xs
xsm
sm
md
lg

นางชฎา ตอนที่ 4

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นางชฎา ตอนที่ 4

วันเวลาหมุนผ่านเลยไป จากเช้าไปเย็น จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ทุกสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง บริเวณบ้านร้างหลังมหาวิทยาลัย ตกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศวังเวง น่ากลัวมากขึ้นไปตามกาลเวลา

กรุงเทพฯ ล่วงเข้าสู่ปัจจุบัน
น้าไหวและกล้าขี่รถมอเตอร์ไซค์ซ้อนกันเข้ามา พร้อมกับร้องเพลงประสานเสียงแบบเมาๆ โหวกเหวกโวยวายเข้ามา แต่จู่ๆ มอเตอร์ไซค์ก็ดับเอาดื้อๆ ทั้งคู่ลงจากรถมองหน้ากัน ในสภาพที่ต่างคนต่างเมามายจนแทบจะครองสติไม่อยู่
น้าไหวเหลือบมองไปที่ศาลา พลันก็เห็นร่างของสตรีผมยาวสลวยนางหนึ่ง แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็พอเห็นเค้าลางว่ามีความงามไม่น้อย กล้ารีบมองตามไปทันที
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินตรงรี่ไปหาสตรีที่ยืนอยู่ในเงามืดของศาลา และกำลังจ้องตาเขม็งมาที่ทั้งสอง เมื่อทั้งคู่เดินไปถึง สตรีนางนั้นก็พูดออกมา ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ
“ช่วย - เอา - ยันต์ - ออก - ให้ - หน่อย ยันต์ -ที่ - อยู่ - บน - หลังคา”
ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นไปบนศาลาเห็นยันต์อยู่สูง จนน้าไหวต้องเหยียบขึ้นไปบนหลังกล้า พร้อมกับพยายามเอื้อมมือจะดึง แต่ยังไม่ทันจะถึง กล้าก็ดันจามออกมา จนฝ่ายที่ปีนหลังอยู่หงายตกลงมาที่พื้น
น้าไหวรีบลุกขึ้น ก้มลงปัดกางเกงที่เลอะ ก่อนจะก้มมองที่หว่างขาของตัวเองขณะปัดกางเกงอย่างไม่ตั้งใจ พลันก็เห็นสตรีสาวสวยนางนั้น กลายเป็นผีในสภาพร่างกายเน่าเปื่อย น่าสะพรึงกลัว
ชายแก่รีบเงยหน้าขึ้น หันมองหน้ากล้าที่ยังยืนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก่อนจะพยายามพยักพเยิดให้อีกฝ่ายมองลอดหว่างขา กล้ายังยืนงง น้าไหวหันไปมองทางผีริลณีที่ยืนจ้องเขม็ง ก่อนจะแกล้งทำเหรียญหล่นไป กล้ารีบก้มลงเก็บ พร้อมกันหันไปเห็นน้าไหวที่ชี้ให้มองลอดหว่างขาไปที่ริลณี
พลันที่กล้าก้มลงมอง หน้าอันเน่าเฟะของผีริลณีก็โผล่ตรงหน้าให้เห็นเต็มตา ทั้งคู่รีบโกยหน้าตั้งออกจากที่นั่นไปทะรที ทิ้งให้ผีริลณีร้องไห้ออกมาอย่างโหยหวน ด้วยความเจ็บปวด
“ช่วย ฉัน ด้วย ใคร ก็ ได้ ปลด ปล่อย ฉัน ออก ไป ที”

เสียงร้องอันโหยหวนของผีริลณี ล่องลอยไปถึงที่บ้านเด็กกำพร้า ขณะที่เอทีเอ็มกับเฟื่องฟ้า กำลังช่วยกันเก็บผ้า เพราะเกรงว่าฝนจะตกหนัก ตามหลังพายุที่พัดกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เอทีเอ็มชะงักพยายามเงี่ยหูฟังเสียงชัดๆ ก่อนจะหันมาบอกเฟื่องฟ้า
“ฉันได้ยินเหมือนเสียงรินอีกแล้ว”
“นายคิดเลข ทำบัญชีมากไปชัวร์ ไม่งั้นก็ถูกหัวหน้าด่ามาใช่มั้ย”
เอทีเอ็มพยักหน้ารับ เฟื่องฟ้าได้ที รีบบอกให้เขาลาออกมาช่วยกันดูแลบ้านเด็กกำพร้า แต่เขากลับบอกว่าที่เขาต้องทนทำงานอยู่ ก็เพราะอย่างน้อย ก็จะได้มีเงินเดือนมาช่วยกันในยามฉุกเฉิน เฟื่องฟ้าคิดตาม แล้วก็เริ่มเห็นจริงตามนั้นเมื่อคุยกันถึงตรงนี้ ทั้งคู่ก็อดที่จะคิดถึงริลณีขึ้นมาไม่ได้
“ถ้ารินอยู่ก็ดีสิเนอะ ทำไมรินถึงไม่ติดต่อพวกเรามาบ้าง” เอทีเอ็มหน้าเศร้า
“ตอนนี้รินเค้ามีความสุข ฉันมั่นใจถ้ารินพร้อม เค้าก็จะติดต่อกลับมาหาพวกเราเอง”
ทั้งคู่ถอนหายใจพร้อมกัน ก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าไกลๆ

บนท้องฟ้าเดียวกัน แต่คนละซีกโลก
เตชินที่อยู่ที่อเมริกากำลังนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ พิมพ์ข้อความในโปรแกรมสนทนาหน้าเครียดอยู่กับชัช ข้างตัวมีเสื้อผ้า และกระเป๋าเดินทางวางกองเอาไว้ เตรียมเก็บกลับบ้าน
เขาพิมพ์ถามข่าวคราวของริลณีจากเพื่อนรัก แต่ชัชก็บอกว่าเขาเองก็ไม่ได้ข่าวคราวของเธอ
เช่นเดียวกัน
“นายคงต้องกลับมาตามเองแล้วล่ะ แล้วนายจะกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่”
“มะรืนนี้”
เมื่อทั้งคู่จบการสนทนา เตชินก็หงายหลังพิงพนักเก้าอี้ ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณหายไปไหนของคุณนะริน คุณโกรธผมมากขนาดต้องหนีผมไปเลยเหรอ”
พลันเสียงกริ่งจากหน้าห้อง ก็ดึงเขาจากห้วงความคิด ก่อนจะรีบลุกออกไปทันที พอประตูเปิดออกก็เห็นชมพูยืนยิ้มอย่างมีความสุขอยู่หน้าห้อง เขารีบเข้าไปพาเธอมานั่งในห้องอย่างทนุถนอม
เธออาสาจะช่วยเก็บข้าวของ แต่เขากลับปรามไว้ เพราะเป็นห่วงว่ายังไม่หายดี ยังไม่ควรทำอะไรหนักๆ
ชมพูมองมือเตชินที่จับมือตัวเองเอาไว้เขินๆ พอเขารู้สึกตัว ก็รีบเอามือออก
“พี่เตชินก็รู้ว่าชมพูหายดี…”
เขารีบพูดแทรกขึ้นมาทันที อย่างรู้สึกผิด
“เหลือแค่ความทรงจำบางส่วนที่หายไป มันเป็นความผิดของพี่ ถ้าวันนั้นพี่ไม่ขับรถชนน้องชมพู น้องชมพูก็คง....”
“อย่าพูดถึงเรื่องอะไรที่ชมพูไม่รู้เรื่องสิคะ พี่เตชินก็รู้ว่าชมพูจำเรื่องวันนั้นกับความทรงจำก่อนหน้าเกือบๆ 2 ปีไม่ได้”
เตชินหน้าเศร้า “ก็เพราะอย่างนี้ไงครับ พี่ถึงยังรู้สึกผิด”
“ถึงความทรงจำส่วนนั้นจะหายไป แต่ 2 ปีที่ผ่านมา พี่เตชินก็สร้างความทรงจำที่ดีที่สุดให้ชมพูนะคะ เพราะฉะนั้นอย่าไปสนใจเลยค่ะ บางทีมันอาจจะมีเรื่องไม่น่าจำจนชมพูไม่อยากจะจำมันได้ก็ได้ค่ะ”
ชมพูมองเตชิน พลางยิ้มอย่างมีความสุขมากๆ จากนั้นก็เดินไปช่วยเขาเก็บของ ระหว่างนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งวางอยู่ พอหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นว่าหน้าปัดนาฬิกาแตก
“นาฬิกาเรือนนี้หน้าปัดแตกแล้ว ทิ้งเลยรึเปล่าคะ”
ชมพูทำท่าจะทิ้งลงถังขยะ เตชินรีบมาแย่งคืนไป
“อย่าทิ้งนะครับ มันเป็นนาฬิกาเรือนสำคัญของพี่น่ะครับ”
“ถ้าสำคัญ ทำไมไม่ไปซ่อมซะล่ะคะ หรือไม่มีเวลา ชมพูเอาไปซ่อมให้ก็ได้”
เตชินส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ต้องหรอกครับ เก็บไว้อย่างนี้แหละ บางครั้งความทรงจำบางอย่าง เราก็อยากจะเก็บเอาไว้เหมือนเดิม”

เขามองนาฬิกาด้วยแววตาเศร้า เพราะคิดถึงใครบางคนที่รักเหลือเกิน

เหตุการณ์ที่เมืองไทย จิตรากับณรงค์ มาหาพิสมัยและพิชัยถึงที่บ้าน เพื่อบอกข่าวว่าได้วันมหาฤกษ์เหมาะที่จะจัดงานมงคลมากที่สุดในรอบ 12 ปีมาเรียบร้อยแล้ว

ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง เครื่องบินก็แล่นลงจอดที่รันเวย์ เตชินเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ ในขณะที่ชมพูมองดูป้ายโฆษณายักษ์ใหญ่ริมถนนด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ได้อยู่แค่ 2 ปีอะไรๆ ก็ดูเปลี่ยนไปนะคะ อุ๊ย !พี่เตชินดูนั่นสิคะ รูปเพื่อนชมพูที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ชื่ออะไรน้า”
“ปริมลดาครับ”
ชมพูพยักหน้ายิ้มๆ
“ใช่ๆ ปริมลดา เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม จนจบมหาวิทยาลัยเลยเนอะ ชมพูจำได้แม่นเลยว่า เค้าชอบประกาศตัวว่า จะต้องเป็นดาราดังให้ได้”
จากนั้นเธอก็พูดทักทายสมหมายคนขับรถในเชิงว่าจำได้ เตชินได้ทีรีบถามต่อ
“แล้วชมพูจำเพื่อนช่วงมหาวิทยาลัยได้มั้ยครับ”
“ต้องลองคิดก่อนนะคะ เพื่อนมหาวิทยาลัยที่มาจากโรงเรียนมัธยมเดียวกันก็มีปริมลดา เอกราช ตุลเทพ ที่คณะก็มี ประวิทย์ เชิงชาย เอทีเอ็ม หงส์หยก เฟื่องฟ้า แล้วก็...”
เธอพยายามนึกชื่อใครบางคนที่เหมือนติดอยู่ที่ริมฝีปาก ขณะที่อีกฝ่ายนึกลุ้นอยากให้เธอพูด ชื่อนั้นออกมา

“ใครนะ ชมพูรู้สึกว่าเค้าเป็นคนสำคัญด้วย ทำไมชมพูนึกชื่อไม่ออก”
เธอพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนจะเหลือบมองไปเห็นแผลเป็นเล็กๆ บนฝ่ามือ แล้วรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที จนต้องเอียงหัวซบลงบนไหล่เตชิน ก่อนจะหลับตาและนอนหลับไปในที่สุด
เตชินเอามือปัดผมที่ปรกหน้าเธอออก ก่อนจะมองด้วยความเป็นห่วง

ระหว่างที่เคลิ้มหลับไปนั้น ชมพูก็ฝันว่าเธอกับริลณีกำลังร่ายรำอยู่บนเวที แต่ฝ่ายหลังรำได้สวย และได้รับเสียงปรบมือชื่นชมจากคนดูมากกว่า เธอมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แต่ขณะกำลังหันหลังจะเดินหนีออกไปจากเวที เสียงเย็นยะเยือกของริลณีก็ดังไล่หลังมา
“ฉัน - รำ - สวย - มั้ย”
ครั้นชมพูหยุดหันกลับไปมอง กลับไม่เห็นริลณีที่กำลังร่ายรำอยู่ แต่พอหันกลับไปจะเดินไปตามทางเดิม ก็เห็นริลณียืนก้มหน้าอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปแตะตัวถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ”
ริลณีเงยหน้าขึ้นมองชมพู โดยไม่ยอมตอบคำถาม พร้อมกับร่างกายของเธอที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป ผิวที่สวยค่อยๆ แห้งซีดขาวราวซากศพ ใบหน้าที่สะสวย ค่อยๆ แห้งกรัง ดวงตากลมสวยค่อยๆ โบ๋หายไป ปากสีแดงสวยมีเลือดไหลนองย้อยออกมา พลันใบหน้านั้น ก็หันมาแสยะยิ้มสยอง พร้อมกับเสียงหัวเราะโหยหวน
“จำ ฉัน ไม่ ได้ เหรอ เพื่อน รัก”
ชมพูตกใจกลัวตัวสั่น พร้อมกับกรีดร้องลั่น ก่อนจะสะดุ้งลืมตาขึ้น เห็นเตชินพยายามเขย่าตัวเรียก ด้วยอารามทั้งตกใจ ทั้งเป็นห่วง
“ชมพูครับ ชมพู เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นเต็มตา ก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในรถที่จอดข้างทางแล้ว มีเตชินกับสมหมาย จ้องมองด้วยความเป็นห่วง เธอได้สติรีบโผเข้ากอดเตชินด้วยความกลัว
“โถ เด็กน้อย ที่แท้ก็ฝันนี่เอง กรี๊ดซะจนพี่ตกใจ”
ชมพูยังตัวสั่นไม่หาย “แต่ฝันมันน่ากลัวมากเลยนะคะ แล้วก็เหมือนจริงมากๆ”
สมหมายรีบช่วยพูดปลอบ ก่อนที่จะขับรถเคลื่อนออกไป ขณะที่ชมพูที่ยังกอดเตชินไว้แน่น ด้วยความรู้สึกปลอดภัย

พิสมัยกับพิชัยโผเข้าสวมกอดลูกสาวด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ ในขณะที่เตชิน เข้าไปไหว้ทำความเคารพพ่อกับแม่ ที่มองหน้าลูกชายพร้อมกับยิ้มปลื้ม ก่อนที่จิตราจะพูดต่อแบบเป็นนัยๆ ทำนองว่าหลังจากนี้ก็ถึงเวลาที่เตชินจะต้องดูแลชมพูไปตลอดชีวิตแล้ว
คำพูดแฝงนัยของแม่ ทำเอาเตชินถึงกับหน้าเครียดขึ้นมาทันที

ระหว่างที่เจ้านายของทั้ง 2 บ้าน ทำท่าเหมือนจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน หมูหวานสาวใช้บ้านชมพู กับสร้อยสาวใช้บ้านเตชิน ก็ทำท่าเหมือนจะเปิดศึกกลางบ้านกัน หนำซ้ำเมื่อเห็นท่าทีว่าฝ่ายหลังตั้งใจจะอ่อยเหยื่อสมหมายพ่อของเธอ หมูหวานก็ยิ่งเขม่นสาวใช้ที่สูงวัยกว่ามากยิ่งขึ้น
ทั้งสร้อยทั้งหมูหวานมองหน้ากันไม่มีใครยอมใคร จนสมหมายได้แต่ส่ายหน้าถอนใจ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เตชินก็ตั้งท่าจะบอกพ่อแม่เรื่องที่เขายังไม่พร้อมจะแต่งงานกับชมพู แต่ณรงค์ไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดจนจบประโยค
“ลูกบอกว่าจะดูแลชมพูจนกว่าจะหายดี แล้วจะรับผิดชอบเรื่องนี้จนถึงที่สุดไง การแต่งงานกับหนูชมพูนี่แหละ คือการแสดงความรับผิดชอบ เพราะแกจะต้องดูแลเค้าไปตลอดชีวิต”
จิตรารีบพูดสำทับอีกคน
“น้องต้องเจ็บตัวเพราะลูก แต่ทางครอบครัวนั้นก็ไม่เคยพูดหรือทำอะไรให้พวกเรารู้สึกแย่เลย คิดดูให้ดีนะเตชิน สิ่งนี้คือสิ่งที่ลูกควรจะรับผิดชอบมั้ย”
เตชินได้ฟังก็เถียงไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าเครียด แล้วก็ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม

เมื่อมีโอกาสได้เจอกับชัช เตชินก็ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาแบบไม่อำพราง อีกฝ่ายพยายามปลอบใจ
“ฉันรู้ว่าแกยังรักรินเค้าอยู่ แต่ทำยังไงได้วะ ในเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเราตามหาเค้าไม่พบ ไม่รู้เค้าไปเป็นตายร้ายดีที่ไหน ดีไม่ดีอาจจะแต่งงานมีลูกไปแล้วมั้ง”
เตชินหันขวับด้วยความไม่พอใจ
“แต่ฉันแต่งกับชมพูไม่ได้ ฉันเคยสัญญากับรินว่าจะดูแลเค้าไปจนตาย”
“แกเล่นให้สัญญาแบบนี้กับผู้หญิง 2 คน ยังไงแกก็ต้องเลือกสักคน”
เตชินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันไม่เคยรักใครนอกจากริลณี นายไม่มีวันเข้าใจหรอก ว่าฉันกับรินน่ะ เรารักกันแค่ไหน”
“งั้นแกก็ต้องลองตามหาเค้าเอง ไม่แน่นะ ความรักของแก อาจจะนำแกไปพบกับเค้าก็ได้”
ชัชพูดพลางมองหน้าเตชิน อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูด

เตชินขับรถเข้ามาในมหาวิทยาลัย ความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับริลณียังคงแจ่มชัดอยู่ในทุกหนทุกแห่งที่เขาขับรถผ่าน
จังหวะที่เขากำลังมองเหม่อ เพราะคิดถึงริลณี พลันก็มีหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินข้ามถนนในระยะกระชั้นชิด เขาตกใจรีบเหยียบเบรกจนตัวโก่ง
เขารีบลงไปดู ก็เห็นหญิงสาวสวยแต่งตัวเต็มจัดแบบทันสมัยสุดๆ ล้มลงที่หน้ารถ หญิงสาวนางนั้นหันมา ทำท่าจะโวยวายเต็มที่
“ขับรถ ยังไงของนายเห็นมั้ยว่า ฉัน...”
เมื่อต่างฝ่ายต่างเห็นหน้ากันชัดๆ ก็ถึงกับชะงักงัน

“คุณเตชิน" / "คุณปริมลดา”

ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของกองถ่ายละคร ซึ่งใช้สถานที่ภายในมหาวิทยาลัยเป็นโลชั่นในการถ่ายทำ

ทีมงานแต่ละฝ่ายทำงานกันอย่างรีบเร่ง โดยมีโต้งผู้กำกับสั่งงานเสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นระยะ บรรดานักศึกษาไทยมุง รวมถึงแฟนคลับ ต่างก็ถือป้ายไฟเชียร์ดาราที่ชอบอยู่ห่างๆ
เตชินที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้มุมหนึ่งในกอง หันมองสิ่งเหล่านั้นด้วยความตื่นเต้น แปลกใจ ครู่หนึ่งมือเรียวที่แต่งเล็บอย่างสวยงาม ก็ค่อยๆ เอื้อมมาแตะไหล่อย่างสนิทสนม พอเขาหันไปมอง ก็เห็นปริมลดาเดินขากะเผลกๆ เข้ามา เขารีบลุกขึ้นช่วยพยุงด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะรีบออกปากขอโทษด้วยท่าทีที่เหมือนจะเจียมตัว เพราะขณะนี้ปริมลดาเป็นถึงนางเอกเบอร์หนึ่งของวงการ
“คุณเป็นนางเอกเบอร์หนึ่ง แต่ผม ...”
ปริมลดายิ้มยั่ว “ผู้ชายที่กล้าหักอก ว่าที่นางเอกเบอร์หนึ่งของเมืองไทย”
“ผมจำไม่ได้จริงๆ ครับว่าเคยทำแบบนั้น”
ปริมลดาได้ทีรีบบอกให้เขารอเธอถ่ายละครเสร็จ เขาจะต้องไปเลี้ยงอาหารเธอเป็นการปลอบใจ

“นังฟ้าใส ผู้ชายทั้งมหาวิทยาลัยไม่มีรึไง ถึงได้มาแย่งแฟนฉัน บอกไว้ก่อนนะว่าคนอย่างฉันไม่เคยคิดใช้ผู้ชายร่วมกับใคร”
นางร้ายในละครชี้หน้าด่า พร้อมกับพุ่งเข้าตบปริมลดาที่สวมบทนางเอกผู้น่าสงสารจนล้มคว่ำ
“เธอเข้าใจผิดแล้วแพรวระยับ ฉันไม่เคย ....”
จากนั้นกองถ่ายก็ดำเนินต่อไป เตชินแอบยืนดูการถ่ายทำอย่างตื่นตา แต่จู่ๆ ก็บังเกิดลมพัดวูบใหญ่เข้าตัวของเขา พร้อมกับเสียงแว่วจากสายลม
“เตชิน เตชิน”
เขารีบหันขวับ พยายามมองหาที่มาของเสียง พร้อมกับที่ลมวูบใหญ่พัดมาอีกครั้ง
“เตชิน ฉันอยู่ที่นี่”
เขาเริ่มรู้สึกแปลกใจ เพราะได้ยินเหมือนเสียงคนเรียกหาหลายครั้ง แต่พอหันไปดูรอบๆ กลับไม่มีใครสนใจมองมาที่เขา เพราะทุกคนกำลังดูการถ่ายทำกันอยู่
เตชินเดินถอยหลังออกมาจากหน้ากองถ่าย พยายามฟังเสียงที่เหมือนจะเรียกเขาอีกครั้ง จนกระทั่งเดินมาเจอน้าไหวกับกล้าและกลุ่มยาม ที่กำลังจับเข่าคุยเรื่องที่ต่างก็เจอวิญญาณของริลณีหลอกหลอนจนขนพองสยองเกล้ากันถ้วนหน้า
“ขอโทษนะครับ น้าได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกอะไรอะไรสักอย่างมั้ยครับ”
น้าไหวรีบเงี่ยหูฟัง “เท่าที่ได้ยินตอนนี้ ผมได้ยินเสียงคุณคนเดียวนะครับ”
“สงสัยจะหูแว่ว”
ครั้นเขากำลังจะหันหลังกลับ ลมวูบใหญ่ก็พัดเข้ามา พร้อมเสียงริลณีดังแว่วมาอีกครั้ง
“เตชิน ฉันอยู่ที่นี่”
เขาหันขวับจะเดินไปตามเสียงเหมือนโดนสะกดจิต ทันใดนั้นปริมลดาก็คว้าหมับที่แขนของเขา
“คุณเตชินกำลังจะไปไหนคะเนี่ย”
เขาทำหน้ารู้สึกงง เพราะไม่รู้ว่าตัวเองว่ากำลังทำอะไร
“ผมแค่เดินไปตามเสียงเรียกน่ะครับ”
ปริมลดาทำหน้างอนๆ ก่อนจะรีบควงแขนเขาออกไป โดยไม่เห็นว่าที่มุมหนึ่งไม่ไกล โต้งผู้กำกับยืนมองอยู่ด้วยความไม่พอใจ

จากนั้นเตชิน กับปริมลดาก็เข้ามานั่งในร้านอาหารบรรยากาศโรแมนติก มีดนตรีบรรเลงเพลงไพเราะขับกล่อมลูกค้าอยู่บนเวที
ผู้คนในร้านต่างพูดคุยซุบซิบ และหันไปมองโต๊ะของทั้งคู่อย่างสนใจ เพราะปริมลดาตักอาหาร บริการเอาใจดูแลเตชินราวกับเป็นคนรัก เขารู้สึกอึดอัด จนตัวเกร็ง
“จริงๆ ที่ผมออกมาทานข้าวกับคุณลดา เพราะมีเรื่องอยากขอร้อง”
ปริมลดารีบยกมือโบกเป็นเชิงห้าม
“ไม่เอาค่ะ ถ้าพูดอะไรกันเป็นทางการแบบนี้ลดา ไม่ช่วย”
เขายิ้มขำๆ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีให้ผ่อนคลายลง
“ก็ได้ครับ คือผมอยากให้ลดาช่วยนัดเพื่อนเก่าๆ สมัยมหาวิทยาลัยมาสังสรรค์ ผมอยากให้
ชมพูได้เจอเพื่อนๆ เก่าๆบ้าง”
ปริมลดาแอบทำหน้าเซ็ง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ป่านนี้ยังคบกับยายชมพูนั่นอยู่เหรอ คิดว่าเลิกไปแล้วซะอีก”
“ชมพูมีปัญหาเรื่องความทรงจำ หมอบอกว่าการได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าๆ อาจทำให้ความทรงจำส่วนนั้นกลับมาได้ครับ”
“ชมพูเป็นแบบนั้นแล้ว คุณเตชินยังคบอีก เป็นคนอื่นเค้าเลิกไปนานแล้ว”
“ผมต้องดูแลจนกว่าชมพูจะหายเป็นปกติให้ได้ครับ”
เขาพูดอย่างจริงจัง แต่อีกฝ่ายกลับฉวยโอกาสทำทีว่าเป็นห่วงว่าดูแลคนป่วยนานๆ จะเบื่อ พร้อมกับอาสาจะพาเที่ยว เขาพยายามบอกปัดโดยบอกว่าไว้รอหลังจากที่ชมพูได้เจอเพื่อนๆ แล้วจะดีกว่า จะได้ชวนชมพูไปด้วย
“ตกลงเรื่องนัดเพื่อนๆ ลดาจะช่วยผมใช่มั้ยครับ”
ปริมลดาจำต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้ จังหวะนั้นโต้งก็โทรมือถือเข้ามาพอดี เธอจึงขอตัวเลี่ยงเดินออกไปรับสาย
เตชินถึงกับถอนหายใจโล่งอก

ปริมลดาเดินเลี่ยงออกมานอกร้าน พร้อมกับรับโทรศัพท์ด้วยความโมโห
“รู้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ชอบให้โทรตามเวลาที่มาแฮงเอาท์กับเพื่อน”
“ก็พี่กลัวลดาลืมว่า คืนนี้ต้องมาต่อบทละครเรื่องใหม่กับพี่ทั้งคืนน่ะสิจ๊ะ พี่กลัวลดาจะเห็นผู้ชายคนอื่นสำคัญกว่าบทที่จะทำให้ลดายังคงเป็นนางเอกเบอร์หนึ่งต่อไปได้ พี่ไม่ได้ขู่นะ มีดาราสาวๆ อีกเพียบ ที่อยากเล่นบทนี้”
ปริมลดาได้ฟังโต้งขู่ ก็รีบออดอ้อนเสียงหวาน

“พี่โต้งไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ลดารู้ว่าผู้ชายคนไหนของลดาสำคัญที่สุด”

อ่านต่อหน้า 2

นางชฎา ตอนที่ 4 (ต่อ)

เตชินนั่งมองนาฬิกากังวล เพราะใจอยากจะรีบกลับ ขณะที่มองออกไปนอกร้าน ก็เห็นปริมลดายังยืนคุยโทรศัพท์อยู่

พลันเสียงเพลงในร้าน ก็เหมือนมีคลื่นแทรก มีเสียงเพลงไทยเดิมดังเข้ามาเป็นระยะๆ พร้อมกับเกิดลมพัดแรงที่นอกร้าน พร้อมเสียงแว่วๆ ที่เขาคุ้นเคย
“เตชิน เตชิน”
เขาลุกพรวดจากเก้าอี้หันมองหาคนเรียก แต่ก็ไม่เห็นใคร ทว่าเสียงเรียกนั้นยังคงดังไม่หยุด เขารีบวิ่งออกจากร้านไป ก่อนจะรีบขับรถออกไป ปริมลดาที่ยังยืนโทรศัพท์อยู่ถึงกับทำหน้าเหวอ

เตชินขับรถไปตามทางด้านหลังมหาวิทยาลัย 2 ข้างทางเป็นป่าและทุ่งนารก เสียงเพลงสากลจากวิทยุคลอเบาๆ อยู่ในรถ เขารู้สึกมึนงง และแปลกใจตัวเอง ว่าทำไมถึงต้องเลือกที่จะขับรถเข้ามาในทางลึกและเปลี่ยวแบบนี้
เขารีบตั้งเครื่องจีพีเอสเพื่อหาทางออก แต่เครื่องกลับบอกให้ขับตรงไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งขับลึก ก็ยิ่งเปลี่ยว
จู่ๆ เสียงเพลงสากลจากวิทยุ ก็ค่อยๆ มีคลื่นแทรก เป็นเสียงเพลงไทยเดิมเป็นระยะๆ ยิ่งเข้าไปลึก เสียงเพลงไทยเดิมก็ยิ่งชัดขึ้นๆ เขาพยายามปรับคลื่นสัญญาณ แต่อยู่ดีๆ รถก็กระตุกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะค่อยๆ ชะลอ และดับสนิทในที่สุด พยายามจะสตาร์ทใหม่ยังไงก็สตาร์ทไม่ติด เขารีบลงไปเปิดประโปรงรถดูด้วยความโมโห และแปลกใจระคนกัน
ทันทีที่กระโปรงหน้ารถถูกเปิดขึ้น ก็เห็นควันขึ้นมาเต็ม เขาตรวจเช็คเครื่องยนต์ด้วยความหงุดหงิด
“ดูแลรถกันยังไง ปล่อยให้น้ำแห้ง แย่จริงๆ น้ำก็ไม่มีสักขวด”
ครั้นจะกดมือถือโทรออก ก็ไม่มีสัญญาณอีก ซ้ำร้ายจู่ๆ เมฆบนท้องฟ้า ก็ดำทะมึนเหมือนฝนจะตก พร้อมกับมีเสียงฟ้าร้องมาเป็นระยะๆ เขาหันไปมองรอบๆ ก่อนจะสังเกตเห็นหลังคาของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เขาตัดสินใจปิดกระโปรง ล็อกรถ แล้วรีบเดินไปที่บ้านนั้นทันที

ประตูไม้บานใหญ่ค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดจากความฝืดและการขาดการเอาใจใส่ใจดูแล ทำให้รู้ว่าบ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างมานานมากแล้ว พอประตูเปิดกว้างออก เตชินก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้านด้วยความระมัดระวัง
ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาในบ้าน และมองไปรอบๆ ก็เห็นสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ แม้จะมีหญ้าขึ้นรกร้างไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของสวน และโครงสร้างบ้านเรือนไทยลดลงไปสักนิดเดียว
เตชินมองไปที่ศาลาที่อยู่ห่างไปจากบ้านเล็กน้อย เหมือนมีแรงดึงดูดให้เขาเดินเข้าไปตรงนั้น
ก่อนจะเดินมาหยุดใต้ศาลาบนตำแหน่งที่ฝังศพของริลณีพอดี
เขามองสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะเตะเข้ากับกำไลเท้าสีทองแบบที่ใส่กับชุดรำของตัวพระ ปนอยู่กับดินใต้ศาลานั่น เขารีบก้มลงหยิบขึ้นมาดู พร้อมกับสายตาของผีริลณียืนจ้องมองอยู่
เตชินปัดฝุ่นกำไลเท้านั่น ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปบ้าน ขณะที่ถ่าย ผีริลณีก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ทีละนิดๆ จนมากระซิบข้างๆ
“เต ชิน”
เขาสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะหันไปมองตามเสียง โดยไม่เห็นผีริลณี ที่ยังยืนอยู่ใกล้จนหน้าแทบจะสัมผัสตัว เขาเริ่มรู้สึกแปลกใจนิดๆ แต่ไม่ได้คิดอะไร หันกลับไปจะถ่ายรูปต่อ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเงาสะท้อนจากจอมือถือ เป็นชายแก่คนหนึ่งยืนจ้องอยู่
“ แอบเข้ามาแบบนี้ จะเข้ามาพิสูจน์บ้านผีสิงรึไง”
เตชินรีบอธิบาย
“พอดีรถผมเสียนะครับ ก็เลยจะเข้ามาน้ำไปเติมรถสักขวด ขอโทษนะครับที่เข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต”
“ชอบบ้านนี้เหรอ”
“ครับ ผมไม่เคยเจอบ้านไหนสวยและน่าประทับใจเท่าบ้านหลังนี้มาก่อน ตอนที่เห็นครั้งแรก รู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดให้หลงรักยังไงยังงั้นเลยครับ”
ชายแก่ยิ้มเย็นๆ “ก็ไม่แน่มันอาจจะมีมนต์สะกดให้คุณหลงรักก็ได้”
“เสียดายนะครับ ถ้าจะปล่อยทิ้งให้ทรุดโทรมแบบนี้”
ชายแก่รีบบอกว่าถ้าชอบก็ให้ลองเจรจาขอซื้อ เพราะเจ้าของกำลังประกาศขายถูกๆ พอเตชินถามเบอร์ติดต่อ ชายแก่ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยะเยือก
“ลองไปหาดู อะไรถ้าจะได้เป็นของเรา มันก็จะได้เป็น”
ก่อนจะบอกให้เขารีบออกไป เพราะจริงๆ แล้วรถไม่ได้เสีย พูดจบก็เดินออกไปทันที ทิ้งให้เตชินยืนงง ก่อนจะมองบ้านทรงไทยหลังสวยด้วยความมุ่งมั่น แล้วรีบวิ่งออกไป ทันทีที่เตชินวิ่งออกไป ก็ปรากฏร่างของผีริลณีที่ใต้ศาลา มองตามไปและยิ้มอย่างมีความสุข
เมื่อเขามาถึงรถ ปรากฏว่ารถกลับสตาร์ทติดอย่างที่ชายแก่ว่าไว้จริงๆ เตชินรู้สึกแปลกใจ แต่ก็รีบขับรถออกไป ขณะที่ขับรถแล่นไปตามถนน เขาก็เหลือบสายตากลับมามองบ้านร้างอย่างมุ่งมั่นว่าจะต้องกลับมาอีกครั้งให้จงได้

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เตชินก็รีบโทรไปไหว้วานให้ชัชช่วยสืบว่าใครเป็นเจ้าของ และจะขายในราคาเท่าไหร่ เขายินดีที่จะซื้อ
ครั้นพอวางสาย เขาก็เดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง แล้วหยิบรูปริลณีในชุดรำไทยที่เคยถ่ายไว้ขึ้นมาดู ก่อนจะนึกถึงกำไลเท้าที่เก็บกลับมาในกระเป๋า เขารีบหยิบออกมา โดยไม่ทันเฉลียวใจกำไลเท้าที่เก็บมานั้น เหมือนกำไลเท้าที่ริลณีใส่อยู่ในรูป
เขาถอนหายใจเศร้าๆ ด้วยความคิดถึงริลณี ก่อนจะวางรูปและกำไลเท้าไว้บนหัวเตียง ข้างๆ นาฬิกาที่หน้าปัดแตก ก่อนจะล้มตัวหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

ตชินเดินเข้ามาในสวนในบ้านร้างหลังเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้สวนและบ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านและสวนที่สวยงาม ไม่เหลือเค้าลางความเป็นบ้านร้างเหมือนครั้งก่อน
เขามองไปบนบ้าน เห็นริลณีกำลังร่ายรำอย่างงดงามอย่างมีความสุข เขารีบวิ่งถลาเข้าไปกอดเธอด้วยความคิดถึง
ดวงตาของริลณีเศร้าโศก และเจ็บปวดมาก ทว่าเธอก็พยายามฝืนยิ้ม ก่อนจะยกมือขึ้นกอดตอบเขาด้วยความคิดถึงเช่นกัน
“รินรอคุณมาตลอด”
“ผมขอโทษที่ไม่ได้ไปตามนัดวันนั้น”
ริลณีน้ำตาคลอ
“อย่าพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาเลยค่ะ ความจริงบางเรื่องมันทำให้เราเจ็บปวด รินคิดถึงคุณ”
“ผมสัญญานะว่าจะไม่ทิ้งรินไปอีก เราจะอยู่ด้วยกันนะครับ”
“ค่ะ เราจะอยู่ด้วยกัน แม้ความตายจะแยกเรา 2 คนไม่ได้”

ริลณียิ้มเย็นยะเยือก และหมายความตามที่พูดจริงๆ

เตชินสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะมองไปที่นาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาตี 3 พอดี เขายกมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นกำไลเท้าที่เขาวางไว้ที่หัวเตียงก่อนนอนอยู่ในมือของเขา

ขณะที่ชมพู กำลังยืนควบคุมดูแลหมูหวานกับสมหมาย ที่กำลังช่วยกันจัดห้องใหม่ให้เธอ ขณะที่พิสมัยท้วงว่าไม่ต้องจัดก็ได้ เพราะไม่นานก็ต้องแต่งงานออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว
“ก็ไม่แน่หรอกค่ะ ชมพูอาจจะต้องอยู่บ้านนี้ไปอีกนานก็ได้ค่ะ”
ชมพูมองแม่อย่างเขินๆ อายๆ ดวงตาเต็มไปด้วยประกายความหวัง พิสมัยพูดอย่างมั่นใจ
“แต่เรื่องแต่งงาน แม่ว่าแน่กว่าเรื่องไหนๆ อีกนะคะลูก”
จังหวะนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้นมาพอดี ชมพูมองเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย ก่อนจะกดรับด้วยความแปลกใจ
“สวัสดีค่ะ ชมพูพูดค่ะ ลดา เธอได้เบอร์ฉันมาได้ยังไงเนี่ย”

พิสมัยควบคุมหมูหวานให้จัดการเสื้อผ้าในตู้โดยแยกเสื้อเก่าๆ มากองไว้เพื่อนำไปบริจาค สาวใช้จอมแก่นกุลีกุจอหยิบกองผ้าพันคอ หมวกกันหนาวที่พับเป็นระเบียบแล้ว แล้วหยิบเก้าอี้มาต่อเพื่อเอาเสื้อเก็บไว้ชั้นบนของตู้ พลันสายตาก็เหลือบเห็นกล่องอะไรบางอย่างวางมุมลึกที่สุดของตู้ จึงรีบหยิบออกมา
“คุณผู้หญิงคะ นี่กล่องอะไรก็ไม่รู้ วางอยู่ซะลึ๊กลึก แถมยังตั้งรหัสไม่ให้เปิดด้วยนะคะ”
พิสมัยรับกล่องมาพิจารณาดูด้วยความแปลกใจ

ชมพูยืนคุยโทรศัพท์กับปริมลดาด้วยหน้าตายิ้มแย้มมีความสุข พลางพูดขอบคุณที่ฝ่ายหลังเป็นธุระนัดเพื่อนๆ ให้ พอวางสาย หันมา ก็เห็นพิสมัยเดินเข้ามา พร้อมกับยื่นกล่องให้
“ท่าทางมันจะเป็นความลับของลูก”
ชมพูทำหน้างง “คุณแม่ก็รู้ว่าชมพูไม่เคยมีความลับอะไร”
“แต่ตั้งแต่เล็กจนโต ชมพูก็ไม่เคยใส่กุญแจ หรือตั้งรหัสล็อกอะไรเลยนะจ๊ะ ลองเปิดดูก็แล้วกัน ลูกจะได้รู้ว่าอะไรที่อยู่ในนั้น มันลับหรือไม่ลับ”
พอแม่เดินออกไป ชมพูก็มองกล่องอย่างพิจารณา จากนั้นก็ปลดล็อกหน้ากล่อง แล้วเปิดออก ก่อนที่จะมองสิ่งของข้างในด้วยความแปลกใจ

ทางด้านชัชก็มาบอกเตชินว่าบ้านสวยหลังนั้นขายถูกอย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมทั้งบอกข้อมูลเพิ่มเติมที่เขาค้นเจอมาจากอินเตอร์เน็ตว่า
“ในเน็ตเค้าบอกว่า บ้านนั้นเป็นบ้านผีสิง”
เตชินมองหน้าเพื่อน แล้วก็หัวเราะก๊าก อย่างไม่เชื่อ
“เอาแค่ชื่อเจ้าของ กับเบอร์ติดต่อมาก็พอแล้ว ที่ไหนๆ ก็มีคนตายทั้งนั้น แล้วที่สำคัญฉันไม่เชื่อเรื่องผี”

ทางด้านชมทพูก็กำลังนั่งดูรูปสมัยมหาวิทยาลัย ก่อนจะค่อยๆ ไล่ชื่อเพื่อนทีละคน เหมือนพยายามจะทบทวนความทรงจำ จนมาหยุดมือที่รูปริลณี และพยายามนึก จากนั้นก็หันไปหยิบกล่องที่พิสมัยเอามาให้เมื่อตอนกลางวันมาเท รูปถ่ายหลายสิบใบก็ร่วงลงมาจากกล่อง
เธอหยิบขึ้นดู แต่ละรูปเป็นรูปของเธอกับริลณีถ่ายคู่กัน ทั้งชุดนักศึกษา และ ชุดรำงานต่างๆ
“เรา 2 คนคงสนิทกันมากเลยนะ แต่ทำไมฉันถึงจำเรื่องของเธอไม่ได้ล่ะ”
ทว่าเมื่อหันด้านหลังรูปใบหนึ่ง เห็นมีข้อความที่เขียนให้
“เราจะรักกันตลอดไปนะเพื่อน ริลณี”

วันต่อมา เตชินก็ขับรถมาขับชมพูเพื่อจะไปพบปะกับเพื่อนฝูงที่จัดงานต้อนรับ โดยมีปริมลดาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่
“ดีเหมือนกัน พี่ก็อยากเจอเพื่อนๆ น้องชมพูเหมือนกัน”
“ทำไมคะ พี่เตชินรู้จักเพื่อนชมพูด้วยเหรอคะ”
เตชินอึกอักๆ “เอ่อ ก็รู้จักแค่คนที่จะจัดงานนี้ให้ชมพูน่ะแหละครับ”
“อ๋อ รู้แล้ว พี่เตชินน่ะเองที่ส่งข่าวให้เพื่อนๆ ชมพูมานัดเจอกันนี่เอง”
เขาหัวเราะขำที่โดนจับได้ เธอเกาะแขนเขาพร้อมกับพูดขอบคุณเสียงใส มือที่กำลังบังคับพวงมาลัยกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าปฎิเสธ
ขณะนั้นชมพูก็เหลือบมองในกระเป๋าเสื้อชั้นนอก เห็นมีกำไลเท้าโผล่มา ก็ถือวิสาสะหยิบออกมาดู
“กำไลเท้า”
เตชินหัวเราะอาย
“พี่ไปดูบ้านทรงไทยหลังนึงสวยมาก แล้วเจอกำไลนี่หล่นอยู่ ก็เลยจะเอามาให้เพื่อนช่วยดูว่าเป็นกำไลยุคไหน ถ้าเป็นของเก่าจะได้ส่งให้ราชการ”
ชมพูแกล้งถามหยั่งเชิง “พี่เตชินไปดูบ้านทำไมเหรอคะ”
“พี่ก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเองบ้าง”
“แต่บ้านพี่เตชินก็ออกใหญ่ขนาดนั้น ชมพูว่าพี่เตชินจะซื้อบ้านไว้อยู่กับใครรึเปล่า”
เตชินนิ่งไป ไม่ตอบคำถามนั้น แต่ชมพูที่ถือกำไลยิ้มปลื้มดีใจ คิดว่าเขาเตรียมไว้เป็นเรือนหอกับตัวเอง ขณะกำลังยิ้มปลื้มอย่างมีความสุข ชมพูเงยหน้ามองออกไปบนกระโปรงหน้ารถที่กำลังแล่น ก็เห็นริลณี ผมยาวปรกหน้าใบหน้าน่ากลัว นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้า กำลังจ้องมองด้วยสายตาที่น่ากลัว และเอาเรื่อง
เธอกรีดร้องด้วยความตกใจจนสุดเสียง เตชินรีบเบรครถจนตัวโก่ง
ชมพูปิดตาตัวสั่นรีบปล่อยกำไลข้อมือที่ถือไว้ลงพื้น ก่อนจะผวาเข้ากอดเขาแน่น ด้วยความกลัวสุดขีด
“เมื่อกี๊ชมพูเห็นผู้หญิงหน้าตาน่ากลัวมาก นั่งอยู่ที่กระโปรงหน้ารถค่ะ”
เตชินหันไปมองกระโปรงหน้ารถ ก็ไม่เห็นมีอะไร
“ชมพูเห็นจริงๆนะคะ เมื่อกี๊ตรงนี้”
แต่พอมองหันไปมองอีกครั้ง ก็เห็นอะไรอย่างที่เตชินบอกจริงๆ
“สงสัยสมองชมพูจะปั่นป่วนอีกแล้ว”
เตชินค่อยๆ โอบศีรษะชมพูมาซบไหล่ตัวเอง ด้วยความสงสาร
“นอนพักก่อน ถึงที่แล้วพี่จะปลุกนะครับ”
ชมพูยิ้มบางๆ ก่อนจะเอียงตัวมาซบไหล่เขาแล้วหลับตาอย่างอุ่นใจ

เขาหันมองเธอด้วยความรู้สึกสงสารและเป็นห่วง แต่ไม่ไม่ใช่ความรัก

ภายในคอนโดหรูกลางกรุงของเอกราชที่ตกแต่งอย่างหรูหราในสไตล์โมเดิร์น ตุลเทพเดินเข้ามาทักทายเจ้าของห้องด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันนาน ประวิทย์และเชิงชายตามเข้าไปกอดสมทบด้วย

ปริมลดาเดินออกมาจากข้างใน พอห็นตุลเทพก็ทำหน้าเบ้ รีบพูดแขวะ
“ได้ข่าวว่าศูนย์กีฬาทางน้ำของนายกำลังจะเจ๊งนี่ ก็เคยเตือนแล้วให้เอาเวลาไปบริหารงาน ไม่ใช่เอาแต่คั่วผู้หญิง”
ตุลเทพสวนกลับทันที
“ก็ถ้าเธอไม่พยายามใช้เต้าไต่กับผู้กำกับ จนฉันต้องขายหน้าคนทั้งประเทศ ฉันก็ไม่ไปมีคนใหม่หรอก”
เอกราชรีบพูดห้ามว่าถึงจะเลิกกันก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน ทั้งคู่สะบัดหน้ากันไปคนละทาง
ประวิทย์เดินเข้าไปตบไหล่ตุลเทพ
“ได้ข่าวเหมือนกันว่ากิจการนายกำลังแย่”
“ฉันถึงมาวันนี้ เพราะอยากให้เอกราชช่วยหน่อย”
เอกราชรีบตัดบท “อย่าเพิ่งพูดเรื่องอะไรเครียดๆ เลย นานๆ เจอกันมาสนุกกันดีกว่า”
เชิงชายแอบบ่น “เจอกันครบทีไร บรรลัยทุกครั้งละไม่ว่า”
ครั้นทุกคนหันมามองเขม่น ก็ยิ้มแหยๆ รีบเปิดเพลงเปลี่ยนบรรยากาศ ทุกคนจึงค่อยอารมณ์ดีขึ้น
ประวิทย์หันมาถามถามปริมลดา
“แล้วแขกพิเศษที่อยากให้พวกเราเจอ มารึยัง”
ขาดคำเสียงกดกริ่งก็ดังขึ้นพอดี ปริมลดาตื่นเต้นขึ้นมาทันที รีบเช็คหน้าเช็คผมดูความเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปเปิดประตู
ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ก็เห็นเตชินยืนคู่กับชมพู ปริมลดาก็ทำท่าเหมือนดีใจ จนแทบจะถลาเข้าไปกอดชมพู
“ปริมลดา”
“เรียกลดาอย่างที่เคยเรียกก็ได้ แต่ก่อนเราสองคนสนิทกันนะ”
พูดไปก็เหลือบตายิ้มอ่อยๆ กับเตชินที่ยืนยิ้มมองอยู่ใกล้ๆ ตุลเทพ เอกราช ประวิทย์ เชิงชาย รีบเดินออกมาต้อนรับ พอทั้งหมดเห็นชมพู ก็ยิ้มดีใจ
ชมพูยิ้มรับ ก่อนจะไล่ชื่อเพื่อนทีละคน พร้อมกับบอกว่าอุตส่าห์ท่องมาทั้งคืน
ทุกคนหันมองหน้ากันงงๆ ปริมลดารีบอธิบาย
“ชมพูประสบอุบัติเหตุ เลยมีปัญหาด้านความทรงจำก็เลยอยากจะให้พวกเราช่วยกันฟื้นความทรงจำสมัยเรียนให้ วันนี้ฉันเตรียมโมเม้นต์ฟื้นความหลังให้เธอเพียบ”
ปริมลดาพูดกับชมพู แต่สายตามองไปที่เตชิน ก่อนจะเข้าไปควงแขนหน้าตาเฉย
“ไปค่ะคุณเตชิน”
ชมพูหน้าเหวอๆ จนเอกราชต้องผายมือเชิญ ก่อนจะพาเดินเข้าไป ตุลเทพมองตามแล้วก็ส่ายหน้ากับอาการดี๊ด๊าออกนอกหน้าของปริมลดา

ปริมลดาควงแขนเตชินพามานั่งที่โซฟา ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ด้วย พลางพูดสร้างภาพว่าเป็นเพื่อนรักกับชมพู แต่คนอื่นกลับพูดแขวะทำนองว่าเป็นคู่แข่งกันมากกว่า
ชมพูมองเพื่อนทีละคนอย่างตื่นเต้น ก่อนจะมองที่ตุลเทพกับปริมลดาอย่างนึกขึ้นได้
“เธอ 2 คนเป็นแฟนกันนี่”
ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกันทันที “เลิกกันแล้ว”
ปริมลดาพูดแล้วปรายตามองไปทางเตชิน “ตอนนี้ฉันโสด”
เชิงชายมองเตชินยิ้มๆ “แล้วนี่จะไม่แนะนำบอดี้การ์ดอย่างเป็นทางการหน่อยเหรอ”
ชมพูยิ้มเขิน “อุ๊ย ลืมไปสนิทเลย นี่พี่เตชิน”
เอกราชมองเตชิน ต่างคนต่างจำกันได้ดี
“ไม่ได้เจอกันซะนานนะครับ”
เตชินยิ้มอย่างไว้เชิงนิดๆ “ก็นานพอดู”
ปริมลดามองอย่างแปลกใจ “นี่ 2 คนรู้จักกันมาก่อนเหรอ”
เอกราชยักไหล่นิดๆ “ไม่ได้รู้จักกันธรรมดา เคยชกกันมาแล้ว แต่มันก็แค่เรื่องในอดีต”
“คุณเตชินเค้าเพิ่งจบปริญญาโทด้านสถาปัตย์มา นายหาคนช่วยงานอยู่ไม่ใช่เหรอ จีบไว้สิ”
เอกราชทำท่าจะพูดเรื่องงาน แต่ชมพูเข้ามาห้ามไว้ก่อน
“เรื่องงานเอาไว้คุยที่หลังเถอะค่ะ ชมพูยังไม่รู้เลยว่าพอเรียนจบกัน ทุกคนไปทำอะไรบ้าง”
ประวิทย์รีบเชื้อเชิญทุกคนให้ทานอาหารอิตาเลี่ยนฝีมือของเขา ขณะที่เตชินมองไปรอบๆ เหมือนรอคอยใครบางคน
“มีคนมาแค่นี้เหรอครับ”
ปริมลดารีบบอก
“ยังมีมาอีกค่ะ”

เขายิ้มอย่างมีความหวังขึ้นมาทันที

อ่านต่อหน้า 3

นางชฎา ตอนที่ 4 (ต่อ)

ระหว่างทานอาหารอิตาเลียนฝีมือของประวิทย์ เพื่อนๆ ทุกคนก็เล่าถึงหน้าที่การงานของแต่ละคนให้ชมพูฟัง

“เอกราชรับช่วงคุณพ่อดูแลกิจการด้านการก่อสร้างทั้งหมด นี่คือโรงแรมที่กำลังสร้างอยู่”
ประวิทย์พูดพลางชี้ชวนชมพูให้ดูโมเดลโรงแรมหรูติดทะเลด้วยความตื่นเต้น
เชิงชายรีบพูดต่อ
“ส่วนประวิทย์ก็มีกิจการร้านอาหารอิตาเลี่ยน ส่วนเพลงที่กำลังฟังอยู่เนี่ย ฉันแต่งเอง ยังมีเพลงฮิตๆ อีกหลายเพลงนะ ตอนนี้ฉันเป็นนักแต่งเพลงแล้ว ดังด้วย”
ปริมลดาเชิดหน้าขึ้นนิดๆ เมื่อพูดถึงตัวเอง
“ส่วนฉันก็เป็นซุปตาร์ นางเอกละครอันดับหนึ่ง”
ตุลเทพพูดถึงตัวเองรั้งท้ายด้วยน้ำเสียงเศร้า
“ของฉันศูนย์กีฬาทางน้ำกำลังใกล้เจ๊ง รอคอยปาฎิหารย์ให้มันกลับมารุ่งเรืองใหม่”
ชมพูยิ้มให้กำลังใจ
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ แล้วคนอื่นล่ะ ฉันจำได้ว่ายังมีเพื่อนๆ เยอะกว่านี้นะ หงส์หยก เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม แล้วก็ ริลณีด้วยใช่มั้ย”
ทันทีที่ชมพูพูดชื่อริลณี เตชินหันขวับเพื่อรอคำตอบ แต่ภายในห้องกลับเงียบกริบ ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จนทั้งคู่รู้สึกแปลกใจ
จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นแหวกความเงียบขึ้นมา ปริมลดารีบกดรับแก้เก้อ ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“เลิกบ่นสักทีน่า เดี๋ยวฉันให้คนลงไปช่วยเธอถือของ”
พอวางสาย ก็พยายามทำหน้าร่าเริงปกติ เหมือนไม่มีอะไร
“คนที่เธอเพิ่งเอ่ยชื่อเมื่อกี๊มาอีกคนแล้ว ได้ข่าวว่าซื้อของกินมาเพียบ ใครจะไปช่วยถือของ”
“ผมไปช่วยเองครับ”
เตชินรีบอาสาเดินออกไป ชมพูหันมองทุกคน
“เมื่อกี๊พูดถึงใครอยู่นะ”
เชิงชายรีบตอบเลี่ยงๆ “หงส์หยกไง”
ทุกคนรีบเออออไปด้วยทันที ชมพูยิ้ม พลางหันคุยกับทุกคนต่อไปอย่างสนุกสนาน โดยไม่เห็นสายตาของเพื่อนๆ แต่ละคนที่ยังกังวลกับชื่อริลณีไม่หาย

เตชินเดินออกมาจากลิฟท์พยายามมองหาใครบางคนที่คิดว่าจะมาอย่างตื่นเต้น แต่กลับเห็นเพียงหงส์หยกคนเดียวเท่านั้น
หงส์หยกรีบแนะนำตัว พลางทำทีเป็นจำเตชินไม่ได้ เขาจึงรีบแนะนำตัวเอง ก่อนจะกวาดสายตาเหมือนรอใครอยู่
“แล้วมาแค่นี้เหรอครับ ไม่มีคนอื่นอีกแล้วเหรอครับ”
“ไม่มีแล้วล่ะค่ะ คุณเตชินรอใครอยู่เหรอคะ”
“ไม่มีครับ”
เตชินส่ายหน้า พร้อมกับรีบช่วยถือของ หงส์หยกมองยิ้มอ่อยๆ ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปที่ลิฟท์ หงส์หยกแกล้งทำเดินสะดุดเหมือนจะล้ม เขารีบมาคว้าตัวไว้ ตามสัญชาตญาน แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอ่อย ตาวาว

“พี่เตชินเป็นของฉัน คนอื่นไม่มีสิทธิ”
ปริมลดาแอบมากระซิบหงส์หยกอย่างเอาเรื่อง พลางเหลือบมองเตชินที่กำลังเอาน้ำมาเอาอกเอาใจดูแลชมพู ขณะกำลังคุยกับเอกราช ประวิทย์ เชิงชาย และ ตุลเทพ
หงส์หยกแอบจ๋อย เพราะแอบปลื้มเตชินอยู่ไม่น้อย แต่ต้องเก็บอาการ
“แล้วพี่โต้งผู้กำกับที่เป็นแฟนลดาล่ะ”
“นางเอกอย่างฉันจะแต่งงานกับใครสักคน พี่เตชินก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด หล่อ รวย โปรไฟส์ดี มีการศึกษา ชาติตระกูลสูง”
พอหงส์หยกท้วงว่าเตชินเป็นแฟนชมพู ปริมลดาก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์
“แล้วไง ? ตราบใดที่ยังไม่จดทะเบียน พี่เตชินเค้าก็มีสิทธิที่จะเลือกใครก็ได้”
“ซึ่งมันก็อาจจะไม่ใช่ลดา”
ปริมลดาพูดอย่างมั่นใจมาก “ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่เลือกฉันหรอก”
“แต่เค้าก็เคยไม่เลือกเธอมาครั้งนึงแล้วนะ”
ขาดคำปริมลดาก็จ้องหน้าหงส์หยกอย่างจับผิด
“อย่าบอกนะที่มาพูดเป็นหมาหวงก้างแบบนี้ เพราะตัวเองก็อยากได้เตชินเหมือนกัน”
“สวยอย่างลดาเค้ายังปฎิเสธมาแล้ว อย่างฉันเค้าจะมามองทำไมล่ะ”
ปริมลดาจิกสายตาดูแคลน
“อย่างเธอ แค่ได้ผู้ชายมารักมาชอบสักคนก็ดีจะแย่อยู่แล้ว แต่ก็นะ ผู้ชายจริงๆ สมัยนี้มีน้อย ฉันว่าเธอทำใจเตรียมขึ้นคานไว้ดีที่สุด ไม่หวังก็ไม่ต้องผิดหวัง”
จากนั้นปริมลดาก็ยื่นถุงใส่เครื่องสำอางที่เธอไม่ใช้ให้หงส์หยก โดยแลกกับการที่อีกฝ่ายจะต้องช่วยเธอแย่งเตชินมาจากชมพูให้ได้

หงส์หยกแอบมองปริมลดาด้วยสายตาที่ร้ายกาจ

เตชินเอาใจชมพูด้วยการตักอาหารให้ไม่ขาด ปริมลดาและหงส์หยกแอบมองอย่างอิจฉา โดยไม่มีใครสังเกตว่าประวิทย์เองก็ตักอาหารเอาใจเอกราชอยู่เหมือนกัน

ปริมลดาพยายามให้ท่าเตชิน แต่ก็โดนตุลเทพขวางลำอยู่ตลอด ฝ่ายแรกพยายามข่มความโกรธเพราะเกรงจะเสียภาพลักษณ์
จังหวะนั้นเชิงชายก็หันมาถามชมพู
“สรุปพวกเราช่วยให้เธอจำอะไรขึ้นมาได้บ้างมั้ยเนี่ย”
“ก็จำได้เยอะนะ แต่มีอย่างนึงที่ฉันนึกยังไงก็นึกไม่ออก จริงๆ เรายังมีเพื่อนอีกไม่ใช่เหรอ ฉันจำ
ได้ว่ามีเฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม แล้วก็ริลณี”
สิ้นคำว่าริลณี เตชินก็เหลือบมองทั้ง 6 คนอย่างอยากรู้คำตอบที่อยากรู้มานาน ในขณะที่ทั้งหกกลับทำหน้าตื่นดูตกใจ
“ฉันมีรูปริลณีเยอะมากๆ ฉันรู้สึกว่าเค้ากับฉันสนิทกัน ก็เลยอยากรู้ว่าเค้าเป็นยังไงบ้าง”
เตชินหูผึ่งฟังคำตอบ ตุลเทพ ปริมลดา ประวิทย์ หงส์หยก เชิงชาย หันมองหน้ากัน อย่างไม่รู้จะตอบยังไง มีเพียงเอกราชที่ตั้งสตริได้ก่อน รีบโพล่งขึ้นมา
“ยายนั่น แต่งงานมีลูกมีผัวไปตั้งนานแล้ว เคยเจอครั้งนึง เมื่อไม่นานมาเนี่ย”
เตชินดูเหมือนจะช็อกกับคำตอบ แต่ก็พยายามทำหน้าตาให้ดูปกติที่สุด
“เจอที่ไหนเหรอครับ”
“ผมก็จำไม่ได้ ช่วงนั้นเดินทางบ่อย ก็ไม่ได้ทักอะไรกันนะ แต่ก็ท่าทางดูมีความสุขดี”
ชมพูยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง
” งั้นแสดงว่าริลณีก็แต่งงานคนแรกของรุ่นน่ะสิ น่าอิจฉาจังเนอะ”
ทุกคนพลอยพยักหน้าเออออไปด้วย มีแต่เตชินคนเดียวที่ทำหน้าขรึมเศร้า เพราะยังช็อกไม่หาย

เตชินเดินหน้าเครียดไปมา จนชมพูมองอย่างรู้สึกกังวลใจ พลางพยายามถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เขารีบตอบบ่ายเบี่ยงว่าไม่มีอะไร อย่าสนใจเลย
“ชมพูไม่สนใจไม่ได้หรอกค่ะ เพราะพี่เตชินเองยังใส่ใจความรู้สึกของชมพูอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถ้าพี่เตชินเห็นว่าอะไรที่ชมพูพอจะช่วยพี่ได้ก็บอกนะคะ ชมพูจะทำค่ะ”
“งั้นพี่ขอให้ชมพูช่วยอะไรพี่อย่างนึงได้มั้ยครับ ช่วยยิ้มอย่างที่ชมพู ชอบยิ้มให้พี่ดูหน่อยได้มั้ยครับ”
ชมพูมองหน้าเตชินก่อนจะยิ้มหวานให้ แล้วก็เปลี่ยนมาพยายามทำหน้าตลก จนเขาต้องฝืนทำเป็นหัวเราะ ทว่าแววตายังคงเศร้าซึม เพราะยังคงครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่ยังคิดไม่ตกสักที

ส่วนกลุ่มของ 6 คนนั้น ก็จับกลุ่มคุยกันเรื่องของริลณี ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ต่างคนต่างขวัญผวาทุกครั้งที่นึกถึง และได้แต่ภาวนาขออย่าให้ชมพูเอ่ยถึงชื่อนี้ขึ้นมาอีก

เมื่อเตชินกลับมาถึงบ้าน เขาก็ยังคงครุ่นคิดคาใจเรื่องที่เอกราชบอกว่าริลณีแต่งงานไปแล้ว ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดรวดร้าว จนเมื่อพ่อกับแม่เดินเข้ามาในห้องนอน เพื่อพูดถึงเรื่องแต่งงานกับชมพู
“คุณพ่อคุณแม่จัดการตามความเหมาะสมเถอะครับ”
จิตราและณรงค์มองหน้ากันแบบงงๆ เพราะไม่คิดว่าลูกชายจะตอบแบบนี้
“หมายความว่า ลูกพร้อมจะแต่งงานกับหนูชมพูแล้วใช่มั้ย”
“เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่ผมจะรออะไรอีกต่อไป”
จิตราพูดอย่างตื่นเต้น “ งั้นต้องไปขอฤกษ์ใหม่แล้วละค่ะ ฤกษ์เดิมไม่น่าจะเตรียมงานทัน”
“ผมจะยอมแต่งงานกับน้องชมพู แต่มีข้อแม้ข้อนึงนะครับ”
ณรงค์และจิตราหันขวับมองหน้าลูกชายอย่างแปลกใจ

ที่แท้เงื่อนไขของเตชินก็คือให้พ่อกับแม่ซื้อบ้านร้างหลังนั้นเป็นเรือนหอให้เขากับชมพู เมื่อทำการซื้อขายเรียบร้อยแล้ว จิตราก็มองไปรอบๆ บ้านด้วยความรู้สึกกลัว จนณรงค์พยายามปลอบอยู่ตลอดเวลา
“คงต้องปรับปรุงซ่อมแซมกันเยอะ โทรมอย่างกับบ้านผีสิง ไม่รู้ซื้อไปทำไม”
“เอาน่าคุณ ราคาบ้านกับราคาค่าซ่อมรวมแล้ว ยังถูกกว่าบ้านสำเร็จรูปตามหมู่บ้านจัดสรรอีก แถมยังได้ที่ดินมากกว่าตั้งเยอะ เจ้าเตชินซ่อมเสร็จขี้คร้านคุณจะปลื้ม”
ขณะที่เตชินหันมาถามเจ้าของบ้าน
“แล้วผมเข้ามาอยู่บ้านนี้แล้ว ลุงที่เฝ้าบ้านเดิมจะไปอยู่ที่ไหนครับ”
เจ้าของบ้านทำหน้างง “บ้านนี้ร้างไม่มีใครอยู่มาเป็นสิบๆปีแล้วนะครับ”
แต่เตชินยืนยันว่าลุงคนนั้นเป็นคนบอกเรื่องบ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านก็ยืนยันเช่นกันว่าบ้านนี้ไม่มีคนอยู่จริงๆ
“ถ้าอย่างอื่นละไม่แน่”
ขาดคำเจ้าของบ้านก็ขอตัวเดินออกไป เตชินยืนงง ส่วนจิตราที่ได้ฟัง ก็ยิ่งขัดใจ
“ทำมาเป็นพูดจากำกวม คิดจะซื้อบ้านแถมผีให้รึไง บอกไว้ก่อนนะว่าพวกฉันไม่ยอมให้...”
ทว่ายังไม่ทันจะพูดจบประโยค จู่ๆ ก็มีกิ่งไม้ขนาดใหญ่หักตกลงมาที่พื้น ไม่ห่างจากที่ทุกคนยืนอยู่ จิตราและณรงค์กระโดดหลบแทบไม่ทัน
“ฉันทนอยู่ที่บ้านนี้ไม่ได้แล้ว กลับเถอะค่ะคุณ”
พูดพลางรีบคว้าแขนณรงค์ออกด้วยท่าทางหวาดกลัว เตชินถอนใจ แต่กลับไปมองบ้านยิ้มอย่างภูมิใจ
“ฉันจะต้องทำให้บ้านนี้กลับมาสวยเหมือนเดิมให้ได้”

ผีริลณีปรากฏกายยืนอยู่ข้างๆ มองบ้านนั้นเคียงข้างเตชิน ก่อนจะซบหัวลงไปบนไหล่ของเขาอย่างสุขใจ

ตุลเทพนั่งซึมอยู่ที่มุมหนึ่งในสระว่ายน้ำมองรุ่นน้องในชมรมคนหนึ่งที่กำลังว่ายน้ำเพื่อจับเวลาอยู่ห่างๆ ด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ ก่อนจะยกแขนขึ้นมองแผลเป็นที่ริลณีเคยฟันจนทำให้ไม่สามารถว่ายน้ำได้อีก

เสียงของเอกราชยังดังก้องอยู่ในหู
“ฉันคงให้นายยืมเงินไม่ได้หรอกว่ะ เงินเยอะขนาดนั้น นายเครดิตไม่ดี ถ้าขืนให้นายกู้มีหวังพ่อฉันด่าตาย นายลองหาทางอื่นก่อนก็แล้วกัน”
เขาถอนหายใจเฮือก พลางมองโค้ชและนักศึกษารุ่นน้องอย่างเจ็บปวด ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกมาจากสระว่ายน้ำไปอย่างเศร้าๆ เหงาๆ ครั้นเดินมาที่ลานจอดรถที่ค่อนข้างว่าง ขณะกำลังจะเปิดประตูรถเข้าไป จู่ๆ ก็มีนักเลงท่าทางโหด 2 คนที่แอบซุ่มรออยู่เดินเข้ามาเอาไม้ฟาดก่อนจะกระหน่ำตี และรุมกระทืบไม่เลี้ยง
ตุลเทพพยายามสู้แต่ก็ทานแรงไม่ได้ ได้แต่ร้องโอดโอยขอความช่วยเหลือ น้าไหวกับกล้าที่เดินอยู่ไม่ไกล ได้ยินเสียง ก็รีบวิ่งเข้ามา
พวกนักเลงหันไปเห็นก็หยุดตี พลางก้มลงเอามือบีบปากตุลเทพไว้แน่น
“นี่ถือว่าเป็นดอกเบี้ยงวดแรก ถ้าแกยังเบี้ยวหนี้เสียอีกคราวหน้าไม่ใช่แค่นี้แน่”
จากนั้นพวกมันก็รีบวิ่งไปขึ้นมอเตอร์ไซด์แล้วขับออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่น้าไหวและกล้าเข้ามาเห็นสภาพของตุลเทพ จึงรีบช่วยกันพยุงขึ้นรถพาไปหาหมอ

เมื่อให้หมอทำแผลเสร็จ ตุลเทพก็พูดขอบคุณทั้งน้าไหวและกล้าที่ช่วยเขาไว้ขากเงื้อมือของพวกนักเลง ทั้งคู่จำเขาได้ดีว่าเป็นนักว่ายน้ำสุดหล่อ มีแฟนเป็นดาวตบประจำมหาวิทยาลัย ตุลเทพพยักหน้ารับ ก่อนจะบอกว่าสถานะตอนนี้ของเขาอยู่ในขั้นตกอับ เพราะมีหนี้สินติดตัวถึงเกือบสิบล้าน
กล้ารีบพูดปลอบ
“พี่เคยเห็นคนแย่ยิ่งว่าน้อง ยังกลับมารวยเป็นเศรษฐีได้ แค่ต้องหาตัวช่วยที่เหมาะสม”
น้าไหวรีบสะกิดเตือน “เฮ้ย ของแบบนี้ ถ้าคนเค้าไม่เชื่อจะหาว่าเรางมงายนะเว้ย”
ตุลเทพรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
“ขอแค่ช่วยผมได้ ผมเอาทุกทางแหละ”
2 ยามมองหน้ากันยิ้มๆ เหมือนมีอะไรที่ไม่ธรรมดา

เตชินยืนกำกับดูแลงานคนงานซ่อมแซมบ้านและปรับปรุงสวนอย่างใกล้ชิด โดยเขาย้ำว่าอยากให้เก็บรายละเอียดของตัวบ้านแบบเดิมเอาไว้ให้หมด รวมทั้งศาลานี้ด้วย หัวหน้าคนงานทำหน้าแหยๆ เมื่อเหลือบตามองเรือนไทย แต่ต้องพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะเดินออกไป
จากนั้นเขาก็เดินไปที่ศาลาเก่าทรุดโทรม ก่อนจะมาหยุดยืนที่บนหลุมศพของริลณีใต้ศาลาพอดี ขณะกำลังจะเงยหน้าขึ้นไปเห็นยันต์ที่แปะเอาไว้เหนือหัว ชัชที่ดูท่าทางยุ่งๆ วุ่นวายเดินเข้ามาหา พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าหวาดหวั่นว่าได้ยินพวกคนงานพูดกันว่าศาลานี้ เหมือนมีใครมาทำพิธีไสยศาสตร์ไว้ พูดพลางพยายามมองหา ก่อนจะชี้ไปที่ยันต์เก่าๆ อันหนึ่งที่ยังติดแน่นอยู่
“นี่ไง มียันต์อะไรแปะเอาไว้ด้วย”
“ตัวอักษรนี่มันอะไร”
ทั้งคู่พยายามเงยหน้าดูด้วยความสงสัย จังหวะนั้นร่างของผีริลณีก็ปรากฎขึ้นด้านหลังพยายามพูดสื่อสารกับเตชินอย่างน่าสงสารและทรมาน
“เตชิน รินถูกกักขังอยู่ที่นี่ เอายันต์นั้นออก ปลดปล่อยรินออกมา”
ชัชที่กำลังเงยหน้ามอง รู้สึกหนาวๆ วูบๆ ขณะที่เตชินรู้สึกเหมือนมีบางอย่าง ดลให้เขาเดินไปหยิบเก้าอี้มาวางใต้ยันต์ ก่อนจะปีนขึ้นไปพยายามเอายันต์นั้นออก
“เฮ้ย อย่ามือบอนสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวก็ซวยหรอก”
เสียงห้ามของชัชเรียกสติของเตชินกลับมา
“งั้นก็ปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ ศาลานี้ด้วย ฉันไม่อยากรื้อหรือทำลายอะไรในบ้านหลังนี้ โดยไม่จำเป็น”
พอทั้งคู่เดินออกไป ผีริลณีก็ปรากฏขึ้นมองตามไปด้วยสายตาอันเจ็บปวด

ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยเสียงโหยหวน และทุกข์ทรมานอย่างที่สุด

อ่านต่อหน้า 4

นางชฎา ตอนที่ 4 (ต่อ)

ชมพูมาหาหงส์หยกที่บริษัทออแกนซ์ที่ฝ่ายหลังทำงานอยู่ พร้อมกับเจรจาเรื่องที่จะว่างจ้างให้จัดงานแต่งงานของเธอกับเตชินในอีก 2 เดือนข้างหน้า หงส์หยกแอบอิจฉาอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าแสดงออก

หลังจากที่พูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว ชมพูก็หลือบไปเห็นเอทีเอ็มเดินหอบแฟ้มเอกสารพะรุงพะรังเข้ามา เธอรีบตะโกนทักด้วยอารามดีใจ
“เอทีเอ็ม”
ฝ่ายถูกเรียกหันมามองตามเสียงอย่างตกใจ และคาดไม่ถึง

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็มานั่งกินอาหารที่ร้านเล็กๆ ข้างทาง โดยมีเฟื่องฟ้าตามมาสมทบด้วย ชมพูมองไปรอบๆ ร้านด้วยความตื่นเต้น
“มากินข้าวร้านแบบนี้ แล้วคิดถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัยเนอะ”
เฟื่องฟ้ายิ้มรับคำ
“พวกเราไม่มีปัญญากินร้านอื่นหรอก มันแพง”
ชมพูมองอย่างเข้าใจ
“ตอนนี้เธอดูแลบ้านเด็กกำพร้าใช่มั้ย วันหลังฉันจะเอาของไปบริจาคบ้างนะ”
“ยินดีจ้ะ แล้วชมพูเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ข่าวคราวกันเลยตั้งแต่เรียนจบ”
“ฉันก็มีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อย แต่ก็ผ่านมันมาได้ แล้วตอนนี้ก็กำลังจะแต่งงานจ้ะ”
เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มหันมองหน้ากัน ด้วยความสงสาร ทั้งคู่คิดว่าเรื่องยุ่งๆ ที่ชมพูพูดถึงคือการเลิกกับเตชิน เพราะตลอดเวลา ทั้งคู่คิดว่าริลณีอยู่กับเตชินที่อเมริกา
“ฉันดีใจด้วยนะที่เธอมีความสุข ฉันก็เคยคิดเป็นห่วงเธออยู่เหมือนกัน”
เฟื่องฟ้าจับมือชมพูเหมือนปลอบใจ เอทีเอ็มรีบพูดแทรกทันที
“จะเป็นห่วงชมพูเค้าทำไม ตัวเธอน่ะน่าเป็นห่วงกว่าเยอะ ชมพูก็เลยมาให้ที่บริษัทเราจัดงานให้ใช่มั้ย”
“ใช่จ้ะ พอดีฉันกับพี่เตชินไม่ค่อยว่าง ก็เลยต้องหาคนช่วยดูแล”
เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มที่นั่งฟังอยู่ตกใจที่ได้ยินชื่อเตชิน”
“เดี๋ยวๆ เมื่อกี๊เธอบอกว่า เธอแต่งงานกับใครนะ”
“พี่เตชิน พวกเธอรู้จักเค้าไม่ใช่เหรอ”
ชมพูถามยิ้มแบบไม่ได้คิดอะไร ในขณะที่เฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มหันมองหน้ากันแบบอึ้งๆ

เมื่อแยกกับชมพูแล้ว เฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มคุยกันเองอย่างข้องใจว่าถ้าชมพูจะแต่งงานกับเตชิน แล้วริลณีล่ะ อยู่ที่ไหนกัน ?
“ทุกอย่างมันไม่ใช่อย่างที่พวกเราคิด แล้วตอนนี้รินเป็นยังไง ทำอะไร อยู่ที่ไหน แล้วทำไมถึงไม่ติดต่อพวกเรามาเลย”
เอทีเอ็มพูดขึ้นมาอย่างเป็นห่วง เฟื่องฟ้าเองก็เช่นกัน
“หรือว่ารินจะอายที่เรื่องไม่เป็นไปอย่างที่คิด”
“ฉันชักรู้สึกเป็นห่วงรินขึ้นมายังไงก็ไม่รู้”

ทั้งคู่หันมองหน้ากัน เริ่มใจคอไม่ดี

เตชินนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอยู่บนศาลาเรือนไทย ข้างกายมีแบบและงานมากมายกองอยู่ ท่ามกลางสายลมพัดมาอ่อนๆ จนกระดิ่งลมที่ศาลาดังกรุ๊งกริ๊งๆ

ริลณีในชุดกระโปรงสวยอ่อนหวานเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ และใช้ผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนหน้าให้อย่างรักใคร่และห่วงใยสุดๆ
เขาลืมตาขึ้นมามองยิ้มๆ พร้อมกับคว้าแขนเธอไว้ ก่อนจะขยับขึ้นมานอนบนตักเธออย่างอ้อนๆ
“ขอบคุณนะคะเตชิน ที่ช่วยซ่อมบ้านของเรา”
“ก็เราจะอยู่ที่บ้านนี้ด้วยกันนี่ครับ ผมก็ต้องทำให้สวยที่สุด รินอยากให้ผมทำอะไรอีกมั้ย”
ริลณีมองเตชินยิ้มๆ ก่อนจะชี้ไปที่สนาม
“รินอยากปลูกต้นไม้ไทยหอมๆ ตรงนั้นด้วยค่ะ”
“งั้นผมให้เค้าหาต้นชมนาดมาปลูกให้รินดีมั้ยครับ”
เธอยิ้มพอใจ ก่อนจะมองศาลา “รินอยากให้เตชินรื้อศาลานี้ออกไปด้วยค่ะ”
เตชินผุดลุกขึ้นจากที่หนุนตัก มองไปศาลาอย่างพิจารณา
“ผมชอบศาลานี้นะ เราเก็บไว้ก่อนไม่ดีกว่าเหรอครับ”
ริลณีขึ้นเสียงสวนมาทันที “แต่รินไม่ชอบ” ครั้นรู้สึกตัวก็พูดเสียงอ่อนลง “ถือว่ารินขอร้อง นะคะ ทำเพื่อรินได้มั้ย”
เตชินครุ่นคิดหนัก ทำท่าเหมือนจะยอมใจอ่อนแล้ว
“เตชิน ตื่นสิวะ เตชิน”
เสียงปลุกของชัชดึงให้เตชินหลุดจากห้วงความฝัน เขาตกใจตื่น เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า
“ริน รินล่ะ รินอยู่ไหน”
ชัชส่ายหน้าอย่างระอา
“คิดถึงมากแล้วเก็บไปฝันน่ะสิ จะแต่งงานอยู่แล้ว จะมานอนฝันถึงแฟนเก่าได้ยังไง”
เตชินก้มหน้าเศร้า
“แต่ฝันเมื่อกี๊เหมือนจริงมาก ฉันนึกว่าอยู่กับรินจริงๆ”
“อย่าลืมสิ ตอนนี้เค้าอยู่กับลูกผัวเค้าแล้ว โน่นคนโน้น คนที่แกควรจะคิดถึง”
ชัชชี้ไปที่ชมพูที่เดินเข้ามาท่าทางดูตื่นเต้น เตชินรีบเดินเข้าไปหาอย่างแปลกใจ
“ชมพูแวะไปหาหงส์หยกเรื่องงานแต่งของพวกเรา ก็เลยแวะเอาของอร่อยมาให้พี่เตชิน แล้วก็คนงานทุกคนด้วยค่ะ”
ชมพูโชว์ถุงขนมมากมายที่ถือมา พร้อมรอยยิ้มอย่างน่ารัก เขามองความแสนดีของเธอ ด้วยความรู้สึกสงสาร แต่ครั้นเมื่ออยู่ตามลำพังกับชัช ก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างยอมรับความจริงว่าเขายังรักริลณีอยู่ จนไม่สามารถเปิดใจให้ชมพูได้
ชัชได้ยินความในใจของเพื่อน ก็รีบพูดเตือนสติ
“เก็บสิ่งที่เคยมีไว้ในความทรงจำ แล้วเดินหน้าใหม่กับคนที่มีอยู่ ยังไงนายก็เลือกแล้วว่าจะแต่งงานกับเค้า”

เตชินคิดหนัก ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

ถัดจากนั้นเตชินก็เดินไปจูงมือชมพูที่อมยิ้มเขิน เพราะไม่เคยโดนเขาจับมือแบบนี้ ทั้งคู่จูงมือกันเดินมาหยุดที่ใต้ศาลาบนหลุมศพพอดี ผีริลณีที่ยืนตรงนั้นอยู่ก่อนหน้าแล้ว จ้องมองทั้งคู่ด้วยแววตาโกรธแค้น

“อีกไม่นานบ้านหลังนี้ก็จะซ่อมเสร็จ เราสองคนก็จะแต่งงานกัน พี่ยังไม่เคยถามชมพูสักนิดเลยว่า ชอบบ้านหลังนี้รึเปล่า”
ผีริลณีเลื่อนตัวเข้ามาตรงที่ทั้งคู่ยืนอย่างรวดเร็ว ทว่าทั้งคู่ต่างไม่เห็นและไม่รู้สึก
“อะไรที่พี่เตชินชอบ ชมพูก็ชอบทั้งนั้นแหละค่ะ”
ผีริลณีจ้องมองชมพูด้วยสายตาจงชัง
“ไม่ ที่ - นี่ - เป็น - บ้าน - ของ - ฉัน”
“พี่ขอโทษนะครับ ที่ไม่เคยถาม ไม่เคยปรึกษา และทำอะไร ตามใจตัวเองตลอด”
“พี่เตชินอย่าว่าตัวเองอย่างนั้นสิคะ ชมพูรู้ค่ะว่าพี่เตชินทำสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ”
ชมพูพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือเตชิน ผีริลณีเห็นก็โกรธจัด พยายามจะปัดมือชมพูออก แต่เมื่อไม่สามารถสัมผัสตัวคนทั้งคู่ได้ ดวงวิญญาณนั้นก็ยิ่งแค้นมาก ดวงตาแดงกล่ำแทบถลนออกมาจากเบ้า
เตชินดึงตัวชมพูเข้ามาใกล้ๆ
“แต่มีอย่างนึง ที่พี่คิดว่าพี่ยังทำได้ดีไม่ที่สุด เราจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่พี่ยังไม่เคยขอชมพูแต่งงานเลย ถ้าพี่จะขอตอนนี้ มันจะช้าเกินไปมั้ยครับ”
ชมพูมองหน้าเตชิน ตื่นเต้นดีใจ จนน้ำตาคลอ
“แต่งงานกับพี่นะครับ”

ผีริลณีมองภาพตรงหน้าด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน ด้วยความเจ็บปวดชอกช้ำเหลือคณา

อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น