งตำรวจมาจับเราล่ะ”
“ถ้ามันอยากจับ มันคงจับไปนานแล้ว ที่มันยังปล่อยให้เราตามตื้อ เพราะมันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงดี แต่ข้ามั่นใจว่าคราวนี้มันต้องตัดสินใจได้” หมอผีเจ๋งประเมิน
“แล้วถ้านังผีนั่นรู้ว่าเราส่งจดหมายไปหาผัวมัน มันจะกลับมาฆ่าเราอีกมั้ย”
“ข้าก็จะจับมันน่ะสิ”
“มีสองมืออาจารย์ยังทำอะไรมันไม่ได้ คราวนี้มีมือเดียว จะทำได้ยังไง”
“คราวที่แล้ว ข้าประเมินกำลังมันผิดไปหน่อย แต่คราวนี้รับรองไม่พลาด”
“หนีตายจากมาเฟีย คงไม่ต้องมาตายเพราะนังผีนั่นนะ”
หมอผีเจ๋งไม่ตอบ เพียงยิ้มร้ายออกมา เชิงชายมองหน้าจอมอาคมด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
ส่วนที่บ้านทรงไทยตอนเย็น เสื้อเตชินถูกโยนออกมาจากหลังฉากเปลี่ยนเสื้อทีละชิ้น เดินออกมาในชุดคลุมอาบน้ำ
“งานแกรนด์โอเพนนิ่งโรงแรมวันเสาร์หน้า ผมอยากให้รินไปกับผมนะครับ”
“รินยังไม่รับปากได้มั้ยคะ”
“แต่ผมอยากให้รินไปนะครับ ผมอยากประกาศให้คนทั้งโลกรู้เรื่องรินกับผมนะครับ”
“ไว้ใกล้ๆ รินจะบอกก็แล้วกัน ตอนนี้คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ รินผสมน้ำอุ่นไว้ให้แล้วเดี๋ยวเย็นหมด”
“แน่ใจนะว่ารินยังไม่อาบพร้อมกับผม” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม
“บ้า” ริลณีอายผลักเตชินเข้าห้องน้ำ “ไปอาบน้ำได้แล้ว”
แล้วหันมาเก็บเสื้อผ้าสามีที่กระจายเต็มพื้นอย่างสุขใจ ริลณีหยิบกางเกงมือไปโดนบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงนั้น
เตชินในชุดนอนออกมาจากห้องน้ำ เหลือบไปเห็นกางเกงก็นึกอะไรขึ้นได้ เดินเข้าไปรื้อกระเป๋ากางเกง หยิบจดหมายออกมาอ่าน เตชินอ่านจดหมายหน้าเครียด รีบออกไปทันที
เสียงปังๆๆๆ จากเตชินที่เคาะประตูบ้านหมอผีเจ๋งด้วยความร้อนรน กระวนกระวาย
พร้อมกันนั้นเตชินยังยกซองใส่เงินขึ้น “อยากได้เงินมากไม่ใช่เหรอ ฉันเอาเงินมาให้พวกแกแล้วนี่ไง พวกแกมีเรื่องสำคัญอะไรเกี่ยวกับเมียฉันจะบอก ก็บอกมาสิ”
เตชินเคาะประตูระรัว ท่าทางกังวลใจ และอยากรู้ความจริงมาก
เชิงชายมองจากในบ้านออกไปที่ประตู เห็นเตชินกำลังเคาะประตูอยู่ก็ยิ้มดีใจ รีบวิ่งมาบอกหมอผีเจ๋งที่กำลังทำพิธีบริกรรมคาถากับมีดอาคมที่ปักอยู่บนพื้นหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่มีกะโหลกผี และสิ่งของน่ากลัวต่างๆ วางอยู่เต็ม
“อาจารย์ ไอ้เตชิน มันเอาเงินมาให้พวกเราแล้ว ผมไปพามันเข้ามาเลยนะ”
เชิงชายทำท่าจะวิ่งออกไป หมอผีเจ๋งลืมตามองเขม็ง รีบห้ามไว้
“เดี๋ยวก่อน อย่าเปิดรับใครสุ่มสี่สุ่มห้า ดูให้ดีก่อนว่ามันมาคนเดียวมั้ย”
เชิงชายค่อยๆ แอบเดินไปดูที่หน้าต่าง จ้องไปที่เตชินอย่างพิจารณา เห็นฝ่ายนั้นยืนหงุดหงิดอยู่หน้าบ้านคนเดียว
“มันมาคนเดียว ไม่มีทั้งผี ทั้งคนมากับมัน”
“งั้นก็ไปพามันเข้ามา จำไว้นะ ถ้าเราอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังนี้ เราจะปลอดภัย”
หมอผีเจ๋งพูดพร้อมกับมองไปยังมีดอาคมที่ปักอยู่บนพื้นตรงหน้า
“ตราบใดที่มีดอาคมปักอยู่ตรงนี้ ไม่มีผีตนไหนจะล่วงล้ำเข้ามาในบ้านนี้ได้”
เชิงชายมองมีดอาคมดูเข้มขลัง จึงรู้สึกเชื่อมั่นและอุ่นใจ
เชิงชายเปิดประตูออกมา เตชินเพ่งมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาสมเพชปนไม่พอใจ แต่ไม่มีสายตาแปลกใจสักนิด จนเชิงชายกลับเป็นฝ่ายสงสัยเสียเอง
“ดูท่าทางคุณไม่แปลกใจเลยนะ ที่เห็นผม”
“คนชั่ว คนเลวไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกใจ”
เตชินพูดด้วยท่าทางเย็นชา และจ้องมองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว แต่เชิงชายยังทำใจดีสู้เสือ
“ผมไม่ใช่คนไม่ดีนะคุณ ถ้าคุณรู้เรื่องที่ผมจะบอกคุณ คุณต้องขอบคุณผมแน่ แล้วไหนล่ะค่าความลับหนึ่งแสนบาท”
เตชินหน้านิ่ง “อยู่ในรถ”
“อ้าว ก็ไหนบอกว่าเอามาให้แล้วไง”
“ผมเอามาแต่ไม่ได้เอามาตรงนี้ คุณคิดว่าผมจะกล้าถือเงินแสนมาบ้านใครก็ไม่รู้ที่พยายามคิดจะข่มขู่เอาเงินผมเหรอ ถ้าคุณอยากได้ก็ไปเอากับผมที่รถ”
เชิงชายเริ่มลังเลไม่อยากออกไปเพราะเกรงอันตราย
“คุณกลับไปเอามา แล้วผมจะรอคุณอยู่ที่นี่”
“คุณคิดว่าผมจะยอมเดินมืดๆ กลับออกไปคนเดียวงั้นเหรอ ไม่มีทาง ถ้าคุณอยากได้เงินก็ต้องไปกับผม ไม่อย่างนั้น ผมกลับ”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไปอย่างไม่ไยดี เชิงชายมองขึ้นไปบนหลังคาอย่างละล้าละลัง เพราะไม่กล้าออกไปจากชายคานี้ แต่ด้วยความละโมภ ในที่สุดก็ตัดสินใจวิ่งไปดักหน้าเตชินไว้
“ก็ได้ ผมจะไปเป็นเพื่อน”
เตชินพยักหน้ารับ ทั้งคู่เดินออกไปด้วยกัน โดยเชิงชายไม่เห็นสายตาของอีกฝ่ายที่ดูน่าสะพรึง
ทางด้านหมอผีเจ๋งที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมชะเง้อคอรอ แต่ทั้งเชิงชายและเตชินกลับหายเงียบไป จู่ๆ หมาที่อยู่แถวนั้นก็พร้อมใจกันหอน เสียงดังโหยหวนมากกว่าปกติ บรรยากาศรอบๆ เริ่มวังเวง หลอนๆ แม้จะอยู่ในเขตอาคม จนหมอผีเจ๋งรู้สึกสังหรณ์ใจ รีบหลับตาบริกรรมคาถา
ในทางมืดเปลี่ยว ด้านหลังเต็มไปด้วยสวนป่า เตชินเดินนำหน้าโดยมีเชิงชายที่เดินตามมา พลางเหลียวมองซ้ายขวาอย่างระแวงด้วยความรู้สึกกลัว
“จอดรถตรงไหนของคุณเนี่ย ทำไมยังไม่ถึงสักที”
เตชินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ข้างหน้านี้แหละ”
“ที่จอดรถหน้าบ้านสว่างๆ ทำไมไม่จอด อ้อมมาจอดด้านหลังเปลี่ยวๆ แบบนี้ทำไม”
เตชินที่เดินอยู่ข้างหน้าเอียงหน้ามามอง พร้อมกับแสยะยิ้มร้าย แต่เชิงชายไม่ได้สังเกต
“จะจอดที่มืดหรือที่สว่าง ตอนจบสุดท้าย ก็คงไม่ต่างกัน”
“ไม่ต่างยังไง” เชิงชายทำหน้างง
“ไม่ต่างที่ ไม่ว่าจะให้โอกาสแก้ตัวสักกี่ครั้ง คนเลวยังไงมันก็คือคนเลว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง”
สิ้นเสียงของเตชิน ลมก็พัดแรงกระหน่ำน่ากลัว พร้อมเสียงหมาหอนอย่างโหยหวน เชิงชายรู้สึกเย็นยะเยือก เสียวสันหลังขึ้นมาจนไม่กล้าเดินต่อ เตชินหันมามองอย่างแปลกใจ
“หยุดเดินทำไมล่ะ จะรีบไปเอาเงินไม่ใช่เหรอ”
“ผมว่าเรากลับไปที่บ้านก่อนดีกว่า คุยธุระเสร็จแล้วค่อยมาเอาเงินที่หลังก็ได้”
เตชินยิ้มร้าย “อยู่ๆ ก็กลัวอะไรขึ้นมางั้นเหรอครับ”
“กลัวอะไร ทำไมผมต้องกลัวอะไรด้วย” เชิงชายทำปากดี
“ถ้าไม่กลัวก็รีบไปต่อสิ รถอยู่ข้างหน้านี้แล้ว”
เตชินรีบเดินหายไปในความมืด เชิงชายที่กลัวมาก ตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะหันหลังกลับหรือจะตามไปดี แต่ด้วยความโลภทำให้ตัดสินใจ
“เอาวะ ไม่มีอะไรหรอกน่า อีกนิดเดียวก็จะได้เงินแล้ว”
หมอผีเจ๋งหลับตาบริกรรมคาถาหน้าตาเคร่งเครียด มีดอาคมที่อยู่ตรงหน้าสั่นอย่างแรง ราวกับว่าพื้นบ้านสั่นไหว จนที่สุดก็กระเด็นหลุดออกมาจากพื้น จอมขมังเวทย์ลืมตาขึ้นมองด้วยความตกใจ
“ฉิบหายแล้ว”
ว่าแล้วก็รีบมองออกไปนอกบ้าน ก่อนจะหยิบมีดแล้วลุกออกไปทันที
เชิงชายวิ่งตามหลังเตชินมาในความมืด แต่วิ่งตามเท่าไหร่ก็เดินตามไม่ทันสักที
“เฮ้ย รอด้วยสิคุณ”
เตชินหันมายิ้มแล้วก็เดินหายไปในความมืด เชิงชายพยายามวิ่งตาม แต่เมื่อเดินไปถึงตรงที่อีกฝ่ายยืนอยู่เมื่อครู่ กลับไม่เห็นใครแล้ว
เชิงชายมองไปที่ทางแยกตรงหน้า พยายามมองหาว่าเตชินไปทางไหน แต่ก็ไม่เห็นใครเลย มีเพียงความมืด วังเวง น่ากลัว
“คุณเตชิน คุณอยู่ไหนน่ะ ออกมาสิ แบบนี้มันไม่ขำนะเว้ย”
เชิงชายที่ทั้งกลัวทั้งโกรธพยายามมองหา ก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะน่าสยดสยองของริลณีดังก้องขึ้นมาทั่วบริเวณ
“ฮ่าๆๆ”
เชิงชายตกใจ หน้าซีด พยายามหาที่มาของเสียงไปรอบๆ แต่ไม่เห็นว่าที่มาของเสียงมาจากตรงไหน เขาตัดสินใจจะวิ่งหนี แต่กลับเห็นผีริลณีในสภาพน่ากลัว โผล่มายืนหัวเราะอย่างสะใจอยู่ตรงหน้า เขารีบคุกเข่า ยกมือไหว้ประหลกๆ
“ริลณี อย่าทำอะไรฉันเลยนะริลณี ฉันยังไม่อยากตาย”
“ถ้าไม่อยากตายแล้วทำเรื่องชั่วอีกทำไม”
เชิงชายกลัวจนปากคอสั่น “ฉันผิดไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่อยากตาย”
ริลณีก้มมองหน้าเชิงชาย แล้วยิ้มเย็นๆ ทั้งสงสารปนสมเพช
“ไม่อยากตาย? แล้วตอนที่ฉันขอร้องแก ว่าฉันไม่อยากตาย แกทำอะไรกับฉัน ไอ้เชิงชาย”
เชิงชายเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำกับริลณีก็ยิ่งกลัวตัวสั่น ปากก็ยังพยายามวิงวอนขอร้อง
“ตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ ริลณี ฉันไม่มีทางเลือก”
“ทางเลือกแกมี แต่แกไม่คิดทำ แกเลือกที่จะฆ่าฉัน เพราะแกมันเห็นแก่ตัว”
เชิงชายละล่ำละลัก “ฉันขอโทษริลณี ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย”
“ฉันเคยปล่อยแกไปแล้วครั้งนึง แต่แกก็ย้อนกลับมาทำร้ายฉันอีก คราวนี้ถ้าฉันปล่อยแก
ไปอีก ฉันกับเตชินคงไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแน่” ผีริลณียิ้มร้ายด้วยความอาฆาต “แล้วใครที่มันบังอาจมาทำลายความสุขเดียวที่ฉันมีในชีวิต มันต้องตาย”
พลันเสียงหมอผีเจ๋งก็ดังก้องขึ้นมา
“หยุดนะ นังผีบ้า”
ริลณีหันขวับกลับไปมองตามเสียง เห็นหมอผีเจ๋งยืนถือมีดอาคม ตรงเข้ามาท่าทางองอาจ
“วันนี้แหละ แกจะต้องมาเป็นทาสรับใช้ของข้า”
หมอผีเจ๋งหยิบมีดขึ้นมาตรงหน้า ก่อนจะบริกรรมคาถาใส่มีดอาคมพยายามจะสะกดวิญญาณ ผีริลณียิ้มร้าย ก่อนจะเคลื่อนกายไปหยุดตรงหน้าอย่างเร็ว
“มันไม่ง่ายอย่างที่แกคิดหรอก”
“ง่ายไม่ง่าย เดี๋ยวก็คอยดู”
หมอผีเจ๋งยกมีดอาคมฟันจะฟันลงไป ผีริลณีมองจ้องเขม็ง ทันใดนั้นก็เกิดไฟลุกเผาไหม้มีดอาคมนั้นจนกลายเป็นจุณ
หมอผีเจ๋งตกใจ ทำท่าจะวิ่งหนี แต่ผีริลณีกลับเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว
“คนที่ชอบจับผีไปเป็นทาสรับใช้อย่างแก น่าจะลองตาย แล้วกลายเป็นผีที่ถูกจับไปบ้าง จะได้รู้ว่าวิญาณที่ถูกขังไม่ได้ผุดได้เกิดกี่ร้อยกี่พันชาติ มันทรมานแค่ไหน”
วิญญาณแค้นบิดคอหมอผีเจ๋งดังกร๊อบจนหันกลับจากหน้าหลังอย่างรวดเร็ว จนขาดใจตายคาที่ โดยยังไม่มีโอกาสได้ต่อสู้สักนิด
เชิงชายที่เห็นหมอผีเจ๋งตายก็ตกใจ รีบวิ่งหนีเตลิดออกไปทันที
ผีริลณีมองตามแล้วแสยะยิ้ม หายตัวไปจากตรงนั้นทันที
เชิงชายวิ่งหนีเตลิดมา จนวิ่งต่อไม่ไหว ได้แต่ยืนหอบเหนื่อยอย่างหมดหวัง ทันใดนั้นมือผีน่ากลัว ก็ผุดออกมาจากพื้นดินตรงที่เขายืนเข้ามาจับที่ขา แล้วกระชากตัวลงไปในดินอย่างรวดเร็วและรุนแรงโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เชิงชายพยายามจะดิ้นรนขัดขืน ร้องตะโกนตะเกียกตะกาย แต่ก็ไม่อาจจะต้านทานแรงที่ฉุดกระชากร่างลงไปได้
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย อย่าเอาผมไป ปล่อยผม ปล่อยผมออกไป”
เชิงชายที่ถูกมือผีกระชากตัวลงไปในพื้นดิน เหลือเพียงครึ่งตัวบนที่โผล่เหนือพื้นขึ้นมา พยายามใช้สองมือขุดดินรอบๆ ออกอย่างบ้าคลั่ง เพื่อจะออกมาจากหลุมดินนั้นให้ได้
“ช่วยด้วย ฉันยังไม่อยากตาย ปล่อยฉันไป เอาฉันขึ้นไป ช่วยด้วย”
พลันผีริลณีก็มาปรากฏขึ้นตรงหน้า เชิงชายหยุดร้องตะโกนโวยวาย ค่อยๆ มองไล่ตั้งแต่ขาขึ้นไป จนถึงหน้าที่กำลังมองจ้องด้วยสายตาแห่งความโกรธแค้น
“นายรู้มั้ยว่าการถูกฝังให้ตายทั้งเป็น มันทรมานตรงไหน มันทรมานตรงที่เราขยับตัวไปไหนไม่ได้ ไร้แสงสว่าง ไร้ทางหนี ไม่ว่าจะตะเกียกตะกายยังไง เราก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี”
เชิงชายมองตัวเองที่ติดอยู่ในหลุมดินขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ นิ้วมือที่พยายามตะเกียกตะกายดินทั้งสองข้าง เล็บฉีก หลุด ถลอกปอกเปิกจนเลือดไหล
“และขณะที่เราพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ ดินก็จะไหลเข้าไปในจมูก ในปาก ลงไปในคอ จนเราหายใจไม่ออก ยิ่งดิ้น ดินก็ยิ่งเข้า เหมือนเรากำลังกินดินยังไงอย่างนั้น”
ผีริลณีจ้องเขม็งไปที่มือเชิงชาย เหมือนสะกดมือให้กอบโกยดินที่อยู่ข้างๆ ตัว ยกขึ้นมาใกล้ปากตัวเอง
เชิงชายที่เหมือนจะรับรู้ชะตากรรม ร้องโวยวาย พยายามขัดขืน
“ไม่นะริลณี ฉันไม่กิน ฉันไม่...”
ยังร้องไม่ทันจบ มือตัวเองกลับยัดดินเข้าไปในปาก เชิงชายพยายามถุยดินที่มือตัวเองยัดเข้าไปออก แต่อีกมือก็สวนยัดดินเข้าปากอีก สองมือสลับกันโกยดินเข้าไปจนแทบกลืนไม่ทัน แม้จะสำลัก แต่ก็ยังถูกสะกดให้ยัดดินเข้าปากไม่ยอมหยุด เชิงชายที่ต้องกินดินที่มือตัวเองป้อนไม่หยุด ไม่ต่างกับริลณีเมื่อถูกตัวเองฝังทั้งเป็นก็น้ำตาไหล รู้ถึงความทรมานที่เธอได้รับ
“เป็นยังไงล่ะ คราวนี้นายรู้รึยังว่าฉันต้องเจ็บปวด ทรมานมากแค่ไหน กับสิ่งที่คนที่เรียกตัวเองว่า เพื่อน ทำกับฉัน มันถึงเวลาแล้ว ที่ฉันต้องเอาคืน จากพวกแกทุกคน”
มือของเชิงชายยังตักดินยัดเข้าปากตัวเองไม่หยุด ดินค่อยๆ ไหลย้อนออกมาทางปากและจมูกอย่างน่าสยดสยองและทุกข์ทรมาน จนต้องยกมือไหว้วิงวอน ขอความเมตตาเป็นครั้งสุดท้าย
“ริลณี อย่าฆ่าฉัน ฉันยังไม่อยากตาย”
“ไม่ต้องกลัวเหงาหรอก ฉันจะส่งเพื่อนรักของนาย ตามไปอยู่กับนายในนรกให้ครบทุกคนฮ่าๆ”
ผีริลณีหัวเราะโหยหวน เชิงชายที่กินดินเข้าไปจนแน่น เริ่มหายใจไม่ออก ตัวกระตุกเกร็ง ตาเหลือกอย่างคนใกล้จะตาย แต่มือทั้งสองก็ยังหยุดเอายัดดินเข้าปากตัวเองไม่ได้ จนในที่สุดก็ฟุบหมดสติลงไปกองกับพื้น
ผีริลณีแสยะยิ้ม จ้องไปยังร่างของเชิงชายที่ถูกดูดดึงลึกลงไปในดิน อย่างสะใจ
เชิงชายฟื้นขึ้นมาอีกที พบว่าร่างตัวเองกำลังถูกลากลงไปถูกฝังทั้งเป็นในดิน พยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่ไม่ทันแล้ว เมื่อร่างถูกดึงลงไปในดินจนมิดหัว เหลือเพียง 2 มือที่ยังชูอยู่เหนือดิน พยายามดิ้นรนขอความช่วยเหลือ
จนเมื่อมือทั้ง 2 ข้างที่ชูเหนือดินนิ่งสงบ นั่นก็หมายความว่า ความแค้นของผีริลณีได้ถูกสะสางไป 1 คนแล้ว!
นางชฎา ตอนที่ 11.2
เสียงหัวเราะอย่างสะใจของผีริลณีดังกึกก้อง ลอยมาตามสายลมแรงเหมือนจะมีพายุอยู่ด้านนอก พัดเอาหน้าต่างกุฎิกระแทกปิดเสียงดังปังๆ
หลวงพ่อพระอาจารย์คงนั่งทำสมาธิอยู่ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกเดินไปที่ต่างมองออกไป พร้อมกับที่ลมที่พัดแรงเมื่อครู่กลับสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเสียงหัวเราะโหยหวนของผีริลณีหายไป ผู้ทรงศีลหลับตารับรู้ถึงเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกเศร้าใจ
“คงไม่มีสิ่งไหน หยุดยั้งกรรมได้แล้วสินะ โยมริลณี”
เตชินนั่งอยู่ในร้านอาหาร นั่งมองนาฬิกา และชะเง้อเหมือนรอใครด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหยิบเศษกระดาษขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
“ถ้าอยากรู้ความลับของเมียนาย เจอกันที่ร้าน......เวลา 3 ทุ่ม ถ้านายยังไม่อยากรู้ ระวังเมียนายจะเดือดร้อน”
เมื่อเห็นว่าเลยเวลานัดมามากแล้ว เตชินก็ขยำกระดาษนั้น แล้วขว้างลงบนพื้นด้วยความเดือดดาล ก่อนจะหยิบเงินขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วลุกเดินออกจากร้านไป
เตชินเดินหงุดหงิดขึ้นมาบนระเบียงบ้าน เห็นริลณีกำลังล้างเศษดินที่ติดตามมืออยู่ที่อ่างน้ำ ก็นึกแปลกใจ
“รินไปทำอะไรมาครับเนี่ย ทำไมมือถึงได้เปื้อนดินขนาดนี้”
ริลณีหันมายิ้มนิดๆ “รินไปจัดการธุระบางอย่างมาน่ะค่ะ”
“ธุระดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้เนี่ยนะครับ รินไปทำอะไรมาครับ”
“รินไปจัดการสิ่งที่มันกวนใจพวกเราน่ะค่ะ แล้วตอนนี้รินก็จัดการได้แล้ว ต่อไปก็จะไม่มีใครหรืออะไรมากวนใจเรา 2 คนอีก เรา 2 คนก็จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข”
“รินพูดอย่างกับมีใคร เข้ามาวุ่นวายในชีวิตเรา”
ริลณีมองเตชินอย่างรู้ทัน “แล้วมีรึเปล่าล่ะคะ”
เตชินชะงักไปนิด เพราะรู้ว่ามี แต่ก็รีบปฎิเสธ
“ไม่มีหรอกครับ แต่ถึงมี ผมก็ไม่ยอมให้ใครมาทำลายความสุขของเราได้”
ริลณียิ้มอย่างมีความสุข พลางเข้าไปกอดเขาไว้แน่น “รินรู้ ขอบคุณนะคะ ที่ปกป้องรินเสมอ”
“ก็เพราะผมรักรินไงครับ”
“รินก็รักคุณค่ะ”
“งั้นรีบเข้าบ้านกันเถอะครับ ดึกๆ น้ำค้างแรง เดี๋ยวรินจะไม่สบาย”
ทั้งคู่หันยิ้มให้กัน ก่อนจะจูงมือกันเข้าไปในบ้าน
ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูวังเวงน่ากลัว และเสียงหมาหอนที่ดังโหยหวนอยู่ไม่ไกล
รุ่งเช้า รองเท้าลอยลิ่วไปที่ข้างตัวน้องหมาที่ยืนหอนอยู่ในมหาวิทยาลัยจนมันตกใจวิ่งหนี พร้อมกับที่กล้าเดินตามมาเก็บรองเท้าหน้าตาเซ็งๆ
“จะหอนอะไรกันนักหนาวะ ตั้งแต่เมื่อคืนป่านนี้ยังไม่ยอมหยุด”
ครู่เดียวน้าไหวเดินก็ตามเข้ามา
“ก็นี่มันเดือนสิบเอ็ด หมามันก็ต้องหอนหาคู่มันบ้างอะไรบ้างสิวะ”
“แต่หอนซะเสียงเอ็คโค่เป็นหนังสยองขวัญอย่างนั้น ฉันว่ามันน่าจะเห็นผีมากกว่า”
“ไม่ใช่ผีหรอก แกนั่นแหละ น่ากลัวยิ่งกว่าผีอีก ฉันอยู่ด้วยทุกวัน ยังเก็บไปฝันร้าย”
กล้าหัวเราะขำ “เค้าว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะน้า ตีเป็นตัวเลขได้”
“คราวที่แล้วโดนหวยกินยังไม่เข็ดอีกรึไงครับ”
ทั้งคู่หันไปตามเสียง เห็นเอทีเอ็มเดินถือน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เข้ามา ก็ยิ้มดีใจ
“ก็แหม ชีวิตคนจน มันก็ต้องมีความหวังกันบ้างไม่ใช่เหรอ”
กล้าพูดล้อๆ “แหม น้า ถ้าน้องเค้าไม่มีความหวัง คงไม่มาเช้าแบบนี้หรอก ปกติต้อง
มาติวเด็กบ่าย แต่มาเวลานี้คงอยากจะเจอใครบางคนมากกว่ามั้ง”
“ใช่คนที่มาสอนรำไทยเด็กทุกแต่เช้ารึเปล่าน้า” น้าไหวพลอยผสมโรง
เอทีเอ็มที่โดน 2 ยามแซวก็ยิ้มเขิน “แล้วเค้ามารึยังล่ะครับ”
“มาจนจะกลับแล้วมั้ง”
“งั้นเดี๋ยวผมรีบเอาปาท่องโก๋ไปฝากเค้าดีกว่า ป่านนี้คงจะหิวแย่” พูดพลางยื่นอีกชุดให้ 2 ยาม
“นี่ครับของน้า”
“เออ ขอบใจ จีบติดไวๆ มีลูกทันใช้หัวปีท้ายปีนะเว้ย”
เอทีเอ็มยิ้มเขิน ก่อนจะเดินร่าเริงออกไป แต่กล้าที่กำลังจะหยิบปากท่องโก๋ใส่ปาก รีบตะโกนเรียกไว้
“เฮ้ย ไอ้หนุ่มอย่าเพิ่งไป วันนี้น้องเค้ายังไม่อยากกินปาท่องโก๋หรอก”
น้าไหวได้ฟังก็แปลกใจ “ทำไมไม่อยากกินวะ”
กล้ารีบสะกิดให้หันไปมองรถคันหรูของเอกราชที่จอดอยู่ น้าไหวรีบเอามือปิดปาก
“สงสัยงานนี้ ไอ้หนุ่มปาท่องโก๋ของเราคงจะอกหักแน่ๆ”
เอทีเอ็มเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีมีความสุข กำลังจะเดินเลี้ยวมุมไปทางห้องชมรมนาฎศิลป์
“ชมพู วันนี้ฉันซื้อปาท่อง....”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็ต้องชะงัก รีบถอยหลังกลับเพื่อหลบมุมทำใจ ก่อนจะค่อยๆ แอบมองภาพที่เห็นเมื่อครู่อีกครั้ง
เอกราชในชุดหล่อ นั่งคุกเข่า กำลังยื่นดอกไม้ช่อสวยใหญ่ให้ชมพู
เอทีเอ็มรีบหลบกลับเข้ามา ก้มมองถุงปาท่องโก๋อย่างเศร้าๆ จำใจเดินออกไปจากภาพบาดใจด้วยความเจ็บปวด
ฟากชมพูมองเอกราช ที่คุกเข่ายื่นดอกไม้ช่อสวยให้ด้วยความแปลกใจ แต่ไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้ม
“ถ้าจะเอาดอกไม้มาขอบคุณเรื่องที่ตกลงจะช่วยรำเปิดงานเปิดตัวโรงแรมของนายเนี่ย ไม่จำเป็นหรอกนะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ทั้งขอร้อง ทั้งบังคับขนาดนั้น ถ้าชมพูไม่ทำคงถูกคุณพ่อคุณแม่โกรธแย่”
“ผมไม่ได้เอามาให้เพราะขอบคุณ แต่เอามาให้เพราะอยากขอให้ชมพูช่วยไปงานเปิดตัวโรงแรมของผม”
“ชมพูก็ต้องไปอยู่แล้วนี่คะ”
เอกราชรีบพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในฐานะแฟนของผม ได้มั้ยครับ”
ชมพูได้ยินก็ถึงกับอึ้งช็อก เอกราชต้องรีบอธิบาย
“คือคุณพ่อคุณแม่ท่านจะมาร่วมงานด้วย ผมอยากให้พวกท่านรู้จักชมพูน่ะครับ”
ชมพูนิ่งคิดสักพัก ก่อนจะตัดสินใจตอบ
“เอาจริงๆ เลยนะเอกราช ฉันไม่ได้รังเกียจนาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับนายมากกว่าคนอื่น ถ้าต้องไปงานในฐานะนั้น ขออนุญาตไม่ไปร่วมงานดีกว่า”
เอกราชทำหน้าผิดหวัง “ทำไมล่ะชมพู ผมมีอะไรที่ไม่ดี ไม่คู่ควรกับคุณงั้นเหรอครับ”
“ฉันเพิ่งเจอเรื่องแย่ๆ มา ยังไม่อยากคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น นายคงจะเข้าใจนะ”
“งั้นถ้าผมจะขออนุญาตรอ จนกว่าชมพูจะรู้สึกดีล่ะครับ”
ชมพูถอนหายใจ พูดเรียบๆ “ก็ถ้านายไม่เบื่อ ฉันก็คงห้ามอะไรไม่ได้”
“แต่ยังไง ชมพูก็ต้องไปงานกับผมนะครับ ในฐานะเพื่อนก็ได้ ส่วนดอกไม้นี่ ผมถือว่าให้สำหรับขอบคุณที่ชมพูช่วยรำเปิดงานให้ผมก็แล้วกันนะครับ”
ชมพูยื่นมือรับดอกไม้ไว้ด้วยท่าทางนิ่งๆ เอกราชแอบเซ็ง ที่อีกฝ่ายใจแข็งเหลือเกิน
ชมพูมองตามรถเอกราชที่แล่นออกไป ก่อนจะก้มมองดอกไม้ในมือเครียดๆ พอหันกลับหลังมาก็เห็นเอทีเอ็มยืนมองอยู่
“ไหนล่ะปาท่องโก๋ บอกว่าจะซื้อมาฝาก ไม่เห็นได้กินสักตัว”
“ซื้อมาแล้ว แต่ไม่กล้าเอาเข้าไปให้ เห็นเธอกับเอกราชกำลังสวีตอยู่ ก็เลยคิดว่า เธอกำลังอยู่ในช่วงหวาน ไม่น่าจะอยากกินของมันเลี่ยนๆ อีก”
เอทีเอ็มพูดประชด ชมพูส่ายหน้าขำๆ
“จะแอบดูก็ไม่ดูให้จบนะ ไม่ได้มีเรื่องอะไรหวานสักหน่อย มโนไปเรื่อย”
“ถ้าไม่หวาน ก็ไม่ลงทุนไปรำเปิดตัวโรงแรมให้กันหรอก”
“อย่าพูดเรื่องนี้ได้มั้ย ยิ่งฟังยิ่งเครียด”
“อ้าว เครียดจริงเหรอเนี่ย”
ชมพูพยักหน้า
“ก็เครียดจริงสิ คนไม่ได้รำตั้งกี่ปี อยู่ๆ จะให้ไปรำเปิดงานใหญ่ขนาดนั้น อาจารย์นาฎก็ไม่อยู่ ไม่รู้จะให้ใครช่วยดูว่ารำดีแล้วรึยัง เฮ่อ คุณพ่อคุณแม่น้า ไม่น่าบังคับกันเลย”
“ไม่ต้องห่วงน่า เรื่องรำสวยเนี่ย เธอรำสวยอยู่แล้ว”
ชมพูดีใจปนเขินที่ถูกชมซึ่งหน้า “รู้ได้ไง”
“ก็ฉันแอบมาดูเธอรำตอนสอนเด็กๆ บ่อยๆ น่ะสิ ส่วนเรื่องเรียกความมั่นใจเนี่ย ฉันรู้แล้วว่าใครจะช่วยเธอได้”
พูดจบ เอทีเอ็มก็รีบจับมือชมพูพาวิ่งออกไป
“นะรินนะ ช่วยซ้อมให้ชมพูเค้าหน่อย รำชุดนี้เราเห็นรินรำบ่อยจนแทบจะหลับตารำได้อยู่แล้วนะๆ”
เอทีเอ็มพูดอ้อนริลณี ขณะพาชมพูมาหาเธอที่บ้านเรือนไทย ชมพูรีบพูดอ้อนด้วย
“รินช่วยหน่อยเถอะนะจ๊ะ ตอนนี้เราไม่มีความมั่นใจเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว”
ริลณียังนั่งหน้าเครียดไม่ยอมตอบ ชมพูรีบหันไปอ้อนเตชินให้ช่วย
“พี่เตชินช่วยชมพูหน่อยสิคะ ถ้าพี่เตชินช่วยพูด รินต้องยอมแน่ๆ”
เตชินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ช่วยง่ายๆ ก็ไม่สนุกสิครับ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“โหย พี่เตชิน ไปแอบฝึกความเขี้ยวมาจากไหนคะเนี่ย ตกลงค่ะ งานนี้จะขออะไรก็ต้องยอมแล้วล่ะ”
เตชินได้ยินก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปช่วยพูดอ้อนๆ “รินช่วยชมพู หน่อยนะครับ น้า”
“ก็ได้ค่ะ ดีเหมือนกัน เราจะได้กลับมารำด้วยกันอีกครั้ง” ริลณีแอบยิ้มร้าย
“แล้วพี่เตชิน จะให้ชมพูทำอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนคะ”
“เรื่องนั้นยังไม่บอกครับ อุบไว้ก่อน”
“ความลับมากจริงนะคะ งั้นเราไปซ้อมรำกันดีกว่า อยากรำกับรินจะแย่แล้ว”
ชมพูดึงมือริลณีลุกไปเพื่อเปลี่ยนชุดมาซ้อมรำ
เตชินกับเอทีเอ็มมองตามยิ้มๆ มีความสุข
อ่านต่อหน้า 2
นางชฎา ตอนที่ 11 (ต่อ)
หมูหวานช่วยชมพูเปลี่ยนชุดเป็นโจงกระเบนแดง ริลณียืนเปลี่ยนอยู่ด้วยใกล้ๆ
“สมัยตอนเรียน เราคงเปลี่ยนชุดแบบนี้ด้วยกันบ่อยๆ พูดๆ ไปก็อยากให้ความทรงจำตอนนั้นกลับมาเหมือนเดิมเนอะ”
ชมพูพุดด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข เมื่อนึกถึงความหลัง แต่ริลณีกลับทำหน้านิ่ง
“บางทีมันอาจจะไม่ได้สวยหวาน มีความสุขแบบที่เธอคิดก็ได้”
“แต่เค้าว่ากันว่า ช่วงที่เราเรียนหนังสือเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด”
“คนอื่นอาจจะใช่ แต่ฉันไม่”
ริลณีเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปยังบริเวณที่เป็นหลุมศพของตัวเองด้วยความเจ็บปวด ชมพูที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วสะกิดให้หมูหวานไปช่วยริลณี
“ให้หนูช่วยคุณนะคะ”
ริลณีตวาดเสียงน่ากลัว “ไม่ต้อง”
ชมพูและหมูหวานตกใจ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ริลณีรู้ตัวรู้ตัวรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นปกติ
“คือฉันเปลี่ยนเองได้น่ะ พวกเธอ 2 คนออกไปรอข้างนอกก่อนนะ”
ทั้งคู่รีบเดินออกไปจากห้องทันที ขณะที่เดินออก หมูหวานหันไปมองริลณีที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ ภายใต้เสื้อที่ถูกเปิดขึ้นเล็กน้อย พอเห็นเนื้อด้านในที่เน่าจนขึ้นหนอน เละ ดูน่ากลัว ก็ถึงกับช็อกตาค้าง แต่ต้องช็อกยิ่งกว่าเมื่อเห็นสายตาที่หน้ากลัวของริลณีที่จ้องมาอย่างเอาเรื่อง จนต้องรีบหันหน้ากลับ แล้ววิ่งตามชมพูออกไป
หมูหวานวิ่งเข้ามาที่อ่างล้างจาน แล้วก็รีบเปิดน้ำเอาน้ำล้างตา ล้างแล้วล้างอีก จนสมหมายที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่แปลกใจ
“ล้างขนาดนั้น ทำไมไม่ควักออกมาล้างซะเลยล่ะ จะได้สะอาด”
หมูหวานไม่ขำด้วย หันมองซ้ายมองขวา เพื่อความแน่ใจ ก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบกับพ่อ
“พ่อบอกฉันหน่อยนะว่า ฉันตาฝาด เพี้ยน หลอน หรือบ้า คือเมื่อกี๊ ฉันเหมือนเห็นเนื้อข้างในของ คุณรินกำลังเน่า หนอนงี้ยั้วเยี้ยเลย”
สมหมายพยักหน้าเข้าใจ
“โอเค อันนี้บ้า ตาฝาด เพ้อเจ้อ เวิ่นเว้อ ไร้สติ แถมจิตไม่ปกติด้วย คุณริลณีขาว ผิวเนียนขนาดนั้น จะเน่าได้ยังไง”
“แต่ฉันเห็นจริงๆ นะ ไม่แน่ไอ้ที่เราได้กลิ่นเหม็นเน่าๆ อาจจะมาจากคุณ....”
ยังพูดไม่ทันจบ แก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ไกล ก็แตกกระจายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หมูหวานรีบมองไปรอบๆ ห้อง ทั้งตกใจ ทั้งกลัว รู้ตัวว่าโดนเข้าอีกแล้ว
“สะ สงสัย ฉันจะบ้า ตาฝาด เพ้อเจ้อ ไร้สติ จิตก็ไม่ปกติ อย่างที่พ่อว่าจริงๆ พ่ออย่าสนใจที่ฉันพูดเลยนะ”
หมูหวานรีบเดินออกไปจากห้อง จนสมหมายแปลกใจ
“เฮ้ย แล้วนั่นจะรีบไปไหน”
“ไปรดน้ำมนต์”
สมหมายมองไปรอบๆ เริ่มกลัวๆ เหมือนกัน
“งั้นข้าไปด้วยสิ ไม่ได้กลัวนะ แค่ไม่อยากอยู่คนเดียว”
2 พ่อลูกรีบวิ่งออกไปจากห้อง ด้วยความกลัว
เฟื่องฟ้ากำลังเสิร์ซหาข้อมูลหน้าตาคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ครู่หนึ่งมือถือก็ดังขึ้น พอเธอกดรับ ก็ได้ยินเสียงเอทีเอ็มพูดมาอย่างเริงร่า
“ทายสิว่าฉันอยู่ที่ไหน”
เฟื่องฟ้าที่กำลังยุ่ง ทำเสียงหงุดหงิดใส่
“เห็นฉันเป็นกุมารคอยตามตัวนายรึไง ถึงต้องรู้ว่านายอยู่ไหนทุกที่น่ะ”
“ถามแค่เนี้ย ไม่เห็นต้องแดกดันกันเลย ฉันอยู่บ้านริน”
เฟื่องฟ้าละสายตาจากหน้าจอ รีบตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์ด้วยความตกใจ
“อยู่บ้านใครนะ”
“หุย ทำไมต้องตะโกน มาบ้านรินแค่เนี้ยไม่เห็นต้องตื่นเต้น พอดีพาชมพูเค้ามาซ้อมรำกับริน”
เอทีเอ็มพูดพลางหันไปมองชมพูกับริลณีที่ซ้อมรำด้วยกันอย่างมีความสุข ขณะที่เฟื่องฟ้าถึงกับนั่งไม่ติด
“ละ แล้วรินเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ปกติดี ไม่เห็นมีอะไร”
“ฉันว่านายกับชมพูรีบกับมาดีกว่า อย่าไปรบกวนอะไรรินเค้ามาก”
“คงยังไม่กลับหรอก จะอยู่กินข้าวเย็นกันด้วย จะมาด้วยมั้ย รินบอกให้ชวน”
เฟื่องฟ้ารีบบอกปัดปากคอสั่น
“มะ..มะ...ไม่เป็นไรหรอก พอดีฉันมีธุระ บอกรินไว้วันหลังแล้วกัน แล้วนายอย่ากลับให้มันดึกมากนักล่ะ แถวนั้นมันเปลี่ยว งั้นแค่นี้นะ”
เฟื่องฟ้ากดวางโทรศัพท์ สีหน้าไม่ค่อยดี พลางคิดไปถึงครั้งที่เธอเห็นร่างริลณีหายไปกลายเป็นร่างโปร่งแสง แล้วก็ขนลุกซู่ ก่อนจะรีบกลับที่โต๊ะ พร้อมกับจดที่อยู่บางอย่างที่เพิ่งค้นหาได้จากอินเตอร์เนต แล้วหยิบเศษกระดาษที่มีวันเดือนปีเกิดขึ้นมาดูอย่างชั่งใจ
“ขอโทษนะริน ยังไงฉันก็ต้องพิสูจน์”
เฟื่องฟ้าอยู่หน้าร้านหมอดูที่มีป้ายแขวนหน้าร้านว่าปิด พยายามเขย่าประตูด้วยความโกรธ
“อะไรกันเนี่ย อุตส่าห์ลัดเลาะซอกซอย มาก็ยากแล้วมาปิดแบบนี้ ไหนว่าพี่แจนแจน มีญาณทิพย์ ทำไมถึงไม่รู้ว่าหนูจะมา”
กล้าที่อยู่แถวนั้นรีบสะกิดน้าไหวที่กำลังซื้ออะไรกินให้หันมาดู ทั้งคู่รีบเดินเข้าไปหา
“พี่แจน ญาณทิพย์เค้าปิดร้านหนีเจ้าหนี้ไปตั้ง 3 เดือนแล้ว”
เฟื่องฟ้าหน้าเหรอ “อ้าว แล้วทำไมไม่มีใครบอก อย่างนี้หนูก็มาเก้อสิ”
กล้ารีบบอก
“ถ้าเจอพวกพี่ก็ไม่ถือว่าเก้อ เพราะพี่รู้จักหมอดูคนนึง แม่นยิ่งกว่า แจนแจนญานทิพย์อีก”
เฟื่องฟ้าตื่นเต้น “ใครเหรอพี่”
กล้าผายมือไปทางหน้าไหวที่ยืนรออยู่ “น้าไหว ไปพบเซียน”
เฟื่องฟ้ามองอย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าไหร่ “นี่สมญานามเหรอเนี่ย”
“ใช่ ตอนเด็กๆ น้าไหวเคยไปพบเซียน ทั้งเซียนไพ่ เซียนพนัน”
น้าไหวรีบโบกมือห้าม
“พอๆ ไม่ใช่แหละ คือตอนเด็กๆ แปดเซียนเคยมาเข้าฝันน้า และให้พลังในการทำนายดวงชะตา รับรองว่าแม่นยิ่งกว่าหมอดูคนไหนๆ”
“เชื่อได้แน่นะน้า บอกก่อน เรื่องหนูซีเรียสมากนะ”
“งั้นต้องพิสูจน์”
น้าไหวโชว์ลีลาสับไพ่ทาโร่อย่างชำนาญ เฟื่องฟ้ากับกล้าที่นั่งมองถึงกับทึ่ง พอสับไพ่เสร็จก็กรีดไพ่ทั้งหมดลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะมองหน้าเฟื่องฟ้าด้วยสายตาจริงจัง
“อยากรู้อะไร”
“หนูอยากรู้ดวงชะตาของเพื่อนคนนึง”
น้าไหวทำท่าทรงภูมิ “คิดถึงหน้าเพื่อนคนนั้นเอาไว้ แล้วหยิบไพ่ขึ้นมาใบนึง”
เฟื่องฟ้าหลับตา ก่อนจะหยิบไพ่ขึ้นมา1 ใบ น้าไหวรีบเปิด พอเห็นว่าไพ่นั้นคือไพ่ Death ก็หน้าเสียไปเล็กน้อย รีบล้างไพ่สับใหม่ แล้วกรีดลงบนโต๊ะอีก
“คิดให้แม่นเป๊ะๆ อย่าวอกแวก สิวกี่เม็ดๆ บนหน้าก็นึกให้หมด แล้วหยิบไพ่”
เฟื่องฟ้ารีบหลับตาทำตามที่น้าไหวบอก ก่อนจะหยิบไพ่ขึ้นมา 1 ใบ พอน้าไหวเปิดออก ก็เจอไพ่ Death อีก
“ไหนลองอีกครั้งสิ”
น้าไหวกรีดไพ่ ให้เฟื่องฟ้าจับใหม่ แต่พอเปิดมา ก็เจอได้ไพ่ Death จนกล้าที่นั่งมองอยู่ โวยวายขึ้นมา
“ไพ่ในสำรับน้า มีอยู่ใบเดียวรึไง จับได้กี่ทีก็เดธๆ ตลอด เห็นมั้ยน้องเค้าหน้าเสียแล้ว”
“มันหมายความว่ายังไงเหรอน้า”
น้าไหวหน้าเครียด
“ไพ่มันมีความหมายในตัวของมันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น หรือว่าเกิดขึ้นไป
แล้ว หนูรู้วันเดือนปีเกิด เพื่อนคนนี้มั้ย”
“รู้ค่ะ 26 มิถุนายน 2534”
น้าไหวหยิบกระดาษขึ้นมาคำนวณตัวเลข แล้วก็ยิ่งเครียดกว่าเดิม เฟื่องฟ้ากับกล้ามองลุ้นๆ ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง
พอคำนวณเสร็จ น้าไหวก็สับไพ่ และกรีดไพ่ให้เฟื่องฟ้าจับอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ไพ่ Death แล้ว
“เพื่อนหนูเป็นคนดีนะ เค้าอาจจะเจอช่วงยากลำบากนิดหน่อย แต่เค้าจะผ่านไปได้”
“แล้วที่ออกเดธตลอดล่ะคะ”
“มีเซียน ก็มีเสื่อมได้บ้าง”
เฟื่องฟ้ารีบควักเงินจะยื่นให้ น้าไหวส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกวันนี้ดูฟรี”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินออกไป น้าไหวเก็บไพ่กำลังจะลุก พร้อมกับไพ่ Death ที่ซ่อนเอาไว้หล่นลงมา
“เฮ้ยน้า เอามาซ่อนไว้แบบนี้ แล้ว...”
“ก็ถ้าเกิดน้องคนนั้นจับขึ้นมาได้อีก ข้าไม่รู้จะบอกเค้ายังไงว่าทั้งไพ่ ทั้งดวง มันบอกว่าเพื่อนที่เป็นเจ้าของดวงชะตานั่นน่ะ ตายแล้ว”
กล้าได้ฟังถึงกับอึ้ง แต่เฟื่องฟ้าที่ยืนแอบฟังอยู่ ช็อกยิ่งกว่า
เฟื่องฟ้าเดินครุ่นคิดไปตามถนน
“ใช่ อยู่ดีๆ รินก็หายตัวไป แบบไร้วี่แวว 2 ปี เกิดอะไรขึ้นกับรินกันแน่”
เสียงเพลงรำบำกฤษดาภินิหารดังกังวาน ริลณีกับชมพูซ้อมรำด้วยกันอย่างสวยงามอยู่บนระเบียง ท่ามกลางแดดสวยยามเย็น
เตชินกับเอทีเอ็มนั่งมองแล้วก็ยิ้มตาเป็นประกาย พักใหญ่ริลณีกับชมพูที่ซ้อมเสร็จ ก็เดินกลับเข้ามา
ชมพูรีบถาม 2 หนุ่ม “เป็นไงคะ รำอย่างชมพูยังออกงานไหวมั้ยคะ”
เอทีเอ็มยิ้มรับ “อย่าว่าแต่ออกงานเลย รำประกวดยังได้”
“เว่อร์ เสียดายอยากให้รินไปรำด้วย ไปรำคนเดียวรู้สึกไม่มั่นใจยังไงก็ไม่รู้”
เตชินรีบบอก “มั่นใจเถอะ ชมพูทำได้ดีแล้ว ใช่มั้ยครับริน”
“ใช่ค่ะ แต่ถ้าชมพูยังไม่มั่นใจ เอาจี้นางรำที่รินเคยให้ไปด้วยด้วยสิ”
“จี้นางรำ? อ๋อ จี๋นางรำอันนั้น รินเป็นคนให้ชมพูเหรอ”
เตชินหันมาถาม “จี้นางรำอันไหนครับ”
“อันที่พี่เตชินเคยบอกว่า ชมพูกำไว้แน่นตอนที่ถูกรถชนไงคะ”
เตชินเลิกคิ้ว แปลกใจ “มันเป็นของรินเหรอครับ”
“ค่ะ มันเป็นจี้นางรำที่ครูนาฎศิลป์คนแรกให้รินไว้ เรา 2 คนจะแอบติดไว้ในเสื้อเวลารำ
เวลาที่รู้สึกไม่มั่นใจ”
“ในที่สุดชมพูก็รู้สักทีว่าจี้นางรำนั้นเป็นของใคร ไว้ชมพูจะเอามาคืนรินนะ”
ริลณีส่ายหน้าช้าๆ
“รินอยากให้ชมพูเก็บไว้ เผื่อสักวันมันจะช่วยจำเรื่องของเรา 2 คนได้”
ริลณีพูดพลางมองไปที่แผลเป็นบนฝ่ามือของชมพูแล้วยิ้มเย็นๆ แต่ทั้งเตชินและชมพูไม่เห็นสายตานั้น มีแต่เอทีเอ็มที่สังเกตเห็น และรู้สึกว่าริลณียิ้มแปลกๆ
“แล้วที่พี่เตชินบอกว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยน คิดได้รึยังคะว่าคืออะไร” ชมพูเปลี่ยนเรื่องฉับ“พี่อยากให้ชมพูไปช่วยรินเลือกชุดไปงานเปิดตัวโรงแรมของคุณเอกราชหน่อย”
“โอ๊ย ถ้าเรื่องนั้นไม่มีปัญหา รับรองว่าชมพูจะหาชุดที่ทำให้รินสวยที่สุดในงานเลยค่ะ”
ชมพูบอกเตชินอย่างร่าเริง ตรงข้ามกับริลณีที่นั่งหน้าเครียด
ประวิทย์พยายามกดโทรศัพท์หาเชิงชาย แต่ไม่มีคนรับสาย ขณะที่ตุลเทพพยายามปีนไปมองในบ้าน แต่ภายในบ้านมืดและเงียบสนิท เอกราชยืนกอดมองอย่างครุ่นคิด
“ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยนะ ดูจากจดหมายน่าจะไม่ได้กลับมาหลายวันแล้ว” ตุลเทพหน้าเครียด
ประวิทย์พูดเสริม “โทรไปก็ไม่เปิดเครื่อง”
เอกราชขมวดคิ้ว “ปกติ ไอ้เชิงชายมันไม่เคยปิดโทรศัพท์เลยนะ”
“ถ้าไม่หนีเจ้าหนี้”
“หรือว่ามันจะโดนเจ้าหนี้อุ้มไปจริงๆ”
ตุลเทพกับประวิทย์พูดต่อกัน แต่เอกราชกลับไม่คิดแบบนั้น
“เงินไม่กี่บาท ไม่น่าเสี่ยงอุ้ม ฉันว่าไอ้เชิงชายมันตั้งใจหายไปเองมากกว่า”
“แล้วมันหายไปไหน”
เอกราช ตุลเทพ และประวิทย์ หันมองหน้ากัน ต่างไม่มีใครรู้คำตอบนั้น
ปริมลดากำลังโพสต์ท่าสวยกับชุดที่ลองใส่ หงส์หยกยกมือถือถ่ายรูป ก่อนจะยื่นให้ดู
“ว้า โป๊น้อยไปหน่อย ฉันอยากได้ชุดเซ็กซี่ๆ แบบที่ผู้ชายอย่างเตชินเห็นแล้วจะต้องตะลึง”
หงส์หยกแอบเบ้ปาก “ถ้าโป๊กว่านี้ก็คงต้องแก้ผ้าเดินแล้วล่ะ”
“เธอว่าไงนะ”
หงส์หยกรีบพูดต่อ
“คุณเตชินเค้าอาจจะเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงเรียบร้อยก็ได้นะ ใส่เปิดโน้นโชว์นี่มากๆ ระวังเค้าจะคิดว่าเป็น ...”
“เป็นอะไร พูดให้ดีนะ”
หงส์หยกแถเอาตัวรอด
“เป็นนางร้ายไง เป็นนางเอกอยู่ดีๆ จะมาแต่งตัวยั่วเป็นนางร้ายทำไม มันต้องชุดนี้ เธอใส่แล้วสวยแน่”
หงส์หยกหยิบชุดสุดเชยมาให้ ปริมลดามองอย่างขัดใจ
“เก็บไว้ให้ป้าข้างบ้านเธอใส่เถอะย่ะ ตัวเองไม่สวย หุ่นไม่ดี โชว์ไม่ได้ แล้วจะมาคิดให้คนอื่นเป็นแบบตัวเองด้วย ฉันไม่หลงกลหรอก คืนนั้นฉันต้องสวย ต้องยั่ว เตชินต้องอยากได้ ไม่อย่างนั้นแผนก็ไม่สำเร็จ” หงส์หยกได้ยินคำว่า “แผน” ก็หูผึ่งทันที
“ตกลงลดาคิดจะทำอะไรเหรอ”
“ก็แผนง่ายๆ ที่ผู้ชายดีๆ อย่างเตชินต้องแพ้ทุกคน”
“ก็แผนอะไรล่ะ บอกหน่อยไม่ได้เหรอ” หงส์หยกเซ้าซี้
“ไว้ถึงวันงานเธอก็รู้เองแหละ เพราะเธอจะต้องเป็นคนช่วยฉัน เข้าใจมั้ย”
หงส์หยกแสร้งยิ้มหวาน “เข้าใจจ้ะเพื่อนรัก ฉันช่วยเธอเต็มที่อยู่แล้ว”
ปริมลดายิ้มพอใจแล้วเดินไปเลือกชุดในร้านต่อ
หงส์หยกเปลี่ยนจากหน้ายิ้มๆ กลายเป็นจิกตาร้ายและริษยาสุดขีด
อีกร้านหนึ่งในห้างเดียวกันนั่นเอง
ชมพูกำลังหยิบชุดราตรีทาบกับตัวริลณีที่ยืนนิ่งๆ อย่างไม่ได้สนใจกับชุดเหล่านั้นเลย
“ชุดไหนรินก็ใส่แล้วสวยหมดเลย รินชอบชุดไหนล่ะจ๊ะ”
“รินไม่ชอบหรอก แล้วรินก็ไม่คิดจะไปงานนี้ด้วย ขอโทษนะที่ทำให้ชมพูเสียเวลา”
ชมพูทำหน้าอ้อน “แต่พี่เตชินเค้าอยากให้รินไปมากเลยนะ”
“ไว้รินจะคุยกับเค้าเอง ให้รินเลือกชุดให้ชมพูดีกว่า วันงานชมพูจะได้สวยที่สุด”
ริลณีเลือกชุดสวย ที่สวยสมและเหมาะกับชมพูมากๆ
“เข้าไปลองสิ รินอยากเห็นว่าชมพูใส่แล้วจะสวยแค่ไหน”
ชมพูยิ้มให้ แล้วรีบเข้าไปลองเสื้อ ริลณียืนอยู่นิ่งๆ รับรู้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนที่ร่างจะค่อยๆหายไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ปริมลดา และหงส์หยกเข้ามาเลือกเสื้อผ้าในร้าน
“บอกหน่อยไม่ได้เหรอ เกิดแผนเธอไม่เวิร์คจะได้ช่วยคิดใหม่”
“ฉันกลัวเธอจะปากโป้ง ถ้าเกิดเสียแผนหาโอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้แล้วนะ”
หงส์หยกยังไม่เลิกตื๊อ
“ก็นั่นแหละ ก็ยิ่งต้องคิดให้ดี ว่าไงตกลงคืนนั้นเธอคิดจะจับคุณเตชินยังไง”
“ฉันก็แค่ ...”
ปริมลดายังไม่ทันพูด ชมพูก็เดินออกมา พลางทำหน้าตกใจ
“ปริมลดา”
ปริมลดากับหงส์หยกแกล้งทำเสียงหวาน “ชมพู”
หงส์หยกมองที่ชุดที่ชมพูใส่ “ชุดไปงานเกร๋กู๊ด ดูผู้ดี๊ผู้ดี เหมาะสมกับงานมากๆ”
ปริมลดามองเหล่หงส์หยก “แต่มันดูเรียบไปหน่อยมั้ย ดูนานๆ มันน่าเบื่อ”
ชมพูพยายามออกห่าง เพื่อมองหาริลณี
“ขอตัวก่อนนะ เผอิญฉันมากับเพื่อนน่ะ”
ทันใดนั้นเสียงข้อความจากมือถือก็ดังเตือน ชมพูรีบเปิดดูเห็นข้อความจากริลณี
“ไม่สบายกลับก่อน”
ชมพูทำหน้าเซ็ง ปริมลดายิ้มหยัน
“ทำหน้าเซ็งอย่างนี้ถูกทิ้งล่ะสิ แหม เธอนี่เป็นเจ้าแม่แห่งการถูกทิ้งจริงๆ ทั้งเพื่อน ทั้งผู้ชาย”
ชมพูโต้กลับแบบนิ่งๆ “ถูกทิ้งอย่างมีศักดิ์ศรี ก็ยังดีกว่าวิ่งไล่จับผู้ชาย แล้วไม่ได้ก็แล้วกัน”
ปริมลดาโมโหขึ้นมาทันควัน “ใครจับผู้ชายแล้วไม่ได้”
“ก็เธอพยายามไล่จับใครอยู่ล่ะ เค้ายกเลิกงานแต่งกับฉันมาตั้งนาน เธอก็ยังจับเค้าไม่ได้สักที ไม่ใช่เหรอ”
ปริมลดาโมโหจะเอาเรื่อง ชมพูยิ้มอย่างใจเย็น แต่ไม่ยอมเหมือนกัน หงส์หยกเห็นท่าไม่ดีรีบไกล่เกลี่ย
“พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ อย่าทะเลาะกันเพราะผู้ชายคนเดียวเลยน่า”
“คนที่ไม่เคยถูกเพื่อนหักหลังอย่างเธอ ก็พูดได้สิหงส์หยก ไว้ลองให้ปริมลดาเค้าทำกับเธอบ้างนะ จะได้เข้าใจ ขอตัวนะ”
ชมพูพูดเสร็จก็เดินเชิดกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดหลังร้าน ปริมลดาโมโหจนแทบอยากจะเข้าไปตบ แต่หงส์หยกรีบห้ามเอาไว้
“ใจเย็นลดา เดี๋ยวคนก็ถ่ายคลิปเอาไปแชร์หรอก”
พูดจบก็รีบลากตัวพาปริมลดาออกจากร้าน
พอออกมาบริเวณลับตาคน ปริมลดาก็สะบัดแขนหงส์หยกออก ยังรู้สึกโมโหไม่หาย
“อีนังชมพู อีบ้า อีสมองเสื่อม มันกล้าด่าฉัน”
“ก็เธอไปว่าเค้าก่อน”
“นี่ จะเข้าข้างฉันหรือจะเข้าข้างนังนั่น”
หงส์หยกจงใจแดกดัน “แล้วฉันเลือกข้างได้เหรอ”
“ไม่ได้ เพราะเธอต้องช่วยฉัน”
หงส์หยกที่รอโอกาสอยู่ ยิ้มร้าย
“งั้นเธอก็บอกฉันมาสิ ว่าจะให้ฉันช่วยอะไร”
ปริมลดาอึกอัก เพราะยังไม่อยากบอกแผน หงส์หยกทำหน้านิ่ง เหมือนไม่แคร์
“ก็ตามใจนะ ถ้าวันงานเธอทำพลาด ก็อย่ามาหาว่าฉันไม่คิดจะช่วยเธอก็แล้วกัน”
พูดเสร็จก็จะเดินออกไป เหมือนไม่สนใจ ปริมลดาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจตะโกนไล่หลัง
“เดี๋ยวก่อน”
หงส์หยกที่หันหลังให้แอบยิ้มร้ายอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปทำตีหน้าซื่อ
“ฉันจะยอมบอกแผนให้เธอฟังก็ได้”
ปริมลดาตัดสินใจเล่าแผนให้หงส์หยกฟัง โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าผีริลณีแอบยืนฟังแผนนั้นอยู่ข้างหลังด้วย
พลุหลายลูกถูกจุดขึ้นไปสว่างไสวบนท้องฟ้าอย่างสวยงาม อันเป็นสัญลักษณ์การเริ่มงานฉลอง พร้อมกับเสียงเพลงในจังหวะเร้าใจบรรเลงขับกล่อม
เหล่าไฮโซ แขกผู้มีเกียรติ ต่างสวมสวยงามมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง แสงแฟลชวูบวาบจากบริเวณพรมแดง ที่เหล่าดารา คนดัง รวมทั้งเซเลบริตี้ต่างมาหยุดยืนให้นักข่าวถ่ายรูปที่ป้ายชื่อโรงแรม และต่างคนก็ไม่ลืมถ่ายรูปตัวเองแชร์ลงโซเชียล เพราะเป็นงานนี้ ถือว่าเป็นงานที่ดังที่สุดในวันนี้
รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้างานบริเวณพรมแดง 2 คัน พนักงานในชุดเครื่องแบบ สวมถุงมือขาว 2 คน รีบวิ่งเข้าไปเปิดประตูรถทั้งสอง
เอกราชลงจากรถคันแรกในชุดสูทสุดเท่ สมศักดิ์ศรีเจ้าของโรงแรม ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในรถ รับมือชมพูให้เดินตามออกมา
คันที่สองเป็นพิชัย และพิสมัยเดินลงมา ทั้ง 4 คนเดินเข้ามาสมทบกัน ก่อนจะเดินเข้าไปในงาน
พร้อมกัน นักข่าวรีบเข้าไปถ่ายรูปคู่ พร้อมพยายามสัมภาษณ์
“มางานด้วยกันแบบนี้ ถือว่าเป็นการเปิดตัวรึเปล่าครับ”
เอกราชหันไปมองพิชัยและพิสมัยยิ้มๆ ขณะที่ชมพูชิงตอบนักข่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ดิฉันและครอบครัวมางานในวันนี้ ในฐานะเพื่อนค่ะ ขอตัวนะคะ”
ชมพูรีบเดินเข้างานไป พิชัยหันไปบอกพิสมัยให้รีบตามไปประกบ เอกราชหน้าจ๋อยนิดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในงานพร้อมกัน
เฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มในชุดปกติ กำลังแอบมองชมพูกับเอกราชที่กำลังเดินพรมแดงเข้างานด้วยความตื่นเต้น
“วันนี้ชมพูสวยมากเลยน่ะ นี่ เก็บอาการหน่อย เดี๋ยวใครเค้าก็มาเห็นอาการหมามองเครื่องบินหรอก”
เอทีเอ็มไม่สนคำแซว ยังคงมองชมพูด้วยความปลาบปลื้ม หงส์หยกในชุดทำงานเดินเข้ามาข้างหลัง มองทั้งคู่อย่างไม่พอใจ
“นี่ ที่ยอมให้มางานเนี่ย เพราะจะให้ช่วยงาน ไม่ใช่มายืนส่องดาราแบบเนี้ย”
เฟื่องฟ้าหันมาเถียง “ไม่ได้ส่องดาราสักหน่อย ดูเพื่อนๆ พวกเราต่างหาก”
หงส์หยกมองเยาะ
“เพื่อนงั้นเหรอ อย่าไปพูดให้ใครในงานฟังนะ คนอื่นเค้าจะสมเพชไปช่วยดูหลังเวทีได้แล้ว อีกไม่ถึงชั่วโมงจะเริ่มการแสดงแล้ว”
เฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มทำหน้าเซ็ง แต่ก็จำใจต้องเดินออกไป หงส์หยกเดินเข้าไปยืนแทนที่ มองไปทางพรมแดงด้วยสายตาอิจฉา
“ไฮโซพวกนั้น ไม่มีใครเค้าคิดอยากเป็นเพื่อนกับคนอย่างพวกแกหรอก ถ้าไม่คิดจะหลอกใช้ แต่คนอย่างฉันไม่โง่ให้ใครหลอกฟรีๆ หรอก”
หงส์หยกยิ้มร้าย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทร.ออก
รถคันที่ 3 แล่นเข้ามาจอด ปริมลดาเดินควงคู่ลงมากับตุลเทพ นักข่าวรีบกรูเข้าไปถ่ายรูปและสัมภาษณ์
“คุณลดาควงผู้ชายคนอื่นมางานแบบนี้ คุณโต้ง แฟนผู้กำกับไม่หึงแย่เหรอครับ”
ปริมลดายิ้มหวาน “พี่โต้งเค้าเข้าใจค่ะ ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ”
ตุลเทพรีบพูดเสริม “วันนี้เป็นงานของเพื่อน ให้คุณลดาควงเพื่อนแทนแฟนสักวันนะครับ”
ปริมลดาควงแขนตุลเทพให้นักข่าวถ่ายรูป แล้วเดินเข้างานไป
ปริมลดาเดินควงแขนตุลเทพเข้ามาหาประวิทย์ที่กำลังพยายามโทรศัพท์อยู่ ทันทีที่พ้นนักข่าว เธอก็สะบัดแขนออกอย่างแรง ก่อนจะวีนขึ้นมาด้วยความโมโห
“เมื่อไหร่พวกนักข่าว จะเลิกถามถึงไอ้บ้านั่นสักที”
“ก็ตราบใดที่เธอยังเป็นแฟน และหาประโยชน์จากอีตานั่นก็คงต้องทน”
ปริมลดาส่ายหน้าอย่างขัดใจกับคำตอบ แต่ตุลเทพไม่สน กลับมองประวิทย์ที่กำลังพยายามโทรศัพท์หน้าเครียด
“ตกลงไอ้ชายมันจะไม่มางานนี้ใช่มั้ย”
“ฉันว่ามันชักแปลกๆ ยังไงแล้วว่ะ”
รถคันที่ 4 แล่นเข้ามาจอด เตชินเดินนำลงมาด้วยหน้าตาไม่สู้ดี จนชัชที่เดินตามลงมาต้องแอบกระชิบเตือน
“ทำหน้าให้มันดีหน่อย เมียไม่มาแค่เนี้ย ไม่เห็นจะต้องโมโห”
เตชินรีบเดินเข้างาน โดยไม่สนใจนักข่าวที่จะขอถ่ายรูป ชัชวิ่งตามแทบไม่ทัน
พนักงานเปิดประตูรถ จะวิ่งไปปิดประตูรถคันที่เตชินนั่งมา แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นประตูอีกข้างเปิดอยู่
“แล้วประตูนี้เปิดได้ยังไงเนี่ย”
พนักงานรีบปิดประตู ก่อนจะเดินออกไป
ริลณีในชุดราตรีสวยหรูยืนยิ้ม ก่อนจะมองเข้าไปในงาน พร้อมจิกตาร้าย
เอกราช เตชิน ชมพู และชัช ยืนคุยกันอยู่ในงาน
“น่าเสียดายนะครับ ที่แฟนคุณเตชินไม่มาด้วย ผมก็เลยไม่มีโอกาสรู้จักเลย”
เอกราชเริ่มบทสนทนา ชัชรีบพูดปราม
“อย่าไปทักครับคุณเอกราช เมื่อกี๊นั่งมาในรถมาด้วยกันก็บ่นแต่เรื่องนี้ตลอดเลย ทำเป็นคนติดเมียไปได้”
ชมพูมองเตชินยิ้มๆ
“อย่างอนรินเค้าเลยนะคะ พี่เตชิน รินเค้าอาจจะไม่พร้อมออกงานจริงๆ”
“ก็ไม่ได้งอนหรอกครับ แค่เสียดาย” เตชินทำหน้าเซ็ง
“ถ้างานหน้า ชมพูจะช่วยชวนแต่เนิ่นๆ เลยนะคะ”
เอกราชที่ได้ฟังทั้งคู่คุยกันนึกแปลกใจ “เอ๊ะ นี่ ชมพูรู้จักแฟนเตชินด้วยเหรอ”
“จะบอกว่าแค่รู้จักไม่ได้หรอกค่ะ ต้องบอกว่าสนิทด้วย จริงๆ รำคืนนี้ก็ต้องขอบคุณแฟน
พี่เตชินนะคะ ถ้าไม่ได้เค้าช่วยซ้อม ชมพูคงรำไม่ได้แน่ๆ”
“โห อย่างนี้ยิ่งน่าเสียดายใหญ่ ผมชักอยากรู้จักแฟนคุณเตชินจริงๆ ซะแล้วสิครับ”
“ผมว่าคุณก็รู้จักเค้าอยู่แล้วหละ เพราะเค้า ....”
เตชินยังพูดไม่ทันจบ หงส์หยกก็เดินเข้ามา
“ขอโทษนะคะ ขอตัวชมพูไปแสตนด์บายหลังเวทีค่ะ เอกราช มีแขกจากต่างประเทศกลุ่ม
สำคัญ... “
“งั้นขอตัวไปรับแขกสำคัญก่อนนะครับ”
เอกราชเดินออกไปทางหนึ่ง หงส์หยกหันมายิ้มหวานอ่อยเตชิน ก่อนจะพาชมพูออกไปอีกทางหนึ่ง ชัชเห็นรอยยิ้มของหงส์หยกถึงกับเพ้อ
“น้องคนเมื่อกี้ น่ารักอ่ะ อย่าบอกว่าไม่รู้จักนะ ยิ้มหวานเยิ้มอ่อยแกซะขนาดนั้น”
“เพื่อนที่มหาวิทยาลัยของชมพูน่ะ”
“นายมีเบอร์มั้ย”
เตชินทำหน้านิ่ง ก่อนจะเดินหนีไป ชัชแอบเซ็งที่เพื่อนไม่ช่วย ได้แต่แอบมองตามหงส์หยกอย่าง เพ้อหา
ประวิทย์แอบยืนมองเอกราชที่กำลังคุยอยู่กับแขกจากต่างประเทศอยู่ไกลๆ ดวงตาเป็นประกาย
เต็มไปด้วยความชื่นชม จนตุลเทพที่อยู่ใกล้ๆ สังเกตเห็น
“มองเพื่อนรักซะสายตาหวานฉ่ำขนาดนั้น ระวังใครเห็นแล้วจะเข้าใจผิดนะเว้ย”
ประวิทย์หน้าเครียด “เข้าใจผิดอะไรวะ”
“ก็เข้าใจผิดว่าแกเป็นเกย์สิวะ แฟนก็ไม่มี ผู้หญิงก็ไม่จีบ แบบนี้มันน่าสงสัยนะเว้ย หรือว่าแกจะเป็นจริงๆ”
ตุลเทพมองด้วยสายตาจับปิด ประวิทย์รีบหลบตา เป็นจังหวะที่ปริมลดาเดินเข้ามาพอดี
“ผู้ชายเจ้าชู้จีบผู้หญิงไม่เลือกหน้าอย่างนายก็เป็นได้เหมือนกันแหละ สมัยนี้ไวใจได้ที่ไหน”
ตุลเทพยิ้มเจ้าชู้ “แต่เธอก็รู้ว่าฉันไม่ใช่”
“รู้เมื่อนานแล้ว แต่ปัจจุบันไม่แน่ใจ”
“อยากลองพิสูจน์มั้ยล่ะ”
ตุลเทพยื่นหน้าเจ้าชู้กรุ้มกริ่มเข้าไปใกล้ ปริมลดาไม่คล้อยตาม แต่กลับกระซิบเรื่องสำคัญข้างหู
“ของที่ฉันให้นายช่วยหาได้รึยัง”
ตุลเทพชะงัก ทำหน้าเครียด มองซ้ายมองขวาก่อนจะกระซิบตอบ
“งั้นเราไปหาที่สงบๆ คุยกัน”
ทั้งคู่รีบพากันเดินออกไป ประวิทย์มองตาม ก่อนจะหันกลับไปมองทางเอกราช ด้วยความรู้สึกกังวล กลัวว่าใครจะแอบรู้ความรู้สึกที่อยู่ข้างในที่พยายามซ่อนเอาไว้
ขวดแก้วเล็กๆ ที่ข้างในใส่น้ำมันสีแดงดูน่ากลัวถูกมายื่นใส่มือ ปริมลดารับไว้ด้วยความตื่นเต้น
“เนี่ยน่ะเหรอน้ำมันพราย”
ตุลเทพยิ้มอย่างมั่นใจ
“ของแท้ปลุกเสกด้วยอาคมขลัง ใครคนไหนได้ชิมหรือสัมผัสแม้แต่นิดเดียว จะเกิดความหลงใหลคลั่งไคล้ ถึงขั้นยอมมอบกายมอบใจ ให้กับเจ้าของน้ำมันพรายแบบถอนตัวไม่ขึ้น”
“แน่ใจนะ ว่ามันจะใช้ได้จริงๆ แน่เหรอ”
“งั้นเลือกผู้หญิงในงานนี้มาสักคน เดี๋ยวฉันจะพิสูจน์ให้เธอดู”
ปริมลดามองไปรอบๆ ก่อนจะชี้ไปที่ผู้หญิงสวยเซ็กซี่คนหนึ่ง ตุลเทพยิ้มก่อนจะหันไปหยิบค็อกเทลเก๋ๆ จากถาดของบริการที่เดินผ่านมา แล้วหยิบขวดน้ำมันพรายมาหยดลงไปในแก้วค็อกเทลนั้นหนึ่งหยด
“คนที่หยดหรือคนที่ป้าย ถือว่าเป็นเจ้าของน้ำมันพรายนั้น”
หยดน้ำมันพรายลงไปผสมแตกตัวกับเครื่องดื่ม แล้วสลายหายไป ตุลเทพยื่นให้บริกรอีกคนที่เดินผ่านมา
“น้องช่วยเอาเครื่องดื่มนี้ไปเสิร์ฟสุภาพสตรีคนนั้นหน่อย”
บริกรรับแก้วเอาไป สาวเซ็กซี่รับไว้แล้วหันมามอง ตุลเทพยกแก้วชวนดื่ม สาวเซ็กซี่ยกดื่มตามมารยาท
“เดี๋ยวคอยดู ไม่เกิน 5 นาที”
ปริมลดามองสาวเซ็กซี่คนนั้นเห็นยังยืนเฉยๆ ดูไม่มีปฎิกิริยาใดๆ ในขณะที่ตุลเทพดูนิ่งๆ ไม่ได้พยายามอะไรเลย
“ถามจริงเถอะ ทำไมถึงอยากได้เตชินนัก ในเมื่อเธอมีทั้งแฟนผู้กำกับ ทั้งเอกราช แล้วก็เด็กในสังกัดอีกตั้งหลายคน”
“คนอย่างปริมลดา อยากได้อะไรแล้วก็ต้องได้”
ตุลเทพส่ายหน้าเอือมๆ “เธอนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลย”
สักพักบริกรก็เดินเข้ามาหา พร้อมยื่นกระดาษจดเบอร์ห้องในโรงแรมให้ตุลเทพ
“คุณผู้หญิงที่คุณให้ค็อกเทลเมื่อกี๊ บอกว่าจะไปรอคุณที่ห้องนี้ครับ”
ตุลเทพรับกระดาษ มาโชว์ให้ปริมลดาดู “คราวนี้เชื่อรึยัง”
ปริมลดามองน้ำมันพรายอย่างทึ่งๆ ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีสายตาใครบางคนจ้องอยู่ พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นริลณีในชุดราตรีสวยยืนปะปนอยู่ในกลุ่มแขกยืนจ้องตาเขม็งน่ากลัว แต่พอขยี้ตามองอีกครั้ง ริลณีก็หายไปแล้ว
ปริมลดายิ้มโล่งอก มองน้ำมันพรายในมือ แล้วยิ้มชั่วออกมา
อ่านต่อหน้า 3
นางชฎา ตอนที่ 11 (ต่อ)
ทางด้านหงส์หยก ก็เอาแต่ชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกโรงแรมหน้าตาเครียด ก่อนจะก้มมองนาฬิกาด้วยความกังวล
“ป่านนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่มาอีก”
ครั้นหันหลังกลับมา ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชัชยืนยิ้มอยู่
“สวัสดีครับ จำผมได้มั้ยครับ ผมเพื่อนเตชินที่ยืนอยู่ด้วยกันเมื่อกี๊น่ะครับ”
“เหรอ ไม่ยักกะจำได้นะคะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
ชัชทำท่าเขินอาย
“เอ่อ คือผมอยากจะ ขอ...”
“ถ้าจะขออาหารพิเศษ ก็เชิญที่ห้องอาหารนะคะ แถวนี้ไม่มีหรอกค่ะ”
หงส์หยกพูดเสร็จก็จะเดินออกไป ชัชรีบไปดักหน้าเอาไว้
“เอ่อ คือผมอยากจะขอเบอร์คุณน่ะครับ ถ้าไม่สะดวกไลน์ เฟซบุ๊ก หรือไอจีก็ได้นะครับ”
หงส์หยกทำหน้ารังเกียจ
“ขอโทษนะคะ ฉันมาทำงาน ไม่ได้มาแจกเบอร์ผู้ชาย”
พูดจบก็เดินเริดๆ ชนไหล่ชัชออกไป ชัชคอตกจ๋อย หงส์หยกหันไปมองสะใจปนสมเพช
“อ้วนอย่างนาย ไม่ใช่ผู้ชายในสเป็คฉันหรอก”
พอหันกลับมาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นปริมลดายืนกอดอกมองอยู่ หน้าตาเอาเรื่อง
“แล้วผู้ชายแบบไหน ถึงจะเป็นเสป็กเธอ”
หงส์หยกหน้าเสีย
ปริมลดามองหน้าหงส์หยกอย่างเหยียดหยาม
“ไม่รู้จะเล่นตัวไปทำไม หน้าอย่างเธอ ได้ผู้ชายแบบนั้นมาจีบก็ดีถมเถไปแล้ว หรือว่าเธอเล็งใครไว้อยู่”
หงส์หยกรีบหลบตา ตอบเสียงสูง “เปล๊า”
“ฉันไม่เชื่อหรอก ผู้หญิงอย่างเธอ คงเพ้อฝันอยากได้ ผู้ชายหล่อๆ รวยๆ นิสัยดีๆ ล่ะสิ”
“มันก็เป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ” หงส์หยกย้อนกลับ
“ขนาดสวย แถมดังอย่างฉัน ยังต้องตบตีกันเกือบตายกว่าจะได้ผู้ชายแบบนั้น หน้าอย่างเธอน่ะ บอกเลยว่า ยาก”
“แล้วมีอะไรรึเปล่าเนี่ย ฉันกำลังทำงานอยู่นะ”
ปริมลดารีบยื่นขวดน้ำพลาสติกใส่เครื่องดื่มให้หงส์หยก
“เอาค็อกเทลนี้ใส่แก้ว แล้วให้เด็กเธอเอาไปเสิรฟให้เตชิน”
“เธอก็ไปชวนให้เค้าดื่มเองสิ ไม่เห็นจะยาก”
“ถ้าไม่ยากแล้วฉันจะมาขอร้องเธอเหรอ ไหนว่าวันก่อนบอกว่าจะช่วยไง”
ปริมลดาโวยวายเสียงดัง
“ก็ได้ แค่นี้ไม่เห็นต้องปรี๊ดเลย ฉันช่วยอยู่แล้ว เธอเป็นเพื่อนรักฉันนะ”
“ดีมาก จำไว้นะ เอาน้ำนี้ไปเสิร์ฟก่อนรำไทยจบ แล้วอย่าให้พลาดล่ะ”
หงส์หยกยิ้มหน้าซื่อ “แน่นอน”
พอปริมลดาเดินออกไป หงส์หยกแอบแบะปากใส่ ก่อนจะมองขวดน้ำในมืออย่างลำบากใจ
เอทีเอ็มและเฟื่องฟ้ากำลังจะเปิดประตูห้องแต่งตัวเข้าไปหาชมพู แต่สเตจเมเนเจอร์รีบเข้ามาขวางไว้
“เข้าไม่ได้นะคะ”
“อ๋อ พวกเรา 2 คนเป็นเพื่อนกันชมพูน่ะครับ” เอทีเอ็มรีบบอก
“ถึงเป็นเพื่อนก็เข้าไม่ได้ค่ะ เป็นคำสั่งคุณเอกราช ห้ามใครเข้าไปรบกวนคุณชมพูเด็ดขาด”
เฟื่องฟ้าช่วยพูด “แต่เราเป็นเพื่อน แล้วก็สนิทมากด้วยนะคะ”
“สนิทแค่ไหนก็เข้าไม่ได้ค่ะ”
“งั้นช่วยเข้าไปบอกชมพูว่า เฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มมาหาก็ได้ครับ”
สเตจเมเนเจอร์ยืนนิ่งไม่ยอมทำตาม เฟื่องฟ้าโมโหขึ้นมาทันที
“อะไรกันจะมากีดกันอะไรนักหนา คนเค้าเป็นเพื่อนกันแท้ๆ”
เอทีเอ็มรีบเข้ามาปิดปากเฟื่องฟ้า แล้วรีบลากตัวออกไป เฟื่องฟ้าโมโหหันมาจะโวยวาย จังหวะนั้นก็เห็นใครบางคนเดินเปิดประตูเข้าไปในห้องพักของชมพูหน้าตาเฉย โดยที่สเตจเมเนเจอร์ไม่ว่าสักนิด
“เอ้า แล้วทำไมคนนั้นเข้าได้ เราเข้าไม่ได้ อย่างนี้มัน 2 มาตรฐานนี่หว่า”
เฟื่องฟ้าพูดโดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่เดินเข้าไปในห้องนั้นคือริลณี กระทั่งถูกเอทีเอ็มลากตัวออกไป สเตจเมเนเจอร์ยืนงงว่าเฟื่องฟ้าโวยวายอะไร
ชมพูที่แต่งชุดรำเตรียมพร้อมรำเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ด้วยอาการตื่นเต้น ขณะนั้น ริลณีก็เดินเข้ามาในห้อง ฝ่ายแรกรู้สึกรับรู้ได้ถึงการเข้ามาแม้จะมองไม่เห็น พลางพยายามมองไปรอบๆ ห้อง ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ จากนั้นก็เดินมาหน้ากระจกมองมือตัวเองที่สั่นด้วยความตื่นเต้น โดยไม่เห็นว่าในเงาสะท้อนมีผีริลณียืนอยู่ด้านหลังด้วย
“ทำยังไงถึงจะหายตื่นเต้นน้า”
ผีริลณีที่อยู่ข้างหลัง กระซิบข้างหู “เข็มกลัดนางรำ”
จู่ๆ ชมพูก็เหมือนคิดขึ้นมาได้เอง
“ใช่ เข็มกลัดนางรำของริน รินบอกว่าให้ติดเอาไว้เวลาตื่นเต้น ดีนะที่เอามาด้วย”
ชมพูรื้อกระเป๋า แล้วหยิบเข็มกลัดนางรำขึ้นมา แอบติดไว้บนชุดรำ และทันทีที่ติดเข็มกลัดเสร็จ
ผีริลณีก็สิงเข้าไปในร่างเธอทันที
ชมพูมองไปในกระจก ด้วยดวงตาที่เปลี่ยนเป็นดวงตาผี
“ปริมลดา ฉันไม่มีวันยอมให้แกทำอะไรเตชินได้หรอก”
เตชินและชัชนั่งที่เก้าอี้แถวแรกสุดเพื่อรอชมการแสดง ชัชสะกิดให้เตชินมองไปทางเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล เพื่อให้ดูเอกราชที่นั่งประกบ พูดคุยเอาใจพิชัยและพิสมัยไม่ห่าง
“สงสัยคุณเอกราชเค้าจะเอาจริงว่ะ ประกบพ่อแม่น้องชมพูไม่ห่างเลย”
“ก็ไม่เกี่ยวกับฉันนี่”
“แกไม่เป็นห่วงน้องชมพูเหรอวะ คุณเอกราชเนี่ย เค้าก็เม้าท์กันว่าร้ายไม่เบา ทั้งนางแบบ ดารา ไม่ซ้ำหน้า รวมทั้งยายปริมลดาที่พยายามตามจีบนายด้วย นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี”
เตชินหันไปมองตามชัช เห็นปริมลดาเดินตรงมาตรง เขาทำเป็นนั่งนิ่งๆ เหมือนไม่สนใจอะไร
ปริมลดาเดินเข้ามาก่อนจะลงไปนั่งข้างๆ เตชิน แล้วหันมายิ้มทักทาย พร้อมทั้งเอามือวางบนขาเขาอย่างจงใจ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ เตชิน”
เตชินไม่ตอบ แต่หันไปทางชัช “นายแลกที่กับฉันมั้ย”
ชัชตาวาว “เอาสิๆ”
ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นสลับที่กับเตชิน ปริมลดาโมโห ไม่พอใจ จะเปลี่ยนที่ตามไปนั่งข้างๆ อีก ก็ไม่มีที่แล้ว ยิ่งเห็นชัชหันมามองยิ้มกรุ้มกริ่มยิ่งโมโห
“สวัสดีครับคุณปริมลดา ผมเป็นแฟนละคร...”
ชัชยังพูดไม่ทันจบ ปริมลดาก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที
“อะไรวะ ทีกับเราไม่ยอมพูดด้วย”
ชัชไม่สนใจปริมลดาหันไปคุยกับเตชินต่อ ปริมลดาหันไปสบตาหงส์หยกที่ยืนอยู่ไม่ไกล ส่งสัญญาณให้เตรียมพร้อมทำตามแผน
ฝ่ายหลังก้มมองขวดน้ำผสมเครื่องดื่มอย่างชั่งใจ
เครื่องดื่มจากในมือหงส์หยกถูกเปลี่ยนมาอยู่ในแก้วค็อกเทลสวยหรู กำลังถูกลำเลียงนำมาเสิร์ฟ ให้แขกร่วมงานพร้อมๆ กับเครื่องดื่มอื่นๆ ที่วางอยู่บนถาดมากมาย
พนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มกับแขกผู้มีเกียรติ ทั้งเอกราช พิชัย พิสมัย ไล่มาเรื่อยๆ โดยยังไม่มีใครแตะแก้วเครื่องดื่มพิเศษนั้น
ปริมลดาหันไปมองหงส์หยก ที่ยืนมองพนักงานเสิร์ฟลุ้นๆ ว่าจะเป็นไปตามแผนมั้ย
ทางด้านบนเวที ชมพูที่ถูกริลณีสิงร่างอยู่ กำลังรำอย่างสวยงาม พลางมองจ้องไปยังแก้วในถาดพนักงานเสิร์ฟอย่างรู้ทัน
จังหวะที่พนักงานเสิร์ฟกำลังจะเดินไปถึงเตชินแล้ว หน้าสวยงามของชมพูที่ร่ายรำอยู่ ก็กลายเป็นหน้าริลณีที่น่ากลัว จ้องมองไปทางแก้วนั้นด้วยความโกรธ
อีกด้านหนึ่ง ประวิทย์ที่มองไปบนเวที ถึงกับสะดุ้ง รีบขยี้ตา เมื่อรู้สึกเหมือนว่าเห็นหน้าริลณีแว้บๆ รีบหันไปสะกิดเอกราช
“เมื่อกี๊หน้าชมพูดูแปลกๆ ไปรึเปล่า”
“ก็ไม่นี่ ทำไมเหรอ”
“ฉันรู้สึกเหมือน....”
ประวิทย์ยังพูดไม่ทันจบ พิสมัยก็หันมามองด้วยความสงสัย “มีอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณอา”
พอพนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามา ปริมลดาก็หยิบแก้วเครื่องดื่ม ก่อนจะต่อด้วยชัช เมื่อพนักงานเดินมาถึงเตชิน พนักงานกำลังจะหยิบแก้วเครื่องดื่มยื่นให้
ปริมลดามองตามอย่างตื่นเต้น
ริลณีในร่างชมพูที่มองอยู่ หยิบพานใส่กลีบดอกไม้สำหรับโปรยขึ้นมา เดินลงเวทีมา โปรยดอกไม้ที่ด้านล่างอย่างสวยงาม จนมาถึงบริเวณที่พนักงานเสิร์ฟกำลังหยิบแก้วยื่นให้เตชิน
เตชินกำลังจะรับแก้วจากพนักงาน ชมพูที่กลายหน้าเป็นริลณีเดินโปรยดอกไม้ ผ่านพนักงานเสิร์ฟ ก่อนจะตั้งใจชนจนเสียหลักเซล้มไป แก้วเครื่องดื่มที่อยู่ในมือหกรดปริมลดาเต็มๆ
“อีโง่ ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย”
ปริมลดายกมือขึ้นจะตบ เด็กเสิร์ฟรีบยกมือไหว้ขอโทษ
แต่หันไปเห็นคนในงานมองอยู่ ปริมลดาก็รีบสะบัดหน้าเดินออกไปทันที ชัชถึงกับส่ายหน้า
“นางเอกอะไรวะ ตัวจริงนิสัยแย่ยิ่งกว่านางอิจฉา สงสัยฉันต้องเลิกเป็นแฟนคลับแล้วว่ะ”
เตชินไม่สน สะกิดให้ชัชดูชมพูที่กลับขึ้นไปรำบนเวทีอย่างมีสวยงาม อ่อนช้อย ริลณีในร่างชมพูมองตามปริมลดาที่เดินสะบัดก้นออกไปอย่างสะใจ
ปริมลดาเปลี่ยนชุดแล้วกับหงส์หยกแอบยืนมองอยู่ห่างๆ ด้วยความไม่พอใจ
“ฉันว่าวันนี้ชมพูพยายามจะกันซีนเธอยังไงก็ไม่รู้ ดูสิประกบเตชินตลอด”
ปริมลดามองไป เห็นชมพูจงใจหันมายิ้มร้ายให้ ก็ยิ่งโมโหเหมือนโดนยั่ว
“ถ้าฉันเข้าใกล้เตชินไม่ได้ แล้วแผนของฉันจะสำเร็จได้ยังไง”
ขณะนั้นเอกราชก็เดินหัวเสียเข้ามา เอาเรื่องปริมลดา
“พ่อกับแม่ชมพูกลับบ้านแล้ว แต่ชมพูไม่ยอมกลับอยู่กับไอ้เตชินนั่นอยู่ได้ ทำไมเธอถึงไม่จัดการคนของเธอ”
“ลดาก็อยากจัดการแต่มันทำไม่ได้”
ทันใดนั้น ประวิทย์ก็เดินพา อาจารย์ดำ หมอผีท่าทางภูมิฐาน ใส่สูท ไฮโซ ท่าทางดูโก้มากๆ เข้ามา ทันทีที่เอกราชเห็น ก็รีบเข้าไปทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ผมนึกว่าอาจารย์ดำจะไม่มาซะแล้ว”
“ต้องมาสิ เปิดโรงแรมทั้งที ต้องมาช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้ายพาอับโชค กิจการจะได้เจริญรุ่งเรืองไง”
ปริมลดากับหงส์หยกทำหน้างง ประวิทย์เห็นก็รีบแนะนำ
“อาจารย์ดำเป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิญญาณให้บริษัทของเอกราช”
“แหม เรียกซะโก้ จะเรียกหมอผีก็ได้ ฉันชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อน”
“บริษัทนายมีหมอผีด้วยเหรอ ไม่ยักกะรู้” หงส์หยกหันมาถาม
“เดี๋ยวนี้การแข่งขันธุรกิจ มันไม่ได้มีแค่เล่ห์ แค่กล นี่หนู มันยังมีทั้งมนต์ ทั้งคาถาด้วย”
อาจารย์ดำยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องอย่างพิจารณา แล้วก็สะดุดตาที่ชมพูที่ยืนอยู่กับเตชิน
“มีอะไรเหรอครับอาจารย์” เอกราชถามอย่างแปลกใจ
“รู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ ฉันอยากไปคุยกับผู้หญิงคนนั้น”
อาจารย์ดำพูดเสร็จก็เดินเข้าไปหาชมพูทันที เอกราช ประวิทย์ ปริมลดา หงส์หยก รีบตามออกไปทันที
อาจารย์ดำเดินเข้าหยุดใกล้ๆ กับชมพู ที่กำลังคุยกับเตชินและชัช ก่อนจะพูดกับเธออย่างตรงไปตรงมา
“ได้ไปเดินในที่แปลกๆ รับของจากคนแปลกหน้า หรือว่าเพิ่งป่วยรึเปล่า”
เตชินกับชัช หันขวับมามองอาจารย์ดำด้วยความแปลกใจ ริลณีในร่างชมพูก้มหน้านิ่งไม่ตอบ
แววตาผีวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
เอกราช ที่วิ่งนำปริมลดา ประวิทย์ และหงส์หยกตามเข้ามาสมทบรีบแนะนำ
“ขอโทษนะครับนี่คือ อาจารย์ดำ เป็นอาจารย์ทางจิตวิญญาณที่ครอบครัวผมเคารพ มีอะไรเหรอครับอาจารย์”
อาจารย์ดำรีบกระซิบบอกเอกราช “ ฉันคิดว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังโดนผีเข้า”
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เค้าเป็นแฟนผม จะโดนผีเข้าไปยังไง”
อาจารย์ดำยืนกราน “แต่ฉันเห็นอะไรบางอย่างแปลกๆ ในตัวผู้หญิงคนนี้จริงๆ”
พูดพลางเดินเข้าไปใกล้ชมพูที่ยืนก้มหน้า แล้วหยิบไม้ก้านเล็ก 4 ก้านที่มัดรวมกันออกมาจากกระเป๋า แล้วงึมงำสวดคาถา พลันวิญญาณริลณีในร่างชมพูก็ปั่นป่วน เงยหน้าขึ้นมาจ้อเขม็งมองอาจารย์ดำด้วยความโกรธแค้น
“ออกไป มึงอย่ามายุ่งกับกู”
อาจารย์ดำไม่สนใจ ยังคงหลับตาท่องคาถาเพ่งสมาธิ
“จงออกไปจากร่างผู้หญิงคนนี้ซะ”
พออาจารย์ดำลืมตาขึ้น แล้วเอาไม้ทั้งสี่แตะที่ข้อมือชมพูเบาๆ วิญญาณริลณีที่สิ่งอยู่ในร่าง ก็กระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว
วิญญาณของริลณีกระเด็นออกมานอกตัวอาคารโรงแรม พอจะกลับเข้าไปอีกครั้ง ก็โดนกำแพงเวทย์มนต์ คล้ายสายสิญจน์พันวนรอบโรงแรม ผลักออกมา
แววตาร้ายของผีริลณีจ้องมองเข้าไปในโรงแรมด้วยความโกรธจัด
เมื่อผีริลณีออกไปจากร่าง ชมพูก็หมดสติล้มกองไปกับพื้น เอกราชและเตชิน รีบแย่งเข้าไปรับตัว แต่ว่าฝ่ายแรกไวกว่าคว้าตัวเธอเอาไว้ได้
เตชินหันมองอาจารย์ดำอย่างเอาเรื่อง “คุณทำอะไรชมพูน่ะ”
“ไม่มีอะไรแล้วล่ะ แค่เป็นลมหมดสติไปเท่านั้นเอง พาไปพักผ่อนสักครู่ก็หาย”
เอกราชหันมองหน้า อาจารย์ดำรีบพยักหน้าให้มั่นใจ
“จะช้าทำไม รีบสั่งให้คนไปเปิดห้องที่ใกล้ที่สุดสิ”
เอกราชหันขวับมาสั่ง ประวิทย์ รีบวิ่งนำออกไปจัดการเรื่องห้อง โดยมีเอกราชพาร่างชมพูวิ่งออกไปพร้อมกับอาจารย์ดำ
เตชิน ชัช ปริมลดา หงส์หยก ที่ยังงงกับเหตุการณ์ ยืนมองหน้ากันอึ้งๆ
“เอาไงวะ ไอ้เต” ชัชหันมาถาม
“ที่ชมพูเป็นลม อาจจะเป็นอาการทางสมองก็ได้ ยังไงฉันก็ต้องไปดูให้แน่ใจ”
เตชิน ชัช และหงส์หยก จะรีบตามออกไป ปริมลดาอาศัยช่วงชุลมุน หยิบน้ำมันพรายออกมา แล้วป้ายที่มือเตชินอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีใครเห็น เตชินที่กำลังจะเดินไปชะงักกึก ก่อนจะหันกลับมามองปริมลดาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป จนชัชและหงส์หยกที่ยืนอยู่ตรงนั้นถึงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
“เอ้า จะมามัวยืนอึ้งทำไม รีบไปดูชมพูสิ”
ชัชรีบลากเตชินออกไป ปริมลดายิ้มๆ ก่อนจะเดินตามออกไป
โดยมีหงส์หยกที่รู้สึกสงสัยเดินตามไปด้วย
เอกราชอุ้มพาชมพูที่ยังหมดสติเข้ามานอนที่เตียงด้วยความเป็นห่วง อาจารย์ดำเดินตามเข้ามาท่าทางนิ่งๆ
“เค้าไม่เป็นอะไรมากหรอก ผู้หญิงคนนี้มีจิตใจที่อ่อนแอ เหล่าสัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อนถึงเข้าไปสิงได้ง่าย”
อาจารย์ดำพูดพลางยื่นไม้ทั้งสี่ที่มัดรวมกันให้เอกราช
“เอาไม้ทั้งสี่ไปปักที่มุมสี่มุมของโรงแรม อย่าให้ไม้อันใดอันหนึ่งหักหรือล้ม ไม้ทั้งสี่นี้จะช่วยคุ้มกันไม่ให้วิญญาณชั่วร้าย หรือเหล่าสัมพะเวสีเข้ามาในโรงแรมได้”
เอกราชรับไม้ไว้ ก่อนจะยื่นต่อให้ประวิทย์
“เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”
ประวิทย์รับอาสาแล้วรีบเดินออกไป สวนกับเฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ พร้อมๆ กับชัชและหงส์หยกที่เข้ามาในห้องนี้ด้วย
“หน่วยพยาบาลมาแล้วค่ะ ไหนคะคนป่วย”
เฟื่องฟ้าถามอย่างร้อนใจ พอหันมาเห็นว่าเป็นชมพูก็ตกใจ เอทีเอ็มก็อยู่ในอาการไม่ต่างกัน
“ขอปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนะคะ ตอนนี้อย่ามุงคนป่วย ขออากาศหายใจให้ด้วยค่ะ”
ทุกคนรีบขยับออก ปล่อยให้เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มช่วยกันปฐมพยาบาล ส่วนชัชพยายามมองหา
เตชิน
“อ้าว ! แล้วไอ้เตมันหายไปไหน เมื่อกี๊บอกว่าจะเข้ามาดูอาการชมพู”
หงส์หยกตกใจที่ไม่เห็นเตชิน และยิ่งตกใจหนักเมื่อพบว่าปริมลดาก็ไม่อยู่ในห้องด้วย
หงส์หยกวิ่งหน้าตื่นมาตามทางเดิน พยายามมองหาเตชินกับปริมลดาด้วยความร้อนรน และกังวลใจ
“หายไปไหนของเค้า เจ็บใจจริงๆ ไม่น่าปล่อยให้คลาดสายตาเลย”
ปริมลดาผลักเตชินเข้าไปชิดกำแพงห้อง พลางมองใบหน้าเขาด้วยจิตพิศวาส
“ในที่สุด ก็ถึงเวลาของเรา 2 คนสักที รู้มั้ยว่าลดารอเวลานี้มานานแล้ว”
จากนั้นก็ค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบไล้หน้าเตชิน ที่ทำหน้านิ่ง ดวงตาล่องลอย ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปเหมือนจะจูบ แต่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากจะสัมผัสกัน เตชินเหมือนได้สติขึ้นมา รีบผลักตัวอีกฝ่ายออกทันที แต่ปริมลดาไม่ยอมพยายามเข้าไปกอดตัวเขาไว้
“ลดารู้นะคะ ว่าคุณต้องการลดา อย่าฝืนตัวเองเลยค่ะ”
เตชินเริ่มเคลิบเคลิ้มกับรสสัมผัส ค่อยๆ ขยับมือขึ้นโอบเอวปริมลดา
ริลณีที่รับรู้ถึงการกระทำของปริมลดาต่อเตชินก็ยิ่งคลั่งแค้น พยายามจะเข้าไปในโรงแรมเพื่อไปช่วย แต่กำแพงเวทมนต์ของอาจารย์ดำ ก็ผลักเธอออกมา ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งๆ ก็เข้าไปในโรงแรมไม่ได้ วิญญาณแค้นกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวชิงชัง
“นังปริมลดา ถ้ามึงทำอะไรเตชิน กูจะฆ่ามึง”
ฝ่ายหงส์หยกก็พยายามเดินตามหาไปทุกๆ ห้องของโรงแรม แต่ก็ไม่มีวี่แววปริมลดากับเตชิน ก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนกังวลใจ จังหวะนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น พอมองเห็นเบอร์ ก็ยิ้มดีใจ รีบกดรับสาย
“มาถึงแล้วเหรอคะ เดี๋ยวหงส์หยกจะรีบไปหาพี่เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
หงส์หยกรีบวิ่งเข้ามาหาโต้งผู้กำกับ ที่เดินเข้ามาด้วยความโมโห
“ลดากับไอ้หมอนั่นมันอยู่ที่ไหน พี่จะไปจัดการมัน”
“ใจเย็นค่ะพี่โต้ง อย่าให้มีเรื่องวันนี้นักข่าวเยอะ” หงส์หยกแกล้งทำเป็นห้าม
“มีเรื่องก็ต้องให้มี พี่ทนไม่ไหวที่จะให้ลดาสวมเขาพี่ให้คนเค้าหัวเราะเยาะว่าพี่งี่เง่าแบบนี้ ถ้าจับได้คราวนี้พี่จะแฉให้แหลกว่าปริมลดาเจ้าหญิงวงการบันเทิง ตัวจริงมั่วแค่ไหน”
“ถ้าพี่โต้งทำแบบนั้น ก็เท่ากับหงส์หยกทรยศเพื่อน ถ้าลดารู้หงส์หยกตายแน่”
“รับรองว่าเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ว่าเรา 2 คนจับมือกัน” โต้งรับประกันเสียงแข็ง
“แล้วจะทำยังไงต่อคะ ตอนนี้หงส์หยกไม่รู้ว่าลดากับผู้ชายคนนั้นไปอยู่ที่ไหน”
“ไม่ยากหรอก”
โต้งยิ้มร้าย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา กดโปรแกรม Find my iphone ก่อนจะพิมพ์ apple account ของปริมลดาลงไป หงส์หยกมองแล้วเริ่มรู้สึกกลัว
“นี่พี่โต้งรู้ไอดีแอคเคาน์ของลดาด้วยเหรอคะ”
“ไม่มีเรื่องไหนของลดาที่พี่ไม่รู้ เจอล่ะ คราวนี้จับได้คาหนังคาเขาแน่”
โต้งเดินถือโทรศัพท์นำทางตามหาห้องปริมลดาด้วยความเร่งร้อน หน้าตาเอาเรื่องสุดๆ โดยมี
หงส์หยกเดินตามอยู่ข้างหลัง
ตุลเทพที่เปิดประตูออกมาจากห้อง หลังเสร็จกามกิจกับสาวที่โดนน้ำมันพราย เมื่อเห็นโต้ง
และหงส์หยกเดินผ่านไปก็แปลกใจ
“นั่นไอ้โต้งแฟนยายลดามาได้ยังไงเนี่ย ถ้าไอ้บ้านั่นมาเห็นยายลดากับเตชินเกิดเรื่องใหญ่แน่”
ปริมลดาค่อยๆ เดินหันหลัง พร้อมใช้มือเกี่ยวคอเสื้อเตชินที่ตาลอยมาไร้การควบคุมตัวเองมาหยุดอยู่หน้าเตียง จากนั้นก็ค่อยๆ ถอดกระดุมเสื้อเขาทีละเม็ดๆ
เตชินค่อยๆ ก้มลงหอมแก้มปริมลดา ที่หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
“ใจเย็นสิคะ เดี๋ยวลดาถอดเสื้อให้ก่อน”
พูดพลางถอดเสื้อเตชินออกโยนกองไว้บนพื้น ก่อนจะผลักเขาลงบนเตียง ขณะกำลังจะลงเตียงตามไป แต่เสียงมือถือก็ดังเข้ามาขัดจังหวะ ปริมลดาชะงัก โมโห ที่ถูกขัดอารมณ์
“ใครกล้าโทรมาขัดจังหวะ”
พอเห็นหน้าจอเป็นชื่อตุลเทพ ก็รีบกดรับ
“แฟนผู้กำกับจอมขี้หึงของเธอกำลังตามหาเธอให้ทั่วทั้งโรงแรม ดูเหมือนเค้าจะประกาศไปว่า ถ้าเจอเธอมั่วผู้ชาย จะถ่ายคลิปไปแฉ ตอนนี้คาดว่าน่าจะไปถึงชั้นที่เธออยู่แล้วด้วย ยังไงก็โชคดีล่ะกันนะ”
ตุลเทพก็วางสาย ปริมลดาช็อกตาค้าง
“ไอ้บ้านั่นตามมาได้ยังไงเนี่ย”
ปริมลดารีบใส่เสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่เรียบร้อย เก็บข้าวของกระเป่า รองเท้าอย่างเร็ว ก่อนจะรีบออกมาจากห้อง แต่เตชินไม่ยอมลุก กลับคว้าเธอมากอดไว้แน่น ปริมลดายิ่งรีบยิ่งโมโห พยายามสะบัดตัวออกมา
“ไว้เจอกันคราวหน้าเวลาเหมาะๆ กว่านี้ก็แล้วกัน”
พูดเสร็จก็ผลักตัวเตชินออก จนเซหกล้มไปชนขอบโต๊ะอย่างแรง ปริมลดาอยากจะเข้าไปช่วยแต่ต้องรีบเอาตัวรอด จึงรีบวิ่งไปที่ประตูเปิดออก พอเห็นว่าโต้งกำลังเดินตามหาอยู่ไกลๆ ก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง พยายามหาที่ซ่อน แต่ซ่อนตรงไหนก็ไม่ได้ จากนั้นก็มองออกไปที่นอกระเบียง ก่อนตัดสินใจปีนออกระเบียงไปทันที
ขณะเดียวกันวิญญาณริลณีที่พยายามจะข้าไปในโรงแรมให้ได้ แต่ก็โดนกำแพงเวทมนต์ของอาจารย์ดำผลักออกมาได้ทุกครั้ง ครั้นมองไปที่ระเบียง ก็เห็นปริมลดากำลังปีนระเบียงข้ามไปอีกห้องอย่างทุลักทุเล
ผีริลณีมองอย่างแค้นใจ ก่อนจะยื่นมือไปในอากาศ เหมือนจะกระชากปริมลดาให้ตกมาจากระเบียงให้ได้ แต่มือนั้นกลับถูกกำแพงเวทย์มนต์สะท้อนพลังกลับ
ผีริลณีทำอะไรปริมลดาไม่ได้ ก็ยิ่งคลั่งแค้น
โต้งและหงส์หยกวิ่งตามหาจนถึงหน้าห้องของปริมลดา เห็นประตูห้องเปิดแง้มเอาไว้ โต้งยังลังเลไม่กล้าเข้า หงส์หยกรีบพูดเร่ง
“จะมามัวลังเลอะไรอยู่ละคะ เข้าไปเลยสิคะ”
“แต่ จะดีเหรอ เกิดไม่ใช่ห้องลดา”
“โหย จะมาลังเลอะไรละคะ นี่ล่ะค่ะ โมเมนต์สำคัญ พี่มาเพื่อได้เห็นสิ่งนี้ค่ะ”
หงส์หยกพูดจบก็รีบผลักประตูเดินนำเข้ามาในห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับไม่เจอปริมลดาอยู่ในห้อง เห็นแต่เตชินท่าทางมึนๆ นั่งเอามือกุมหัวอยู่ที่พื้น
“แล้วปริมลดาอยู่ไหน หรือว่านี่ไม่ใช่ห้องที่ปริมลดาเค้า” โต้งหันมาถามอย่างแปลกใจ
ฟากปริมลดาที่เปิดประตูออกมาจากอีกห้อง หันมองซ้ายมองขวา พอไม่เห็นโต้งก็รีบวิ่งออกมา ก่อนจะหนีลงบันไดทางหนีไฟไปอย่างรวดเร็ว
โต้งมองโทรศัพท์ เห็นว่าสัญญาณของโทรศัพท์ของปริมลดากำลังเคลื่อนที่อยู่
“อ้าว ลดาไม่ได้อยู่ในห้องนี้นี่ เราคงมาผิดห้องแล้วล่ะ โทรศัพท์ของลดากำลังเคลื่อนที่ไปไหนก็
ไม่รู้”
โต้งพูดเสร็จก็รีบวิ่งตามโทรศัพท์ของปริมลดาออกไปจากห้อง หงส์หยกมองตามเซ็งๆ แต่ไม่ได้ตามออกไป
“ไอ้ซื่อบื้อ โทรศัพท์จะเคลื่อนที่ไปไหน ก็หนีนายน่ะสิ ยายลดาร้ายจริงๆ กะจะให้โดนผัวตบเป็นข่าวดังสักหน่อย แต่ก็ดีเหมือนกัน เรื่องของเราจะได้ง่าย”
หงส์หยกพูดพร้อมกับรีบเข้าไปประคองร่างเตชินขึ้นมา
“เตชิน เป็นอะไรรึเปล่าคะ ท่าทางคุณดูเจ็บๆ นะคะ”
เตชินท่าทางมึนๆ ตาลอยๆ “ปริมลดา ปริมลดา”
“ยายปริมลดาให้ยาอะไรคุณไปเนี่ย”
หงส์หยกรีบไปหยิบเสื้อมาสวมให้ ก่อนจะเข้าไปโอบตัวเตชินเอาไว้
“ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวหงส์หยกจะช่วยคุณเอง”
พูดเสร็จก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเอามาโปะที่จมูกของเตชินจนหมดสติไป ก่อนจะจิกตา และยิ้มร้าย
เตชินนอนเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียง โดยมีหงส์หยกกำลังจัดท่านอนให้ดูธรรมชาติมากที่สุด
“ขอบใจนะลดาที่คิดแผนให้ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ฉลาดพอจะทำแผนไม่สำเร็จ ส่วนฉันที่ฉลาดกว่าจะทำแผนนี้ให้สำเร็จเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า พอคุณตื่นขึ้นมา แล้วเห็นเรา 2 คนนอนอยู่ด้วยกัน ผู้ชายดีๆ อย่างคุณ คงรู้นะคะว่าควรจะรับผิดชอบหงส์หยกยังไง เอาล่ะ เรียบร้อย งั้นเดี๋ยวขอเวลาหงส์หยกไปเปลี่ยนชุดบ้างนะคะ เพื่อความสมจริง”
หงส์หยกหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินฮัมเพลงเข้าห้องน้ำไปอย่างมีความสุขที่ทุกอย่างสำเร็จตามแผน
ผีริลณีที่อยู่ด้านนอก ยอมเจ็บตัว แต่ไม่ยอมเสียผัว พยายามที่จะฝ่ากำแพงเวทย์มนต์ แต่ไม่ว่าทำยังไงก็ฝ่าเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงมองเข้าไปในโรงแรมด้วยความรู้สึกเจ็บแค้น
“พวกแกทำลายโอกาสที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเตชินมาครั้งนึงแล้ว คราวนี้ยังคิดจะแย่งเค้าไปจากฉันอีก พวกแกมันชั่วเกินกว่าที่ฉันจะให้อภัยจริงๆ”
ปริมลดารีบวิ่งหนีออกมาที่รถที่จอดไว้ด้านหลังโรงแรมด้วยความโมโห
“ไอ้โต้ง ไอ้บ้า มาทำแผนฉันเสียหมด คอยดูเถอะกลับไปจะเลิกให้เด็ดขาดเลย”
พอขึ้นรถได้ ก็รีบถอยรถอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันระวัง ล้อรถถอยมาทับก้านไม้ของอาจารย์ดำ ที่ถูกนำมาปักไว้บนดินจนหักเละ แต่ปริมลดาไม่รู้รีบขับรถเพื่อหนีโต้งออกไปจากโรงแรมอย่างรวดเร็ว
อยู่ดีๆ กำแพงเวทย์มนต์ของอาจารย์ดำก็มลายหายไป ริลณีดีใจรีบหายตัวเข้าไปในโรงแรมเพื่อช่วยเตชินทันที
หงส์หยกในชุดผ้าขนหนูคลุมกายผืนเดียวเดินหน้าระรื่นออกมาจากห้องน้ำ ก่อนจะรีบขึ้นไปบนเตียง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้
“อย่างน้อยมันก็ต้องมีหลักฐาน”
ขณะถ่ายรูปที่ส่อให้คิดว่า 2 คนกำลังทำอะไรกันอยู่นั้น รูปที่ถ่ายออกมา ไม่ได้มีแต่หงส์หยกกับ
เตชิน แต่มีรูปผีริลณีติดมาด้านหลังด้วย
หงส์หยกที่กำลังถ่ายรูปอยู่ เริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยังกลั้นใจ กดถ่ายรูปอีกครั้ง คราวนี้ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอไม่ใช่ภาพหงส์หยกกับเตชิน แต่เป็นภาพผีริลณีสุดน่ากลัว จ้องมาด้วยความแค้น หงส์หยกตกใจ ปล่อยมือจากกล้องที่ถ่ายรูปอยู่ แต่แล้วก็ยิ่งช็อกหนัก เมื่อเห็นผีริลณีหน้าเละค่อยๆ คลานขึ้นมาจากปลายเตียง อย่างช้าๆ สายตาจ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ผีริลณีค่อยๆ คลานขึ้นเตียงไป หงส์หยกกลัวจนหน้าซีดตัวสั่น พยายามถอยหนีไปจนติดหัวเตียง ผีริลณีค่อยคลานเข้าไปช้าๆ ก่อนจะคร่อมร่างของหงส์หยกขึ้นไป ใบหน้าผีหยุดที่ข้างหู และกระซิบเสียงเย็น
“ฉันจะเตือนแกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าแกยังเสี้ยน อยากยุ่งกับผัวฉันอีก แกตาย”
หงส์หยกกลัวจนตัวสั่น ค่อยๆ หันหน้าไปมอง ผีริลณีที่ค่อยๆ หันมองกลับและแสยะยิ้มให้ หงส์หยกหวีดร้องด้วยตกใจกลัว
หงส์หยกตะเกียกตะกายในชุดผ้าขนหนูผืนเดียว หกล้มหกลุก วิ่งหนีออกไปจากห้องโดยไร้ซึ่งความอาย โดยมีริลณีที่เปลี่ยนสภาพอยู่ในชุดราตรียืนจ้องมองตามอย่างสะใจ
เตชินนอนกระสับกระส่าย ทุรนทุรายด้วยฤทธิ์น้ำมันพราย ริลณีปรากฏร่างขึ้น ก่อนจะรีบเข้าไปดูอาการด้วยความเป็นห่วง
“ปริมลดา ปริมลดา”
“คุณต้องเข้มแข็งนะคะเตชิน อย่าให้อวิชาชั่วร้ายทำอะไรคุณได้ เข้มแข็งไว้ คิดถึงความรักที่เรา
2 คนมีให้กัน อย่าให้อวิชชาเข้าไปเกาะกุมใจคุณได้”
ริลณีนอนกอดเตชินเอาไว้แน่น
“ไม่ต้องห่วงนะคะเตชิน ใครที่ทำให้คุณเจ็บ รินจะทำให้พวกมันเจ็บยิ่งกว่าคุณเป็นร้อยเท่า ในเมื่อพวกมันไม่ปล่อยให้รินได้อยู่กับคุณอย่างสงบสุข ก็คงถึงเวลาที่พวกมันทุกคน จะต้องชดใช้กรรมที่พวกมันเคยทำไว้กับรินแล้ว”
แววตาของริลณีวาวโรจน์ ด้วยความแค้นอย่างเกินจะเก็บกักไว้ได้อีกแล้ว
เตชินลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยความแจ่มใส สดชื่น แต่เมื่อมองไปรอบๆ ตัวก็รู้สึกแปลกใจ
“เอ๊ะ เรามานอนที่นี่ได้ยังไงเนี่ย”
เมื่อมองเห็นเสื้อผ้าตัวเอง และมีเสื้อผ้าของผู้หญิงถูกถอดกองไว้ ก็พยายามคิดว่าของใครและเกิดอะไรขึ้น คิดไปคิดมา จู่ๆ ก็รู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาอย่างรุนแรง เขารีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะโก่งคออาเจียนออกมาเป็นสีดำ รวมทั้งมีเศษผมกระจุกใหญ่ขย้อนออกมาด้วย
ของที่เตชินโดนกระทำจากน้ำมันพรายเสื่อมฤทธิ์ในฉับพลัน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่”
อ่านต่อหน้า 4
นางชฎา ตอนที่ 11 (ต่อ)
เตชินเดินเข้ามาในห้องอาหาร ชมพูที่นั่งทานอาหารอยู่กับเฟื่องฟ้าและเอทีเอ็ม หันมาเห็นก็นึกแปลกใจ
“พี่เตชิน ยังอยู่เหมือนกันเหรอคะเนี่ย ชมพูคิดว่าพี่เตชินกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“แล้วทำไมทุกคนถึงยังอยู่กันล่ะครับ”
เอทีเอ็มรีบบอก “ก็ที่เมื่อคืนชมพูเป็นลม กว่าจะฟื้นกว่าจะหายก็ดึกมากแล้ว พวกเราก็เลยตัดสินใจอยู่เป็นเพื่อนน่ะครับ”
“แล้วพี่เตชินล่ะคะ ทำไมถึงค้าง” ชมพูย้อนถาม
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน บอกตรงๆ ว่าพี่จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เลย”
ทั้ง 3 คน มองหน้ากันแปลกใจกับท่าทีแปลกๆ ของเตชิน ขณะนั้นเอกราชก็เดินยิ้มแย้มแจ่มใส
เข้ามา
“เป็นยังไงบ้างครับทุกคน เมื่อคืนหลับสบายดีกันมั้ย แล้วปริมลดาไม่ลงมาด้วยกันเหรอครับ”
ยังไม่ทับที่เตชินจะตอบอะไร ตุลเทพและประวิทย์ ก็เดินเข้ามา
“โอ๊ย ยายนั่นโกยแน่บกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้ไอ้ผัว ผู้กำกับขี้หึงมันจะทำอะไรบ้าง”
ตุลเทพหัวเราะขำ ประวิทย์รับช่วงต่อ
“หงส์หยกก็รีบกลับไปกลางดึกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เค้าบอกว่าผู้หญิงเข้าใจยาก ผู้ชายอย่างเราไม่ควรจะหาเหตุผล”
เอทีเอ็มพูดขึ้นมา ชมพูรีบแย้ง
“แต่หาเอาไว้บ้างก็ดีนะ เพราะสิ่งที่ผู้หญิงทำก็ไม่ได้ไร้สาระซะทุกอย่างหรอก”
เฟื่องฟ้าสวนขึ้นมาทันที
“งั้นแสดงว่า ที่ 2 คนนั้นรีบกลับแสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ เพียงแต่เราไม่รู้”
ทุกคนมองหน้ากัน รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอะไรบางอย่าง ที่พูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
“ไว้เดี๋ยวผมจะโทรไปถามทั้งสองคนเองก็แล้วกัน แต่ตอนนี้เชิญทุกคนทานอาหารเช้ากันก่อน
เถอะครับ”
เอกราชพูดพลางหันไปสั่งพนักงานให้ยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟอีก จังหวะนั้นเสียงมือถือของประวิทย์ก็ดังขึ้น
ประวิทย์เห็นเป็นเบอร์ไม่คุ้นก็นึกแปลกใจ แต่ก็รีบกดรับ
“สวัสดีครับ ผมประวิทย์พูดครับ อะไรนะครับ ได้ครับ ครับ แล้วผมจะรีบไปครับ”
เอกราชมองประวิทย์ที่หน้าเจื่อนลงอย่างสงสัย
“มีอะไรเหรอวะ”
“ตำรวจโทร.มาบอกว่า เค้าพบศพเชิงชาย”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ช็อกไปตามๆ กัน
เตชิน ชมพู เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ เดินหน้าตื่นเข้ามาในสถานีตำรวจ
“ตำรวจโทร.ไปหาผมให้ช่วยมาชี้ตัวศพนายเชิงชายครับ”
ประวิทย์รีบแนะนำตัว
“งั้นเชิญทางนี้ครับ”
ตำรวจเดินนำทางไป ทุกคนรีบเดินตาม ชมพู จะตามไปด้วยแต่เตชินห้ามไว้
“พี่ว่าพวกเราน่าจะนั่งรออยู่ตรงนี้”
“แต่ชมพูอยากรู้ว่าใช่เชิงชายจริงรึเปล่า”
“เชื่อพี่เถอะครับ ภาพบางภาพ เราก็ไม่ควรเห็น”
ชมพูพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะยอมนั่งรออยู่ข้างนอก เตชินนั่งลงข้างๆ สีหน้าไม่ค่อยสบายใจ
ภาพถ่ายศพหมอผีเจ๋งในที่เกิดเหตุที่นอนคอหักบิดจนหน้ากลับไปอยู่ด้านหลัง ถูกโยนไปบนโต๊ะ ตามด้วยรูปศพเชิงชาย ที่เห็นเป็นภาพแขน 2 ข้างโผล่ออกมาจากพื้น แล้วตามด้วยรูปถ่ายใกล้หน้าศพในที่เกิดเหตุ เห็นว่ามีดินไหลออกมาจากปาก จมูก และ รูหู นัยน์ตาเหลือกลาน บ่งบอกว่าเป็นการตายด้วยความทรมาน
เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ มองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสยดสยอง ก่อนจะรีบยื่นภาพคืน
“จากสภาพสถานที่พบศพ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีร่องรอยของคนร้าย ไม่มีรอยนิ้วมือ
ไม่มีร่องรอยของใครที่เข้าไปในบริเวณนั้นเลย นอกจากผู้ตายทั้งสอง และจากสภาพศพเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ตายจะหกล้มคอหักจนหมุนได้เกือบรอบ หรือกินดินเข้าไปเป็นถังๆ แล้วฝังตัวเองให้ตายแบบนี้ พวกคุณพอจะให้ข้อมูล หรือเบาะแสอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์แก่เราบ้างมั้ยครับ”
ตำรวจหันมาถาม เอกราช ประวิทย์ ตุลเทพ มองหน้ากันหน้าเครียด สุดท้ายประวิทย์ตัดสินใจโพล่งออกมา
“เชิงชายกำลังมีปัญหาเรื่องเงินกับมาเฟียกลุ่มนึง ผมไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้รึเปล่า”
“แล้วคุณพอทราบความสัมพันธ์ของผู้ตายทั้งสองมั้ย”
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะคุณตำรวจ พวกเรายังไม่รู้เลยว่าคนตายอีกคนคือใคร”
ตุลเทพรีบพูดปัด ตำรวจมองรอยสัก และเครื่องรางของขลังเต็มตัวอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“แต่คุณก็สนใจพวกเรื่องเครื่องรางของขลัง ก็น่าจะรู้จักหมอผีเจ๋งบ้างนะ แกออกจะดัง”
ตุลเทพหน้าเสีย หันไปมองเอกราชอย่างขอความช่วยเหลือ
“คุณบอกว่าเรียกพวกเรามาแค่ชี้ตัว ถ้าอยากสอบปากคำ ผมคงต้องให้ทนายของพวกเรามาด้วย”
“ผมยังไม่รบกวนถึงขนาดนั้น ไว้ได้เรื่องอะไรมากกว่าอาจจะเชิญพวกคุณมากให้ปากคำอีกครั้ง งั้นสรุปว่าผู้ตายคือคุณเชิงชาย จริยวรรณ นักแต่งเพลงชื่อดัง และหมอผีเจ๋ง พวกคุณทั้ง 3 คนไม่มีใครรู้จักใช่มั้ยครับ”
เอกราช ตุลเทพ และประวิทย์พยักหน้ารับ ก่อนจะหันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกกังวลและกลัวสุดๆ
พอทั้ง 3 คนเดินออกมา ชมพูก็รีบลุกขึ้นไปถาม
“ใช่เชิงชายรึเปล่า”
ประวิทย์พยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ชมพูหน้าสลด
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเชิงชาย ทำไมเค้า...”
ตุลเทพรีบพูดแทรก
“กลับไปรอดูข่าวที่บ้านได้เลย รับรองว่าเรื่องนี้ถ้านักข่าวรู้ เป็นเรื่องใหญ่แน่”
“เดี๋ยวพวกผม 3 คนมีธุระต้องรีบไปจัดการเรื่องเชิงชาย ผมรบกวนฝากคุณเตชิน พาชมพูไปส่งที่บ้านได้มั้ยครับ”
เอกราชหันไปถาม เตชินพยักหน้ารับและหันมาบอกชมพู
“พวกเรากลับกันเถอะ”
เตชินกับชมพูกลับออกไป 3 คนหันมองหน้ากันสีหน้าเคร่งเครียด
“ว่าไงนะ เชิงชายถูกฆ่าตายงั้นเหรอ”
ปริมลดาที่ใบหน้าบวมช้ำเพราะถูกผัวผกก.ทำร้ายอุทานเสียงดังอย่างไม่เชื่อหู หงส์หยกหน้าซีดเผือด
“ฉันเห็นข่าวตอนก่อนออกมาจากบ้าน น่ากลัวจนแทบไม่น่าเชื่อ”
“แล้วตำรวจรู้รึยังว่าใครเป็นคนทำ”
ตุลเทพหน้าเครียด “เรื่องใครฆ่า ตายยังไง มันไม่สำคัญ เท่ากับว่าไอ้เชิงชายมันตายกับใคร”
หงส์หยกรีบพูด “หมอผีเจ๋ง ?”
“ใช่ ทำไมอยู่ๆ เชิงชายถึงไปเกี่ยวข้องกับหมอผีเจ๋ง แถมยังถูกฆ่าตายพร้อมกันอีก”
“นี่นายกำลังสงสัยว่าการตายของเชิงชายกับหมอผีเจ๋ง จะเกี่ยวข้องกับ...” ประวิทย์ทำท่าไม่ค่อยกล้าจะพูดต่อ “ริลณี งั้นเหรอ”
ตุลเทพพยักหน้ารับ เอกราชที่นิ่งฟังอยู่นาน โวยวายขึ้นมาทันที
“จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ทุกคนก็รู้ว่าพวกเราทำลายแหวนนังผีนั่นไปแล้ว นังผีนั่นทำร้ายใครไม่ได้ แล้วจะไปฆ่าทั้ง 2 คนนั้นได้ยังไง แล้ว 2 คนนั้นไปเกี่ยวอะไรด้วย”
ประวิทย์รีบพูดต่อ
“ก็ไม่แน่นะ เพราะก่อนตาย เชิงชายมันเล่าให้ฉันฟังว่า มันต้องการเงินไปใช้หนี้ มันกับหมอผีนั่นกำลังช่วยกันจับผีริลณี”
“โอ๊ย ทำไมเชิงชายถึงชอบหาเรื่องเดือดร้อนมาให้พวกเราตลอด ขนาดตายแล้วยังทำให้เกิด
เรื่องอีก”
ปริมลดาโวยวายอย่างเหลือออด ประวิทย์หน้าเครียด
“ถ้าตำรวจสืบรู้เรื่องเชิงชายเกี่ยวข้องกับหมอผีเจ๋งยังไง ก็อาจจะสืบรู้เรื่องของเรากับผีริลณีด้วย แล้วถ้ารู้เรื่องเรากับผีริลณีก็อาจจะรู้ว่าพวกเรา...”
หงส์หยกรีบยกมือปิดหู “ไม่นะ อย่าพูดเรื่อง 2 ปีก่อนนะ ฉันไม่อยากได้ยิน”
ตุลเทพโพล่งขึ้นมาบ้าง “แต่ปัญหาตอนนี้ คือเราไม่รู้ว่าเชิงชายกับไอ้หมอผีนั่นพยายามทำอะไร”
เอกราชลุกขึ้นยืนตบโต๊ะ มองทุกคนอย่างเอาจริง
“งั้นพวกเราก็ต้องรู้ให้ได้”
รถตุลเทพแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านหมอผีเจ๋ง หงส์หยกโวยวายเสียงดัง
“ทำไมต้องพาพวกเรามาที่นี่ด้วย”
ปริมลดารีบเออออ “นั่นสิ เดี๋ยวใครก็มาเห็นหรอกว่าพวกเรารู้จักไอ้หมอผีนั่น”
“ก็ถ้าไม่รีบมา ยังไงตำรวจก็ต้องสืบรู้ว่าพวกเรา รู้จักกับไอ้หมอผีนั่นอยู่ดี”
ตุลเทพพูดอธิบาย เอกราชช่วยเสริม
“ก็ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย ยังไงพวกเราก็ไม่เกี่ยวข้องกับการตายของไอ้เชิงชาย แล้วไอ้หมอ
ผีนั่นสักหน่อย”
ตุลเทพรีบแย้ง
“พวกนายแน่ใจเหรอว่า ไม่เกี่ยว แล้วถ้าเกิดคนที่ฆ่าเชิงชาย ไม่ใช่มาเฟียพวกนั้นล่ะ”
“หยุดพูดถึงนังผีนั่นนะ ฉันไม่กลัวมันหรอก”
ปริมลดาทำปากดี ตรงข้ามกับหงส์หยกที่กลัวจนตัวสั่น
“แต่ฉันกลัว ฉันเพิ่งเจอผีริลณีหลอกที่โรงแรมเอกราช”
“อ้าว แล้วทำไมไม่รีบบอก แล้วนังผีนั่นมาทำอะไร”
“มันมาบอกว่าอย่ายุ่งกับผัวของมัน ไม่งั้นมันจะฆ่าฉัน”
ปริมลดาหันขวับมาถามทันที “แล้วผัวนังผีนั่นเป็นใคร”
หงส์หยกก้มหน้า หลบตาไม่กล้าพูดความจริงคืนนั้น “ฉะ ฉันก็ไม่รู้”
“บางทีเรื่องทุกอย่างอาจจะไม่เกี่ยวกับผีนั่นก็ได้”
เอกราชสรุป ประวิทย์พูดต่อ
“พวกเราถึงต้องมาพิสูจน์ไง”
ประตูบ้านหมอผีเจ๋งเปิดออกช้าๆ ทั้ง 5 คนค่อยๆ แอบย่องเข้ามา ปริมลดามองไปรอบๆ บ้านเห็นของน่ากลัวต่ออยู่เต็มไปหมด ก็อ้าปากจะกรีดร้อง แต่ตุลเทพรีบปิดปากไว้ ทำมือให้สัญญาณทุกคนกระจายกันช่วยค้นข้าวของ
ทุกคนแยกย้ายกันไปสำรวจดูในบ้าน หงส์หยกและปริมลดาเกาะแขนไปสำรวจอย่างกลัวๆด้วยกัน เจอพวกกุมาร น้ำมันพรายเป็นลังๆ
ตุลเทพสำรวจแถวหิ้งบูชา เอกราชและประวิทย์ ช่วยกันสำรวจรายชื่อลูกค้า ขณะที่กำลังดู
ประวิทย์หันไปเห็นสมุดที่มีรอยกระดาษฉีกไปก่อนหน้าขึ้นมาดู เห็นว่ามีรอยกดของปากกาเป็นข้อความอยู่บนนั้น ก็รีบหยิบดินสอฝนลงไปบางๆ บนกระดาษนั้น จนเห็นข้อความที่เขียนก่อนหน้าปรากฏขึ้น
“ความลับเมียนายราคา 1 แสนบาท ถ้านายยังไม่อยากรู้ ระวัง เมียนายจะเดือดร้อน... หมายความว่ายังไง”
ประวิทย์หันมาถามเอกราช ตุลเทพรีบเดินเข้ามาคว้ากระดาษไปดู
“เหมือน 2 คนนั่นกำลังวางแผนข่มขู่ใคร”
เอกราชหันไปเห็นเศษกระดาษ ที่มีตัวเลขเป็นเบอร์โทรศัพท์หลายเบอร์เขียนอยู่
“นี่มันเบอร์บริษัทฉันนี่”
“แล้วอีก 2-3 เบอร์นั่นล่ะ ใช่เบอร์นายรึเปล่า”
เอกราชส่ายหน้า “ไม่ใช่”
หงส์หยกที่เดินนำปริมลดาเข้ามาสมทบ รีบถาม
“จะเป็นไปได้มั้ยว่าเบอร์พวกนั้นจะเกี่ยวกับจดหมายข่มขู่”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบริษัทฉันด้วยล่ะ”
“อาจจะไม่เกี่ยวกับบริษัท แต่เกี่ยวกับคนที่ทำงานบริษัทนาย” ประวิทย์ตั้งข้อสังเกต
“แค่ลองโทร.เบอร์พวกนั้นก็รู้ว่าใครแล้ว” ปริมลดาออกความเห็นอย่างชาญฉลาด “เดี๋ยวฉันโทรเอง”
พอค่อยๆ ไล่กดเบอร์โทรศัพท์ทีละตัว ก็เห็นว่าเป็นเบอร์ของเตชิน ปริมลดาเงยหน้ามองทุกคนอย่างตกใจ
“นี่มันเบอร์ของเตชินนี่”
ตุลเทพทำหน้างง “แล้วเตชินมันมาเกี่ยวอะไรด้วย”
ทุกคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างไม่มีคำตอบ
ภาพข่าวในทีวีกำลังเสนอข่าวการตายของเชิงชาย พร้อมกับเสียงบรรยาย
“การตายของหมอผีและนักแต่งเพลงชื่อดัง ถือว่าเป็นการถูกฆาตกรรมที่โหดร้ายและทารุณมากที่สุดเท่าที่เคยพบมาสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในแถบนั้นมาก ตอนนี้ตำรวจก็เร่งพิสูจน์หลักฐาน เพื่อจับคนร้ายรายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด”
เตชินที่นั่งดูทีวีอยู่กับริลณีถึงกับต้องรีบดึงเธอเข้าไปกอดไว้แน่น
“บังคับคนให้กินดินเข้าไปจนตายไม่รู้กี่ถังต่อกี่ถังจนตายแบบนั้น ทำไมฆาตกรถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้”
ริลณียิ้มเหี้ยม “ไม่โหดหรอกค่ะ น้อยเกินไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความเลวที่เค้าทำ”
“รินรู้เหรอครับ ว่าเชิงชายเคยทำอะไรไม่ดี”
ริลณีเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มใสๆ
“ไม่รู้หรอกค่ะ แต่รินเชื่อว่า เราทำกับคนอื่นแบบไหน ก็ย่อมจะได้รับสิ่งตอบแทนแบบนั้น”
“วันนี้ชมพูชวนผมกับรินไปงานศพเชิงชาย”
“คุณไปกับชมพูเถอะค่ะ ท่าทางเค้าคงจะเสียขวัญน่าดู” ริลณีรีบบอกปัด
“อ้าว แล้วรินละครับ”
“คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ รินไปแน่ ถึงเวลาที่พวกเค้ากับรินต้องเจอกันสักทีแล้ว”
ริลณียิ้มร้ายอย่างน่ากลัว
รูปของเชิงชายวางอยู่หน้าโลงศพ พ่อแม่ของเขานั่งร้องไห้โศกเศร้า จนต้องมีแขกมาช่วยปลอบใจ
เอกราช ประวิทย์ ตุลเทพ ปริมลดา มาช่วยรับแขกอย่างขมีขมัน
ปริมลดารีบบอกกับเพื่อน
“ดีนะที่เมคอัพกลบปิดรอยแผลได้ ไม่อย่างนั้นถ้านักข่าวมาเห็นรอยช้ำเป็นข่าวใหญ่แน่”
“แล้วเธอยังคบมันอีกมั้ยล่ะ” ตุลเทพย้อนถาม
“เลิกเด็ดขาดแล้ว อย่าเจอกันอีกเลยชาตินี้”
หงส์หยกรีบถามหยั่งเชิง “แล้วเรื่องเตชินล่ะ เธอยัง...”
“แน่นอน ยังไงฉันก็ต้องจับเตชินให้ได้”
ขาดคำเตชินกับชมพูก็เดินคู่กันเข้ามา ปริมลดายิ้มร่าเริงรีบออกไปต้อนรับ พลางเข้าไปกอดแขนอย่างสนิทสนม
“ลดาดีใจจังเลยค่ะที่พี่เตชินมา”
เตชินตกใจ รีบแกะแขนปริมลดาออก และถอยมายืนห่างๆ อย่างไว้ตัว จนอีกฝ่ายหน้าเสีย ชมพูมองปริมลดาเหยียดๆ
“เข้าไปกันเถอะค่ะพี่เตชิน”
พูดพลางรีบพาเตชินเดินเข้าไปข้างใน ปริมลดาอยากจะกรี๊ดแต่ต้องเก็บอาการไว้ มองตามชมพูและเตชินอย่างไม่พอใจ
“คิดว่าฉันจะยอมแพ้งั้นเหรอ”
เสียงพระสวดบทพระอภิธรรม 7 ดังก้องศาลา ขณะทุกคนนั่งฟังพระสวดอยู่ ปริมลดาที่นั่งข้าง
เตชินจงใจใช้ปลายรองเท้าส้นสูงคู่เก๋ ไล้ไปตามขาอย่างยั่วยวน เตชินหันมองอย่างไม่พอใจ พยายามเขยิบหนีแต่อีกฝ่ายไม่หยุด เอื้อมมือจะลูบต้นขาเขาอีก เตชินทนไม่ไหว รีบลุกขึ้นยืน ชมพูหันมามองแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะพี่เตชิน”
“พี่ขอออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอกก่อนนะครับ”
เตชินเดินออกไป ปริมลดาจะลุกตามแต่หงส์หยกห้ามไว้
“อีกนิดเดียวก็จะสวดจบแล้ว”
ปริมลดามองตามเตชินอย่างขัดใจ ชมพูมองด้วยหางตาอย่างสมเพช
เตชินเดินออกมานอกศาลาด้วยอารมณ์หงุดหงิด พลางมองไปรอบๆ บริเวณวัด แล้วก็รู้สึกผิดสังเกต เมื่อเห็นมีอีกาเกาะอยู่มากมาย ยิ่งมองไปบนหลังคาศาลสวดศพเห็นฝูงอีกาเกาะอยู่เป็นร้อย
“ทำไมวัดนี้อีกาเยอะจัง”
ขณะที่มองอย่างสงสัย พลันสายตาก็เห็นเหมือนริลณีเดินแวบผ่านไปไปอย่างเร็ว เตชินรีบหันขวับมองตาม เห็นเหมือนใครบางคนเดินเข้าไปในศาลสวดศพหลังไวๆ
“ริน? สงสัยตาฝาด”
เสียงพระสวดจบลง พระทยอยเดินออกจากห้อง พร้อมๆ กับแขกในงานที่ค่อยๆ ทยอยออกจากงาน
ปริมลดารีบลุกจะออกไปข้างนอก หงส์หยกถามอย่างสงสัย
“จะรีบไปไหน”
“ก็จะรีบตามเตชินออกไปน่ะสิ”
ขณะกำลังจะเดินออกไป จู่ๆ ก็มีอีกาบินเข้ามาในศาลา เกือบจะชนปริมลดา และไปเกาะบนฝาโลงร้อง กา กา ดังลั่นศาลา หงส์หยกมองไปรอบๆ ศาลารู้สึกบรรยากาศวังเวง น่ากลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ฉันว่าเรารีบกลับเถอะ ที่นี่มันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”
ประวิทย์รีบบอก “งั้นไปลาศพก่อน”
จังหวะที่ทุกคนกำลังจะลุกขึ้น พลันไฟในศาลาทุกดวงก็เริ่มติดๆ ดับๆ อีกาบนหลังคาสวดศพพากันบินแตกฮืออย่างไม่มีสาเหตุ รวมทั้งอีกาบนโลงศพก็บินหนีไปด้วย
หงส์หยกหลัวจนตัวสั่น ประวิทย์ ชมพู ปริมลดา ตุลเทพ เริ่มรู้สึกแปลกๆ มีแค่เอกราชที่พูด
ท้าทาย
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ก็แค่ไฟตก”
สิ้นเสียงเอกราช ไฟในศาลาดับพรึ่บ พร้อมเสียงเพลงไทยเดิมดังไปทั่วศาลา ตามด้วยเสียงกำไลเท้า พร้อมกับเสียงใครบางคนซอยเท้าดังไปรอบๆห้อง
เอกราช ตุลเทพ ปริมลดา ประวิทย์ หงส์หยก พยายามหันขวับมอง แต่ไม่เห็นที่มาของเสียง เสียงซอยเท้าและกำไลเท้าค่อยๆ เริ่มวนเข้ามาใกล้ขึ้นๆ ล้อมรอบทั้ง 6 คนไว้ จนเสียงนั้นมาอยู่ด้านหลังของทุกคนจนรู้สึกกลัวหนาวหลัง รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ข้างหลัง
เอกราชตัดสินใจหันไป พร้อมกับไฟสว่างพรึ่บ ด้านหลังไม่มีอะไรทั้งสิ้น ขณะที่ชมพูหน้าซีดเผือด ชี้มือสั่นๆ ไปที่หน้าโลงด้วยความกลัว ตกใจ
“ดะ ดะ ดูนั่น”
ทั้งหมดรีบหันไปมองที่ด้านหน้าโลงศพ แล้วก็ต้องช็อกตาค้างกันถ้วนหน้า เมื่อเห็นริลณีในชุดนางรำสวมชฎาเต็มยศ กำลังซอยเท้าร่ายรำอย่างงดงามอ่อนช้อย
ริลณีหยุดรำ พลางเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่ทั้งหกคนตาเขม็ง ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยอาฆาตแค้น
ทั้งหมดตกใจกลัวรีบจะวิ่งหนี แต่ประตูศาลาปิดปัง ขังทุกคนไว้ข้างใน
ผีริลณีปรากฏกายตรงหน้า จ้องหน้าทั้ง 6 คน แล้วยิ้มช้าๆ เห็นปากค่อยๆ ฉีกไปจนถึงใบหู เลือดแดงสดเอ่อท่วมทะลักล้นออกมา ดวงตากลายเป็นสีศพ ค่อยๆ ยกมือชี้ไปที่ชมพู เอกราช ปริมลดา ตุลเทพ ประวิทย์ หงส์หยก ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
“หนี ยังไง ก็ ไม่ พ้น หรอก กู จะ ตาม เอา คืน พวก มึง ทุก คน”
เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของชมพู ปริมลดา และหงส์หยกดังออกมาจากศาลาสวดศพ เตชินเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกหันขวับไปตามเสียง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ศาลาทันที
เตชินวิ่งพรวดพราดหน้าตื่นเข้ามา ทุกคนในนั้นหน้าตาตื่นตระหนกตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น แล้วชมพูละครับ”
ทุกคนหันไปมองหา ก็เห็นชมพูเป็นลมหมดสติอยู่บนพื้น เตชินตกใจ ปราดเข้าไปประคองร่างชมพูขึ้นมาบนตัก แล้วหันไปถามคนอื่นด้วยความสงสัย
“ทำไมอยู่ๆ ชมพูถึงได้เป็นลมแบบนี้”
เอกราช ตุลเทพ ปริมลดา หงส์หยก ประวิทย์ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน” ปริมลดารีบบอกปัด
“แต่เมื่อกี้ผมไมด้ยินเสียงคนกรี๊ดจากในศาลานี่นะครับ”
ตุลเทพทำหน้าตาย
“เสียงกรี๊ดที่ไหน ไม่มีนี่ครับ พวกเราอยู่ในนี้ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย ใช่มั้ยพวกเรา”
คนอื่นๆ รีบพยักหน้าเห็นด้วย เตชินยิ่งฟังก็ยิ่งแปลกใจ
“ตอนนี้ผมว่าอย่าเพิ่งถามอะไรเลย รีบพาชมพูออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
เอกราชพูดพลางมองไปรอบๆ ศาลาด้วยความกลัวและระแวง ประวิทย์รีบพูดต่อ
“ชะ ใช่ครับ ในนี้อากาศอึดอัด มีกลิ่นธูป บางทีชมพูอาจจะเวียนหัวก็ได้”
เตชินรีบอุ้มชมพูขึ้นมาแต่ก็ยิ่งต้องแปลกใจ เมื่อเห็นทุกคนรีบเร่งเดินออกจากศาลาไปอย่างเร็วจี๋
ชมพูสูดดมยาดมเข้าไป ค่อยๆ ลืมตาได้สติ และทันทีที่เห็นเตชิน ก็รีบโผกอดเขาแน่น เนื้อตัวสั่นเทา ท่าทางตื่นกลัว เตชินแปลกใจ พยายามพูดปลอบ
“เกิดอะไรขึ้นครับ น้องชมพูเป็นอะไร”
“เมื่อกี๊ มะ มะ มีผีมาหลอกพวกเราที่ศาลา น่ากลัวมากเลยค่ะ ทุกคนเห็นใช่มั้ย”
ชมพูหันไปถามคนอื่นๆ แต่ทั้ง 5 คนรีบส่ายหน้า หงส์หยกชิงพูดขึ้นมา
“ผีอะไร ไม่เห็นมีเลย พวกเราฟังพระสวดเสร็จ กำลังจะกลับ แต่อยู่ๆ ชมพูก็เป็นลมไป”
“ฉันเนี่ยนะเป็นลม” ชมพูทำหน้างง
“ใช่ครับ น้องชมพูเป็นลม พี่ถึงพามานั่งในรถนี่ไง”
ชมพูมองไปรอบๆ เพิ่งเห็นว่าตัวเองนั่งอยู่ในรถเตชิน ไม่ได้อยู่ในศาลาแล้ว ก็ถึงกับหน้าเหวอ เริ่มงงตัวเอง
“เธออาจจะหลอนหรือฝันไปเองก็ได้ โลกนี้มีผีที่ไหนเนอะ”
ปริมลดาหันไปมอง เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ หงส์หยก รีบพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่เมื่อกี้ชมพูเห็นจริงๆ นะคะ ผี...”
ชมพูจะพูดชื่อ แต่ชะงักไม่กล้าพูด เตชินรีบถามต่อทันที
“ผีอะไรเหรอครับ น้องชมพูเห็นผีอะไร”
“หรือชมพูจะฝัน แต่ทุกอย่างมันเหมือนจริงมาก ทุกคนไม่เห็นจริงๆ เหรอ”
ตุลเทพส่ายหน้า “ไม่มีใครเห็นอะไรจริงๆ เราว่าเธอคงจะเครียดมากกว่า”
เอกราชพูดต่อ
“หรือไม่ก็คิดเรื่องเชิงชายมากไปเลยเก็บไปฝัน เราว่าช่วงนี้ชมพูเป็นลมบ่อยด้วย ลองไป
ให้หมอตรวจหน่อยมั้ยครับ”
เตชินรีบอาสาทันที “งั้นเดี๋ยวพี่พาไปเอง”
เอกราชพยายามจะเสนอตัว “แต่ผมไปเองดีกว่า”
ประวิทย์รีบห้าม พร้อมขยิบตาบอก
“ให้คุณเตชินพาไปน่ะดีแล้ว รีบพาไปเถอะครับ”
เตชินพยักหน้า ก่อนจะรีบปิดประตูรถให้ชมพู แล้วไปขึ้นรถด้านคนขับ จากนั้นก็รีบขับรถออกไปทันที
ทันใดนั้นหมาในวัดก็พร้อมใจกันหอนอย่างโหยหวน บรรยากาศวิเวกวังเวง และน่ากลัว
เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดา หงส์หยก หันมองไปรอบๆ หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วรีบวิ่งแยกย้ายกันขึ้นรถ ขับออกไปจากตรงนั้นทันที
รถเตชินแล่นไปตามถนนอย่างรวดเร็ว ชมพูนั่งหน้าเครียดคิ้วขมวด เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดอย่างหนัก ภาพผีริลณีที่มาหลอกในศาลาชี้หน้าด่ากราดทุกคนยังตามมาหลอกหลอน
“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก รินจะเป็นผีได้ยังไง สมองเราคงต้องมีปัญหามากแน่ๆ ถึงได้เห็นอะไรเพี้ยนๆ ขนาดนั้น”
เตชินขับรถอยู่หันมองหน้าชมพูด้วยความรู้สึกห่วง
“น้องชมพูยังโอเคนะครับ อีกนิดเดียวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว”
“ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่เตชินลำบาก พี่เตชินควรจะรีบกลับบ้านไปหารินแท้ๆ”
“ก็พี่เคยสัญญาแล้วไงครับ ว่าจะดูแลชมพูอย่างดีที่สุด ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครมาทำหน้าที่นี้แทนพี่”
เตชินเอื้อมมือจับชมพูอย่างอบอุ่นแทนคำมั่นสัญญา เธอมองมือเขาที่จับอย่างมีความสุข พร้อมกับบีบมือกลับ
“ขอบคุณนะคะพี่เตชิน”
มือชมพูที่ถูกเตชินกุมไว้ ทำให้เธอเกิดความรู้สึกหวั่นไหว ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้เขา แต่ต้องเก็บกดเอาไว้กลับคืนมาอีกครั้ง แต่เมื่อสติเตือนตัวเองขึ้นมาว่าไม่ควรจะรู้สึกและทำแบบนั้น เธอก็รีบสะบัดมือของเขาออก แล้วนั่งนิ่งๆ หันมองไปนอกหน้าต่าง ทั้งที่ใจยังเต้นตึกตัก
เตชินมองชมพูด้วยความเอ็นดู พลางลูบหัวเธออย่างแผ่วเบาๆ ก่อนจะรีบขับรถต่อไป
พวกชายโฉดหญิงชั่ว เอกราช ประวิทย์ ปริมลดา หงส์หยก วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องพักตุลเทพ ที่มีเครื่องรางของขลังอยู่เต็มไปหมด เจ้าของห้องเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะรีบทำพิธีไหว้สวดคาถาสั้นๆ แล้วเอาเชือกลงอาคม คล้องกั้นหน้าประตูไว้
“มีเชือกอาคมกั้นไว้รอบห้อง นังผีเน่าเข้ามาในนี้ไม่ได้แน่”
เอกราชโวยวายเสียงดัง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมนังผีนั่น มันถึงได้กลับมาเล่นงานเราอีก จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องกลัวมันไม่ใช่เหรอ มันทำอะไรเราไม่ได้”
“แต่ฉันสังหรณ์ใจว่า ผีริลณีจะเป็นคนฆ่าเชิงชายกับหมอผีเจ๋ง”
ประวิทย์ตั้งข้อสังเกต คนอื่นๆ หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หงส์หยกหน้าซีด ปากสั่น
“ก็หมายความว่า มันฆ่าพวกเราได้ด้วย ไม่เอานะ ไม่เอา ฉันไม่อยากตาย”
เอกราชหันไปตวาดอย่างรำคาญ
“หยุดโวยวายสักที ถ้าไม่อยากตายก็ต้องหาทางกำจัดนังผีนั่นก่อนที่มันจะเล่นงานพวกเรา”
ตุลเทพหน้านิ่ว “หมายถึงเราต้องฆ่านังผีนั่นอีกครั้งงั้นเหรอ”
ขาดคำ เสียงของผีริลณีก็ดังกึกก้องขึ้นมา
“พวกแกอย่าคิดว่าจะทำอะไรฉันง่ายๆ”
ทั้งหมดตกใจ รีบหันมองหาเสียง ทันใดนั้นจู่ๆ จอทีวีเปิดพรึบขึ้นมากระพริบๆ พร้อมเสียงดังซ่าๆ ก่อนที่ภาพซ่าๆ เหล่านั้น จะรวมกันกลายมาเป็นร่างของริลณีที่กำลังจ้องมองทั้ง 5 คนด้วยสายตาอาฆาต
“ฉันไม่ใช่ริลณีคนเดิมที่พวกแกคิดจะทำอะไรก็ได้”
ผีริลณีพูดพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้ามาจนชิดหน้าจอ และทำท่าจะออกมาจากทีวี
ปริมลดาปากคอสั่น “หนะ ไหนว่า ผีนั่นเข้ามาในห้องนี้ไม่ได้”
ตุลเทพหน้าเครียด “ต้องมีอะไรผิดพลาด ไม่มีผีตัวไหนผ่านเชือกอาคมเข้ามาได้แน่ๆ”
ผีริลณีค่อยๆ ยื่นแขน ยื่นขาออกมานอกจออย่างช้าๆ ทว่าน่ากลัว เอกราชโวยวายเสียงหลง
“จะผิดพลาดตรงไหนก็รีบหาเร็วๆ เถอะ เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดหรอก”
ปริมลดากับหงส์หยกรีบซุกตัวเข้าไปกอดแขนเอกราช พลางกรีดร้องสุดเสียง ตุลเทพกับประวิทย์รีบวิ่งไปดูที่เชือกอาคม มองหาความผิดพลาด จนประวิทย์จะเจอว่ามีช่วงหนึ่งของเชือกที่โดนดึงขาด
“ตรงนี้มันขาด”
“ก็รีบต่อสิ นังริลณีมันออกมาแล้ว”
ปริมลดามองไปที่ทีวี ขณะที่ผีริลณีออกมาจากจอทีวีครึ่งตัวแล้ว ตุลเทพกับประวิทย์วิ่งไปตรงที่เชือกอาคมขาด ตุลเทพพยายามจะต่อ แต่กลับดึงปลายสองข้างมาต่อกันไม่ได้ เพราะเชือกสั้นเกินไป ประวิทย์เห็นเชือกบางส่วนถูกเก้าอี้ทับ ก็รีบวิ่งไปที่เก้าอี้
แต่ถึงจะรีบอย่างไรก็ไม่ทันการ เพราะผีริลณีออกมาจากทีวีได้แล้ว ก่อนจะจิกตาร้ายมองเขม็งมาที่เอกราช ปริมลดา และหงส์หยกอย่างเอาเรื่อง
“อยากจะฆ่าฉันอีกครั้งงั้นเหรอ”
ผีริลณีถลึงตามองจ้องไปที่ทั้ง 3 คน ปริมลดา เอกราช หงส์หยกต่างเอามือจับคอตัวเอง เพราะหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนโดนบีบคอ
ประวิทย์หันไปเห็นทั้งสามกำลังย่ำแย่ ก็รีบยกเก้าอี้ขึ้น ตุลเทพได้จังหวะดึงเชือกอาคมสองข้างผูกต่อกันได้สำเร็จ
พลันผีริลณีก็หายวับไปจากห้อง พร้อมกับทีวีดับสนิทเหมือนเดิม
เอกราช ปริมลดา หงส์หยก ถอนหายใจโล่งอก รอดพ้นความตายแบบฉิวเฉียด ตุลเทพกับประวิทย์รีบเข้ามาดู เห็นมีรอยมือแดงขึ้นมาที่คอทั้งสาม
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
ประวิทย์หน้าซีด “แล้วเราจะทำยังไงต่อไป”
“พวกเราทุกคนก็ต้องอยู่ในนี้เพื่อความปลอดภัย”
ขาดคำเสียงริลณีก็ดังก้องเข้ามาจากข้างนอก
“พวกแกอยากหลบในนั้นก็หลบไป ก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกแกกับฉันใครจะมีความอดทนกว่ากัน”
เสียงหัวเราะของริลณีดังกึกก้องน่ากลัว สยอดสยอง เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดา และ หงส์หยกมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
เช้าวันต่อมา ชมพูหยิบรูปตัวเองที่ถ่ายคู่กับเตชินขึ้นมาดู แววตาครุ่นคิด ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก เธอรีบเก็บรูปถ่ายซุกไว้ พิสมัยเดินเข้ามาลูบหัวลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงลูกดีขึ้นรึยัง”
“ชมพูว่า ชมพูไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ คุณแม่คะ การที่คิดไม่ดีกับคนอื่นจะทำให้เราเก็บไปฝันร้าย หรือเห็นภาพที่น่ากลัวๆ ของเค้าได้มั้ยคะ”
“ก็เป็นไปได้นะ แต่ที่บอกว่าคิดไม่ดีเนี่ย คิดไม่ดีแค่ไหนจ๊ะ”
ชมพูหน้าสลด “อิจฉาที่เค้าได้สิ่งที่รักไปน่ะค่ะ”
“ชมพูอิจฉาใครเหรอจ๊ะ”
ชมพูสะดุ้งตกใจ รีบปฏิเสธ “ชมพูไม่ได้หมายถึงตัวเองนะคะ หมายถึงคนอื่น”
“นั่นสิเนอะจะเป็นชมพูได้ยังไง ชมพูมีคนที่รักเยอะแยะ แม่ถามหน่อย ลูกคิดยังไงกับเอกราช”
ชมพูรีบตอบอย่างไม่ลังเล “เค้าก็เป็นเพื่อนที่ดีคนนึงค่ะ”
“ลูกไม่ชอบเค้าเลยเหรอ”
ชมพูส่ายหน้า “ชมพูยังไม่พร้อมค่ะ”
“แล้วเมื่อไหร่ลูกจะพร้อมล่ะจ๊ะ”
“ไม่รู้สิคะ สงสัยชมพูอยากให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลแบบนี้ไปอีกนานๆ มั้งคะ”
พูดจบก็เข้าไปกอดอ้อนแม่ ทำร่าเริงเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับแอบหน้าเศร้าเจ็บปวด เพราะเพิ่งรู้ใจตัวเองว่าที่รักใครไม่ได้ เพราะยังไม่ลืมเตชินนั่นเอง
สมหมายและหมูหวานยกถาดอาหารเช้ามา ขณะที่เดินเข้าไปในห้องอาหาร สมหมายที่นำหน้าอยู่ชะงักอึ้ง เมื่อเห็นเงาดำทมึนทาบทับร่างของเตชินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเอาไว้ หมูหวานที่เดินตามหลังมาถามอย่างแปลกใจ
“เอ้าพ่อ จะมายืนอึ้งเป็นซึ้งเน่าอยู่ทำไม คุณเตชินเค้าหิวแล้วไม่เห็นรึไง”
สมหมายได้สติแอบขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปเสิร์ฟอาหาร ขณะจัดโต๊ะ ก็ไม่วายแอบมองก่อนจะสังเกตเห็นว่าเตชินดูหน้าหมอง ขอบตาดำๆ เหมือนไม่ค่อยสบาย
“คุณรินไปไหน ตั้งแต่ตื่นมาฉันยังไม่เห็นเลย”
เตชินถามโพล่งขึ้นมา หมูหวานรีบตอบ
“หมูหวานก็ไม่เห็นเหมือนกันค่ะ หรือว่าจะออกไปข้างนอก”
“ประตูบ้านยังไม่ได้เปิด จะออกไปได้ยังไงล่ะ สงสัยจะอยู่ในสวนมั้งครับ”
หมูหวานรีบกระซิบบอกพ่อ “แต่เมื่อกี๊พวกเราเดินผ่านสวนก็ไม่เห็นมีใครนี่”
สมหมายรีบเอาขาเหยียบหมูหวานให้หยุดพูด ก่อนจะตัดสินใจเลียบๆ เคียงๆ ถามเตชิน
“เอ่อคุณเตชินไม่สบายรึเปล่าครับ หน้าตาดูหมองๆ”
เตชินส่ายหน้า “ก็ไม่นี่”
“ไม่รู้สึกอ่อนเพลีย หมดแรง หรือฝันร้ายบ้างเหรอครับ”
“ก็เป็นบ้าง แต่คงช่วงก่อนเพราะทำงานหนัก อาจจะไม่ค่อยได้พักผ่อนมั้ง”
“แล้วเคยรู้สึกว่า เวลาอยู่คนเดียวเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียวมั้ยครับ”
เตชินหันขวับไปมองอย่างแปลกใจ
“ทำไมอยู่ๆ น้าสมหมายถามแปลกๆ แบบนี้ละครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่ถามดูเฉยๆ”
สมหมายยิ้มรับ ก่อนจะรีบดึงหมูหวานออกมาจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว
“เมื่อกี๊ตอนเข้าไปในห้องอาหารแกเห็นอะไรแปลกๆ มั้ย”
หมูหวานพยักหน้า
“เห็น ก็พ่อไง แปลกที่สุดในห้องนั้นแล้ว”
“คนที่แปลกน่ะไม่ใช่ข้าเว้ย คุณเตชินต่างหาก ตอนเดินเข้าไปในห้องน่ะ ข้าเห็นรอบๆ ตัวคุณเตชินมีเงาดำทมึนทาบตัวคุณเค้าอยู่ อาการแบบนี้ถ้าไม่โดนผีสะกด ก็ถูกวิญญาณชั่วร้ายครอบงำ”
หมูหวานหันมองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดกลัว
“พ่อหมายถึง คุณระ …”
“ข้าก็ไม่แน่ใจหรอก แต่ตอนนี้เราต้องช่วยคุณเตชินไม่อย่างนั้นคุณเตชินจะแย่ คนที่โดนวิญญาณสะกด หรือโดนผีร้ายครอบงำแบบนี้ เค้าว่าผีมันจะค่อยๆ ดูดกลืนพลังชีวิต จนในที่สุดก็จะ…ตาย”
หมูหวานฟังแล้วสะดุ้งโหยง หันมองหน้าพ่อด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
สมหมายรินน้ำมนต์จากขวดนั้นใส่แก้ว หมูหวานรีบถามอย่างจะให้แน่ใจ
“พ่อแน่ใจเหรอว่าคุณเตชินจะยอมกินน้ำมนต์เนี่ย”
“เราก็อย่าไปบอกคุณเตชินสิว่าเนี่ยน้ำมนต์ ใสๆ ไร้รสแบบนี้ ไม่มีใครรู้หรอก”
“แล้วพ่อมั่นใจได้ยังไงว่าวิธีนี้จะได้ผล” หมูหวานถามอีก
“ก็ข้าเห็นคนเฒ่าคนแก่เค้าก็ใช้วิธีนี้ทั้งนั้น ถ้าใครถูกผีเข้า ผีสิง วิญญาณร้ายครอบงำ พอได้กินน้ำมนต์ที่ปลุกเสกด้วยฤทธานุภาพ ก็จะช่วยขจัดปัดเป่าผีร้ายที่ครอบงำ หรือแม้แต่ภาพมายาที่ทำให้ลุ่มหลงก็จะมลายหายไป”
“ถ้าได้ผลจริง ก็แสดงว่าผีร้ายที่ครอบงำหรือสะกดคุณเตชินอยู่ ก็จะหายไป”
“แถมยังเข้าใกล้คุณเตชินไม่ได้ ตราบที่น้ำมนต์ยังไหลวนเวียนอยู่ในตัวด้วย”
2 พ่อลูกมองน้ำมนต์ในแก้วอย่างทึ่งๆ
ม่านหน้าต่างถูกแง้มออกช้าๆ ตุลเทพและประวิทย์มองไปด้านนอกห้องพัก เห็นผีริลณียืนเฝ้าอยู่ด้านนอก หันขวับมามองทั้งคู่ที่แอบมองอยู่ ทั้งคู่รีบปิดม่านแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับเอกราช ปริมลดา และหงส์หยกที่นั่งหน้าเครียดอยู่
“นังผีบ้านั่น มันเฝ้าพวกเราอยู่หน้าห้องไม่ยอมไปไหน”
ปริมลดาเริ่มหงุดหงิด “โอ๊ย แล้วเราจะทำยังไง จะถูกขังตายอยู่ในห้องนี้เหรอ”
หงส์หยกรีบพูดต่อ
“ใช่ ถ้าเราไม่ออกไป มีหวังหิวตายก่อนถูกนังผีนั่นฆ่าตายแน่ ในนี้น้ำก็ไม่มี อาหารก็ไม่มี”
เอกราชที่นั่งนิ่งฟังอยู่ชักโมโห
“พวกเธอ 2 คนหยุดบ่นสักทีได้มั้ย ถ้าเธอไม่อยากอยู่ในนี้ก็เชิญกลับออกไป ไม่มีใครเค้าขอร้องให้อยู่ น่ารำคาญที่สุด”
ประวิทย์ถอนหายใจเฮือก “แต่ 2 คนนั่นพูดก็ถูกนะ เราหลบอยู่ในนี้ตลอดไปไม่ได้”
“แต่ถ้าเราออกไป เราก็โดนนังผีนั่นเล่นงานเหมือนกัน” ตุลเทพแย้งขึ้นมา
“อยู่ในนี้ก็ตาย ออกไปก็ตาย แล้วพวกเราจะทำยังไงดี ฉันยังไม่อยากตาย”
ปริมลดาเริ่มร้องไห้ หงส์หยกร้องตาม ทั้งคู่กอดกันร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์มองหน้ากัน ต่างคนต่างหน้าเครียด ไม่รู้จะเอายังไงดี
เตชินเดินหาริลณีทั่วบ้าน ทั่วสวน แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ขณะกำลังเดินหา จู่ๆ ก็เกิดอาการผะอืดผะอมจนต้องวิ่งไปอาเจียน
สมหมายและหมูหวานถือแก้วน้ำเดินเข้ามารีบวิ่งเข้าไปช่วยลูบหลัง เห็นเตชินอาเจียนออกมาเป็นสีดำ 2 พ่อลูกหันมองหน้ากันอย่างเป็นห่วง พลางรีบช่วยประคองมานั่งที่เก้าอี้
“ผมว่าคุณเตชินไม่สบายจริงๆ แล้วนะครับเนี่ย”
“จริงๆ ก็ไม่ได้ป่วยอะไรนะ แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกผะอืดอะอมอยากอาเจียนอยู่ตลอดเวลา”
สมหมายรีบบอก
“แถวบ้านผมคนที่มีอาการแบบนี้ เค้าไปจะไหว้พระ ทำบุญสวดมนต์ กินน้ำมนต์ล้างสิ่งแปลกปลอม อัปมงคลที่มีอยู่ในร่างกายให้ออกไป”
“ผมว่าไปหาหมอน่าจะง่ายกว่านะครับ”
“ผมก็พูดไปเรื่อย” สมหมายพูดพลางหันไปขยิบตากับหมูหวาน “เฮ้ย นังหมูหวานรีบน้ำมาให้
คุณเตชินกินล้างคอหน่อยสิ จะได้สบาย”
หมูหวานรีบเอาแก้วใส่น้ำมนต์ไปยื่นให้ เตชินทำท่าจะหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ
“ผมว่า ผมขอน้ำอัดลมดีกว่า กินอะไรซ่าๆ จะได้ล้างคอสดชื่น”
หมูหวานรีบตอบทันควัน “น้ำอัดลมหมดค่ะ“
“งั้นขอกาแฟก็ได้”
“กาแฟก็หมดเหมือนกันค่ะ แล้วไมโล โอวัลติน เครื่องดื่มในบ้านเราหมดทุกชนิดเลยค่ะ เหลือแต่น้ำเปล่า”
เตชินทำหน้าเซ็ง
“งั้นผมขอน้ำอุ่น แก้วนี้มันเย็นไป อย่าบอกนะครับว่าไม่มีน้ำอุ่น”
“มีสิครับ แต่คุณเตชินกินแก้วนี้ไปก่อนไม่ได้เหรือครับ” สมหมายพูดคะยั้ยคะยอ “เดี๋ยวผมค่อยไปเอาน้ำอุ่นให้”
“ทำไมเหรอ น้ำแก้วนี้มันมีอะไรเหรอ”
2 พ่อลูกรีบตอบพร้อมกัน “ไม่มีครับ / ไม่มีค่ะ”
เตชินทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “แล้วทำไมถึงอยากให้กินขนาดนี้ล่ะ ผมว่ามันมีอะไรแปลกๆ นะ”
2 พ่อลูกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ผมล้อเล่น น้าสมหมายกับหมูหวาน คงขี้เกียจเดินไปเอาให้ผมใช่มั้ยล่ะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับคุณเตชิน”
เตชินยิ้มขำ ก่อนจะหยิบแก้วน้ำไปถือไว้ “โอเค งั้นดื่มแก้วนี้ก็ได้”
พูดพลางเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำ ทันทีที่มือสัมผัสกับแก้ว ก็เห็นเหมือนมีแสงประกายสีทองส่องผ่านแก้วออกมา และภายใต้แสงเหล่านั้น เห็นภาพเรือนไทยที่ถูกริลณีสะกดให้สวยงาม กลายเป็นเรือนไทยร้าง
น่ากลัว สกปรกรกรุงรัง และเงาทมึนสีดำที่ทาบทันเตชินเอาไว้ก็กระพริบๆ ขึ้นมา ภายใต้อานุภาพของน้ำมนต์
แสงสีทองจากน้ำมนต์พาดผ่านมาถึงริลณี ผ่านเงาดำทมึนที่สะกดเตชินไว้ จนรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วสรรพางค์กาย
แววตาของริลณีวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
“ไม่ได้ เตชินจะกินน้ำมนต์นั่นไม่ได้ ถ้าเค้ากินเราจะไม่สามารถเข้าใกล้ตัวเค้าได้อีก”
คิดได้ดังนั้น ริลณีก็รีบหายตัวไปจากตรงนั้นทันที
ตุลเทพที่แอบดูสถานการณ์ด้านนอกทางหน้าต่าง เห็นผีริลณีหายไป ก็รีบหันมาบอกทุกคนด้วยความตื่นเต้น
“เฮ้ย นังผีนั่นมันหายไปแล้ว”
ทุกคนรีบพุ่งไปดูที่หน้าต่าง เห็นว่าผีริลณีไม่อยู่ข้างนอกแล้วจริงๆ ปริมลดารีบบอก
“งั้นเรารีบหนีกันเถอะ”
แต่ตุลเทพรีบยั้งไว้ “เธอจะหนีไปที่ไหน ยังไงนังผีนั่นตามไปเล่นงานพวกเราได้อยู่แล้ว”
ประวิทย์พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ถ้าจะหนีก็ต้องไปที่ที่ปลอดภัย”
“แล้วที่ไหนล่ะ ผีนั่นก็ตามเราไปได้ทุกที่”
เอกราชโพล่งขึ้นมาทันที
“ฉันรู้ว่าที่ไหน ถ้าเราไปถึงที่นั่นได้ จะมีคนช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย”
ปริมลดาหันมาถามอย่างมีความหวัง “ที่ไหนเหรอ”
“สำนักอาจารย์ดำ”
ประวิทย์เห็นด้วย “ใช่ อาจารย์ดำเก่งมาก อาจารย์ต้องช่วยพวกเราได้แน่”
ตุลเทพทำหน้าข้องใจ “เอ้า ถ้านายรู้ว่าเค้าช่วยได้ทำไมไม่โทรไปบอกให้เค้ามาช่วยเราที่นี่”
“คิดว่าฉันไม่โทรเหรอ แต่นังผีนั่นมันทำให้โทรศัพท์พวกเราโทรออกไม่ได้ ไม่รู้รึไง”
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ รีบหยิบมือถือขึ้นมาพยายามโทร แต่ไม่มีใครโทรออกได้จริงๆ
“งั้นเราก็ต้องเสี่ยง จะมีใครยอมเสี่ยงมั้ยล่ะ”
เอกราชหันมองหน้าเพื่อนๆ ทุกคนมองออกไปข้างนอกอย่างครุ่นคิด ว่าจะเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงดี?
ขณะที่แก้วน้ำกำลังจะโดนริมฝีปากของเตชินแล้ว ทันใดนั้นเสียงริลณีดังขึ้น
“อย่านะ”
เตชินชะงัก ทั้งเขารวมทั้งสมหมายและหมูหวานจะหันไปมอง เห็นริลณียืนจ้องหน้าตาถมึงทึงอยู่ สองพ่อลูกเสียวสันหลังวาบ เพราะสายตาพิฆาตคู่นั้นจ้องตรงมาเต็มๆ
“ริน คุณหายไปไหนมา ผมตามหาคุณทั้งบ้านก็ไม่เจอ” เตชินพูดพร้อมกับวางแก้วน้ำมนต์ลง
“รินไปไหนมันไม่สำคัญหรอกค่ะ แต่คุณอย่าดื่มน้ำนั่นนะคะ”
สมหมายทำใจกล้า “เอ่อ คือคุณเตชินอาเจียน ก็เลยต้องทานน้ำล้างคอน่ะครับ”
“ใช่ริน ผมไม่สบาย แล้วก็ไม่มีใครดูแล มีแต่สมหมายกับหมูหวานที่เอาน้ำนี่มาให้ ทำไมผมถึงจะดื่มมันไม่ได้ล่ะ มันก็แค่น้ำเปล่าธรรมดาๆ”
เตชินพูดไป ก็ทำท่าจะหยิบน้ำมนต์ดื่มอีกครั้ง
“รินขอร้อง รินขอโทษนะคะที่หายไปแล้วไม่ได้ดูแลคุณ เดี๋ยวรินจะดูแลคุณเอง อย่าดื่มน้ำนั่นเลยนะคะ ถ้าคุณรักริน”
ริลณีมองด้วยสายตาวิงวอน จนเตชินใจอ่อน ตัดสินใจวางแก้วน้ำลง เธอยิ้มดีใจ รีบเข้าไปดูแลเขาด้วยความเป็นห่วง
“คุณไม่สบายตรงไหน ไปนอนพักในห้องนะคะ ตรงนี้ดูจะอยู่ไม่สบาย เดี๋ยวรินดูแลคุณเอง”
ริลณีรีบเข้าไปประคองตัวเตชินขึ้นมากำลังจะเดินออกไป แต่ไม่วายหันกลับมามอง 2 พ่อลูกด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว
“เอาน้ำนี้ไปเททิ้งนอกบ้าน แล้วอย่าให้ฉันเห็นน้ำอะไรแบบนี้อยู่ในบ้านอีก”
สมหมายรีบหยิบแก้วน้ำมาถือไว้ในมือสั่นที่สั่นเทา “คระ ครับ คุณริน”
ริลณีจ้องมอง 2 พ่อลูกด้วยสายตาที่น่ากลัว จนทั้งคู่กลัวหัวหดรีบเดินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
สมหมายรีบออกมาเทน้ำมนต์ทิ้งที่นอกบ้าน หมูหวานยืนเท้าสะเอวมองอยู่ข้างๆ
“อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องใส่ตัวมั้ยล่ะ”
สมหมายถอนหายใจเฮือก “สงสารคุณเตชิน ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
“สงสารตัวเองก่อนเถอะพ่อ ไม่เห็นสายตาคุณรินเมื่อกี๊เหรอ อึ๊ย สยอง”
“แต่ไม่เข้าใจ ทำไมคุณรินต้องห้าม หรือคุณรินจะรู้ว่าเป็นน้ำมนต์” สมหมายยังไม่วายสงสัย
“ยังจะต้องถามอีกเหรอพ่อ ชัดขนาดนี้ คนที่สั่งห้ามไม่ให้ผัวกินน้ำมนต์ มีประเภทเดียวเท่านั้น”
“ประเภทไหนวะ”
“ก็ ผี ไง”
ขาดคำ 2 พ่อลูกก็กระโดดกอดกันกลม ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว
ริลณีประคองพาเตชินนอนลงบนเตียงด้วยความเป็นห่วง เขาจับมือเธอไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยถามอย่างแคลงใจ
“ทำไมคุณชอบหายตัวไปเงียบๆ โดยไม่บอกผม รู้มั้ยว่าผมเป็นห่วงมาก”
“รินก็แค่ทำกับข้าวอยู่ในครัว”
“แต่สมหมายกับหมูหวาน เค้าก็บอกว่าไม่เห็นคุณที่นั่นนะ”
เตชินจ้องริลณีอย่างค้นหาความจริง ฝ่ายถูกจ้องรีบหลบตา แอบรู้สึกโกรธที่โดนจับผิด แต่พยายามระงับอารมณ์ไว้
“รินบอกความจริงคุณก็ได้ค่ะ รินไม่ได้ทำไปทำอาหาร แต่ริน...รินแอบไปตลาด จะไปซื้อของกินอร่อยๆ มาให้คุณ”
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นรินต้องโกหก”
“ก็รินอายที่ทำกับข้าวไม่เก่งนี่คะ ต้องแอบไปซื้อที่ตลาด แล้วมาหลอกว่ารินเป็นคนทำเองบ่อยๆ”
เตชินได้ฟังก็ระบายยิ้มออกมา
“ขอแค่รินรัก และเป็นห่วงผม รินจะทำอาหารเก่งหรือไม่เก่งก็ไม่สำคัญ”
พูดพลางดึงเธอเข้ามากอด ริลณีแนบหน้าลงบนหน้าอกของเขาอย่างรักใคร่
“วันหลังมีอะไรก็พูดกับผมตรงๆ นะครับ เรื่องของริน ไม่ว่าจะเป็นยังไง ผมรับได้ทุกเรื่อง”
ริลณียิ้มรับ พร้อมกับลองถามหยังเชิงอย่างมีความหวัง
“คุณรับได้ทุกเรื่องจริงๆ นะคะ”
“ครับ ผมรับได้ทุกเรื่องจริงๆ”
ริลณียิ้มอย่างพอใจ และมีความสุข แต่พลันสายตาก็เหลือบมองไปเห็นเงาสะท้อนในกระจก เป็นภาพของตัวเองที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว ผิวหนังเน่าเละราวกับซากศพ หน้าตาก็ดูสยดสยอง ไม่ใช่ผู้หญิงสวยอย่างเคย ริลณีถึงกับช็อก รีบดันตัวเองออกจากอ้อมกอดเตชิน แล้วรีบวิ่งออกไปจากห้อง
เตชินตกใจ รีบลุกขึ้นจากเตียงวิ่งตามออกไปทันที
เตชินเคาะประตูหน้าห้องน้ำรัว พยายามตะโกนเรียกริลณีที่อยู่ข้างใน
“ริน คุณเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น บอกผมสิริน เปิดประตูสิ”
ภาพสะท้อนในกระจก เห็นร่างกายของริลณีกลายเป็นร่างผี เธอมองภาพตัวเองในกระจกแล้วถึงกับผงะ รีบก้มมองร่างจริง ที่ยังคงสวยปกติอยู่ตามเดิม แต่เมื่อมองกลับไปในกระจก เงาสะท้อนกลับกลายเป็นร่างผีที่น่าเกลียดน่ากลัว
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราเนี่ย”
อ่านต่อตอนที่ 12