นางชฎา ตอนที่ 7
ปริมลดานั่งหาวหวอดๆ ขณะท่องบท รอเข้าฉาก มองออกไปเห็นบรรยากาศกองถ่ายทำงานอยู่ไกลๆ จู่ๆ มีแก้วกาแฟจากร้านดังถูกยื่นมาให้ ปริมลดาหันไปอย่างสมใจและเหนือกว่า พบว่าคนที่เอากาแฟนั้นมาให้คือ หงส์หยก
“เด็กที่กองก็มี ทำไมต้องให้ฉันไปซื้อมาให้ก็ไม่รู้”
ปริมลดายิ้ม เอื้อมมือไปหยิบถุงข้างตัว ยื่นให้หงส์หยก
“ของแจกจากอีเว้นท์เมื่อวาน แล้วก็ช่วยอัพเดทเรื่องที่ฉันควรจะรู้ด้วย”
หงส์หยกมองของเหยียดยิ้มนิดๆ แต่ก็รับไปด้วยความงก
“เมื่อวาน ฉัน ตุลเทพ แล้วก็เชิงชาย...”
ปริมลดาสวนขึ้น “เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เอาเรื่องที่ฉันกำลังอินอยู่สิ”
“วันนี้คุณเจ้าสาวโทร.มาขอเลื่อนนัด คุยเรื่องงานแต่งที่บริษัท โดยไม่มีกำหนด อินพอรึยัง”
ปริมลดาตาพองหันไปมองหงส์หยกตื่นเต้น “เธอว่าเป็นเพราะระเบิดที่เราโยนไว้รึเปล่า”
“จะรู้ได้ยังไงล่ะ ฉันไม่ได้อินไซด์กอสซิป เรื่องนี้เหมือนเธอนี่”
ปริมลดายิ้มชั่ว “แต่ฉันต้องรู้ให้ได้”
บรรยากาศสวยงามร่มรื่นของสวนสาธารณะ ไม่ได้ทำให้จิตใจชมพูดีขึ้นนัก เธอนั่งรอด้วยท่าทีกระวนกระวายอยู่ ก้มมองนาฬิกาข้อมือ บอกเวลา เกือบจะบ่ายโมงแล้ว ชมพูถอนหายใจเครียด มองเหม่อออกไปยังบึงใหญ่ข้างหน้า ด้วยความกังวล
เสียงการสนทนาของเธอกับเตชิน ดังก้องขึ้นในหู
“พี่เตชินจะไม่บอกชมพูหน่อยเหรอคะว่า เรื่องที่อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไร”
“เรื่องการแต่งงานของเรา”
ชมพูหมกมุ่นครุ่นคิด เผลอกำมือตัวเองซะแน่น เล็บจิกลงเนื้อตัวเอง เจ็บจนต้องร้องออกมา
“โอ๊ย”
ชมพูก้มมองมือ เห็นร่องรอยของแผลที่เกิดจากเล็บ เธอรู้สึกสังหรณ์ใจโดยประหลาด
ฝ่ายเตชินและริลณีเดินเข้ามาในสวนสาธารณะด้วยกัน แต่อยู่ดีๆเตชินก็หยุดเดิน รู้สึกลังเลอะไรบางอย่าง
“ผมคิดว่า ผมเข้าไปคนเดียวดีกว่า ถ้าชมพูเห็นริน ผมกลัวว่าเค้าจะยิ่งเสียใจ”
“ตามใจคุณเถอะค่ะ คุณคงรู้จักชมพูมากกว่าริน”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องระหว่างผมกับชมพู ถ้าเราสองคนยังคุยไม่เข้าใจกัน แล้วพารินเข้าไปช่วยพูด ผมกลัวว่าชมพูเขาจะรับไม่ได้ แล้วเค้าจะ…”
ริลณีเสียงอ่อนลง “เค้าจะทำไมคะ”
“อาการทางสมองของชมพูยังไม่หายดี ถ้ามีเรื่องมากระทบกระเทือนจิตใจมากๆแล้ว...”
เตชินไม่อยากพูดต่อ ริลณีเอื้อมมือมาจับมือเขาเอาไว้ในเชิงปลอบ ก่อนจะยิ้มให้อย่างเข้าใจ
“รินเข้าใจค่ะ งั้นรินจะรออยู่ตรงนี้นะคะ”
“ขอบคุณนะครับ ที่เข้าใจ”
ริลณีเดินไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ เพ่งสายตามองไปที่โทรศัพท์ที่เตชินถืออยู่ในมือ สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือของเตชินดังขึ้น
เตชินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นณรงค์โทร.มา ชายหนุ่มหน้าเครียด รีบกดรับ
“สวัสดีครับ คุณพ่อ มีอะไรรึเปล่าครับ...” เสียงปลายสายได้ยินไม่ชัดนัก “ฮัลโหล คุณพ่อครับ ได้ยินมั้ยครับ ทำไมอยู่ดีๆ สัญญาณไม่ดี คุณพ่อครับ”
เตชินรีบเดินออกไปหาสัญญาณ
ริลณีมองตามยิ้มๆ ก่อนจะหายแว๊บไปจากตรงนั้นทันที
ชมพูนั่งมองนาฬิกาสลับกับชะเง้อมองหาเตชินไปรอบๆ พอหันกลับมาก็เจอ ริลณี ยืนอยู่ตรงหน้า
“ชมพู ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ชมพูมองหน้าริลณี พยายามนึกว่าคือใคร
“เอ่อ...คุณ...คือ...” แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
“รินเอง จำไม่ได้เหรอ”
“ริน”
“ริลณีไง เราเรียนคณะเดียวกัน อยู่ชมรมนาฏศิลป์ด้วยกัน จำได้รึเปล่า”
ชมพูพยายามนึกอย่างหนัก จนหน้าเครียดเคร่ง แต่ว่านึกยังไงก็นึกไม่ออก
“ฉันจำได้ว่ามีเพื่อนชื่อริลณี แต่ฉันคิดเรื่องของเธอไม่ออก ขอโทษจริงๆ นะ พอดีฉันเกิดอุบัติเหตุน่ะ...แล้วความจำของฉันก็...”
“รินรู้เรื่องนั้นแล้วละ รินเป็นห่วงชมพูมากเลยรู้มั้ย อยากจะไปเยี่ยม” น้ำเสียงเต็มไปด้วยอย่างเจ็บปวด และขมขื่น “แต่ก็ไปไม่ได้” ริลณียิ้มให้ “ได้ข่าวว่าชมพูกำลังจะแต่งงาน”
“ใช่จ้ะ เรากำลังจะแต่งงานกับพี่เตชิน รินจำพี่เตชินได้ใช่มั้ย”
ริลณีพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะดีใจ แต่มีวี่แววเจ็บช้ำในนั้น “จำได้สิ รินบอกแล้วไงว่ารินจำทุกเรื่องเกี่ยวกับชมพูได้เสมอ ขอแสดงความยินดีด้วยนะ”
ริลณียื่นมือออกไปให้ชมพูจับเพื่อแสดงความยินดี ชมพูรีบยื่นมือจับตอบ ทันทีที่มือของสองสาวแตะกัน
ภาพความทรงจำในอดีต ก็แวบผ่านเข้ามาในสมองของชมพูราวกับสายน้ำไหลอย่างรุนแรง ตั้งแต่ตอนที่เรียนด้วยกัน / รำด้วยกัน / เป็นเพื่อนที่รักกันมาก / ภาพสองสาวดูมีความสุข
ชมพูเงยหน้ามองหน้าริลณีด้วยความตกใจ ริลณีมองตอบคลี่ยิ้มหลอนๆ
“ฉันอยากให้เธอ จำเรื่องฉันให้ได้นะชมพู”
ริลณียิ่งบีบมือชมพูแน่นยิ่งขึ้นไปอีก
ภาพความทรงจำ เรื่องริลณี เตชิน และ ชมพู เริ่มผุดเข้ามาอีกอย่างรวดเร็วเช่นเมื่อครู่นี้ ตั้งแต่เธอไปกินข้าวกับเตชินด้วยกัน / ชมพูพาเตชินมาอวดริลณีว่าเป็นแฟน / เตชินมาให้กำลังใจชมพูในขณะที่ริลณีอยู่ด้วย / วินาทีที่ฟังโทรศัพท์จากเตชินจนรู้ความจริงว่าเตชินคบหาริลณี / ชมพูหลบมาร้องไห้ที่สระว่ายน้ำ
ริลณีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เธอต้องจำเรื่องของฉันให้ได้ เธอต้องไม่ลืมว่าเราสองคนเป็นเพื่อนรักกัน”
ภาพความทรงจำแวบเข้ามาอีก เป็นภาพชมพูวิ่งหนีอะไรบางอย่างด้วยความตื่นกลัว ก่อนจะก้มมองมือตัวเอง เห็นว่ามือตัวเองมีเลือดออกแดงเต็มไปหมด
“จำฉันได้รึยัง ชมพู”
ริลณีมองหน้าเพื่อนรักยิ้มหลอนๆ ให้อีก ชมพูก้มมองมือริลณีที่ยังจับ พบว่ามือริลณีค่อยๆ กลายเป็นมือผี เล็บยาว น่ากลัว ชมพูตกใจสุดขีด รีบสะบัดออกด้วยความกลัว และ ขยะแขยง แล้วรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที
ชมพูวิ่งหนีเตลิดออกมา หยุดหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ค่อยๆ หันกลับไปมองทางข้างหลัง ไม่เห็นริลณีตรงนั้นแล้ว ชมพูแปลกใจ
“เธอต้องจำฉันให้ได้นะชมพู เธอต้องจำฉันให้ได้”
เสียงริลณีดังหลอกหลอนไม่หยุดไม่หย่อน ชมพูเครียดขึ้นมา รู้สึกปวดหัวแปลบ จนต้องเอามือขึ้นปิดหูไว้
บนพื้นตรงหน้าเธอ เห็นเลือดสีแดงเข้ม ค่อยๆ หยด แหมะๆๆๆ ลงมา ชมพูสังเกตทิศทางเลือดน่าจะหยดมาจากหูที่เอามือปิดไว้ แต่กลับไม่ใช่ ชมพูเอามือลงมาดู พบว่าเลือดหยดรินออกมาจากแผลเป็นบนฝ่ามือของเธอ จากทีละหยด กลายเป็นสายเลือดสีแดงท่วมนองพื้นไปหมด ชมพูมองมือตัวเองแล้วกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจถึงขีดสุด
“อ๊าย...”
เตชินได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามากอดร่างชมพูที่ซวนเซเอาไว้แน่น
“น้องชมพูเป็นอะไรครับ”
“เลือด เลือด...เลือด ออกมาจากมือชมพูเต็มไปหมดเลย”
ชมพูยกมือให้เตชินดู แต่ต้องชะงักทั้งคู่ เพราะไม่มีเลือดบนมือชมพูเลยสักหยด
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ”
ชมพูพลิกมือดู ทุกซอกทุกมุมก็ไม่มีเลือดสักนิดจริงๆ ชมพูไม่อยากเชื่อ
“แต่เมื่อกี้ เลือดออกจากแผลนี้เต็มเลยนะคะ”
เตชินสงสัย “น้องชมพูไม่สบายอีกรึเปล่าครับ”
ชมพูมองมือตัวเองที่ไม่มีเลือด ละสายตาไปมองบนพื้นก็ไม่มีเลือด อย่างที่เห็นเมื่อกี้จริงๆ หญิงสาวพยายามตั้งสติ
“ชมพูไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
เตชินเป็นห่วงอยู่ดี “ไปนั่งพักสักหน่อยมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะ พี่เตชินอยากจะบอกอะไรชมพูก็บอกเลยค่ะ ชมพูพร้อมจะฟังแล้ว”
“แต่พี่ว่าตอนนี้ชมพูดูไม่โอเคนะครับ เราคุยวันหลังก็ได้”
“ชมพูอยากรู้วันนี้ พี่เตชินอย่าให้ชมพูกังวลใจอีกเลยนะคะ ถ้าพี่เตชินไม่พอใจที่ชมพูทำอะไร หรืออยากจะแก้ไขงานแต่งงานตรงไหน บอกชมพูได้เลยนะคะ ชมพูพร้อมจะฟัง”
เตชินบ่ายเยี่ยง “แต่พี่ว่าชมพูดูไม่สบาย เราไว้คุยวันหลังดีกว่า”
“ไม่ค่ะ ชมพูอยากรู้วันนี้ ชมพู...โอ๊ย”
จู่ๆ ชมพูก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เธอเอาสองมือกุมหัวเอาไว้แน่น ปวดจนหัวแทบจะระเบิด
“โอ๊ย”
เตชินตกใจ “เป็นอะไรไปครับชมพู”
“ชมพู ปวด...หัว...โอ๊ย! ทำไมถึงปวดมากขนาดนี้”
ชมพูปวดหัวมากจนทรุดลงไปกองกับพื้น
เตชินตกใจทำอะไรไม่ถูก ตัดสินใจอุ้มชมพูแล้วรีบวิ่งออกไปทันที
ทางด้านปริมลดาลงรถมาถอดแว่นดำ เดินนวยนาดมาหยุดมองไปรอบๆ บ้านชมพู รู้สึกว่าเงียบผิดปกติ
“วันนี้บ้านเงียบจัง เค้าหายไปไหนกันหมดเหรอ”
หมูหวานที่มาเปิดประตูให้บอกว่า “คุณชมพูไม่สบาย คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายรีบออกไปดูอาการที่โรงพยาบาลค่ะ”
ปริมลดาลอบยิ้ม ดีใจนิดๆ “แล้วเค้าเป็นอะไรมากรึเปล่า อย่างนี้ก็คงแต่งงานไม่ได้แล้วใช่มั้ย”
“อุ่ย ไม่มมโนไกลไปหน่อยเหรอคะ คุณดารา” หมูหวานประชด
“เอ้า จะไปรู้ได้ไง ก็เธอไม่บอกรายละเอียด”
“ก็หมูหวานเป็นคนใช้ค่ะ ไม่ใช่หมอถึงจะได้รู้ลึกรู้จริง รู้ทุกอย่างที่คุณอยากรู้นี่คะ ถ้าคุณดาราอยากรู้มาก... คงต้องไปโรงพยาบาลเองแล้วค่ะ”
“ฉันไปอยู่แล้ว เรื่องสนุกอย่างนี้ฉันไม่พลาดหรอก”
ตอนท้ายปริมลดาพึมพำ รีบขึ้นรถแล้วขับออกไป หมูหวานมองตามด้วยสีหน้าหมั่นไส้สุดๆ
พิสมัยนั่งก้มหน้าเครียดอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน โดยมีพิชัยนั่งกุมมือไว้ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เตชินเดินไปเดินมาตามองที่ประตูห้องฉุกเฉินตลอดเวลา
สักครู่ใหญ่ๆ ประตูห้องเปิดออก หมอเดินออกมา พิสมัย พิชัย และ เตชิน รีบเดินเข้าไปหา
พิสมัยถามทันที “ลูกสาวดิฉันเป็นยังไงบ้างคะ”
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าห่วง หมอฉีดยาให้แล้ว นอนพักสักหน่อย อาการน่าจะดีขึ้น”
“แล้วลูกสาวผมเป็นอะไรครับ ทำไมจู่ๆ ถึงได้มีอาการแบบนี้”
“หมอคิดว่าน่าจะมาจากความเครียด ร่วมกับโรคเดิมที่ยังรักษาอยู่กำเริบขึ้นมา”
“แล้วลูกเราจะไปเครียดเรื่องอะไรกันนักหนา พวกเราก็ดูแลอย่างดีแล้ว” พิสมัยแปลกใจ
“เราดูแลเค้าก็ได้แต่ตัว แต่ใจเค้าเราควบคุมไม่ได้หรอก ขอบคุณมานะครับคุณหมอ”
หมอเดินออกไป พิสมัยรีบหันไปถามเตชินที่ยืนหน้าเครียด
“เตชินมีเรื่องอะไรกับน้องรึเปล่า”
เตชินอึกอัก “เอ่อ...คือ...ไม่มีครับ”
“ดูแลน้องมากๆ หน่อยนะเตชิน น้ามีลูกสาวคนเดียว รักเค้ามากยิ่งกว่าสิ่งไหน”
เตชินเครียดหนัก ไม่กล้าสบตา พิสมัยและพิชัย เพราะรู้สึกผิด
“เตชินเค้ารู้แล้วน่าคุณ เข้าไปดูลูกข้างในกันดีกว่า”
พิชัยประคองพิสมัยเดินเข้าไปในห้อง ทันทีที่ประตูปิดลง เตชินถึงกับทรุดนั่งกุมหัว กังวลใจไม่รู้จะทำยังไงดี
เสียงรอสายโทรศัพท์ดัง ขณะที่เตชินเดินกระวนกระวายไปมา รอให้ใครสักคนที่บ้านเรือนไทยรับสาย เตชินยิ้มออกรีบพูด
“ริน...ริน...ถึงบ้านแล้วใช่มั้ยครับ ผมนั่งแท็กซี่กลับไปคนเดียวผมเป็นห่วงแทบแย่ จะโทร.เข้ามือ ผมก็ลืมขอเบอร์ของริน ก็เลยต้องโทรเข้าบ้าน”
ที่บ้านเรือนไทย ริลณีนั่งอยู่ข้างๆ โทรศัพท์บ้าน แต่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาถือ คุยทางจิตกับเตชิน
“รินกลับถึงบ้านแล้วปลอดภัยดีค่ะ”
เตชินถอนหายใจโล่งอก ที่ได้ยินน้ำเสียงของริลณีปกติ
“ผมนึกว่าคุณจะโกรธผมซะแล้ว”
“ทำไมรินต้องโกรธคุณด้วยละคะ”
“ก็ที่ผมไม่ได้ดูแลคุณ”
ริลณีนั่งยิ้มสีหน้าชวนสะพรึง แต่น้ำเสียงหวานหยด
“ก็คุณมีคนที่จำเป็นต้องดูแลมากกว่านี่คะ ดูแลเพื่อนรักของรินดีๆ นะคะ รินเป็นห่วง”
เตชินได้ฟัง ก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ตัดสินใจพูด
“คืนนี้ผมคงต้องดูแลชมพู อาจจะไม่ได้กลับบ้าน รินอยู่คนเดียวได้รึเปล่าครับ ถ้าไม่ได้ผมจะขอให้เฟื่องฟ้ามาอยู่เป็นเพื่อน”
ริลณีนั่งนิ่ง มองไปรอบๆ บ้าน บรรยากาศวังเวงน่ากลัว อย่างคุ้นชิน
“รินอยู่คนเดียวมาจนชินแล้วค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ฝากดูแลเพื่อนรักของรินด้วยนะคะ”
“ครับ” เตชินวางโทรศัพท์ไป ริลณีเยื้อนยิ้ม
“ถึงวันนี้เธอจะยังจำเรื่องของฉันไม่ได้ แต่ต่อไป เธอจะต้องจำเรื่องของเราได้แน่ ชมพู”
ฝ่ายทางชมพูนอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง เตชินดูแลความเรียบร้อย เอาหมอนที่หนุนสูงออกเพื่อให้นอนสบาย และ ขยับผ้าห่มที่หล่นลงมาให้ปิดหน้าอก ก่อนจะหันไปมองพิชัย และ พิสมัย ที่นั่งหน้าเครียดอยู่
“คุณอากลับก่อนก็ได้ครับ ชมพูได้ยานอนหลับ กว่าจะตื่นก็คงเช้า เดี๋ยวผมจะอยู่เฝ้าเอง”
“แต่อาเป็นห่วง” พิสมัยบอก
“มีเตชินอยู่อย่างนี้คุณจะห่วงทำไม” พิชัยตบบ่าเตชิน “งั้นอาฝากน้องด้วยนะ”
“ครับคุณอา”
เตชินพยุงพิสมัยลุกขึ้น ขยับเปิดประตูส่งทั้งสองท่านกลับบ้านไป ปิดประตูลง แล้วเดินเข้ามานั่งข้างเตียง จับมือชมพูไว้ด้วยความรู้สึกผิด
“เป็นความผิดของพี่เอง ที่ทำให้ชมพูเป็นแบบนี้”
เสียงแปร๋นแปร๋คุ้นหูดังขึ้น
“เตชินทำผิดอะไรเหรอค๊า”
เตชินหันไปตามเสียง ตกใจที่เห็นปริมลดาเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ปริมลดา”
“ลดาไปหาชมพูที่บ้าน รู้ว่าป่วยก็เลยรีบมาเยี่ยม” ปริมลดาคาใจคำพูดเมื่อครู่ อยากรู้ขึ้นมาทันที “แล้วที่เมื่อกี้บอกว่าเป็นความผิดของคุณ มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ไม่เชื่อหรอก ถ้าไม่มีคุณจะพูดออกมาทำไม ตัวละครไม่พูดสิ่งที่ตัวเองไม่คิดหรอกค่ะ”
“แต่ผมไม่ใช่ตัวละคร”
“โอเค ไม่บอกก็ไม่บอก ที่ลดาถามน่ะ ก็เพราะเป็นห่วง เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยแก้ไข มันเป็นหน้าที่ของเพื่อนเจ้าสาวน่ะค่ะ ที่จะทำให้งานแต่งงานลุล่วงไปด้วยดี”
ปริมลดายิ้มหวาน เอื้อมมือไปกุมือเตชินที่วางอยู่บนเตียงไว้
“ชมพูโชคดีจริงๆ เลยนะคะ ที่ได้ผู้ชายที่แสนดีอย่างพี่เตชินเป็นเจ้าบ่าว ไม่รู้ว่าลดาจะมีโอกาสโชคดีแบบนั้นบ้างรึเปล่า”
เตชินตกใจรีบเอามือออกจากมือปริมลดาอย่างสุภาพ
“พี่ขอตัวไปคุยกับหมอก่อนนะครับ”
ปริมลดาเข้าไปกอดแขนเตชิน “ลดาไปด้วยสิคะ ลดาอยากรู้ว่าชมพูเป็นอะไร”
เตชินมองท่าทีแปลกใจมากๆ
ปริมลดารีบแก้ตัว “ลดาเป็นเพื่อนเจ้าสาว เกิดชมพูเป็นอะไรระหว่างเตรียมงาน จะได้ดูแลถูก”
เตชินขัดไม่ได้จำเป็นต้องให้ปริมลดาตามไปด้วย ปริมลดาเกาะแขนไม่ปล่อยจนชายหนุ่มรู้สึกอึดอัด
ระหว่างนี้คุณหญิงจิตรา และ ณรงค์เดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยความรีบร้อน
“ฉันล่ะกลัวจริงๆ ว่าที่หนูชมพูไม่สบายคราวนี้ จะเกี่ยวกับลูกชายตัวดีของเรา”
“คุณก็อย่าเพิ่งไปฟันธงเชื่อแบบนั้นสิ”
“จะไม่ให้คิดอย่างนั้นได้ยังไงคะคุณ คุณดูลูกเราตอนนี้สิ ทำตัว แปลกๆ เหมือนมีความลับอะไรซ่อนเอาไว้”
“จะความลับอะไรก็ได้ ขออย่าให้เป็นเรื่องผู้หญิงก็แล้วกัน”
“แต่ฉันว่าเรื่องผู้หญิงนั่นแหละค่ะ”
จิตรามองไปที่ทางเดินเบื้องหน้า เห็นเตชินเดินควงแขนมากับปริมลดา และท่าทางปริมลดาดูตั้งใจยั่วยวนเตชินมากๆ
เตชินเห็นจิตราและณรงค์ก็ชะงัก ปริมลดารีบเอามือออก ลอบทำหน้าเซ็ง แต่ต้องฝืนยกมือไหว้ จิตราปั้นปึ่งคอแข็งไม่ยอมรับไหว้ พูดจาแดกดัน
“เพื่อนเจ้าสาว มีหน้าที่ดูแลแค่เจ้าสาว คงไม่จำเป็นต้องมาดูแลเจ้าป่าว หรอกมั้งหนู”
“ลดาเค้ามาเยี่ยมชมพูครับ” เตชินว่า
“มาเยี่ยมหนูชมพู แล้วทำไมมาเดินควงแขนลูกอยู่ตรงนี้ล่ะ ฉันว่ามันดูไม่งามนะ” จิตรามองหน้าปริมลดา” หนูเป็นดาราไม่ใช่เหรอ ไม่กลัวเป็นข่าวรึไงจ๊ะ”
ปริมลดาบอกยิ้มๆ “ลดาชินแล้วละค่ะ”
“แต่ฉันไม่ชิน แล้วก็ไม่อยากเห็นอะไรที่จะทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่สั่งสมคุณงามความดีมายาวนานต้องมัวหมอง ฉันต้องป้องกันไว้ก่อนจ้ะ”
ก่อนเรื่องจะลุกลาม ณรงค์ตัดบท “แล้วนี่ลูกจะไปไหน”
“ผมจะไปคุยกับหมอครับ”
“แม่กับคุณพ่อไปด้วยดีกว่า” คุณหญิงหันมามองปริมลดาอีกที “ขอบใจนะจ๊ะหนู ที่มาเยี่ยม”
ปริมลดาหน้าตึงรู้ว่าโดนจิตราไล่อ้อมๆ จำใจต้องยกมือไหว้ลาอย่างเสียไม่ได้
“งั้นลดากลับก่อนนะคะพี่เตชิน” แล้วไหว้บอกจิตรา และ ณรงค์ “ลาละค่ะ”
ปริมลดาเดินหุนหันออกไป จิตรามองด้วยหางตาอย่างรู้ทัน เตชินมองแม่ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย รีบเดินออกไปทันที
ปริมลดาเดินออกมาด้วยความโมโห ก่อนจะหันกลับไปในตึกด้วยความเจ็บใจ
“หวงลูกชายนักใช่มั้ย ได้ เดี๋ยวจัดให้ อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้านังคุณหญิงหัวสูงอย่างแกได้สะใภ้ดาราอย่างฉัน แกจะกรี๊ดดังแค่ไหน ฮึๆ”
ปริมลดาเคืองแค้นคุณหญิงจิตราเอามากๆ
อ่านต่อหน้า 2
นางชฎา ตอนที่ 7 (ต่อ)
เตชินคร้านจะทะเลาะกับมารดา พยายามเดินหนี แต่จิตราตามไปเฉ่ง เอาเรื่องไม่ลดละ
“อย่าบอกนะว่าคนที่ทำให้ลูก ไม่สนใจหนูชมพู ไม่สนใจงานแต่ง แล้วไปขลุกที่บ้านเรือนไทยนั่น คือแม่ดาราคนนี้”
เตชินหันกลับมาพูดกับจิตราอย่างเหลืออด “คุณแม่หยุดพูดอะไรแบบนี้ได้มั้ยครับ ปริมลดาเค้าเป็นเพื่อนน้องชมพูนะครับ ที่เค้ามาก็เพราะเป็นห่วงน้อง ไม่ใช่อย่างที่คุณแม่คิด แล้วผมก็ไม่เคยคิดอะไรน่าเกลียดแบบที่คุณแม่คิดด้วย”
จิตราจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่ณรงค์รีบห้ามไว้
“ไม่เอาน่าคุณ เรามาเยี่ยมหนูชมพูไม่ใช่เหรอ”
จิตราคาดคั้น “แม่รู้นะว่าลูกแอบนัดน้องออกไปคุยอะไรกันสองคน บอกมานะว่าลูกคุยเรื่องอะไร ทำไมน้องถึงอาการกำเริบแบบนี้”
ณรงค์ปราม “พอเถอะคุณ จะว่าลูกไปถึงไหน”
“บอกมาลูกจะคุยอะไร” จิตรมองคาดคั้นหนัก “ลูกมีอะไรปิดบังพ่อกับแม่ใช่มั้ย”
เตชินมองหน้าคุณหญิงมารดา ทำท่าเหมือนมีเรื่องจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูด
คุณหญิงดักคอทันที “บอกไว้ก่อนเลยนะ ไม่ว่าลูกจะคิดทำอะไร ถ้าสิ่งนั้นจะทำให้การแต่งงานของลูกกับหนูชมพูมีปัญหาแล้วละก็ แม่จะไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ แม่จะขัดขวางทุกทางไม่ให้เกิดเรื่องนั้นขึ้น”
“คุณจิตรา”
เตชินโมโหขึ้นมาอีก “คุณแม่ก็ทำอย่างนั้นมาตลอดอยู่แล้วนี่ครับ ผมไม่เห็นรู้สึกแปลกใจเลย”
ชายหนุ่มเดินหนีไปเลย ณรงค์เรียกไว้
“นั่นลูกจะไปไหน”
“กลับไปดูแลน้องชมพูไงครับ ถ้าผมทำอย่างนั้นแล้วคุณพ่อคุณแม่จะพอใจมากใช่มั้ยครับ”
เตชินหุนหันเดินออกไปด้วยความโกรธ ณรงค์และจิตรามองตามอึ้ง ช็อก ในท่าทีนั้นซึ่งทั้งคู่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ลูกไม่เคยเป็นแบบนั้นเลยนะคุณ”
“ฉันเชื่อค่ะ ว่ามีคนทำให้ลูกเราเปลี่ยนไป แล้วฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่า มันเป็นใคร”
คุณหญิงจิตราบอกด้วยน้ำเสียงเคืองขุ่นถึงขีดสุด
คืนนั้นปริมลดาแวะมาหาเอกราชที่ห้องเพนต์เฮ้าส์ คอนโดหรู ของเขา เวลานี้ปริมลดาเทไวน์ใส่แก้วสองใบ ยื่นให้เอกราชใบหนึ่ง
“ถึงเวลาแล้วที่เราสองคนจะร่วมมือกันอย่างจริงๆ สักที เท่าที่ลดาสังเกตดู ลดามั่นใจว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ของชมพูและคุณเตชินบอบบางมาก”
“ง่ายต่อการแทรกแซง” เอกราชยิ้มชั่ว
“ใช่ มือที่สาม ต้องรีบลงมือ ก่อนที่สองคนนั้นจะแต่งงานไม่งั้นเราจะไม่มีโอกาสแล้ว”
“แต่เท่าที่เห็น เสน่ห์ของปริมลดา นางเอกอันดับ 1 จะไม่ได้ผลนะ” เอกราชเหน็บ
“ก็ถ้าเตชินเค้าง่ายเหมือนผู้ชายคนอื่น ลดาก็คงไม่ได้อยากได้เค้าหรอก นายเองก็เถอะ ตอนนี้ชมพูกำลังป่วย นายน่าจะหาเวลาไปทำคะแนน”
“ฉันไปแน่ แต่เธอน่ะสิ ทำยังไงถึงจะมีโอกาสได้เข้าใกล้เตชิน”
ปริมลดาเข้าไปกอดคออ้อนออเซาะเอกราช “นายก็ช่วยหน่อยสิ ถ้ามีโอกาส ลดามีแผนที่จะทำให้ยายชมพูรีบยกเลิกงานแต่งกับเตชินแน่ๆ”
เอกราชยิ้มยั่ว “มั่นใจขนาดนั้น”
ปริมลดามาดมั่นมาก “คนอย่างปริมลดา ถ้าลองวางแผนขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางพลาด เพราะฉันมีสิ่งที่คนอื่นไม่มี”
“อะไร”
“พลังดาราไง นายไม่รู้หรอกว่า พลังเนี้ย ทำอะไรได้เยอะ”
เอกราชและปริมลดามองหน้ากัน หญิงร้ายชายโฉดยิ้มชั่วให้กัน แล้วดื่มแชมเปญดื่มฉลองให้กับความสำเร็จล่วงหน้า
เวลาเดียวกัน เตชินยืนแอบหลบมุมคุยโทรศัพท์กับริลณีอยู่ในห้องพักชมพู
“ผมโทร.มาเช็คว่ารินเป็นยังไงบ้าง ปิดประตูหน้าต่างให้ดีนะครับ ถ้ามีเสียงอะไรก็ไม่ต้องออกไปไหน รีบโทรหาผม ผมจะรีบกลับไปทันทีเลย”
เตชินเหลือบมองไปที่เตียง เห็นชมพูขยับตัวเหมือนจะตื่น
“อยู่ใกล้โทรศัพท์ไว้นะครับ ผมจะโทร.มาเช็ครินเป็นระยะๆ เป็นห่วงรินนะครับ”
เตชินวางสายเก็บมือถือ แล้วรีบวิ่งมาดูแลชมพูที่เตียง
“น้องชมพูรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ”
“พี่เตชิน” ชมพูมองไปรอบๆ ห้อง ท่าทีงงๆ “นี่ชมพูอยู่ที่โรงพยาบาลเหรอคะ เกิดอะไรขึ้น”
“ชมพูปวดหัวมากพี่เลยพามาโรงพยาบาล”
ชมพูพยายามคิดทบทวน “ตอนนั้นชมพูไปหาพี่เตชินที่สวนสาธารณะ เรามีนัดกันใช่มั้ยคะ”
เตชินพยักหน้าด้วยความรู้สึกผิด “ใช่ครับ”
“แล้วเราสองคนได้คุยเรื่องสำคัญที่พี่เตชินอยากคุยรึยังคะ”
“ไม่มีอะไรต้องคุยแล้วครับ”
“ทำไมละคะ ชมพูคุยได้นะคะ ถ้าพี่เตชินอยากคุย”
“พี่จะหาทางแก้ปัญหานั้นด้วยวิธีการอื่นแทน ตอนนี้พี่อยากให้น้องชมพูหลับพักผ่อนก่อน”
“พี่เตชินจะไม่หนีไปไหนใช่มั้ยคะ”
เตชินรู้สึกผิด ได้แต่พยักหน้าตอบ ว่าจะไม่ไปไหน ชมพูดีใจมีความสุขจนน้ำตาจะไหล
“ชมพูดีใจนะคะ ที่ตื่นมาแล้วเห็นพี่เตชินอยู่ตรงนี้ ชมพูกลัวว่าจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว ขอชมพูจับมือพี่เตชินแบบนี้ไว้ตลอดนะคะ วันนี้ชมพูรู้สึกกลัวๆ ยังไงก็ไม่รู้”
ชมพูกอบกุมมือเตชินไว้ แล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอุ่นใจ
อีกฝ่ายมองอย่างรู้สึกผิด ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี
ดึกสงัด บ้านเรือนไทยทั้งหลังตกอยู่ในความมืด ดูวังเวงและน่ากลัว นาฬิกาโบราณที่แขวนอยู่บนผนังบ้าน ค่อยๆ เดินเสียงดัง กึก กึก กึก ก่อนจะมาหยุดที่เวลาตีสาม
เสียงนาฬิกาบอกเวลา ตีสาม ดังกังวาน พร้อมๆ กับที่ริลณีลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างน่ากลัว ลุกขึ้นยืนนิ่ง เสียงดนตรีไทยเดิม ดังแว่วหวานมาเบาๆ ริลณีค่อยเดินลงบันไดไปช้าๆ ราวกับโดนมนต์สะกด
พริบตานั้น ริลณีวูบมาหยุดที่หลุมฝังศพตัวเอง อดีตนางรำคนสวย ร่ายรำอย่างสวยงามชดช้อยบนหลุมฝังศพนั้น สีหน้ามีความสุขล้น
ขณะเดียวกัน น้าไหวกำลังปีนกำแพง โดยมีกล้าช่วยดันก้นจากข้างล่างด้วยความยากลำบาก
“ไอ้กล้า ดันให้มันดีๆหน่อยสิวะ ตกไปแข้งขาหัก ใครจะรับผิดชอบ”
“น้าจะโวยวายเสียงดังทำไมเนี่ย เดี๋ยวใครก็ตื่นมาเห็นเราแอบปีนเข้าบ้านคนอื่นหรอก”
“ไม่ต้องกลัว ข้าเลือกทำเลมาดีแล้ว ไม่มีใครกล้ามาแถวนี้หรอก”
“เลือกทำเล แต่ไม่เลือกเวลา กล้ามาเนอะ บ้านผีสิงเวลาตีสาม”
“ก็แล้วจะให้มาตอนเที่ยงวันรึไงวะ”
กล้าโวยวาย “แต่ตีสามมันเวลา ผีออก น้าไม่เคยได้ยินรึไง”
“มองหน้าแก ก็เหมือนผีออกมาทุกเวลาอยู่แล้วเว้ย เอ้า เร็วรีบดันสิวะ”
กล้ารีบดันน้าไหวขึ้นไปบนกำแพงได้สำเร็จ ก่อนจะรีบปีนตามน้าไหวขึ้นไปบนนั้นอย่างว่องไว
น้าไหวเดินถือไฟฉายนำหน้าอย่างกล้าๆ กลัว โดยมีกล้าเดินหันซ้าย หันขวา ระวังหลังให้อยู่ ปากบ่นไม่หยุด
“แล้วน้ารู้ปะ ไอ้ศาลาที่เราต้องหาเนี่ยมันอยู่ตรงไหน”
“ก็คงอยู่ที่ไหนซักแห่งนี่แหละ”
“โหย ตอบแบบนี้กวนนี่ ถ้าไม่เห็นว่าแก่คราวพ่อด่านับคำไม่ถ้วนแล้วนะคร้าบ”
“อ้าว แล้วเอ็งจะให้ข้ารู้จากที่ไหน” น้าไหวถาม “บ้านนี้ของข้ามั้ย”
กล้ารีบตอบ “ไม่”
“แล้วคิดว่าข้ารู้จักใครในบ้านนี้รึเปล่า”
“ก็ไม่อีก”
น้าไหวเขกกะโหลกกล้าด้วยความโมโห “แล้วจะให้ข้ารู้เรื่องไอ้ศาลานั่นจากที่ไหน”
“ก็จริงของน้า งั้นเราก็เดินดูไปรอบๆ บ้าน” กล้ายิ้มแหยๆ พูดเหมือนไม่มีอะไร “ถ้าเจอก็แสดงว่ามี ถ้าไม่เจอก็แสดงว่าไม่มี” สุดท้ายร้องโวยวาย “เย้ย! มันจะชิลล์ไปมั้ยน้า นี่มันบ้านผีสิงนะเฟร้ย”
เสียงดนตรีไทยเดิมท่วงทำนองเพลงรำ เพลงเดิมดังขึ้นอีก กล้ารีบเดินเข้าไปตบกะโหลกน้าไหว
“บอกน้าแล้วใช่มั้ย ให้เลิกใช้ซะที ไอ้เสียงเรียกเข้าเพลงไทยเดิมเนี่ย ได้ยินแล้วมันสยอง แล้วเมียน้าเป็นไร ตีสามยังจะโทรมาอีก จะให้ซื้อผัดไทกลับไปฝากรึไง”
กล้าหันไปมองหน้าน้าไหวที่ถือโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาโชว์
“ไม่มีใครโทร.หา แล้วข้าก็ไม่ได้ใช่เสียงเรียกเข้าเป็นเพลงไทยเดิมแล้วด้วย”
“อ้าว แล้วไอ้ที่ได้ยินอยู่เนี่ย มันดังมาจากไหนล่ะ”
น้าไหวและกล้าพยายามมองหาที่มาของเสียง จากหางตา ทั้งคู่เห็นริลณีซอยเท้าแวบผ่านไปอย่างรวดเร็วทางหนึ่ง พอทั้งสองหันมาอีกด้าน ก็เห็นริลณีซอยเท้าแวบผ่านไปอีกทางอย่างรวดเร็วเช่นเดิม
“น้าเห็นเหมือนที่ฉันเห็นมั้ย”
“ทำใจดีๆ เรามีของดีไม่ต้องกลัว”
น้าไหวกระซิบโชว์ของขลัง แล้วมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว จึงรีบเดินนำกล้าออกไปตามหาศาลาต่อทันที
สองยามเดินมาถึงบริเวณหลุมศพริลณี บรรยากาศยิ่งวังเวงหนักกว่าที่อื่นๆ ทั้งคู่มองรอบๆ อย่างระแวง เสียงดนตรีไทยเพลงเดิมดังชัดเจนขึ้นในบริเวณนั้น กล้าและน้าไหวรีบขยับเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
“ตรงโน้นเพลงยังเบาๆแผ่วๆ แต่ตรงนี้ ทำไมมันชัดเป๊ะเวอร์”
น้าไหวยืนนิ่งอึ้ง ตาค้าง ไม่ได้ตอบคำถาม กล้าหันมามองเห็นท่าทางน้าไหวก็ยิ่งแปลกใจ
“น้า...น้า...น้าเป็นอะไร”
น้าไหวปากสั่นติดอ่างไปแล้ว “ชะ...ชะ...ชะ ชัด ปะ...เป๊ะ...วะ...วะ...เวอร์”
“อะไรชัดเวอร์น้า”
น้าไหวค่อยๆ ยกนิ้วสั่นพับๆ ชี้ไปบริเวณหลุมศพ กล้ามองตามมือ เห็นริลณีกำลังร่ายรำอยู่บนหลุมศพตัวเองอย่างมีความสุขมาก
“น้องเค้านึกยังไง ถึงมารำดึกดื่นๆ”
น้าไหวผลักกล้าเข้าไป “อยากรู้ก็ไปถามสิ”
กล้าไม่ยอมไป “น้าไปถามเถอะ เป็นผู้ใหญ่ไปถามไม่น่าเกลียด”
“แกน่ะแหละไป”
น้าไหวกับกล้าผลักกันไปมา ก่อนที่เสียงเพลงจะหายไป และร่างริลณีที่รำอยู่ก็หายไปจากบริเวณหลุมฝังศพด้วย
กล้าตกใจ “เย้ย น้องเค้าไปไหนแล้วน้า”
เสียงยานคางอันเย็นยะเยือกของริลณีดังขึ้น “ฉัน รำ สวย มั้ย”
น้าไหวและกล้าหันไปมองตามเสียง เห็นริลณีนั่งหันหลังให้อยู่บนต้นไม้ ในชุดที่ใส่ตอนโดนฝัง ผีริลณีค่อยๆ บิดคอหันกลับหลังมาเก้าสิบองศา ใบหน้ากลายเป็นผีหน้าเละ น่ากลัว น่าสยดสยองมากๆ
“อยาก ให้ ฉัน รำ ให้ ดู อีก มั้ย”
น้าไหวและกล้าได้แต่ยืนตัวสั่น ปากสั่น ก้าวขาไม่ออก
“ใช้ของขลังอาจารย์เจ๋งสิน้า จะใส่ห้อยคอทำเท่อยู่ทำไมล่ะ”
น้าไหวรีบถอดสร้อยคอที่ใส่ที่คอขึ้นมาใส่มือไหว้ ท่องคาถา
“ไม่ต้องไหว้หรอกน้า ของแบบนั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
น้าไหว กับกล้า หันกลับมามองข้างหลัง เห็นผีริลณียืนอยู่ระหว่างทั้งคู่ จ้องทั้งสองตาเขม็ง สองยามขาสั่น มือเท้าอ่อน หนีไปไม่ได้แล้ว น้าไหวยกมือไหว้ริลณีด้วยความกลัว
“เราเข้ามาก็แค่อยากรู้ว่าศาลาอยู่มั้ยเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำอะไรล่วงเกินเลย”
ทันทีที่ผีริลณีได้ยินน้าไหวพูดเรื่องศาลา ก็โกรธจัด เคลื่อนตัวไปตรงหน้าน้าไหวอย่างเร็ว แผดเสียงถามดังลั่น
“ใคร สั่ง ให้ พวก แก มา”
“พวกเราไม่รู้จักชื่อจริงๆ จ้า รู้แต่ว่าเค้าเคยเป็นนักว่ายน้ำที่มหาวิทยาลัย”
ริลณียิ้มเหี้ยมรู้ทันทีว่าเป็นใคร ก่อนจะหันไปพูดกับสองยามด้วยความเกรี้ยวกราด
“ฝากบอกมัน ห้ามเข้ามายุ่งที่นี่ แล้วถ้าใครหน้าไหนกล้าเข้ามาในบ้านหลังนี้อีก ฉัน จะ ฆ่า มัน”
สองยามพยักหน้ารับทราบ มองหน้ากันก่อนจะรีบวิ่งเตลิดออกไป ริลณีมองตามด้วยความโกรธถึงขีดสุด
เช้าวันนี้ เอกราชเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมตะกร้าเยี่ยมไข้ใบใหญ่ เตชินกำลังป้อนอาหารชมพูอยู่ หันมามองสีหน้าแปลกใจ
“คิดแล้วว่าคุณเตชินต้องอยู่ที่นี่”
“แหม...มาถึงก็ถามหาคนอื่นก่อนเลยนะ ไม่ได้คิดจะมาเยี่ยมกันจริงๆ เหรอเนี่ย” ชมพูเย้า
เอกราชบอกชมพูว่า “ก็ตั้งใจมาเยี่ยม ไม่งั้นะซื้อขนมที่ชมพูชอบมาฝากเหรอ” เขาหันไปมองเตชินหน้าเครียด “แต่ก็มีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณเตชินด้วยครับ”
เตชินมองฉงน เอกราชมีเรื่องอะไร
ถัดจากนั้น สองหนุ่มเดินคุยกันเข้ามาในสวนหย่อมโรงพยาบาล หน้าตาเคร่งเครียดทั้งคู่
“ระบบท่อน้ำในโรงแรมที่ผมสร้างใหม่ที่พัทยารั่ว เสียหายหนักมากหลายจุด รั่วซึมผนัง ฝ้า และ งานตกแต่งเสียหายหลายส่วน สถาปนิกที่ช่วยผมดูแลตรงนี้ก็มาลาออกไป ไม่มีใครช่วยผมตรงนี้เลย โรงแรมก็ต้องเปิดเดือนหน้า ทำประชาสัมพันธ์ เตรียมงานเปิดตัวไปแล้วด้วย ถ้าผมซ่อมและเปิดโรงแรมไม่ทัน ทุกอย่างผมต้องพังแน่ ผมถึงอยากขอร้องให้คุณไปช่วย”
เตชินท้วง “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะทำได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยจับโปรเจคนี้มาก่อน”
“ผมจะไม่ก้มหัวขอร้องใคร ถ้าผมไม่แน่ใจว่าเขาทำไม่ได้หรอก” เอกราชขอร้อง “ช่วยผมเถอะนะครับคุณเตชิน”
“ถ้าสำคัญขนาดนั้น ทำไมคุณถึงไม่คุมงานเอง” เตชินแย้ง
“ผมต้องมาดูแลโครงการคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำที่กรุงเทพฯ ที่นี่ก็มีปัญหาหนักไม่แพ้กัน”
“คุณไม่มีสถาปนิกคนอื่นเลยเหรอ”
“คนที่เก่ง และ ผมไว้ใจ ก็มีแต่คุณคนเดียว”
เตชินคิดหนัก “แต่ผมต้องดูแลชมพู”
แต่พอชมพูที่นอนอยู่บนเตียงรู้เรื่อง ก็จับแขนเตชินขอร้องให้ช่วยเอกราชอีกแรง
“ไปเถอะค่ะพี่เตชิน ถ้าเอกราชเค้าไม่เดือดร้อนจริง เค้าคงไม่มาขอให้ช่วยหรอกค่ะ”
พิชัยเสริมว่า “นั่นสิ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องรีบไปแก้ไข ไม่งั้นจะยิ่งเสียหายหนัก อาทำพวกอสังหามาอาเข้าใจ”
เตชินอึดอัดมองชมพูอย่างลำบากใจ “แต่ผม”
“เดี๋ยวทางนี้ อาจะดูแลชมพูเอง” พิชัยมองลูกสาวอย่างแสนรัก “ยิ้มหน้าใสแบบนี้ อีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้ชมพูค่อยยังชั่วขึ้นมากจริงๆ ค่ะ ชมพูอยากเห็นพี่เตชินได้ไปทำงานช่วยเหลือคน ดีกว่ามานั่งเฝ้าไข้ชมพูแบบนี้นะคะ”
เอกราชที่อยู่ด้วยขอร้องเตชินอีกครั้ง
“ว่ายังไงครับคุณเตชิน”
“งั้นผมก็คงปฎิเสธไม่ได้ โอเคครับผมจะช่วย”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ”
เอกราชจับมือเตชิน ใบหน้ายิ้มยินดีของเอกราชเปลี่ยนเป็นยิ้มชั่ว ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน โดยไม่มีใครเห็น
ทั้งคู่อยู่ในห้องนอน ริลณียืนดูเตชินที่กำลังพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็ก สีหน้าไม่พอใจนิดๆ
“ผมต้องไปทำงานที่โรงแรมเอกราชสองสามวัน รินอยู่บ้านคนเดียวต่ออีกหน่อยได้นะครับ”
ริลณีเสียงเย็นและฟังดูน่ากลัว “เอกราชเป็นคนขี้โกหกไว้ใจไม่ได้ รินไม่อยากให้คุณทำงานกับเค้า”
“แต่เท่าที่ผมเจอเค้าก็เป็นคนใช้ได้ ประวัติการทำงานก็โปร่งใส มีคนหนุนหลังดี มีฝีมือ น่าเชื่อถือดีออก”
“สิ่งที่คุณเห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เค้าเป็น”
“ไม่ใช่ผมไม่เชื่อรินนะครับ แต่ผมรับปากแล้วว่าจะไปช่วยยังไงผมก็ต้องช่วย แต่ถ้าผมเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล ผมจะรีบถอนตัวดีมั้ย”
“ถ้าชมพูไม่ขอร้องคุณมากขนาดนั้น คุณก็คงเชื่อริน” ริลณีตัดพ้อ
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ผมสัญญากับเค้าไปแล้ว ยังไงผมก็ต้องทำตามคำพูด”
“เอาเถอะค่ะ แล้วสักวันคุณก็จะรู้ว่ารินพูดถูก รีบออกไปเปิดประตูเถอะค่ะ มีคนมารอพบคุณที่หน้าบ้านนานแล้ว”
ริลณีเดินออกไป พร้อมๆ กับมีเสียงกดกริ่งจากหน้าบ้านดังขึ้น เตชินแปลกใจ
เตชินวิ่งมาเปิดประตูหน้าบ้าน เห็นสร้อยยืนรออยู่พร้อมกระเป๋า ก็แปลกใจ
“สร้อย มาที่นี่ได้ยังไง”
“เอ่อ คุณผู้หญิงส่งสร้อยมาอยู่กับคุณเตชินที่นี่ค่ะ”
“ไม่ได้ สร้อยจะอยู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด” เตชินเสียงแข็ง
“โหย มาถึงปุ๊บ คุณเตจะไล่สร้อยกลับปั๊บ อย่างนี้สร้อยก็เคว้งสิคะ” สร้อยบ่น
“ก็แล้วก่อนมาทำไมไม่โทร.มาปรึกษาผมก่อน”
“สร้อยก็คิดว่าคุณเตรู้แล้ว เพราะพอคุณหญิงสั่งให้สร้อยมาอยู่กับคุณเตปุ๊บ รถก็มาส่งสร้อยที่นี่ปั๊บ ยังไม่ทันได้ลาใครที่บ้านนั้นเลย
“งั้นก็กลับไปลาก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่”
สร้อยรีบห้าม “ไม่ต้องๆๆๆ ค่า สร้อยไลน์ไปลาครบทุกคนแล้ว”
สร้อยพยายามตื้อจะอยู่ที่นี่ให้ได้ เตชินรู้สึกอึดอัดใจ ไม่รู้จะทำยังไงดี
“แต่ยังไงสร้อยก็อยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ”
สร้อยบีบน้ำตา อ้อนวอน “ถ้ากลับไป มีหวังคุณหญิงไล่สร้อยออกแน่ คุณเตเข้าใจใช่มั้ยคะ สร้อยเป็นแค่คนใช้จะขัดขืนคำสั่งของคุณหญิงได้ยังไง”
เตชินอึกอัก “เอ่อ...แต่ผมไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียว คงต้องถามคนที่อยู่กับผมก่อน ว่าเค้าอยากจะให้สร้อยอยู่ด้วยมั้ย”
สร้อยสาระแน “อูย คุณชมพูเธอใจดี เธอไม่ไล่สร้อยกลับไปหรอกค่ะ ฟันเฟิร์ม”
เตชินทำหน้าอึดอัดนิดๆ เพราะคนที่อยู่ด้วยไม่ใช่ชมพู
“งั้นรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวผมไปถามเค้าก่อน”
“ค่า สร้อยจะรอตรงนี้ ไม่หนีไปไหนเลยค่ะ”
เตชินเดินเข้าบ้านไป สร้อยมองตาม ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน แล้วมองไปรอบๆบ้านที่ดูวังเวงน่ากลัวสร้อยรีบยกมือไหว้ท่วมหัว
“เจ้าประคู๊ณ ขออย่าให้คุณชมพูเธออนุญาตเล๊ย สร้อยไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะภารกิจลับของคุณหญิง สร้อยไม่กล้าแม่แต่จะมาเหยียบที่นี่หรอกค่ะ มันหลอน ไม่รู้คุณเตอยู่ที่นี่คนเดียวได้ไง อึ๋ยขนลุก”
ริลณีพูดกับเตชินยิ้มแย้ม ท่าทางสบายๆ
“ก็ให้เค้าอยู่สิคะ คุณแม่คุณอุตส่าห์ส่งคนมา”
“แต่ถ้าพี่สร้อยอยู่ คุณแม่ก็จะรู้เรื่องที่เราสองคนอยู่ที่นี่นะครับ”
“จะรู้เร็วรู้ช้า ยังไงก็ต้องรู้ ดีซะอีกที่คุณไม่ต้องไปบอกเอง”
“แต่ถ้ารู้เพราะส่งคนมาสืบแบบนี้ เรื่องมันจะไปกันใหญ่นะครับ”
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ไม่มีใครมาทำอะไรเราสองคนได้ แม้แต่คุณแม่ของคุณ”
“งั้นแสดงว่ารินก็ไม่กลัว ที่จะต้องเผชิญหน้ากับท่าน”
“รินเลิกกลัวทุกๆ อย่างไปนานแล้วค่ะ รินที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณตอนนี้เป็นคนแข็งแกร่ง ไม่ใช่
ริลณีที่อ่อนแอ โดนคนทำร้ายเหมือนแต่ก่อน”
“ถ้ารินไม่กลัว ผมก็จะไม่กลัวเหมือนกัน ดีเหมือนกันสร้อยมาอยู่ที่นี่ จะได้อยู่เป็นเพื่อนรินตอนที่ผมไม่อยู่”
เตชินเข้าไปกอดริลณีรู้สึกโล่งใจ ริลณียิ้มอย่างน่ากลัว ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะเตชิน คนสอดรู้สอดเห็นแบบนั้นอยู่ที่นี่กับเราได้ไม่นานหรอก”
เตชินเปิดประตูเข้ามาในห้องพักพิเศษ ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเอกราชยังนั่งอยู่กับชมพูในนั้น และดูออกมาคงมาตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมกลับ เตชินมองเอกราชอย่างแปลกใจ
“พอดีคุณพ่อ คุณแม่ไปซื้อของน่ะค่ะ เอกราชเลยอาสาอยู่เป็นเพื่อน พี่เตชินจะเดินทางวันนี้เลยใช่มั้ยคะ ขับรถดีๆ นะคะ ชมพูเป็นห่วง”
“พัทยาแค่นี้เอง ขับรถไม่ไกลหรอก ถ้าไปถึงที่นั่นจะมีคนมาดูแลคุณนะครับ”
เตชินบอกชมพูอย่างอ่อนโยน “พี่จ้างพยาบาลพิเศษไว้แล้ว แล้วคุณแม่พี่ท่านจะช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนชมพูด้วย”
เอกราชสอดขึ้น “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะมาดูแลชมพูแทนเอง”
เตชินชะงัก รู้สึกแปล่งหูกับคำพูดของเอกราชนิดๆ
“ผมนึกว่าคุณเอกราช ต้องไปดูโครงการคอนโดมิเนียมริมน้ำนั่นซะอีก”
“ไปดูสิครับ แต่ก็จะแวะมาเยี่ยมชมพูด้วย มันเป็นหน้าที่ผู้บริหารอย่างผมที่ต้องทำให้คนที่ทำงานกับผม ได้ทำงานอย่างสบายใจและหมดห่วงที่สุด”
“งั้นก็ฝากชมพูด้วยนะครับ” เตชินบอกลาชมพู “พี่ไปก่อนนะ แล้วจะโทร.มาหา”
“ไม่ต้องโทรหรอกค่ะ ถ่ายเซลฟี่หล่อๆ ลงไอจีก็พอค่ะ ชมพูจะตามดู จะได้ไม่กวนเวลาทำงานของพี่เตชิน”
เตชินจับมือชมพู แล้วเดินออกจากห้องไป ชมพูมองตามด้วยความรู้สึกเศร้าๆ เอกราชแอบมองเตชินยิ้มชั่ว อย่างมีแผนร้าย
อีกฟากหนึ่ง ตุลเทพเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของกล้า เห็นกล้าและน้าไหว นอนคลุมโปง ตัวสั่นอยู่บนเตียง ตุลเทพรีบเดินไปเอาผ้าคลุมออก ทันทีที่น้าไหว เห็นตุลเทพ ก็รีบหยิบเงินยื่นคืนทันที
“เอาเงินของคุณคืนไป ผมไม่ทำแล้ว ยอมจนซะ ดีกว่าถูกผีหักคอ”
ตุลเทพมองเงินนิ่ง แต่ยังไม่รับเงินคืน “แล้วตกลงที่บ้านนั้นมียังมีศาลารึเปล่า”
กล้าโวย “มีศาลารึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่ามีผีชัวร์ ล้านเปอร์เซ็นต์ แค่พวกเรารอดตายออกมาได้ก็บุญโขแล้ว”
ตุลเทพหยิบเงินยื่นให้อีกสองพัน “ผมให้เพิ่มอีกสองพัน ผมอยากรู้จริงๆ ว่ามีศาลารึเปล่า”
กล้าโมโห “พูดไม่รู้เรื่องรึไง ว่าบ้านนั้นมีผี มีผี มีผี รู้จักมั้ยผีน่ะ”
“ที่ไหนๆ ก็มีผีทั้งนั้น”
“แต่มันไม่เฮี้ยนขนาดนี้” น้าไหวเอาเงินยัดใส่มือตุลเทพ “ถ้าอยากรู้ว่ามีศาลาอะไรนั่นรึเปล่า ก็เชิญไปดูเอง พวกเราขอลา”
พอพูดจบน้าไหวก็เอาผ้าห่มมาคลุมโปงเหมือนเดิม ตุลเทพมองเงินในมือ ด้วยความไม่พอใจ
ถัดมา ตุลเทพเดินหัวเสียเข้าไปหา หงส์หยก และ เชิงชาย ที่ยืนลุ้นรอฟังผลอยู่
“เป็นไงได้เรื่องมั้ย”
“จะได้เรื่องอะไร ไอ้สองคนนั้น บอกแต่ว่าเจอผีๆ กลัวจนหัวหด คืนเงิน แล้วก็ไม่ยอมกลับไปดูให้อีก”
“คิดแล้วว่าต้องไม่ได้เรื่อง แล้วที่นี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าที่นั่นยังมีศาลารึเปล่า” หงส์หยกบ่น
ตุลเทพพูดเสียงจริงจัง “พวกเราคงต้องเข้าไปดูเอง”
เชิงชายตกใจ ร้องโวยวาย “จะบ้ารึไง ไอ้ยามสองคนนั่นเพิ่งบอกว่าเจอผีๆ แล้วถ้าเกิดผีที่มันเจอเป็นผีริลณี พวกเราไม่ตายกันหมอเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก”
ตุลเทพยัวะ “ถ้าผีนั่นเป็นผีริลณีจริง ยังไงมันก็คงตามไปเล่นงานนายอยู่แล้ว ก็เลือกเอาแล้วกัน ว่าจะนอนรอความตายอยู่ที่บ้านเฉยๆ หรือไปดูให้แน่ใจ แล้วหาทางแก้ไข”
หงส์หยก และ เชิงชาย เครียดจัด มองหน้ากัน ไม่มีใครอยากไปเพราะกลัวผีสุดๆ
อ่านต่อหน้า 3
นางชฎา ตอนที่ 7 (ต่อ)
อีกฟาก เตชินมาถึงโรงแรมหรูริมทะเลที่ยังไม่เปิดให้บริการของเอกราชแล้ว กำลังเดินตรวจดูความเสียหายกับหัวหน้าช่าง และลูกน้อง ชายหนุ่มพบว่าทั้งผนัง ฝ้าเพดาน เสียหายมากเอาการ เขากางแปลนอาคารดูเพื่อวางแผนแก้ไขส่วนที่เสียหายอย่างเคร่งเครียด
ถัดจากนั้น เตชินเอาแปลนโรงแรมมานั่งดูตรงริมระเบียงหน้าตาเคร่งเครียด มีมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากทางสระน้ำอีกฟากหนึ่ง เตชินชะโงกหน้าไปดู เห็นว่ามีกองถ่ายแบบแฟชั่นกำลังทำงานอยู่ พนักงานเอาน้ำเข้ามาเสิร์ฟ
“โรงแรมยังไม่เปิด มีคนมาถ่ายแฟชั่นแล้วเหรอครับ”
“อ๋อ เป็นการถ่ายแฟชั่นเพื่อโปรโมทโรงแรมน่ะค่ะ ไม่รู้คุณเอกราชไปติดต่อคุณปริมลดามาเป็นนางแบบได้ยังไง ได้ข่าวว่าคุณปริมลดาเธอไม่รับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ใครง่ายๆ” พนักงานขาเม้าท์พูดเสียงเบาในตอนท้ายว่า “ถ้าเงินไม่ถึง”
“ก็สองคนนั้นเค้าเป็นเพื่อนกันนี่ครับ คงจะพูดกันง่าย”
พนักงานตกใจ “ไม่เคยรู้นะคะเนี่ย ว่าคุณเอกราชเป็นเพื่อนดาราดังแบบนี้ สงสัยต้องไปดักขอลายเซ็นต์เธอแล้วละค่ะ นานๆ จะได้เจอสักที หวังว่าเธอคงจะไม่เหวี่ยงใส่”
พนักงานกำลังจะเดินออกไปแล้วนึกได้ หันมาถามเตชิน
“คุณเตชินจะเอาด้วยมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
เตชินหัวเราะขำ หันไปมองกองถ่ายแฟชั่นที่ริมสระน้ำ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
สักครู่หนึ่ง เตชินเดินออกมาตรงริมสระว่ายน้ำ กองถ่ายแฟชั่นกำลังทำงานวุ่นวายขายปลาช่อนกันอยู่
ปริมลดาอยู่ในชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่ กำลังโพสท่าลืมตาย ให้ช่างภาพถ่ายรูปอย่างกะนางแบบมืออาชีพ
ช่างภาพถ่ายไปชมไป “โอ้ว...สวยมาก...เยี่ยมที่สุด”
ปริมลดาโพสท่าเก๋ไก๋ เซ็กซี่ หลากหลายไม่หยุดหย่อน
“ดีมาก...สวยจริงๆ งั้นตรงสระว่ายน้ำพอแค่นี้” ช่างภาพบอกปริมลดา “เดี๋ยวลดาไปเปลี่ยนชุดได้เลยนะครับ เดี๋ยวเราจะเลื่อนไปถ่ายตรงอื่นต่อ”
“ค่ะ”
บรรดาทีมงานกุลีกุจอย้ายเซ็ต
ปริมลดาเห็นเตชินยืนมองอยู่ รีบหยิบเสื้อคลุมมาใส่หลวมๆ แล้ววิ่งเข้าไปหา
“แหม...ลดาคิดว่าจะต้องมานอนเหงา ที่โรงแรมนี้คนเดียวซะแล้ว ชมพูหายแล้วเหรอคะ”
“ดีขึ้นมาแล้วครับ”
“ถ้าไม่ดีขึ้นพี่เตชินคงไม่กล้าทิ้งมาที่นี่หรอก ใช่มั้ยคะ” นางเอกคนสวยสัพยอก
เตชินไม่ตอบ แต่มองหน้าปริมลดาด้วยความรู้สึกผิด
“เอ่อ..เรื่องเมื่อวันก่อนที่โรงพยาบาล ที่คุณแม่พี่พูด...”
ปริมลดาสวนออกมา “อย่าไปพูดถึงมันเลยค่ะ ลดาลืมไปหมดแล้ว ลดาความจำสั้นจะตาย”
“แต่ยังไงพี่ก็ต้องขอโทษนะครับ”
“เปลี่ยนจากคำขอโทษเป็นเลี้ยงข้าวลดาแทนได้มั้ยคะ”
เตชินออกอาการงง ตามไม่ทัน
“คือ ลดาหาเพื่อนทานข้าวเย็นน่ะค่ะ ไม่อยากทานคนเดียว แค่เห็นโรงแรมเงียบๆ ไม่มีคนก็รู้สึกสยองจะแย่แล้ว ยังต้องนั่งทานข้าวในห้องอาหารคนเดียวอีก ลดาคงจะหลอนจะทานไม่ลงแน่”
“ก็ได้ครับ”
ทีมงานกองถ่ายแฟชั่นทยอยย้ายกอง
เสียงใครสักคนตะโกนมาเรียก “คุณลดาครับ ไปถ่ายที่สวนลอยฟ้าด้านบนนะครับ”
“งั้นลดากลับไปทำงานก่อนนะคะ เย็นนี้เจอกัน”
“ครับ”
เตชินพยักหน้ารับคำ แล้วเดินออกไป ปริมลดามองตามยิ้มตาหวานเยิ้ม โดยไม่ทันเห็น เจ๊นก กับ ซกเล็ก กะเทยสาวทีมงานกองแฟชั่น กำลังมองปริมลดากับเตชิน แล้วซุบซิบกันอย่างสนใจ
ด้านชมพูนอนหลับอยู่บนเตียง เห็นมือของใครบางคนค่อยๆเอื้อมมาจับมือของชมพูไว้ ชมพูสะดุ้งตื่นตกใจ ก่อนจะหันไปเห็นริลณีนั่งยิ้มหวานมองชมพูด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าไม่สบาย”
“โอเคขึ้นเยอะแล้ว รินรู้ข่าวได้ยังไงจ๊ะ”
ชมพูมองไปรอบๆ ห้อง พบว่าทุกอย่างในห้องหายไป ทั้งห้องมีแต่ความว่างเปล่า ชมพูเริ่มรู้สึกแปลกๆ
“ก็บอกแล้วไงว่ารินคอยตามข่าวชมพูอยู่เสมอ รินเป็นห่วงอยากให้ชมพูหายเร็วๆ ชมพูจะได้จำเรื่องราวของเราสองคนได้สักที”
ทันทีที่ริลณีพูดจบปุ๊บ ชมพูก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
“โอ๊ย”
ริลณีจ้องหน้าเพื่อนรัก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกชวนขนลุกขนพอง “จำเรื่องของเราให้ได้นะ ชมพู...”
ชมพูฝันร้าย เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เหงื่อเต็มหน้า หญิงสาวมองไปรอบๆ ห้อง ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ไม่มีริลณีอยู่ในห้องนั้นแล้ว มีเพียงเอกราชที่ตื่นตกใจนั่งจ้องชมพูอยู่แทน
“เป็นอะไรรึเปล่า ให้ตามหมอมั้ย”
“ไม่เป็นไร สมองคงจะสับสนเลยฝันอะไรแปลกๆ นิดหน่อย ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ”
เอกราชยิ้ม “ไม่ได้เป็นคนขวัญอ่อนขนาดนั้น”
“ดีนะ ที่วันนี้มีนายอยู่เป็นเพื่อน ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกกลัวยังไงๆ ก็ไม่รู้”
เอกราชถอดสร้อยทองที่มีพระคล้อง ใส่มือชมพูไว้
“ถ้ากลัวก็ใส่สร้อยพระนี่ไว้”
ชมพูมองสร้อยพระรู้สึกอุ่นใจโดยประหลาด “ขอบใจนะ ไม่คิดเลยว่านายจะเป็นเพื่อนที่ดีแบบนี้”
“ก็ไม่ได้ดีกับทุกคนหรอก ดีเฉพาะกับคนที่พิเศษน่ะ”
เอกราชหยอด จ้องหน้าชมพูยิ้ม มีความหมายลึกล้ำ ชมพูรีบเบี่ยงเบนไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น เพื่อทำลายบรรยากาศอันอึดอัด
“พี่เตชินไปถึงโรงแรมแล้ว ไม่เห็นเช็คอิน หรือ ถ่ายรูปลงไอจีสักรูป”
“ไม่อัพตอนทำงานไม่แปลก แต่ตอนนี้ก็น่าจะเลิกงานแล้ว บางทีคุณเตชินอาจจะกำลังสนุกกับใครอยู่ก็ได้”
ชมพูสะดุดหู “สนุกกับใคร โรงแรมนายยังไม่เปิดไม่ใช่เหรอ”
“ถึงยังไม่เปิด แต่ก็มีคนมาขอใช้สถานที่ ถ่ายหนัง ถ่ายละครบ่อยๆ ถ่ายแฟชั่น บ่อยๆ รู้สึกว่าวันนี้ปริมลดาก็จะไปถ่ายแบบที่นั่นด้วย สองคนนั้นคงได้เจอกัน”
ชมพูหน้าเครียดขึ้นมาทันที “ปริมลดางั้นเหรอ”
“มีอะไรรึเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ ทำหน้าเครียด”
ชมพูเงยหน้ามองเอกราช ก่อนจะตัดสินใจถาม
“นายก็รู้ว่าฉันจำเรื่องช่วงมหาวิทยาลัยไม่ได้”
“ไม่ต้องเกริ่น อยากถามอะไรก็ถามมา ถ้าฉันรู้ฉันจะบอก”
ชมพูไม่อยากถาม แต่ก็อยากรู้ “เอ่อ...คือ...ฉันอยากรู้ว่า ตอนช่วงมหาวิทยาลัย พี่เตชินกับปริมลดา เค้าเคยกิ๊กกั๊กกันมาก่อนรึเปล่า”
“กิ๊กกันรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่า ไม่มีผู้ชายคนไม่คิดจีบผู้หญิงแบบปริมลดาหรอก”
ชมพูหน้าเสียพูดอะไรไม่ออก ส่วนเอกราชแอบยิ้มร้ายสะใจ
ในบรรยากาศแสนโรแมนติกริมทะเล เตชินและปริมลดานั่งดินเนอร์อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ตรงระเบียงด้านนอก ปริมลดาอยู่ในชุดเสื้อผ้าพลิ้ว เปลือยช่วงคอและไหล่ ดูเซ็กซี่มาก หล่อนคอยตักอาหารเอาใจเตชินอยู่ตลอดเวลา จนเตชินต้องห้ามไว้
“พอแล้วครับ ตักแต่ของดีๆ ให้ผมทานแบบนี้ ใครมาเห็นเค้าจะหาว่าผมตะกละนะครับ”
“ใครจะมาเห็นละคะ ทั้งโรงแรมก็มีแค่เราสองคน”
“อ้าว แล้วพวกทีมงานถ่ายแฟชั่นเมื่อตอนกลางวันละครับ”
“กลับไปกันหมดแล้วละคะ เหลือแค่ลดาคนเดียว เพราะฉะนั้นพี่เตชินต้องทานให้เต็มที่”
นางเอกแรดเงียบหยิบไวน์เทใส่แก้วเตชิน และของตัวเอง แล้วยกแก้วชวนเตชินดื่ม แต่เตชินไม่ยอมดื่มแล้ว
“ถ้าดื่มมากกว่านี้ ผมคงเมาแน่”
“เมาก็ดีสิคะ”
เตชินมองหน้าปริมลดางงๆ
ปริมลดาหัวเราะคิก “ก็จะได้หลับสบายไงคะ เวลาลดานอนไม่หลับ ลดาก็ชอบใช้วิธีนี้ล่ะค่ะ”
จากนั้นปริมลดาก็ยิ้มยั่วๆนิดๆ ก่อนจะยกแก้วไวน์ดื่ม เตชินดื่มตาม ขณะดื่มสายตาปริมลดาเหลือบมองไปที่มุมหนึ่ง เห็นเจ๊นก และ ซกเล็ก แอบยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ ปริมลดายิ้มพอใจ ลุกขึ้นขอตัว
“ลดาขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
ปริมลดาลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไป แต่อยู่ดีๆ หล่อนก็เอามือจับที่ต้นคอแล้วร้องขึ้นอย่างตกใจ
“โอ๊ย อะไรกัดที่ต้นคอลดาก็ไม่รู้ เจ็บจังเลยค่ะ พี่เตชิน”
“ยุงรึเปล่าครับ” หนุ่มแสนดีบอก
“พี่เตชินมาช่วยดูให้ลดาหน่อยสิคะ รู้สึกปวดตุ๊บๆ ไม่รู้แมลงมีพิษรึเปล่า”
เตชินตกใจ รีบลุกไปช่วยดูที่ต้นคอปริมลดาให้ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่รู้จะมีแผลเป็นรึเปล่า”
เตชินพยายามมองหา “ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่มีรอยเลย”
“พี่เตชินดูดีๆ นะคะ ตรงนี้ค่ะ ตรงนี้”
เตชินพยายามมองหารอยกัดที่คอปริมลดาด้วยความเป็นห่วง ปริมลดาเหลือบมองเห็น เจ๊นก กับ ซกเล็ก กำลังถ่ายรูปด้วยมือถือ เลยยิ่งก้มหน้าไปซุกเหมือนกำลังนัวเนียกับเตชิน โดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว ไม่เท่านั้นแม่ยอดนางเอกยังหันหน้าให้สองจอมเผือกถ่ายรูปได้ง่าย และ คมชัดทุกมุมอีกด้วย
เตชินก้มดูจนแน่ใจไม่เห็นแผลจริงๆ
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ แต่ถ้าคุณลดายังปวด เดี๋ยวผมไปขอยาจากห้องพยาบาลให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ รู้สึกดีขึ้นแล้ว ขอบคุณพี่เตชินนะคะที่เป็นห่วง งั้นลดาไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
เตชินกลับไปนั่งทานอาหารต่อ ปริมลดาเดินออกไป หันกลับมายิ้มอย่างสะใจ
มุมหนึ่ง ไม่ไกลจากห้องอาหารนัก เจ๊นก กะ ซกเล็ก หยุดอยู่ตรงนั้น กำลังดูภาพที่เพิ่งแอบถ่ายมาได้อย่างสะใจ
“ต๊าย ปกติแม่นางเอกเบอร์หนึ่งนางจะกินใครนางเก็บเงียบ แล้วทำไมวันนี้ถึงได้เปิดเผยโฉ่งฉางไม่อายสายตาประชาชีบ้าง”
“ประชาชีที่ไหนมีล่ะเจ๊ มีแต่สัมพะเวสีอย่างพวกเราเท่านั้นแหละ ถึงได้แอบถ่ายช็อตเด็ดเสม็ดยังอายแบบนี้”
“ถ่ายได้แต่ไม่กล้าปล่อยนะ” เจ๊นกว่า
“ทำไมล่ะเจ๊นก คนอื่นเจ๊ยังปล่อยแฉ จนเลิกกับผัวไปกี่คนแล้ว”
“แต่ คนนี้ไม่กล้าจริงๆ นางแรง กลัวนางดักตบ”
เจ๊นกพูดจบก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นปริมลดาที่แอบฟังอยู่นานแล้ว เดินออกมามองทั้งสองหน้าตายิ้มๆ
“ฉันไม่ดักตบหน้าซิลิโคนเกรดซีของเจ๊ให้เจ็บมือหรอก ถึงแม้เจ๊จะชอบเต้าข่าวเล่าเรื่องเท็จ หากินบนความทุกข์คนอื่น แต่รูปฉันกับคนนี้” ปริมลดายิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันอนุญาต ลงให้เต็มที่เลย”
ปริมลดาเดินเริดๆ เชิดๆ จากไป
เจ๊นก และ ซกเล็กหันมามองหน้ากันเหวอๆ ไม่อยากเชื่อ สุดท้ายตีมือกันร้องออกมาอย่างสะใจว่า
“แซบ!”
ดึกสงัด ที่บ้านของเชิงชาย ซึ่งเป็นบ้านแบบทาวน์โฮมขนาดพอเหมาะสำหรับชายหนุ่มที่อยู่คนเดียว ได้ยินเสียงก๊อกๆ ดังเป็นจังหวะ
เชิงชายกำลังเคาะโต๊ะตามจังหวะเพลงที่ได้ยินจากหูฟัง พลางก้มหน้าเขียนเนื้อเพลงในสมุด เขียนไปแล้วก็ขีดฆ่าไป แล้วก็กลับมาเพลงฟังใหม่ จากนั้นก็ลองแต่งใหม่ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ
พลันเสียงข้อความไลน์จากโทรศัพท์ ก็ดังขึ้นมาแหวกความเงียบ เชิงชายสะดุ้งโหยงตกใจ รีบหยิบมือถือขึ้นมาอ่านแบบเซ็งๆ
“ดึกป่านนี้ยังทวงอีก แต่งเพลงให้ฮิต ไม่ใช่จะแต่งกันง่ายๆ นะเว้ย”
บ่นพลางโยนโทรศัพท์ลงข้างตัวอย่างหงุดหงิด แล้วก้มลงคิดงานต่อ ครู่เดียวเสียงไลน์ก็ดังแหวกความเงียบขึ้นมาอีก แต่คราวนี้เป็นข้อความจากตุลเทพ
“เตรียมพระให้พร้อม พรุ่งนี้จะไปรับ ไปบ้านนั้นด้วยกัน ห้ามเบี้ยว”
เชิงชายอ่านยิ่งหงุดหงิด
“ใครจะไปก็ไปเถอะ ฉันไม่ไปเด็ดขาด”
เขาเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมาใส่จะทำงานต่อ ทันทีที่เปิดเพลง ก็มีเสียงปรี๊ดดังออกมาจากหูฟัง ทำเอายิ่งโมโหหนัก
เขาละมือจากงานตรงหน้า หันหยิบแก้วน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะมาดื่ม แต่ยังไม่ทันกลืนก็ต้องสำลักน้ำพรวดออกมา เพราะว่าในน้ำมีดินปนอยู่เต็มแก้วไปหมด เมื่อมองผ่านแก้วน้ำใส ก็เห็นเหมือนใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้า
เชิงชายค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจากแก้ว พลันก็เห็นผีริลณีถลึงตาน่ากลัว ยืนจ้องด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาตะโกนใส่
“พวกแกอยากรู้มากนักใช่มั้ย ว่าไอ้ศาลานั่นยังอยู่มั้ย”
พริบตานั้น ร่างของเชิงชายนอนอยู่ใต้ดินในหลุมฝังศพของริลณี เขาตกใจ เพราะไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า พยายามดิ้นรนออกจากหลุม แต่ว่าขยับเขยื้อนไม่ได้
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
“อยู่ใต้ดินแบบนี้ร้องไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก ฮ่าๆ”
เชิงชายหันไปมองตามเสียง ก็เห็นศพริลณี ที่เหลือแต่โครงกระดูกนอนอยู่ข้างๆ เขาตกใจแทบเสียสติ แหกปากร้องลั่น พยายามดิ้นรน ตะกุยตะกาย เท่าที่จะทำได้ จะหนีจากหลุมนั้นให้ได้
แต่ยิ่งตะกุย ดินก็เริ่มปิดทับข้างบนออก และกลับยิ่งโถมทับปิดร่างเขา ยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งเร่งเวลาถูกฝัง เชิงชายร้องโวยวาย ตะเกียกตะกาย ดิ้นรนหาทางรอดของชีวิต ไม่ต่างกับริลณีเมื่อคราวถูกฝังทั้งเป็น
มือเชิงชายทั้งสองพุ่งทะลุผ่านขึ้นมาจากผิวหน้าดิน แล้วตะเกียกตะกายดินออก จนสามารถพาร่างของตัวเองขึ้นมาจากหลุมที่ถูกฝังทั้งเป็นได้
เชิงชายตื่นกลัวจนตัวสั่น พอมองไปรอบๆ ก็พบว่าเขาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของบ้านร้างหลังมหาวิทยาลัย แต่พอเงยหน้าขึ้นไปแล้วไม่เห็นศาลาอยู่ตรงนี้ ก็ช็อกตาค้าง ก่อนจะเห็นผีริลณีหน้าเละ ชะโงกหน้ามองสวนลงมา
“อยากรู้มากนักไม่ใช่เหรอ ฉันพาแกมาเห็นกับตาแล้วไง”
เชิงชายร้องโวยวายด้วยความกลัว พยายามจะลุกวิ่งหนี แต่กลับก้าวขาไม่ออก ผีริลณีเดินเข้ามายืนตรงหน้า จ้องหน้าอาฆาตแค้น
“ยังไงก็หนีไม่พ้น เพราะกูจะตามเอาคืนพวกมึงทุกคน”
เชิงชายสะดุ้งเฮือก เพราะเสียงปรี๊ดที่ดังจากหูฟัง เขารีบถอดหูฟังออก ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วพบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องทำงานในบ้าน ยืนอยู่ตรงที่เดิม ท่าเดิม เหมือนไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เขาถอนหายใจโล่งอก
แต่พอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำตรงหน้ากำลังจะยกดื่ม กลับต้องชะงัก เมื่อเห็นทั้งมือทั้งแขนเต็มไปด้วยเศษดิน ยิ่งเมื่อก้มมองตัวเอง ก็พบว่าทั้งเนื้อ ทั้งตัวเลอะดินไปหมด เขาเริ่มตื่นตระหนก เหมือนสิ่งที่เกิดก่อนหน้าจะไม่ใช่แค่หลอนซะแล้ว
เชิงชายค่อยๆ ขยับออกมาจากโต๊ะ มองไปที่พื้น เห็นรอยเท้าเปื้อนดินของริลณีเต็มพื้นห้องไปหมด เขาร้องออกมาด้วยความกลัวสุดขีด
ลูกสาวครบกำหนดออกจากโรงพยาบาลวันนี้ พิสมัยกำลังเก็บของเข้ากระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน ในขณะที่ชมพูกำลังยืนดูการ์ดแต่งงานอยู่กับพิชัยอยู่ ด้วยหน้าตาเรียบ นิ่ง
“ชมพูจะแจกการ์ดแต่งงานทันไหมคะ? เจ้าบ่าวก็ไม่มีเวลา เจ้าสาวก็ป่วยตลอดแบบนี้”
“พวกเราไปแจกบางส่วนก่อนดีมั้ยลูก” พิสมัยหันมาถามลูก
“ไม่ค่ะ ชมพูจะรอไปแจกพร้อมพี่เตชิน”
พิชัยกับพิสมัยมองหน้ากันอย่างแปลกใจ จนชมพูหันมาเห็น ก็รีบทำเหมือนไม่มีอะไร
“คือหมายถึงให้ชมพูกับพี่เตชินไปแจกผู้ใหญ่คนสำคัญๆ ก่อน แล้วที่เหลือเราค่อยไปกันเองก็ได้ค่ะ”
พิชัยมองลูกสาวยิ้มๆ แต่ลึกๆ แล้วแอบเครียดแทน
“ทำเหมือนกลัวพี่เตชินเค้าจะเบี้ยวไม่แต่งกับลูกอย่างนั้นล่ะ”
ชมพูหน้าจ๋อย พิสมัยแอบเห็นพอดี
พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ชมพูรีบกดรับ
“ชมพู รีบเปิดทีวีเดี๋ยวนี้” เสียงหงส์หยกร้อนรน
“มีอะไรเหรอหงส์หยก”
“ฉันไม่อยากเล่า เธอเปิดดูเองก็แล้วกัน”
ชมพูรีบเดินไปเปิดทีวีในห้อง พ่อกับแม่หันมองหน้ากันแปลกใจ
ภาพในจอทีวี เป็นภาพแอบถ่ายระหว่างเตชินกับปริมลดา เหมือนทั้งสองกำลังจูบกันบ้าง ซุกไซ้ซอกคอกันบ้าง และภาพนั้นฉายวนซ้ำไปซ้ำมา พร้อมเสียงนักข่าวบรรยาย
“ภาพรูปหญิงสาวและชายหนุ่มถูกแอบถ่ายขณะกอดจูบคลอเคลียกันที่โรงแรมหรูหลุดว่อนเน็ตให้สาวกไซเบอร์คาดเดาว่า สาวสวยที่มีหน้าคล้ายนางเอกชื่อดังคือใคร ล่าสุดปริมลดาออกมายอมรับแล้วว่าเป็นตัวเองจริง ส่วนชายหนุ่มในภาพ คาดว่าน่าจะเป็นเตชิน ว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังจะมีงานวิวาห์ที่ฮือฮามากที่สุดในปีนี้”
ชมพูยืนช็อก ก่อนจะเป็นลมหมดสติไปทันที
ฟากเตชินก็นั่งมองภาพของตัวเองจากแท็บเล็ตแบบอึ้งๆ ก่อนจะเงยหน้ามามองจิตรากับณรงค์ที่จ้องหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณพ่อคุณแม่คิดนะครับ”
“ถึงมันจะใช่ ก็ต้องไม่ใช่ เพราะแม่จะไม่มีวันเอายายดารานั่นมาเป็นสะใภ้แน่”
จิตราพูดเชิงออกคำสั่ง ณรงค์รีบหันมาถามย้ำกับลูกชาย
“แกกล้าพูดไหมว่าคนในรูปไม่ใช่แก”
“คนในรูปคือผม แต่ผมไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดแบบนั้น”
จิตราอดแขวะไม่ได้ “กอดรัดนัวเนียกันขนาดนั้น ยังจะบอกว่าไม่น่าเกลียดอีกนะ”
“แล้วเรื่องจริงมันเป็นยังไง” ณรงค์ถามต่อ
“ผมเจอปริมลดา ทานข้าวกัน แล้วก็แยกย้าย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
“แล้วรูปพวกนั้นออกมาได้ยังไง”
เตชินส่ายหน้าเครียดๆ “ผมไม่ทราบครับ จริงๆ โรงแรมยังไม่เปิด ไม่น่าจะมีใครเข้ามาในโรงแรมนั่นได้ด้วยซ้ำ แล้วจะมีคนถ่ายรูปออกไปได้ยังไง”
ณรงค์กับจิตราสะดุดใจนิดหนึ่ง ก่อนจะหันมองหน้ากัน
“เป็นไปได้มั้ยคะคุณ ว่ามีคนอยากให้มีรูปหลุดออกมา”
“แล้วใครได้ผลประโยชน์สุดล่ะ”
จิตรานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ได้ทั้งข่าว ได้ทั้งกระแส มีงานอีเวนท์เข้า แม่นั่นอยากได้แกตัวสั่น แค่เห็นมันควงแขนแกเดินทั่วโรงพยาบาล ฉันก็รู้แล้ว”
“ลูกต้องรีบไปอธิบายทุกอย่างให้หนูชมพูฟังเข้าใจ เดี๋ยวนี้ ถ้าทุกอย่างเป็นแผนอย่างที่แม่พูดจริง ลูกไม่มีวันรู้หรอกว่าทุกนาทีที่ผ่านไป อีกฝ่ายเค้าจะวางแผนหรือทำอะไรบ้าง รีบไปจัดการให้เรื่องนี้จบเร็วที่สุด”
ณรงค์สั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด จนเตชินหน้าเครียด
รถตู้บ้านชมพู ค่อยๆ แล่นเข้ามาจอดในบ้าน สมหมายรีบลงมาเปิดประตู พิชัยกับพิสมัยช่วยกันประคองลูกสาวลงมา พร้อมกับที่หมูแดงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา ตามมาด้วยปริมลดาที่ทำหน้าเหมือนสำนึกผิด
“ลดามีเรื่องอยากจะอธิบายชมพู เกี่ยวกับข่าวนั้นค่ะ”
ทุกคนหันไปมองชมพู ที่มองปริมลดาหน้านิ่ง ไร้อารมณ์ เดาไม่ออกว่าคิดอะไร
ปริมลดาเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้น ราวกับรู้สึกผิดเสียเต็มประดา
“ลดาผิดเอง ถ้าลดาห้ามความรู้สึก ห้ามคุณเตชิน มันก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้น”
เมื่อเห็นชมพูยังนั่งนิ่ง ปริมลดายิ่งเพิ่มดีกรีการร้องไห้มากขึ้นไป พร้อมเอื้อมมือสั่นๆ ไปจับอีกฝ่าย
“ลดาขอโทษ ลดาเป็นเพื่อนที่เลวมาก ลดาไม่มีอะไรแก้ตัวจริงๆ”
ชมพูยังคงนิ่ง ไม่พูดอะไร จนปริมลดาเป็นฝ่ายอึดอัด
“ชมพูจะโกรธ จะด่า จะยังไงก็ได้ อย่านิ่งแบบนี้เลย ขอร้อง”
ชมพูถอนหายใจ ก่อนพูด “เรื่องของเธอกับพี่เตชินเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ่อ ก็สักพักนึงแล้ว คุณเตชินเค้ามาบอกว่า เอ่อ..เค้าไม่อยากแต่งงาน แต่เค้าไม่กล้าขัดผู้ใหญ่ ลดาก็เลยให้คำปรึกษา ปรึกษากันไป ปรึกษากันมา เราสองคนก็เลย...”
ชมพูทนฟังต่อไม่ได้ “พอเถอะ ไม่ต้องเล่าแล้ว”
“แต่ลดาไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นจริงๆนะ ลดาอยากให้เธอกับคุณเตชินแต่งงานกันอย่างมีความสุข ลดายินดีไปถ้าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
ปริมลดาแสร้งปั้นหน้าเศร้า พร้อมกับทิ้งไพ่ใบสุดท้าย
“ถึงเธอไปก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร เพราะถ้าเป็นอย่างที่เธอเล่า คนที่พี่เตชินอยากให้ไปก็คือฉัน”
ปริมลดาทำเป็นตกใจ
“ชมพู ไม่ได้นะ เธอจะยกเลิกการแต่งงานไม่ได้นะ”
“แล้วใครว่าฉันจะยกเลิกการแต่งงานล่ะ ฉันต้องคุยกับพี่เตชินให้รู้เรื่อง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และจะแก้ปัญหาต่อไปยังไง”
ชมพูหันมองหน้าปริมลดาด้วยสายตาที่เด็ดขาด เอาจริง ในขณะที่ปริมลดาถึงกับหน้าเจื่อนไปเลย
เมื่อแผนไม่เป็นไปอย่างที่คาดคิด ปริมลดาเดินออกมาขึ้นรถด้วยความโมโห พลางบ่นพึมพำ
“อยู่ๆ นังชมพูหน้าจืดก็ลุกขึ้นมาสู้ซะงั้น โฮ้ย ทำไมมันผิดแผนแบบนี้”
จากนั้นก็รีบขับออกไปด้วยความโมโห หมูหวานกับสมหมายที่แอบมองอยู่ เดินออกมามองตามอย่างสมเพช
“เล่นบทนางเอกอยู่ตั้งนาน แต่สุดท้ายนางร้ายชัดๆ” หมูหวานเปรยอย่างขัดใจ
“สงสารคุณชมพู ไม่คิดว่าเพื่อนจะมาตีท้ายครัวแบบนี้ หวังว่าคุณชมพูจะหนักแน่นนะ”
“มันก็คงต้องขึ้นอยู่กับคุณเตชินแล้วล่ะ ว่าจะมาแก้ต่างยังไง”
2 พ่อลูกหันมองหน้ากัน ต่างคนต่างกังวลใจ
พอมาถึงบ้านชมพู เตชินยกมือไหว้ขอโทษพิชัยและพิสมัย
“ผมขอโทษครับคุณอา แต่เรื่องที่เกิดขึ้นผมอธิบายได้”
พิชัยพยายามระงับอารมณ์โกรธ
“คุณพ่อ คุณแม่ของเราโทรมาเคลียร์กับอาแล้ว แต่บอกตามตรง อาเชื่อสิ่งที่เห็นมากกว่าสิ่งที่แก้ตัว แล้วชมพูก็เป็นคนแบบนั้น”
พิสมัยรีบพูดต่อ
“เพราะฉะนั้นเก็บเรื่องที่อยากจะอธิบายกับอา 2 คน ไปบอกน้องเถอะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ชมพูว่าเขาจะเอายังไง”
เตชินเงยหน้าขึ้นไปมองที่ชั้นบน พลางแอบถอนหายใจเบาๆ ด้วยความรู้สึกกังวล
อ่านต่อหน้า 4
นางชฎา ตอนที่ 7 (ต่อ)
ชมพูยืนเหม่อมองออกไปนอกระเบียงเหมือนครุ่นคิด สักครู่หนึ่งเตชินก็เดินเข้ามา ครั้นเธอหันหน้ากลับมามอง เขาก็สู้ตา พร้อมเผชิญความจริง
“เรื่องรูปนั้น มันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“แล้วเรื่องที่พี่เตชินไม่ได้อยากแต่งงานกับชมพู เป็นเรื่องเข้าใจผิดด้วยรึเปล่าคะ ลดาบอกว่า พี่เตชินไม่อยากแต่งงาน เลยไปปรึกษาเค้า ถึงได้เกิดเรื่อง เพราะถ้าภาพนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด งั้นเรื่องที่พี่เตชินไม่อยากแต่งงานก็คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดด้วย”
เตชินพูดไม่ออก ชมพูเริ่มน้ำตาคลอ
“แสดงว่ามันเป็นความจริงใช่มั้ย ที่ปริมลดาบอกว่าพี่ไปปรึกษาเรื่องที่ไม่อยากแต่งงานเป็นเรื่องจริงใช่มั้ยคะ”
“มันไม่ใช่ความจริง”
ชมพูสวนขึ้นมาทันที
“เรื่องไหนคะ? เรื่องที่พี่ไปปรึกษาปริมลดา หรือเรื่องที่พี่ไม่อยากแต่งงาน”
“พี่ไม่เคยไปปรึกษาอะไรกับเค้า”
“แล้วอีกเรื่องละคะ ไม่จริงด้วยรึเปล่า ถึงเวลาที่เราต้องพูดความจริงกันแล้วว่าพี่เตชินคิดยังไงกับการแต่งงานของเรา”
เตชินอึกอัก “คือ พี่ยังไม่พร้อม”
“แล้วก่อนหน้านี้ ทำไมพี่ถึงไม่บอกชมพูตรงๆ ล่ะคะ”
“เรา 2 คนมีสิทธิ์พูดในสิ่งที่ต้องการด้วยเหรอ ในเมื่อเรื่องทุกอย่างผู้ใหญ่เป็นคนจัดการ”
“พูดได้สิคะ ถ้าพี่ยังไม่พร้อมแต่ง เราเลื่อนออกไปก่อนก็ได้”
“แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่การเลื่อนแต่งงาน”
ชมพูชะงักอึ้ง เหมือนเพิ่งตระหนักความจริง
“หรือว่าพี่เตชิน ไม่ได้แค่อยากเลื่อน แต่พี่ไม่อยากแต่งงานกับชมพูใช่มั้ยคะ”
ชมพูถามทั้งน้ำตา “พี่เตชินไม่เคยรักชมพูเลยใช่มั้ยคะ?”
เขาจ้องหน้าเธอด้วยความรู้สึกผิด แต่แววตาไม่ปฎิเสธเลยสักนิด ชมพูน้ำตาไหลพราก
“นี่ใช่มั้ยคะ เหตุผลว่าทำไมที่ผ่านมา พี่เตชินถึงไม่เคยสนใจงานแต่งงานสักนิด เพราะพี่เตชินไม่เคยรักชมพู แต่พี่ยอมแต่งงานเพราะพี่ต้องการรับผิดชอบเรื่องทุกอย่างที่มันเคยเกิดขึ้น งั้นชมพูก็ขอบอกพี่ตรงนี้เลยนะคะ ว่าไม่มีอะไรที่พี่ต้องรับผิดชอบอีกแล้ว เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว “
ชมพูพูดถึงตรงนี้ก็เริ่มปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที เตชินรีบเข้าไปประคอง
“น้องชมพูใจเย็นๆ อย่าเครียด เดี๋ยวจะไม่สบายอีก”
ชมพูค่อยๆ ปลดมือเขาออก
“ต่อไปนี้ชมพูจะดูแลตัวเอง เรื่องของเราก็จบกันแค่นี้ จะไม่มีงานแต่งงานที่พี่ไม่ต้องการอีกแล้ว”
เธอน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ ก่อนจะวิ่งออกไป เตชินอยากจะวิ่งตาม แต่ขากลับแข็งก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งมองชมพูที่เดินหายไปด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเตชินขึ้นมาบนระเบียงบ้านเรือนไทย ก็เห็นริลณีนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ และส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น เหมือนเป็นกำลังใจให้เขาในยามที่กำลังรู้สึกแย่อย่างที่สุด
เขารีบเดินเข้าไปสวมกอดเธอไว้แน่น แล้วซบหน้าลงกับตัก ริลณีโอบหลังกอดตอบพร้อมกับลูบผม
เขาเบาๆ เป็นการปลอบโยน
“รูปพวกนั้น...”
เตชินกำลังจะอธิบาย แต่ริลณีชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“รินรู้จักคุณดี สิ่งที่คุณทำเพื่อริน มีความหมายมากกว่ารูปไร้สาระพวกนั้น รินไม่มีทางเชื่อ และ รินก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าปริมลดาจะทำแบบนั้น”
ริลณีแอบจิกตาร้าย
“ใครที่ทำให้คุณเจ็บ มันต้องได้รับผลกรรมที่ทำไว้แน่นอน”
เตชินลุกขึ้นจ้องหน้าริลณี ก่อนจะตัดสินใจพูด
“ชมพูเค้าขอยกเลิกการแต่งงานกับผมแล้ว ผมรู้สึกแย่ที่ทำให้ชมพูต้องเสียใจแบบนั้น ผมน่าจะพูดความจริง แล้วปฏิเสธการแต่งงานตั้งแต่แรก”
ริลณีพยายามปลอบประโลมใจ
“ที่คุณไม่ทำแบบนั้น เพราะคุณเป็นคนดีไงคะเตชิน แต่ต่อไปนี้ คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว เรื่องอุบัติเหตุในครั้งนั้นที่ทำให้ชมพูความจำเสื่อม มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อาจเป็นเพราะเขาทำตัวเองก็ได้”
ริลณีตาวาวด้วยความโกรธ
“ขอบคุณที่เป็นกำลังให้ผม”
เธอดึงเขาเข้ามาสวมกอด “รินสัญญาว่าจะอยู่ข้างคุณจนกว่าคุณจะรู้สึกดี”
เตชินนอนลงไปบนตักริลณี แล้วหลับไปด้วยความอ่อนล้า เหนื่อยหน่าย เธอลูบผม และมองเขาอย่างรักใคร่
“ใครทำให้คุณเจ็บ มันจะต้องเจ็บยิ่งกว่าคุณเป็นร้อยเท่า รินจะเอาคืนให้คุณเอง”
ริลณียิ้มอย่างอาฆาตมาดร้าย
ปริมลดา เอกราช และประวิทย์ นั่งฉลองความสำเร็จกัน หลังรู้ข่าวว่าชมพูประกาศยกเลิกการแต่งงานกับเตชิน
ประวิทย์มองท่าทีกระดี๊กระด๊าของปริมลดาแล้ว ก็อดแขวะไม่ได้
“คนอย่างปริมลดา อยากได้ผู้ชายคนไหนมีพลาดด้วยเหรอ”
“มันก็มี อย่างนายไง ไม่เห็นจะเคยสนใจฉันเลย ถ้าไม่สนิทกันมาตั้งแต่เรียน ฉันคงคิดว่านายเป็นเกย์แน่ๆ”
ประวิทย์หน้าตึง มองปริมลดานิ่งๆ โกรธแต่ไม่แสดงออก เอกราชยิ้มร้าย
“แผนนี้มันต้องสำเร็จสิ เพราะฉันลงทุนไปตั้งเยอะ ไหนจะไล่ไอ้สถาปนิกคนเก่าออก จ้างเธอมาถ่ายแบบ แล้วก็ต้องไปจ้าง ใครนะ”
ประวิทย์รีบบอก “เจ๊นก ซกเล็ก”
“ใช่ 2 คนนั้นโก่งค่าตัวน่าดู กว่าจะยอมมาทำงาน”
“แต่มันก็คุ้มไม่ใช่เหรอ กะเทยขี้เม้าท์ 2 คน ก็ทำให้ความรักที่แสนจะมั่นคงของชมพูกับเตชินพังลงได้ โดยที่พวกเราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย”
ปริมลดาและเอกราชหัวเราะสะใจ ประวิทย์รีบพูดแทรกขึ้นมาขัดคอ
“แต่เค้า 2 คนเลิกกัน ก็ไม่ใช่ทุกอย่างจะสำเร็จ มันก็แค่เริ่มต้น”
“นายไม่ต้องห่วงหรอกประวิทย์ คนอย่างเอกราช ถ้าคิดจะลุยแล้ว ไม่มีคำว่า แพ้ ฉันต้องได้แต่งงานกับชมพูแน่ ตัดชุดรอได้เลย ฮ่าๆ”
เอกราชหัวเราะชอบใจ ก่อนจะชนแก้วกับปริมลดา แล้วดื่มอย่างมีความสุข ประวิทย์ได้แต่แอบถอนใจ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เจ็บปวดอยู่ลึกๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
เวลาเดียวกันนั้น สร้อยถือถาดอาหารที่มีจาน 2 ชุด พร้อมโถกับข้าว ที่ไม่ได้พร่องลงเลยมาวางที่โต๊ะในห้องครัว พร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“เก็บตัวเงียบอยู่กับเพื่อนตั้งแต่กลับมาเลยค่ะ ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน”
จิตราที่อยู่ทางปลายสาย พอได้ยินสร้อยพูดคำว่า “เพื่อน” ก็หูผึ่ง อย่างอยากรู้ขึ้นมาทันที
“ที่แกเคยบอกว่า มีเพื่อนเตชินมาอยู่ที่บ้านนั้นจริงๆ เหรอ”
“จริงสิคะ ตอนแรกสร้อยก็คิดว่าเป็นคุณชมพู แต่ว่าไม่ใช่ เพราะเพื่อนคนนี้อยู่ในบ้านนี้ก่อนที่สร้อยจะมาอยู่อีกค่ะ”
จิตรานึกถึงปริมลดา “หรือว่าจะเป็นแม่ดารานั่น”
“ไม่ใช่ล้านเปอร์เซ็นต์ สร้อยไม่เคยเห็นปริมลดามาที่บ้านนี้แม้แต่ครั้งเดียว”
“แล้วเพื่อนคนนั้นเป็นใคร ผู้ชายหรือผู้หญิง”
สร้อยยิ้มแหยๆ “สร้อยไม่รู้ค่ะ”
“แกอยู่บ้านเดียวกับเค้าภาษาอะไร ไม่รู้ว่าเค้าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
“ก็คุณเตชินไม่ให้สร้อยขึ้นไปวุ่นวายข้างบน นอกจากเวลาอาหาร แล้วเพื่อนคนนั้นก็ไม่เคยออกมาเดินนอกห้อง แถมไม่เคยออกไปข้างนอก กลางคืนก็นอนปิดไฟมืด จนสร้อยไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นอยู่หรือไม่อยู่น่ะสิคะ”
สร้อยพูดพลางมองรอบๆ บ้าน ที่มืดวังเวงดูน่ากลัว แม้เป็นเวลากลางวัน พูดไปก็สยองไป จู่ๆ กระทะที่แขวนบนผนังก็ตกลงพื้น เสียงดังโครมคราม สร้อยกรีดร้องด้วยความตกใจ จนจิตราต้องเอาโทรศัพท์ออกจากหู
“นังสร้อย แกหยุดโวยวาย แล้วก็ไปสืบมาให้ได้ว่าคนที่อยู่กับเตชินคือใคร เพราะฉันมั่นใจว่าคนที่อยู่ในบ้านเตชินนั่น มีส่วนทำให้เตชินไม่ได้แต่งงานกับหนูชมพู”
เตชินและริลณีช่วยกันเก็บสูทแต่งงานใส่ถุงคืนร้าน เขาหันมองเธอด้วยความรู้สึกผิด จนริลณีหันมามองอย่างรู้ทัน
“เป็นคนคิดมากจัง”
“รินรู้เหรอครับว่าผมคิดอะไร”
ริลณียิ้มบางๆ “ถึงงานแต่งจะยกเลิกแล้ว แต่คุณกำลังรู้สึกผิดที่ไม่สามารถพารินไปพบคุณพ่อ คุณแม่ ของคุณได้”
เตชินถึงกับอึ้ง ด้วยไม่คิดว่าริลณีจะหยั่งรู้ความคิดของเขาขนาดนี้
“แล้วรินโกรธผมรึเปล่า”
“คุณพารินไปพบท่านตอนนี้ เรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่ แล้วอีกอย่างพวกท่านก็ยังหวังให้คุณกับชมพูแต่งงานกันอยู่”
เตชินส่ายหน้าช้าๆ
“ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ และผมจะไม่ยอมให้พวกท่านบังคับผมอีก รินรอผมอีกนิดนะ”
“ค่ะ แค่รินได้อยู่กับคุณที่นี่แบบนี้ ก็ดีที่สุดแล้ว อย่างอื่นรินไม่ต้องการ”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ผมจะแต่งงานกับริน”
ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วยิ้มมีความสุข โดยไม่ทันสังเกตว่าสร้อยแอบย่องขึ้นมาบนเรือนเงียบๆ พลาง พยายามสอดส่องสายตาแอบมอง
“นั่นมันเสียงหัวเราะผู้หญิงนี่ เจอตัวการรักร้าวเข้าให้แล้ว คราวนี้แหละคุณหญิงต้องจ่ายค่ารางวัลนำจับให้สร้อยไปตั้งตัวได้แน่”
สร้อยรีบเดินไปตามเสียง เงี่ยหูแอบฟังอย่างสอดรู้สอดเห็น
“ผมบอกรินแล้วไง ว่าถุงนั้นมันไม่ใช่ถุงร้าน ใส่ไปก็ขาด เห็นมั้ย รินนี่ดื้อจริงๆ”
สร้อยชะงัก ตื่นเต้น
“รินงั้นเหรอ ไหนๆ รินคือใคร ขอเห็นหน้าหน่อยเถอะ”
สร้อยพยายามพยายามจะแอบดู แต่กลับมีตู้บังอยู่ ทำให้มองไม่เห็น ครั้นจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปความสูงก็ไม่อำนวย กระทั่งเมื่อหันไปมองเห็นเก้าอี้อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มแป้น
เตชินกับริลณีนั่งหยอกล้อหัวเราะขำกันอยู่ แต่อยู่ๆ ริลณีก็ชะงัก จ้องตาเขม็ง ไปยังทิศทางไปทางที่สร้อยอยู่
“คุณเอาของนี่เข้าไปในห้องก่อนนะคะ เดี๋ยวรินตามเข้าไป”
เตชินทำหน้างง “รินจะทำอะไรครับ”
“จับแมวขโมยค่ะ เห็นมันมาด้อมๆ มองๆ แถวนี้อยู่นานแล้ว”
พูดจบริลณีก็เดินออกไป เตชินมองตามอย่างแปลกใจ
ฝ่ายสร้อยหยิบเก้าอี้มาวางปั๊บ ก็รีบปีนขึ้นไปปั๊บ พร้อมกับหยิบมือถือเตรียมถ่าย แต่เมื่อมองไปข้างหน้า ก็
ต้องชะงักตาค้าง เมื่อภาพบ้านแสนสวยกลายเป็นบ้านร้างเก่าซอมซ่อ
ครั้นหันหลังมองลงมาจากเก้าอี้ ก็ยิ่งช็อกกว่าครั้งแรก เมื่อบรรยากาศรอบๆ ตัว กลายเป็นบ้านร้าง แถมยังมืด วังเวง ดูน่ากลัว จนสาวใช้นักสืบเริ่มขาสั่น
“เอาแล้วไงนังสร้อย อยู่ดีไม่ว่าดี มาเจอดีกลางวันแสกๆ แล้วอีสร้อยจะทำยังไงเนี่ย คุณพระคุณเจ้า คุ้มครองลูกด้วย ลูกผิดไปแล้ว ลูกจะไม่สาระแนอีกแล้ว”
พอกวาดตามองไปรอบๆ เรือนไทยร้าง ก็เห็นผีริลณีนั่งจ้องมาจากบนขื่อ สร้อยหลับตาปี๋ แล้วรีบเดินหนีทั้งที่หลับตาอยู่ แต่กลับสะดุดบางอย่างจนล้มหน้าคว่ำ พอลืมตามอง ก็เห็นเท้าของใครบางคนขวางอยู่ ครั้นไล่สายตาขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าเป็นผีริลณียืนจ้องอยู่ ตาแทบถลน
สร้อยรีบทะลึ่งพรวดขึ้นมาลุกไหว้ปลกๆ
“กลัวแล้ว สร้อยสัญญาว่าจะไม่สอดรู้สอดเห็นอีกเลย อย่าหลอกสร้อยเลย”
ผีริลณีค่อยๆ ยิ้ม ปากค่อยๆ ฉีกออกๆ เลือดไหลนองออกจากปาก ตาค่อยๆ ถลนออกจากเบ้า
สร้อยรีบลุกขึ้นโกยแนบ ชนข้าวของล้มลุกคลุกคลาน พยายามตะเกียกตะกายหาทางออกไปจากบ้านเรือนไทย
โดยมีเสียงผีริลณีหัวเราะไล่ตามหลังไปอย่างสะใจ
เตชินยืนมองออกไปนอนหน้าต่าง แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสร้อยวิ่งล้มลุกคลุกคลาน แหกปากตะโกนโวยวายออกจากบ้านไป เห็นริลณีเดินยิ้มๆ เข้ามา เตชินจึงหันมาถามด้วยความแปลกใจ
“ทำไมอยู่ดีๆ สร้อยถึงวิ่งโวยวายออกไปจากบ้านแบบนั้น เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย”
“อาการแบบนี้แถวบ้านริน เค้าเรียกว่า เจอดี ค่ะ”
เตชินมองตามสร้อยด้วยความงุนงงและเป็นห่วง ตรงข้ามกับริลณีที่ยิ้มสยองอย่างสะใจ
สร้อยในสภาพหัวฟู เนื้อตัวสกปรกมอมแมม กอดขาจิตราร้องไห้โฮอย่างอย่างคนขาดสติ
“ไม่เอาแล้ว สร้อยไม่กลับไปแล้ว สร้อยกลัว ผีหลอกกลางวันแสกๆ แบบนี้ สร้อยรับไม่ได้”
“โลกนี้มีผีที่ไหน แกอย่าบ้าไปหน่อยเลย”
สร้อยตัวสั่นวันงก “มีจริงๆนะคะ คุณหญิง สร้อยเห็นมากับตา ที่บ้านนั้นน่ะค่ะ”
“ที่จริงแกไปสืบอะไรไม่ได้ กลัวฉันจะด่า เลยสร้างเรื่องผีมากลบเกลื่อนใช่มั้ย” จิตราจ้องหน้าคาดคั้น
“ใครว่าสร้อยสืบไม่ได้คะ เพราะสืบได้เรื่อง สร้อยถึงเจอดี”
จิตราตาวาว “อย่าบอกนะว่าแกรู้แล้วว่า เพื่อนคนที่มาอยู่กับเตชินคือใคร”
สร้อยรีบแบมือขอเงิน “ค่าปลอบขวัญค่ะ”
จิตรารีบหยิบเงินเป็นรางวัลให้สร้อย
“ว่าไง ตกลงคนที่มาอยู่กับเตชินเป็นใคร”
“สร้อยไม่เห็นหรอกนะคะว่าคนนั้นเป็นใคร แต่สร้อยได้ยินเสียงหัวเราะเป็นผู้หญิง 2 คนหัวเราะหยอกล้ออย่างกับเป็นแฟนกัน แล้วสร้อยก็ได้ยินคุณเตชิน เรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นว่า... ชื่อ ริน ค่ะ”
จิตราชะงัก อึ้ง หวั่นใจ “ ริน? คงไม่ใช่นังริลณีหรอกนะ”
“รินอะไรสร้อยไม่รู้หรอกค่ะ สร้อยได้ยินมาแค่นี้”
“งั้นแกต้องกลับไปรู้ให้ได้ว่า นังรินอะไรนั่น ใช่ริลณีรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ สร้อยไม่กลับไปแล้ว หัวเด็ดตีนขาดยังไง สร้อยก็ไม่มีวันกลับไปอยู่บ้านนั้นคนเดียวเด็ดขาด”
สร้อยส่ายหัวดิก พร้อมประกาศกร้าวและแกล้งร้องไห้น้ำตาไหลพราก จิตราเครียด เพราะไม่รู้จะทำยังไงให้สร้อยกลับไปดี
เศษดินกองอยู่บนพานที่วางอยู่กลางห้อง ไม่ไกลกัน หมอผีเจ๋งกำลังหลับตาบริกรรมคาถาเสียงงึมงำๆ
ตุลเทพ หงส์หยก และ เชิงชาย ที่นั่งอยู่ในพิธี มองไปรอบๆ ห้อง เห็นเหมือนมีเงาดำๆ ของผีพรายแว่บไปแว่บมา
ตุลเทพรีบบอก
“ไม่ต้องตกใจ หมอผีเจ๋งท่านเลี้ยงผีพรายเอาไว้ เค้าก็อยู่กับเราในห้องนี้แหละ”
หงส์หยกกับเชิงชายที่กลัวอยู่แล้ว รู้สึกสยองยิ่งกว่าเดิม รีบขยับมานั่งชิดกันเข้าไปอีก
ผีพรายลอยวนๆ อยู่เหนือเศษดินสักพัก แล้วจึงเข้าไปกระซิบหมอผีเจ๋ง แล้วค่อยๆ หายไปจากห้อง พร้อมๆกับหมอผีเจ๋งที่ลืมตาขึ้นเขม็ง หัวเราะดังกึกก้อง
“ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าผีจากเศษดินที่พวกเจ้าเอามาเนี่ย มันต้องการอะไร”
หงส์หยกปากคอสั่น “มันต้องการอะไรคะอาจารย์”
หมอผีเจ๋งจ้องหน้าทั้ง 3 คน แล้วเน้นเสียงน่ากลัว
“แก้แค้น ดวงจิตของมันเต็มไปด้วยความแค้นยิ่งกว่าไฟบรรลัยกัลป์ ทำให้มันมีพลังยิ่งกว่าผีตัว
ไหนๆ ที่ข้าเคยเจอ แต่น่าเสียดายที่พลังของมันยังไม่กล้าแข็งพอที่จะฆ่าใครได้”
“อาจารย์หมายความว่ายังไง มีพลัง แต่ฆ่าคนไม่ได้”
ตุลเทพเอ่ยถาม พร้อมกับหันมองหงส์หยกและเชิงชาย ที่ต่างก็แปลกใจไม่แพ้กัน
“ก็หมายความว่าดวงจิตของผีตัวนี้ ยึดติดอยู่กับความรัก อำนาจและพลังทั้งหมดจะกลับมาก็ต่อเมื่อ มันได้กลับไปอยู่ใกล้ๆ กับคนที่รัก และได้ของที่รักที่สุดกลับคืนมา”
เชิงชายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ของที่รักที่สุด?”
“ใช่ ของรักจากคนรักที่ผีตนนั้นสวมก่อนตาย และถ้าผีตนนั้นได้ของนั้นกลับคืนมาเมื่อไหร่ จะไม่มีใครต้านทานอิทธิฤทธิ์ได้แน่”
“แล้วของนั่นคืออะไรเหรอครับ อาจารย์” ตุลเทพถามอย่างอยากรู้
“แล้วข้าจะไปรู้เหรอ ไม่มีใครรู้นอกจากผีตนนั้น กับคนที่เอาของนั้นไปหรอก”
หมอผีเจ๋งจ้องหน้า เชิงชาย ตุลเทพ ก่อนจะมาหยุดตรงหน้าหงส์หยก ที่ถึงกับสะดุ้งตกใจ
“แล้วพวกผมควรจะทำยังไงครับ ถึงจะไม่ให้มันมารังควานอีก” เชิงชายถามขึ้นมาอีก
“มี 2 ทาง คือ ทำลายดวงวิญญาณนั้นซะ หรือไม่ก็อย่าให้ผีนั่นหาสิ่งของนั้นเจอ เพราะตราบใดที่มันหาของสิ่งนั้นไม่พบ ต่อให้มันได้กลับมาอยู่กับคนรัก แต่พลังของมันก็จะกลับมาไม่ครบ ฆ่าใครไม่ได้อยู่ดี”
“แล้วถ้ามันหาของนั่นได้ละคะ” หงส์หยกถามบ้าง
“คนที่ทำให้มันแค้น ก็เตรียมตัวตายสถานเดียว”
ตุลเทพ หงส์หยก เชิงชาย หันมองหน้ากันด้วยความเสียวสยอง
พอทั้ง 3 คนออกมาจากตำหนักอาจารย์เจ๋ง เชิงชายก็โวยวายขึ้นมาทันที
“แล้วทำไมนายถึงไม่ให้หมอผีเจ๋งทำลายดวงวิญญาณอีผีบ้านั่นเลยวะ”
ตุลเทพรีบบอก
“ก็เค้าบอกว่าเค้ายังทำไม่ได้ ถ้าพวกเราทำตัวร้อนรนอยากทำลายนังผีนั่นมาก เกิดไอ้หมอผีมันรู้ว่า พวกเราฆ่าจะยิ่งไปกันใหญ่ แค่นังผีนั่นไม่มีของอะไรนั่น ก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว”
“แต่เราไม่รู้ว่าของนั่นคืออะไร แล้วเธอรู้รึเปล่าว่าคืออะไร”
เชิงชายหันไปถามหงส์หยกที่กำลังครุ่นคิดอย่างกังวลใจ
“มะ...มะ...ไม่รู้สิ”
ตุลเทพครุ่นคิด “ของที่ยายนั่นใส่ก่อนตาย แล้วหายไป หรือว่าจะเป็นพวกข้าวของที่พวกเราเผาทำลายทิ้งไปแล้ว”
“ก็เป็นไปได้นะ เพราะตอนนั้นเราก็เผาของทุกอย่าง ใช่มั้ย”
หงส์หยกสะดุ้งตกใจ “ชะ...ชะ...ใช่”
ตุลเทพรีบสรุป
“ถ้าพวกเราเผาไปหมดแล้ว นังผีนั่นก็ไม่มีทางหาของรักเจอ ก็แสดงว่ามันจะทำอะไรพวกเราไม่ได้น่ะสิ”
“เอ้า งั้นเราก็ไม่ต้องกลัวแล้วสิ”
ตุลเทพและเชิงชายเอามือตีกัน แล้วหัวเราะอย่างสะใจ และโล่งอก
ตรงข้ามกับหงส์หยก ที่กลับทำหน้าเครียดครุ่นคิดไปถึงอะไรบางอย่าง
กลับถึงบ้าน หงส์หยกเปิดประตูห้องนอนเข้ามาอย่างร้อนใจ แล้วรีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า พยายามรื้อในตู้ เพื่อหาอะไรบางอย่างที่อยู่ส่วนที่ลึกที่สุดของตู้ จนเจอก้อนเสื้อที่ห่ออะไรบางอย่างไว้ จากนั้นก็รีบหยิบห่อนั้นออกมา ด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
ในห่อเสื้อมีแค่นาฬิกาของปริมลดา แต่แหวนของริลณีที่แอบขโมยมากลับหายไป หงส์หยกผงะตกใจ เมื่อมองไปในตู้เสื้อผ้าก็เห็นมีร่องรอยเหมือนตู้เสื้อผ้าถูกค้น จึงรีบเอาเสื้อห่อนาฬิกาซุกเก็บไว้เหมือนเดิม แล้วรีบเดินออกไปจากห้อง ลงมาโวยวายกับป๊าที่ยืนขายหมูอยู่ที่ด้านล่างตึกแถว
“ป๊าไปยุ่งกับตู้เสื้อผ้าหนูอีกแล้วใช่มั้ย หนูบอกแล้วไงว่าห้ามยุ่ง”
“อั๊วแค่เอาเสื้อผ้าไปเก็บ เห็นตู้รกก็เลยจัดให้ แค่นี้จะต้องโวยวายทำไม”
หงส์หยกมองอย่างเอาเรื่องและรู้ทัน
“ไม่ใช่มารื้อของหนูจะเอาไปขาย ใช้หนี้บอลเหรอ”
ป๊าสะดุ้งตกใจ รีบปฏิเสธปากคอสั่น “หนี้บอลอะไรที่ไหน อั๊วไม่เค้ย”
หงส์หยกไม่เชื่อ รีบแบมือทวงของ
“เอาของของหนูคืนมา ของที่ป๊าหยิบไปจากตู้เสื้อผ้าน่ะ เอาคืนมา”
“ก็อั๊วบอกแล้วว่าอั๊วไม่ได้หยิบ”
“ไม่ได้หยิบแล้วจะหายไปได้ไง”
“แล้วอะไรของลื้อล่ะที่หาย”
ป๊าย้อนถาม หงส์หยกชะงักไม่กล้าพูด
“ว่าไงล่ะ อะไรของลื้อที่หาย อยู่ๆมาปรักปรำอั๊วปาวๆ แบบเนี้ย อั๊วเป็นพ่อลื้อนะ”
หงส์หยกอึกอัก “หวะ แหวนเพชร”
ป๊าเสียงดังขึ้นมาทันที
“แหวนเพชร หน้าอย่างลื้อเนี่ยนะมีแหวนเพชร ลื้อไปขโมยใครมาใช่มั้ย”
หงส์หยกยิ่งตกใจ “หนูไม่ได้ขโมย”
“ถ้าไม่ได้ขโมยลื้อจะมีของอย่างนั้นได้ยังไง อั๊วไม่เชื่อ ถ้าลื้อไม่ได้ขโมย แล้วมาคิดว่าอั๊วขโมยได้ไง อั๊วยังไม่เคยรู้เลยว่าลื้อมีแหวนอะไรนั่น”
“ถ้าป๊าไม่ได้ขโมยแล้วจะหายไปได้ไง ก็หนูเก็บไว้ในตู้”
“เจ้าของเค้าอาจจะมาทวงคืนมั้ง”
หงส์หยกพูดต่อไม่ถูก เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ก่อนจะมองป๊าอย่างเอาเรื่อง
“อย่าให้รู้ว่าป๊าเอาของหนูไปนะ”
พูดจบก็สะบัดหน้าเดินเข้าบ้านไป ป๊าชะเง้อหน้ามองตามแล้วก็แอบยิ้มออกมาอย่างสะใจ ก่อนจะแอบเปิดลิ้นชักที่แผงหมู หยิบห่อกระดาษเก่าๆ ออกมาเปิดออก เห็นแหวนอยู่ในนั้น ที่แหวนมีสายสิญจน์เล็กๆ ผูกไว้
“อั๊วไม่รู้ว่าลื้อเอามาจากไหน แต่ขอปะป๊าไปขายใช้หนี้ก่อนนะ”
ไม่นานต่อมา ป๊าของหงส์หยกยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ตู้สาธารณะ ท่าทางลับๆ ล่อๆ
“ไม่เบี้ยว คราวนี้อั๊วมีจ่ายแน่ เอาน่าอั๊วมีจ่ายของอั๊วละกัน แต่ยังไงคืนนี้ลื้อจัดให้อั๊ว 2 คู่นะ รับรองคืนนี้อั๊วได้ถอนทุนแน่”
พูดจบก็หัวเราะอย่างสะใจก่อนจะวางโทรศัพท์ แล้วล้วงกระเป๋าหยิบกระดาษที่ห่อแหวนออกมา จากนั้นก็แกะกระดาษเก่าๆ ที่ห่อออก แล้วโยนกระดาษทิ้งอย่างไม่สนใจ โดยไม่รู้ว่ากระดาษที่ถูกโยนทิ้ง ไม่ใช่กระดาษเก่าๆ ธรรมดาๆ แต่เป็นกระดาษลงยันต์
ริลณีนั่งอ่านหนังสือพิงหลังเตชินที่กำลังวาดรูปในสมุดวาดรูป ก่อนที่ภาพความทรงจำบางอย่างจะแว่บเข้ามาในความทรงจำ
ในความทรงจำนั้น เธอเห็นหงส์หยกถอดแหวนจากนิ้วมือของเธอ พลันเธอก็สะดุ้งวาบขึ้นมา จนเตชินที่นั่งพิงหลังรู้สึก
“เป็นอะไรครับริน”
“อยู่ๆ รินก็คิดถึงของบางอย่างที่สำคัญมาก ที่หายไปน่ะค่ะ”
“ถ้าเราไปคิดถึงของรักที่หายไป ก็มีแต่จะเสียดายนะครับ อย่าไปคิดถึงเลย”
เตชินลูบหัวริลณีแทนการปลอบใจ ก่อนจะหันไปวาดรูปต่อ โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของริลณี ที่ฉายแววน่ากลัวออกมา ย้ำคำพูดด้วยเสียงอันเยือกเย็น
“รินจะเอาของๆ รินคืน”
ฟากหงส์หยกยังพยายามรื้อค้นหาแหวนทุกซอกทุกมุมในห้อง แต่ก็ไม่เจอ
“ของรักอะไรนั่น คงไม่ใช่แหวนหรอก แต่ถ้าใช่ ถ้าเราบอกพวกนั้นว่าแอบขโมยแหวนมา มีหวังพวกนั้น
ดูถูก แถมเลิกคบเราแน่ โอ๊ย เครียด”
พลันก็ได้ยินเสียงปึงปังดังขึ้นมา หงส์หยกสะดุ้งตกใจรีบหันไปหาต้นตอของเสียง ก่อนจะพบว่าเสียงนั้นดังมาจากตู้เสื้อผ้า เหมือนมีใครเคาะจากข้างใน แล้วเสียงเคาะก็หยุด
หงส์หยกรู้สึกใจคอไม่ดี พยายามตั้งสติ ตัดสินใจค่อยๆ เปิดตู้เสื้อผ้าดู แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ นอกจากห่อเสื้อที่เคยห่อแหวนและนาฬิกาวางเอาไว้เด่นเป็นสง่า จนสังเกตเห็นได้ก่อน
“เอา แหวน กู คืน มา”
เสียงผีริลณีตวาดลั่นด้วยความโมโห หงส์หยกหันไปตามเสียง ก็เห็นผีริลณีหน้าตาน่ากลัวนั่งอยู่บนตู้เสื้อผ้า ถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะกระโจนใส่ทันที
หงส์หยกกรีดร้องลั่น ก่อนจะสะดุ้งเฮือกจากที่นอน เหงื่อแตกเต็มหน้า รีบหันไปมองตู้เสื้อผ้า ค่อยๆ ไล่สายตามองขึ้นไปบนหลังตู้ แต่บนตู้ว่างเปล่าไม่มีอะไร
พลันเสียงปึงปังก็ดังระรัวออกมาจากข้างในตู้เสื้อผ้า หงส์หยกไม่ทนแล้ว รีบคว้าหมอน ผ้าห่ม วิ่งออกไปจากห้องนอนทันที
ทางด้านจิตราและพิสมัยนั่งจิบชายามบ่ายคุยกันหน้าเครียดอยู่ในโรงแรมหรู
“บอกตรงๆนะคะ ว่าดิฉันก็ยังไม่หมดหวังเรื่องที่อยากจะให้หนูชมพูมาเป็นสะใภ้”
จิตราเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน พิสมัยถอนหายใจเฮือก
“ชมพูใจร้อนเกินไปค่ะ กับเรื่องแค่เล็กน้อยแค่นั้นถึงกับยกเลิกการแต่งงาน”
“อย่าไปโทษหนูเลยค่ะ คิดเสียว่ามารผจญมันเยอะ ใครเจอแบบนี้ก็ตั้งรับไม่ทันเป็นธรรมดา นี่ละค่ะ เหตุผลที่ดิฉันอยากให้เตชินกับหนูชมพูแต่งงานกันเร็วๆ จะ ได้พ้นมารผจญพวกนี้สักที”
“แล้วทีนี้พวกเราจะทำยังไงต่อคะ สำหรับดิฉันไม่มีปัญหาถ้า 2 คนนั้นจะกลับมาคบกันอีก แต่คุณพิชัยน่ะสิคะ โกรธมาก”
คุณหญิงจิตรากลัดกลุ้มไม่แพ้กัน
“ไว้ให้เด็ก 2 คน กลับมาคุยกันเหมือนเดิมเมื่อไหร่ ดิฉันจะส่งท่านนายพลไปคุยกับคุณพิชัยเอง แต่ตอนนี้ เราต้องช่วยหาทางให้ 2 คนนั้นกลับมาคืนดีกันค่ะ”
“ดิฉันว่าไม่ยากนะคะ เด็ก 2 คนมีความผูกพันกันมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วชมพูก็รักเตชินมากด้วย จะเรียกว่าเป็นรักเดียวของแกก็ได้”
จิตราหน้าเครียดขึ้นมาทันที “แต่มันยังมีปัญหาอื่นด้วยสิคะ”
“ปัญหาอะไรคะคุณพี่”
“แมวขโมยค่ะ แมวขโมยที่จะจ้องจับเตชิน ผู้หญิงสมัยนี้หน้าไม่อาย ผัวใคร คู่หมั้นใคร ก็ไม่เคยสน แล้วก็ไม่ได้มีแค่แม่ดารานั่นคนเดียวนะคะ ยังมีอีกเป็นพรวน เพราะฉะนั้นในระหว่างที่เค้า 2 คนยังหมางใจกัน เราต้องหาไม้กันหมาไปกันแม่สาวๆ มือไวพวกนั้นไว้ก่อน ต้องเป็นไม้ชั้นดี ชนิดตีแตกได้ทุกประเภท ทั้งหมา แมว ชะนี รวมถึง แรดด้วย”
จิตราพูดอย่างมั่นใจ
สมหมายและหมูหวานพากันมายืนอยู่หน้าประตูบ้านเรือนไทย สองพ่อลูกมองเข้าไปในบ้านด้วยความตื่นเต้น
“พ่อ พวกเราคิดผิดคิดถูกเนี่ย ที่มาอยู่บ้านหลังนี้”
“เอ้า ก็แกอาสาจะมาเป็นไม้กันหมาตามคำสั่งคุณผู้หญิงเองไม่ใช่เหรอ”
“ไม้กันหมาน่ะได้ แต่ใครจะช่วยกันผีให้ฉันล่ะ ไม่มีใครบอกก่อนนี่ว่าบ้านนี้ จะน่ากลัวแบบนี้อ่ะ ฉันว่าเรากลับดีกว่า บางทีคุณเตชินเค้าอาจจะไม่อยากให้เราอยู่ก็ได้”
หมูหวานพูดพลางคว้ากระเป๋าจะเดินหนี แต่สมหมายจับไว้
“ก็คุณผู้หญิงบอกแล้วนี่ว่าคุณเตชินโอเคแล้ว”
“แต่ว่าหนูไม่โอเคนี่ กลับตอนนี้ยังทันนะพ่อ”
“ไม่ทันแล้วโน่น”
สมหมายชี้ไปที่ประตูบ้าน ที่ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ทั้งคู่ต่างผงะ มองอย่างหวาดหวั่น ยิ่งเห็นเงาเหมือนใครบางคนยืนอยู่ตรงประตูนั้นกำลังจ้องเขม็งมา ก็ยิ่งตัวสั่นงันงก
“วิ่งมั้ยพ่อ”
2 พ่อลูกจะตั้งท่าวิ่ง แต่คนที่ยืนเหมือนเงาและจ้องเขม็ง ก็คือสร้อย ที่รีบกระโดดมาขวางไว้
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งหนี ไม่ใช่ผี คนสวยจ้า”
ทั้งคู่ชะงักกึก พอหันกลับมามองเห็นเป็นสร้อย สมหมายก็ยิ้มกริ่ม ต่างกับหมูหวานที่เซ็งหนักกว่าเดิม
สร้อยรีบเดินเข้ามาต้อนรับ
“ไม่คิดว่าคุณผู้หญิงจะส่งคนรู้ใจขนาดนี้ มาช่วยปราบชะนีร้าย อย่างนี้สร้อยค่อยมีกำลังใจหน่อย”
พูดพลางส่งตาหวานปิ๊งๆ ให้สมหมาย
“เข้าไปดูในบ้านกันค่ะ เดี๋ยวสร้อยจะพาชมบ้านเอง”
หมูหวานมองอย่างไม่พอใจ
“สงสัยงานนี้ไม่ใช่กันกิ๊กคุณเตชินอย่างเดียว สงสัยต้องกันกิ๊กพ่อด้วย”
จิตรายืนคุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียด พร้อมกับหันมองซ้ายมองขวาไม่อยากให้ใครมาได้ยิน
“ฉันมีงานให้ช่วยหน่อย ฉันอยากให้นายสืบว่า ผู้หญิงที่ชื่อริลณี รักถิ่น ตอนนี้เป็นยังไง อยู่ที่ไหน คบกับใคร ทำงานทำการอะไร เอาเรื่องทุกอย่างของมันมาให้ละเอียดที่สุด แล้วก็เร็วที่สุดด้วย”
นักสืบที่อยู่ปลายสาย รับคำ ก่อนจะวางโทรศัพท์ไป
“ ริลณี ถ้าเธอกลับมายุ่งกับลูกชายฉันจริง ฉันไม่เอาเธอไว้แน่”
คุณหญิงจิตรากำมือด้วยความโกรธแค้น โดยไม่สำเหนียกว่ากำลังพูดถึงอะไร?
อ่านต่อตอนที่ 8