xs
xsm
sm
md
lg

นางชฎา ตอนที่ 3

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นางชฎา ตอนที่ 3

เอกราช ประวิทย์ และเชิงชาย เดินเข้ามาในโรงพัก ท่ามกลางนักข่าวจากหลายสำนักที่มารอทำข่าว ต่างแย่งกันยิงคำถามเป็นชุด จนทนายต้องรีบเข้ามากันตัวพวกเขาขึ้นไปด้านบน

พอกลับมาถึงที่พัก ประวิทย์ก็โวยวายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเกรงว่าจะโดนสั่งระงับทุนที่จะไปเรียนต่อ ขณะที่เอกราชทำหน้าเหมือนทองไม่รู้ร้อน
“อย่าตีโพยตีพายไปหน่อยน่า อย่าลืมสิว่าพ่อฉันเป็นใคร ฉันไม่มีวันยอมให้นังเด็กกำพร้านั่น มาทำอะไรพวกเราได้แน่”

ทางด้านเตชินก็พาริลณีมาให้ปากคำที่สถานีตำรวจ แต่ติดตรงที่เธอไม่มีหลักฐาน และพยานที่จะเอาผิดพวกนั้นได้

ริลณีเดินไปตามทางบนตึกหน้าตาเคร่งเครียด โดยมีเอทีเอ็ม และเฟื่องฟ้าเดินไปด้วย ตลอดทางก็มีนักศึกษามองตาม และจับกลุ่มซุบซิบในเชิงดูถูกกันสนุกปาก แม้กระทั่งน้าไหว และกล้า ยังมองเธอด้วยสายตาสงสัย และเคลือบแคลงใจ
ริลณีรู้สึกเจ็บปวด เสียใจ จนต้องรีบวิ่งหนีออกไปทันที

ในอีกมุมหนึ่ง อ.นาฏก็คุยกับชมพูหน้าเครียด ว่าอาจจะจำเป็นต้องปลดริลณีออกจากการเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัย
ชมพูเป็นห่วงเพื่อน จนต้องมานั่งระบายให้เตชินฟัง เขายิ่งฟังก็ยิ่งเป็นห่วงเธอเข้าไปใหญ่ แต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก
“แล้วริลณีหาคนที่ไปเป็นพยานเหตุการณ์วันนั้นให้เค้าได้รึยังครับ
“คงยากล่ะค่ะ เพราะทั้งมหาวิทยาลัย ไม่มีใครอยากมีปัญหากับเอกราชทั้งนั้น”

ตุลเทพซ้อมว่ายน้ำเสร็จ ก็ขึ้นมายืนเช็ดตัวอยู่ข้างสระ ก่อนจะได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา พอหันไปมอง เห็นริลณีเดินเข้ามา ก็ยิ้มพอใจ
“มันไม่นานไปหน่อยเหรอ ถ้าจะมาขอบคุณ เรื่องที่ผมทำคุณบูชาโทษวันนั้น”
ริลณีหน้าเจื่อน
“ฉันอยากจะมาขอร้องให้คุณช่วยไปเป็นพยานให้หน่อย”
ตุลเทพยักไหล่ไม่สนใจ “พยาน ? ไม่ดีมั้ง ผมไม่อยากมีปัญหากับใคร”
“เรื่องนี้จะเป็นความลับ พวกเอกราชไม่มีทางรู้หรอกว่าคุณไปเป็นพยานให้”
อีกฝ่ายแยะยิ้มร้าย ก่อนจะเดินรี่เข้าไปใกล้ๆ ถามหาข้อแลกเปลี่ยนกับการช่วยครั้งนี้
“แล้วคุณอยากได้อะไร เงินงั้นเหรอ ฉันไม่มีให้หรอก”
“เงินจากคนอย่างเธอ ฉันจะเอาไปทำไม อย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ”
“อย่างอื่นคืออะไร”
“ตอนนี้ยังนึกไม่ออก ไว้นึกได้ค่อยบอกเธอทีหลังก็แล้วกัน”
ริลณียิ้มออก “แสดงว่านายจะช่วยไปเป็นพยานให้แล้วใช่มั้ย”
“ก็เธออุตส่าห์มาขอร้องซะขนาดนี้ ยังไงเพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อน”
ริลณียิ้มดีใจ ตรงข้ามกับตุลเทพที่ยิ้มร้ายมีแผน

“จากกรณีลูกชายนักธุรกิจชื่อดังร่วมกับเพื่อนร่วมแก๊ง ลวงเพื่อนสาวร่วมมหาวิทยาลัยไปกระทำ
มิดีมิร้ายที่หอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยดัง จากการสืบคดีดังกล่าวน่าจะมีมูลความจริง”
ภาพรายงานข่าวในทีวี ทำเอาชมพูที่นั่งดูอยู่ที่บ้านถึงกับช็อก ขณะที่หงส์หยกยืนดูข่าวเดียวกันอยู่ที่แผงขายหมูในตลาด ในจอเอกราชกำลังยืนให้สัมภาษณ์นักข่าว
“เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่ๆ ผมจะฟ้องกลับคนที่สร้างข่าวทำให้ผมเสียหายด้วย”
นักข่าวอื่นพยายามจะสัมภาษณ์ต่อ เอกราชโมโห รีบปัดไมค์ออก ส่วนเชิงชายก็เอาเสื้อคลุมปิดหน้าขณะที่ประวิทย์ใส่หมวกพรางหน้าตัวเองไว้

“วันนี้ตำรวจจึงมีหมายเรียกทั้งสามเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา และดำเนินคดีต่อไป”
ปริมลดาที่นั่งดูข่าวจากแท็บเล็ตอย่างใจจดใจจ่อ เห็นนักข่าวในจอทีวีกำลังรายงานข่าว ก็โมโหสุดขีด ก่อนจะลุกขึ้นขว้างแท็บเล็ตทิ้ง แล้วกรีดร้องอย่างแค้นใจ

ปริมลดากับหงส์หยก เดินเข้ามาหาเอกราช ประวิทย์ และเชิงชาย ที่นั่งคอตกอยู่ในห้องรับแขกบ้านเอกราช 3 หนุ่มหน้าเครียด ที่จะต้องหมดอนาคต ทั้งที่อุตส่าห์เรียนมาถึง 4 ปี และใกล้จะจบอยู่รอมร่อ
เอกราชหันมองหน้าปริมลดาอย่างแค้นใจ
“เธอต้องช่วยฉันแก้แค้นนังนั่นนะลดา เพราะที่เราทำทุกอย่าง มันเป็นแผนของเธอ”
“รู้แล้วน่า แต่ตอนนี้มันยังทำอะไรไม่ได้ ขืนบุ่มบ่ามไป ก็ได้ถูกไล่ออกกันหมดนี่หรอก มันทำพวกนายเจ็บแสบขนาดนี้ ฉันต้องหาทางให้พวกนายเอาคืนแน่”
ทุกคนหันมองหน้ากัน ล้วนแต่ต้องการแก้แค้นริลณีทั้งนั้น

ส่วนริลณีก็เข้ามาก้มกราบ อ.นาฏ พร้อมกับรับทราบข่าวดีว่าเธอยังมีสิทธิ์ที่จะได้ประกวดรำในฐานะตัวแทนของมหาวิทยาลัยตามเดิม เพราะทั้ง อ.นาฏ และชมพูช่วยพูดยืนยันกับทางผู้ใหญ่ว่าถ้าริลณีเช้าประกวดมีโอกาสที่ชนะ
ริลณียิ้มอย่างปลาบปลื้มใจ
“ชมพูช่วยรินมาตลอดเลย”
“เพื่อนที่ดีจะเห็นกันยามยากอย่างนี้แหละ เมื่อมีเพื่อนดีแล้ว ก็ควรจะรักษาเอาไว้ให้ยาวนานที่สุด เข้าใจใช่มั้ย”
ริลณีก้มหน้ารับคำ ด้วยความรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำเหมือนหักหลังชมพูอยู่

พอริลณีเดินออกมาจากตัวอาคาร เห็นเตชินดักรออยู่ เธอก็รีบออกปากให้เขากลับไปก่อน พลางรีบทำท่าจะเดินเลี่ยงไป ทำเอาอีกฝ่ายมองอย่างแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไป
“เดี๋ยวสิรินจะรีบไปไหน จริงๆ ที่ผมมา เพราะมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณด้วยนะครับ”
ริลณีมองหน้าเตชิน พร้อมกับคำขู่ของจิตราดังก้องอยู่ในหัว
“รินเองก็มีเรื่องสำคัญอยากพูดกับคุณเหมือนกัน”

ทางด้านชมพูเดินออกมาเห็นรถเตชินจอดอยู่ ก็เดินมาด้อมๆ มองๆ น้าไหวกับกล้าเดินอกมาเห็น ก็บอกว่าเจ้าของรถคันนี้ ขับรถมารับส่งแฟนที่นี่ประจำ แต่ปกติมักจะมาจอดซุ่มอยู่ด้านหลัง แล้วก็เดินหายเข้าไปที่อาคารชมรมนาฎศิลป์

ชมพูหน้าเสีย รีบเดินออกไปทันที

ขณะที่เตชินยื่นแหวนเพชรที่ซื้อมาเตรียมไว้ให้กับริลณี แต่เธอกลับมองแหวนด้วยสีหน้านิ่ง

“รินคงรับไว้ไม่ได้ค่ะ”
“ผมตั้งใจซื้อมาให้รินเลยนะครับ ถึงจะไม่ใช่แหวนแต่งงานหรือแหวนหมั้น แต่มันก็คือแหวนที่จะแสดงให้รินเห็นว่า ผมจริงจังกับริน”
ริลณีได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจแต่ต้องทำเป็นเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
“งั้นรินยิ่งรับไม่ได้”
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าริน ผมว่าวันนี้รินดูแปลกๆ ไปนะครับ”
“รินเหนื่อยน่ะค่ะ รินเหนื่อยเรื่องของเรา ถ้าคุณไม่เข้ามายุ่งกับชีวิตริน ทุกอย่างมันก็คงไม่ยุ่งยากแบบนี้ รินว่ามันถึงเวลาที่เราควรจะเลิกข้องเกี่ยวกันสักที เราเลิกกันเถอะค่ะ”
เตชินยืนอึ้ง ในขณะที่ริลณีก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
“รินรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
“รู้สิคะ รินรู้ตัวตลอดว่ายังไงเรื่องของเราก็เป็นไปไม่ได้ รินพยายามมามากแล้ว และตอนนี้รินรู้สึกเหนื่อย รินไม่อยากจะพบคุณอีก คุณกลับไปซะเถอะค่ะ”
ขณะกำลังจะเดินหนี กลับถูกเตชินดึงตัวเข้ามากอดไว้แน่น
“ไม่ ผมไม่กลับ จนกว่ารินจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น”

ชมพูสอดส่ายมองหาด้วยความหวั่นใจ และกลัวอยู่ลึกๆ พลันสายตาก็เหลือบไปมองที่ด้านนอกระเบียงข้างล่าง เห็นด้านหลังของเตชินเหมือนกำลังยืนคุยกับผู้หญิงอยู่ ท่าทางดูลับๆ ล่อๆ ก่อนจะดึงผู้หญิงเข้าไปกอด เธอรีบวิ่งถลาลงไปทันที

ริลณีพยายามจะดิ้นหนีออกจากอ้อมกอด แต่เตชินยิ่งรัดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ผมจะไม่ยอมปล่อยจนกว่ารินจะพูดความจริงกับผม ถ้ารินอยากเลิกกับผม กล้าพูดมั้ย ว่ารินไม่รักผมแล้ว”
เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอเพื่อเค้นหาความจริง ริลณีไม่กล้าสบตา ต้องรีบหันหน้าหนีพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา
“รินพูดไม่ได้ เพราะรินรักผม รินไม่ได้อยากเลิกกับผมจริงๆ”

ชมพูรีบวิ่งลงมาด้านล่าง แต่ปรากฏว่าชายคนที่เธอเห็นด้านหลังนั้น หาใช่เตชินไม่ เธอรีบวิ่งออกไปด้วยความอาย ที่ทักคนผิด โดยไม่เฉลียวใจว่าเตชินกับริลณียืนคุยกันอยู่ในไกลจากตรงนั้นเอง

ริลณีสะบัดตัวออกจากอ้อมกอด รีบยกหลังมือเช็ดน้ำตา ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับเตชิน และกลั้นใจพูดออกมาอย่างยากเย็น
“ริน ไม่ ได้ รัก คุณ”
เตชินเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ “รินโกหกผมทำไม”
“รินไม่ได้โกหก ฉันหวังว่าต่อจากนี้เราคงไม่ได้พบกันอีก”
เขาทั้งเจ็บ ทั้งโกรธจนจนทนไม่ไหวรีบเดินหนีออกไป ทิ้งให้เธอมองตาม เจ็บปวดหัวใจไม่แพ้กัน

ชมพูวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ลานจอดรถ คลาดกับเตชินที่ขับรถออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเพียงนิดเดียว
น้าไหวเดินมาเห็นก็รีบบอก
“เพิ่งขับออกไปเมื่อตะกี้นี้เองครับ”
กล้าช่วยเสริม “ท่าทางมู้ดดี้ คงมีปัญหากับแฟนแน่ๆ”
\ชมพูหน้าเสีย เพราะคิดไม่ออกว่าเตชินมาที่นี่ทำไม และมาหาใคร

เตชินนั่งซึมอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยไม่แตะต้องอาหารบนโต๊ะแม้แต่น้อย จิตรารีบสะกิดให้ณรงค์ดูท่าทีของลูกชาย ผู้เป็นพ่อหันมองตาม แล้วตัดสินใจพูดทำลายความเงียบขึ้นมา
“พ่อ ให้คนติดต่อมหาวิทยาลัยที่อเมริกา เรื่องที่จะส่งลูกไปเรียนต่อเรียบร้อยแล้วนะ สอบ
เสร็จ ก็เตรียมตัวเดินทางได้เลย”
เตชินตกใจ “ไม่เร็วไปเหรอครับคุณพ่อ ผมอยากทำงานหาประสบการณ์ที่นี่สักพัก”
ณรงค์พูดต่อว่ารีบไปเรียน จะได้รีบจบจะได้กลับแต่งงานกลับชมพู เพราะก่อนไปจะต้องหมั้นหมายกันไว้ก่อน แล้วก็ไปเรียนพร้อมกัน
“แต่ผมยังไม่อยากหมั้น แล้วก็ยังไม่อยากไปเรียนต่อนะครับ”
ณรงค์ตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโห ก่อนจะมองหน้าลูกชายอย่างเอาเรื่อง
“ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น อย่าทำให้พ่อกับแม่ต้องเสียผู้ใหญ่ เข้าใจมั้ย”
เตชินผุดลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะอาหารทันที ณรงค์จะลุกตาม แต่จิตรารีบห้ามเอาไว้ ก่อนจะพูดอย่างมั่นใจว่า อย่างไรเสียลูกชายก็ไม่มีทางขัดขืนคำสั่งได้อยู่แล้ว

ทางด้านริลณีกลับมาถึงที่บ้านเด็กกำพร้า ก็เอาแต่นั่งเศร้า เจ็บปวดที่จำต้องบอกเลิกกับเตชิน จังหวะนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น หน้าจอเป็นเบอร์ที่ไม่ได้เซฟชื่อไว้ เธอกดรับอย่างแปลกใจ
“เรื่องของเธอเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาทวงของรางวัลของผมสักทีนะ”
เธอขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “คุณเป็นใคร”
“ผมอุตส่าห์เสี่ยงตายไปเป็นพยานปากเอกให้ แต่กลับลืมกันง่ายๆ แบบนี้ ผมเสียใจนะเนี่ย”
ริลณีเริ่มคุ้นเสียง ก็ตกใจ “ตุลเทพ”
“ขอบคุณที่ยังจำกันได้ และผมหวังว่าเธอคงไม่ลืมสัญญาที่เคยให้ไว้ใช่มั้ย เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ผมต้องการรางวัลอะไร”

ตุลเทพยิ้มชั่วอย่างมีแผนร้าย

ริลณีเดินหน้าเครียดเข้ามาที่สระว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย แม้จะเป็นช่วงกลางวัน แต่สระก็เงียบสนิท เหมือนไม่มีใครอื่น นอกจากตุลเทพที่กำลังถือกล้องถ่ายรูปนั่งรออยู่ริมสระว่ายน้ำ

เธอกระชับกระเป๋าถือไว้แนบตัว ก่อนจะซุกมือลงไปในด้านในกระเป๋า ที่แอบพกมีดมาป้องกันตัวมาด้วย
“นายอยากได้อะไรก็รีบบอกมาเร็วๆ ฉันจะได้ไปหามาให้ จะได้หมดเรื่องกันสักที”
ตุลเทพหยิบกล้องถ่ายรูปราคาแพงขึ้นมาถ่ายรูป พร้อมกับพูดขึ้นมา
“ก็นี่ไงสิ่งที่ผมอยากได้ คุณก็รู้ว่าผมชอบคุณมากขนาดไหน ก็แค่อยากจะมีรูปคุณเป็นที่ระลึกก็เท่านั้นเอง”
จังหวะที่เขายิ้มหน้าหื่นๆ เข้ามาใกล้ๆ ริลณีก็ค่อยๆ ถอยห่างด้วยความกลัว
“ฉันไปเอารูปที่มีมาให้นายก็ได้ นายอยากได้รูปแบบไหน รูปรำ รูปชุดนักศึกษา”
“ผมไม่อยากได้รูปแบบนั้นหรอก มันธรรมดาเกินไป”
“แล้วนายอยากได้รูปแบบไหน”
ตุลเทพยิ้มร้าย ก่อนจะเดินเข้าไปกระชากสาบเสื้อจนกระดุมเสื้อเม็ดบนด้านหน้าของริลณีขาดออก แล้วก็รีบยกกล้องขึ้นมาถ่าย
ริลณีตกใจ รีบเอามือจับเสื้อปิดไว้ไม่ให้โป๊ พยายามถอยหนีด้วยความกลัว
“นายจะทำอะไรน่ะ อย่าเข้ามานะ”
“ทำไมเธอไม่รักษาสัญญา ผมก็ไม่ได้อยากได้อะไรมากเลยนะ ก็แค่อยากถ่ายรูปเปลือยเธอเป็นที่ระลึกก็เท่านั้นเอง”
เธอตกใจแทบช็อก รีบถอยหลังหนีด้วยความกลัว
“ไอ้ทุเรศ นายมันบ้า ไอ้จิตวิปริต”
“ถ้าผมวิปริต ผู้ชายทั้งโลกก็วิปริตนั่นแหละ”
ริลณีพยายามวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่กลับถูกตุลเทพรวบตัวไว้
“คิดเหรอว่าฉันจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ”
ขาดคำก็ก็ชกไปที่ท้องจนเธอจุกตัวงอหมดแรง แล้วก็ยิ้มอย่างมีชัย ก่อนจะวางร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอบนพื้นริมสระน้ำ จากนั้นก็ค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อที่เหลือออกอย่างช้าๆ จนหมด
ขณะกำลังจะเปิดเสื้อออกเพื่อเชยชม ริลณีก็พยายามรวบรวมพลังที่มี ค่อยๆ ขยับมือเข้าไปในกระเป๋าถือที่ตกอยู่ไม่ไกล ก่อนจะคว้ามีดที่อยู่ในกระเป๋า แล้วสูดลมหายใจเข้าปอด จากนั้นก็ตัดสินใจฟันมีดไปบนแขนตุลเทพเต็มแรง จนเลือดไหลโชก
ตุลเทพเห็นเลือดไหล ก็เดือดดาล ยกมืออีกข้างจะตบ แต่กลับถูกริลณียกขาเตะเข้ากลางลำตัวเต็มแรง จนหล่นลงไปในสระว่ายน้ำ
ริลณีรีบวิ่งหนีออกจากบริเวณสระด้วยความตื่นกลัว

ฟากปริมลดา เมื่อรู้จะว่าโดนโต้งผู้กำกับ ที่เธออุตส่าห์เข้าตัวเข้าแลกปลดออกจากละคร เพราะมีข่าวฉาวสนั่นอินเตอร์เน็ต ก็โวยวายเสียงดัง ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นเข้าไปเกาะแขนออดอ้อนเสียงหวาน“แต่พี่สัญญากับลดาแล้วนะคะ ลดาอุตส่าห์ยอมทำตามที่พี่ต้องการทุกอย่าง”
โต้งเห็นคนในกองเริ่มหันมามอง และซุบซิบ ก็รีบแกะแขนปริมลดาออก
“จะพูดเสียงดังไปทำไมเนี่ย อยากให้คนเค้ารู้รึไง ว่าข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง แค่นี้พี่ก็โดนผู้ใหญ่เรียกไปด่าจะแย่อยู่แล้ว ช่วงนี้ก็ต่างคนต่างทำงานไปก่อน ไว้คนลืมเรื่องนี้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
พูดเสร็จก็รีบเดินออกไป ปริมลดาจะเดินตาม แต่พอเห็นคนทั้งกองมองอยู่ ก็จำต้องรีบเดินไปอีกทาง ก่อนจะหยิบบทละครออกมาฉีก แล้วโยนลงไปที่พื้น จากนั้นก็เหยียบซ้ำด้วยความโมโห และแค้นริลณี
จังหวะนั้นตุลเทพก็โทรเข้ามาพอดี
“มีอะไร อะไรนะ คุณอยู่โรงพยาบาล นังริลณีมันทำร้ายคุณ”
ปริมลดากำมือแน่นด้วยความโกรธและเกลียด ก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันที

ฟากเตชินก็มาดักรอริลณีที่หน้าบ้านเด็กกำพร้า ก่อนจะพูดยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าเขาจะไม่ยอมเลิกกับเธอเด็ดขาด พูดพลางมองเธอด้วยแววตาอ้อนวอนด้วยความไม่เข้าใจ
ริลณีมองเขาด้วยแววตาที่เจ็บปวด “คุณทำแบบนี้เพื่ออะไรคะ”
ขาดคำเขาก็คว้าตัวเธอเข้าไปกอดแน่น
“ก็เพราะผมรักคุณไง เราอย่าเลิกกันเลย ผมคงทนไม่ได้ถ้าชีวิตของผมจะไม่มีคุณ ผมรักคุณมากนะริลณี คุณรู้ใช่มั้ย ว่าผมรักคุณ อย่าเลิกกับผมเลยนะครับ ไม่ว่าคุณเจอปัญหาอะไรเราจะผ่านไปด้วยกัน”
ริลณีเองก็อยู่ในสภาวะที่ต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่นมาบรรเทาความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจ จากเรื่องเลวร้ายที่เพิ่งเผชิญมา จึงซบหน้าลงกับไหล่ ก่อนจะใช้สองมือกอดเขาไว้แน่น
“รินจะไม่เลิกกับผมแล้วใช่มั้ยครับ”
รินณีไม่ตอบ ได้แต่ซบหน้ากับอกที่อบอุ่นของเขาก่อนจะร้องไห้โฮออกมาด้วยความเจ็บปวดและหนักหน่วงกับทุกเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา
เอทีเอ็มยืนมองอยู่อีกมุมหนึ่ง เห็นทั้งคู่ยืนกอดกันอยู่ ก็ถึงกับหน้าสลดด้วยความปวดร้าว
ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง ไม่ไกลจากตรงนั้น ใครบางคนที่แอบซุ่มอยู่หน้าประตู ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมา แอบถ่ายภาพโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัวสักนิด

จิตรามองภาพจากหน้าจอมือถือ ที่เพิ่งถูกส่งมาสดๆ ร้อนๆ ด้วยความแค้นใจ
“หนอย นังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า แกกล้าลองดีกับฉันใช่มั้ย ได้ เดี๋ยวฉันจัดให้ แกจะได้รู้ว่า
คนที่กล้าลองดีกับคนอย่างฉัน มันจะเป็นยังไง”

ริลณีเดินไปส่งเตชินที่รถ เขามองหน้าเธอนิ่ง ก่อนจับมือไว้ด้วยความดีใจ
“คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะวันนี้รินเจอเรื่องแย่ๆ มามาก จนไม่อยากจะคิดอะไรแล้ว”
“ถ้ารินพร้อม ผมอยากให้รินเล่าทุกอย่างให้ผมฟัง ผมอยากจะแบ่งเบาความทุกข์ของรินนะครับ”
ทว่าเมื่อเตชินขับรถออกไป ริลณีก็มองตามด้วยสายตาเศร้า
“คุณแบ่งเบาความทุกข์ของรินไม่ได้หรอกค่ะ”

พอหันหลังจะเดินเข้าบ้าน ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเฟื่องฟ้ายืนมองอยู่

อ่านต่อหน้า 2

นางชฎา ตอนที่ 3 (ต่อ)

ทางด้านตุลเทพก็ได้รับผลกรรมที่ตัวเองกระทำ เมื่อตอนนี้เขาไม่สามารถที่จะว่ายน้ำอีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าจะต่อเอ็นที่ขาดได้เหมือนเดิม แต่แขนก็ไม่สามารถกลับมาใช้งานได้เต็มร้อย

ขณะที่เชิงชาย ก็ถูกค่ายเพลงที่กำลังจะรับเข้าเป็นนักแต่งเพลงปฎิเสธงาน ประวิทย์เอง ก็ถูกครอบครัวตัดขาด และไม่ยอมส่งเสียให้เรียนต่ออย่างที่หวัง ชีวิตจึงสิ้นสุดด้วยวุฒิแค่จบ ม.6
ปริมลดาก็โดนปลดจากนางเอกละคร ส่วนเอกราชก็โดนคำสั่งจากพ่อให้ไปคุมงานรีสอร์ตที่ต่างจังหวัด ห้ามกลับมาที่กรุงเทพฯอีก
ทุกคนต่างคิดว่าที่ชีวิตตัวเองต้องวิบัติ ก็เพราะริลณีคนเดียว ทั้งหมดจึงสุมหัวกันที่จะล้างแค้นเธอให้ได้
ปริมลดาบอกกับทุกคนว่า เธอเตรียมแผนที่จะเล่นงานริลณีให้สาสมกับความแค้นเรียบร้อยแล้ว

ที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย มีนักศึกษาจับกลุ่มนั่งติวหนังสือกันอยู่เต็มห้อง รวมทั้งเอทีเอ็ม ที่เอาแต่นั่งซึม จนเฟื่องฟ้าที่นั่งอยู่ด้วยแปลกใจ
“เป็นอะไร 2-3 วันนี้ทำซึมๆ อย่างกับคนอกหัก”
“หน้ามันชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” เอทีเอ็มพยายามฝืนยิ้ม “แล้วแบบนี้ดูร่าเริงรึยัง”
เฟื่องฟ้าส่ายหน้า ก่อนจะหันไปเห็นริลณี และชมพูเดินเข้ามา
ชมพูดูร่าเริง ในขณะที่ริลณีดูขรึมๆ เอทีเอ็มแอบเหลือบมองเธอด้วยแววตาศร้าๆ แต่เมื่อเธอหันมาสบตา เขาก็รีบผลุบตาหนี จนเธอแปลกใจกับท่าทางที่แปลกไป

หลังจากที่นั่งติวหนังสือกันอยู่พักใหญ่ ทั้งหมดก็เปลี่ยนมานั่งคุยกันเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศโดยเฟื่องฟ้าเป็นคนจุดประเด็นเรื่องที่ตุลเทพอดไปคัดตัวทีมชาติ แล้วก็ว่ายน้ำต่อไปไม่ได้แล้ว
ชมพูทำหน้าตกใจ
“จริงสิ น่าสงสารเนอะ ฝึกหนักมาตั้งหลายปี กำลังจะได้เป็นทีมชาติอยู่แล้วเชียว”
เอทีเอ็มหันมาถามอย่างข้องใจ
“แล้วนายตุลเทพไปทำอะไร อยู่ดีๆ มือถึงได้เอ็นขาดแบบนั้น”
ริลณีที่นั่งฟังอยู่สะดุ้งตกใจ เผลอทำหนังสือตกพื้นเสียงดัง จนคนหันมามองทั้งห้องสมุด
“ฉันว่าจะไปเยี่ยมเค้าที่โรงพยาบาลสักหน่อย ไปด้วยกันมั้ย”
ชมพูถามขึ้นมา ริลณี รีบตะโกนออกมาเสียงดัง
“ไม่ เอ่อ คือ ฉันไม่อยากมีปัญหากับปริมลดาน่ะ”
ชมพูพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่เอทีเอ็มจะเปลี่ยนประเด็นหันมาถามเรื่องที่ชมพูจะไปเรียนต่อที่ที่อเมริกา
“ใช่จ้ะ คุณพ่อคุณแม่ จะส่งฉันไปเรียนต่อพร้อมพี่เตชิน เราจะไปเรียนที่อเมริกาด้วยกัน”
“ไปเรียนต่อด้วยกันแบบนี้ แสดงว่าชมพูจะแต่งงานกับพี่เตชินชัวร์แล้วใช่มั้ย”
“ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ของแบบนี้คงต้องดูกันไปอีกยาวๆ”
ชมพูที่มีความกังวลอยู่นิดๆ ทำเป็นเสหยิบหนังสือมาอ่านต่อ พยายามไม่คิดอะไร เอทีเอ็มและเฟื่องฟ้าแอบเหลือบมองหน้าริลณี ที่ก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา ด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจ

จังหวะที่ริลณีออกมาซื้อขนมและเครื่องดื่มที่ร้านขนมหน้าอาคาร เอทีเอ็มก็ปราดเข้ามาดักถาม
“รินจะบอกเรื่องคุณเตชินกับชมพูเมื่อไหร่”
เธอชะงักอึ้งตกใจ “นายก็รู้เรื่องนี้?”
“มันบังเอิญเห็น แล้วรินจะบอกชมพูเมื่อไหร่”
ริลณีก้มหน้าเศร้า “ รินไม่รู้”
“จนเค้าจะไปเรียนต่อด้วยกันแบบนั้นแล้ว รินยังไม่รู้อีกเหรอ”
“แล้วจะให้รินทำยังไง ให้รินเลิกกับคุณเตชิน ยังง่ายกว่าบอกเรื่องนี้กับชมพู”
เอทีเอ็มมองหน้าเธออย่างเห็นใจ
“รินควรรีบบอกนะ ก่อนที่อะไรมันแย่ไปกว่านี้”
“แต่รินไม่อยากให้ชมพูเกลียดริน เพราะชมพูเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของริน”
“ถ้ารินคิดว่าชมพูเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เค้าก็ต้องเข้าใจริน และก็ต้องเข้าใจว่าความรักมันบังคับไม่ได้ รินบอกให้เค้าเจ็บตอนนี้เพื่อเริ่มต้นใหม่ มันน่าจะดีกว่านะ แล้วรินกับคุณเตชินก็จะได้ไม่ต้องคบกันหลบๆซ่อนๆด้วย”
ริลณีถอนหายใจอย่างเคร่งเครียด
“เรื่องของรินกับคุณเตชินมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดหรอก”
“ก็ถ้ามันลำบากขนาดนั้น รินจะต้องทนเจ็บ ทนเศร้าแบบนี้ทำไม ในเมื่อรินยังมีคนที่รักริน และพร้อมจะดูแลรินให้รินมีความสุขอยู่ใกล้ๆ รินอยู่แล้ว ถ้ารินจะมองเห็นเค้าบ้าง”
เธอเงยหน้ามองผู้ชายตรงหน้าอย่างตกใจ “เอทีเอ็ม”
“รินรู้ใช่มั้ยว่า เรา …”
เอทีเอ็มกำลังจะหลุดคำบอกรักออกมา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เฟื่องฟ้าและชมพู ก็วิ่งหน้าตื่น
เข้ามา
“แย่แล้วๆ”
ริลณีลืมเรื่องที่เอทีเอ็มกำลังจะพูด หันมาสนใจเฟื่องฟ้าที่ดูเหมือนจะมีเรื่องด่วนกว่า
“เมื่อกี๊ครูน้อยโทรมาหาฉัน แต่เสียงมันขาดๆ หายๆ แล้วฉันได้ยินเสียงน้องๆ ร้องโวยวายฉันพยายามจะโทรกลับไป แต่ก็ไม่มีสัญญาณ โทรไปที่บ้านก็ไม่มีใครรับ ฉันว่ามันดูแปลกๆ แล้วนะ”
“พวกเราต้องรีบกลับก่อนนะ”

ริลณีหันมาบอกชมพู ก่อนจะรีบวิ่งนำเฟื่องฟ้า กับเอทีเอ็มออกไปด้วยกันทันที

เมื่อริลณี เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม วิ่งเข้ามาที่หน้าบ้านเด็กกำพร้า ก็ต้องชะงัก เมื่เห็นบ้านกำลังถูกไฟไหม้ครูน้อยกำลังไล่ต้อนเด็กเล็กๆ ที่ตกใจร้องไห้กระจองงงอแงออกมาจากบ้าน

ทั้ง 3 คน รีบเข้าไปช่วยในบ้าน เพื่อจะพาเด็กๆ ที่ยังติดอยู่ในบ้านออกมา
ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก ทั้ง 3 คนก็เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เฟื่องฟ้า รีบวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมา ริลณีและเอทีเอ็มมองไปรอบๆ ที่ควันเริ่มหนาขึ้น
“รีบพาน้องออกไปก่อน เดี๋ยวฉันกับรินจะเก็บข้าวของที่พอจะเอาไปได้”
เฟื่องฟ้าพยักหน้า ก่อนจะรีบวิ่งอุ้มเด็กออกไป ริลณีและเอทีเอ็มพยายามเก็บข้าวของที่มีค่าในบ้าน ขณะที่ควันและไฟเริ่มลามเข้ามาในห้อง
เอทีเอ็มหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ก่อนจะเดินไปเอาขวดน้ำเทลงบนผ้า แล้วยื่นให้ริลณีด้วยความเป็นห่วง
“อยู่ไม่ได้แล้วริน รีบไปเถอะ”
ริลณีมองไปเห็นพัดลมตัวใหญ่ ก็วิ่งเข้าไปจะคว้าออกไปด้วย จังหวะนั้นไฟเริ่มลามเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนคานไม้ติดไฟที่อยู่ตรงหัวร่วงลงมา เอทีเอ็มรีบวิ่งเอาตัวเข้าไปขวางไว้ คานไม้ติดไฟตกลงมาเฉียดทั้งคู่อย่างเฉียดฉิว มีเพียงเศษไม้บางส่วนครูดไปกับไหล่ของเอทีเอ็มจนเป็นแผลยาว
“ไม่เป็นไร รินไม่เป็นไรนะ รีบไปกันเถอะ”
ริลณีรีบพยุงเอทีเอ็ม แล้วพากันออกไปจากบ้าน มาสมทบกับเฟิ่องฟ้าและครูน้อยที่ยืนรอด้วยความเป็นห่วง
ครูน้อยรีบยื่นขวดน้ำให้ริลณี
“ รินรีบทำความสะอาดแผลให้เอทีเอ็มก่อน เดี๋ยวครูกับเฟื่องฟ้าจะไปดูน้องตรงโน้น ไม่ต้องห่วงนะ รถดับเพลิงกำลังมาแล้ว เดี๋ยวทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”
พูดจบก็เดินนำเฟื่องฟ้า ริลณีถอดเสื้อเอทีเอ็มออก และใช้น้ำทำความสะอาดแผลที่ไหล่ให้ พลางมองชายหนุ่มอย่างซาบซึ้งใจ พร้อมทั้งนึกไปถึงคำพูดที่เหมือนว่าเขาจะบอกรัก เธอถึงกับน้ำตาซึม
“ขอโทษนะเอทีเอ็ม”
ริลณีทำแผลไปน้ำตาไหลไป ด้วยความรู้สึกผิดต่อเพื่อนที่รักและเสียสละเพื่อเธอ เอทีเอ็มถอนหายใจเศร้าๆ มองเธอด้วยสายตาเจ็บปวด แต่ก็เข้าใจ

สภาพบ้านเด็กกำพร้าที่เพิ่งดับไฟได้ เต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนอง ข้าวของถูกขนมากองระกะระกะอยู่ที่ด้านนอก เด็กเล็กๆ พากันร้องไห้กระจองงอแงด้วยความตกใจกลัว เอทีเอ็มและเฟื่องฟ้าช่วยปลอบใจอยู่
ริลณี ชมพู และครูน้อย ยืนมองสภาพบ้านที่โดนไฟไหม้ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ
“มีอะไรให้ที่ชมพูช่วยได้ก็บอกนะคะ ชมพูยินดีช่วยครูกับรินเต็มที่”
ครูน้อยคว้ามือชมพูมากุม “แค่มาให้กำลังใจกันแบบนี้ก็ขอบใจมากแล้วล่ะ”
“แล้วครูจะทำยังไงต่อไปคะ”
“ก็คงต้องหาที่พักใหม่ให้เด็กๆ ชั่วคราวก่อน แล้วค่อยๆ ระดมทุนเพื่อซ่อมบ้าน แต่เรื่องพวกนี้รินไม่ต้องเป็นห่วงนะ ทางราชการเค้าติดต่อมาว่าจะช่วยเรื่องนี้แล้ว”
ริลณีเดินดูสภาพข้าวของ ของเล่นเด็ก ที่ถูกไฟไหม้ ด้วยความรู้สึกเสียดาย และเสียใจ จังหวะนั้นเสียงมือถือของเธอดังขึ้นมา
“ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ย ว่าถ้าไม่อยากให้น้องๆ ของแก ที่บ้านเด็กกำพร้าเดือดร้อนให้เลิกยุ่งกับลูกชายฉันซะ นี่ฉันจัดชุดเล็กแค่สั่งสอน ถ้าฉันยังรู้ว่าแกยังยุ่งกับลูกชายฉันอีกล่ะก็ แกกับเพื่อนๆ ของแก จะไม่เหลือบ้านเด็กกำพร้าเน่าๆ นั่น ไว้ซุกหัวนอนแน่”
ขาดคำจิตรก็กดวางโทรศัพท์ไป ทิ้งให้ริลณียืนอึ้งอยู่กับที่

ทางด้านเตชินก็บอกกับชัชว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าในเมื่อเขาไม่อาจขัดความต้งการของพ่อแม่ได้ เขาก็จะพาริลณีไปอเมริกาด้วย เพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกัน รอจนเรียนจบ แล้วก็ค่อยกลับมา ป่านนั้นพ่อแม่
ก็ต้องยอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว
“ฉันจะเอาเงินเก็บของฉันมาให้นายช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ นายแค่ช่วยจัดการทุกอย่างจนริลณีสามารถไปถึงที่อเมริกาได้ก็พอแล้ว ช่วยฉันหน่อยเถอะนะ ฉันไม่เห็นหนทางไหนจริงๆ ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ ฉันคงต้องถูกจับแต่งงานจริงๆ นายต้องช่วยฉันนะ”
ชัชทำหน้าเซ็ง เพราะไม่มีโอกาสปฏิเสธ
“แต่ฉันว่าก่อนที่แกจะทำอะไร ควรไปบอกให้เจ้าตัวเค้ารู้ก่อน บางทีนะ น้องรินของแกอาจจะไม่ปลื้มแผนการของแกก็ได้”
เตชินได้ฟัง ก็เริ่มกังวลขึ้นมาเหมือนกัน

ชมพูพาริลณีที่ท่าทางซึมอย่างเห็นได้ชัดเข้ามาในห้องนอนของเธอ ก่อนจะจัดแจงวางกระเป๋าและข้าวของของอีกฝ่ายไว้มุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะเดินเข้ามาปลอบใจเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“มาอยู่กับชมพูน่ะดีแล้ว ช่วงนี้รินจะต้องทุ่มเทซ้อมรำเพี่อแข่งก่อน ไว้รินแข่งเสร็จ ค่อยกลับไปช่วย ครูน้อย แล้วก็ 2 คนนั่นดูแลน้องๆ ก็ได้ แล้วฉันก็จะไปช่วยรินด้วย”
ริลณีพึมพำด้วยความเสียใจ “แต่รินเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้”
ชมพูที่ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุรีบพูดปลอบ
“รินไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย รินไม่ใช่ต้นเหตุของความผิดพลาดทุกเรื่องนะ ไม่เอาแล้วห้ามคิดมาก แล้วก็หยุดโทษตัวเอง ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายใจดีกว่า แล้วก็มาพักผ่อนนอนให้หลับ อาจารย์ นาฎบอกว่าพรุ่งนี้ จะต้องซ้อมหนักมาก”
พูดจบก็เดินไปหยิบชุดนอน และผ้าเช็ดตัวมายื่นให้ พร้อมทั้งดันตัวริลณีเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความสงสารเพื่อน
“ทำไมชีวิตเธอถึงได้เจอแต่เรื่องนะริน”
ชมพูรำพึงกับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็เดินมาหยิบข้าวของไปเก็บให้เป็นระเบียบ จังหวะนั้นเสียง มือถือของริลณีที่วางไว้ก็ดังขึ้น เธอชั่งใจอยู่ชั่วครู่ แต่พอคิดว่าปลายสายอาจจะมีธุระสำคัญจึงตัดสินใจกดรับสาย
แต่ยังไม่ทันที่ชมพูจะกรอกเสียงลงไป เสียงเตชินจากปลายสายก็ดังออกมาแทบจะทันที
“รินผมรู้แล้วนะว่าผมจะทำยังไงเรื่องของเรา คุณพ่อคุณแม่ผมจะให้ผมไปเรียนต่อที่อเมริกากับชมพู ผมจะให้รินไปกับผมด้วย เราจะไปอยู่ด้วยกันที่นั่น จนกว่าผมจะเรียนจบ แล้วค่อยกลับมาบอกเรื่องของเรากับคุณพ่อคุณแม่ ถ้าถึงตอนนั้น ท่านต้องยอมรับเรื่องของเราสองคนแน่ ริน ริน ได้ยินที่ผมพูดรึเปล่า ครับ ริน”
ชมพูรู้ความจริง ก็ช็อกจนตัวชา ก่อนจะค่อยๆ ทรุดลงไปกองกับพื้น

ริลณีออกจากห้องน้ำ เห็นชมพูนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายนอนหลับแล้ว

โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าชมพูนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่

เช้าวันรุ่งขึ้น เตชินมาหาริลณีที่บ้านเด็กกำพร้า เฟื่องฟ้าที่กำลังเก็บข้าวของอยู่ด้านนอก หันมาเห็นก็ตกใจ รีบมาดึงตัวเขาออกไปทันที

“รินไม่อยู่ที่นี่ คุณกลับไปก่อนเถอะนะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี”
เตชินหน้าเครียด “ผมมีเรื่องต้องคุยกับรินครับ”
“ตอนนี้รินไปอยู่บ้านชมพู คุณอย่าเพิ่งตามไปยุ่งกับเค้าได้มั้ย ถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งไปมากกว่านี้”
ทันทีที่เห็นสภาพบ้านเด็กกำพร้าที่โดนไฟไหม้ เขาก็เข้าใจว่าความยุ่งยากที่เฟื่องฟ้าพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร
“ผมเข้าใจครับ แต่ผมก็มีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องได้คำตอบจากริน งั้นผมฝากคุณไปถามเค้าหน่อยได้มั้ยครับว่า ที่เมื่อคืนผมคุยกับเค้า เค้าตกลงที่จะไปอเมริกากับผมรึเปล่า ถ้าเค้าจะไปผมจะได้จัดการเรื่องทุกอย่างให้เร็วที่สุด”
เอทีเอ็มที่แอบยืนฟังอยู่นาน เดินเข้ามามองหน้าเตชินอย่างไม่พอใจ
“คุณจะพารินไปอเมริกางั้นเหรอ”
“ครับ ถ้าเค้ายอมไปกับผม”
เฟื่องฟ้าพลอยตื่นเต้นดีใจไปด้วย
“ฉันดีใจแทนรินจริงๆ ฉันว่ารินเค้าต้องยอมไปกับคุณแน่”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เถอะครับ ผมสัญญากับพวกคุณทั้งสองนะครับ ว่าจะทำให้รินมีความ สุขมากที่สุด เท่าที่คนอย่างผมจะทำได้”
เอทีเอ็มพูดย้ำให้เขารักษาคำมั่น ขณะที่เฟื่องฟ้าอาสาจะไปกระซิบถามริลณีให้
พอเตชินเดินออกไปแล้ว เฟื่องฟ้าหันมามองหน้าเอทีเอ็ม
“เอาน่า ฉันรู้ว่านายเสียใจ แต่นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตรินนะ”
เอทีเอ็มยิ้มเศร้า เมื่อนึกถึงว่าริลณีจะต้องห่างเขาไปไกลจริงๆ

ระหว่างที่มาซ้อมรำด้วยกันตามปกติ ชมพูก็มีทีท่าเหม่อลอย และรำได้ไม่ดีเหมือนเคย อาจารย์นาฏแปลกใจ จนอดที่จะถามไม่ได้ แต่ชมพูกลับยังคงยืนเหม่อ เหมือนไม่ได้ยินคำถาม จนริลณีต้องสะกิดเรียก
ชมพูรู้สึกตัว ครั้นเมื่อเห็นว่าริลณีสะกิด ก็รีบสะบัดตัวไม่ให้ฝ่ายหลังโดนตัว พลางสะบัดหน้าใส่
ริลณีมองอย่างแปลกใจ แต่ยังไม่คิดอะไร
จากนั้น อาจารย์นาฏเปิดเพลงให้ทั้งคู่ซ้อมรำต่อ ริลณีเห็นชมพูยังคงมีสีหน้าเหม่อลอย ก็แอบกระซิบถามอย่างเป็นห่วง
“ชมพูเธอเป็นอะไรรึเปล่า อยากพักก่อนมั้ย”
ชมพูหันมองหน้าริลณีด้วยความรู้สึกเจ็บปวด จนน้ำตาที่เก็บเอาไว้เหมือนจะกลั้นไว้ไม่อยู่
“ชมพู เธอเป็นอะไร …..”
ริลณีเอื้อมมือจะไปจับตัวเพื่อนด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกชมพูใช้แขนปัดมือออกอย่างแรง จนเธอถึงกับเซ
แล้วชมพูก็ตัดสินวิ่งออกไปจากห้อง ท่ามกลางความงุนงง ของทั้งริลณี และอาจารย์นาฎ

ชมพูวิ่งหนีเข้ามาที่บริเวณสระว่ายน้ำ ก่อนจะเข้าไปแอบหลบมุมร้องไห้โฮ ด้วยความเสียใจ ภาพทรงจำในอดีตเกี่ยวกับริลณีและเตชินย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับคำเตือนของปริมลดา ที่กลับมาก้องในหู เธอซบหน้าลงกับหัวเช่า ก่อนจะร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด และเสียใจ
“ทำไม ทำไมต้องหลอกกันแบบนี้ ทำไมเธอถึงต้องทำกับฉันแบบนี้ ริน ทำไม”

หงส์หยกรีบเดินผลุนผลันจะขึ้นห้องนอน โดยไม่สนใจเสียงเตี่ยที่ตะโกนไล่หลัง ว่าไม่ยอมช่วยขายหมู
พอเข้ามาในห้องนอน ก็รีบปิดประตูล็อกอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียง ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอเดินเข้ามาที่บริเวณสระว่ายน้ำ และเห็นเอกราช ตุลเทพ ปริมลดา ประวิทย์ และเชิงชาย กำลังนั่งคุยกันอยู่ ด้วยคามรู้สึกยังตื่นเต้นไม่หาย
“พวกเรากำลังวางแผนทำอะไรสนุกๆ กัน ก็เลยอยากให้เธอช่วยบางเรื่อง”
ปริมลดาจิกสายตาร้าย ก่อนที่เอกราชจะพูดแทรกขึ้นมาต่อ
“พวกเราจะแก้แค้นยายริลณี”
หงส์หยกผงะเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้าทุกคน ที่ดูจะมีความแค้นต่อริลณีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“พวกเธอคิดจะทำอะไรกัน”
ตุลเทพรีบบอก “ก็แค่จะทำให้มันเจ็บปวด เหมือนที่มันทำกับพวกเรา”
“แต่สิ่งที่พวกเธอคิดจะทำมันผิดนะ”
ปริมลดายิ้มหยัน
“ไม่ต้องมาทำเป็นแอ๊บแบ๊วเป็นคนดีหรอก ฉันรู้ว่าเธอก็เกลียดนังริลณีเหมือนกัน จำไม่ได้เหรอ ถ้ายายนั่นไม่เข้าไปทำตัวเด่นที่ชมรมนาฎศิลป์ คนที่จะได้เป็นนางรำอันดับหนึ่ง ก็น่าจะเป็นเธอไม่ใช่เหรอ”
“เธอคิดว่าฉันจะโกรธ เกลียดยายนั่นด้วยเรื่องแค่นี้งั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก”
หงส์หยกพูดพลางทำท่าจะเดินหนี แต่ประวิทย์ เชิงชาย รีบลุกไปขวางไว้ ปริมลดารีบถอดนาฬิกาที่ข้อมือมาส่งให้
“เรือนละหลายแสนนะ ฉันรู้ว่าเธออยากได้”
จากนั้นทุกคนก็ช่วยกันพูดเกลี้ยกล่อม หงส์หยกมองนาฬิกาของปริมลดาที่ยื่นมาตรงหน้า ครุ่นคิด ตัดสินใจ
“แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง”
ปริมลดารีบบอกแผนการทันที
“ไม่มีอะไรยาก วันที่ริลณีและชมพูแข่งขันรำอะไรนั่นเสร็จ 2 คนนั่นจะต้องกลับมาเปลี่ยนชุดที่ชมรม ฉันจะเป็นคนแยกชมพูออกไปก่อน ส่วนเธอมีหน้าที่ทำอะไรก็ได้ ให้พายายริลณีนั่น มาตรงจุดที่เรานัดหมาย เป็นไง งานง่ายใช่มั้ย”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ พวกเธอจะทำอะไร”
“ตอนนี้ยังไม่ต้องรู้หรอก เก็บเอาไว้รู้วันนั้นตื่นเต้นดี”

ตุลเทพหันไปหัวเราะกับเอกราช ประวิทย์ เชิงชาย และปริมลดา ส่วนหงส์หยกก็ยิ้มร้ายอย่างสะใจออกมา

อ่านต่อหน้า 3

นางชฎา ตอนที่ 3 (ต่อ)

ส่วนเฟื่องฟ้าก็ดึงตัวริลณีออกมาหลบมุมคุยที่ข้างๆ ตึกกิจกรรม ท่าทางดูมีความลับ

“คุณเตชินเค้าฝากให้ฉันมาบอกรินว่า เค้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับริน”
ริลณีส่ายหน้า
“รินไปพบเค้าไม่ได้หรอก รินทำให้คนอื่นลำบากไปกับรินไม่ได้แล้ว”
“คนอื่น? คนอื่นอะไร”
ริลณีเอียงหน้าไปกระซิบ
“แม่คุณเตชินมาขู่ไม่ให้ฉันยุ่งกับลูกชายของเค้า ไม่อย่างนั้นเค้าจะทำให้น้องๆ ของเราที่บ้านเด็กกำพร้าเดือดร้อน”
เฟื่องฟ้าปิดปากตกใจ “งั้นอย่าบอกนะว่า ที่ไฟไหม้ ….”
“ฝีมือแม่คุณแม่เตชิน แต่คุณเตชินไม่รู้เรื่องนี้นะ”
“งั้นรินก็ยิ่งต้องไปพบกับคุณเตชิน เรื่องที่เค้าอยากคุยกับริน น่าจะเป็นคำตอบสำหรับปัญหา
เรื่องนี้”
เฟื่องฟ้ามองริลณีอย่างมั่นใจเช่นนั้นจริงๆ

จากนั้นริลณีก็แอบมาพบกับเตชิน ทันทีที่เขาพบหน้าเธอ ก็รีบโผเข้าไปสวมกอดด้วยความ
เป็นห่วง
“เกิดเรื่องขนาดนี้ ทำไมรินถึงไม่บอกผม นี่ใช่มั้ย สาเหตุที่รินพยายามจะเลิกกับผม เฟื่องฟ้าเล่าเรื่องคุณแม่ของผมให้ฟังหมดแล้ว”
“รินขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณ ตอนนั้นรินไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ”
เตชินสบตาริลณีอย่างจริงใจ
“รินสัญญากับผม ไม่จะเกิดเรื่องอะไร รินต้องบอกผม เราจะแก้ปัญหาไปด้วยกัน ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณเป็นอันขาด”
“แต่เรื่องคุณแม่ของคุณ”
เตชินตัดสินใจ
“เราต้องหนี ผมจะต้องไปเรียนต่อกับชมพูที่อเมริกา ซึ่งผมมั่นใจว่าถ้าผมไปที่นั่นแล้ว แม่ผมจะไม่ตามไปยุ่งเกี่ยวกับผม ผมอยากให้คุณตามผมไปที่อเมริกา เราจะไปใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่น ผมฝากชัชให้จัดการเรื่องทุกอย่างให้คุณแล้ว เมื่อเรา 2 คนไปอยู่ที่อเมริกา ผมว่ามันไกลพอที่คุณพ่อคุณแม่ของผมจะไม่ตามมายุ่งกับเรา 2 คน”
ริลณีหน้าเศร้า “แล้วชมพูละคะ”
“ผมว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่ชมพูจะต้องรู้ความจริง นี่เป็นทางออกเดียวที่เรา 2 คนจะได้อยู่ด้วยกัน และรินกับทุกคนๆ ที่รินรักจะปลอดภัย เชื่อผมสิ รินเงยหน้ามองผม และบอกผมว่าคุณเชื่อในตัวผม”
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นดวงตาที่มุ่งมั่นของเขาฉายชัด “ค่ะ รินเชื่อในตัวคุณค่ะ”
“งั้นคุณก็ตอบผม ว่าคุณจะไปอเมริกากับผมมั้ย”
ริลณีจ้องหน้าเตชิน แล้วตัดสินใจในวินาทีนั้นเอง
“ รินจะไปอเมริกากับคุณค่ะ”
เตชินได้ยินคำตอบก็ยิ้มดีใจ ดึงตัวริลณีมากอดแน่นอย่างมีความสุข

ณีและชมพูกำลังยืนไหว้อยู่ต่อหน้าชฎาและมงกุฎ ที่ตั้งอยู่บนชั้นวาง พร้อมทั้งมีดอกไม้ ธูป เทียนไหว้อย่างถูกต้อง
อาจารย์นาฎ ยิ้มให้ทั้งคู่
“คราวนี้เราบูชาอย่างถูกต้อง ท่านน่าจะช่วยให้พวกเราชนะการแข่งครั้งนี้เนอะ เธอไม่กลัวที่จะใส่ชฎานี้อีกครั้ง ใช่มั้ย”
ริลณีจ้องไปที่ชฎา ก่อนจะตัดสินใจตอบอย่างแน่วแน่ มุ่งมั่น
“ค่ะ อาจารย์ คราวนี้รินจะไม่กลัว เพราะอย่างน้อยรินก็มีชมพูรำอยู่ข้างๆ”
พูดพลางหันไปยิ้มให้ชมพู แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าตึงไม่ยิ้มตอบ ซ้ำยังสะบัดหน้าหนี ลุกขึ้นอย่างไม่ไยดี
“เดี๋ยวหนูไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
ชมพูพูดแล้วก็เดินออกไปเลย เฟื่องฟ้าที่ยืนมองอยู่ เดินเข้ามาแอบกระซิบกับริลณีอย่างแปลกใจ
“โกรธอะไรกันรึเปล่าเนี่ย ฉันว่าชมพูดูตึงๆ กับรินนะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ชมพูคงจะเครียด เพราะเพิ่งสอบเสร็จมั้ง”
ริลณีตอบโดยไม่คิดอะไร แต่เฟื่องฟ้ามองตามรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะแอบดึงฝ่ายแรกไปคุยกันสองคนตรงมุมห้อง
“รินจะไปวันนี้ใช่มั้ย”
“ใช่ รินจะไปพักที่หอพักของคุณชัชเพื่อนสนิทของคุณเตชินสักพัก จัดการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อย พอคุณเตชินกับชมพูไปแล้ว รินค่อยตามไป”
เฟื่องฟ้ามองริลณีแววตาเศร้า
“เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลย สงสารแต่เอทีเอ็มมันคงคลั่งตาย ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ริน”
“ฝากดูแลเค้าด้วยนะ เอทีเอ็มเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของริน รินไม่อยากให้เค้าเสียใจ”
“เรื่องเอทีเอ็มไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจัดการเอง ว่าแตรินเถอะ จะบอกเรื่องรินกับคุณเตชิน กับชมพูเมื่อไหร่”
ริลณีชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง
“รินจะบอกวันนี้”

เตชินเดินสำรรวจไปรอบๆ ห้องในหอพักของครอบครัวชัช ซึ่งจะเป็นที่พักชั่วคราวของริลณีอย่างพอใจ ฝ่ายหลังยิ้ม พลางตบบ่าเบาๆ เพื่อส่งกำลังใจให้เพื่อน
“ฉันหวังว่าแกคงจะมี....”
ชัชยังอวยพรไม่ทันจบ ตุ๊กแกก็ร้องเสียงดังขึ้นมาขัดจังหวะ เตชินจะอ้าปากถาม แต่อีกฝ่ายรีบจุ๊ปาก เป็นเชิงห้าม ก่อนจะนับเสียงร้องของตุ๊กแกได้ห้าครั้ง
“ห้าครั้งว่ะ ร้องห้าครั้ง เค้าว่ากันว่าจะมีโชคร้าย จะซวย แถมมาร้องตอนกลางวันอีก ซวยซ้อนซวยเลยหละ ทุกทีก็ไม่เคยร้องเลยเว้ย เกิดมาร้องวันนี้ทำไมเนี่ย”
เตชินส่ายหน้าอย่างคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
“ไม่คิดอะไร สงสัยมันเห็นฉันมั้ง”

“พูดเล่นไม่ได้นะเว้ย ของพรรค์นี้ ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวต้องให้คนรีบมาไล่ไปก่อน”

ชมพูที่นั่งอยู่บนรถตู้ มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นรถเอกราชที่มีตุลเทพ ปริมลดา หงส์หยก ประวิทย์ และเชิงชาย นั่งอยู่พร้อมหน้าแล่นเข้ามา เธอรีบเบือนหน้าไปทางอื่น ก่อนจะก้มมองเข็มกลัดนางรำ ที่ริลณีเคยให้ไว้ในมือ

พอริลณีเปิดประตูรถมานั่งข้างๆ ชมพูก็ตัดสินใจยื่นเข็มกลัดนางรำคืนให้
“บางทีเธออาจต้องการใช้ มันเป็นเครื่องรางประจำตัวของเธอนี่”
ริลณียิ้มให้ชมพูอย่างจริงใจ อีกฝ่ายฝืนยิ้มตอบ ครู่หนึ่ง อาจารย์นาฏ ก็ขึ้นรถมาสมทบ แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป
เอกราช ตุลเทพ ปริมลดา หงส์หยก ประวิทย์ และเชิงชาย ยืนมองรถตู้แล่นออกไป แล้วก็หันมองหน้ากัน พร้อมกับยิ้มร้าย จากนั้นเอกราชก็ควักเงินขึ้นมาให้น้าไหว และกล้า พร้อมกับบอกว่าให้ไปหาเหล้ากิน เพื่อที่พวกเขาจะได้ลงมือกันอย่างอย่างสะดวกๆ

ริลณี กับชมพู ร่ายรำคู่กันบนเวทีด้วยลีลาที่สวยงาม ชดช้อย อาจารย์นาฏมองอย่างปลาบปลื้ม เมื่อทั้งคู่รำจบ ผู้คนในหอประชุมต่างลุกขึ้นปรบมือชื่นชมด้วยความชื่นชม ยินดี
ทั้งคู่มองภาพเหล่านั้นด้วยความตื่นเต้น ตื้นตันใจ โดยเฉพาะริลณีที่มองภาพนั้น ราวกับจะจดจำไว้จนลมหายใจสุดท้าย

รถตู้แล่นกลับเข้ามาจอดที่มหาวิทยาลัย ริลณีถือลุ้งใส่ชฎาและมงกุฎลงมาจากรถ ในขณะที่ชมพูถือถ้วยรางวัลลงมาด้วยความภูมิใจ ทั้งคู่ยังคงอยู่ในชุดนางรำที่สวยงาม
“ไม่คิดเลยนะ ว่าพวกเราสองคนจะชนะการประกวด แข่งมาตั้ง 4 ปี มาชนะเอาปีสุดท้ายเนี่ย”
ริลณีหันมาพูดอย่างปลาบปลื้ม แต่ชมพูกลับทำท่ามึนตึงใส่
“ คงเพราะเราฝึกมานานมั้ง”
“เพราะเรา 2 คนใจรวมเป็นหนึ่งเดียวต่างหาก เคล็ดลับการรำคู่ ที่อาจารย์เคยบอกไว้ไง”
ชมพูหันมายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินขึ้นตึกไป กระนั้นริลณีก็ดีใจ เพราะนั่นเป็นยิ้มแรกที่ฝ่ายนั้นยิ้มให้เธอในวันนี้ จากนั้นก็รีบสาวเท้าเดินตามไปทันที
ทันทีที่ทั้ง 2 คนเดินออกไป หงส์หยกที่แอบซุ่มรอก็ออกมาจากที่ซ่อน ก็รีบยกโทรศัพท์พร้อมกับกดโทรออกทันที

ปริมลดาวางโทรศัพท์ ก่อนจะหันมามองเอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ เชิงชาย ที่นั่งจิบเบียร์รออยู่ทั้งหมดท่าทางดูกรึ่มๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอร์
“กลับมากันแล้ว”
ทั้งหมดกันมองหน้ากัน ก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ เพื่อย้อมใจ

เตชินนั่งตรวจแบบที่ต้องส่งอาจารย์อยู่ในห้องเขียนแบบที่มหาวิทยาลัยตามลำพัง จู่ๆ ก็เกิดลมแรงภายนอก พัดบานหน้าต่างที่เปิดอยู่กระแทกเสียงดังปังหลายครั้ง เขาลุกเดินไปที่หน้าต่าง พลางมองไปข้างนอก เห็นลมพายุพัด จึงเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง ขณะกำลังจะเดินกลับไปที่โต๊ะ อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเพล้งเหมือนอะไรตกแตก เขากวาดตามองหา ก่อนจะเห็นว่า สิ่งที่แตกคือหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
เขาหน้าซีดตกใจ ก่อนจะย้อนนึกถึงวันที่ริลณีใส่นาฬิกาเขา ส่วนเขาก็สวมแหวนให้เธอ
“รินให้เวลาที่เหลือทั้งหมดในชีวิตกับคุณแล้วนะคะ”
“ผมสวมแหวนให้รินแทนคำสัญญา ถ้าเราไปอยู่ด้วยกัน ผมจะดูแลรินให้ดียิ่งกว่าชีวิตของผม”
เธอมองหน้าเขา พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดพราย เขาหอมที่หน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนที่ทั้งคู่จะกอดกันอย่างมีความสุข

เตชินตื่นจากภวังค์ มองหน้าปัดนาฬิกาที่อยู่ๆ ก็แตก แล้วรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี รีบเก็บข้าวของทุกอย่างแล้วรีบออกไปจากห้องทันที พอมาถึงรถ จะสตาร์ทออกไป แต่สตาร์ทเท่าไหร่ ก็ไม่ติด

ริลณียืนมองชุดรำที่ถอดแขวนเอาไว้แล้วด้วยความรู้สึกทั้งรัก ทั้งมีความสุข เธอค่อยๆ ไล้มือไปบนชุดเบาๆ แล้วแกะจี้นางรำที่แอบติดเอาไว้ตอนขึ้นรำมากลัดติดบนเสื้อที่ตัวเองใส่อยู่ พลางยิ้มเศร้า
“ไม่คิดเลยนะว่า การที่ต้องถอดชุดรำออก และรู้ว่าคงจะไม่มีโอกาสได้ใส่อีกแล้วเนี่ย มันเศร้าขนาดนี้”
ชมพูที่ยังไม่ได้ถอดชุดรำกำลังเก็บข้าวของอยู่ ปรายตามองอย่างแปลกใจ ริลณีรำพึงต่อ
“เด็กกำพร้าอย่างริน มีโอกาสดีๆในชีวิตได้ก็เพราะได้ใส่ชุดรำนี่แหละ ได้ทั้งเกียรติ ได้ทั้งความภูมิใจ”
ชมพูมองไปรอบๆ ห้อง พร้อมกับคิดภาพตามที่ริลณีพูด พลันเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยของทั้งคู่ เสียง อาจารย์นาฎบ่น เสียงเพลงไทย ก็ดังแว่วเข้ามาก้องในหู ทุกเสียงล้วนเป็นความทรงจำที่ดีของเธอ
ริลณีเดินเข้ามานั่งตรงหน้า ต่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือชมพู แล้วยิ้มให้อย่างมีความสุข
“แล้วก็ได้เพื่อนที่ดีที่สุด ก็คือชมพู รินขอบคุณที่ชมพูช่วยเหลือรินมาตลอด ชมพูเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของรินเลยนะ”
ชมพูมองจ้องเข้าไปที่ตาของอีกฝ่าย แล้วก็เห็นความจริงใจฉายชัดอยู่ในนั้น เธอถอนหายใจ ก่อนจะยอมพูดดีกับริลณี
“รินก็ดูแลตัวเองให้ดีด้วยแล้วกัน”
“ชมพูก็เหมือนกัน”
ชมพูข่มใจถาม
”แล้วคืนนี้จะไปนอนที่ไหนล่ะ ให้คนรถฉันไปส่งมั้ย”
ริลณีอึกอัก “ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ที่ผ่านมาก็รบกวนที่บ้านชมพูมาหลายวันแล้ว”
พูดไป ก็มองหน้าเพื่อนด้วยความรู้สึกผิด จากนั้นก็ตัดสินใจจะบอกความจริง
“ชมพู รินมีเรื่องบางอย่าง อยากจะบอก....”
พูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงโทรศัพท์มือถือของริลณีที่วางอยู่บนกระเป๋าก็ดังขึ้น ชมพูที่นั่งใกล้กว่าเอื้อมมือจะไปหยิบให้ จังหวะที่ริลณีก็รีบเอื้อมมือจะหยิบเหมือนกัน มือของทั้งคู่ที่ชนกัน ปัดเอาทั้งมือถือและกระเป๋าของริลณีร่วง ข้าวของหล่นออกมากองเต็มไปหมด
ทั้งคู่ก้มลงช่วยกันเก็บข้าวของที่หล่นกระจาย ชมพูเห็นแหวนหล่นอยู่ ก็หยิบขึ้นมาดูอย่างพิจารณา ก่อนจะยื่นคืนให้ริลณีที่แอบหน้าเสียเล็กน้อย
“แหวนสวยดีนะ”
“เอ่อ คือ แหวนนี้ ริน…..”
ริลณีพยายามจะวกกลับเพื่อสารภาพความจริง แต่ชมพูกลับลุกพรวดขึ้น
“เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

ริลณีมองตามชมพูที่เดินออกไป พลางถอนหายใจ ที่ยังไม่มีโอกาสได้บอกความจริงสักที

ชมพูวิ่งมาหยุดยืนนิ่งๆ ที่หน้าห้องห้องน้ำ มือกำแน่น สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จนเมื่อได้ยินเสียงปริมลดาเรียกชื่อเธอดังจากด้านหลัง จึงหันกลับไปมอง

“เป็นอะไรรึเปล่าชมพู ท่าทางเหมือนไม่สบาย”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก ธะ ธะ เธอมีอะไรเหรอ ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่กลับบ้าน”
“ก็กำลังจะกลับแล้วหละ แต่เผอิญรถมันสตาร์ทไม่ติด โทรไปหาตุลเทพให้ช่วยมาดูก็ไม่ยอมรับสาย เบอร์อู่ซ่อมก็ไม่มี เธอช่วยฉันหน่อยได้มั้ยชมพู”
ชมพูพยายามหาทางพูดเลี่ยง แต่ปริมลดาก็อ้างเหตุผลนั่นนี่ คะยั้นคะยอจนเธอยอมไปเป็นเพื่อนจนได้
ปริมลดายิ้มร้ายที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

“ขอโทษนะคะ เมื่อกี้รินทำโทรศัพท์ตก คุณโทรมามีอะไรรึเปล่าคะ”
เมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในห้องชมรม ริลณีก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรกลับหาเตชิน ขณะที่อีกฝ่ายที่ขับรถอยู่ มองสภาพการจราจรที่ติดขัดอย่างหงุดหงิด
“เมื่อกี๊รถผมเสียกว่าจะได้ออกมา แถมยังมาเจอรถติดอีก รินรอผมหน่อยนะครับ ผมกำลังพยายามรีบไป”
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ รินรอได้ค่ะ ขับรถดีๆนะคะ อย่าหงุดหงิด เดี๋ยวเจอกันค่ะ”
เตชินยิ้มออกมาได้ “ผมรักคุณนะครับ”
“ฉันก็รักคุณค่ะ”
เธอยิ้มอายๆ แล้วรีบกดวางสายอย่างมีความสุข พลางชะเง้อมองออกไปหน้าห้อง
“ทำไมชมพูไปห้องน้ำนานจัง”
ระหว่างนั้นหงส์หยกก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้อง หน้าตาตื่น
“ริลณีแย่แล้ว ชมพูเป็นลมล้มหัวฟาดพื้นในห้องน้ำ ไม่ได้สติ เลือดออกใหญ่เลย”
ริลณีตกใจมาก รีบวิ่งตามหงส์หยกออกไปทันที

หงส์หยกวิ่งนำหน้ามาที่ด้านหลังตึกกิจกรรม ที่ดูเปลี่ยว ริลณีที่วิ่งตามมารู้สึกแปลกใจ
“ทำไมชมพูถึงมาเข้าห้องน้ำข้างนอกนี่ล่ะ ห้องน้ำบนตึกก็มี”
“น้ำคงจะไม่ไหลมั้ง อย่าเพิ่งถามมากเลย รีบไปดูชมพูเถอะ”
ริลณีวิ่งตามไป แต่อยู่ๆ หงส์หยกก็หยุดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“จริงๆ ฉันน่าจะไปตามคนอื่นมาช่วยชมพูอีกนะ เกิดเป็นอะไรมากจะได้ช่วยทัน”
“แต่เราควรจะรีบไปดูก่อนนะ บางทีชมพูอาจจะเป็นอะไรไม่มากอย่างที่เธอคิดก็ได้”
หงส์หยกที่กำลังตื่นเต้น และกลัว เผลอตัวตวาดกลับออกไป
“เป็นมากสิ”
ครั้นพอรู้ตัวรีบพูดอ่อนลง
“เธอไม่เห็นอย่างที่ฉันเห็น เลือดนองพื้นขนาดนั้น เราผู้หญิง 2 คนจะช่วยอะไรได้ แค่ยกตัวชมพูออกมาจากห้องน้ำก็ไม่ไหวแล้ว เธอรีบไปดูชมพูก่อน เดี๋ยวฉันไปตามคนมาช่วยชมพูอีก”
พูดจบก็รีบวิ่งกลับออกไปเลย ริลณียืนละล้าละลังไม่รู้จะทำยังไง ที่สุดแล้วก็ตัดสินใจวิ่งไปที่ห้องน้ำด้วยความเป็นห่วงชมพูมากกว่าสิ่งใด
หงส์หยกที่วิ่งออกไปหันกลับมามอง พร้อมกับจิกตาร้าย

ทางด้านปริมลดาพาชมพูมาถึงที่รถ ก่อนจะสตาร์ทรถหน้าตาเฉย
“อุ๊ย อยู่ดีๆ รถก็สตาร์ทติดซะงั้น คงไม่ต้องตามช่างแล้วล่ะ ขอบใจนะชมพู ที่อุตส่าห์มาช่วย”
ชมพูที่ดูท่าทางกังวล ร้อนรน รีบบอก “งั้นฉันไปก่อนนะ”
ปริมลดามองตาม แล้วก็ยิ้มร้าย ก่อนจะขับรถออกไป

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ริลณีวิ่งมาถึงหน้าห้องน้ำ แล้วก็รีบจะเปิดประตูเข้าไป
“ชมพู เป็นอะ....”
พูดได้แค่นั้น ก็ชะงักกึก เมื่อเห็นชายใส่หมวกไอ้โม่งท่าทางไม่น่าไว้วางใจ 2 คนวิ่งสวนพรวดออกมาจากห้องน้ำ วิ่งตรงเข้ามาหาเธอ ก่อนจะพยายามปิดปาก และจับล็อกตัวเอาไว้
“ปล่อยฉันนะ มาจับตัวฉันไว้ทำไม ปล่อยสิ”
เธอพยายามดิ้นหนี แต่ยิ่งดิ้น ทั้ง 2 คนก็ยิ่งล็อกแน่นขึ้น เธอฉวยจังหวะกัดไปที่มือหนึ่ง่ในไอ้โมงที่พยายามเอามือปิดปากเธออย่างแรง แล้วก็ใช้แขนถองเข้าที่ท้องไอ้โม่งอีกคนที่พยายามรวบตัวเธอข้างหลัง จนมันจุกแอ้ก คลายมือออก
ริลณีรีบวิ่งแบบไม่คิดชีวิต
2 ไอ้โม่ง ซึ่งที่แท้กคือประวิทย์กับเชิงชาย รีบวิ่งตามไป ริลณีพยายามจะวิ่งหนี แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นไอ้โม่งอีก 2 คนยืนขวางทางอยู่ ส่วนไอ้โม่ง 2 คนแรก ก็มาดักเธอทางด้านหลัง ทำให้เธอหมดโอกาสหนี
ริลณีกลัวที่สุดในชีวิต ถึงกับร้องไห้โฮ ก่อนจะทรุดเข่าลงกับพื้น แล้วพนมมือไหว้วอนวอนไอ้โม่งทั้งสี่ ไม่ให้ทำร้ายเธอ
ไอ้โม่งตุลเทพมองริลณีด้วยความแค้น ก่อนจะเดินเข้าไปจิกหัวเธอให้ลุกขึ้น แล้วเอามือบีบปากอย่างแรง
“อยากได้อะไรงั้นเหรอ พวกเราก็แค่อยากให้เธอได้เหมือนกับพวกเราไง”
พูดเสร็จก็ชกริลณีเข้าที่ท้องอย่างแรง จนทรุดลงไปกองกับพื้น
“เอาผ้าปิดปากมัน แล้วรีบพามันออกไป ก่อนที่จะมีใครมาเห็น”
ไอ้โม่งเอกราชโยนผ้าให้เชิงชายที่เดินกุมท้องเพราะยังเจ็บที่โดนถองไม่หาย ฝ่ายหลังตื่นเต้น จนมือสั่น แล้วเดินเข้าไปเอาผ้ามัดปากริลณีจนแน่น จนประวิทย์ต้องรีบปราม เพราะเกรงว่าเธอจะตายเสียก่อน พูดแล้วก็ผลักเชิงชายออกไป พร้อมกับจะเดินเข้าไปมัดเอง
ริลณีน้ำตาไหลพราก เชิงชายเห็นก็รู้สึกกลัวความผิดจนมือสั่น พอประวิทย์มัดปากริลณีเสร็จ ทั้งคู่ก็ช่วยกันอุ้มเธอออกไป เอกราชที่ยืนมองอยู่ หัวเราะร่าอย่างสาแก่ใจ
ตุลเทพเดินออกมาดูทางให้ พอเห็นว่าทางสะดวก ก็รีบหันไปให้สัญญาณบอก แล้วก็รีบวิ่งนำไปที่รถที่จอดไม่ไกล
เอกราช ประวิทย์ เชิงชาย รีบช่วยกันอุ้มริลณีตามไป
แต่จู่ๆ ริลณีก็เบิกตาโพลง แล้วร้องส่งเสียงขึ้นมา พร้อมกับพยายามดิ้นสุดแรงเกิด จนจี้นางรำตกลงที่พื้น โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เอกราชกับประวิทย์เข้ามาช่วยกันปิดปาก จนริลณีหยุดร้องและดิ้นไม่ได้อีกแล้ว มีเพียงสายตาเศร้า สิ้นหวัง น้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวดมากที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะเจ็บปวดได้
พวกมันทั้ง 4 คน อุ้มริลณีมาใส่ท้ายรถ ก่อนจะรีบขึ้นรถและขับออกไปโดยเร็ว พร้อมกับเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง

เหมือนพายุกำลังจะมา และความเลวร้ายที่สุดกำลังจะบังเกิด

อ่านต่อหน้า 4

นางชฎา ตอนที่ 3 (ต่อ)

เตชินขับรถฝ่าลมพายุเข้ามาในมหาวิทยาลัย พร้อมๆ กับพยายามโทรศัพท์หาริลณี แต่ไม่มีคนรับสาย ขณะจะโทรซ้ำ ก็เห็นสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรีจะหมด

เขารีบเอื้อมมือจะหยิบที่ชาร์จไฟสำรองที่วางอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ แต่กลับพลาดทำหล่นลงพื้น เขารีบก้มตัวลงไปหยิบที่พื้น พอจังหวะที่เงยหน้าขึ้นมา จู่ๆ ก็เห็นใครบางคนวิ่งผ่านหน้ารถแบบกะทันหัน เขาเหยียบเบรกเอี๊ยดจนตัวโก่ง แต่รถกลับชนคนที่วิ่งตัดมาข้างหน้าอย่างจัง
รถจอดสนิท เตชินตกใจ พยายามตั้งสติ ก่อนจะรีบลงจากรถไปดู และก็ต้องตกใจช็อกยิ่งกว่า เมื่อเห็นว่าคนที่เขาเพิ่งขับรถชน คือชมพู
เขารีบเข้าไปประคองร่างที่หมดสติของชมพู พลางพยายามเขย่าตัวเรียก แต่อีกฝ่ายนอนนิ่ง เขารู้สึกถึงน้ำอะไรบางอย่างที่เหนียวบนฝ่ามือ พอแบมืออกมาดู ก็เห็นเลือดเต็มฝ่ามือไปหมด เขารีบพลิกตัวชมพูขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าที่ศีรษะมีแผล ที่เกิดจากการกระแทกกับพื้น และเลือดกำลังไหลไม่หยุด
เตชินหน้าเสีย ทั้งตกใจ ทั้งกลัวรีบอุ้มชมพูขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที

ทางด้าน 4 ไอ้โม่ง ก็อุ้มร่างริลณีเข้ามาในบ้านร้าง สมทบกับไอ้โม่งอีก 2 คน ซึ่งก็คือปริมลดากับ หงส์หยกนั่นเอง
“ทำไมถึงมาช้านักนะ รู้มั้ยว่ามารอนานแล้ว”
ปริมลดาบ่นอย่างหงุดหงิด แต่กลับถูกเอกราชโวยกลับ
“ไม่ต้องบ่นน่า จะรีบทำอะไรก็ทำเถอะ ฉันจะได้รีบจัดการส่วนของฉัน”
ขาดคำ ปริมลดาก็เดินตรงเข้าไปหาริลณีที่นอนอยู่บนพื้น ทั้งที่เจ็บไปทั้งร่างจนขยับตัวแทบไม่ไหว แต่ก็พยายามจะเขยิบหนี
ปริมลดาจิกผมริลณีไว้แน่น
“สวยนักใช่มั้ย ผู้ชายมาชอบมากนักใช่มั้ย อยากรู้ว่าถ้าแกโดนตบจนหน้าบวมฟันหัก ยังจะมีคนมารักมาหลงแกมั้ย”
พูดจบก็จิกหัวริลณีขึ้นมาตบไม่ยั้ง ฝ่ายถูกตบพยายามสะบัดตัวจะหนี ปริมลดาโมโห หันไปโวยวายกับหงส์หยกที่ยืนนิ่งไม่ยอมทำอะไร
“จะยืนอยู่ทำไม แกก็เกลียดมันไม่ใช่เหรอ มาช่วยกันสิ”
หงส์หยกเข้าไปช่วยจับแขนริลณีไว้ เปิดโอกาสให้ปริมลดาเข้าไปตบได้อย่างถนัดมือ
ริลณีดิ้นจนมือไปเกี่ยวหมวกไอ้โม่งหลุดออกมาจนเห็นใบหน้าชัดเจน
“ปริมลดา”
หงส์หยกร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ “ซวยแล้วสิ”
ริลณีหันขวับไปทันที แล้วก็จำเสียงได้อย่างแม่นยำ “หงส์หยก”
หงส์หยกสะดุ้งเฮือก ริลณีไล่สายตามองไปทีละคน
“ตุลเทพ พวกนายสามคน เอกราช ประวิทย์ เชิงชาย พวกเธอทำแบบนี้กับฉันทำไม ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้องอย่าทำอะไรเลย”
ปริมลดาถอดไอ้โหม่งโยนทิ้ง แล้วก็หันมองหน้าทุกคนอย่างไม่ได้เกรงกลัว จากนั้นทุกคนทยอยถอดตาม
ริลณีมองหน้าทุกคนอย่างเจ็บปวด
“ทำไมพวกเธอถึงทำกับฉันแบบนี้”
“ก็พวกเราทุกคน เกลียดแกน่ะสิ จับมันไว้”
ปริมลดาหันมาออกคำสั่ง หงส์หยกจำใจต้องเดินไปจับตัวริลณีไว้ ให้ปริมลดาตบไม่ยั้งด้วยความสะใจ

ส่วนเตชินก็รีบเร่งขับรถจะพชมพูไปโรงพยาบาล พร้อมทั้งระล่ำระลักโทรไปบอกแม่
“แม่เหรอครับ แม่กับพ่อช่วยไปรอผมที่โรงพยาบาลได้มั้ยครับ ฝากแม่ช่วยโทรบอกคุณอาพิสมัย กับคุณอาพิชัยให้ไปที่โรงพยาบาลด้วย คือ คือ ผมขับรถชนน้องชมพูน่ะครับ คุณแม่ช่วยหน่อยนะครับ ผมจะรีบพาน้องไปที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด”
พอวางสายก็รีบหันไปมองชมพู ที่นั่งอยู่ที่เบาะด้านข้างพยายามเรียกให้ได้สติ
“ชมพู อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับ พี่กำลังจะพาไปโรงพยาบาล“
ชมพูพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ เบามากจนเขาแทบจะไม่ได้ยิน
“น้องชมพูพูดอะไรครับ”
“ช่วย.....”
ชมพูพูดไม่จบ เสียงก็ขาดหายไป เตชินไม่ได้สนใจ รีบขับรถไปอย่างรวดเร็ว

ริลณีถูกตบไม่เลี้ยง จนหน้าบวมช้ำ เลือดออกซิบๆ ตามร่องแก้มที่แตกเป็นรอย กระนั้นปริมลดาก็ยังรู้สึกยังไม่สาแก่ใจ
เอกราชกับตุลเทพเดินเข้าไปมองริลณีใกล้ๆ
“ดูสิ แก้มสวยๆ ช้ำหมดเลย”
ริลณีน้ำตาพราก ค่อยๆ ยกมือไหว้อ้อนวอน
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไหว้ล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันกลัวแล้ว สงสารฉันเถอะ อย่าทำร้ายฉันเลยนะ”
ตุลเทพยิ้มร้าย
“ทำร้ายเหรอ แล้วสิ่งที่เธอทำกับฉันล่ะ มันทำลายชีวิตพวกฉันจนไม่เหลือชิ้นดี”
ปริมลดาชักหงุดหงิด “จะมัวพูดมากอยู่ทำไม จะทำอะไรก็ทำสักทีสิ”
เอกราชหันไปถามตุลเทพ “ใครจะเป็นคนเปิดก่อน”
“ฉันให้เกียรตินายแล้วกัน”
เอกราชหันไปทางประวิทย์กับเชิงชาย
“พวกนาย 2 คนเตรียมกล้องพร้อมใช่มั้ย”
ทั้งคู่หยิบกล้องขึ้นมาถือพร้อม ปริมลดาก้มหน้าไปกระซิบที่ข้างหูริลณี
“คราวนี้แกได้ดังยิ่งกว่าฉันแน่ๆ”
ริลณีตกใจกลัว ยิ่งเห็นเอกราชลงมานั่งคร่อมร่างไว้ ก็ยิ่งลนลาน
“เรามาสนุกด้วยกันนะจ๊ะคนสวย”
เอกราชถอดเสื้อตัวเองออก แล้วค่อยๆ พยายามถอดเสื้อริลณี แต่กลับถูกอีกฝ่ายข่วนกลางหลัง
จนเนื้อติดเล็บออกมา เลือดที่หลังออกซิบๆ
ริลณีฉวยจังหวะ รีบลุกขึ้นจะวิ่งหนีออกไป ตุลเทพรีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวไว้จากด้านหลัง เธอพยายามดิ้นสุดชีวิต ทั้งเตะ ทั้งต่อยจนตุลเทพที่เจ็บแขนอยู่แล้วเจ็บขึ้นไปอีก เลยจับเธอเหวี่ยงลงที่พื้นด้วยความโมโห ขาริลณีไปกระแทกกับขอบโต๊ะอย่างจัง เสียงกระดูกหักดังกร๊อบ
ตุลเทพตะโกนสั่ง “จะรีบทำอะไรก็รีบทำเถอะ อีนังนี่มันฤทธิ์เยอะกว่าที่เราคิด”
เอกราชรีบเดินเข้าไปคร่อมร่าง เอามือบีบคอริลณีอย่างแรงด้วยความโมโห จนเธอตาเหลือกลาน พยายามดิ้นอย่างทุรนทุรายเพราะขาดอากาศหายใจ
ประวิทย์ ตุลเทพ เชิงชาย ปริมลดา และหงส์หยกช่วยกันไปห้ามไว้ แต่เอกราชโมโหจนไม่ฟังเสียงห้าม
“แต่มันข่วนกู”
“แล้วถ้ามันตาย นายอยากติดคุกรึไงเอกราช”
ประวิทย์สวนกลับ ก่อนที่เชิงชายจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่น ตกใจ
“มะ มะ มัน มันตายแล้ว”
เอกราชหันไปมองริลณีที่ตาเหลือกค้างคามือด้วยความตกใจ แล้วก็รีบผละออกมาจากร่างที่นอนแน่นิ่ง

ทุกคนที่มามุงดูริลณีที่นอนนิ่งตาเหลือกด้วยความตกใจ

หงส์หยกโวยวายเสียงดัง ด้วยความทั้งตกใจ ทั้งขวัญเสีย

“ที่เราตกลงกันมันไม่ใช่แบบนี้นี่ ฉันไม่ได้มาร่วมมือกับพวกนายเพื่อฆ่าคนตายนะ”เชิงชายเองก็หน้าซีดไม่แพ้กัน
“แล้วจะทำยังไง ตำรวจต้องจับเราเข้าคุกแน่ ฉันไม่อยากติดคุกนะ ฉันไม่เอาด้วยนะ”
แต่กลับถูกปริมลดาตวาดใส่ด้วยความโมโห
“เงียบซะทีเถอะ จะโวยวายให้มันได้อะไรขึ้นมา มันตายแล้ว จะโวยวายยังไงมันก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก”
ตุลเทพรีบหาทางเอาตัวรอด “แล้วจะเอายังไง ทิ้งมันไว้แบบนี้มั้ย ไม่มีใครรู้ว่าเป็นพวกเราหรอก”
ประวิทย์ท้วงขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ ที่เล็บมันมีเลือด อาจจะมีเศษเนื้อของเอกราชติดอยู่ ตำรวจสืบได้แน่ว่าเป็นใคร”
เอกราชหน้าซีดเผือด “ถ้าฉันโดน พวกนายก็ต้องโดน”
ทั้งหมดมัวแต่กังวลใจ จนไม่ทันสังเกตเห็นว่าตาของริลณีเริ่มขยับเล็กน้อย หายใจรวยริน แผ่วเบา จนแทบไม่ได้ยินเสียง พลางหรี่ตามองไปยังกลุ่มคนที่ทำร้ายเธอ เห็นทั้งหมดเดินไปเดินมา ท่าทางกลัดกลุ้ม พยายามช่วยกันคิดหาวิธีกำจัดร่างของเธอ
ปริมลดาหันหน้ามองทุกคนก่อนจะโพล่งออกมา
“ฉันคิดออกแล้ว มันก็ไม่เห็นยากอะไรนี่ ถ้ามันตายก็ฝังมันซะ”
ริลณีที่ได้ฟังอยู่ถึงกับตาเบิกโพลงด้วยความกลัวสุดขีด

เตชินนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ที่เสื้อมีเลือดของชมพูติดอยู่ ครู่หนึ่งจิตรา ณรงค์ พิสมัย และพิชัยวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“น้องเป็นยังไงบ้างลูก”
“หมอเพิ่งพาเข้าห้องผ่าตัดไปเมื่อกี๊นี้ครับ”
พิสมัยถึงกับร้องไห้ฟูมฟาย
“น้องจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ยเตชิน น้องจะไม่เป็นไรใช่มั้ยลูก”
เตชินมองหน้าพิสมัยและพิชัยด้วยความรู้สึกผิด รีบยกมือไหว้ ก่อนจะทรุดตัวกราบขอโทษทั้งคู่
“คุณอาครับ ผมขอโทษ ผมขอโทษ”
พิสมัยยิ่งร้องไห้หนัก จนพิชัยต้องกอดปลอบ พร้อมกับที่จิตราดึงตัวเตชินขึ้นมากอดปลอบเหมือนกัน

เอกราช เชิงชาย ประวิทย์ช่วยกันขุดหลุมตรงบริเวณศาลาเก่าที่อยู่หน้าบ้านร้าง ขณะที่หงส์หยกมองร่างของริลณีที่นอนนิ่งสนิทด้วยความรู้สึกกลัว จนปริลดาเห็นแล้วยิ่งรำคาญใจ
“อย่ามาทำแอ๊บแบ๊วกลัวได้มั้ย น่ารำคาญ ศพหมูที่พ่อเธอขายก็เห็นมาเยอะแยะ”
“แต่นี่มันคนนะลดา ฉันกลัว เธอไม่กลัวรึไง”
ปริมลดาไม่ตอบ กลับตะโกนบอก 3 หนุ่มที่กำลังขุดหลุมอยู่ ว่าจะเธอกับหงส์หยกจะไปดูต้นทางให้ ตุลเทพรีบขอตามไปด้วย
ทั้ง 3 คนช่วยกันเร่งมือขุดหลุมต่อ จังกวะนั้นร่างริลณีที่นอนนิ่งอยู่ไม่ไกลก็เริ่มขยับเล็กน้อย เธอพยายามขยับขาที่หัก แต่ก็เจ็บจนแทบทนไม่ไหว จะร้องก็ไม่กล้า จำต้องอดทนไว้ พร้อมกับปรายตามองกองดินที่ค่อยๆ พูนขึ้น ด้วยความกลัวสุดชีวิต
พอทั้ง 3 คนขุดหลุมเสร็จ ประวิทย์กับเชิงชาย ก็ช่วยกันยกร่างริลณีที่แกล้งนอนนิ่งเหมือนคนตาย แต่ครั้นโดนประวิทย์ จับขาที่หัก ก็เจ็บ จนต้องเผลอร้องออกมาเบาๆ
“โอ๊ย”
เชิงชายที่ยกอยู่ที่ส่วนหัวได้ยินเสียงก็ตกใจ รีบเอามือมาอังที่ใต้จมูก แต่ก็ไม่รู้สึกถึงลมหายใจเพราะริลณีกลั้นไว้
จากนั้นทั้งคู่ก็จะช่วยกันยกร่างริลณีลงไปวางในหลุม แล้วก็ช่วยกันตักดินลงไปในหลุมทีละน้อย
ทีละน้อย
จู่ๆ ประวิทย์ที่โดนมดจากดินรุมกัด ก็ขอตัวไปเอาน้ำลูบเนื้อลูบตัว ทิ้งให้เชิงชายจำใจต้องตักดินฝังริลณีคนเดียวด้วยความกลัว จังหวะนั้นเสียงที่แผ่วเบาเหมือนจะขาดใจ ก็ดังขึ้นมาจากในหลุม
“เชิงชาย”
เชิงชายตกใจ รีบมองหาที่มาของเสียง ครั้นเมื่อมองไปในหลุม ก็เห็นริลณี ที่กำลังโดนฝัง พยายามยกมือที่สั่นจากความเจ็บปวดขึ้นไหว้ พลางมองด้วยสายตาเว้าวอน อย่างจะร้องขอชีวิต
“อย่าฝังฉันเลย”
เชิงชายชะงักตกใจ “นี่เธอยังไม่ตายเหรอ”
“อย่าฝังฉันเลยนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องใคร ปล่อยฉันไปเถอะ อย่าฝังฉันเลย ฉันยังไม่อยากตาย”
เชิงชายหันไปมองเอกราช ตุลเทพ ปริมลดา หงส์หยก ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ด้วยความรู้สึกกลัว
“ฉันปล่อยเธอไปไม่ได้ เพราะถ้าปล่อยเธอไป ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนตายแทน”
ริลณีร้องไห้อ้อนวอน
“ฉันยังไม่อยากตาย ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันทำผิดอะไรกับพวกเธอ พวกเธอถึงได้ทำฉันแบบนี้”
“ฉันเคยปล่อยเธอรอดไปหนนึงแล้ว เธอทำให้พวกเราเดือดร้อน ถ้าคราวนี้ฉันปล่อยเธอไปอีก พวกเราทุกคนคงถูกประหารชีวิตแน่ ขอโทษนะริน ถ้าเธอไม่ตาย ฉันก็คงต้องตาย”
พูดเสร็จเชิงชายก็รีบกลั้นใจตักดินลงหลุมอย่างเร็วที่สุด ริลณีที่พยายามยกมือไม้อ้อนวอนขอร้อง ค่อยๆ โดนดินกลบทีละนิดๆ

น้ำตาของเธอรินไหลเป็นสาย เพราะรู้ถึงชะตากรรมของตัวเองแล้ว

เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังก้องไปทั่วบริเวณ ลมพายุพัดกรรโชกเข้ามาอย่างแรง บรรยากาศดูวังเวง และน่ากลัว

ประวิทย์ออกมาช่วยเชิงชายกลบหลุมจนเสร็จ ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปบนหลุมเพื่อทับให้ดินแน่นขึ้น เชิงชายยืนมองภาพนั้น แล้วก็อึ้งจนพูดไม่ออก รีบวิ่งออกไปอาเจียน
ท้องฟ้าคำรามลั่น ฝนเริ่มทำท่าจะตกหนัก ตุลเทพเดินเข้ามาเรียก
“เสร็จแล้วใช่มั้ย รีบไปก่อนที่พายุจะมาเถอะ”
ทั้งหมดรีบวิ่งตามกันออกไป ทิ้งร่างของริลณีที่ถูกฝังดินทั้งเป็นอยู่เบื้องหลัง

ทั้งหมดเดินที่รถของปริมลดาที่จอดอยู่หน้าบ้านร้างด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนกลัวใครเห็น เอกราชรีบหันไปสั่ง
“เดี๋ยวเธอ ไปจัดการข้าวของของนังนั่นที่ชมรมให้หมด ให้คนคิดว่ามันกลับไปแล้ว”
ปริมลดาพยักหน้ารับ ก่อนที่ทุกคนทยอยขึ้นรถ เชิงชายที่ยังหวาดกลัว มองกลับไปที่บ้านร้าง เห็นบรรยากาศวังเวงน่ากลัวจนแทบทนไม่ไหวรีบวิ่งขึ้นรถตามไปเป็นคนสุดท้าย
ทันทีที่ทุกคนขึ้นรถ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยง ก่อนที่ฝนห่าใหญ่จะตกลงมาทันที

ที่ใต้หลุมฝังที่ลึกลงไปในพื้นดินราวเมตรครึ่ง ร่างของริลณีที่เลอะเทอะไปด้วยดินโคลน นอนหายใจรวยริน พยายามรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย ตะเกียกตะกายดินตรงหน้าจนเล็บถลอกปอกเปิก แม้จะรู้ว่าความหวังริบหรี่เต็มที
เวลาที่ค่อยๆ เหลือน้อยลงทุกที สำนึกสุดท้ายของริลณี เต็มไปด้วยร่องรอยของความทรงจำ ทั้งหมด ทั้งเรื่องระหว่างเธอกับเตชิน , ภาพที่ถูกพวกเอกราชและปริมลดารุมทำร้าย และคำเตือนของหลวงตาคง ที่เตือนว่าอย่าไว้ใจใครทั้งนั้น โดยเฉพาะคนใกล้ตัว
นัยน์ตาที่ใกล้จะไร้แววกลับเบิกโพลง ริลณีดิ้นพล่านก่อนตายด้วยความทรมานและความแค้น
สุดขีดคลั่ง
“ถ้าฉันตาย ขอให้ฉันไม่ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะแก้แค้นพวกมันทั้งหมด”
สิ้นคำอธิษฐานสุดท้าย ริลณีก็กระอักออกมา นัยน์ตาเหลือก ก่อนจะไม่มีลมหายใจไปอีก
ตลอดกาล

ฟ้าผ่าฟาดเปรี้ยงลงมาเสียงดังก้อง จนเตชินที่นั่งก้มหน้าเครียดอยู่หน้าห้องฉุกเฉินสะดุ้งเฮือกเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ริลณี”
เขารีบลุกขึ้น ทำท่าจะวิ่งออกไป แต่ช้ากว่าประตูห้องฉุกเฉินที่ถูกเปิดออก พร้อมกับที่หมอเดินหน้าเครียดออกมา
พิสมัยกับพิชัยรีบถลาเข้าไปหา พร้อมด้วยจิตรา ณรงค์ และเตชิน ที่รีบวิ่งตามไปสมทบ
“ลูกสาวคุณได้รับบาดเจ็บที่สมองจากการกระแทกอย่างรุนแรง อาการตอนนี้คือยังไม่ได้สติครับ”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างตกใจ
“แล้วเมื่อไหร่ลูกสาวผมถึงจะฟื้นครับ”
“หมอยังตอบไม่ได้ครับ ก็คงต้องรอดูอาการ และตรวจเช็คอย่างละเอียด”
หมอขอตัวเดินเลี่ยงออกไป พิสมัยทำท่าจะเป็นลม จนต้องทรุดลงที่เก้าอี้ แล้วร้องไห้โฮลั่น พิชัยต้องรีบเข้าไปกอดให้กำลังใจ
จิตราและณรงค์จับมือกันแน่นด้วยความรู้สึกกังวล เตชินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุดในชีวิต

ทางด้านปริมลดากับหงส์หยกก็แอบเข้ามาเก็บข้าวของริลณีที่ห้องชมรมนาฎศิลป์ เพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเธอกลับไปแล้ว
หงส์หยกอิดออดด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ถูกปริมลบดาพูดขู่ ทำนองว่าขืนไม่ช่วยกันเก็บช้าวของ ถ้าโดนจับได้ ลำพังพ่อค้าขายหมูอย่างพ่อของหงส์หยกคงไม่มีปัญญาจะช่วยลูกสาวได้แน่
หงส์หยกจำต้องยอมทำตามอย่างไม่มีทางเลี่ยง จังหวะที่ช่วยกันเก็บของ บังเอิญเห็นแหวนเพชรที่
เตชินให้ริลณี ก็ถึงกับตาวาว
“นังริลณีมันมีแหวนเพชรเม็ดใหญ่แบบนี้เลยเหรอ”
พูดพลางรีบเก็บแหวนนั้นใส่ประเป๋าทันที

จากนั้นทั้งหมดก็ช่วยกันเอาข้าวของของริลณีมาโยนเข้ากองไฟ ก่อนที่ทุกสรรพสิ่งจะมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน ทีละชิ้น ทีละชิ้น
เอกราชรีบหันมากำชับทุกคน
“ทุกคนจำไว้ว่าไม่เคยมีเรื่องในวันนี้เกิดขึ้น ถ้าไม่อยากมีปัญหา ขอให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ และอย่าเอ่ยชื่อผู้หญิงที่ชื่อริลณีเด็ดขาด”
เชิงชายยังตัวสั่นไม่หาย “แล้วนายแน่ใจนะ ว่าฝังศพไว้อย่างนั้นจะไม่เป็นไร”
“บ้านร้าง แถมมีข่าวลือว่าผีดุขนาดนั้น ไม่มีใครกล้าเข้าไปหรอก”
“จะมีผีนังริลณีเพิ่มในบ้านหลังนั้น คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
ตุลเทพพูดเสร็จก็หัวเราะร่วน เอกราช ปริมลดา ประวิทย์หัวเราะตามอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ตรงข้ามกับเชิงชายที่กลัวอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหงส์หยกเอามือจับกระเป๋าที่มีแหวนเพชรริลณีซ่อนอยู่ข้างใน
แล้วแอบยิ้มพอใจ
จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป ทิ้งภาพข้าวของของริลณีที่ถูกไฟไหม้ไปเป็นเถ้าทีละชิ้นๆเหมือนกับการตายของเธอที่จะค่อยๆ เลือนหายไปโดยไม่มีใครรับรู้

นางพยาบาลเดินออกมาจากห้องคนป่วยของชมพู ก่อนจะยื่นของบางอย่างให้กับเตชินที่นั่งรออย่างกระวนกระวายอยู่หน้าห้อง
“นี่ของคนไข้ค่ะ กำไว้ตลอดเวลาเลย”
เตชินรับของที่พยาบาลยื่นให้ก่อนจะมอง เห็นว่าสิ่งนั้นคือ “จี้นางรำ” เขาถึงกับถอนหายใจเครียด ก่อนจะทรุดตัวนั่งมองจี้ในมืออย่างพิจารณา
ครู่หนึ่งจิตรกับณรงค์ก็เดินเข้ามาบอกกับเขาว่าพิสมัยกับพิชัย จะส่งตัวชมพูไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ กับหมอที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการรักษาในลักษณะนี้โดยตรง
เตชินพยักหน้าช้าๆ อย่างเข้าใจ “แล้วจะไปเมื่อไหร่ครับ”
“ก็คงเร็วที่สุด ปล่อยช้าไว้ เกิดหนูชมพูเป็นอะไร พวกเราจะลำบาก เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรก็ไม่รู้ โชคดีนะที่คุณพิสมัยกับคุณพิชัยเค้าไม่เอาเรื่องลูก”
ณรงค์รับพูดแทรกขึ้นมาทันที
“แต่ถ้าเกิดลูกสาวเค้าเป็นอะไรไป เค้าก็คงจะเอาเรื่องเราที่สุดเหมือนกัน เตชิน ลูกต้องตามไปดูแลน้องด้วยเข้าใจมั้ย”
“ครับ ผมจะตามไปดูแลจนกว่าชมพูจะหายดี เพราะยังไง ผมต้องรับผิดชอบเรื่องนี้จนถึงที่สุด”

เตชินเดินหน้าเครียดมาตามทางเดิน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะดูเวลา ครั้นพอเห็นรูปริลณีในโทรศัพท์ ก็นึกขึ้นมาได้ เขารีบกดเบอร์โทรหาเธอทันที แต่โทรเท่าไรก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ
จังหวะที่เขาเงยหน้าจากมือถือ พลันสายตาก็เหลือบเห็นผู้หญิงผมยาวตรงนั่งก้มหน้าเศร้าอยู่ที่เก้าอี้ตัวปลายสุด เสื้อผ้าเปื้อนดินโคลนเลอะเทอะ เขาเพ่งมองไป เพราะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นริลณี จึงรีบเดินเข้าไปใกล้ แต่กลับมีบุรุษพยาบาลเข็นรถคนไข้ผ่านตัดหน้า พอมองไปอีกทีผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว
เตชินพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“รินจะมาที่โรงพยาบาลได้ยังไง”
เขารีบหยิบโทรศัพท์จะกดหาอีก จังหวะนั้นริลณีปรากฏร่างข้างหลังเขาในลักษณะของผี ที่ดู
น่ากลัว แต่แววตาที่เพ่งมองนั้นกลับฉายแววเศร้า
เตชินรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมอง และกำลังจะเหลียวหันไปทางที่ริลณียืนจ้องอยู่ แต่เสียงเรียกของจิตราก็ดังมาขัดจังหวะ เขารีบหันไปตามเสียง พร้อมๆ กับร่างของริลณี ก็หายไปจากตรงนั้น
“คุณหมออนุญาตให้ส่งตัวชมพูไปรักษาที่ต่างประเทศแล้ว”
จิตราบอกอย่างดีใจ ณรงค์พูดเสริม
“ลูกกลับไปเตรียมตัวเดินทางเถอะ ลูกอาจต้องเดินทางโดยเร็วที่สุด”

กระเป๋าเดินทางของเตชินถูกนำมาวางไว้ ข้างๆ กองเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็น ขณะที่เตชินยืนคุยโทรศัพท์สีหน้าเครียด
“นี่มัน 3 วันแล้วนะที่ฉันติดต่อริลณีไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเค้า ฉันเป็นห่วง รู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้”
ชัชที่อยู่ทางปลายสาย สีหน้าเครียดไม่แพ้กัน
“ฉันว่าเค้าคงโกรธแกที่ไม่มาตามนัดปล่อยให้เค้าคอยเก้อ เค้าเป็นผู้หญิงนะเว้ย ลองคิดว่าเป็นแกบ้างสิ จะรู้สึกยังไง”
“ฉันรู้ว่าฉันผิด ฉันอยากอธิบายทุกอย่างให้เค้าฟัง”
ชัชถอนหายใจพยายามพูดปลอบเต็มที่
“ก็รอให้เค้าหายโกรธนายก่อนสิ ฉันมั่นใจว่าเค้าต้องติดต่อนายกลับมาแน่ ตอนนี้คนที่นาย
ต้องห่วงมากที่สุดคือน้องชมพูนะ”
เตชินทรุดนั่งลงบนเตียง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“ชัช นายบอกได้มั้ยทำไมต้องเกิดเรื่องพวกนี้กับฉันด้วย”
“เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่มีคำตอบ แต่แกจำเอาไว้ทุกอย่างที่เกิดเป็นตามเวรกรรม เอาใจช่วยแก
นะเว้ย”
เสียงชัชวางโทรศัพท์ไป เตชินวางสายตาม ก่อนจะก้มหน้าลงไปกับมือ รู้สึกสับสนกระวนกระวายใจมากที่สุด
“คุณหายไปอยู่ที่ไหน ริลณี”

ร่างที่ปราศจาลมหายใจของของริลณีนอนลืมตาโพลงด้วยความแค้นอยู่ใต้ดิน ขณะที่ปากหลุมที่อยู่ใต้ศาลา พื้นดินกลับเรียบสนิทราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ใต้ดินนั้น
บนศาลาที่มีศพข้างใต้ มีอีกามาเกาะเต็มหลังคา ราวกับว่ากำลังจะมีอาเพศร้าย

หงส์หยกยืนมองปฎิทินที่ตัวเลขของวันที่มีรอยกากบาทขีดฆ่าไว้ 2 วัน พลางเอาปากกาขึ้นมาขีดฆ่าวันที่ 3 ต่อท้าย
“ 3 วันแล้ว ไม่มีข่าว ไม่มีใครตามหา ไม่มีใครพูดถึงนังนั่น คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
พูดพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานออก แล้วหยิบแหวนเพชรของริลณีออกมาดูอย่างพอใจ จากนั้นก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อออกมา แล้วเอาแหวนและนาฬิกาที่ปริมลดาให้ห่อๆ พันๆเอาไว้ ก่อนจะรีบซุกไว้ที่ในสุดของตู้ ก่อนจะรีบปิดประตูตู้แน่น ราวกับต้องการขังความลับบางอย่างในนั้น

ประวิทย์ส่งยาเม็ดเล็กๆ ให้เอกราช เชิงชาย กินกันคนละเม็ด และสำหรับตัวเอง อีก 1 เม็ด
“จะได้ลืมเรื่องทั้งหมด”
พอทั้งหมดกินยา ก็ทำตาลอยเคลิ้ม ก่อนที่เชิงชายจะโพล่งขึ้นมา
“พวกนายเคยได้ยินมั้ย เค้าว่ากันว่าวิญญาณจะกลับบ้านใน 3 วัน”
เอกราชพูดตาเยิ้ม “แต่นังนั่นเป็นเด็กกำพร้า มันไม่มีบ้านให้กลับหรอก ถ้าจะกลับ ก็คงกลับไปบ้านเด็กกำพร้ามั้ง”
ทั้งหมดหัวเราะชอบใจด้วยฤทธิ์ยา

ทางด้านปริมลดาและตุลเทพ ก็เดินควงแขนกันเดินเลือกซื้อของอยู่ในห้างสรรพสินค้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ปริมลดาไปเลือกเครื่องสำอางที่เคาน์เตอร์ พนักงานรีบเอาของมาให้ลอง จู่ๆ เสียงเพลงไทยเดิมก็ดังแว่วมา
“ห้างออกจะเดิ้น ดันเปิดเพลงไทยเดิมซะงั้น”
พนักงานขายทำหน้างง เพราะได้ยินเพลงสากล “เพลงไทยอะไรเหรอคะ”
ปริมลดาหงุดหงิด “ก็เพลงไทยเดิมที่เปิดอยู่นี่ไง นายได้ยินรึเปล่า”
ตุลเทพเงี่ยหูฟัง แล้วก็พยักหน้าหงึก

ปริมลดาลองแต่งหน้าอยู่หน้ากระจกบานเล็กๆ บนเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง พลันก็เห็นเหมือนริลณีเดินแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่พอหันกลับไปมองข้างหลัง ก็ไม่เห็นอะไร
พอส่องกระจกแต่งหน้าต่อ คราวนี้เห็นริลณียืนจ้องตาเขม็งจากด้านหลังด้วยแววตาเคียดแค้น ทำเอาปริมลดาตกใจ จนของตกจากมือ ก่อนจะรีบหันไปมอง แต่ก็กลับก็ไม่พบอะไรเหมือนเดิม เธอเริ่มกลัว รีบหันกลับมามองทางเดิม แต่เมื่อมองหน้าพนักงาน กลับเห็นเป็นริลณียืนจ้องด้วยความแค้น
ปริมลดาตกใจกรีดร้องลั่น จนตุลเทพต้องปราดเข้ามาจับตัวเอาไว้ แต่แล้วเขาก็กลับเป็นฝ่ายชะงักเสียเอง เมื่อร่างของปริมลดากลายร่างเป็นริลณี ที่จ้องตาแค้นเขม็งมาที่เขา
ทั้งคู่รีบหนีออกไปอย่างลนลาน
ส่วนหงส์หยกก็รู้สึกเหมือนหูแว่วได้ยินเสียงคนเคาะประตูตู้ดังรัว เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปเปิดตู้อย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ไม่เจออะไร แต่ครั้นเธอปิดประตูตู้กลับไป จู่ๆ ประตูก็ค่อยๆ แง้มออกมาช้าๆ พร้อมกับเสียงเพลงไทยดังแว่วมา
หงส์หยกเริ่มกลัว ค่อยๆ หันกลับไปมองที่ตู้ช้าๆ แต่ไม่เห็นอะไรอีก พลันก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านบน พอเงยหน้าไปบนหลังตู้เสื้อผ้า ก็เห็นผีริลณีนั่งห้อยขา แกว่งเท้าจ้องมาทางด้วยแววตอาฆาตแค้น
หงส์หยกกรีดร้องลั่นด้วยความกลัว

ทางด้านเอกราช เชิงชาย กับประวิทย์ ก็เมาเคลิ้มเพราะฤทธิ์ยาจนรู้สึกเหมือนว่าหูจะแว่วได้ยินเสียงเพลงไทยเดิม พร้อมกับเห็นภาพริลณีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม่ไกล ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินยิ้มเข้ามา ก่อนจะก้มหน้าลงไปถามใกล้ๆ
“ตอนที่ฆ่าฉัน สนุกกันมากใช่มั้ย”
ในเวลาเดียวกันทั้งตุลเทพกับปริมลดา รวมทั้งหงส์หยก ต่างก็รู้สึกเหมือนว่าโดนผีของริลณีตามหลอกหลอนด้วยความแค้น

จากนั้นทั้งหมดก็หวนกลับมาที่บ้านร้าง ที่ฝังศพของริลณี ต่างคนต่างเล่าว่าโดนผีตามหลอกหลอนด้วยความสยดสยอง
เอกราชนรีบบอกกับทุกคนว่าเขามีของศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์ดำ หมอผีที่เก่งฉกาจมาด้วย ว่าแล้วก็หยิบขวดใส่เลือดสีแดง ตะปูตอกฝาโลง และผ้ายันต์ออกมา
พลันก็บังเกิดลมพัดแรง พร้อมกับเสียงเพลงไทยดังแว่วมา เชิงชายกับหงส์หยกรีบขยับเข้าไปใกล้กัน ปริมลดากอดแขนตุลเทพแน่น ประวิทย์หันไปมองรอบๆ ก่อนจะชี้ไปที่มุมหนึ่งของบ้าน เห็นผีริลณีนั่งห้อยขาอยู่บนที่สูงแกว่งขาอย่างขี้เล่นปนสยอง
“เพื่อนๆ ไป สนุก กัน เถอะ”
ผีริลณีเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ ดวงตาค่อยๆ ยุบหายจนกลายเป็นกลวงโบ๋ น้ำตาสีเลือดไหลเยิ้มออกมาจากกระบอกตา รอยยิ้มที่หวานกลายเป็นปากที่ค่อยๆ อ้ากว้าง จากหูซ้าย ไปถึงหูขวา เลือดสดๆ ไหลย้อยผ่านฟันสีเหลืองซี่เล็กออกมาอย่างล้นทะลัก
ทั้ง 6 คนตกใจกลัว รีบกรูเข้าหากัน เอกราชรีบพาทุกคนไปที่ศาลา ตรงที่ฝังศพริลณีไว้ แล้วก็ยื่นยันต์ส่งให้เชิงชายด้วยมืออันสั่นเทา
“ติดไว้บนหลังคานั่น”
เชิงชายพยักหน้า แล้ว รีบปีนหลังประวิทย์ เอายันต์ไปติดไว้ที่บนหลังคาของศาลา เอกราชยื่นตะปูให้ตุลเทพและปริมลดา แล้วก็ยื่นขวดสีแดงใส่เลือดให้หงส์หยก ก่อนจะหยิบใบโพยออกมาท่องคาถามือสั่น ปากสั่น
ผีริลณีตรงเขม็งมาเอาเรื่องด้วยความโกรธ ก่อนจะกรีดร้องอย่างโหยหวน
เอกราชท่องคาถาเสร็จ ตุลเทพกับปริมลดาก็ช่วยกันตอกตะปูลงบนพื้นดิน ในขณะที่เชิงชายก็ติดยันต์เสร็จพอดี หงส์หยกหลับตาปี๋ก่อนจะเปิดขวดเลือดหมาดำสาดลงไปบนหลุมศพ
ผีริลณีกรีดร้องโหยหวน ก่อนจะค่อยๆ จมลึกหายลงไปในดิน เหมือนโดนธรณีสูบลงไปเรื่อยๆ พลางจ้องเขม็งมองทุกคนด้วยความแค้นแสนแค้น พร้อมกับสาปแช่งด้วยความโกรธ
“พวกแกไม่มีวันหนีเวรกรรมที่ทำกับฉันได้ ตราบใดที่พวกแกยังไม่ตาย ฉันจะตามอาฆาต ตามเอาคืนกับพวกแกทุกคน”
เอกราชตะโกนด่าสวนกลับไปด้วยความทั้งโกรธ ทั้งกลัว ทั้งแค้น และสะใจ
“แกจะไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิด แกจะไม่มีวันได้ออกไปที่ไหนนังผีบ้า”
ผีริลณีมองหน้าทั้ง 6 คนด้วยความอาฆาตแค้น ก่อนจะโดนธรณีสูบหายไปใต้ดินในที่สุด พลันพายุที่โหมกระหน่ำ ก็เงียบสงบ ท้องฟ้ากลับมาสว่างไสว ทุกอย่างเงียบสนิทเหมือนราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

ฟากเตชินในชุดพร้อมเดินทาง เดินเข้ามาชัชที่ยืนรออยู่ ก่อนจะพูดฝากฝังให้ฝ่ายหลังช่วยตามหาริลณีให้เขาที และฝากขอโทษเธอแทนเขาด้วย
“ถ้าน้องชมพูหายดีเมื่อไหร่ ฉันจะรีบกลับมาหาเค้าให้เร็วที่สุด”
“เออ ไม่ต้องห่วง นายรีบไปเถอะ ฉันจะตามหาน้องรินแทนแกเอง”
เตชิน ตบบ่าเพื่อนรักแทนคำขอบคุณ ก่อนจะรีบวิ่งไปขึ้นรถ ที่จิตราและณรงค์นั่งรออยู่

รถของเตชินค่อยๆ แล่นออกไป ชัชหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์ของริลณี แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับ

“โทรไม่ติดแบบนี้ แล้วฉันจะไปตามหาเธอที่ไหนเนี่ย ริลณี”

อ่านต่อตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น