นางชฎา ตอนที่ 5
สิ้นเสียงกรีดร้องร่ำไห้อันโหยหวน เต็มไปด้วยด้วยความเจ็บปวดนั้น ท้องฟ้าและเมฆก็มืดครึ้ม พายุเริ่มพัดโหมแรงโดยไม่มีสาเหตุ เหล่าฝูงนกที่เกาะอยู่แถวนั้นพากันแตกรัง บินหนีออกจากบริเวณนั้น
ผืนแผ่นดินที่เตชินและชมพูยืนอยู่เหมือนมีแรงสั่นสะเทือนจากข้างใต้ ทั้งคู่หันมองไปรอบๆ อย่างหวาดหวั่นตกใจ
คนงานที่กำลังกินอาหารอยู่ด้วยกัน เงยหน้ามองบรรยากาศรอบๆ ตัวที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปโดยกระทันหันด้วยความแปลกใจ แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร อยู่ดีๆ คนงานคนหนึ่งก็ล้มลงไปกับพื้นดิน ก่อนจะดิ้นพล่านอย่างทุรนทุราย ราวว่าจะขาดใจ
ชัชที่นั่งกินอยู่ด้วยถึงกับทำจานหลุดร่วงลงพื้น ก่อนจะรีบวิ่งหน้าตาตื่นไปบอกเตชิน
“แย่แล้วไอ้เต เกิดเรื่องแล้วโว้ย”
เตชิน ชัช และ ชมพูพากันวิ่งเข้ามา แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นคนงานตัวใหญ่กำยำ 5 คน กำลังช่วยจับคนงานที่นอนดิ้นทุรนทุรายราวกับจะขาดใจตาย สายตาถลึงมองมองคนรอบตัวอย่างเกรี้ยวกราด
ก่อนที่จะสะบัดตัวชายทั้ง 5 กระเด็นไปคนละทิศทาง
“พวกมึงไม่มีสิทธิแตะต้องตัวกู ใครเข้ามากูจะฆ่าทุกคน”
ขาดคำก็แผดเสียงหัวเราะด้วยเสียงแหลมเล็กราวกับผู้หญิง คนงานคนอื่นที่เตรียมตัวจะเข้าไปช่วยถึงกับถอยหลังกรูด
เตชินที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ ทำท่าจะเดินเข้าไป ชมพูรีบห้ามเอาไว้ แต่ก็รั้งไว้ไม่ได้ เขาเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าคนงาน ที่ถลึงตามองทุกคนตาขวาง
“ทำใจดีๆ แล้วสงบสติอารมณ์ คนที่นี่ไม่มีใครทำอะไรนายหรอก”
คนงานหันกลับมามองเตชิน แล้วก็ส่งยิ้มหวานให้ ก่อนจะลุกขึ้นจีบมือขึ้นเริ่มร่ายรำอย่าง
อ่อนช้อยราวกับผู้หญิงอย่างมีความสุข
“ฉันรำสวยมั้ย”
เตชินพยายามถอยหนี “ใครก็ได้ช่วยมาจับเร็ว”
คนงานอื่นๆ พยายามจะเข้าไปจับ แต่พอคนงานคนนั้นหันกลับมามอง ก็กลับกลายเป็นหน้าผีริลณีที่จ้องมองอยู่ จนไม่มีใครกล้าเข้าไป
จากนั้นคนงานคนนั้นก็หันไปทางชมพูที่ยืนกลัวตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ ชัช ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหา
“ไม่-ได้-เจอ-กัน-นาน -เลย - นะ- ชมพู”
พูดเสร็จก็แสยะยิ้มร้าย ก่อนจะยกมือขึ้นบีบคอชมพู ทุกคนพากันตกใจแทบช็อก เตชินรีบวิ่งเข้ามาพยายามจับมือออกมา
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า ปล่อยสิ รีบมาช่วยกันสิ จะยืนนิ่งอยู่ทำไม”
เตชินพยายามจะดึงตัวคนงานออกจากชมพูแต่ก็ทำไม่ได้ ฝ่ายที่โดนบีบคอพยายามดิ้น ตาเหลือก เริ่มหายใจไม่ออก หัวหน้าคนงานวิ่งเข้าไปหาชัชหน้าตาตื่น
“แบบนี้มันโดนผีเข้าชัดๆ”
ชัชกลืนน้ำลายเอื้อกด้วยความกลัว ก่อนจะตัดสินใจถอดสร้อยพระออก แล้วเดินอ้อมไปด้านหลังก่อนจะตัดสินใจเอาสร้อยคอคล้องไปที่คอคนงานคนนั้น
ทันทีที่สร้อยพระสัมผัสร่าง คนงานคนนั้น ก็ปล่อยมือจากคอชมพู ก่อนจะกรีดร้องดิ้นทุรนทุรายอย่างปวดแสบปวดร้อน และล้มลงไปกองหมดสติ
พลันบรรยากาศที่มืดมิด และลมที่พัดกรรโชกแรง ก็หยุดชะงัก กลับกลายเป็นท้องฟ้าที่ดูปกติแจ่มใส เหมือนไม่เคยมีเมฆดำมาก่อน
เตชินรีบเข้าไปกอดชมพูไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่ชัช หัวหน้าคนงาน และคนอื่นๆ รีบเข้าไปมุงดูคนงานที่แน่นิ่งไม่ได้สติ
ชมพูกลับมาถึงบ้านก็โผเข้ากอดพิสมัยแน่น ด้วยท่าทางขวัญเสีย ในขณะที่เตชินกำลังยกมือไหว้ขอโทษพิชัยด้วยความรู้สึกผิด ทุกคนลงความเห็นว่าคนงานคนนั้นโดนผีเข้า มีเพียงเขาที่ไม่เห็นด้วย
“ผมไม่เชื่อเรื่องพวกนั้นหรอกครับ ทุกอย่างต้องมีเหตุผล”
พิสมัยรีบท้วงขึ้นมาทันที
“แต่ของพวกนี้ก็ว่าไม่ได้นะเตชิน บ้านเรือนไทยโบราณแบบนั้น อย่างน้อยก็น่าจะมีเจ้าของหรือใครที่อยู่มาก่อนเรา ที่เค้ามาแบบนี้อาจจะมาเตือนมาบอกอะไรก็ได้”
พิชัยรีบแนะนำให้ทำพิธีไหว้เจ้าที่เจ้าทางให้เรียบร้อย อย่างน้อยก็จะได้สบายใจ
“ถ้าไม่ทำเพื่อตัวเอง ก็ถือว่าทำเพื่อชมพูก็แล้วกันนะ ถือว่าอา 2 คนขอร้อง”
เตชินหันมองหน้าชมพู ก่อนจะพยักหน้ารับคำ
ทางด้านน้าไหวกับกล้า ก็พาตุลเทพเข้ามาที่เรือนของหมอผีเจ๋ง ซึ่งเป็นบ้านไม้กลางสวน บรรยากาศน่ากลัว และวังเวง
ภายในบ้านเต็มไปด้วยหัวกะโหลกต่างๆ รวมทั้งเบี้ย ตะกรด หนุมาน เขี้ยวเสือ กุมารทอง ที่วางเรียงอยู่ในห้อง ดูขรึมขลัง
สิ้นเสียงบริกรรมคาถา หมอผีเจ๋งก็ลืมตาขึ้น และจ้องหน้าตุลเทพตาเขม็ง
“ที่เอ็งมาหาข้า เพราะทำมาค้าไม่ขึ้น เป็นเพราะผลกรรมจากการฆ่าสัตว์ใหญ่ ทำอะไรก็จะไม่เจริญ มีแต่ปัญหาอุปสรรค ติดขัดในทุกๆเรื่อง และที่สำคัญผู้หญิงจะเป็นตัวซวยของเอ็ง ถ้าอยากจะให้ช่วย ก็ต้องเริ่มจากเชื่อ ถ้าเชื่อว่าสิ่งนี้ช่วยเอ็งได้จริงมันก็จะช่วยเอ็งได้”
หมอผีเจ๋งยื่นกระปุกเล็กๆ บางอย่างให้ ตุลเทพรับมามองอย่างงงๆ
“สีผึ้งพราย ทาที่หลังหู ก่อนไปเจรจากู้เงินที่ธนาคาร แล้วเอ็งจะได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ”
ตุลเทพทำหน้างง
“ผมยังไม่ได้บอกอาจารย์เลยว่า ผมจะไปเจรจาของกู้เงินเพิ่มกับธนาคารพรุ่งนี้”
หมอผีเจ๋งยิ้มพร้อมกับมองผีพรายที่อยู่ในห้อง ก่อนจะหัวเราะลั่นอย่างมั่นใจ
ชมพูจ้องมองเงาตัวเองในกระจกพลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านร้างหลังนั้น
“ทำไมคนงานคนนั้นถึงรู้จักชื่อเรา”
คิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเจ็บแผลขึ้นมา พอหงายมือดู ก็เห็นมีเลือดออกมาจากแผล เธอตกใจรีบลุกขึ้นจากหน้ากระจกจะไปทำแผล แต่มือกลับพลาดไปถูกกล่องใส่ของกระจุกกระจิกที่หน้ากระจกร่วงลงพื้น เธอรีบก้มเก็บของข้างใน ก่อนจะเห็น “เข็มกลัดนางรำ” ตกปะปนกับข้าวของในนั้นด้วย
ชมพูหยิบเข็มกลัดนางรำขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ
เมื่อชมพูนำเข็มกลัดนางรำไปให้เพื่อนๆ ดู หงส์หยกก็รีบพูดตัดบทว่า
“ก็คงจะเป็นของๆ เธอนั่นแหล่ะ ตอนเรียนเธอชอบ”
ชมพูพยักหน้า ก่อนจะรีบเก็บเข็มกลัดเข้ากระเป๋า แล้วหันมาคุยกับเพื่อนๆ อย่างตั้งใจ
“ฉันกับพี่เตชินซื้อบ้านเก่ามาปรับปรุงทำเรือนหอ แต่ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ที่นั่น คุณพ่อคุณแม่แนะนำให้ตั้งไหว้ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะหาใครทำพิธีที่ถูกต้องให้”
ทุกคนท้วงว่าทำไมถึงต้องซื้อบ้านเก่า ชมพูรีบบอกว่าเตชินชอบ เธอจึงไม่อยากขัด พร้อมกับเปิดรูปบ้านหลังนั้นจากแท็บเล็ตให้เพื่อนดู
หงส์หยก ประวิทย์ และเชิงชาย ไล่มองภาพบ้านหลังนั้นทีละภาพอย่างคุ้นตา จนมาถึงภาพศาลาที่มีศพริลณีฝังข้างใต้ ทั้งสามเริ่มหน้าซีด ก่อนจะมองหน้ากัน
หงส์หยกหันขวับถามชมพู
“ชมพู อย่าบอกนะว่าบ้านที่เธอซื้อเนี่ย อยู่หลังมหาวิทยาลัย”
“ใช่ บ้านหลังนั้นแหละ พวกเธอเคยเห็นด้วยเหรอ”
ทั้ง 3 คนอึ้ง ช็อก จนพูดอะไรไม่ออกทีเดียว
หลังจากได้ “ของดี” จากหมอผีเจ๋ง กิจการของตุลเทพก็ดีวันดีคืนขึ้นมาทันตาเห็น จนเอกราช และเพื่อนๆ มองอย่างแปลกใจ
“มีข่าวลือว่ามีสาวใหญ่ใจดี ยอมเซ็นเช็ค 8 หลักให้นายงั้นเหรอ”
เอกราชพูดกระเซ้าขึ้นมา ตุลเทพยิ้มกว้างแทนการตอบรับ ประวิทย์กับเชิงชายมองไปรอบๆ บึง เห็นมีวัยรุ่นหนุ่มสาวมาใช้บริการกันมากมาย ลูกค้าสาวๆ หันมายิ้มส่งจูบให้ตุลเทพแบบโปรยเสน่ห์เต็มที่ เขารีบพูดอย่างภูมิใจว่าเสน่ห์ของสาวๆ คือกำไรชีวิต
ปริมลดามองอย่างหมั่นไส้ “กำไรมากไป ระวังจะเจ๊งเหมือนคราวแรก“
“ไม่ต้องแช่งกันบ่อยๆหรอก แค่เจ๊งครั้งแรกก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว”
“ก็อย่าให้มีครั้งที่สองแล้วกัน”
ตุลเทพยิ้มอย่างมั่นใจ
“คราวนี้คงยาก เพราะฉันมีของดีช่วย”
พูดพลางหันไปมองเพื่อนๆ แล้วยิ้มเหมือนมีลับลมคมในอะไร ทุกคนมองอย่างสงสัย
จากนั้นตุลเทพก็พาเพื่อนๆ เข้ามาในห้องทำงาน ที่เต็มไปด้วยเครื่องรางของขลัง ทุกคนมองอย่างไม่คาดคิดว่าเขาจะนับถือเรื่องพรรค์นี้ด้วย
เชิงชายเดินเข้าไปสำรวจด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะทำท่าเหมือนจะหยิบของขลังมหาเสน่ห์ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แต่ประวิทย์รีบเข้าไปห้าม
“ไม่เข้าไปยุ่งกับของพวกนี้จะดีที่สุด นายรู้ใช่มั้ยจะบูชาของพวกนี้ต้องทำยังไง ถ้านายผิดศีล ผิดลูกผิดเมียคนอื่น ระวังของจะเข้าตัว”
ตุลเทพพยักหน้าหงึก
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว แล้วที่พวกนายมาหาฉันครบทุกคนแบบนี้ คงไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีหรือสนใจเรื่องไสยศาสตร์หรอกใช่มั้ย”
เอกราชมองหน้าตุลเทพด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มีคนซื้อบ้านที่เราฝังศพริลณี”
ตุลเทพทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “บ้านเน่าๆ ผีสิงแบบนั้นยังจะมีคนซื้ออีกเหรอวะ”
ประวิทย์รีบพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย บ้านนั้นถูกซื้อและกำลังถูกซ่อมบำรุง แล้วถ้าเกิดมีใครเจอไอ้ที่เราฝังไว้ พวกเราเสร็จแน่”
“ผ่านมาตั้ง 2 ปี ไม่มีหลักฐานเหลือจะเล่นงานพวกเราแล้ว”
แต่เชิงชายยังหวั่นใจ “แล้วถ้าไอ้ผีนั่นเกิดออกมาอาละวาดตามหลอกตามหลอนพวกเราล่ะ”
ตุลเทพรีบตัดบท
“อย่าเพ้อเจ้อน่า ป่านนี้วิญญาณนังนั่น คงตกนรกไปแล้วมั้ง”
ในเวลาเดียวกัน ผีริลณีราวกับรู้ตัวว่าถูกกล่าวขวัญถึง ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ดินลืมตาโพลงด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะมาปรากฏตัวบนหลุมใต้ศาลา ดวงตาแดงกล่ำเต็มไปด้วยความแค้น พลางพยายามจะเคลื่อนย้ายตัวจะไปหาพวกที่กำลังพูดถึงตัวเองอยู่ แต่พลังจากยันต์บนหลังคาก็มาขวางไว้ไม่ให้วิญญาณของเธอออกจากบ้านหลังนี้ ผีริลณีได้แต่เบิกตาโพลงด้วยความแค้นอย่างที่สุด
ขณะที่ปริมลดาพอรู้จากหงส์หยกว่าคนที่ซื้อบ้านหลังนั้นคือเตชิน ก็ถึงกับชะงักงัน ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกตัวมาคุยกันตามลำพัง
“ฉันว่ามันแปลกๆนะลดา อะไรมันจะบังเอิญให้คุณเตชินกับนังชมพูซื้อบ้านร้างหลังนั้น เธอจำเรื่องนั้นไม่ได้เหรอ เรื่องที่เธอเคยเห็นคุณเตชินกับนังริลณีเคยไปไหนด้วยกัน ถ้า 2 คนนั้นคบเป็นแฟนกันอย่างที่เธอสันนิษฐานจริง เป็นไปได้มั้ยว่านังผีนั่นอาจจะดลใจให้คุณเตชินไปซื้อบ้านนั้น”
หงส์หยกพูดอย่างกังวล ตรงข้ามกับปริมลดาที่มองเป็นเรื่องไร้สาระ
พราหมณ์กำลังทำพิธีอยู่ที่โต๊ะที่คลุมด้วยผ้าขาว บนโต๊ะมีเครื่องเซ่นไหว้และขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือนอยู่เต็มไปหมด
เตชิน ชมพู จิตรา ณรงค์ พิชัย พิสมัย และ ชัชยืนอยู่ด้านหลัง
ระหว่างพิธีกำลังดำเนินไป พลันก็เกิดลมแรงพัดขึ้นมา จนเครื่องเซ่นไหว้ล้มระเนระนาด กลิ้งไปมา ทุกคนหันมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ในขณะที่เตชินยืนนิ่ง
พราหมณ์ท่องสวดไปเรื่อยๆ ชัชมองไปรอบๆบ้าน ก่อนจะชะงัก เมื่อเห็นเหมือนผีริลณียืนอยู่ใต้ศาลาหน้าตาดูโกรธจัด แต่พอขยี้ตาและเพ่งมองอีกครั้ง ร่างนั้นก็หายไปแล้ว
“เดี๋ยวเจ้าของบ้าน เอาธูปไปปักไหว้นะครับ ตั้งใจอธิษฐานในสิ่งที่ล่วงเกินและขอให้เค้าปกปักรักษาคุ้มครอง”
พราหมณ์พูดพร้อมกับยื่นธูปให้เตชิน และชมพู
ที่ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากจุดตั้งโต๊ะ เตชินยกมือไหว้ โดยไม่ได้อธิษฐานอะไร ก่อนจะปักธูปบนดิน ชมพูที่เดินตามมา รีบยกมือขึ้นไหว้ตาม
“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และดวงวิญญาณที่อยู่ในที่นี้ ได้โปรดให้อภัยในสิ่งที่พวกเราล่วงเกิน และช่วยปกปักรักษาคุ้มครองให้พวกเราอยู่ที่นี่อย่างเป็นสุขด้วยเถิด”
ขณะชมพูกำลังจะปักธูปที่พื้น วิญญาณของริลณีปรากฏตัวขึ้นนั่งตรงหน้า จ้องมองด้วยความเคียดแค้นก่อนจะเอามือปัดธูปที่เธอกำลังจะปักจนกระเด็น
ชมพูตกใจขวัญเสีย รีบยืนขึ้น กำลังจะเดินออกไป แต่กลับถูกวิญญาณของริลณีเข้าสิงร่าง ก่อนจะพาร่างนั้นเดินไปที่ใต้ศาลาที่ใต้หลังคามียันต์ติดอยู่ เมื่อร่างของชมพูนั่งลง ก็โขกหัวกับเสาไม้อย่างแรงจนเลือดออก ทุกคนมองตามอย่างตกใจ พิสมัยถึงกับกรีดร้องลั่นก่อนจะเป็นลมหมดสติไป เตชิน ชัช และพิชัย รีบวิ่งไปหาชมพูที่ไม่ได้สติ กำลังเอาหัวตัวเองโขกเสาศาลาจนเลือดไหลนองเต็มหน้าและเปื้อนบนเสาไม้นั่น
เตชินรีบวิ่งเข้ามา ก่อนจะเอามือจับหัวชมพูไม่ไว้ไม่ยอมให้โขกอีก ชัชรีบหาสร้อยพระจะมาคล้องคอ แต่ฝ่ายแรกรีบบอกว่าชมพูไม่ได้โดนผีเข้า
พักใหญ่ชมพูก็เริ่มนิ่ง และสงบลง ก่อนจะหมดสติไปในอ้อมกอดของเตชิน ทั้งหมดรีบอุ้มร่างที่หมดสติไปโรงพยาบาล พร้อมๆ กับผีริลณีที่ยืนจ้องอย่างสะใจอยู่ด้านหลัง ก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจและโหยหวนที่สุด
ระหว่างที่ชมพูนอนพักรักษาตัวอยู่ พิสมัยกับพิชัยก็พูดด้วยความเข้าใจว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ชมพูลืมกินยาบ่อยๆ เพราะคงจะเหนื่อยเรื่องเตรียมตัวแต่งงาน
ชมพูที่นอนฟังอยู่ เห็นม่านถูกเปิดออก ก่อนที่ทุกคนจะเดินเข้ามาข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง เธอรีบพูดขอโทษ จิตรายิ้มรับอย่างเมตตา
“ไม่เป็นไรจ๊ะ เดี๋ยวพอหนูแต่งงานแล้ว เตชินเค้าจะดูแลหนูอย่างดีเลยจ๊ะ”
ชมพูจับมือเตชิน เขาพยักหน้าให้อย่างมั่นใจ ทุกคนต่างยิ้มอย่างมีความสุข
ขณะที่ชัชกลับพูดกับเตชินด้วยความเป็นห่วง แนะนำให้เขารีบขายบ้านหลังนั้นทันทีที่ปรับปรุงเรียบร้อย แต่เตชินกลับยืนยันความตั้งใจเดิม ว่าจะใช้บ้านหลังนั้นเป็นเรือนหอ เพราะเขาไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เกิดขึ้น เป็นผลจากเรื่องผีๆ สางๆ อย่างที่ทุกคนเข้าใจ
ชัชได้แต่ถอนหายใจเครียด ที่เพื่อนรักดื้อรั้น ไม่ยอมรับฟังความหวังดีของเขา
เตชินเดินเข้ามาในบริเวณที่ทำพิธี เห็นข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด ที่เสาในศาลายังเห็นรอยเลือดของชมพูติดอยู่ เขาถึงกับทรุดนั่งลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
พลันผีริลณีก็ปรากฏกายขึ้นมานั่งข้างๆ พลางโอบกอดเขาไว้เหมือนพยายามจะปลอบใจ
ทางด้านกลุ่มเพื่อนๆ ก็หอบกระเช้าผลไม้มาเยี่ยมชมพูที่นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
ชมพูยิ้มรับ ก่อนจะบอกเพื่อนกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ
“โรคเก่าที่แก้ไม่หาย แล้วก็อาจจะเหนื่อยอาจจะเครียดวันที่บวงสรวงด้วย”
เพื่อนๆ หันมองหน้ากันทันที ที่ได้ยินคำว่า “บวงสรวง” เชิงชายรีบถามอย่างอยากรู้
“แล้วเป็นไง เจออะไรมั้ย แบบอะไรที่แปลกๆ ที่เธอเคยบอกน่ะ อย่างผี หรือวิญญาณอะไรแบบเนี้ย “
“ก็ไม่มีอะไรนะ ที่ฉันเล่าคงคิดมากไปเอง ทำไมทุกคนดูซีเรียสกันมากเลย”
เอกราชรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการยื่นกล่องโสมดำจากเกาหลีให้ ก่อนจะถามถึงเตชิน
“แล้วนี่แฟนเธอไปไหนซะล่ะ มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเค้าสักหน่อย”
“เค้าต้องไปดูแลคนงานเรื่องทำบ้านน่ะ มีอะไรสำคัญรึเปล่า”
“ฉันอยากชวนแฟนเธอไปช่วยดูงานโรงแรมที่กำลังก่อสร้างที่พัทยา”
อ่านต่อหน้า 2
นางชฎา ตอนที่ 5 (ต่อ)
ระหว่างนั้นคนที่ถูกพูดถึงกำลังใช้น้ำมาขัดๆ รอยเลือดออก แต่ขัดยังไงก็ยังเหลือรอยคราบ ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองยันต์ที่ติดบนหลังคา และตัดสินใจหยิบเก้าอี้มาต่อขาจะปีนขึ้นไปดึงออก
ผีริลณีปรากฏกายขึ้นมอง
“เอามันออกไป เตชิน เอามันออกไป”
เตชินพยายามดึง แต่ดึงไม่ออก จนเขาเริ่มโมโห จังหวะนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น เขามองเบอร์ที่หน้าจอ ก่อนจะกดรับ
“สวัสดีครับ อ๋อ คุณเอกราช จำได้สิครับ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อเอกราช ผีริลณีที่ยืนฟังอยู่ ก็เกิดอาการโกรธแค้น ดวงตาเป็นสีแดงเลือดทันที
“วันนี้เลยเหรอครับ ได้ครับ เดี๋ยวผมจะออกไปพบคุณ”
เตชินวางโทรศัพท์ ก่อนจะวางมือจากการเอายันต์ออกด้วย ผีริลณีมองตามด้วยความโมโหและอาฆาตแค้น
“ไอ้เอกราช แกต้องตาย”
วิญญาณนั้นกำลังจะตามเตชินไป แต่พลังของยันต์ทำให้ไปไหนไม่ได้ ต้องถูกจองจำ ณ ที่แห่งนี้อย่างเดียวดาย
เตชินเดินออกมาขึ้นรถที่จอดหน้าบ้าน ก่อนจะหันไปสั่งหัวหน้าคนงาน ว่าให้รื้อศาลาหลังนี้ออกเสีย เพราะเขาไม่อยากให้ชมพูเห็น เพราะจะพาลคิดถึงเรื่องแต่ไม่ดี สั่งเสร็จก็รีบขึ้นรถก่อนจะขับออกไป หัวหน้าคนงานหันไปมองศาลาด้วยความรู้สึกหวั่นใจ
เตชินมานั่งคุยเรื่องงานแผนการสร้างโรงแรมที่พัทยาของเอกราช ก่อนจะรับปากว่าจะช่วยทำ แต่ภายหลังที่เขาดูแลตกแต่งเรือนหอเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหลุดปากว่าเขาตัดสินใจจะรื้อศาลาหน้าบ้านออก
เอกราชที่นั่งจิบไวน์อยู่ ถึงกับตกใจ จนแทบจะสำลัก
“อย่ารื้อเลยครับ ผมว่าบ้านทรงไทยที่มีศาลาหน้าบ้าน หาไม่ได้ง่ายๆ”
“ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น แต่ชมพูดูเหมือนจะกลัวศาลานั้น ผมก็ไม่รู้ทำไม ผมถึงอยากทำทุกอย่างให้ชมพูอยู่ที่บ้านนั้นอย่างมีความสุขที่สุด”
เตชินยิ้มกว้าง ขณะที่เอกราชหน้าเครียดขึ้นมาทันที พอได้จังหวะก็หลบมุมออกมาโทรหา ประวิทย์ที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาล ให้ทำยังไงก็ได้ ไม่ให้ศาลาที่ทำพิธีไว้พังเด็ดขาด
ประวิทย์วางสายหน้าเครียด ขณะที่ปริมลดาที่ยืนอยู่ด้วยกันอาสาจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง จากนั้นก็ทำทีเข้าไปพูดดีกับชมพู ทำนองว่าไม่อยากให้รื้อศาลาหน้าบ้าน เพราะเรือนไทยโบราณจะมีเจ้าที่เจ้าทางอาศัยอยู่ ถ้าจะรื้อต้องทำพิธีอัญเชิญเจ้าที่ไปที่อื่น ไม่งั้นจะทำให้คนในบ้านไม่มีความสุข แต่งแล้วอาจหย่าได้เลย
ทุกคนได้ฟังก็อึ้งไปกับเรื่องโกหกของปริมลดา แต่ก็ไหลตามน้ำ รีบช่วยกันพูดยุชมพูให้เชื่อตามนั้น ปริมลดารีบบอกให้เธอโทรไปถามเตชิน ชมพูอิดออดครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมทำตาม แต่พอโทรไปกลับไม่มีคนรับสาย เพราะเตชินวางมือถือทิ้งไว้ในรถ
“พี่เตชินไม่รับสาย ไว้ค่อยบอกเค้าพรุ่งนี้ก็ได้”
ปริมลดาเสียงกร้าวขึ้นมาทันที
“ ไม่ได้นะ เรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เธอจะมาทำเล่นๆ ไม่จริงจังไม่ได้นะ”
ชมพูชักกลัว “ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะลดา”
“ก็ฉันเป็นห่วงเธอ อยากให้เธอแต่งงานและอยู่อย่างมีความสุขน่ะสิ พวกเราทุกคนหวังดีจริงๆ นะ”
ตุลเทพรีบบอกว่าถ้าติดต่อเตชินไม่ได้ ก็ให้โทรบอกหัวหน้าคนงาน แต่ชมพูก็บอกว่าเธอไม่มีเบอร์ ก่อนจะนึกถึงชัชขึ้นมาได้
“ยังมีอีกคน พี่ชัชเค้าช่วยพี่เตชินทำบ้านอยู่”
หงส์หยกลุกลี้ลุกลน “คนนี้แหละ รีบโทรบอกเลย”
ชมพูเริ่มรู้สึกแปลกใจ ที่ทุกคนดูเหมือนจะคะยั้นคะยอให้เธอรีบโทร
ส่วนชัชเมื่อรับสายจากชมพู ก็บอกว่าเขาจะรีบบอกให้หัวหน้าคนงานเก็บศาลาไว้ก่อน ระหว่างนั้นให้เธอคุยสรุปเตชินให้เรียบร้อยว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป
“เรียบร้อยแล้ว พี่ชัชบอกไม่มีปัญหา”
ทุกคนถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะรีบขอตัวลา แต่ตุลเทพไม่วายทำหน้าตากรุ้มกริ่มหว่านเสน่ห์ใส่ชมพู จนปริมลดาต้องกระแอมเตือน
ทางด้านชัชพอวางสายจากชมพู ก็รีบเดินเข้าไปในบริเวณบ้าน สวนกับหัวหน้าคนงานที่เพิ่งเดินออกมา
“พี่ เรื่องศาลานั่นเก็บเอาไว้ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งรื้อ”
หัวหน้าช่างตกใจ “ไม่ทันแล้วละครับ พวกคนงานกำลังรื้อใกล้เสร็จแล้วครับ”
อีกด้านหนึ่งเหล่าคนงาน กำลังช่วยกันรื้อศาลาที่พัก จนหลังคาพังลงมาเสียงดังครืน พร้อมกับลมพายุกรรรโชกแรง เสียงฟ้าคำรามร้องกึกก้องขึ้นมาโดยฉับพลัน
“แล้วพวกผมจะมีความผิดมั้ยครับ”
หัวหน้าช่างไม่วายกังวล จนชัชต้องพูดปลอบ
“เรื่องนั้นพี่ไม่ต้องห่วง ผมจะคุยกับไอ้เตมันเอง”
พวกคนงานกำลังช่วยยกเศษไม้ เสา และ หลังคาทยอยกันออกไปทิ้ง คนงานคนหนึ่งหยิบเศษหลังคาที่ยันต์ติดออกไปจากบริเวณเดิม เพื่อจะเอาไปทิ้ง ผีริลณีปรากฏกายขึ้นมองอย่างสมใจ
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดแรง บรรยากาศน่ากลัวปกคลุมไปทั่วบ้าน ชัชรีบบอกให้คนงานกลับไปก่อน พอเหล่าคนงานเดินออกไป เขาก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นก้นเมฆเป็นรูปร่างประหลาดปกคลุมบ้านประหนึ่งว่ากำลังจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น เขามองอย่างหวาดกลัว จนต้องรีบเดินออกไปทันที
ทันใดนั้นผีริลณีก็ปรากฏตัวร่ายรำอยู่ในบ้านอย่างรื่นรมย์มีความสุข พร้อมเสียงหัวเราะอย่างสะใจ ที่ดังไปกึกก้องบริเวณบ้าน
อ่านต่อตอนต่อไป
ลมพายุโหมพัดกระหน่ำ กรรโชกอย่างรุนแรงราวกับมีอาเพศร้าย เสียงหัวเราะโหยหวนของริลณีหวีดหวิวแว่วผสมมาในสายลมนั้น จนสัปเหร่อหยอย ซึ่งกำลังนั่งก๊งยาดองอยู่กับน้าไหวและกล้า อยู่ที่หน้าบ้านพักคนงานมหาวิทยาลัย ต้องเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดเตือนทั้งคู่ว่าให้รีบกลับบ้านนอน
“ลมแรง ท้องฟ้ามีพายุอาเพศวันโกนแบบนี้ คืนนี้แกสองคนอย่าออกจากบ้านไปไหนนะว้ย”
“วันนี้เงินเดือนออก ข้ากับน้าไหว ว่าจะไปหาอะไรบันเทิงใจนอกบ้านสักหน่อย คริคริ” กล้าว่า
น้าไหวเองก็ว่าตามกัน “อย่ามาคิดขัดขวางความสุขพวกเราหน่อยเลย ไอ้หยอย”
กล้า กับ น้าไหวมองหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคัก แต่หยอยยังมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“เชื่อสัปเหร่ออย่างข้าเถอะว่ะ รีบกลับบ้านนอน ใครมาเรียกมาหาอย่าเปิดรับ” หยอยย้ำคำ
“ทำไมวะ” น้าไหวแปลกใจ
“วันโกนน่ะวันปล่อยผี แล้วยิ่งฟ้ากระหน่ำ ลมคะนองแบบนี้” หยอยทำหน้า น่ากลัวประกอบ “เค้าว่ากันว่า ผีเฮี้ยนจะออกมาล้างแค้น”
น้าไหวและกล้าได้ยินแบบนั้นก็มองหน้ากัน รีบลุกเก็บข้าวเก็บของอย่างเร็วจนหยอยแปลกใจ
“เอ้า แล้วจะรีบไปไหนเนี่ย กินยังไม่ทันเสร็จเลย”
“ไม่ต้องกง ต้องกินแล้ว ไปน้าเข้าบ้าน” กล้าบอก
ด้วยความลุกลี้ลุกลน น้าไหวเงยหน้ามาเห็นกล้าเลยตกใจ
“ผี” น้าไหววิ่งเตลิดไปก่อน
กล้ารีบโวยวายแก้ตัว วิ่งตามไป
หยอยมองตามสองคนเซ็งนิดๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความกังวลใจ
กลางห้างสรรพสินค้าหรู เย็นนั้น เตชินเดินบันไดเลื่อน คุยโทรศัพท์กับชมพูซึ่งอยู่ที่โรงพยาบาลไปด้วย
“พี่แวะซื้อขนมที่ชมพูชอบ น้องชมพูอยากได้อะไรอีกมั้ยครับ จะได้ซื้อไปเลยทีเดียว”
บันไดค่อยๆ เลื่อนลงช้าๆ เตชินหันไปมองทางบันไดขึ้นที่อยู่ข้างๆ เห็นหญิงสาวผมยาวตรง ในชุดธรรมดาเรียบๆ แบบที่ริลณีชอบใส่ หญิงสาวนางนั้นยืนก้มหน้าอยู่บนบันไดอีกฝั่งกำลังเลื่อนสวนขึ้นมา เตชินชะงัก มองค้างด้วยความรู้สึกคุ้นตา เพราะแม้ผมยาวปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง แต่เพียงเสี้ยวที่เห็น เตชินก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นเหมือนกับใบหน้าของคนที่เขาพยายามตามหามาเกือบสองปี
เตชินพยายามจ้องจนเมื่อบันไดเลื่อนทั้งสองข้าง ขึ้นและลงมาเท่าๆ กัน หญิงสาวเงยหน้าทัดผมกับหูขึ้นเล็กน้อย เตชินชะงักอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง
“ริน”
“มีอะไรเหรอคะพี่เตชิน” เสียงชมพูลอดจากโทรศัพท์ น้ำเสียงแปลกใจ
เตชินไม่สนใจจะพูดโทรศัพท์แล้ว รีบวาง “แค่นี้ก่อนนะครับ”
เตชินรีบกดวางสาย ก่อนจะเงยหน้ามองตาม แต่หญิงสาวหายไปจากบันไดเลื่อนแล้ว เตชินแปลกใจ วิ่งลงบันไดเลื่อน แล้วรีบวิ่งไปขึ้นบันไดเลื่อนอีกทาง พยายามตามหญิงสาวคนนั้นทันที
ฝ่ายชมพูมองโทรศัพท์ที่เพิ่งถูกเตชินวางสายไปดื้อๆ
“แปลกจัง อยู่ดีๆ พี่เตชินก็วางสายไปเฉยๆ ชมพูควรโทรกลับไปมั้ยคะ”
พิสมัยที่กำลังจัดแจกันดอกไม้ข้างเตียง มองชมพูขำๆ
“อย่าไปจู้จี้จุกจิกกวนใจพี่เตชินมากสิคะลูก”
ชมพูหันไปหาพวกกับพิชัยที่นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือที่โซฟา
“พี่เตชินไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ชมพูกลัวว่าจะมีเรื่องอะไร”
“เป็นผู้หญิงต้องรู้จักนิ่งให้ผู้ชายเกรงใจ ถ้าจู้จี้จุกจิก ขี้บ่น ผู้ชายเค้าจะเบื่อ”
ชมพูทักท้วง “แต่...คุณพ่อคะ”
พิสมัยรีบปราม “ไม่มีแต่ จะแต่งงานอยู่แล้ว ต้องฝึกเอาไว้จ้ะ”
พิสมัยและพิชัยหันมามองหน้ากันยิ้มๆ ชมพูนึกขัดใจที่โดนห้าม ได้แต่มองโทรศัพท์ด้วยความกังวล
เตชินวิ่งแหวกผู้คนในห้างที่แสนพลุกพล่าน พยายามมองหาริลณีไปทั่วทุกที่ สายตาเขาเห็นเงาในกระจกเป็นริลณียืนอยู่ที่มุมหนึ่ง จึงรีบวิ่งเข้าไปหา แต่เมื่อผู้หญิงคนนั้นหันกลับมา กลับกลายเป็นคนที่คล้ายริลณีเท่านั้น เตชินผิดหวังแต่แล้วหางตาก็เห็นริลณีเดินเลี้ยวหายเข้าไปที่ซอกหนึ่งของห้าง เขารีบวิ่งตามไปทันที
เตชินวิ่งเข้ามาในมุมหลืบนั้น แต่ต้องแปลกใจ เพราะตรงนั้นไม่มีใครเลย ทั้งๆ ที่เห็นกับตาว่าริลณีเพิ่งเดินเลี้ยวเข้ามา เตชินเดินตามหาอย่างไม่ละความพยายาม
สุดท้ายเตชินวิ่งตามมาในลานจอดรถอย่างรวดเร็ว จนมาเจอริลณียืนอยู่ เตชินดีใจมาก
“ริน!”
เป็นเธอจริงๆ ริลณีหันมายิ้มให้อย่างดีใจ “เตชิน”
เตชินโผเข้ากอดเต็มรักเต็มคิดถึง ริลณีน้ำตาคลอ ก่อนที่เตชินจะผละออกมาจับใบหน้าเธอ
“ริน..คุณจริงๆใช่ไหม คุณรู้ไหมว่าผมตามหาคุณมาตลอด 2 ปี ผมคิดถึงคุณทุกวัน”
ริลณีน้ำตาร่วง “รินก็คิดถึงคุณ คิดถึงสุดหัวใจ”
“ผมจะไม่ยอมให้คุณหนีไปจากผมอีกแล้ว”
เตชินโผเข้ากอดอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ริลณีหายไปจากตรงนั้นแล้ว!
เตชินทั้งแปลกใจ ตกใจ “ริน...ริลณี” ชายหนุ่มกวาดตามองหาไปทั่วก่อนสายตาจะสะดุดที่ผ้าเช็ดหน้าซึ่งตกอยู่ที่พื้น ผ้าเช็ดหน้าปักตัวอักษร “ริลณี” ชัดเจน
เตชินจะเงยหน้ามองหาริลณี ทันใดนั้น รถพุ่งเข้าชนเตชินอย่างไม่ทันตั้งตัว
ทุกสิ่งอย่างดับวูบไปทันควัน
ไม่นานต่อมา เตชินสะดุ้งพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ริลณี” เขาลุกพรวด “ริน”
เตชินลำดับเหตุการณ์ พบว่าตัวเองอยู่ในห้าง เห็นแต่ รปภ. และพนักงานหญิงของห้าง ยืนมองด้วยความเป็นห่วง
“แล้วริน รินอยู่ไหนครับ”
พนักงานงง “ใครคะ”
“ผู้หญิงผมยาวที่อยู่กับผมที่ลานจอดรถ”
พนักงานหญิงงงใหญ่ “ไม่มีนะคะ รปภ.เป็นคนพาคุณมาตรงนี้ บอกว่าคุณหมดสติอยู่ที่ลานจอดรถ”
เตชินส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ริลณีอยู่กับผม ก่อนที่รถจะพุ่งมาชนผม”
รปภ. แทรกขึ้น “รถชน? ไม่มีนะครับ”
“ดิฉันว่าคุณไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่านะคะ เผื่อสมองของคุณ...”
เตชินสวนขึ้นอย่างมีอารมณ์ “ผมไม่ได้หลอน ริลณีอยู่กับผมจริงๆ”
สีหน้าเตชินดูออกว่าสับสนมาก ก่อนจะเหลือบไปเห็นผ้าเช็ดหน้าตกอยู่ที่พื้น
เขาขึ้นมามอง ด้วยอาการอึ้ง ตะลึงตะไล
อีกฟาก ร้านอาหารอิตาเลี่ยนปิดแล้ว แต่ประวิทย์ยังขลุกอยู่ในครัว อาหารอิตาเลี่ยนจากฝีมือเขาถูกบรรจงจัดลงจานอย่างสวยงาม เห็นชัดว่าประวิทย์ตั้งใจสุดๆ ละเอียดทุกขั้นตอน
ระหว่างที่ทำเขายิ้มหวานออกมาอย่างที่ไม่เคยมาก่อน ประวิทย์จัดโต๊ะอาหาร 2 ที่ นั่งรอการมาถึงของใครบางคน ดวงตาเป็นประกายวิบวับมีความสุข
สักครู่ เอกราชเดินหัวเสียเข้ามา หยุดมองไปรอบๆ ท่าทางหงุดหงิด
“ทำไมวันนี้ที่ร้านไม่เห็นมีคนเลย”
“นายบอกว่าจะแวะมา ก็เลยปิดร้านเร็วหน่อย” ประวิทย์พยายามเอาใจ “วันนี้ลองทำราวิโอลี่สูตร
ใหม่ นายลองชิมสิว่าชอบรึเปล่า”
จู่ๆ เอกราชก็เหวี่ยงใส่ “กินอะไรไม่ลงทั้งนั้นแหละ”
“มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า ลองกินอาหารสิ เค้าว่าอาหารทำให้คนหายเครียดได้นะ
ประวิทย์พยายามเลื่อนจานอาหารเอาใจ แต่เอกราชไม่สนใจสักนิด จิบแต่ไวน์พรวดแล้วพูดลอยๆ
“ชมพูไม่น่าแต่งงานกับไอ้หมอนั่นเลย”
ประวิทย์ชะงัก เหลือบตามองหน้าเอกราชไม่พอใจแวบหนึ่ง ก่อนจะทำหน้านิ่งเครียดเหมือนเดิม
“ไอ้บ้านั่นไม่เห็นมีอะไรดีสักหน่อย”
“ทำไมนายเสียดายเหรอ”
น้ำเสียงมีแววประชดนิดๆ ในนั้น แต่เอกราชไม่รู้ ยิ้มพราย
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ นายคิดดูนะ ผู้หญิงที่ทั้งสวย น่ารัก นิสัยดี ชาติตระกูล ฐานะ เหมาะสม คู่ควรกับฉันทุกอย่าง”
“แล้วปริมลดาล่ะ นายก็คบกับเค้าอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ยายนั่นไม่มีความหมายอะไรหรอก ก็แค่เพื่อนแก้เหงา”
ประวิทย์บ่นพึมพำ “ก็เห็นเหงามาตั้งแต่มหาวิทยาลัยจนป่านนี้ ก็ไม่เห็นเคยหายเหงาสักที”
เอกราชมองยิ้มๆ “นายก็รู้ฉันมันคนขี้เหงา ตามสาวๆ มาให้ฉันสักคนสิ คืนนี้ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”
ประวิทย์พยักหน้ารับทราบ เอกราชจิบไวน์อารมณ์เริ่มกรึ่มๆ ประวิทย์มองอาหารที่อุตส่าห์เตรียมไว้อย่างดี ด้วยสีหน้าเศร้าๆ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นออกไปจากโต๊ะทันที
ทางด้านพิชัยเดินยิ้มร่าเข้ามาในห้อง
“พ่อคุยกับคุณหมอแล้ว คุณหมอบอกว่าพรุ่งนี้ลูกก็กลับบ้านได้แล้ว”
“โอ้ ดีจังเลยค่ะคุณ อยู่โรงพยาบาลนานๆ มันรู้สึกหดหู่ พาลจะไม่สบายไปด้วยยังไงก็ไม่รู้” พิชัยเข้าไปหาลูกสาว เห็นว่าชมพูนั่งหน้าบึ้ง ไม่ร่าเริง “ไม่ดีใจเหรอจ๊ะ ชมพู”
“พี่เตชินหายไปเลย บอกว่าจะซื้อขนมมาให้ชมพูก็ไม่มา แถมยังหายเงียบไปอีก ชมพู...”
พิสมัยรีบเข้าไปพาชมพูนอนลงกับตียง
“แม่ว่าลูกอย่าคิดมากเลยจ้ะ พี่เตชินเค้าคงธุระด่วนจริงๆ”
“แล้วพี่เตชินจะมาพาชมพูกลับบ้านพรุ่งนี้มั้ยคะ”
พิสมัยและพิชัยมองหน้ากันอย่างลำบากใจ แต่เป็นพิชัยที่เดินเข้ามายิ้มปลอบใจ
“พ่อกับแม่อยู่ตรงนี้ทั้งคู่ แต่ลูกสาวเรากลับอยากให้คนอื่นพากลับบ้าน อย่างนี้มันน่าน้อยใจมั้ยเนี่ย”
“โธ่ คุณพ่อ สำหรับชมพูไม่มีใครสำคัญไปกว่าคุณพ่อคุณแม่หรอกค่ะ”
“ถ้างั้น ก็พักผ่อนมากๆ ลูกจะได้สดชื่น ว่าที่เจ้าสาวยังมีอะไรต้องวุ่นวายอีกเยอะ เชื่อแม่สิ”
ชมพูมองพ่อกับแม่แล้วยิ้ม ล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นว่าชมพูหลับแล้ว พิชัยและพิสมัยมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล
พิสมัยและพิชัยแอบออกมาคุยกันหน้าเครียดอยู่นอกห้อง
“ฉันลองโทร.ไปหาเตชินแล้ว แต่ว่าปิดเครื่อง”
“คงมีธุระสำคัญจริงๆ”
“แล้วพรุ่งนี้เราจะเอายังไงกันดีคะ ลูกถามหาแต่เตชินแบบนี้”
“ก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าเตชินไม่ว่างเราก็พาลูกเรากลับบ้านเอง ก็แค่นั้น”
“แต่คุณคะ”
“เราจะพึ่งพาแต่เตชินทุกเรื่องคงไม่ได้ แล้วที่เค้าหายไปแบบนี้แสดงว่า มีธุระสำคัญจริงๆ เราก็ไม่ควรรบกวนเค้านะ เตชินไม่เคยเหลวไหลคุณก็รู้”
พิชัยพูดเสร็จก็เดินนำเข้าห้องไปไม่คิดอะไรมาก ทิ้งพิสมัยให้ยืนหน้าเครียดท่าทีกังวลอยู่ลำพัง
วันต่อมา สองหนุ่มอยู่ในห้องนอน เตชินหันไปบอกชัชที่แวะมาหา ด้วยหน้าตาเครียดเครียดจริงจัง
“เมื่อวานฉันเจอริน ฉันได้คุยกับเขา ได้สัมผัสตัวเขาว่าเขาอยู่ตรงหน้าฉันจริงๆ
“พอเลยไอ้เต นายไม่ได้เจอริลณี ไม่ได้ถูกรถชน นายแค่เป็นลมหมดสติในห้างก็เท่านั้น”
“ฉันหมดสติ เพราะถูกรถชนต่างหาก”
“คนถูกรถชนอะไร แผลสักนิดก็ไม่มี” ชัชเข้าไปตบไหล่เพื่อน “แกคิดถึงริลณีมากจนมโนไปเอง”
“ฉันไม่ได้มโนนะเว้ย”
เตชินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ชัชดู
ชัชรับผ้ามาพลิกดูอย่างแปลกใจ “ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าธรรมดาๆ”
“ดูที่หัวมุม”
ชัชพลิกผ้าเช็ดหน้าดูที่หัวมุม มีอักษรปักเอาไว้ว่า “ริลณี” ชัชเงยหน้ามองเตชิน ตกใจแทบช็อก
“ถ้าฉันคิดมากไปเอง ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้จะมาตกอยู่ได้ยังไง”
“ใครมาทำตกไว้รึเปล่า คนชื่อริลณีโลกนี้มีเยอะแยะ”
“แต่คงไม่มีริลณีคนไหน ปักชื่อที่ผ้าเช็ดหน้าหรอก หรือนายปัก”
“เย้ย! ฉันจะปักชื่อที่ผ้าเช็ดหน้าทำไม ใช่เรื่องมั้ย”
เตชินพูดอย่างหนักแน่น “แต่รินปัก รินเคยบอกฉันว่า อยู่บ้านเด็กกำพร้า ข้าวของต้องซักร่วมกัน ก็เลยต้องปักชื่อกันหายทุกชิ้น เพราะฉะนั้นผ้าผืนนี้ของรินร้อยเปอร์เซ็นต์”
ชัชมองหน้าเตชินอึ้งๆ เถียงไม่ออก ได้แต่พูดเสียงอ่อยๆ
“ถ้าเป็นรินจริงเขาจะรีบหนีนายทำไม หรือเขาโกรธนายอยู่”
“ฉันจะต้องหาคำตอบ เรื่องนี้ให้ได้”
เตชินบอกออกมาด้วยหน้าตาอันมุ่งมั่น
ขณะเดียวกัน โทรศัพท์บ้านในห้องโถงกลางดังขึ้น สร้อยที่ทำงานอยู่รีบเข้าไปรับ
“บ้านท่านนายพลณรงค์ อยู่ทั้งคู่ค่า จะเรียนสายกับ คุณเตชิน หรือ ว่าคุณผู้หญิงคะ”
สร้อยรีบถือโทรศัพท์ไร้สาย ออกไปให้จิตรา ที่กำลังดูต้นไม้อยู่นอกระเบียง
“คุณพิสมัยค่ะ”
จิตรารับโทรศัพท์หน้าตายิ้มแย้มมาก
“แหม...ใจตรงกันเลยค่ะ พี่ก็ว่าจะโทรหาคุณพิสมัย ถามอาการของหนูชมพูวันนี้พอดี” จิตราฟัง แล้วต้องตกใจ “อะไรนะคะ หนูชมพูออกจากโรงพยาบาลแล้ว ออกยังไง ออกเมื่อไหร่ ทำไมพี่ไม่รู้” จิตราปิดปากโทรศัพท์หันมาพูดกับสร้อย เสียงเขียว “คุณเตชินอยู่ไหน”
สร้อยทำท่าชี้ไปข้างบน “ข้างบนค่ะ”
จิตราโมโหมาก ก่อนจะปรับสีหน้ามาทำเสียงหวาน เมื่อต้องพูดตอบพิสมัย “นี่พี่ไม่ทราบเรื่องนี้เลยนะคะเนี่ย แย่จริงๆ” พลางหันมาพูดเสียงเขียวกับสร้อย “เตชินทำอะไรอยู่”
สร้อยกระซิบบอก “อยู่กับคุณชัชค่ะ”
คุณหญิงจิตรามองขึ้นไปทางห้องลูกชายด้วยความโมโหสุดขีด
อ่านต่อหน้า 3
นางชฎา ตอนที่ 5 (ต่อ)
สองหนุ่มยังหารือกันต่อ ชัชมองหน้าเตชินท่าทางซีเรียสเอาการ
“หามาสองปีก็ไม่พบ เจอกันแค่แว้บเดียวแล้วคิดว่าจะพบอีกเหรอ บอกเลยว่า ยากส์”
“ยากแค่ไหนฉันก็ต้องหาให้ได้ ถ้าฉันกับรินเรายังเคลียร์กันไม่ได้ ฉันก็...”
เตชินยังพูดไม่ทันจบ จิตราก็เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้อง หน้าตาโมโหเอาเรื่อง
“หนูชมพูออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
เตชินตกใจ “ผมไม่ทราบเลยครับ ออกตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นี่คือสิ่งที่ว่าที่เจ้าบ่าว ควรถามจากคนอื่นงั้นเหรอ ไหนว่าจะดูแลหนูชมพูให้ดีที่สุด ไปเลย รีบหาหนูชมพู อย่าให้คนบ้านนั้นเค้าคิดว่า พวกเราไม่สนใจดูแล”
“แต่ผมกำลังคุยเรื่องสำคัญกับชัช อยู่นะครับ”
จิตราหันไปบอกชัชเสียงขุ่น “ขอโทษนะชัช สำหรับเตชิน ไม่มีเรื่องไหนสำคัญกว่าหนูชมพู เข้าใจใช่มั้ยจ๊ะ”
ชัชยิ้มทะเล้น “เข้าใจชัดเจนที่สุดเลยคร๊าบ คุณหญิงแม่”
“งั้นแม่ให้คนเตรียมรถของลูกไว้เลยนะ”
เตชินอึ้งไป “จะให้ผมไปไหนครับ”
“ก็คุณหญิงแม่จะให้นายไปหาน้องชมพูไง ใช่มั้ยครับคุณหญิงแม่”
จิตราบอกเตชิน “ให้ไวล่ะ”
จิตราพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องไป เตชินถอนหายใจเซ็ง ชัชมองสงสารเพื่อน มาตบบ่าปลอบอย่างเข้าใจ
“ตอนนี้ผู้หญิงที่นายควรจะคิดถึงมากที่สุด ไม่ใช่ริลณีแล้ว แต่เป็นน้องชมพู”
“ถ้าฉันไม่ได้เคลียร์กับรินให้รู้เรื่อง ฉันก็คงทำใจแต่งงานกับน้องชมพูไม่ได้เหมือนกัน”
เตชินมองหน้าชัชอย่างจริงจัง ชัชถอนหายใจมองเพื่อนรักด้วยความรู้สึกสงสารเป็นที่สุด
ขณะที่สร้อยร้องเพลงไป ใช้ผ้าเช็ดถูรถเตชินไป อยู่ดีๆ เมฆก็เลื่อนมาบดบังแสงดวงอาทิตย์ แดดหายสิ้นในพริบตา บริเวณนั้นครึ้มลงจนน่ากลัว สร้อยแหงนมองฟ้าเซ็งๆ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ เช็ดรถทีไรฟ้ามือครึ้ม ฝนจะตกทุกที”
สร้อยหันกลับไปร้องเพลงเช็ดรถต่อ อยู่ดีๆ เสียงหมาแถวนั้นก็ทั้งเห่าทั้งหอนขึ้นมาพร้อมกัน เสียงดังระงมโหยหวน
“เอ้า แล้วพวกนี้ก็มาหอนอะไรเนี่ย ทำอย่างกับเห็นผี” สร้อยบ่นบ้า ร้องโวยวาย “นี่มันกลางวันนะเว้ย”
จากนั้นสร้อยหันไปทำความสะอาดรถต่อ แต่เสียงหมายังไม่หยุด จนสร้อยโมโห
“โอ๊ย...ไอ้หมาพวกนี้อยากมีเรื่องใช่มั้ย ได้ นังสร้อย จัดให้”
สร้อยเปิดประตูบ้านออกไป เท้าสะเอวมองไปรอบๆ หน้าตาเอาเรื่องมาก
“เอ้า ไม่มีหมาสักตัว แล้วหอนกันจากไหนเนี่ย” สาวใช้จอมแก่นมองไปรอบๆ รู้สึกขนลุกโดยไม่มีสาเหตุ “น่ากลัวชะมัด”
สร้อยรีบหันตัวกลับเข้าไปในบ้าน ทันทีที่สร้อยขยับตัว เห็นผีริลณียืนอยู่ข้างๆ หน้าตาเป็นผีเต็มขั้นดูน่ากลัวมาก และยืนจ้องเข้าไปในบ้านเตชิน เสียงหมายิ่งหอน สร้อยหันมาตรงที่ริลณียืนอยู่
แต่สร้อยไม่เห็น เพียงแต่รู้สึกเย็นวูบวาบโดยไม่มีสาเหตุ แล้วรีบเดินเข้าบ้านไป ริลณีจะเดินตามเข้าไปด้วย แต่กลับมีบางอย่าง ผลักให้ริลณีเข้าไปในบ้านไม่ได้ ริลณีลองพยายามอีกครั้งแต่ยังไงก็เข้าบ้านเตชินไม่ได้
เป็นพระภูมิเจ้าที่ในบ้านที่ปล่อยพลังบางอย่างขวางกั้นไม่ให้ริลณีเข้ามา
ริลณีพยายาม ไม่ว่าจะทำยังไง ก็เข้าไปหาเตชินไม่ได้ พยายามตะโกนเรียก
“เตชิน เตชิน ได้ยินรินมั้ย รินมาหาคุณแล้ว เตชิน เตชิน...เตชิน”
ฝ่ายเตชินกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมออกไปพบชมพู ชัชกำลังดูแปลนบ้านที่วางอยู่บนโต๊ะเตชิน ก่อนนึกอะไรได้
“เออ ที่นายบอกให้รื้อศาลาหน้าบ้านน่ะ น้องชมพูเค้าโทร.มาขอให้ฉันเก็บเอาไว้นะเว้ย”
เตชินแปลกใจเอาการ “เหรอ ปกติน้องชมพูไม่เคยยุ่งเรื่องนี้เลยนี่”
“แต่ฉันบอกคนงานไม่ทันวะ พวกนั้นรื้อไปซะก่อน น้องชมพูคงไม่เม้งพวกเรานะ”
“ไม่เป็นไรหรอก รื้อไปน่ะดีแล้ว”
ระหว่างนี้เอง มีเสียงเรียกของริลณีดังแว่วเข้ามา
“เตชิน...เตชิน”
ชัชที่กำลังคุยกับเตชินก็ได้ยินถึงกับสะดุ้งตกใจ พยายามหาต้นตอของเสียง
“เฮ้ย ไอ้เต ใครไม่รู้มาตะโกนเรียกนายว่ะ”
เตชินพยายามเงี่ยหูฟังเพราะเสียงหยุดไปแล้ว “ไม่เห็นได้ยินเลย ทำงานมากจนเพี้ยนรึเปล่าเนี่ย”
ชัชเงี่ยหูฟังอีกที “ไม่ได้ยินแล้วว่ะ สงสัยจะทำงานหนักจริงๆ งั้นวันนี้ขอพักสักวันก็แล้วกันนะ”
ชัชล้มตัวลงนอนแกล้งทำเป็นหลับขี้เกียจ เตชินมองเพื่อนส่ายหน้าขำ แล้วเดินไปที่ระเบียงห้องมองไปที่หน้าประตูบ้าน แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้น
เตชินพึมพำกับตัวเอง มองชัชขำๆ “เพี้ยนจริงๆ”
ริลณีพยายามจะเข้าไปในบ้านเตชินให้ได้ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็เข้าไปไม่ได้ สุดท้ายมองเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าเศร้า
“รินรอคอยที่จะได้พบคุณมานาน นานเหลือเกิน แต่ทำไม รินถึงเข้าไปหาคุณไม่ได้”
ผีริลณีน้ำตาไหลพราก เสียใจ และ เจ็บปวดจนเกินจะบรรยาย ก่อนจะหายไปจากตรงนั้น
ที่บ้านเด็กกำพร้า หมาละแวกนั้นต่างสมยอมพร้อมใจกันเห่าหอนดังโหยหวน ไม่ต่างจากบ้านเตชินเมื่อครู่นี้ เฟื่องฟ้าที่กำลังดูเด็กๆ เล่นอยู่ที่สนามเด็กเล่น เริ่มรู้สึกแปลกๆ
ผีริลณีปรากฏตัว เดินผ่านหลังเฟื่องฟ้าแวบหายไป เฟื่องฟ้ารู้สึกหนาววูบ เสียวหลัง รีบหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่เห็นอะไร
ริลณีเดินผ่านไปอีกทาง เฟื่องฟ้าเสียววูบอีก หันไปดูก็ไม่มีอะไรอีก เฟื่องฟ้าเริ่มรู้สึกกลัวแปลกๆ รู้สึกว่ามีอะไรไม่น่าไว้วางใจ
จนมีเสียงดังกรอบแกรบๆ เหมือนคนย่ำใบไม้ดังอยู่ข้างหลังเฟื่องฟ้า ค่อยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เฟื่องฟ้ากลืนน้ำลายเอื้อก ค่อยๆ เหลือบตา ก่อนจะหันไป เห็นว่าเป็น เอทีเอ็ม เดินเข้ามา เฟื่องฟ้าที่ไม่มีสติตกใจกรี๊ดลืมตาย
“แอร๊ย...”
เอทีเอ็มรีบเข้ามาปิดปาก “เป็นบ้าอะไรของเธอเนี่ย”
“ก็นึกว่านายเป็นผีน่ะสิ ไม่รู้สึกรึไง วันนี้มันแปลกๆ หนาวๆ วูบๆ เหมือนมีใครอยู่ใกล้ๆ
ริลณียืนอยู่ใกล้ๆ ทั้งคู่ พยายามเรียกเพื่อนทั้งสอง แต่ไม่สามารถสื่อสารกันไม่ได้
“ฉันอยู่ตรงนี้ พวกเธอได้ยินฉันมั้ย”
ริลณีพยายามเรียก แต่เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มไม่ได้ยิน
“เอทีเอ็ม อยู่ดีๆ ฉันก็คิดถึงริน”
“คงเพราะเรื่องเมื่อวันก่อน พวกเราถึงเป็นห่วงริน” เอทีเอ็มว่า
“พอคิดถึงรินแล้วรู้สึก ใจคอไม่ดียังไงก็ไม่รู้อะ นายว่ารินจะเป็นอะไรมั้ย”
“รินไม่เป็นอะไรหรอก รินเป็นหญิงแกร่งจะตาย”
เฟื่องฟ้าเรียกเสียงแหลมปรี๊ด “เอทีเอ็ม...”
เอทีเอ็มตกใจ ทนไม่ไหวแล้ว “จะเรียกอะไรนักหนา ประสาทจะเสียแล้ว”
“ก็นายเหยียบเท้าฉันอยู่นานแล้ว”
เอทีเอ็มก้มลงไปมอง พบว่าเหยียบเท้าเฟื่องฟ้าจริงๆ เอทีเอ็มรีบเอาขาออก ก่อนจะมองเฟื่องฟ้า ยิ้มแหยๆ
เฟื่องฟ้าเรียกเสียงแหลมอีก “เอทีเอ็ม”
“ถ้าไม่หยุดเรียกชื่อฉัน ฉันจะโกรธจริงๆ แล้วนะ”
เฟื่องฟ้าหน้าเครียด “นายยังรักรินอยู่ใช่มั้ย”
เอทีเอ็มชะงักนิด ก่อนจะพูดจริงจังที่สุด “สำหรับฉัน รินเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันจะรักตลอดไป”
“โห...แมนโคตร” เฟื่องฟ้า รู้สึกผิด “ขอโทษนะ ที่ฉันไม่ได้เชียร์นาย”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว” เอทีเอ็มมองไปยังเด็กๆ “พาน้องๆ เข้าบ้านเถอะ”
เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม ช่วยกันเรียกน้องๆ โดยมีผีริลณียืนอยู่ใกล้ๆ พยายามสื่อสารกับสองคน
“เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่ที่นี่”
นอกจากเฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็มจะไม่ได้ยินเล้ว ยังเดินทะลุผ่านร่างริลณีไปโดยไม่รู้สึกอะไรอีกด้วย
“ทำไมถึงไม่มีใครเห็นว่าฉันอยู่ตรงนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม”
อีกฟาก หลวงตาคงนั่งทำสมาธิอยู่ภายในโบสถ์ของวัด สีหน้าสงบนิ่ง และ เปี่ยมด้วยบารมีมากๆ เสียงร่ำไห้อันแสนเศร้า และปวดร้าวของริลณีดังแว่วเข้ามาเป็นระยะ ไม่หยุดหย่อน
หลวงตาคงค่อยๆลืมตาขึ้น เหมือนรับรู้ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว สีหน้าท่านเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
หลวงตาคงเดินออกมานอกกำแพงวัดอย่างสงบนิ่ง เห็นริลณีนั่งก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับพื้น ท่านจึงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า มองริลณีอย่างเมตตา
“ฉันกลับไปหาคนรักกับเพื่อน แต่ไม่มีใครรับรู้ว่าฉันอยู่ตรงนั้นได้เลย”
“นั่นเป็นเพราะโยมและพวกเขาอยู่กันคนละภพแล้ว”
ริลณีย้อนแย้ง “แต่เมื่อวานฉันยังพูดคุยกับคนรักฉันได้เลย แล้วทำไมวันนี้ถึงทำไม่ได้คะ”
“เมื่อวานเป็นวันโกน วันที่วิญญาณ จากอีกภพจะกลับมาในภพนี้ได้ แต่หลังจากวันนั้นโยมจะไม่มีโอกาสข้องแวะกับคนในภพภูมินี้อีก จนกว่าจะถึงวันโกนอีกครั้ง”
“ไม่นะ ฉันต้องถูกจองจำทรมานอยู่มาหลายปี ฉันหลุดพ้นออกมาได้แล้ว ทำไมฉันพบกับพวกเขาไม่ได้อีก”
หลวงตาถอนใจ มองมาด้วยความสงสาร “โยมควรกลับไปในที่ที่โยมควรอยู่ ถ้าโยมยังยึดติด ถือมั่นอยู่แบบนี้ โยมจะเป็นทุกข์”
ริลณีมองหน้าผู้ทรงศีล ก่อนจะกราบแทบเท้า อ้อนวอน
“ฉันต้องทำยังไงถึงจะกลับไปหาพวกเขาได้ ฉันรอให้ถึงวันโกนอีกครั้งไม่ไหว”
“มันขึ้นกับบุญที่โยมสะสมมา หากโยมมีบุญมากพอ ก็สามารถกลับไปหาพวกเขาได้”
ริลณีก้มกราบหลวงตาคงอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มอย่างมีความหวัง หลวงตาเห็นท่าทีริลณีแล้วรู้สึกกังวลใจ
“แต่ถึงโยมกลับไปหาพวกเขาได้ โยมก็ไม่มีวันอยู่กับพวกเขาได้ตลอดไปหรอก โยมตายไปแล้ว ต้องระลึกถึงความจริงข้อนี้ไว้เสมอ”
หลวงตาคงมองริลณีด้วยความเมตตาก่อนจะเดินกลับเข้าบริเวณวัดไป ริลณีมองตาม แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ
“ถึงฉันจะตาย แต่ฉันก็จะกลับไปอยู่กับพวกเขาให้ได้”
เสียงร่ำไห้อันโหยหวน เจ็บปวดเหลือคณาของผีริลณีดังไปทั่วบ้านร้างหลังมหาวิทยาลัย พร้อมๆ กับลมที่พัดโหมแรงขึ้น ทำให้รอบๆบริเวณบ้านร้างหลังมหาวิทยาลัยเหมือนเกิดพายุ ฟ้ามืด ทะมึน ดูน่ากลัว แม้เป็นเวลากลางวัน
กล้าและน้าไหว ขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันผ่านมาตามถนนหน้าบ้าน โดยกล้าที่ซ้อนหลังมองบรรยากาศรอบๆ รู้สึกไม่ไว้ใจ
“น้ามาทางนี้ไม่เข็ดรึไง” พลางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวง
“ก็ทางอื่นมันอ้อม” น้าไหวบอก
“แล้วน้าไม่กลัวผีน้องคนสวยหลอกแบบคราวก่อนเหรอ”
“กลัวก็ไม่มา มาก็ไม่กลัวโว้ย ฮ่าๆๆๆๆ มีของดีหมอผีเจ๋งซะอย่าง จะผีชาติไหนก็ไม่กลัว”
“น้าพูดแบบนี้ แถวบ้านฉันเรียกว่าปากพาซวยนะ”
ลมยิ่งพัดแรง เสียงร้องไห้ของริลณียิ่งโหยหวน น้าไหวพยายามจะหาเครื่องรางของอาจารย์ที่พกติดตัวมา แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
“ซวยล่ะสิ ลืมเอาของดีหมอผีเจ๋งมา”
กล้าเสียงสั่น “งะ...งะ...งั้นน้าเหยียบให้มิดไมล์เลยนะ”
“ทำไมวะ”
กล้ามองที่แขนตัวเอง เห็นหยดน้ำบางอย่างหยดลงมา...แหมะ...แหมะ...แหมะ น้าไหวหันมามองตามเริ่มผวากลัว
“นะ...นะ น้ำอะไรวะ หวังว่าคงไม่ใช่เยี่ยวกระรอกนะ” น้าไหวว่า เสียงงี้สั่น
“เยี่ยวกระรอกอะไรจะมาหยดแหมะๆ แบบนี้ ฝนก็ไม่ตก ฟ้าก็ไม่ร้อง แต่มีน้ำหยดแบบนี้ ฉันว่า มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วละน้า”
น้าไหวเริ่มกลัวมากขึ้นเสียงอ่อย “หยะ...อย่าบอกนะว่า”
กล้าและน้าไหวมองหน้ากันด้วยความสยดสยอง ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ เงยหน้ามองขึ้นไปบนต้นไม้ช้าๆ ทั้งสองมองขึ้นไป ไม่มีอะไรอยู่บนต้นไม้ มีแต่ความว่างเปล่า กล้าถอนหายใจโล่งอก น้าไหวเบิ๊ดกะโหลกกล้าด้วยความโมโห
“บิวท์ซะจนไมเกรนจะขึ้น นี่ถ้าพูดอีกนิดจะเชื่อว่ามีน้ำตาผีแล้วนะ”
กล้ามองบนต้นไม้งงๆ “อะไรว๊า บนนั้นไม่มีอะไร แล้วน้ำนี่อะไรเนี่ย”
กล้ามองขึ้นไปข้างบนอีกครั้งอย่างงงๆ ก่อนจะขึ้นไปซ้อนมอร์เตอร์ไซค์ น้าไหวขี่ออกไป
พอทั้งสองขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปแล้ว บนต้นไม้ตรงจุดเดิมที่น้าไหว และ กล้าเงยหน้ามอง
พบว่าผีริลณีนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาร่วงหยดลงพื้นไม่หยุด
บนโต๊ะสนามในสวนสวยบ้านชมพู มีหนังสือเกี่ยวกับการแต่งงานหลายเล่มเปิดวางทิ้งไว้ ไม่ไกลกันเห็นชมพูกำลังเปิดหนังสือชุดเจ้าสาวเลือกแบบชุดแต่งงานด้วยความตื่นเต้น
“ชมพูเลือกไม่ถูกเลยนะคะ พี่เตชินลองดูสิคะ”
ชมพูเลื่อนแบบชุดให้เตชินดู แต่เตชินกลับเหม่อ ไม่มีปฎิกิริยาตอบสนองกับสิ่งที่ชมพูพูด
“พี่เตชิน...พี่เตชินคะ”
เสียงตอนท้ายที่ดังมากขึ้น ทำให้เตชินสะดุ้ง “ครับ”
“พี่เตชินว่าแบบไหนดีคะ”
เตชินมองชมพูงงๆ “เอ่อ แบบไหนอะไรครับ”
“ก็ชุดเจ้าสาวไงคะ พี่เตชินว่าชมพูใส่แบบไหนดีคะ”
เตชินมองชุดในรูป ไม่รู้จะเลือกอะไร “น้องชมพูใส่แบบไหนก็สวยครับ”
“สงสัยชมพูคงต้องหาเพื่อนเจ้าสาวมาช่วยตัดสินใจแทนเจ้าบ่าวซะแล้วมั้งเนี่ย” หญิงสาวออกอาการร่าเริง “ปริมลดาเค้าขอมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ บอกว่าอยากช่วยให้ชมพูจัดงานแต่งออกมาดีที่สุด พี่เตชินว่าให้ปริมลดามาเป็นเพื่อนเจ้าสาวดีมั้ยคะ”
เตชินกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบๆ ไม่ตอบอะไร จนชมพูรู้สึกจ๋อยหน้าเสีย
“พี่เตชินไม่ได้ฟังที่ชมพูพูดเลย คิดถึงใครอยู่เหรอคะ”
เตชินหน้าเสียไปนิด เพราะกำลังคิดถึงริลณี จึงรีบกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรหรอกครับ มาเลือกชุดเจ้าสาวกันต่อดีกว่านะครับ”
เตชินทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ชมพูรับรู้ได้ว่าเขาพยายามฝืน หญิงสาวรู้สึกมั่นใจว่าเตชินต้องมีอะไรในใจแน่ๆ
ตกตอนเย็น ชมพูนั่งอยู่ที่เก้าอี้คนเดียว รู้สึกไม่สบายใจ ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไลน์หาเพื่อนๆ
ที่หน้าจอ เป็นกลุ่มไลน์ของ สามสาว ชมพู ปริมลดา และ หงส์หยก
ชมพูพิมพ์ข้อความไปว่า “สงสัยฉันคงต้องขอแรงพวกเธอเรื่องงานแต่งแล้วละ”
ปริมลดา และ หงส์หยก พิมพ์ตอบมาแทบจะทันทีทันใด
ข้อความปริมลดาตอบมาว่า “ไม่มีปัญหา ฉันรอเป็นเพื่อนเจ้าสาวอันดับหนึ่งของเธออยู่แล้ว”
ส่วนข้อความหงส์หยกบอกว่า “ต๊าย ตายๆๆ อันดับหนึ่งโดนแย่งแล้ว ขอเป็นอันดับ 1.5 ก็แล้วกัน คริคริ”
ชมพูอ่านข้อความแล้วยิ้มดีใจ ท่าทีผ่อนคลายลง ก่อนจะกดพิมพ์ พร้อมอ่านออกเสียง
“ขอบคุณพวกเธอมากๆ นะ” ชมพูคิดหนักก่อนจะตัดสินใจถาม “ถามหน่อย ปกติเจ้าบ่าวจะช่วยเจ้าสาวดูแลเรื่องการจัดงานมั้ย”
ข้อความของปริมลดาและ หงส์หยกเด้งเข้ามาอย่างด่วนๆ
“ช่วยสิ งานแต่งใครก็อยากให้ออกมาดี” ปริมลดาตอบมา
ข้อความหงส์หยกว่า “คุณเตชินไม่สนใจงานแต่งเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก”
ชมพูพิมพ์ปิดท้ายไปว่า “พวกเธออย่าบอกใครนะ บางทีฉันอาจคิดมากไปเองก็ได้”
ปริมลดา และ หงส์หยกที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องนั่งเล่นบ้านปริมลดา ในมือกำลังนั่งแชทคุยไลน์กับชมพู สองสาวหันมามองหน้ากันสะใจ
“ชัดเจนขนาดนี้ เธอน่ะคิดถูกร้อยเปอร์เซ็นต์เลยล่ะลดา”
“ที่พี่เตชินเค้าไม่ช่วย ก็เพราะเค้าไม่อยากแต่งงานกับนางน่ะสิ”
“เวลามาคุยเรื่องจัดงานที่บริษัทฉัน พี่เตชินก็ไม่เคยมา คนในบริษัทฉันเม้าท์จะตาย”
ปริมลดายิ้มชั่วออกมา “ดี”
หงส์หยกงง “ดียังไงลดา”
“แผนของฉันจะได้ง่ายขึ้น คิดว่าฉันยอมเป็นเพื่อนเจ้าสาว เพราะฉันเป็นเพื่อนที่ดีงั้นเหรอ”
“ไม่เคยคิดอยู่แล้ว” หงส์หยกหันไปเห็นสีหน้าเอาเรื่องของอีกฝ่าย รีบปิดปาก “อุ๊บส์ ก็แอบเชื่อว่า คนที่ฉลาดแบบเธอคงไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ ใช่มั้ย”
ปริมลดายิ้มร้าย “แน่นอนฉันมีแผนแล้ว”
“แผนอะไรบอกหน่อยได้มั้ย”
“แล้วเธอก็รู้เองแหละ อิอิ” ปริมลดายิ้มชั่วอีกที “งั้นเรามาปลอบว่าที่เจ้าสาวที่แสนเศร้า แบบเพื่อนที่
แสนดีควรทำ” พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ไลน์ตอบ พูดที่พิมพ์ไป “ไม่ต้องห่วงนะชมพู ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ”
ปริมลดากดส่งข้อความไป ก่อนจะหันมาหัวเราะคิกคักกับหงส์หยกอย่างสะใจเป็นที่สุด
เสียงกริ่งจากหน้าบ้านดังขึ้น ปริมลดา และ หงส์หยกหันมามองหน้ากันแปลกใจ
“ใครมาน่ะ”
เป็นเอกราชที่ยืนรออยู่นอกประตูบ้าน ขณะสองสาวเดินออกมา ปริมลดาหันมามองหงส์หยกแบบรู้กัน
“แขกคนสำคัญมาแบบนี้ สงสัยฉันคงต้องกลับแล้วละสิ ระวังเถอะ พี่โต้งแฟนเธอมาเห็นแล้วจะเป็นเรื่อง”
หงส์หยกกระซิบแซว ก่อนจะเดินขึ้นรถแล้วขับออกไป ปริมลดารีบเข้าไปกอดเอกราชที่รออยู่ ประจบเอาใจ
“ทำไมวันนี้แวะมาหาได้ล่ะ”
เอกราชยิ้มกรุ้มกริ่มเจ้าชู้ใส่ “ก็เหงา”
ปริมลดารู้ทัน “ไม่ใช่แล้วม๊างงง ลองมาแบบไม่บอกกันล่วงหน้าอย่างนี้ อยากรู้อะไรว่ามา”
ปริมลดามองรู้ทัน เอกราชจ้องหน้าคู่ขาแล้วยิ้มขำๆ
“ก็แค่อยากรู้ว่า ลดาไปช่วยงานแต่งงานชมพูเป็นยังไงบ้าง”
“ทำไมถึงสนงานแต่งนี้” ปริมลดาจ้องหน้า “อย่าบอกนะว่าเกิดเสียดายยายชมพูขึ้นมา”
เอกราชยิ้มกริ่ม “ลดารู้ใจผมจริงๆ”
ปริมลดายิ้มยั่วยวน “ก็นายมันคนชอบแย่ง เห็นใครเค้ามีความสุขไม่ได้”
“สำหรับชมพู ฉันไม่ได้แค่อยากแย่ง ฉันอยากแต่งงานกับเค้า”
“ไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายที่หวงความโสดสุดๆ อย่างนายพูดแบบนี้ออกมา”
“จริงๆ ก็ไม่ได้หวงหรอกความโสดน่ะ แค่ไม่เจอคนที่คู่ควรเท่านั้น”
“ฮึ พูดแบบนี้ลดาเสียใจนะ”
ปริมลดาค้อนควัก งอนใส่ และจะเดินหนี แต่เอกราชจับตัวไว้ก่อนจะดึงเข้ามากอด
“เธอก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับฉันอยู่แล้วนี่ เราก็แค่สนุกๆ กันไม่ใช่เหรอ”
ปริมลดาหันมามองหน้าเอกราช ยิ้มยั่ว “ใช่ เราสองคนไม่ใช่คนที่ดีพอของกันละกัน แล้วลดาก็เจอคนที่ใช่สำหรับลดาแล้ว ไม่แน่นะ ถ้าเราร่วมมือกัน เราอาจจะสมหวังในสิ่งที่หวังก็ได้”
เอกราชแปลกใจ มองหน้าปริมลดานิ่งๆ ก่อนจะยิ้มอย่างเข้าใจ
“เราสองคนนี่มันเหมาะสมกันจริงๆ”
เอกราชหัวเราะร่วน ก่อนจะกระชับเอวปริมลดาพาเดินไปในบ้าน
ชายโฉดหญิงชั่วหัวเราะให้กันอย่างสมใจ
อ่านต่อหน้า 4
นางชฎา ตอนที่ 5 (ต่อ)
เตชินกลับถึงบ้านหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน หนังสือเกี่ยวกับงานแต่งงาน ถูกวางกองทิ้งบนโต๊ะทำงานไม่ได้เปิดอ่านหรือแตะต้องเลยสักนิด โดยตอนนี้เตชินกำลังนั่งหน้าดำคร่ำเคร่งทำอะไรบางอย่างอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
ที่แท้เขาเปิดโปรแกรมกูเกิ้ลเซิร์ช พิมพ์ชื่อ “ริลณี รักถิ่น” ลงไป แล้วกดค้นหา ข้อมูลที่ขึ้นมาว่า “ไม่พบข้อมูลใดๆทั้งสิ้น” ทำให้เขาถอนหายใจเครียด
ชายหนุ่มผินหน้าไปมองผ้าเช็ดหน้าของริลณีที่วางไว้ข้างตัว ด้วยสีหน้าอันมุ่งมั่น
“ผมรู้ว่าคุณอยู่ใกล้ๆ ผม และผมจะตามหาคุณให้ได้”
ทางฝ่ายชมพู ได้หมูหวานมาช่วยเลือกรูปภาพของชมพู สำหรับทำวิดีโอพรีเซนเทชั่นในงานแต่งงาน
หมูหวานถามด้วยความสอดรู้ “เอ ปกติเลือกรูปทำวิดีโอให้แขกดูในงานเนี่ย ต้องใช้รูปทั้งเจ้าบ่าว เจ้าสาวใช่มั้ยคะ” หมูหวานมองรูปตรงหน้า “แล้วทำไมอันนี้มีแต่รูปคุณชมพูละคะ”
ชมพูหน้าจ๋อย “ก็พี่เตชินเค้าไม่เอาของตัวเองมาให้สักที”
“อุ่ย หมูหวานไม่ได้ตั้งใจพูดให้คุณชมพูเสียใจนะคะ”
ชมพูลุกขึ้น หมูหวานรีบพูดแทรกขึ้นมาเพราะกลัวชมพูจะเศร้ากว่านี้
“หมูหวานว่าเราเลือกรูปกันดีกว่านะคะ” หมูหวานแกล้งทำเป็นหยิบรูปมั่วๆ ก่อนจะหยิบรูป ชมพูกับริลณีในชุดรำขึ้นมา “อุ๊ย เพื่อนคนนี้ของคุณชมพูสวยมากเลยนะคะ เค้าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของคุณชมพูมั้ยคะ”
ชมพูมองรูปริลณี “คงไม่มาหรอก เพราะฉันไม่รู้เลยว่าเค้าอยู่ที่ไหน”
ในบรรยากาศมืดมัววังเวงและดูน่ากลัว ตรงประตูรั้วหน้าบ้านชมพู มีเสียงหมาหอนรับกันรอบๆ บริเวณเสียงโหยหวนชวนสยอง เพื่อนที่ชมพูพูดถึงยืนเป็นผีอยู่หน้าบ้านนั่นเอง
“เพื่อนรักของฉัน ฉันมาหาเธอแล้ว”
ริลณีมองเข้าไปในบ้าน พยายามจะเข้าไปในบ้าน แต่ก็เข้าไปไม่ได้ ด้วยมีพระภูมิเจ้าที่อารักขาเหมือนบ้านเตชิน
เสียงหมาหอนรับกันเป็นทอดๆ ดังจากนอกบ้านฟังดูสยดสยอง หมูหวานที่ได้ยินรีบขยับเข้าไปกอดขาชมพูแน่นด้วยความกลัว
ชมพูแปลกใจ “อยู่ดีๆ ทำไมหมาเห่าขนาดนี้”
“ไม่ใช่เห่าค่ะคุณชมพู จัดเต็มมาขนาดนี้ เค้าเรียกหอนค่ะ แล้วเค้าว่ากันว่าเวลาหมาสามัคคีชุมนุมหอนกันแบบนี้ เพราะ...เห็น...เห็น...” หมูหวานกลัวจนติดอ่างไปแล้ว
ชมพูเองก็ชักกลัวเหมือนกัน “เห็นอะไร”
“เห็นผีน่ะสิคะ”
ชมพูยิ้มแหยๆ พยายามพูดปลอบใจตัวเอง “ผะ...ผะ...ผีไม่มีจริงหรอก พี่เตชินเคยบอกไว้”
รถตู้คันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้ารั้วบ้าน เตรียมจะเข้าบ้าน ในรถตู้คันนั้น พิชัยและพิสมัย คุยกับสมหมายด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“เสียดายนะคะอาจารย์ไม่อยู่ เลยไม่ได้ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ให้ชมพูกับเตชินเลย”
“ก็อาจารย์เค้าคนดัง งานเยอะ ไว้ค่อยนัดใหม่ก็ได้” พิชัยว่า
“ผมก็ตั้งใจจะไปถามวิธีดวงตก ดูทีวีกี่รายการหมอดูฟันโชะ ว่าผมดวงตกทั้งน้าน...”
สมหมายหัวเราะขำ ก่อนจะหันไปมองที่ประตู เตรียมเปิดประตูอัติโนมัติและขับรถเข้าบ้าน แต่สมหมายต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นริลณียืนอยู่หน้าบ้าน สมหมายขยี้ตา ก่อนจะมองใหม่ ก็ยังเห็นริลณียืนอยู่
“มีใครที่ไหนก็ไม่รู้ครับ มายืนอยู่หน้าบ้านเรา”
พิสมัย และ พิชัย แปลกใจ รีบมองผ่านกระจกไปมอง แต่สายตาทั้งสองคนไม่เห็นมีใครยืนอยู่ตรงนั้นเลย
“ใครเหรอสมหมาย ฉันไม่เห็นมีใครสักคน” พิชัยฉงน
สมหมายมองไปที่หน้าบ้าน ก็เห็นริลณียังยืนอยู่
“ก็ผู้หญิง ผมยาวปรกหน้า ที่ยืน...” สมหมายเริ่มคิดได้ว่าสิ่งที่เห็นอาจไม่ธรรมดา เริ่มกลัว “เอา
แล้วไง ดวงตกจริงๆ แล้วเรา”
“นายสมหมายลงไปดูให้แน่ใจทีสิ เกิดเป็นขโมย ขโจร”
“ผมว่ายืนคอตกขนาดนั้น ไม่น่าจะใช่ขโมยนะครับ” สมหมายบอก
พิสมัยงง “ถ้าไม่ใช่ขโมยแล้วใคร”
สมหมายปากสั่น “ชะ...ชะ เชื่อเถอะครับ ว่าคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงไม่อยากให้ผมพูด”
พิชัยและพิสมัยมองหน้ากัน เริ่มรู้แล้วว่าสมหมายหมายถึงอะไร พิสมัยกลัวขยับกอดพิชัยแน่น
สมหมายกลืนน้ำลายเหนียว กลัวเหมือนกัน ยกมือขึ้นไหว้ พึมพำบทสวดมนต์ พิสมัยผวากลัวกอดพิชัยไว้แน่น จนสมหมายสวดเสร็จ พูดเหมือนให้คนที่อยู่นอกรถได้ยิน
“กลับไปซะ ที่นี่ไม่มีใครที่เธอรู้จักหรอก อย่ามาขวางทางพวกเราเลย”
ริลณียืนอยู่หน้าประตูเหลียวขวับมาทางเสียง แล้วลอยวูบมาเกาะหน้าต่างรถสมหมายอย่างรวดเร็ว ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะกรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงชวนขนลุกขนพอง โกรธเกรี้ยวที่โดนไล่
“มาแบบนี้ อยู่ด้วยไม่ได้แล้ว...”
สมหมายรีบกดประตูอัตโนมัติ พอประตูเปิดออก สมหมายใส่เกียร์เหยียบคันแร่ง แล้วรีบขับรถพุ่งเข้าบ้านทันที ริลณีจะตามรถเข้าไป แต่เข้าไม่ได้ ได้แต่มองตามเข้าไปข้างในด้วยความโมโห
รถตู้แล่นเข้ามาจอดเอี๊ยดหน้าบ้าน ชมพูและหมูหวาน เปิดประตูวิ่งออกมา ยิ่งเห็น พิชัยประคองพิสมัยลงมาจากรถด้วยหน้าตาดูตื่นกลัว ก็ยิ่งแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณพ่อคุณแม่ ชมพูเห็นจอดรถหน้าประตูตั้งนาน”
สมหมายตอบเองว่า “ผีครับ ผมเห็นผีผู้หญิง ผมยาว ชุดไทยยืนอยู่หน้าบ้าน”
ชมพูไม่อยากเชื่อ “ผี เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“พ่อกับแม่ก็ไม่อยากเชื่อ แต่ว่า...”
พิชัยพูดไม่ทันจบ หมูหวานก็กรี๊ดขึ้น “อ๊าย...”
ทุกคนหันไปมองหมูหวาน ที่ยืนอยู่ตรงประตูรถด้านที่สมหมายขับ หน้าตาตื่นตกใจสุดๆ
“ร้องซะตกอกตกใจ มีอะไรหมูหวาน” พิสมัยแปลกใจ
หมูหวานชี้ไปบนกระจกรถ ด้านที่สมหมายขับ “ดูนี่สิคะ”
ชมพู พิสมัย พิชัย และสมหมาย รีบเข้าไปดู เห็นรอยสองมือของริลณีปรากฏขึ้นบนกระจกอย่างชัดเจน
ทุกคนมองหน้ากันช็อกไปทั้งแถบ
วันต่อมา พิสมัย ชมพู เตชิน สมหมาย และ หมูหวาน พากันมาทำบุญที่วัด กำลังช่วยกันยกของสังฆทานประเคนให้หลวงตาคง
“วิญญาณพวกนั้นทำอะไรเราไม่ได้ หากไม่ได้ก่อเวรสร้างกรรมกันมา เขาก็แค่มาขอส่วนบุญเท่านั้น”
“แบบนั้นไม่ได้เรียกว่าขอส่วนบุญนะครับ เค้าเรียกว่าหลอกกันเห็นๆ” สมหมายบอก
หลวงตาคงมองหน้าเตชินที่นั่งนิ่งๆอยู่
“แล้วโยมเตชินล่ะ กลัวผีรึเปล่า”
เตชินตอบเสียงดังฟังชัด “ผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ครับ”
หลวงตาคงยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปทางชมพูที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“แล้วโยมค่ะ”
“ดิฉัน เชื่ออย่างพี่เตชินเชื่อค่ะ”
หมูหวานเสนอหน้าตอบ “ส่วนหนูเชื่อขาดใจเลยค่ะ หลวงตาจัดบุญ จัดกุศลมาเยอะๆ เลยนะคะ
หนูจะได้อุทิศส่วนกุศลให้ผีคนนั้น เอ๊ย ผีตัวนั้น เอ๊ย ผีตนนั้น จะได้ไม่มายุ่งที่บ้านเราอีก”
ทุกคนหันมองหมูหวานขำๆ
“งั้นก็ตั้งใจกรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญกุศลที่ทำในวันนี้ให้เขาหรือใคร ก็ขอให้ตั้งใจอธิษฐานนะ” ผู้ทรงศีลมองหน้าเตชิน เหมือนจะบอกบางอย่าง “ถ้าความมุ่งมั่นและบุญของโยมมีมากพอ คนที่โยมอยากพบ อาจจะกลับมาหาโยมก็ได้”
เตชินสะดุดใจกับคำพูดนั้นเล็กน้อย เงยหน้ามองหลวงตาคงเห็นท่านยิ้มมาให้ ก่อนจะเริ่มสวดมนต์ พิสมัย พิชัย หมูหวาน สมหมาย และ ชมพู หลับตา อุทิศส่วนกุศล เตชินที่ลืมตาอยู่มองก่อนจะหลับตาตั้งใจอธิษฐานในบางสิ่งอย่างมุ่งมั่น
ริลณีนั่งหลับตาพนมมืออยู่ภายในบ้านร้างหลังมหาวิทยาลัย ท่ามกลางบรรยากาศน่ากลัวหลอนๆ
เสียงคำอุทิศส่วนบุญกุศล จาก ชมพู พิชัย พิสมัย หมูหวาน สมหมาย และ บทสวดของหลวงตาคงดังเข้ามาในบ้าน ทำให้ร่างของริลณีเปล่งแสงด้วยพลังแห่งบุญ ที่ทุกคนทำให้ โดยเฉพาะบุญจากแรงอธิษฐานของเตชิน
“ขอบุญกุศลที่ผมได้ทำในวันนี้ ช่วยทำให้ริลณีกลับมาหาผม ขอให้เราได้อยู่ด้วยกัน นับจากวันนี้จนถึงวันที่เราแก่เฒ่า อย่าให้เราต้องพรากจากกันอีกเลย”
สิ้นคำอธิษฐานนั้น ร่างกายของริลณีก็มีพลังขึ้น ผิวที่ซีดเผือดของริลณีก็ค่อยๆ กลับมาขาวนวลผุดผ่องเหมือนเดิม ใบหน้าก็ค่อยๆ กลับมาสวยเหมือนเมื่อตอนมีชีวิต ริลณียิ้มด้วยความพอใจ
“เตชิน ฉันจะกลับไปหาคุณ”
ถัดมา เตชินและชมพูเดินคุยกันมาในบรรยากาศร่มรื่นของวัด
“วัดนี้ร่มรื่นดีนะคะ ไม่เคยรู้เลยว่าพี่เตชินชอบมาที่นี่บ่อยๆ”
“ที่บ้านพี่มากราบพระอาจารย์คงบ่อยๆ” สีหน้าเขาเศร้าลง เพราะคิดถึงช่วงเวลาที่เคยมากับริลณี “แล้วพี่ก็เคยพาเพื่อนมาไหว้ท่านด้วย”
“ต้องเป็นเพื่อนคนสำคัญของพี่ใช่มั้ยคะ วันหลังแนะนำให้ชมพูรู้จักบ้างนะคะ”
“คงจะยากน่ะครับ เพราะตอนนี้พี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าเค้าหายไปอยู่ที่ไหน”
“น่าเสียดายจังเลยนะคะ เดี๋ยวชมพูจะอยู่ทำสมาธิกับคุณพ่อคุณแม่ พี่เตชินจะอยู่ด้วยกันมั้ยคะ เสร็จแล้วจะได้ไปเลือกการ์ด ของชำร่วย”
ขณะที่ชมพูเจื้อยแจ้วอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็เกิดภาพนิมิตแวบเข้ามาในหัวโดยที่เตชินไม่ทันตั้งตัว
เตชินเห็นภาพริลณีนั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้ม้าหินสายตาทอดมองออกไปที่บึงใหญ่กลางมหาวิทยาลัย สถานที่นั้นเตชินรู้จักเป็นอย่างดี ริลณีจะค่อยๆ หันมาและยิ้มหวานหยดให้ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เตชินตกหลุมรักเธอตั้งแต่วินาทีนั้น
“เตชิน รินจะรอคุณอยู่ที่นี่”
นึกเรื่องนี้แล้ว เตชินชะงักอึ้งไปนาน ก่อนจะหันไปมองชมพูที่กำลังพูดอยู่
“ชมพูอยากได้ของชำร่วยน่ารักๆ ชมพูเลือกไว้สองสามอย่างแล้ว แต่...”
ชมพูเห็นเตชินเอาแต่นิ่งอึ้ง ท่าทีดูแปลกๆ จึงหันมามองด้วยสายตาสงสัย
“พี่เตชินเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
เตชินได้สติ “เอ่อ...คือ พอดีพี่มีธุระสำคัญ ขอตัวก่อนนะครับ”
พูดเสร็จเตชินก็รีบเดินออกไป โดยไม่รอให้ชมพูตอบรับ ชมพูได้แต่อึ้งเหวอ
เตชินขับรถมาตามถนนด้วยความรีบร้อน ใส่หูฟังบลูทูธกำลังคุยโทรศัพท์กับชัชไปด้วย
“ชัช วันนี้ฉันจะไม่เข้าไปดูบ้านนะ ฝากนายดูงานด้วย”
เสียงชัชโวยวายดังออกมา “แกจะไปไหนอีกไอ้เต ไม่มาช่วยกันรีบทำ เสร็จไม่ทันวันแต่งนะเว้ย”
“ฉันมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ”
“อะไรจะสำคัญไปกว่าเรือนหอวะ”
“ฉันจะไปตามหาริลณี ฉันมีความรู้สึกว่า วันนี้ฉันจะได้พบเค้า”
เตชินวิ่งเข้ามาที่เก้าอี้ริมบึง ในบรรยากาศแสนโรแมนติก ณ ที่ตรงนั้น เขาเห็นใครบางคนนั่งหันหลังอยู่ ผมยาวสลวยดำขลับ และ รูปร่างที่คุ้นตา ดึงดูดให้เตชินค่อยๆ สืบเท้าเดินเข้าไปหาใกล้ๆ มั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนในความคิดถึงของเขาตลอดสองปี
“ริน”
ริลณีที่หันหลังอยู่หันมามองตามเสียงเรียก มองเจ้าของเสียงน้ำตาคลอเบ้า
“เตชิน”
“ในที่สุด ผมก็ได้เจอคุณจริงๆ สักที”
เตชินรีบโผเข้ากอดริลณีด้วยความรักและความคิดถึง รีลณีกอดตอบแน่น น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด สุดท้ายเธอกับเขาก็ได้พบกันแล้ว
เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้ เตชินเอาแต่จดสายตามองจ้องริลณีไม่วางตา ริลณีนั่งนิ่งดูขรึมมากขึ้นกว่าเดิม เหลือบตามองเตชินที่พูดยิ้มๆ
“รินไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด”
“แต่คุณกำลังจะเปลี่ยนไป คุณกำลังจะแต่งงาน”
เตชินตกใจ “รินรู้”
“คุณกำลังจะแต่งงานกับเพื่อนรักที่สุดของริน” น้ำเสียงมีวี่แววตัดพ้อในนั้น
เตชินรีบอธิบาย “รินมันไม่ใช่อย่างที่รินคิดนะครับ ช่วงที่เราไม่ได้เจอกัน มันเกิดเหตุการณ์มากมาย ผมพยายามตามหาริน เพื่อจะอธิบายเรื่องพวกนั้น ว่าทำไมคืนนั้นผมไม่ไปตามนัด ทำไมผมถึงหายไปกะทันหัน แล้วทำไมผมถึงต้องแต่งงาน”
“ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ รินรู้ทุกอย่างแล้ว”
“แต่รินอาจจะไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของผม ผมไม่เคยลืมรินเลย ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้ เพราะรินแต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่ผม...”
“รินยังเป็นริลณี คนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไป”
เตชินอึ้ง มองหน้าริลณีงงๆ “หมายความว่าริน ยังไม่ได้แต่งงานงั้นเหรอ”
ริลณีพยักหน้ารับ สีหน้าแววตาของเตชินเปล่งประกายเจิดจ้าฉายชัด รีบคว้ามือริลณีมาจับไว้ ด้วยความดีใจเป็นที่สุด
น้าไหว และ กล้ายืนแอบมองเตชินจากอีกมุมด้วยความแปลกใจ
“น้าๆ เค้าทำอะไรน่ะ”
สองคนเห็นเตชินนั่งอยู่ตรงม้าหิน เหมือนนั่งพูดอยู่คนเดียว และยังเห็นเตชินทำท่าจับอากาศ เพราะสองคนไม่เห็นริลณี
“อากาศมันร้อน คนเลยเพี้ยนมั้ง” น้าไหวบอก
“เสียดายนะน้า หน้าตาก็ดี ไม่น่าบ้า”
น้าไหว และ กล้า มองเตชินด้วยความสมเพช ปนประหลาดใจ
ระหว่างนี้รถญี่ปุ่นระดับกลาง แล่นเข้ามาอย่างเร็วมาก น้าไหวเหลือบไปเห็น รีบสะกิดกล้า
“เฮ้ย! ระวัง!”
น้าไหวและกล้า กระโดดหลบรถได้อย่างเฉียดฉิว
รถญี่ปุ่นคันนั้นจอด และกระจกลดลง เผยให้เห็นว่าหงส์หยกเป็นคนขับ หงส์หยกมองกล้า และ น้าไหว อย่างสะใจ
“ยังซื่อบื้อเหมือนเดิมนะน้า”
หงส์หยกเยาะเย้ยเสร็จ ก็กดกระจกขึ้น ก่อนจะขับรถไปต่อ สองยามมองตามอย่างเจ็บใจ
กล้าตะโกนด่าไล่หลัง “ไอ้พวกมีปมด้อย ตอนเรียนไม่มีรถ พอจบมีรถได้ทำเป็นซิ่ง เชอะ”
ฝ่ายเตชินจับมือริลณีมากุมไว้มั่น มองจ้องหน้าด้วยความแปลกใจ
“ทำไมมือรินเย็นจัง ไม่สบายรึเปล่าครับ”
“ค่ะ รินไม่ค่อยสบาย ที่รินหายไปไม่ได้ติดต่อกับใคร เพราะรินต้องไปรักษาตัว”
เตชินทั้งตกใจและเป็นห่วง “รินเป็นอะไรมากรึเปล่า ให้ผมพาไปหาหมอมั้ยครับ”
“ตอนนี้รินไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ รินหายจากความเจ็บปวดทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรหรือใครที่จะทำให้รินเจ็บปวดได้อีกแล้ว”
ริลณีหันไปเห็นหงส์หยกเดินลงมาจากรถพอดี จากดวงตาที่อ่อนโยนของริลณีกลายเป็นดวงตาแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความโกรธ ความแค้น และอาฆาตพยาบาท ขึ้นมาทันที
เตชินพยายามอธิบาย “ถ้ารินคิดว่าคนที่ทำให้รินเจ็บปวดคือผม ขอให้ผมได้มีโอกาสอธิบายเรื่องทุกอย่างกับรินได้มั้ยครับ”
น้ำเสียงริลณีแข็งกร้าว “ยังไม่ใช่วันนี้”
ริลณีจดสายตามองตามหงส์หยกที่เดินหายเข้าไปในตึกกิจกรรมด้วยความแค้น เตชินมองท่าที่นั้นด้วยความแปลกใจ
“รินต้องมีเรื่องที่ต้องสะสางให้เสร็จก่อน”
“ถ้างั้นผมขอที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ของรินไว้ได้มั้ยครับ ผมจะได้ติดต่อไปหาริน”
“คุณตามหารินมามากแล้ว ต่อไปรินจะไปหาคุณเอง”
เตชินก้มลงหยิบกระเป๋าเงิน และ นามบัตร “งั้นรินติดต่อผม ตามที่อยู่ในนามบัตรนี้นะครับ”
พอเตชินเงยหน้าขึ้นจะให้นามไว้ แต่พบว่าริลณีหายไปจากตรงนั้นแล้ว เตชินแปลกใจพยายามมองหา
“ริน...ริน คุณหายไปไหนน่ะ” เตชินใจหาย พยายามร้องเรียกหา “ริน...ริน”
ฝ่ายหงส์หยกเดินมาตามตึกกิจกรรม โดยไม่รู้ว่าผีริลณีสืบเท้าเดินตามมาด้วย หงส์หยกเดินๆ อยู่รู้สึกเหมือนมีใครตาม จึงหยุดหันไปมอง แต่เมื่อไม่เห็นใคร ก็เดินต่อไป โดยไม่เห็นว่า ริลณีเดินตามอยู่ข้างหลัง จ้องมองหงส์หยก ด้วยความโกรธแค้นอาฆาต
หงส์หยกเดินเข้าไปในห้องชมรมนาฏศิลป์ พลางยกมือไหว้ อาจารย์นาฏที่อยู่ในนั้น ริลณีเดินตามหงส์หยกเข้ามาในห้องด้วย
“สวัสดีค่ะ อาจารย์”
“อ้าว หงส์หยก ไปไงมาไงถึงมาที่นี่ได้”
“หนูจะมาขอเด็กรำอาจารย์สัก 6 คน ไปช่วยรำที่งานอีเว้นท์ของบริษัทหนูหน่อยน่ะค่ะ”
อาจารย์ทำหน้างอน “ไอ้เราก็คิดว่าจะมาเยี่ยมเพราะคิดถึง ถ้าไม่มีงานไม่คิดจะมาหากันเลยนะ”
“แหม...อาจารย์ก็รู้ว่าหนูงานยุ่ง”
“งั้นเดี๋ยวครูไลน์ตามเด็กๆ ให้”
อาจารย์นาฏเดินไปนั่งที่โต๊ะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาเด็กๆ ลูกศิษย์นางรำในขณะที่หงส์หยกเดินไปรอบๆ ห้อง มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย ริลณีเดินตามด้วยความแค้น
“แกฆ่าฉัน เพื่อนทรยศ แกต้องตาย”
ริลณีตรงเข้าไปหมายจะบีบคอหงส์หยก ทว่าร่างและมือของริลณีกลับไม่สามารถสัมผัสตัวหงส์หยกได้ แต่หงส์หยกสัมผัสและรับรู้ถึงพลังงานความโกรธแค้นนั้นได้ รีบหันหลังไปมอง หงส์หยกเผชิญหน้ากับริลณี ทั้งสองจ้องตากัน
ดวงตาของริลณีมีแต่ความแค้น ในขณะที่ดวงตาของหงส์หยกเต็มไปด้วยความกลัว หงส์หยกตัวสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
อาจารย์นาฏไลน์เสร็จแล้ว
“ครูตามเด็กๆ มาให้แล้วนะ อีกสักครึ่งชั่วโมงคงจะมากันครบ”
อาจารย์หันไปมองเห็นหงส์หยกยืนตัวสั่น ช็อกตาเบิกค้าง เหมือนเห็นอะไรน่ากลัวสุดจะประมาณตรงหน้า อาจารย์นาฎไม่เห็นริลณี เดินเข้าไปดู และ ยืนแทนที่ตรงที่ริลณียืนอยู่ พอดิบพอดี ผีริลณีหายไปแล้ว
“เป็นอะไรน่ะหงส์หยก”
หงส์หยก ตัวสั่น ปากสั่น หันมามอง อาจารย์นาฎด้วยท่าทางช็อกๆ กลัวๆ แต่ยังพูดไม่ได้
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“มะ...มะ...ไม่มีอะไรค่ะ” หงส์หยกลนลานลากลับ “หนูกลับก่อนนะคะอาจารย์”
“อ้าว จะรีบไปไหน แล้วเด็กล่ะ” หญิงสูงวัยแปลกใจ
หงส์หยกไม่ตอบมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะรีบลนลานเดินออกจากห้องไปด้วยความกลัว ทิ้งให้อาจารย์นาฎมองตามอย่างแปลกใจ
“อะไรของเค้า”
ไม่ไกลจากที่รถหงส์หยกจอดอยู่ เห็นผีริลณียืนจ้องหงส์หยกที่เดินลนลาน มองซ้าย มองขวา เหลียวหน้าแลหลัง มาไขกุญแจรถ และรีบร้อนจนไขผิดไขถูก กระทั่งกุญแจรถตก
หงส์หยกก้มลงหยิบกุญแจ ขณะก้มเห็นเงาของใครบางคน มายืนขวางอยู่ตรงหน้า หงส์หยกผวากลัวเนื้อตัวสั่น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอย่างลุ้นระทึก
ปรากฏว่าคนที่ยืนตรงหน้าหงส์หยก คือ กล้า กับ น้าไหว สองคนยืนยิ้มแฉ่งอยู่ หงส์หยกถอนหายใจโล่งอก
“ไม่ต้องโล่งใจ พวกพี่ไม่ได้มาดี พวกพี่จะมาเตือนน้องว่า...” กล้าบอก น้าไหวเสริม
“ขับรถในมหาวิทยาลัย ห้ามใช้ความเร็วเกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เข้าใจมั้ย”
กล้าและน้าไหวมองหงส์หยกอย่างจริงจังมาก แต่หงส์หยกไม่แคร์
“เข้าใจแล้วทำไม ไม่เข้าใจแล้วทำไม” หญิงสาวผลักสองยามออก “ถอยไป”
หงส์หยกรีบไขกุญแจรถ ขึ้นนั่งแล้วขับออกไปอย่างแรง สองยามมองตาม ด่าไล่หลัง
ริลณียืนมองตามหงส์หยกด้วยความโมโห โกรธแค้นอย่างที่สุด
“ทำไม ฉันถึงฆ่ามันไม่ได้ ทำไม”
เตชิน ณรงค์ และจิตรา นั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารมื้อค่ำ สร้อยกำลังตักข้าวใส่จานให้เตชินเป็นคนต่อมา เตชินที่ดูหน้าตาครุ่นคิดบางอย่างอยู่ ตัดสินใจพูดออกไป
“ถ้าผมจะขอเลื่อนงานแต่งออกไปแบบไม่มีกำหนดได้มั้ยครับ”
จิตรา กับณรงค์หันขวับมองเตชิน แม้แต่สร้อยก็มองเตชินด้วยสีหน้าตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเตชิน”
จิตราโวยลั่น “นั่นสิ ทำไมต้องเลื่อนงานแต่งด้วย”
“คือผม...”
สร้อยเสนอหน้าเข้ามาพูดแจม “ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว ถ้าคุณเตชินเลื่อน ทุกอย่างจะเสียหายนะคะ”
พอพูดเสร็จสาวใช้จอมเจ๋อก็นึกได้ว่าไม่ควรยุ่ง จิตรามองเอาเรื่องสร้อย
“ออกไปก่อน”
“ค่ะ คุณหญิง”
สร้อยเดินคอตกออกไป คุณหญิงหันมามองลูกชาย เอาเรื่องสุดๆ
“ถ้าลูกกล้าขอแบบนี้ แม่หวังว่าลูกคงจะมีเหตุผลที่ดีพอนะ”
“เอ่อ...คือ ผมคิดว่า ผมอาจจะปรับปรุงเรือนหอไม่ทันน่ะครับ”
“เรื่องแค่นั้นเอง ก็มาอยู่ที่บ้านเราก่อน ปรับปรุงเสร็จก็ค่อยย้าย ไม่เห็นเป็นไร” ณรงค์ว่า
“แต่ผมอยากทำให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์” เขาหาคำอ้าง
“ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์อะไรทั้งนั้น ฤกษ์มีแล้ว งานทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมแล้ว จะถูกเลื่อน เพราะแค่ลูกอยากให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์พร้อม แม่คงยอมไม่ได้หรอก จำไว้นะ เตชิน ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์”
ณรงค์ประกาศ “เพราะฉะนั้น จะไม่มีการเลื่อนงานแต่งเด็ดขาด”
“แต่ คุณพ่อคุณแม่ครับ”
“จะทำอะไรอย่าเอาแต่ใจตัวเอง คิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่เอาไว้บ้าง เข้าใจมั้ย” ณรงค์ตำหนิลูกชาย
เตชินเถียงไม่ออก
ณรงค์ และ จิตรา ทานอาหารด้วยความหงุดหงิด เตชินจ๋อยสนิท ไม่รู้จะทำยังไงดี
หลังมื้อค่ำ จิตราและณรงค์เดินออกมาคุยกันมุมหนึ่ง จิตราหันไปมองหน้าณรงค์ด้วยความไม่สบายใจ
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง อาจจะเครียดเรื่องบ้านจริงๆ ก็ได้”
“แต่ฉันว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง”
จิตรามั่นใจมากมองหน้าณรงค์อย่างจริงจัง ก่อนจะอธิบาย
“ตั้งแต่เล็กจนโต เตชินไม่เคยขัดคำสั่งของพวกเรา คุณก็รู้ แต่มีแค่ครั้งเดียวที่ยืนกรานกระต่ายขาเดียวไม่ทำตามสิ่งที่เราขอ คุณจำได้มั้ยว่าสาเหตุมาจากอะไร”
ณรงค์คิดก่อนตอบออกมาว่า “เด็กนางรำนั่น”
“ใช่ค่ะ ฉันกลัวว่ามันจะพยายามกลับเข้ามาในชีวิตลูกเราอีก”
“เป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องมันนานมาแล้วนะคุณ”
“ไม่รู้สิคะ ฉันรู้สึกมีเซนส์ถึงนังเด็กนั่นแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก”
ณรงค์พยายามปลอบ “คุณคิดมาก ป่านนี้เด็กนั่นมีลูกมีสามีไปแล้วมั้ง”
“ลองถ้าอยากได้ มีลูกมีผัวก็ไม่สนหรอกค่ะ คนสมัยนี้หน้าด้าน”
“ผมว่าคุณฝังใจกับเด็กนั่นเกินไป เชื่อผมสิ ไม่มีอะไรหรอก ผู้ชายใกล้แต่งงานก็แบบนี้แหละ กลัวการผูกมัดกันทุกคน”
ณรงค์หัวเราะขำๆ ไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป ผิดกับคุณหญิงจิตราที่สีหน้ายังคงกังวลและรู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ
ส่วนเตชินเข้ามาในห้องนอน เดินตรงเข้ามาที่โต๊ะทำงานที่มีหนังสือเกี่ยวกับการแต่งงานกองอยู่มากมาย ได้แต่ทอดถอนใจลงนั่งบนเก้าอี้ ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
เวลานั้นเตชินยังคงถือนามบัตรของตัวเองไว้ในมือ พยายามวิ่งตามหาและตะโกนเรียกริลณีว่าหายไปไหน
“ริน....ริน...คุณหายไปไหน ริน...อย่าแกล้งผมอย่างนี้สิ ริน ริน...”
เตชินได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก เขาชะงักหันไปมองตามเสียงนั้น และเห็นริลณียืนยิ้มมองมา เตชินรีบเดินเข้าไปกอดริลณีแน่น หน้าตาตัดพ้อ และ ตกใจมากๆ
“รินน่ะ อยู่ดีๆ ก็มาแกล้งหายไปเฉยๆ แบบนี้ ผมตกใจนะครับ”
“ทำไมต้องตกใจด้วยละคะ”
เตชินปล่อยตัวริลณีออกจากการกอด จ้องหน้านางรำคนสวยด้วยสายตาหวั่นกลัวจริงๆ
“ก็ผมกลัวว่าจะไม่ได้พบรินอีก”
ริลณียิ้มดีใจ “รินจะไปไหนได้ละคะ รินยังไม่ได้เอานามบัตรคุณไปเลย”
ริลณีหยิบนามบัตรจากมือเตชินมาเก็บไว้ อีกฝ่ายยังกังวลไม่คลาย
“รินจะโทร.มาใช่มั้ยครับ รินจะไม่หายไปอีกใช่มั้ย”
“เตชินจำที่เราเคยสัญญากันได้มั้ยคะ”
ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนที่เตชินจะพูดออกมาว่า
“เราจะไม่มีวันแยกจากกัน”
ดวงตาริลณีเบิกกว้าง บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม้แต่ความตายก็จะมาแยกเราสองคนไม่ได้ รินกลับมาหาคุณแล้ว ไม่มีวันจะหนีไปจากคุณอีก”
เตชินดึงตัวเองกลับมา ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกผิดต่อริลณี จนต้องถอนหายใจเครียด
“ถ้าผมรอคุณอีกสักนิด เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้”
ทันทีที่เตชินพูดจบปุ๊บ เสียงข้อความเข้า จากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นปั๊บ เตชินรีบหยิบขึ้นดู
อ่านข้อความในโทรศัพท์ “รินรู้ว่าคุณพยายามเพื่อริน ไม่ต้องกังวลค่ะ ทุกอย่างจะมีทางออกของมันเอง”
เตชินอ่านข้อความจากริลณีงงๆ “รินงั้นเหรอ รู้ได้ไงว่าเราคิดว่าไง”
ชายหนุ่มกดโทรศัพท์หาเบอร์โทรศัพท์ต้นทางจากริลณี แต่ว่าที่ข้อความไม่โชว์เบอร์!
เตชินงง “ไม่โชว์เบอร์”
มีเสียงข้อความเข้ามาทันที หลังจากที่เตชินพูดจบ เตชินรีบกดอ่าน
“เพราะรินยังไม่อยากให้ใครรู้ว่ารินกลับมาแล้ว อย่าเพิ่งบอกใครว่าเจอรินนะคะ โดยเฉพาะชมพู รินอยากให้ทุกคนประหลาดใจ”
เตชินอ่านข้อความงงๆ แต่พูดไปด้วยพิมพ์ไปด้วยว่า
“ครับ ผมรักรินนะครับ”
เตชินส่งข้อความกลับไปด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมเป็นสุขที่สุด
อีกฟาก ริลณีในสภาพกึ่งผีกึ่งคน ยืนอยู่ในมุมหนึ่งของบ้านร้างหลังมหาวิทยาลัย สายตาที่มองไปข้างหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอาฆาต และน่ากลัวสุดจะประมาณ
“เราสองคนต้องอยู่ด้วยกัน เหมือนที่เราเคยสัญญากันไว้ เราสองคนจะไม่มีวันพรากจากกันอีกเป็นอันขาด”
อ่านต่อตอนที่ 6