xs
xsm
sm
md
lg

นางชฎา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นางชฎา ตอนที่ 1

เสียงพระสวดบทพระอภิธรรม 7 ดังไปทั่วศาลาสวดศพของ “ใครบางคน” ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูวังเวงชวนขนหัวลุกยามค่ำ ฝูงอีกานับร้อยตัวเกาะอยู่เต็มบริเวณรอบๆ วัด โดยเฉพาะที่หลังคาศาลาสวดศพใครคนนี้

ภายในศาลา มีแขกมาร่วมงานค่อนข้างบางตา ด้านหนึ่งเตชิน ปริมลดา หงส์หยก ชมพู เอกราช ประวิทย์ และตุลเทพ นั่งเรียงตามลำดับปะปนอยู่กับแขกในงานด้วย
ระหว่างนี้ ปริมลดา ที่นั่งติดเตชิน จงใจใช้ปลายรองเท้าส้นสูงคู่เก๋ ไล้ไปตามขาเตชินเป็นเชิงยั่วยวน เขาปรายตามองอย่างไม่ใคร่พอใจ พร้อมกับพยายามเขยิบหนี แต่เธอไม่หยุด กลับเอื้อมมือจะลูบต้นขาเขาอีก ทว่ายังไม่ทันได้จับ เสียงสวดก็จบลงพอดี
พระทยอยลุกเดินออกจากศาลาไป เตชินจึงฉวยจังหวะนั้น ลุกยืนขึ้นไหว้พระ ทำเอาอีกฝ่ายแอบหงุดหงิด
“พี่ไปรอที่รถนะครับ”
เตชินเหล่มองปริมลดา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะเดินออกไป พร้อมๆ กับแขกในงานที่ค่อยๆ ทยอยออกจากงาน เธอขยับจะเดินตามไป แต่อยู่ดีๆ ก็มีอีกาบินกรูเข้ามาในศาลาไปเกาะบนฝาโลง พร้อมกับส่งเสียงร้อง กา กา กา ดังลั่น
หงส์หยกเริ่มรู้สึกกลัว
“ฉันว่าเรารีบกลับเถอะ ที่นี่มันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”
ประวิทย์รีบบอกให้ไปลาศพ ก่อนจะลุกนำ หงส์หยก ตุลเทพ ปริมลดา และเอกราช กำลังจะลุกตาม แต่จู่ๆ ไฟในศาลาทุกดวงก็เริ่มติดๆ ดับๆ อีกาบนหลังคาสวดศพพากันบินแตกฮืออย่างไม่มีสาเหตุ รวมทั้งอีกาบนโลงศพก็บินหนีไปด้วย
ขณะที่ทุกคนเริ่มหวาดกลัว ยกเว้นเอกราชที่ทำกล้าท้าทาย ไฟในศาลาดับพรึ่บ พร้อมกับเสียงเพลงไทยเดิมดังไปทั่วศาลา ประสานเสียงกำไลเท้า และเสียงซอยเท้าดังไปรอบๆ ห้อง ทุกคนหันขวับมามอง แต่กลับไม่เห็นที่มาของเสียง
เสียงซอยเท้าค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่อยู่ด้านหลังของทุกคน ที่กลัวจนตัวสั่น แต่เมื่อไฟสว่างพรึ่บ ทุกอย่างกลับว่างเปล่า ด้านหลังไม่มีอะไรทั้งสิ้น
ชมพูหน้าซีดเผือด ชี้มือสั่นๆ ไปที่หน้าโลงด้วยความตกใจกลัว คนอื่นๆ รีบหันมองตาม ที่ด้านหน้าโลงศพ ริลณีในชุดนางรำ สวมชฎาเต็มยศ กำลังซอยเท้าร่ายรำอย่างงดงามอ่อนช้อย ครู่หนึ่งก็หยุดรำ แล้วค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองจ้องไปที่ทั้ง 6 คนที่ยืนช็อก ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยอาฆาตแค้น
ทั้งหมดรีบจะวิ่งหนี แต่จู่ๆ ประตูศาลาก็ปิดปัง
ริลณีปรากฏกายตรงหน้า พลางจ้องหน้าทั้ง 6 คน พร้อมกับยิ้มช้าๆ ริมผีปากค่อยๆ ฉีกไปจนถึงใบหู เลือดแดงสดเอ่อท่วมทะลักล้นออกมา ดวงตากลายเป็นสีศพ จากนั้นก็ค่อยๆ ยกมือชี้ไปที่ทุกคนที่นิ่งด้วยอาการ ช็อก ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
“หนียังไง ก็ไม่พ้นหรอก กูจะตามเอาคืนพวกมึงทุกคน”
ขาดคำ ไฟในศาลาดับพรึ่บอีกครั้ง พร้อมกับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา ผีริลณีโผล่มายืนตรงหน้าทุกคนในระยะประชิด ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ทุกคนแหกปากกรีดร้องเสียงดังลั่น

2 ปีก่อน
ขณะที่เตชินกำลังนั่งสเก็ตซ์ภาพหญิงสาวหน้าตาสะสวยอ่อนหวานอย่างตั้งอกตั้งใจ ชัชก็เดินเข้ามาชะโงกมองดู พลางพูดล้อขำๆ
“อาจารย์ให้มาวาดรูปวัด ไม่ใช่รูปนางในฝัน”
เตชินเงยหน้ามองยิ้มๆ ก่อนจะพลิกให้ดูรูปวัดที่วาดเสร็จไปตั้งนานแล้ว ทำเอาชัชถึงกับหน้าเหรอ แต่ไม่วายพูดแหย่ต่อว่าที่งานเสร็จเร็ว เพราะต้องรีบไปหาคู่หมั้น
“ใครคู่หมั้น พูดดีๆหน่อย ผู้หญิงเค้าเสียหาย”
ชัชหัวเราะหึๆ
“เสียหายอะไร ผู้หญิงที่ไหนก็อยากเป็นคู่หมั้นคุณชายเตทั้งนั้นแหละ ดูโน่น”
พูดพร้อมกับชี้ไปกลุ่มสาวๆ หน้าตาน่ารัก 4-5 คน ที่แอบยืนมองเตชินด้วยสายตาปลื้มชนิดปกปิดไม่อยู่ แต่เขากลับทำท่าไม่สนใจ
“ไม่ใช่เพราะมัวแต่แอบรักสาวที่นายวาดเองงั้นเหรอ”
ชัชไม่วายล้อ เตชินอมยิ้มไม่ตอบกระไร กลับมองรูปสาวที่วาดอย่างมีความสุข ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกา แล้วก็ตกใจ รีบยัดสมุดวาดเขียนใส่มือชัชพลางฝากให้ส่งงานอาจารย์ ก่อนจะรีบวิ่งไปเก็บของ ชัชส่ายหน้าขำๆ
“ไอ้เตนะ ไอ้เต ผู้หญิงตัวเป็นๆ ไม่สน ดั๊นไปสนหญิงในรูปวาด แล้วดั๊นวาดสวยอีกต่างหาก จะหาผู้หญิงที่ไหนสวยเท่าล่ะ ไม่มีทางหรอก”

ที่บริเวณทางเดินในมหาวิทยาลัย ริลณีหญิงสาวสวยที่โครงหน้าประพิมพ์ประพายกับรูปที่เตชินวาดชนิดถอดแบบมา กำลังเดินมาอย่างรีบเร่ง จังหวะนั้นเสียงข้อความไลน์ก็ดังเตือนเข้ามา เธอรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดฟังข้อความเสียงที่ส่งมา
“รินอยู่ไหนแล้ว ทำไมยังไม่มาถึงสักที”
เธอยิ้มขำๆ ก่อนจะกดส่งข้อความเสียงกลับไป
“รินมาถึงแล้ว กำลังจะไปหาชมพูเดี๋ยวนี้แหละ รอหน่อยนะเพื่อนรัก”
พอส่งข้อความเสร็จก็เงยหน้ามองไปรอบๆ เห็นสายตาจากนักศึกษาที่เดินผ่านมาต่างพากันมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ บ้างก็มีแววดูถูก เหยียดหยาม บ้างก็ซุบซิบนินทา ส่วนพวกผู้ชายก็มองเธอด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
พลันกลุ่มนักศึกษาชายท่าทางหื่นๆ ก็ถือวิสาสะเดินมาจับมือถือแขน พยายามจะพูดด้วย ริลณีรีบสะบัดมือออก ก่อนจะรีบหนีด้วยความกลัวและตกใจสุดขีด

ริลณีวิ่งหนีเข้ามาในบริเวณสระว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย พอเห็นว่าไม่มีใครตามมา ก็หยุดยืน พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นกระดาษที่มีรูปคล้ายๆ หน้าเธอ ลอยอยู่ในสระน้ำ และตกบนพื้นหลายแผ่น เธอรีบเดินก้มเก็บขึ้นมาดู โดยไม่ทันสังเกตว่ามีคนค่อยๆ ย่องมาทางด้านหลัง ท่าทางไม่น่าไว้วางใจ
พอหยิบกระดาษขึ้นมาได้ ริลณีก็เห็นภาพตัดต่อใบหน้าของตัวเองกับนางแบบหุ่นเซ็กซี่ ท่าทางวาบหวิว พร้อมข้อความ
“ขายทุกระดับ รับทุกออฟชั่น สนับสนุนการศึกษา เด็กกำพร้ายากไร้ สนใจติดต่อ ริลณี ชมรมนาฏศิลป์”
เธอถึงกับยืนอึ้ง แข้งขาสั่น โงนเงนเหมือนจะล้ม

จังหวะเดียวกับที่คนที่ย่องเข้ามา โผกอดเธอจากข้างหลังพอดี

ริลณีหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะพบว่าคนที่เข้ามากอดคือตุลเทพชายหนุ่มนักกีฬา รูปร่างหน้าตา และบุคลิกดี

“ปล่อยนะ ตุลเทพ นายจะทำอะไร”
“ก็ช่วยสนับสนุนการศึกษาไง เธอประกาศขายอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ตุลเทพพูดพลางพยายามจะลวนลาม ริลณีพยายามขัดขืนแต่สู้แรงไม่ได้ จึงตัดสินใจเหยียบเท้าอีกฝ่ายเต็มแรง พร้อมกับฉวยจังหวะรีบสะบัดตัวจนหลุดออกมาได้
“ถึงฉันจะเป็นเด็กกำพร้ายากจน แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรต่ำๆ แบบนั้น”
ตุลเทพก้มลงหยิบกระดาษขึ้นมา
“แล้วประกาศพวกนี้ล่ะ อย่าบอกนะว่าโดนแกล้ง”
“ก็แล้วแต่นายจะคิด”
ขาดคำก็สะบัดหน้า พลางเดินเชิดออกไป ตุลเทพมองตามก่อนจะตัดสินใจตะโกนถาม
“งั้นถ้าฉันให้เธอ 5 หมื่นล่ะ”
ริลณีชะงักหันกลับมามองหน้าตาครุ่นคิด ตุลเทพยิ้มเหยียด
“ฮึ ทำเป็นบอกไม่ขาย ที่แท้ก็อยากขึ้นค่าตัว”
สิ้นเสียง ก็ถูกริลณีก็ฟาดฝ่ามือที่หน้าอย่างแรง
“เก็บเงินนายไปทำบุญเถอะ เผื่อจิตใจจะได้สูงขึ้นมาบ้าง”
พูดเสร็จก็เดินเชิดหน้าออกไป ตุลเทพมองตาม พลางกำมือแน่นด้วยความโมโห ก่อนจะรีบวิ่งตามไปคว้าข้อมือไว้
“คิดว่าตบฉันแล้วจะเดินหนีไปได้ง่ายๆ งั้นเหรอ ถ้าเธอไม่ต้องการ 5 หมื่น ฉันจัดให้ฟรีก็ได้”
ตุลเทพยิ้มร้าย พลางพยายามลากริลณีกลับเข้าไปที่สระว่ายน้ำอีกครั้ง เธอพยายามดิ้นรนสุดชีวิต
“ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย”
อีกมุมหนึ่ง หงส์หยกที่ลงมาจากมอเตอร์ไซด์รับจ้างเห็นเหตุการณ์พอดี พลางจะรีบวิ่งออกไป แต่กลับสะดุดล้ม จนกระดาษใบปลิวริลณีขายตัวหล่นออกมาจากแฟ้มเอกสารเต็มไปหมด เธอรีบเก็บอย่างลนลาน แล้วรีบวิ่งออกไปทันที

ขณะที่น้าไหวและกล้า 2 รปภ. กำลังเดินตรวจตรารอบๆ ตึกเรียนของคณะบัญชี จู่ๆ ก็เห็นนักศึกษาสาวสวยคนหนึ่งถูกผลักลงมากองที่พื้น นักศึกษาที่อยู่แถวนั้นแตกฮือขึ้นมาทันที
ปริมลดาเดินถือแก้วน้ำแดงเข้ามาก่อนจะสาดหน้านักศึกษารุ่นน้องคนนั้น จนเปียกโชก
“ฉันเคยเตือนแล้วใช่มั้ย ว่าถ้าฉันรู้ว่าแกยังโทร แชท ไลน์ หรืออะไรใดๆ ที่ยุ่งเกี่ยวกับตุลเทพ แฟนฉันละก็ โดนแน่”
นักศึกษาสาวกลัวจนหน้าซีด รีบยกมือไหว้ พร้อมกับขอโทษเสียงสั่น
“ก็ถ้ายังกล้าอีก คราวหน้าคงไม่ใช่แค่น้ำแดงแน่ จำไว้นะ ถ้าผู้ชายคนไหนเป็นของฉัน พวกแกไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะมอง”
เพื่อนๆ รีบพานักศึกษาสาวคนนั้นออกไป ปริมลดามองตามอย่างสะใจ พร้อมๆ กับที่หงส์หยกวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“ลดามาอยู่นี่เอง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ขาดคำก็รีบคว้ามือปริมลดาออกไปทันที

ทางด้านตุลเทพก็ยังคงพยายามลากตัวริลณีเข้ามาในบบริเวณสระว่ายน้ำ เพราะย่ามใจที่ตัวเองเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย ที่ไม่มีใครกล้าหือ
“ปล่อยริลณีเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าเรา 2 คนไม่เตือน”
พอตุลเทพหันไปมองตามเสียง ก็เห็นเฟื่องฟ้า กับเอทีเอ็ม ที่ทำใจกล้าถือแผ่นโฟมว่ายน้ำ กับห่วงยาง ทำท่าจะเอาเรื่องเต็มที่ เขามองทั้งคู่ด้วยสายตากึ่งสมเพชนิดๆ
“โหย กลัวตายแล้วนี่ หน้าอย่างพวกแก จะทำอะไรฉันได้”
เฟื่องฟ้าเขวี้ยงห่วงยางในมือ พลางเดินเข้าไปชี้หน้าตุลเทพอย่างเอาเรื่อง
“ฉันก็ฟ้องโค้ชนายได้ก็แล้วกัน ถ้านายมีประวัติเสีย มั่นใจได้เลยว่านายไม่มีทางได้ไปคัดตัวนักว่ายน้ำทีมชาติแน่”
เอทีเอ็มรีบเสริม “ก็เลือกเอาแล้วกันนายจะเอาอนาคตมาทิ้ง เพื่อผู้หญิงคนเดียวมั้ย”
ได้ผล ตุลเทพรีบปล่อยริลณีทันที เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มรีบไปดึงตัวเพื่อนไว้ ก่อนจะรีบพากันออกไปทันที ทิ้งให้อีกฝ่ายพมองตามด้วยความเจ็บใจสุดๆ

จากนั้นทั้งริลณี เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็ม ก็มาจับเข่าปรับทุกข์กันเรื่องใบปลิวที่ทำให้ริลณีเสียหาย ทั้งคู่แนะนำให้เธอแจ้งอาจารย์ รวมทั้งเรื่องที่ถูกตุลเทพทำร้ายด้วย แต่ริลณีกลับบอกว่าไม่อยากมีปัญหากับใคร ที่สำคัญเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง เธอก็ไม่ได้เสียหาย พูดพลางมองที่นาฬิกาข้อมือ ด้วยสีหน้ากังวล
“ตายละ รินต้องรีบไปเตรียมตัวขึ้นรำแล้ว”
เอทีเอ็มรีบบอก “ไปเถอะ เดี๋ยวพวกเราช่วยจัดการเรื่องใบปลิวให้เอง แล้วจะรีบตามไปช่วยหลังเวที”
ริลณียิ้มให้อย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณเธอ 2 คนจริงๆนะ”
เฟื่องฟ้ายิ้มรับ “เรา 3 คนเป็นกำพร้าเหมือนกัน เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อน แล้วจะให้ช่วยใครล่ะ”
ริลณีโผกอดทั้งคู่ ก่อนจะ รีบวิ่งออกไป เอทีเอ็มมองเคลิ้ม อย่างมีความสุข จนเฟื่องฟ้าต้องรีบพูดเตือน
“ถ้าอยากเป็นเพื่อนกับรินนานๆ ก็เก็บอาการหน่อย ตาเยิ้มซะขนาดนั้นเห็นแล้วขนลุก”
เอทีเอ็มรีบเก็บอาการก่อนจะหันมายิ้มเขินๆ
“รินเป็นคนดีจริงๆ โดนแกล้งขนาดนี้ ยังไม่รู้จักโกรธอีก”

บริเวณหลังเวทีในห้องประชุมของมหาวิทยาลัย เห็นควันธูปลอยมาจากหิ้งบูชาเศียรพ่อแก่ ที่มีเครื่องไหว้สักการระพร้อม ชุดรำตัวพระและตัวนางถูกแขวนไว้ที่ผนังด้านหนึ่ง บนโต๊ะสำหรับแต่งตัว มีเครื่องสำอางวางเตรียมสำหรับแต่งหน้ามากมายชมพูในชุดนักศึกษาเดินวนไปวนมาในห้อง พร้อมเหลือบตามองป้ายประกาศ “งานวันก่อนตั้งมหาวิทยาลัย …..ครบรอบ 60ปี” พลันก็รู้สึกกังวลใจจนมือไม้สั่น พอเห็นริลณีเดินเข้ามาในห้อง ก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ
“ทำไมมาช้าจัง”
ริลณีรีบยื่นพวงมาลัยให้เพื่อน
“ก็มัวแต่ไปหาพวงมาลัยที่สวยที่สุด มาให้ชมพูไหว้ครูไงจ๊ะ”
ชมพูมองพวงมาลัยที่ร้อยอย่างสวยงามด้วยความดีใจ ริลณีหยิบของตัวเองออกมาอีกพวง

จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปไหว้ครูบาอาจารย์ที่หิ้งบูชา

ขณะกำลังไหว้ ริลณีเหลือบเห็นมือชมพูสั่นอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งไหว้เสร็จ ก็ยังสั่นไม่หาย

“จะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น”
ชมพูหน้าเจื่อนๆ “ก็งานใหญ่งานแรก ไม่ได้รำออกงานบ่อยๆ อย่างรินนี่”
“อย่างรินเค้าไม่ได้เรียกออกงาน เค้าเรียกรำโชว์ที่ร้านอาหาร”
“ก็นั่นแหละ รำโชว์อยู่ทุกวัน ประสบการณ์เพียบ”
พูดพลางมองมือตัวเองที่ยังไม่หยุดสั่น จนริลณีต้องรีบเดินไปที่กระเป๋าแล้วหยิบบางอย่างออกมา“อยากหายตื่นเต้นมั้ย หลับตาแล้วแบมือมา”
ชมพูทำตาม ริลณีวางบางอย่างไว้บนมือ แล้วจับมือเพื่อนให้กำสิ่งนั้นไว้ โดยที่เธอกุมมือซ้อนทับอีกที จนในที่สุดมือชมพูก็ค่อยๆ หายสั่น พอแบมือออกดู ก็เห็น “จี้นางรำ” อยู่ในมือ ริลณีรีบบอก
“จี้นางรำอันนี้คุณครูนาฎศิลป์คนแรกของรินให้มา รินจะใส่ทุกครั้งเวลาที่ตื่นเต้น ช่วยให้รินรู้สึกเหมือนว่ามีครูคอยมารำอยู่ด้วยใกล้ๆ รินให้ชมพูยืมจ้ะ”
“ขอบใจมากนะริน เฮ่อ ถ้าไม่มีริน ฉันจะทำยังไงเนี่ย”
พูดจบก็โผเข้ากอดริลณีด้วยความดีใจ ก่อนที่จะยิ้มและหัวเราะออกมา ด้วยมิตรภาพดีๆ ที่มีให้กันและกัน

ทางด้านหงส์หยกพาปริมลดามาที่บริเวณสระว่ายน้ำ แต่กลับไม่พบใครแล้ว พบเพียงกระดาษใบปลิวหล่นอยู่ ฝ่ายแรกรีบหยิบกระดาษใบปลิวขึ้นมาดู
“ปกติตุลเทพก็ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่ามขนาดนั้น สงสัยเห็นใบปลิวที่เธอทำ ก็เลยนึกว่ายายนั่น “ขาย” จริงๆ”
ปริมลดากอดอกมองอย่างเอาเรื่อง
“พูดผิดพูดใหม่ได้นะ “เรา” 2 คนช่วยกันทำต่างหาก กล้าพูดมั้ยล่ะ ว่าเธอไม่ได้หมั่นไส้ยายนั่นเรื่องที่จะได้ทุนเรียนต่อของคณะ แทนที่จะเป็นเธอ”
หงส์หยกอึกอัก “ใครๆ ก็ไม่ชอบเค้าทั้งนั้นแหละ สมควรแล้วที่เธอ เอ๊ย! พวกเราจะสั่งสอนนังนั่นมันบ้าง”
“แล้วอย่าไปพูดอะไรผิดๆ กับคนอื่นล่ะ ถ้าฉันรู้ว่าเธอเอาฉันไปเม้าท์เมื่อไหร่ ฉันไม่คบเธอแน่ ควรรู้ตัวนะ ว่าลูกเจ๊กขายหมูอย่างเธอ มาคบกับฉันได้เพราะอะไร”
หงส์หยกพึมพำเบาๆ “เพราะฉันทำรายงานให้เธอ”

“เธอว่าอะไรนะ”
หงส์หยกรีบยิ้มหวาน ก่อนจะทำหน้าซื่อ “ เพราะเธอให้โอกาสฉันเป็นเพื่อนเธอน่ะสิ”
“ถ้าทำตัวให้รำคาญเมื่อไหร่ เชิญกลับไปเดินกับพวกลูกแม่ค้าในตลาดเดียวกับเธอเถอะ”
พูดจบก็เดินเชิดหน้าออกไป หงส์หยกตะโกนถาม
“แล้วนั่นเธอจะไปไหนลดา”
“ฉันก็จะไปจัดการนังริลณีน่ะสิ”
คล้อยหลังปริมลดา หงส์หยกก็แอบเบะปาก พลางยักไหล่ บ่งบอกว่าไม่พอใจปริมลดาสุดๆ

ด้านหลังเวทีกำลังวุ่นวายกับการตระเตรียมสถานที่ กล้าที่ช่วยน้าไหวยกของ ยกฉากอยู่กับเหล่านักศึกษา รีบพูดขึ้นมาอย่างเซ็งๆ
“ทำไมน้าไม่บอกว่ามือสาดน้ำแดงเมื่อกี้เป็นดารา ฉันจะได้แอบถ่ายรูปตอนนางวีนไปขายหนังสือ”
“ไม่มีใครกล้าหรอก เค้ารู้กันทั้งนั้นว่านางแรง ถ้าใครถ่ายไปขาย ก็ตายสถานเดียว”
“งั้นแสดงว่า น้องดารานั่นก็สวยที่สุดในมหาวิทยาลัยเราน่ะสิ”
“สวย แต่ไม่ที่สุด คนที่สวยที่สุดอยู่ในโน้น”
น้าไหวพูดพร้อมกับชี้มือไปที่ห้องแต่งตัว กล้าชะเง้อมองตามอย่างอยากรู้

อีกด้านหนึ่งชมพที่แต่งเป็นตัวนาง และริลณีที่แต่งเป็นตัวพระ กำลังยืนให้เพื่อนๆ ช่วยเย็บเสื้อให้ จู่ๆ ชมพูที่ยืนเล่นโทรศัพท์ไปด้วย ก็โวยวายเสียงดังขึ้นมา
“รูปใบปลิวที่ส่งต่อกันในไลน์พวกนี้คืออะไร ยายลดากับหงส์หยกแกล้งรินอีกแล้วใช่มั้ย”
ริลณีหน้าเสีย “แล้วชมพูรู้ได้ยังไง ว่าเป็นฝีมือ 2 คนนั่น”
“โฟโต้ช็อปเน่าๆ กับสำนวนละค้อน ละครแบบนี้ จะมีใครอีกล่ะ”
ชมพูพูดอย่างโกรธแค้นแทน ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรไปเอาเรื่อง แต่ริลณีรีบห้ามไว้ พร้อมกับบอกว่าพรุ่งนี้คนก็ลืมแล้ว จังหวะนั้น อาจารย์นาฎ ก็เดินเข้ามาในห้องพอดี
“อะไรกันป่านนี้ยังแต่งตัวกันไม่เสร็จ มัวแต่เม้าท์ๆ กันอยู่นั่นแหละ เอ้า! แล้วนี่ ชฎากับกับมงกุฎอยู่ไหน ทำไมยังไม่มีใครยกมาอีก โอ๊ย! รำกันมากี่ครั้งแล้วทำไมต้องให้เตือนอีก”
พอพูดจบก็หันไปเห็นเฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มเดินเข้ามา จึงรีบไหว้วานทั้งคู่ให้ไปเอาชฎากับมงกุฎที่ห้องชมรมนาฎศิลป์มาให้ ทั้งคู่กลับทำท่าหวาดกลัว ไม่อยากไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ออก

ประตูห้องนาฎศิลป์ค่อยๆ เปิดออก เอทีเอ็มกับเฟื่องฟ้าชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง เห็นบรรยากาศวังเวง ชวนขนลุก ทั้งคู่หันมามองหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับไปมองด้านหลัง เห็นหน้าผียื่นเข้ามาจากด้านหลัง ทั้งคู่ตะโกนลั่นด้วยความตกใจกลัว
น้าไหวที่เดินตามตบหัวกล้าที่เป็นต้นเหตุทำให้ 2 คนนั้นกลัว
“บอกแล้วว่าอย่าโผล่มาเงียบๆ เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะตกใจ หน้าตาแกเหมือนคนซะเมื่อไหร่”
เอทีเอ็มถอนหายใจโล่งอก “ใจหายหมด ยิ่งคนเค้าลือกันว่าห้องชมรมนาฎศิลป์มีผีอยู่ด้วย”
“ห้องนาฎศิลป์ มันจะมีผีอะไร้ ฮ่าๆ”
สิ้นเสียงหัวเราะอย่างมั่นใจของกล้า เสียงเพลงไทยเดิมก็ดังโหยหวนขึ้นมาทันที น้าไหวรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่มีเสียงเรียกเข้าเป็นเสียงเพลงไทยเดิมขึ้นมากดรับ แล้วก็วางสายไป พร้อมๆ กับที่เฟื่องฟ้าและ เอทีเอ็มเหล่มองกล้าที่กอดคอน้าไหวอยู่ ด้วยแววตาเหยียดๆ
“เมื่อกี้อย่างมั่นเลยนะพี่”
กล้ายังวางฟอร์ม “ก็ไม่ได้กลัวแค่ตกใจ ยามรุ่นใหม่เค้าไม่กลัวผีกันแล้ว”
“งั้นแสดงว่าแกยังไม่เคยได้ยิน เรื่องผีที่อยู่ในห้องนาฎศิลป์น่ะสิ”
น้าไหวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

ก่อนจะเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อประมาณ 55 ปีที่ผ่านมา

ตอนนั้นนางรำ 2 คนในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับริลณีและชมพู กำลังช่วยกันแต่งหน้า แต่งตัวอยู่ที่หน้ากระจก ด้วยท่าทีที่สนิทสนม

“เมื่อหลายสิบปีก่อน มีนางรำ 2 คนเป็นเพื่อนรักกันมาก ทั้ง 2 คนจะรำคู่กันเสมอ ไม่ว่างานไหนๆ ผู้คนก็จะหลั่งไหลมาดูทั้งคู่ ว่ากันว่า 2 คนรำสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์ แต่โชคร้าย วันหนึ่ง..ในขณะที่ทั้งคู่รำในงานใหญ่ของมหาวิทยาลัย สะพานไฟที่อยู่บนเวทีเกิดร่วงลงมา ทับร่าง 1 ใน 2 นางรำตายคาที่ ร่างงี้ขาดเป็น 2 ท่อน ศพสยองมากๆ”
ไหวเล่าจนเห็นเป็นภาพนางรำตัวพระถูกสะพานไฟหล่นทับตายอย่างสยดสยอง นางรำอีกคนถึงกับเป็นลมล้มพับอยู่กลางเวที ท่ามกลางเสียงกรีดร้องตกใจของคนดู ผุดขึ้นมาทันที
“เค้าว่ากันว่า หญิงสาวที่ตายขณะร่ายรำ ยังไม่ยอมไปไหน ยังคงร่ายรำอยู่บนเวที หรือไม่ก็ยังวนเวียนอยู่ในห้องนาฎศิลป์ ใกล้ๆ กับสิ่งที่เธอสวมในขณะที่ตาย”
น้าไหวเล่าเหตุการร์ตอนตัวเองอยู่ในวัยหนุ่ม ที่เปิดเข้าไปในห้องนาฎศิลป์ แล้วเห็นนางรำในชุดนักศึกษา กำลังนั่งทำความสะอาดดอกไม้ทัดและอุบะที่อยู่บนชฎาอย่างหวงแหน แต่ครั้นนางรำคนนั้นค่อยๆ หันมา เขาก๋ถึงกับช็อกตาค้าง เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีท่อนล่าง
“แล้วสิ่งที่นางรำคนนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมไปไหน คืออะไรเหรอน้า”
เอทีเอ็มถามโพล่งขึ้นมา น้าไหวยิ้มเย็นๆ ก่อนจะทำหน้าสยองๆ
“ชฎาไง คงเพราะเธอรัก ภูมิใจในความเป็นนางรำของเธอมาก ก็เลยหวงแหนชฎาของเธอเหลือเกิน”
ทั้งเอทีเอ็ม เฟื่องฟ้า กล้า หันมองหน้ากัน แล้วก็กลืนน้ำลายเอื้อก
“หลังจากที่นางรำคนนั้นตาย ชฎาที่เธอสวมใส่ในขณะที่เธอตายวันนั้น ก็ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ ในห้องนี้”
น้าไหวพูดพลางหันไปมองชฎาและมงกุฎ 2 ยอดที่วางอยู่คู่กันในตู้ในห้องนาฎศิลป์
“แล้วชฎายอดไหนละน้า มีตั้ง 2 ยอด”
น้าไหวเอามือตบหัวกล้าเบาๆ พร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะสั่งสอน
“ชฎาน่ะมียอดเดียว ส่วนข้างๆ น่ะเค้าเรียกมงกุฎ ชฎาน่ะสำหรับตัวพระ ส่วนมงกุฎน่ะสำหรับตัวนาง”
“งั้น อันที่นางรำคนนั้นสวมตอนตายก็คือ ....”
น้าไหวชี้ไปที่ชฎาโบราญ ที่ดูสวย และขลัง กล้าถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก ขณะที่เฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็ม ขยับเข้าใกล้กันด้วยความสยอง

ชฎายอดเดิมถูกนำมาตั้งไว้บนโต๊ะ อาจารย์ นาฎทำความสะอาดอย่างทะนุถนอม โดยมีริลณี และชมพูที่เพิ่งแต่งหน้าเสร็จ พร้อมด้วยเฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มยืนล้อมวงอยู่ใกล้ๆ
“นางรำคนนั้นเป็นรุ่นพี่ของครูเอง เรารำคู่กันตั้งแต่ครูเข้าปีหนึ่ง เค้าเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจมากๆ เค้าเคยบอกครูว่า ถ้าเรียนจบจะมาเป็นครูสอนนาฎศิลป์ที่นี่ แต่น่าเสียดาย ที่มาเกิดเรื่องซะก่อน”
อาจารย์นาฎ เล่าพร้อมกับจัดอุบะและดอกไม้ทัดที่ดูเก่ามากบนชฎา พอเฟื่องฟ้าถามว่าแล้วทำไมถึงยังเก็บไว้อยู่ ผู้สูงวัยก็ยิ้มเศร้า
“ชฎานี้เป็นของโบราณ คุณค่าและมูลค่าประเมินไม่ได้ จะให้ทิ้งไปเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ร่ำลือกันงั้นเหรอ ไร้สาระ”
พูดจบก็เดินนำเฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มออกจากห้องไป เหลือริลณีกับชมพูยืนจ้องชฏาอยู่กันตามลำพัง
“รินกลัวมั้ย”
ชมพูหันมาถาม สีหน้าหวาดหวั่น ริลณีส่ายหน้า “ไม่อ่ะ”
“อยู่ชมรมนาฎศิลป์ตั้งนาน เคยเห็นแต่ชฎา แต่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย ดีนะที่รำตัวนางไม่ต้องใส่ชฎายอดนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็สยอง”
ริลณีเห็นชมพูทำท่าสยองก็รีบปราม “อย่าทำเล่นอย่างนี้สิ ไม่ดีนะ”
ชมพูหัวเราะชอบใจ ริลณีจำต้องหัวเราะตามอย่างฝืนๆ ทั้งคู่ไม่ได้สังเกตว่า ควันธูปที่จุดอยู่บนหิ้งบูชา ลอยเป็นวงกลมรอบๆ ชฎา เหมือนเป็นสัญญาณบ่งถึงความไม่พอใจ
ชมพูรีบเปลี่ยนเรื่อง หันมาถามว่าเลิกงานแล้วริลณีรีบไปไหนหรือเปล่า เพราะเธอมีคนอยากจะแนะนำให้รู้จัก
“ก็คงต้องรีบไปรำที่ร้านอาหารเหมือนเดิมน่ะแหละ”
“น่าเสียดาย แต่ไม่เป็นไรไว้วันหลังก็ได้ เพราะเอาเข้าจริง ฉันก็ไม่รู้ว่าเค้าจะมารึเปล่า”
ชมพูแอบกังวลใจถึงใครบางคนที่อยากให้มาดูรำวันนี้เหลือเกิน

บนถนนสายหลักในมหาวิทยาลัยตอนนี้ รถสปอร์ตหรู 2 คันแล่นกันมาคนละทาง คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง ในขณะที่อีกคัน ขับย้อนศรสวนทางมา รถ 2 คันขับมาเจอกันที่ทางแยก แล้วเบรกเอี๊ยดเสียงดังสนั่น กันชนของรถทั้งคู่ ห่างกันเพียงนิดเดียวเท่านั้น

ในรถคันที่ขับย้อนศรมานั้น เอกราชที่ใส่แว่นดำเท่ ท่าทางรวยจัด ใช้ของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจดเท้าเป็นคนขับ ขณะที่ประวิทย์ ที่ดูท่าทางสุขุม ฉลาดนั่งข้างๆ เชิงชาย หนุ่มร่างเล็ก แต่งตัวสไตล์เซอร์ๆ มีหูฟัง เสียบกับโทรศัพท์ฟังเพลงอยู่ตลอดเวลานั่งเบาะหลัง
เอกราชเปิดประตูจะลงไปเอาเรื่อง เชิงชายรีบเอาหูฟังออก พร้อมกับพูดห้าม
“ใจเย็นเพื่อน พวกเราเป็นฝ่ายผิดนะ”
“คนอย่างเอกราชไม่เคยผิด”
ขาดคำก็ลงจากรถ ประวิทย์รีบลงตามไปทันที เชิงชายส่ายหน้าเซ็งๆ แล้วรีบตามลงไปอีกคน

เอกราชเดินกร่างอย่างวางท่า เข้ามาเคาะกระจกรถคู่กรณี
“เฮ้ย ! ลงมาพูดให้รู้เรื่อง นายรู้มั้ยว่านายเกือบจะขับรถชนรถใคร”
เตชินเปิดประตูเดินลงมาจากรถ พูดอย่างไม่พอใจ
“ขอโทษนะครับ ผมว่ารถคุณเป็นคนขับสวนเลนนะครับ”
ชัชที่มาพร้อมกัน รีบสะกิด

“เฮ้ย ไอ้เต พูดอะไรระวังหน่อย โน่น”

อ่านต่อหน้า 2

นางชฎา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เตชินมองไป เห็นประวิทย์ และเชิงชาย ยืนพิงรถคุมเชิงอยู่ เอกราชมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจดเท้า

“นายมาจากมหาวิทยาลัยอื่น คงไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร”
เตชินอยากให้จบเรื่อง รีบพูดขอโทษ แล้วทำท่าจะเดินกลับขึ้นรถ แต่เอกราชกลับเดินเข้าไปขวางไว้
“แค่พูดขอโทษอย่างเดียวมันยังไม่พอ นายต้องก้มกราบด้วย”
เตชินจ้องหน้าเอกราชกลับอย่างไม่นึกกลัว
“ผมไม่คิดว่าจำเป็นต้องทำแบบนั้นนะครับ”
เอกราชไม่ยอมแพ้เดินเข้าไปจะเอาเรื่อง เตชินตั้งท่าพร้อมสู้ ประวิทย์ที่ยืนดูอยู่ เห็นรถตำรวจสายตรวจแล่นเข้ามาเช็คจุดเฝ้าระวังในมหาวิทยาลัย ก็รีบเดินเข้ามากระซิบบอก เอกราชยักไหล่
“คิดว่ากลัวไอ้พวกนั้นงั้นเหรอ”
“แต่พ่อของนายคงไม่พอใจ เพราะคราวที่แล้วนายเพิ่งมีเรื่องกับตำรวจไปไม่ใช่เหรอ”
เอกราชมองหน้าเตชินด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะจำต้องถอยกลับไปขึ้นรถ ตามด้วยประวิทย์ และเชิงชาย ส่วนเตชินก็เดินกลับขึ้นรถตัวเอง พร้อมๆ กับชัช

ขณะเดินไปตามทางเดินมหาวิทยาลัย สาวๆ ในบริเวณนั้นต่างก็หันมามองตาม แต่เตชินไม่ได้สนใจ ผิดกับชัชที่เป็นฝ่ายโปรยยิ้มให้สาวๆ แทน ก่อนจะพูดเย้าว่าสาวๆ ที่นี่หน้าตาแจ่มๆ จนทำให้เตชินถึงกับยอมสละเวลาอันมีค่าเพื่อมาดูรำโชว์
เตชินทำหน้าเซ็ง “นายก็รู้ว่าฉันไม่อยากมา”
ชัชรีบพูดแทรก
“แต่เลี่ยงไม่ได้ แม่บังคับ กลัวเค้าเสียใจ ถามจริงเถอะวะไอ้เต นายไม่ชอบเค้าสักนิดเลยรึไง น้องชมพูอะไรเนี่ย”
“ฉันรู้จักน้องเค้ามาตั้งแต่เด็ก รู้สึกเค้าเป็นน้องสาวมากกว่า”
“แต่ดูท่าทาง น้องเค้าจะไม่คิดกับนายแบบนั้นนะ”
ยิ่งชัชทำหน้าล้อ เตชินก็ยิ่งเครียด เพราะรู้สึกผิด
“เอาน่าๆ ถ้าไม่ได้มาเพราะชอบน้องเค้า ก็ถือว่ามาเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ไม่แน่นะ บางทีวันนี้ นายอาจจะได้พบนางในฝันก็ได้”
พูดจบ ชัชก็หัวเราะขำ แต่เตชินกลับไม่ได้คิดตามที่เพื่อนพูดสักนิด

อีกด้านหนึ่ง ริลณีที่แต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อย เพียงแต่ยังไม่แต่งชุดรำยืนอยู่ตรงหน้าชฎาอย่างพิจารณา ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือจะดึงอุบะดอกไม้ทัดอันเก่าออก แต่ยังไม่ทันดึง ชมพูก็รีบวิ่งมาห้ามไว้
“จะทำอะไรน่ะริน”
“อ๋อ รินก็จะเอาอุบะดอกไม้ทัดอันใหม่มาเปลี่ยนไง รินเห็นมาตั้งนานแล้วหละว่า อันเดิมมันเก่ามากแล้ว ดูสิกลีบดอกไม้หายไปตั้งหลายกลีบ”
“แต่เราไม่รู้ว่าเจ้าของอุบะ ดอกไม้ทัดเดิมเป็นใคร เกิดเป็นของคนที่ตายล่ะ”
ริลณีส่ายหน้า
“ไม่หรอกมั้ง เรื่องตั้งนานแล้วเค้าไม่เก็บไว้หรอก รินว่าเปลี่ยนมาหลายรุ่นแล้วหละ รินเชื่อนะว่ารินเอาของใหม่มาเปลี่ยนทำให้ชฎาสวยขึ้น ดูดีขึ้น เค้าคงไม่โกรธหรอก”
พูดจบก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะแกะอุบะกับดอกไม้ทัดอันเก่าออก ขณะกำลังแกะเหมือนมีกลุ่มพลังงานบางอย่างวนเวียนอยู่รอบอุบะและดอกไม้ทัดอันเก่านั้น ราวกับหวงแหน
เธอแกะของเก่าวางไว้บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง แล้วติดของใหม่ที่เตรียมมาเรียบร้อย
“แล้วของเก่า รินจะเอาไปทำอะไร”
“รินก็คง...”
ริลณียังพูดไม่ทันจบ ก็ต้องชะงักตกใจ ชมพูหันตามสายตาไป ก็เห็นปริมลดายืนเท้าสะเอว หน้าตาท่าทางเตรียมเอาเรื่องเต็มที่
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าแฟนฉันแกห้ามแตะ”
ขาดคำปริมลดาก็เงื้อมือจะตบ แต่ริลณีหลบได้อย่างหวุดหวิด ชมพูรีบวิ่งเข้าไปขวางไว้
“รินเค้าจะไปยุ่งกับแฟนเธอทำไม”
“ก็ถามมันดูสิ ว่าเมื่อเช้ามันไปทำอะไรกับแฟนฉันที่สระว่ายน้ำ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ”
ริลณีหน้าเสีย เพราะไม่คิดว่าปริมลดาจะรู้ ชมพูรีบพูดช่วยเพื่อน
“เธอน่าจะไปถามตุลเทพมากกว่านะ เพราะคนเค้าก็รู้กันทั้งมหาวิทยาลัย ว่าแฟนเธอตามตื๊อรินมากขนาดไหน”
ปริมลดายิ้มเยาะ “ก็ถ้ามันไม่ชอบอ่อย ตุลเทพก็ไม่ยุ่งกับมัน”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนะคะ”
“ฉันไม่เชื่อ อีพวกหน้าซื่อ ร้ายทั้งนั้นแหละ ต้องตบสั่งสอนให้ยางอายมันออกมาซะบ้าง”
พูดจบก็พุ่งเข้าไปตบริลณีอย่างแรง ชมพูรีบเข้าไปขวางไว้
“ถึงเธอจะเป็นเพื่อนมานาน แต่ฉันก็ไม่ยอมให้เธอมาระรานคนในชมรมของฉันเด็ดขาด”
“ถ้าฉันอยากจะตบใคร ก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเธอหรอกมั้ง ชมพู”
ปริมลดาเดินเข้าไปผลักชมพูที่ขวางทางจนกระเด็นไป ก่อนเงื้อมือตบริลณีซ้ำอีกครั้ง กล้ากับน้าไหวที่ช่วยกันจัดฉากอยู่เห็นเหตุการณ์ก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นไปบอก อาจารย์นาฎทันที
อาจารย์นาฎ รีบวิ่งนำเอทีเอ็ม เฟื่องฟ้าออกไป หงส์หยกที่แอบฟังอยู่ แอบยิ้มอย่างมีความสุข

ชมพูพยายามขวางไม่ให้ปริมลดาทำร้ายริลณี แต่ตัวเองกลับโดนผลักไปชนโต๊ะ จนอุบะดอกไม้ทัดอันเก่าร่วงตกลงพื้น ขณะะที่เท้าของชมพูกำลังจะเหยียบ พลันก็เหมือนมีเงาของใครบางคนเข้ามาผลักอย่างแรงไม่ให้เธอเหยียบอุบะดอกไม้ทัดอันนั้น
ปริมลดาเดินเข้าไปจะตบริลณีซ้ำ จังหวะนั้น อาจารย์นาฎ ก็วิ่งหน้าตาตื่นนำเอทีเอ็มกับเฟื่องฟ้าเข้ามาในห้อง พร้อมกับตวาดเสียงดังให้ปริมลดาหยุด
เอทีเอ็มกับเฟื่องฟ้า รีบเข้าไปดูริลณี ที่เจ็บและกลัวจนตัวสั่น ขณะที่อาจารย์นาฎหันไปเอาเรื่องปริมลดา “นี่มันมหาวิทยาลัยนะ ไม่ใช่ตลาด ถึงได้จะมาทำอะไรไร้สติแบบนี้”
“ก็เด็กของอาจารย์อยากมายุ่งกับแฟนของหนูทำไมคะ”
“ฉันจะรายงานพฤติกรรมของเธอให้ท่านอธิการทราบ”
ปริมลดายักไหล่อย่างไม่แคร์
“เสียเวลาเปล่าๆ คุณพ่อของหนูกับคุณอาอธิการสนิทกันมาก ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอก”
อาจารย์นาฎโกรธจนตัวสั่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงรีบเข้าไปดูริลณี
“รินไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ อาจารย์รีบไปดูชมพูเถอะค่ะ”
ทุกคนรีบหันไปมองชมพู ที่กำลังนั่งจับแขนตัวเองด้วยความเจ็บปวด

เพราะโดนเงาดำผลักไปกระแทกกับขอบโต๊ะอย่างจัง

อาจารย์นาฎพาชมพูมาหาหมอที่ห้องพยาบาล หมอดูอาการแล้วก็รีบบอกว่าต้องตรึงแขนเพื่อไม่ให้แขนเคลื่อนไหวอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์

ชมพูตกใจ เพราะนั่นเท่ากับว่าเธอจะไม่ได้รำในงานเปิดงานครบรอบวันก่อตั้งมหาวิทยาลัย ขณะที่ อาจารย์นาฎหน้าเครียด เพราะไม่รู้จะหาใครมารำแทน

หงส์หยกล้อมวงเม้าท์กับเพื่อนๆ ในชมรมนาฎศิลป์อย่างสนุกปาก ทำนองว่าริลณีจงใจผลักชมพูเพราะอยากเด่นคนเดียว
ริลณี เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็มเดินเข้ามาได้ยินพอดี เฟื่องฟ้าปราดเข้าไปจะเอาเรื่อง แต่ริลณีรีบห้ามไว้
หงส์หยกยิ้มเยาะ “รู้ไว้ด้วยนะ เพราะเธอทำให้เกิดเรื่อง”
“ไม่ต้องโทษใครทั้งนั้นแหละ”
ทุกคนหันไปมองตามเสียง ก็เห็น อาจารย์นาฎเดินนำชมพู ที่แขนพันผ้ามีสายคล้องคอไว้ หงส์หยกรีบเข้าไปทำท่าเหมือนห่วงใย แต่แววตาแอบดีใจ
“ตายแล้วชมพู พันแผลมาซะขนาดนี้ คงรำไม่ได้แล้วใช่มั้ย แล้วจะทำยังไงละคะอาจารย์ ต้องรำคู่เปิดงานซะด้วย อาจารย์คงไม่เปลี่ยนให้ริลณีรำเดี่ยวหรอกนะคะ จริงๆ ชมรมเราไม่ได้มีแค่ชมพูรำเก่งอยู่คนเดียว ถ้าอาจารย์จะเห็นนะคะ”
เฟื่องฟ้ามองอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะรีบกระซิบกับริลณี
“นั่นไง นางเริ่มชงเข้าเรื่องล่ะ”
อาจารย์นาฎหันมาถาม “แล้วยังมีใครที่รำเก่ง พอที่จะรำคู่กับริลณีได้อีกล่ะ”
เฟื่องฟ้ายิ้มกริ่ม
“ก็ไม่รู้สิคะ อย่างหนูเนี่ย ปีที่แล้ว อาจารย์ก็ให้รำโชว์ตั้งหลายงาน แล้วไอ้ที่จะรำวันนี้ หนูก็รำได้ รำได้ดีซะด้วย”

หงส์หยกในชุดนางรำยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกด้วยความพอใจและภูมิใจสุดๆ ก่อนจะหันมาพูดทำนองเย้ยหยันริลณีว่าเป็นแค่นางโชว์ในห้องอาหาร ระวังจะดับคาเวที จากนั้นก็สะบัดหน้าเชิดออกไปแต่งหน้า ทำผมต่อ
ชมพูรีบเข้ามาพูดปลอบเพื่อน
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถ้ายายหงส์หยกเก่งได้ครึ่งนึงของที่โม้ อาจารย์คงเลือกให้รำกับรินตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”
ขณะที่ริลณีก้มหาอะไรบางอย่าง หน้าตาดูกังวล
“อุบะดอกไม้ทัดที่ติดกับชฎาอันก่อน รินวางบนโต๊ะไม่รู้หายไปไหน”
“คงหล่นตอนที่มีเรื่องกันนะแหละ ไม่เป็นไร ช่วยกันหาเดี๋ยวก็เจอ”
ทั้งริลณี ชมพู และ เฟื่องฟ้า ช่วยกันก้มหา โดยไม่รู้เลยว่าหงส์หยกแอบก้มเก็บ แล้วเอาไปซ่อนปนๆ กับของในกล่องเครื่องสำอาง ก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ครู่หนึ่งเอทีเอ็มก็เดินมาตามให้ไปเตรียมตัวข้างเวที หงส์หยกแอบยิ้มหยัน ที่ริลณียังหาไม่เจอ ก่อนจะเดินเชิดหน้าออกไปก่อน
ริลณีจำต้องเดินตามออกไปทันที ทั้งที่สีหน้ายังกังวล

ที่ด้านหน้าเวที เตชินที่นั่งอยู่กับชัชพลิกดูนาฬิกาข้อมือด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ที่ได้เวลาแล้วแต่ยังไม่เริ่มแสดง
ชัชยิ้มขำ“จะรีบไปไหน แค่รอดูว่าที่คู่หมั้นสัก 10 -20 นาที มันไม่เสียเวลาหรอก”
แต่เตชินไม่ขำด้วย
“อย่าเรียกแบบนั้นได้มั้ย ใครได้ยินมันจะไม่ดี แล้วที่ฉันรีบเพราะต้องไปพรีเซ้นต์งานกับอาจารย์”
“อาจารย์เค้าเลื่อนของคนอื่นมาแทนแล้ว”
“เหรอ แล้วอาจารย์เค้าเลื่อนของใครมาแทน”
ชัชทำหน้าแหยๆ แล้วเอามือชี้หน้าตัวเองจ๋อยๆ “ฉะ ฉะ ฉันไง”
“แล้วทำไงเนี่ย ถ้าไปพรีเซ้นต์ไม่ทันอาจารย์จะปรับตก ไม่ให้จบปีนี้ นายรู้ใช่มั้ย”
เตชินพูดพลางเสนอตัวจะขับรถกลับไปส่งที่มหาวิทยาลัย แต่ชัชกลับบอกว่าจะใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่ก็ไม่วายพูดล้อให้อีกฝ่ายถ่ายรูปมาอวดด้วย เพราะอยากรู้ว่าว่าที่คู่หมั้นของเขาหน้าตาแย่แค่ไหน เขาถึงไม่สนใจ

อาจารย์นาฎที่ยืนดูความเรียบร้อยอยู่ด้านหลังเวที หันมาเห็นอุบะดอกไม้ทัดที่ชฎาที่ริลณีใส่อยู่ก็ตกใจ
“นี่เธอเปลี่ยนอุบะกับดอกไม้ทัดเหรอ”
ริลณีหน้าเสีย “ค่ะ อาจารย์ ทำไมเหรอคะ”

ภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมาในความนึกคิดของ อาจารย์นาฏอีกครั้ง

ในตอนนั้น นางรำรุ่นพี่ในชุดรำมองอุบะและดอกไม้ทัดในมือ ด้วยความเศร้าใจจนน้ำตาไหลพราก

“อุบะกับดอกไม้ทัดอันนี้ แฟนของพี่เค้าตั้งใจทำให้พี่เองกับมือ เพื่อจะให้พี่ใส่ขึ้นรำ แต่น่าเสียดายที่เค้าไม่มีโอกาสอยู่ดู เพราะเค้า ...”
อาจารย์นาฎในวัยสาวรีบพูดปลอบ
“แฟนพี่เค้าไปสบายแล้ว อย่าร้องไห้เลยนะคะ เชื่อนาฎนะคะ”
“จ๊ะนาฎ พี่จะไม่ร้อง พี่ต้องตั้งใจรำให้ดีที่สุด เพราะพี่มั่นใจว่าวันนี้แฟนของพี่คงจะมาดูด้วย พี่จะติดอุบะดอกไม้ทัดของเค้าไว้ที่ชฎา ให้เค้ารู้ว่าไม่ว่าพี่จะรำที่ไหน เค้าจะอยู่กับพี่เสมอ เราสองคนจะไม่พรากจากกัน”

จากนั้นก็นึกถึงภาพนางรำรุ่นพี่ที่ถูกสะพานไฟทับ ค่อยๆ เอื้อมมือที่เต็มไปด้วยเลือดจะมาจับ อุบะและดอกไม้ทัดบนชฎา แต่ยังไม่ทันจับถึง ก็ตาค้างแข็งขาดใจตายเสียก่อน ทั้งที่ยังมีห่วงอยู่
อาจารย์นาฎที่เห็นเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดกรีดร้องด้วยความตกใจ
“อาจารย์คะ อาจารย์คะ”
เสียงเรียกของริลณี ดึงให้หญิงสูงวัยหลุดจากภวังค์
“มีอะไรรึเปล่าคะอาจารย์”
“ไม่มีอะไรหรอก แต่เธอยังไม่ได้ทิ้งอุบะดอกไม้ทัดอันเดิมไปใช่มั้ย”
“ค่ะ รินยังไม่ได้ทิ้ง แต่...”
อาจารย์นาฎรีบพูดแทรก “เอากลับไปคืนที่เดิมซะนะ จำอาไว้ว่าของบางอย่างเจ้าของเค้าหวง รำให้ดีทั้งคู่ล่ะ”
พูดจบก็เดินออกไป ริลณีหน้าเสีย หงส์หยกแอบมองอย่างสะใจ

เสียงเพลงดังขึ้น ริลณีและหงส์หยกที่เตรียมตัวพร้อม ซอยเท้าออกไปจากข้างเวที
เอทีเอ็มที่ก้มหน้ามองคิวต่อไป เห็นเท้าหงส์หยกซอยออกไปก่อน ตามด้วยริลณีที่ซอยออกไป พร้อมๆ กับเท้าของใครอีกคน ที่ใส่กำไลเท้าซอยตามหลังออกไปติดๆ เขาถึงกับสะดุ้งโหยง ร้องเสียงดังอย่างตกใจ จนเฟื่องฟ้าสงสัย
เขารีบเงยหน้ามองไปที่เวที เห็นริลณีรำอยู่กับหงส์หยก ก็รีบขยี้ตา
“ปละ เปล่า สงสัยจะตาฝาด”
“ตาฝาดอะไร แกเห็นอะไรบอกมานะ”
เฟื่องฟ้ารีบลากเอทีเอ็มออกไปถามด้วยความอยากรู้ ชมพูหันไปมอง 2 คนซุบซิบๆ กันแล้วส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะแอบโผล่หน้ามองออกไปที่คนดู เพื่อมองหาใครบางคน ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“พี่เตชิน”

เตชินเงยหน้ามองขึ้นไปบนเวที แล้วก็ถึงกับตกตะลึง เมื่อเห็นริลณีในชุดรำไทยที่สวยแบบไม่มีที่ติ กำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อย งดงาม จนกลบหงส์หยกที่รำคู่กันเสียสนิท
เขาตกตะลึงจนตาค้าง
“มีจริงๆเหรอเนี่ย?”

หลังรำเสร็จ มีแต่คนรุมขอถ่ายรูปริลณีในชุดนางรำ โดยเฉพาะหนุ่มๆ หงส์หยกที่ไม่มีใครมาขอถ่ายรูปด้วยเลย ยืนมองด้วยความอิจฉา ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไป
ปริมลดา เอกราช เชิงชาย และ ประวิทย์ ยืนแอบดูริลณีอยู่มุมหนึ่ง
“เนี่ยน่ะนะ คนที่อยากให้ฉันจีบ”
เอกราชถามขึ้นมาเบาๆ เชิงชายรีบบอก
“อ๋อ รู้จักๆ ชื่อริลณี เค้าอยู่คณะเดียวกับพวกเรา”
“ไม่ยักกะเคยสังเกตเห็น”
เชิงชายพูดล้อๆ “ต้องสวยระดับดาราใช่มั้ยล่ะ ถึงจะชอบ”
เอกราชยิ้มชอบใจ ก่อนจะมองปริมลดา พลางไล้นิ้วตามแขนอย่างสนิทสนมเกินเพื่อน ประวิทย์รีบพูดต่อ
“ถึงริลณีจะเป็นคนเงียบๆ เรียบๆ แต่ผู้ชายก็จีบกันทั้งมหาวิทยาลัย และที่สำคัญขนาดหล่อ รวย เป็นนักกีฬามีชื่อเสียงอย่างตุลเทพก็ยังจีบไม่ติดด้วย”
พูดจบก็เหลือบมองปริมลดาอย่างรู้ทัน
“มันพยายามทำตัวดีดดิ้น ทำตัวให้ตุลเทพสนใจมากกว่า”
“ผู้หญิงคนไหน ก็ไม่ใช่ปัญหาของฉัน ลองถ้าคนอย่างเอกราชอยากจีบ รับรองว่าติดตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว”
เอกราชหันไปยักคิ้วกับปริมลดาอย่างมั่นใจ
“แล้วถ้าฉันจีบยายเด็กกำพร้านั่นติด เธอจะให้ทำอะไร”
ปริมลดาตาวาวด้วยความเคียดแค้น

“ทำให้มันคาวซะ ตุลเทพจะได้เลิกสนใจมันสักที”

เตชินยืนรออยู่ที่ข้างตึก ด้วยท่าทางเขินๆ ปนอึดอัดๆ พักหนึ่งชมพูก็เดินยิ้มเข้ามา พร้อมกับโชว์แขนที่ใส่เฝือกให้ดู ก่อนจะออกตัวขอโทษที่ทำให้เขามาเก้อ

“ไม่ต้องขอโทษกันแล้วครับ สำหรับพี่มาวันนี้ถือว่าคุ้ม”
ชมพูทำหน้างง “ทำไมเหรอคะ”
เตชินคิดไปถึงภาพริลณีที่รำอยู่บนเวที แล้วตอบยิ้มๆ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ งั้นพี่กลับก่อนนะครับ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป ชมพูมองตามตาเศร้า รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยจะมีความหวังกับผู้ชายคนนี้เอาเสียเลย

อีกด้านหนึ่งริลณีเก็บชุดรำเข้าที่ พร้อมทั้งนำชฎาและมงกุฎกลับขึ้นหิ้งแล้วก้มกราบด้วยความเคารพ ก่อนจะโผเข้ากอด อาจารย์นาฎ ที่เดินยิ้มเข้ามา
“วันนี้เธอรำได้ดีมาก ครูภูมิใจในตัวเธอจริงๆ”
“ขอบคุณนะคะอาจารย์ ที่ให้โอกาสดีๆ กับรินมาโดยตลอด ที่รินยังได้เรียน มีเงินจ่ายค่าเทอมจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะคำแนะนำของอาจารย์ทั้งนั้น”
“ก็ครูบอกแล้วไง ว่าการรำนอกจากจะทำให้เราภูมิใจเวลาที่เราขึ้นแสดงแล้ว ยังทำให้เราทำมาหาเลี้ยงชีพได้อีกด้วย”
“ค่ะ รินจะตั้งใจ ฝึกฝนให้หนักกว่าเดิมอีก รินจะได้กลับมาช่วยอาจารย์สอนน้องๆ รุ่นต่อไป พวกเค้าจะได้มีโอกาสดีๆ แบบรินบ้าง”
อาจารย์นาฎลูบหัวริลณีด้วยความสงสารและเอ็นดู
“ครูมั่นใจนะริลณี ว่ามันจะมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเธออีก”
ริลณียิ้มเศร้า
“เด็กกำพร้าอย่างหนู แค่ชีวิตมันไม่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่หนูก็พอใจแล้วค่ะ อุ๊ย ได้เวลาต้องไปรำที่ร้านแล้ว”
เธอรีบไหว้ลา แล้ววิ่งออกจากห้องไป โดยไม่รู้ตัวว่ามีเงาของผู้หญิงเดินตามออกไปด้วย

ริลณีเดินไปตามถนนเปลี่ยวด้านหลังมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นถนนดินลูกรังกว้างแค่รถสวนกัน 2 ข้างทางเป็นทุ่งนาเปลี่ยว มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟที่อยู่ห่างๆ จนเธอเริ่มรู้สึกกลัว
ขณะเดินผ่านเสาไฟ เห็นเงาที่ทอดยาว เป็นเงาของริลณี และเงาของผู้หญิงอีกคนในชุดนักศึกษาโบราณเดินตามมาติดๆ
ริลณีเหลียวหน้ามองหลังด้วยความหวาดหวั่น แต่เมื่อไม่เห็นใคร ก็ถอนหายใจโล่งอก แต่เมื่อหันกลับมาด้านหน้า ก็เห็นขี้ยา 2 คน ยืนขวางหน้าไว้ พอจะหันหลังกลับ ก็เจออีกคนมาขวางเอาไว้เหมือนกัน พวกมัน มองเธอด้วยแววตาหื่น
เธอหวาดกลัวจนตัวสั่น พยายามหาทางจะวิ่งหนี แต่กลับถูกกลุ่มขี้ยาจับไว้ พร้อมกับพยายามจะลากลงพงหญ้าข้างทาง เธอดิ้นรนขัดขืน พร้อมๆ กับร้องตะโกนให้คนช่วย
จังหวะนั้นเตชินก็ขับรถผ่านมาพอดี แสงไฟจากหน้ารถ กระทบให้เห็นกลุ่มขี้ยากำลังฉุดกระชากริลณีเข้าพงหญ้า

ขณะที่ริลณีพยายามดิ้นรนขัดขืน จนหนึ่งในขี้ยาโมโห ชักมีดพกคมกริบออกมา เงื้อแขนเหมือนจะแทง แต่ช้ากว่าเตชินที่คว้าข้อมือของมันไว้ได้ทัน พร้อมกับซัดหมัดใส่หน้า พอมันล้มลง ก็รีบเตะซ้ำจนมันหมดสติกองกับพื้น
ขี้ยาอีกคนวิ่งเข้ามาจะเอาเรื่อง แต่กลับโดนริลณีเอากระเป๋าสะพายฟาดหัว อีกคนถือมีดเข้ามาด้านหลังจะแทงเตชิน เธอกันไปเห็น ก็รีบตะโกนบอกเสียงหลง
“ระวังข้างหลัง”
เตชินหันขวับไปจับมือมันบีบจนมีดหลุด แล้วก็ชกหน้าจังๆ จนมันล้มไปกองกับพื้น จากนั้นก็รีบวิ่งไปจับข้อมือริลณี พากันวิ่งหนี ไปขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที

รินลีนั่งตัวสั่นอยู่ในรถ ยังตกใจกลัวไม่หาย เตชินรีบหันไปถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ แล้วคุณละคะ คุณคะ”
จังหวะที่เธอหันไปตอบ ทำให้เขาเห็นหน้าชัดๆ ว่าคือนางรำที่เขาหลงใหล
“เอ่อ คุณคือคนที่รำอยู่บนเวทีเมื่อกี้”
“ขอบคุณนะคะที่ช่วย เดี๋ยวพอถึงถนนใหญ่แล้ว คุณจอดรถให้ฉันลงก็ได้นะคะ”
เตชินเสนอตัวจะไปส่งที่บ้าน อ้างว่าแถวนี้มืดและเปลี่ยว ริลณีรีบออกปากปฎิเสธ แต่เขายืนกราน “คือผมไม่ได้เสี่ยงชีวิตช่วยคุณจากที่นึง ให้มาเจอเรื่องแบบเดียวกันอีกที่นึง ตราบใดที่ผมยังดูแลคุณ ผมก็จะต้องทำให้ดีที่สุด”
ริลณีอึกอัก
“แต่ฉันไม่อยากให้คุณไปส่งที่บ้าน เพราะฉันจะไว้ใจคุณได้ยังไง ในเมื่อเราเพิ่งพบกัน”
เตชินได้ฟังเหตุผลของริลณีก็หัวเราะขำ
“อ๋อ เพราะคุณก็ไม่ไว้ใจผมนี่เอง จริงสินะ ผมกับคุณไม่รู้จักกัน อยู่ดีๆ จะนั่งรถผมไปถึงบ้าน คุณคงลำบากใจ”

ในที่สุดเตชินก็จอดรถส่งริลณีที่ป้ายรถเมล์ใหญ่ในบริเวณชุมชน พอเธอลงจากรถ ก็รีบเดินขึ้นรถเมล์ที่แล่นเข้าป้ายมาจอดพอดี
เตชินที่รู้สึกเป็นห่วงริลณีอย่างบอกไม่ถูก ตัดสินใจขับรถตามรถเมล์คันนั้นไปทันที

เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็ม เดินวนไปวนมาอยู่หน้าบ้านเด็กกำพร้าอย่างกระวนกระวายใจ ครู่หนึ่งรถสองแถวก็แล่นมาจอด พอเห็นริลณีลงมาจากรถ ทั้งคู่ก็รีบวิ่งถลาเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
“รินเป็นอะไร ทำไมไม่รับโทรศัพท์ รู้มั้ยว่าพวกเราเป็นห่วง”
เอทีเอ็มรีบเสริม “เห็นที่ร้านก็โทรมาบอกว่า รินไม่ไปทำงาน”
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“มีเรื่องอะไรน่ะริน แล้วทำไมเนื้อตัวมันถึงได้เละเทอะแบบนี้ล่ะ”

ริลณีมองเพื่อนยิ้มๆ รู้สึกดีที่ทั้งคู่เป็นห่วงเธอ

อ่านต่อหน้า 3

นางชฎา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เตชินที่แอบขับรถตามมา มองริลณีที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยก็โล่งอก พลางเหลือบมองป้าย “บ้านเด็กกำพร้า” อย่างแปลกใจ ก่อนจะสตาร์ทรถ แล้วขับออกไป
ครั้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาก็รีบตรงเข้าไปยังห้องนอน ซึ่งที่ผนังห้องมีภาพนางในวรรณคดีติดไว้หลายรูป และยังมีโมเดลงานออกแบบบ้านทรงไทยประยุกต์ที่ยังทำไม่เสร็จวางอยู่บนโต๊ะออกแบบ กระดาษวาดแบบที่ถูกขยำทิ้งและที่ทำค้างวางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ
เขาเดินเข้าไปหยุดที่โต๊ะทำงาน จากนั้นก็เปิดดูสมุดวาดรูป ที่มีรูปหญิงสาวหน้าเหมือนริลณีเต็มไปหมด ดวงตาของเขาทอประกาย
“ไม่เคยคิดเลยนะ ว่านางในฝันจะมีอยู่จริง”

บ้านของเตชินเป็นบ้านหลังใหญ่ มีบริเวณกว้างขวาง สวนในบ้านได้รับการตกแต่งอย่างมีรสนิยม บ่งบอกความเป็นผู้ดีเก่า
ภายในบ้าน จิตรามารดาของเขายื่นมือไปรับกล่องคัพเค้กจากพิสมัยมารดาของชมพู ด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม
“ต๊าย ขนาดแขนเจ็บแบบนี้ยังลุกขึ้นมาทำคัพเค้ก น่าปลื้มแทนคุณแม่นะคะ”
“ชมพูเค้าไม่ชอบอยู่เฉยๆ น่ะค่ะ”
จิตรายิ้มกว้าง ก่อนจะรีบพูดต่อ
“เหมือนลูกชายเลยค่ะ รายนั้นกระตือรือร้นมาก ดึกๆ ดื่นๆ ลุกขึ้นมาวาดรูปนั่น ต่อโมเดลนี่ ยิ่งช่วงนี้ใกล้จบ เลยขยันเป็นพิเศษ พ่อแม่ก็พลอยไม่ได้หลับได้นอนไปด้วย”
ชมพูที่นั่งอยู่ด้วย ได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกผิด
“งั้นเมื่อวานชมพูทำให้พี่เตชินเสียเวลาแย่ ขอโทษนะคะ”
จิตรารีบโบกมือห้าม “จะต้องขอท่งขอโทษทำไมจ๊ะ สำหรับหนูชมพู เตชินเค้ามีเวลาให้เสมอ”
พิสมัยรีบถามต่อ
“แล้วนี่เตชินยังไม่ตื่นเหรอคะ”
“ตื่นแล้วสิคะ พอรู้ว่าหนูชมพูจะมา ตื่นเต้นมาก สงสัยคงกำลังแต่งตัวหล่ออยู่แน่ๆ สร้อยไปตามคุณเตลงมา บอกว่าน้องชมพูมาคอยนานแล้ว ไม่ต้องแต่งตัวหล่อมากก็ได้”
จิตรากับพิสมัยยิ้มปลื้มๆ ชมพูหน้าระเรื่อ อย่างมีความสุข

สร้อยเดินขึ้นมาตามเตชินที่ห้อง แต่เคาะเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงขานรับ เธอจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปแบบกล้าๆ กลัวๆ
ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก สาวใช้ที่มองเข้าไป ก็ถึงกับอึ้ง ช็อกไปทันที

จิตราพาชมพูและพิสมัยเดินดูรูปเตชินในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กจนโตขณะกำลังทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งเล่นกีฬา วาดภาพ รับรางวัลเรียนดี และไปต่างประเทศ ที่ใส่กรอบวางโชว์อยู่ ชมพูดูรูปเตชินในกรอบด้วย สีหน้าเปี่ยมสุข
มารดาของเตชินเหลือบไปเห็นสร้อยทำลับๆล่อๆ เหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง ก็แอบผละจาก 2 แม่ลูกออกมาหา
“ทำไมเตชินถึงยังไม่ลงมาอีก”
สร้อยเอียงหน้าไปกระซิบ แต่จิตราฟังไม่รู้เรื่อง จึงบอกให้พูดดังๆ
“คุณเตไม่อยู่บนห้อง รถก็ไม่อยู่ที่จอด คาดว่าตอนนี้คงไม่ได้อยู่ในบ้านแล้วล่ะค่ะ ชัดมั้ยคะคุณหญิง”
จิตราได้ยินถึงกับอึ้ง ก่อนจะหันไปมองทางพิสมัยและชมพูที่ได้ยินเหมือนกัน พลางยิ้มแหยๆ

ริลณีที่อยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า กำลังง่วนกับการหาของในกระเป๋าผ้า เฟื่องฟ้าที่ยืนคุยอยู่ข้างๆ ถามขึ้นมาอย่างสงสัย ฝ่ายแรกจึงรีบบอกว่าหามือถือ
“มีคนมาช่วยปลอดภัย แต่มือถือดันหาย ถือว่าฟาดเคราะห์แล้วกัน”
ริลณีหน้าซีด
“ฟาดเคราะห์ไม่ได้ มันต้องไม่หายสิ รินไม่มีเงินซื้อเครื่องใหม่แล้ว”
เฟื่องฟ้าหยิบกระเป๋าผ้ามาดู เห็นขาดเป็นรูใหญ่
“รูใหญ่ขนาดนี้ ไม่หายก็ไม่รู้จะว่ายังไง”
ริลณีทำหน้าเศร้า เหมือนจะร้องไห้ “ต้องซื้อเครื่องใหม่จริงเหรอเนี่ย”
“ไม่ต้องซื้อแล้วล่ะริน”
ริลณีกับเฟื่องฟ้าหันไปตามเสียง ก็เห็นเอทีเอ็มเดินถือมือถือ นำหน้าเตชินที่เดินตามมาแบบเขินๆ
“มีคนเอามือถือของรินมาคืน เค้าเจอตกอยู่ในรถเค้า”
ริลณีมองหน้าเตชินอย่างตกใจ
“คะ คะ คุณ”

ริลณีกับเฟื่องฟ้ายืนแอบมองเตชินกับเอทีเอ็ม ที่ช่วยกันยกถุงขนม เครื่องกีฬา เครื่องเรียน และ ของเล่น ที่เขาซื้อมาบริจาค เข้ามาวางกองในบ้าน เหล่าเด็กกำพร้าวิ่งไปมุงดูด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เตชินมองหาริลณี พอเห็นว่ายืนมองอยู่ห่างๆ ก็ส่งยิ้มให้ ทำเอาเธอชะงักตกใจ ในขณะที่เฟื่องฟ้า แอบมองอย่างปลื้มใจ
“ทำไมถึงไม่เล่าว่าคนที่ช่วยเมื่อคืน หล่อไม่บันยะบันยังขนาดนี้ มีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ แถมยังมีน้ำใจกับเด็กกำพร้ายากไร้แบบนี้ เทพบุตรชัดๆ”
ริลณีส่ายหน้านิดๆ
“เธอไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ เค้าเอามือถือมาคืนที่นี่ได้ไง ในเมื่อรินแยกตัวกลับมาเอง”
“อยากรู้ก็ไปถามสิ”
เฟื่องฟ้าไม่พูดเปล่า กลับผลักริลณีออกไป จนเกือบชนกับเตชินที่เดินเข้ามาพอดี
“ผมต้องขอโทษนะครับ ที่เมื่อคืนผมแอบขับรถตามรถที่คุณขึ้นจนมาถึงที่นี่ เพราะกลัว
คุณจะไม่ปลอดภัย แต่ผมไม่คิดจะทำอะไรไม่ดีนะครับ”
ริลณีเห็นท่าทางดูจริงใจของเตชินก็รู้สึกโล่งใจ จึงยอมพูดดีๆ ด้วย
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยเมื่อคืน โทรศัพท์ แล้วก็ของที่คุณเอามาบริจาค ของพวกนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรามากค่ะ”
พูดเสร็จเธอก็ทำท่าจะเดินออกไป แต่เตชินตามไปขวางไว้
“เอ่อ เราจะไม่แนะนำตัวกันเลยเหรอครับ ผมชื่อเตชิน แล้วคุณ ...”
เตชินยังพูดไม่ทันจบประโยคดี จู่ๆ ไฟในบ้านเด็กกำพร้าทั้งหลังก็ดับวูบ เด็กเล็กๆ พากันตกใจกลัวร้องกันเสียงหลง เตชินรีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เฟื่องฟ้ารีบตอบแทนว่าเป็นเรื่องปกติ ก่อนจะเอียงหน้ากระซิบถามริลณี
“ยังไม่เอาเงินไปจ่ายค่าไฟใช่มั้ย”
“เงินพอที่ไหนล่ะ ต้องรอเงินค่ารำที่จะได้วันนี้ก่อน”
เตชินที่แอบฟังทั้งคู่คุยกัน พอจะเข้าใจสถานการณ์ จึงตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาเอทีเอ็มที่กำลังยืนเช็คยอดของบริจาค ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมขอบริจาคเงินด้วยครับ”
พูดจบก็หยิบเงินที่มีทั้งหมดออกจากกระเป๋ายื่นให้เอทีเอ็ม ริลณีที่เดินเข้ามาพร้อมกับเฟื่องฟ้ารีบรับเงินนั้นไว้ ก่อนจะยื่นคืนให้เขา พร้อมบอกว่าจะขอจัดการเรื่องนี้เอง แต่เฟื่องฟ้ารีบท้วง เพราะไม่เห็นด้วย หวั่นใจว่ากว่าจะได้เงิน พวกเด็กๆ คงต้องนอนมืดๆ ทั้งคืน
ริลณีหันมองพวกเด็กๆ ที่ร้องไห้กระจองงอแงด้วยความสงสาร เตชินรีบเสนอตัวว่าจะให้ยืมเงินไปจ่ายค่าไฟก่อน พอทำงาน ได้เงิน ค่อยเอาเงินคืน
“แล้วคุณจะได้อะไรจากการทำแบบนี้คะ”
“ได้ช่วยพวกคุณไง ถ้าพวกคุณเป็นผม คุณก็ต้องทำอย่างนี้”

เอทีเอ็มหันมองหน้าริลณีเป็นเชิงขอให้ตัดสินใจ

ริลณีเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในร้านอาหาร พลางหันมามองเตชินที่เดินตามมาติดๆ อย่างไม่พอใจ

“คุณไปรอที่รถเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปเบิกเจ้าของร้านก่อน แล้วจะเอาไปคืนให้”
เตชินรีบบอก
“ผมไม่ได้ตามมาทวงเงินคุณ ผมแค่เข้าไปหาอะไรกินในร้านเท่านั้นเอง”
“งั้นก็เชิญหน้าร้านค่ะ ตรงนี้มันทางเข้าพนักงาน”
“ถ้าคุณจัดการธุระคุณเสร็จแล้วก็ โทรไปบอกผมนะครับ”
ริลณีหน้าเหรอ “แต่ฉันไม่มีเบอร์ของคุณนะคะ”
“ผมเมมไว้ในเครื่องคุณแล้ว ชื่อเตชิน”
เธอรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าเขาเมมเบอร์ไว้แล้วจริงๆ
“เบอร์คุณผมก็เมมไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะใส่ชื่อว่าอะไร”
เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมพร้อมจะเมมชื่อ ริลณีอึกอักไม่อยากบอก แต่พอเห็นอีกฝ่ายยืนรอก็ขัดไม่ได้
“เอ่อ ริน ริลณีค่ะ”
“งั้นเรา 2 คนก็รู้จักกันแล้ว หวังว่าเรา 2 คนจะเป็นเพื่อนกันได้นะครับ คุณริลณี”
เตชินยิ้มหวานให้ ริลณีก้มหน้าเขิน พลางรีบเดินเข้าไปในร้านทันที

เตชินกำลังเดินจะเข้าร้านทางอาหารทางประตูหน้า จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น พอเห็นชื่อว่าจิตราเป็นคนโทรมา เขาก็ถอนใจหน้าเครียดเ แล้วก็ตัดสินใจปิดเสียงเรียกเข้าทันที
อีกด้านหนึ่งจิตราวางโทรศัพท์ด้วยความโมโห ก่อนจะหันไปมองชมพู และพิสมัย ที่รอฟังคำตอบอยู่ แล้วก็แสร้งยิ้มหวาน
“คงจะทำงานอยู่กับเพื่อนๆ มั้งคะ ใกล้จบแล้วมีทั้งธีสิท ทั้งโครงงาน อะไรวุ่นวายไปหมด ดูสิ ไม่มีเวลาแม้แต่จะรับโทรศัพท์แม่”
ชมพูไม่ติดใจอะไร เพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงยุ่งจริงๆ จากนั้น 2 แม่ลูกก็ลากลับ พอคล้อยหลังที่ทั้งคู่เดินออกไป สีหน้าของจิตรา ก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที

ฟากริลณีที่เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว แต่กลับเห็นนางรำคนอื่นเดินสวนออกมา เธอรีบเข้าไปถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะได้คำตอบว่ามีลูกค้ามาขอเหมาทั้งร้าน แล้วจะให้รินลณีรำคนเดียว คนอื่นจึงจำต้องกลับกัน
ริลณีได้ฟังคำตอบ ก็ได้แต่ยืนอึ้งอย่างงุนงง

ขณะที่ในห้องน้ำชายของร้านอาหาร เอกราช ประวิทย์ และเชิงชาย ยืนคุยกันอยู่
“พวกนายคิดว่า ฉันต้องใช้เวลากี่นาที ยายริลณีถึงจะยอมออกไปกับฉัน”
เอกราชถามออกมาด้วยสีหน้าลำพองใจในความหล่อของตัวเอง
“ผู้ชายอย่างนายใครจะกล้าปฎิเสธ แค่นายเสนอ ยายนั่นก็รีบสนองแล้ว”
ประวิทย์รีบบอกอย่างเอาใจ แต่เชิงชายกลับท้วงว่าไม่แน่ เพราะขนาดตุลเทพยังจีบไม่ติด
“ก็ตุลเทพ คิดจะฟันอย่างเดียว ผู้หญิงสมัยนี้เค้าไม่ได้รักแค่สนุก เค้ารักสบายด้วย” ประวิทย์พูดสวนกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ “ยายนั่นเป็นเด็กกำพร้าขาดทุนทรัพย์ ที่พยายามเล่นตัว อาจเพราะต้องการเงินก็ได้”
เอกราชทำหน้าเซ็ง
“ถ้าเป็นพวกเงินมาผ้าหลุดนี่ จะเสียอารมณ์มากๆ นะ”
จากนั้นก็รีบเดินนำประวิทย์และเชิงชายออกจากห้องน้ำไป คล้อยหลังที่ทั้ง 3 หนุ่มเดินออกไป ประตูห้องน้ำบานหนึ่งเปิดออก พร้อมกับที่เตชินเดินออกมา มือกำแน่นด้วยความไม่พอใจสุดขีด

ริลณีเดินปรี่เข้าไปยืนจ้องเอกราช ประวิทย์ และเชิงชาย ที่กำลังทานอาหารกันอยู่ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“พวกนายต้องการอะไร ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ด้วย”
“ผมก็แค่อยากมีโอกาสทำความรู้จักรินให้มากกว่านี้”
เอกราชตอบพลางหันไปมองทางเชิงชาย ที่รีบหยิบช่อดอกไม้มายื่นให้ เขารีบมายื่นต่อให้ริลณี แต่เธอไม่ยอมรับ พอเปลี่ยนเป็นยื่นกระเป๋าถือยี่ห้อดังให้ เธอก็ยืนเฉยอีก
“หรือจะเปลี่ยนเป็นเงินทุนสำหรับการศึกษา คุณจะได้ไม่ต้องมาลำบากทำงานแบบนี้”
ริลณีปรายตามองอย่างไม่พอใจ
“คนที่ใช้เงินซื้อมิตรภาพ ไม่มีทางที่ฉันยอมเป็นเพื่อนด้วยหรอกค่ะ ขอตัวนะคะ”
พูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไป แต่กลับถูกเอกราชเข้าไปคว้าข้อมือไว้
“อย่ามาทำเล่นตัวมากไปหน่อยเลย แค่นี้ก็มากพอสำหรับเด็กกำพร้าแบบเธอ”
ริลณีพยายามขัดขืน พร้อมบอกให้เขาปล่อย
“ผมไม่ปล่อย จนกว่าคุณจะยอมคุยกับผมดีๆ ก่อน”
ขาดคำเสียงของเตชินก็ดังสวนขึ้นมา
“ถ้าผู้หญิงบอกให้ปล่อย ผู้ชายที่ดีและมีความเป็นสุภาพบุรุษพอ ก็ควรทำตามนั้นนะครับ”
เอกราชหันขวับไปมองอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้เเชิงชายกับประวิทย์เข้าไป
จัดการ แต่พอทั้งคู่เดินเข้าไป เตชินที่ตั้งท่ารออยู่ ก็จัดการจนทั้งคู่คว่ำไป
เอกราชไม่พอใจหนัก ตั้งท่าจะเอาเรื่องกับเตชิน ริลณีรีบเข้าไปร้องห้าม แต่กลับโดนผลักจนถลาหน้าเกือบคว่ำ เตชินเห็นก็ยิ่งโมโห เดินเข้าไปเอาเรื่อง ก่อนจะชกเอกราชคว่ำไปบนโต๊ะ ฝ่ายถูกชกหันไปหยิบมีดบนโต๊ะอาหารมาถือไว้เป็นอาวุธ จังหวะเดียวกับที่ประวิทย์กับเชิงชาย ลุกขึ้นมาช่วยกันจับเตชินไว้คนละข้าง
เอกราชเดินถือมีดตรงเข้ามายิ้มหยัน
“เก่งไม่ออกล่ะสิ”
เตชินที่โดนจับทั้งสองข้าง ยิ้มนิดๆ ก่อนจะยกขาถีบเอกราชเต็มแรง จนล้มลงไปกอง ก่อนจะบิดมือ ทั้งซ้ายและขวา จนสามารถจับประวิทย์กับเชิงชายหักแขน ทำเอาทั้งคู่ร้องโอดโอย
เตชินมองทั้ง 3 คน ที่นอนกองอยู่กับพื้นอย่างไม่พอใจ
“จำไว้โลกนี้ไม่ใช่ของนาย รู้จักให้เกียรติ และเคารพคนอื่นบ้างจะได้ไม่ต้องเป็นแบบนี้”
เชิงชายกับประวิทย์ รีบช่วยประคองเอกราช ที่มองเตชินกับริลณีอย่างเคียดแค้นออกจากร้านไป เตชินรีบเดินเข้าไปจับแขนริลณีที่เป็นรอยแดงมากขึ้นมาดู ด้วยความเป็นห่วง ขณะเดียวกัน เจ้าของร้าน ก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาด้วยความตกใจ

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

เตชินเดินตามริลณี ที่เดินหน้าจ๋อยคอตกมาที่รถ พร้อมกับรีบออกปากขอโทษที่ทำให้เธอถูกไล่ออกจากงาน

“ฉันสิคะ ต้องขอบคุณคุณมากกว่า กี่ครั้งแล้วที่คุณช่วยฉัน ส่วนเรื่องเงิน....”
เตชินยิ้มให้อย่างจริงใจ
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ถือว่าผมบริจาคก็แล้วกัน คนจะทำบุญอย่าขัดศรัทธาสิครับ ผมอยากช่วยพวกคุณจริงๆ”
“ถ้าฉันรับ หวังว่าหลังจากนี้คงจะไม่ได้พบคุณอีก”
เตชินหน้าเจื่อน “ทำไมล่ะครับ”
“เพราะฉันไม่อยากทำให้คุณเดือดร้อนอีก”
พูดจบริลณีก็รีบเดินออกไปอย่างเร็ว เตชินอยากวิ่งตามแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ยืนมองร่างที่เดินห่างออกไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

ทันทีที่เตชินเดินกลับเข้ามาในบ้าน จิตราก็ลุกพรวดขึ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“หายไปไหนมาทั้งวัน โทรไปก็ไม่รับสาย”
เตชินยืนยิ่งไม่ตอบ จิตราหันไปทางณรงค์ที่นั่งใกล้ๆ
“ลูกชายคุณชักจะเหลวไหลใหญ่แล้วนะคะ”
ณรงค์ทำหน้าเอือม
“คุณก็รู้ว่าเตชินต้องวุ่นเรื่องเรียน อย่าไปจู้จี้จุกจิกลูกมากนักเลย”
จิตรารีบบอกว่าที่ต้องจุกจิก เพราะกลัวเตชินจะโดนผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าจับ
“เตชิน ลูกชายท่านนายพลณรงค์ กับคุณหญิงจิตรา ไม่มีสาวไหนอยากปฎิเสธหรอกค่ะ”
เตชินพูดสวนขึ้นมาทันที
“ก็ไม่จำเป็นเสมอไปหรอกครับคุณแม่ ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวนะครับ”
จิตรารีบเปลี่ยนท่าที พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“ว่างๆ พาหนูชมพูเค้าออกไปกินข้าว ดูหนังฟังเพลงบ้าง จะได้สนิทสนมกันไว้ เข้าใจมั้ย”
เตชินไม่ตอบ ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินตรงไปขึ้นไปยังห้องนอน แล้วเดินไปหยุดยืนตรงหน้ารูปวาดในสมุดวาดรูปที่วางอยู่บนโต๊ะ ในใจคิดถึงแต่ริลณีที่เพิ่งได้สัมผัสและพบเจอมา พร้อมกับตระหนักว่าเขาไม่อาจหยุดคิดเรื่องของเธอได้อีกแล้ว

“อะไรนะ นี่นายนอนคิดเรื่องเธอ 2 วัน 2 คืน นายจะบ้าเหรอ”
ชัชหันมามองหน้าเตชินอย่างตกใจ และไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาเล่า
“ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกทั้งชื่นชม สงสาร แล้วก็เห็นใจเค้ายังไงก็ไม่รู้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องลำบากดิ้นรนกับชีวิตมากขนาดนั้น ขนาดฉันเป็นผู้ชายยังไม่คิดว่าจะทำได้เลย”
ชัชได้ฟัง ก็สรุปได้ทันทีว่าเตชินหลงชอบริลณีเข้าให้แล้ว เขาฟังที่เพื่อนสรุปก็พูดอะไรไม่ออก

“เกิดมายังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้ฉันเสียหน้าขนาดนี้”
เอกราชพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ต่อหน้าประวิทย์ เชิงชาย และปริมลดา ที่ยืนพิงรถคุยกันหน้าเครียดอยู่ที่ลานจอดรถที่หาวิทยาลัย
ประวิทย์สรุปว่าน่าจะเป็นเพราะริลณีไม่ใช่พวกหิวเงิน แต่เชิงชายกลับมองว่าเป็นเพราะเอกราขมีคู่แข่งที่หน้าตาดีกว่า
เอกราชได้ฟังก็ยิ่งโมโห จนปริมลดาต้องตบบ่าปลอบใจ
“ลองถ้าผู้หญิงใช้เงินซื้อไม่ได้แล้วละก็ นายต้องเอาความดีเข้าข่ม มันจะได้ตายใจ”
“แต่มีเรื่องขนาดนั้น ยายนั่นคงยอมให้ฉันเข้าใกล้อีกหรอก”
ปริมลดายิ้มร้าย
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจัดการให้”

ริลณี เฟื่องฟ้า เอทีเอ็มล้อมวงคุยกันเรื่องจะหางานพิเศษทำ เพื่อหาเงินช่วยครู เรื่องค่าน้ำค่าไฟที่บ้าน แล้วก็ส่งเสียตัวเองให้เรียนจนจบ
หงส์หยกเดินเข้ามามองทั้งสามอย่างเหยียดๆ
“ไปช่วยป๊าฉันขนหมูมั้ย ที่ร้านกำลังขาดคนงานพอดี”
“ฉันว่าเธอช่วยป๊าเองน่าจะดีกว่า เอาเวลาไปตามคนที่เค้าไม่เห็นหัวเธอต้อยๆ แบบนี้”
หงส์หยกโดนเฟื่องฟ้าตอกกลับ ก็หน้าตึง แต่พยายามแสร้งยิ้ม ก่อนจะบอกริลณีว่าปริมลดามีเรื่องอยากคุยด้วย
ขาดคำเฟื่องฟ้าก็ตอกกลับอีกดอก
“ถ้าปริมลดาอยากคุยกับริน ทำไมถึงไม่มาคุยเอง ทำไมต้องให้รินไปหาด้วย แต่ถามไปเธอก็คงไม่รู้สินะ เพราะเธอเองก็ทำได้แค่รอรับคำสั่ง”
หงส์หยกโกรธจัด รีบสะบัดหน้าเดินออกไปทันที

ริลณีเดินเข้ามาที่โต๊ะของกลุ่มปริมลดา ขณะที่อีกฝ่ายนั่งรอท่าอยู่ด้วยท่าทางเชิดหยิ่ง แต่ครั้นเหลือบมองไปเห็นเอกราช เชิงชาย และประวิทย์ นั่งอยู่พร้อมหน้าด้วย ก็ชะงักแปลกใจ
ปริมลดารีบลุกขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปหาริลณี
“เรื่องที่ฉันตบเธอวันก่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจ อย่าโกรธกันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก มันผ่านมาแล้ว แค่เธอไม่โกรธ เกลียดฉัน ฉันก็ดีใจแล้ว”
ปริมลดาแสร้งพูดดีตอบ
“ถ้าฉันจะโกรธควรต้องโกรธแฟนฉันมากกว่า ผู้หญิงเรา ไม่ควรมีปัญหากันเพราะเรื่องผู้ชายหรอก ใช่มั้ย”
จากนั้นพวกเอกราช ประวิทย์ และ เชิงชายก็เดินเข้ามาหาริลณี แสร้งทำท่าสำนึกผิด พร้อมกับ เอ่ยปากขอโทษ
เอกราชทำทีเป็นพูดเชิงเข้าใจว่าริลณีไม่ชอบเขา พร้อมกับขอแค่เป็นเพื่อนกันก็พอ ริลณีหลงกลพูดตอบรับ ก่อนที่ทั้งหมดจะจับมือคืนดีกัน

แต่ลับหลังริลณี ปริมลดากับเอกราชกลับแอบมองกัน แล้วยิ้มอย่างมีแผนร้าย

เตชินเดินนำชัชเข้ามาในศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ที่มีผู้คนเข้ามาไหว้ขอพรด้วยความศรัทธากันเนืองแน่น เขากวาดสายตามองไปรอบๆ เหมือนมองหาใคร ชัชมองบรรยากาศรอบๆ อย่างแปลกใจ

“น้องรินอะไรของแกเนี่ย สู้ชีวิตเกินไปรึเปล่าวะ ถึงได้มาทำงานที่นี่”
“ก็เค้าไม่ได้สบายอย่างนายนี่”
ชัชหัวเราะขำ “แล้วไหนวะ ริลณีอะไรของแก”
ขาดคำเสียงเพลงไทยก็ดังขึ้น ทั้งคู่หันไปมอง ริลณีในชุดระบำเทพบันเทิง ออกมารำแก้บน
เตชินมองอย่างตื่นตะลึง จนชัชถึงกับอมยิ้มอย่างรู้ทัน
“เล่นจ้องตาเยิ้มซะขนาดนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนไหน เฮ้ย ไอ้เต นี่มันผู้หญิงที่นายวาดชัดๆ”
ทั้งเตชินและชัช จ้องมองริลณี แล้วก็อ้าปากค้าง อย่างตะลึงในความงาม
ริลณีหันมาเห็นเตชินเอาแต่จ้องมองเธอ ก็เผลอตัวยิ้มให้โดยไม่รู้ตัว แต่พออีกฝ่ายยิ้มตอบ เธอก็รีบทำหน้าบึ้งกลบเกลื่อน พลางพยายามรำต่อโดยที่ไม่สนใจ แต่ก็ทำไม่ได้ ต้องแอบหันไปมองเตชินด้วยความประหม่าเขินอาย จนชัชแอบกระซิบกับเตชินว่าท่าทีแบบนี้แสดงว่าเธอสนใจเขา
เตชินได้ฟังก็ยิ้มดีใจ ขณะเดียวกันชัชเที่มองริลณีรำอยู่ กลับเห็นเหมือนมีภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ในชุดนักศึกษาสมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ท่าทางน่ากลัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง ที่กลางลำตัวมีรอยเลือดติดอยู่เต็มเสื้อ จ้องมาที่เขาตาเขม็ง จนเขาชะงักตกใจ รีบหลับตา พอลืมตาอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว แต่กลับมายืนอยู่ด้านข้าง จ้องมองเขาอย่างน่ากลัว
ชัชผวาเข้ากอดเตชินแน่นด้วยความตกใจ พลางร้องตะโกนลั่น จนทุกคนหันมามองแบบขำๆ
2 หนุ่มรีบผละออกจากกันอย่างเขินๆ
ชัชหันมองไปที่ริลณีรำอีกครั้ง แต่กลับไม่เห็นใคร จนเขาเริ่มสับสน ก่อนจะหันมาเห็นริลณียืนอยู่ใกล้ๆ ที่เดียวกับผีในชุดนักศึกษาเมื่อครู่ เขาตกใจร้องโวยวายเสียงดังลั่น จนเตชินต้องรีบห้าม
“ไอ้ชัชนายอย่ามาทำฉันขายหน้าตอนนี้ซิวะ”
ชัชได้สติ จ้องริลณีชัดๆ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือมาจับแขนเธอเพื่อพิสูจน์
“คนจริงๆ ด้วย ขอโทษด้วยนะครับ ทำไมถึงเห็นนางฟ้าเป็นผีไปได้”
ริลณียิ้มให้ชัช ก่อนจะหันมาถามเตชินอย่างแปลกใจ
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง อย่าบอกนะคะว่าจะมาแก้บน”
“ผมถามเพื่อนคุณน่ะครับ เลยรู้ว่าคุณมาทำงานที่นี่”
ชัชรีบพูดแทรกขึ้นมา
“คือเจ้าเตชินมันมีเรื่องอยากขอร้องให้คุณริลณีช่วยน่ะครับ”
จากนั้นเตชินก็ออกปากกับริลณีว่าจะจัดงานวันเกิดให้พ่อ และอยากให้เธอไปรำโชว์ในงาน
“ไม่ทราบว่าคุณจะช่วยผมได้มั้ยครับ เพราะผมไม่รู้จักใครรำเก่งๆ เลย”
ริลณีมองจ้องหน้าเตชิน “ถ้าคุณจะทำเพราะรู้สึกผิดเรื่องวันนั้น”
“มันก็มีส่วน แต่ที่สำคัญ ผมไม่เคยเห็นใครรำสวยเท่าคุณจริงๆ”
คำพูดซื่อๆ ของเตชินทำเอาริลณีเริ่มคิดหนัก

หลายวันถัดมา เตชินก็พาริลณีเข้ามาพบกับจิตราที่บ้าน หญิงสูงวัยมองเธอหัวจดเท้าด้วยสายตาหยามเหยียด ก่อนจะหันไปมองเตชิน ที่นั่งลุ้นระทึกอยู่ใกล้ๆ อย่างจับผิด
“เธอชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เรียนที่ไหน แล้วมาเต้นกินรำกินแบบนี้พ่อแม่ไม่ว่าเอาเหรอ”
ริลณีได้ยินคำถาม ก็นั่งอึ้ง ตอบไม่ถูก จนเตชินต้องรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์
“ริลณีเค้าเป็นเพื่อนผมนะครับคุณแม่ คุณแม่ไปถามเค้าอย่างนั้นได้ยังไงครับ”
“แม่ก็แค่อยากรู้จักว่าเพื่อนลูกเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมลูกถึงไม่เคยพูดถึง หรือพามาให้แม่รู้จักเลย”
ริลณีรีบบอกความจริง
“ดิฉันไม่ใช่เพื่อนคุณเตชินหรอกค่ะ ดิฉันรับจ้างรำหารายได้พิเศษส่งตัวเองเรียน เพราะดิฉันเป็นเด็กกำพร้า พอดีเห็นว่างานนี้ได้เงินดี ก็เลยอยากลองมาทำ”
จิตราได้ฟังคำตอบตรงๆ ของริลณีก็ชะงักไป เตชินเห็นท่าทางไม่ดี ก็พยายามช่วยพูด
“ริลณีเค้ารำเก่งมากเลยนะครับ รำได้ทั้งตัวพระ ตัวนาง ถ้าคุณแม่ไม่เชื่อ คุณแม่ให้เค้ารำให้ดูก็ได้”
จิตราผุดลุกขึ้นยืนทันที
“ไม่ต้อง แม่ว่าแม่น่าจะคุยกับลูกให้รู้เรื่องมากกว่า”
จากนั้นก็พาลูกชายหลบมุมไปคุยกันสองต่อสอง ก่อนจะออกปากตำหนิที่พาคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาในบ้าน
“อย่าบอกนะว่าลูกชอบนังเด็กนั่น”
เตชินตกใจ ที่แม่รู้ทัน แต่ก็รีบพูดแก้ตัวไป
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ คุณแม่”
“แม่เห็นแกมองนังเด็กนั่นตาเยิ้มเลย บอกมานะ ว่าแกชอบนังเด็กนั่นรึเปล่า”
“ผมแค่สงสาร แล้วก็อยากช่วยเขาเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอกครับ”
จิตราทำทีเป็นรับฟัง ก่อนจะมองลูกชายอย่างมีแผน
“งั้นแม่จะจ้างนังเด็กคนนั้นก็ได้ แต่ว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยน แกต้องพาหนูชมพูออกไปทานข้าววันนี้ เดี๋ยวแม่จะโทรนัดให้”
เตชินทำหน้างง “ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยล่ะครับ”
“เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ ถ้าแกอยากให้แม่จ้างเด็กนั่น แกก็ต้องทำตามที่แม่บอกเท่านั้น”

ฟากริลณีก็นั่งมองสรรพสิ่งในบ้านของเตชินที่ล้วนแต่ไฮโซโก้หรู พลางก้มมองสภาพตนเอง แล้วถอนหายใจเบาๆ สีหน้าเศร้าซึม
ครู่หนึ่งจิตราก็เดินนำเตชินที่หน้าตาเคร่งเครียดออกมา ก่อนจะบอกกับริลณี
“ฉันจะจ้างเธอ หวังว่าเธอคงจะรู้ว่างานของฉันที่จัดเป็นงานระดับไหน และคงจะไม่ทำอะไรให้ฉันและครอบครัวขายหน้าหรอกนะ”
จบประโยคก็ทำท่าจะเดินออกไป แต่ไม่วายหันมากระซิบกับเตชินเบาๆ
“หวังว่าลูกคงจะรักษาสัญญานะ”
พอแม่เดินออกไป เตชินก็รีบเดินเข้าไปหาริลณีที่ยืนตัวลีบเล็ก แทบจะหายไปจากพื้น
“ดีใจมั้ยครับ คุณแม่ยอมให้คุณรำแล้ว”
ริลณีมองเขาด้วยสายตาเศร้า เจ็บปวดในสถานะที่ต่างกันอย่างฟ้ากับเหว
“ดีใจสิคะ ขอบคุณสำหรับโอกาสดีๆ ที่หยิบยื่นให้คนต่ำต้อยอย่างฉัน”
พูดจบก็รีบเดินออกไป เตชินรีบวิ่งตาม

จิตราที่แอบยืนมองอยู่ เห็นท่าทางของทั้งคู่ ก็ เริ่มรู้สึกกังวลใจ

อ่านต่อหน้า 4

นางชฎา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ทันทีที่รถเตชินแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเด็กกำพร้า ริลณีก็รีบเปิดประตูลงมาจากรถ เขารีบลงตามไปทันที

“คุณโกรธอะไรผมรึเปล่าครับ”
ริลณีไม่ตอบ แต่กลับรีบเดินหนีจะเข้าไปในบ้าน เขารีบวิ่งไปขวางหน้าไว้
“ผมทำให้คุณอึดอัดมากใช่มั้ย ผมไม่ควรพาคุณไปพบคุณแม่แบบนั้น”
ริลณีฝืนยิ้ม “ฉันชินแล้วค่ะกับคำดูถูก”
“สำหรับผม สิ่งที่คุณเป็นไม่มีอะไรที่น่าดูถูกเลยสักนิดนะครับ”
“คุณก็พูดได้ เพราะคุณไม่เคยมาอยู่ในจุดที่ฉันอยู่ ไม่เคยเห็นสายตาแบบที่ฉันโดน”
เตชินรีบจับมือริลณีขึ้นมากุม
“ผมสัญญานะครับ ว่าต่อไปจะไม่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดีแบบนั้นอีก”
ริลณีค่อยๆ ดึงมือตัวเองออก
“คุณไม่จำเป็นต้องสัญญาหรอกค่ะ”
“จำเป็นสิครับ เพราะถ้าผมทำให้ผู้หญิงที่ตัวเองชอบ รู้สึกดีไม่ได้ ผมก็ไม่คู่ควรที่จะชอบเธอ”
เตชินพูดอย่างจริงจัง จนริลณีตกใจ
“คุณพูดอะไร คุณรู้ตัวรึเปล่า”
“ผมรู้ทุกอย่างที่ผมพูด ที่ผมทำ และกำลังจะทำครับ ผมรู้ว่ามันเร็วเกินไปที่จะพูดแบบนี้ แต่ผมอยากให้คุณเชื่อใจว่าที่ผมพูดมาจากความรู้สึกของผมจริงๆ”
ริลณีแค่นยิ้ม
“คุณกับฉัน แค่จะเป็นเพื่อนกันมันยากแล้ว เราแตกต่างกันเกินไป ไม่มีทางที่คุณจะลบช่องว่างระหว่างเราได้หรอก ขอบคุณนะคะ สำหรับสิ่งที่คุณรู้สึก แล้วเจอกันวันงานค่ะ”
จบประโยค ริลณีก็รีบวิ่งเข้าบ้านไปทันที เตชินจะห้ามแต่ก็ไม่ทัน ได้แต่มองตามด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

จิตราเดินไปเดินมาครุ่นคิด ก่อนจะหันไปคุยกับณรงค์ที่นั่งอ่านหนังสือใกล้ๆ ด้วยความไม่สบายใจ พลางบอกว่าเธอรู้สึกคุ้นหน้าริลณีเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก
สร้อยที่นั่งอยู่ด้วย รีบพูดแทรกขึ้นมา
“สร้อยรู้ค่ะว่าคุณหญิงคุ้นหน้าผู้หญิงคนที่คุณเตพามาจากที่ไหน”

แล้วสร้อยก็พาจิตรากับณรงค์เข้ามาในห้องนอนของเตชิน ก่อนจะรีบเปิดสมุดวาดรูป ที่มีรูปผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนริลณีเต็มไปหมดให้ดู
“สร้อยเห็นคุณเต ชอบวาดรูปผู้หญิงหน้าตาแบบนี้ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ”
จิตราและณรงค์ถึงกับอึ้ง พลางมองไปรอบๆ ห้อง แล้วก็พบว่ามีภาพวาดนางในวรรณคดีอยู่เต็มห้อง ที่สำคัญทุกภาพล้วนแต่เป็นรูปวาดผู้หญิงหน้าเหมือนริลณีทั้งสิ้น
จิตราประกาศกร้าวทันที
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันก็จะไม่มีวันยอมให้เตชินไปคว้าใครที่ฉันไม่ยอมรับเด็ดขาด คนที่จะแต่งงานกับลูกชายเราต้องเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมเท่านั้น”

อีกด้านหนึ่ง ชมพูกับเตชินนั่งอยู่ด้วยกันที่ร้านอาหารหรู แต่ฝ่ายหลังเอาแต่นั่งหน้าเครียดเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง เหมือนมีอะไรในใจ
“มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ หรือว่าขัดใจที่ถูกบังคับให้ออกมากับชมพู”
เตชินถึงกับสะดุ้ง รีบหันไปมองชมพูอย่างรู้สึกผิด
“พี่คิดเรื่องงานที่ต้องส่งอาจารย์น่ะครับ พี่ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันไม่ได้”
ชมพูพยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางทำท่าจะลุกออกไปดูขนมอีกทาง แต่กลับถูกเตชินที่รู้สึกผิดคว้ามือไว้ เธอชะงักหันกลับมามอง แอบรู้สึกดีใจนิดๆ
“ไม่ต้องไปหรอกครับ นั่งอยู่เป็นเพื่อนพี่นี่แหละ มีคนนั่งด้วยจะได้ไม่ต้องคิดมาก”
“แสดงว่าที่เครียด ไม่ใช่เรื่องงาน แต่เรื่องอื่น”
“แล้วน้องชมพูจะช่วยเป็นที่ปรึกษาให้พี่ได้รึเปล่าครับ”
ชมพูรีบตอบรับพร้อมกับยิ้มกว้าง
“ได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องหัวใจค่ะ เพราะเรื่องนั้นชมพูไม่ค่อยเชี่ยวชาญ แต่ไม่ว่าจะเครียดเรื่องไหน เค้าบอกว่าให้กินของหวาน จะช่วยคลายเครียดได้นะคะ”
ชมพูพูดพร้อมกับเลื่อนเค้กไปให้ตรงหน้าเตชิน แล้วก็พยายามคะยั้นคะยอให้เขาลองตักชิม ก่อนจะห็นเศษเค้กเปื้อนเสื้อของเขา เธอรีบหยิบทิชชูแล้วเลื่อนตัวไปปัดเศษเค้กออก พลางมองเขาแบบเขินๆ ขณะที่เตชินรู้สึกเศร้า เพราะใจของเขาตอนนี้ล่องลอยไปอยู่กับริลณีหมดแล้ว

ทางด้านริลณี ก็เอาแต่นั่งมองเบอร์โทรศัพท์ของเตชินในมือถืออย่างครุ่นคิด จะกดโทรออกก็ไม่กล้า จนเฟื่องฟ้ารำคาญ รีบแย่งโทรศัพท์ในมือไป
“แกจะปฎิเสธเพราะแค่เค้าบอกว่าชอบแกเนี่ยนะ”
ริลณีส่ายหน้าช้าๆ
“เปล่า ฉันปฎิเสธเพราะเวลาฉันอยู่ใกล้พวกเขา ฉันรู้สึกว่าฉันต่ำต้อย ไร้ค่าต่างหาก”
“แกคิดแบบนี้ เพราะแกชอบเค้า แกรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับเค้าเลยพยายามห่างออกมาใช่มั้ย”
“ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเค้าแบบนั้น”
เฟื่องฟ้ามองเพื่อนอย่างเข้าใจ
“โกหกฉันน่ะได้ แต่แกโกหกใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ ต่อให้แกวิ่งหนีความรู้สึกตัวเองยังไง สุดท้ายแกเองก็ต้องยอมรับว่าชอบเขาอยู่ดี”
“ฉันชอบเขาแล้วยังไง ไม่ชอบแล้วยังไง ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“เป็นไปได้สิ แต่แกต้องเลิกดูถูกตัวเองเป็นอันดับแรก แล้วยอมรับความรู้สึกตัวเองซะต่อจากนั้นแกก็ลุยลูกเดียวเลย”
“แล้วถ้า....”
ริลณีกำลังจะถามต่อ แต่เฟื่องฟ้ารีบแทรกขึ้นมาก่อน
“เลิกมีคำถาม ข้อห้าม ข้อแม้ แค่ทำตามหัวใจบ้าง ผู้ชายดีๆ ที่รับทุกอย่างที่แกเป็นได้แบบนั้น จะได้เจอสักกี่ครั้งในชีวิต ฉันยังอยากเจอเลย”
“ฉันสามารถทำตามใจตัวเองได้ด้วยเหรอ”
“ได้สิ เพราะแกก็มีสิทธิที่จะมีความสุขเหมือนคนอื่น”
ริลณีได้ฟังคำตอบก็โผเข้ากอดเฟื่องฟ้าไว้แน่น

ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขและความหวัง

เสียงเพลง “รำอวยพรอ่อนหวาน”ดังกังวานอยู่ในห้องชมรมนาฏศิลป์ ริลณีในชุดเสื้อนักศึกษา โจงกระเบนแดง กำลังฝึกซ้อมรำเพลงนี้อยู่ที่หน้ากระจกอย่างตั้งใจอยู่คนเดียว

ครู่หนึ่งเธอก็รู้สึกเหมือนใครมาดึงผม แต่พอหันกลับไปมอง กลับไม่พบใคร ครั้นจะรำต่อก็ถูกดึงอีก เธอเริ่มรู้สึกกลัว รีบเดินไปปิดเพลง จะเดินไปหยิบกระเป๋าจะเดินออกไป
จู่ๆ เสียงเหมือนอะไรสั่นก็ดังขึ้นมา พอริลณีหันไปมอง ก็เห็นตู้ที่วางชฎาสั่นไหว เธอรีบเดินเข้าไปดู
ก่อนจะเห็นอุบะดอกไม้ทัดตกอยู่บนพื้น ทั้งๆ ที่ตู้ใส่มีกระจกปิดอยู่ เธอก้มหยิบขึ้นมามองอย่างแปลกใจ
ขณะกำลังจะเปิดตู้เก็บเข้าไป อยู่ดีๆ เธอก็รู้สึกหนาวหลังวูบๆ หนาวจนทำให้ลมหายใจกลายเป็นไอบางๆ บนกระจกตู้ เธอรีบเอามือเช็ด ก่อนจะเห็นภาพเงาสะท้อนจากกระจกตู้ที่พร่ามัว เป็นเงาของผู้หญิงผมยาว หน้าตาน่ากลัวในชุดนักศึกษาเก่ามอมแมม ยืนอยู่ด้านหลังเธอ
จากภาพเลือนๆ ค่อยๆ ชัดขึ้น ริลณีผงะตกใจ ตัวสั่น ค่อยๆ หันหลังกลับไปมอง แล้วก็เห็นผีรุ่นพี่ยืนจ้องตาเขม็ง ก่อนจะค่อยๆ แสยะยิ้มจนปากค่อยๆ ฉีกยาวไปจนถึงไปหู พร้อมๆ กับเลือดสีแดงไหลทะลักล้นออกมาเต็มพื้น
ริลณีตกใจกรีดร้องพร้อมจะวิ่งหนี แต่วิ่งไปไม่ได้ พอก้มมองที่ขา ก็เห็นผีนักศึกษารุ่นพี่ที่คลานอยู่กับพื้นในสภาพร่างครึ่งท่อน ไม่มีท่อนล่างเอามือจับขาไว้อยู่ พร้อมกับพูดด้วยเสียงโหยหวน
“เอา-ของ-ฉัน-คืน-มา”

ริลณีกรีดร้องลั่น ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งหายใจหอบด้วยความตกใจ เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า เธอหันมองไปรอบๆ ห้อง เห็นว่าน้องๆ และเพื่อนๆ ทุกคนกำลังนอนหลับสนิท เธอยกมือขึ้นทาบหน้าอกที่ยังหายใจหอบไม่หาย รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ริลณีก้มกราบหิ้งบูชาพ่อแก่ ที่วางชฎาและมงกุฎด้วยความตื่นกลัว
“หนูขอโทษนะคะ หนูจะรีบหาอุบะกับดอกไม้ทัดอันเก่ามาคืนโดยเร็วที่สุด”
เธอก้มลงกราบ ก่อนจะเงยหน้ามองชฎาด้วยความรู้สึกหวาดกลัว จนชมพูที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง ต้องออกปากถามอย่างแปลกใจ เธอรีบเล่าเรื่องในฝันให้ฟัง ว่ามีผีนักศึกษามาทวงของคืน
“ของของเค้า ? อะไรเหรอ”
“เค้าไม่ได้บอก แต่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นอุบะกับดอกไม้ทัดที่เคยติดบนชฎานั้น”
ชมพูได้ฟังก็ตกใจ
“จริงด้วยสิ ตั้งแต่วันนั้น พวกเราก็ไม่ได้หาอีกเลย”
“รินพยายามหาในห้องนี้ก็ไม่มี”
“หรือว่าตกอยู่หลังเวที ไปดูกันมั้ย”
ริลณีพยักหน้ารีบ จากนั้นทั้งคู่ก็รีบเดินออกจากห้องไป โดยไม่ทันสังเกตเห็นกล่องเครื่องสำอางที่หงส์หยกเอาอุบะและดอกไม้ทัดซ่อนเอาไว้ถูกวางซ้อนๆ อยู่ในมุมหนึ่งในห้องนั่นเอง

ทั้งคู่เดินมาถึงห้องประชุม แต่กลับพบว่าประตูห้องถูกล็อก ริลณีหน้าเครียด ชมพูเห็นท่าทางของเพื่อนไม่สู้ดี ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“อย่างนี้ต้องพารินไปช้อปปิ้งแก้เครียดแล้ว คือฉันต้องไปงานวันเกิดที่สำคัญมาก เลยอยากจะชวนรินไปช่วยเลือกของขวัญให้หน่อยได้มั้ย จะเลือกเองก็ไม่มั่นใจ นะ นะ นะ ถือว่าไปเที่ยวแก้เครียด รินจะได้ลืมเรื่องที่ฝันร้ายด้วย”
ริลณีรีบพยักหน้ารับคำ

ระหว่างช่วยกันเลือกซื้อของขวัญด้วยกัน ชมพูเดินจับมือริลณีอย่างรักใคร่และอารมณ์ดีสุดๆ จนฝ่ายหลังสัมผัสได้
“คนที่ชมพูเลือกซื้อของขวัญให้ ต้องเป็นคนสำคัญมากแน่ๆ ถ้าให้เดา สงสัยจะเป็นแฟน”
ชมพูยิ้มเขิน
“ของคุณพ่อเค้าต่างหาก อ้อ แล้วเขาก็ไม่ใช่แฟนด้วย แค่เพิ่งไปเดทกันมาเอง”
“ผู้ชายคนที่ชมพูชอบเนี่ย ต้องเป็นคนโชคดีมากๆ เลย เพราะชมพูทั้งสวย ทั้งน่ารัก”
“ฉันว่าเค้าน่าจะโชคร้ายมากกว่า เพราะเค้าอาจจะยังไม่รู้ว่าฉันน่ะ แอบร้าย”
ชมพูพูดพลางเหลือบไปเห็นของที่อยากซื้อ ก็รีบดึงมือริลณีเข้าไปดู ก่อนจะตัดสินใจซื้อ
“เดี๋ยวฉันไปรูดบัตรจ่ายตังก่อนนะ”
พูดจบก็เดินตามพนักงานขายออกไป ริลณีไล่ดูของไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่ตุ๊กตาคริสตัลที่ราคาไม่แพงนักด้วยความสนใจ

ชมพูยืนรอพนักงานห่อของขวัญอยู่ ครู่หนึ่งริลณีก็เดินถือถุงกระดาษเล็กๆ เข้ามา พร้อมกับบอกว่าจะไปรำที่งานฉลองบ้านเพื่อน เลยคิดว่าน่าจะมีของขวัญไปด้วยเหมือนกัน
“เพื่อนคนไหน ชมพูรู้จักรึเปล่า”
“ไม่รู้จักหรอกจ๊ะ เค้าอยู่มหาวิทยาลัยอื่นน่ะ”
ชมพูยิ้มล้อๆ “นั่นแน่ ท่าทางจะไม่ใช่เพื่อนธรรมดาๆ แล้วล่ะ สัญญานะว่าถ้ารินมีแฟนจะพามาแนะนำให้ฉันรู้จักเป็นคนแรก”
“รินว่าชมพูน่ะแหละจะมีก่อน แล้วพามาให้รินรู้จักด้วยนะ”
“แน่นอน ชมพูจะต้องพาเค้ามาให้รู้จักรินเป็นคนแรกแน่ๆ”
2 สาวมองหน้ากันยิ้มๆ แทนคำสัญญา

ริลณีมองถุงใส่ของขวัญในมือ ด้วยแววตาเป็นประกาย รู้สึกมีความหวัง

บรรยากาศที่บ้านของเตชินดูคึกคักสมกับเป็นวันเกิดคนใหญ่คนโต จิตราและณรงค์ยืนรอรับแขกหน้าบ้าน พร้อมกับเตชิน ที่เอาแต่ชะเง้อคอมองเข้าไปในบ้าน เพราะเป็นห่วงริลณี จนผู้เป็นแม่มองค้อน
“จริงๆ แกน่าจะไปรับหนูชมพู”
“เค้ามากับคุณพ่อ คุณแม่ แถมยังมีคนขับรถประจำตัวนะครับ ไม่เห็นต้องห่วงอะไรเลย”
“แม่ขอสั่งแกเลยนะ ว่าต่อจากนี้ไปแกต้องสนใจ เอาใจใส่หนูชมพูมากกว่านี้”
“เพื่ออะไรครับ” เตชินย้อนถาม
“ก็เพื่อที่เค้าจะได้ยอมมาดองกับเราไง”
เตชินหน้าเสีย
“แต่ผมกับน้องชมพู เราเป็นแค่เพื่อนกันนะครับ”
จิตราไม่สนใจ รีบคิดเองสรุปเองว่าทันทีที่เขาเรียนจบ จะส่งไปเรียนต่อที่อเมริกาพร้อมกับชมพู
เตชินได้ฟังก็ไม่พอใจ รีบเดินเลี่ยงออกไปทันที ผู้เป็นแม่มองตาม ก่อนจะหันไปสั่งสร้อยให้ตามประกบและทำทุกวิถีทาง ไม่ให้เขาแอบไปหาริลณีเด็ดขาด
สร้อยรับคำแล้วก็ทำตามอย่างเคร่งครัด แต่กลับถูกเตชินผลักตัวเข้าไปในห้อง แล้วล็อกประตูขังไว้

ริลณีในชุดนางรำมองออกไปนอกหน้าต่าง พอเห็นแขกมาร่วมงานอย่างหนาตา ก็เริ่มประหม่า มือไม้สั่น จังหวะนั้นเตชินก็รีบเข้ามาในห้องพอดี
“ไม่นึกว่าแขกจะมากขนาดนี้ ฉันกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีอย่างที่คุณ…”
เตชินรีบคว้ามือเธอมากุมอย่างอ่อนโยน
“คุณทำได้ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมมั่นใจในตัวคุณ ถ้าคุณมั่นใจในตัวผม หลังเลิกงาน ผมจะพาคุณไปแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จัก”
ริลณีเลิกคิ้ว “ในฐานะอะไรเหรอคะ”
“คนที่ผมชอบ แล้วก็อยากจะคบด้วย”
“คุณก็รู้ว่าเรา 2 คน มันเป็นไปไม่ได้”
เตชินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนเหมือนคุณ แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอคุณ ผมก็ทนไม่ได้แล้ว ผมรู้ว่าเรา 2 คนต่างอย่างที่คุณบอกจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาที่เราจะผ่านมันไปไม่ได้ สำหรับผม ปัญหาเดียวที่จะทำให้ผมตัดใจจากคุณก็คือ คุณไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผม แค่คุณบอกให้ผมไป ผมก็จะไม่วุ่นวายกับคุณอีก”
เตชินจ้องหน้าริลณีอย่างต้องการคำตอบ เธอรีบหลบตา ใจเต้นตึกตัก
“ริลณี คุณไม่ได้รังเกียจผมใช่มั้ย”
“คุณพูดอย่างนั้นได้ยังไงคะ คุณสูงส่งกว่าฉันตั้งเยอะ คุณยังไม่รังเกียจฉัน”
เขาได้ฟังก็ยิ้มดีใจ
“แสดงว่าคุณไม่รังเกียจผม งั้นถ้าผมขอโอกาสจากคุณ คุณจะให้ผมได้มั้ย”
ริลณีครุ่นคิดหนัก ก่อนจะพ่ายแพ้ต่อสายตาของเตชิน จึงพยักหน้าน้อยๆ เขารีบดึงเธอเข้ามากอด เธอตกใจรีบพยายามผละออก ทั้งคู่มองหน้ากันเขินๆ

เสียงเพลง “รำอวยพรอ่อนหวาน” ดังกังวานขึ้นมา ริลณีรำอย่างอ่อนช้อย งดงามอยู่กลางเวที เรียกความสนใจจากผู้คนในงาน โดยเฉพาะเตชิน ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าสุด เขามองเธอด้วยสายตาปลาบปลื้มอย่างไม่ปกปิด จนจิตราต้องสะกิดให้ณรงค์มองด้วยความไม่พอใจ
พิชัยเดินเคียงพิสมัยเข้ามาในงาน ณรงค์ จิตรา และเตชินรีบลุกไปต้อนรับในฐานะแขกคนสำคัญ
ริลณีที่รำอยู่บนเวที มองอย่างสนใจ เพราะท่าทางทั้งหมดดูสนิทสนมกันมากๆ ครู่หนึ่งชมพูในชุดสวยน่ารัก ก็เดินตามเข้ามา พร้อมทั้งยื่นกล่องของขวัญให้ณรงค์ เธอชะงักมองกล่องของขวัญอย่างคุ้นตา แล้วก็ต้องอึ้งไป เมื่อจำได้ว่าเป็นของขวัญที่ไปซื้อกับชมพู ยิ่งเห็นภาพณรงค์และจิตรากอดชมพูอย่างรักใคร่ และภาพชมพูและเตชินยืนคุยกันอย่างสนิทสนม เธอก็ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที

ชมพูที่ยืนคุยอยู่กับเตชินมองไปบนเวที แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นริลณีกำลังรำอยู่
“เอ๊ะ! คนที่รำอยู่บนเวทีนั่นเพื่อนชมพูนี่คะ”
เตชินอึ้งไปนิดหนึ่ง “น้องชมพูรู้จักริลณีด้วยเหรอครับ”
“รู้จักสิคะ ก็เราอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ชมรมเดียวกัน แล้วเราก็สนิทกันมากด้วย เห็นบอกว่าจะมารำงานฉลองบ้านเพื่อน ที่แท้ก็พี่เตชินนี่เอง ไปรู้จักริลณีตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
เตชินกำลังจะตอบ แต่จิตราที่แอบฟังอยู่ รีบพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่ใช่เพื่อนของเตชินหรอกจ้ะ มีคนแนะนำมาอีกที ป้าเห็นเป็นเด็กกำพร้าอยากหาเงินเรียนหนังสือ ก็เลยช่วยเหลือ”
“อย่างนี้นี่เอง นี่ถ้ายายรินรู้จักพี่เตชินจริง สงสัยชมพูต้องไปคุยกันยาวเลยค่ะ”
ชมพูหัวเราะขำอย่างไม่คิดอะไร จิตรามองเตชินแล้วทำหน้าดุใส่ ประมาณห้ามพูดเรื่องริลณีอีก
เตชินทำหน้าเอือม

ริลณีที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว หิ้วกระเป๋ากำลังจะออกจากบ้าน แต่ไม่วายหันกลับไปมองที่งาน พอเห็นเตชินและชมพูตักอาหารให้กันและกัน ก็ทนดูไม่ไหวจะรีบเดินออกไป แต่จิตรามายืนขวางไว้ ก่อนจะยื่นซองให้ด้วยแววตาเหยียดหยาม
“นี่ค่าจ้างของเธอ และฉันเพิ่มให้เธออีก 2 หมื่นบาท หวังว่าคงจะไม่เห็นเธอมายุ่งวุ่นวายกับลูกชายฉันอีก รับไปสิ”
ริลณีจ้องหน้าจิตรานิ่ง ไม่ยอมรับซองเงิน จนอีกฝ่ายโมโห โยนซองเงินไปบนพื้นแบบไม่ใยดี ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องไป
เธอมองซองเงินบนพื้นอย่างเจ็บปวด ก่อนจะตัดสินใจ หยิบข้าวของ รวมทั้งกล่องของขวัญ ออกจากห้อง โดยไม่แตะต้องซองเงินที่จิตราโยนให้สักนิด

เตชินเดินวนไปวนมาอยู่หน้าตึกที่มหาวิทยาลัย พอเห็นริลณีเดินลงมา ก็รีบจะเดินเข้าไปหา แต่เธอกลับรีบเดินเข้าไปหากลุ่มของเอกราชที่นั่งอยู่ไม่ไกล พร้อมกับทำเป็นไปคุยหัวเราะอย่างสนิทสนม
เขามองอย่างแปลกใจ แล้วทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่เสียงของชมพูดังขึ้นมาก่อน
“พี่เตชินมาทำอะไรแถวนี้ อย่าบอกนะคะว่าจะมารับชมพูกลับบ้าน”
เตชินอึกอักไม่กล้าปฎิเสธ
“เอ่อ คือ ใช่ครับ แล้วน้องชมพูเรียนเสร็จรึยัง เราจะได้กลับกัน”
“เสร็จพอดีเลยค่ะ งั้นเดี๋ยวชมพู บอกน้าสมหมาย ให้กลับไปก่อนก็แล้วกันนะคะ”
ชมพูรีบเดินนำออกไป เตชินละล้าละลัง พยายามมองหาริลณี แต่เธอกลับไม่อยู่ใต้คณะแล้ว เขาจึงเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว

ริลณีที่แอบยืนหลบมุมอยู่ เดินออกมามองตามเตชินและชมพูด้วยสายตาสร้อยเศร้า

ริลณีนั่งหน้าเศร้า ครู่หนึ่งกลุ่มของเอกราชก็เดินเข้ามาหา เชิงชายรีบยื่นแผ่นซีดีเพลงสำหรับรำ แล้วก็สมุดเล็คเชอร์ให้ เธอรีบรับไว้พร้อมกับพูดขอบคุณ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป

เชิงชายมองเอกราชอย่างแปลกใจ
“โอกาสกำลังดีแบบนี้ ทำไมไม่รุกต่อวะ”
“ไม่ได้หรอก ของอย่างนี้ มันต้องช้าๆ ไม่งั้นเดี๋ยวไก่จะตื่น”
เอกราชมองตามริลณี แล้วก็หัวเราะชอบใจ

กลุ่มเอกราชทำทีมาช่วยริลณีหาอุบะกับดอกไม้ทัดที่หลังเวทีห้องประชุม เธอรีบบอกอย่างเกรงใจ
“จริงๆ พวกนายไม่ต้องช่วยก็ได้นะ เดี๋ยวรินหาเองก็ได้”
เอกราชแกล้งทำเป็นพูดดี
“แหม ช่วยมาขนาดนี้แล้ว ช่วยอีกนิดให้เสร็จจะเป็นไรไป”
ประวิทย์มองไปรอบๆ
“ก็หาทุกซอกทุกมุมแล้วนะ ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“งั้นคงไม่ได้ตกอยู่ที่นี่จริงๆ”
ริลณีถอนใจ แล้วทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่บังเอิญเดินไปชน เข้ากับป้ายที่อยู่หลังเวทีอย่างจัง เอกราชทำทีรีบวิ่งเข้าไปดูอย่างเป็นห่วง
“เจ็บมากมั้ย”
ริลณีเห็นเอกราชที่ดูเป็นห่วง ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีรังเกียจ
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
พูดจบก็รีบลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากหลังเวทีโดยเร็ว เอกราชรีบเดินไปตามออกไป เชิงชายมองตามทั้งสองแล้วก็แอบยิ้ม
“ไม่นึกเลยนะว่าแผนคนดีของไอ้เอกราชจะได้ผลเร็วขนาดนี้”

ตุลเทพว่ายน้ำมาแตะขอบสระด้วยอารมณ์หงุดหงิด และยิ่งหงุดหงิดยิ่งขึ้น เมื่อเงยหน้าไปเห็น
ปริมลดายืนกอดอกมองด้วยหน้าตาเยาะเย้ย โดยมีหงส์หยกยืนอยู่ข้างๆ ด้วย
พอตุลเทพขึ้นมาจากสระ ปริมลดาก็โวยวายใส่ทันที
“โดนปลดจากตัวจริงทีมมหาวิทยาลัย ทำไมถึงไม่บอกกันเลย”
“ผมไม่มีมีอารมณ์จะทะเลาะกับคุณนะลดา”
“ไม่มีเวลาซ้อม ไม่มีเวลาคุยกับลดา แต่มีเวลาไปจีบผู้หญิงอื่นงั้นใช่มั้ย”
ตุลเทพที่พยายามเดินหนีหยุดมองหน้า ปริมลดาด้วยความไม่พอใจ หงส์หยกที่ยืนอยู่ รีบเข้ามา ทำเป็นพูดดี
“เมื่อกี๊ตอนที่อยู่ด้วยกัน เธอห่วงตุลเทพเค้าอย่างงั้นอย่างงี้ ทำไมพอเจอหน้าถึงไปแขวะเค้าอย่างนั้น มันไม่ดีนะ”
“ก็ดูเค้าทำกับฉันสิ คนอย่างนี้เหรอ ที่น่าเป็นห่วง”
ปริมลดาพูดพร้อมกับสะบัดหงส์หยกออก ก่อนจะเดินไปเอาเรื่องตุลเทพ
“จะบอกอะไรให้นะ ยายริลณีที่นายคลั่งนักคลั่งหนา ตอนนี้เค้ากำลังคั่วอยู่กับเอกราชแล้ว ก็คิดดูแล้วกัน ว่าลูกชายมหาเศรษฐีเมืองไทย กับนักกีฬาตกอับ ยายริลณีจะเลือกใคร”
ตุลเทพได้ฟังก็ยิ่งโมโหหนัก ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่มองหน้า ปริมลดายืนกำมือแน่นด้วยความโกรธ

ริลณีกำลังหาหนังสืออยู่ในห้องสมุด เมื่อเอาหนังสือออกจากชั้นวาง ก็เห็นตุลเทพยืนมองจ้องเขม็งอยู่อีกด้าน เธอตกใจ รีบเอาหนังสือเล่มนั้นเก็บคืนที่เดิม แล้วรีบเดินออกไป แต่อีกฝ่ายกลับไปดักที่ทางออกไว้ก่อน
“กับผมทำเป็นเชิ่ดใส่ แต่กับไอ้เอกราชน่ะระริกระรี้มีความสุข ทำไม เอกราชมันรวยกว่า หล่อกว่าผมตรงไหน หรือว่าเพราะมันขับรถหรู คุณถึงได้ชอบ”
ริลณีสวนกลับทันที
“นายมันก็ดีแต่ชอบคิดเรื่องทุเรศๆ ฉันกับเอกราชเป็นแค่เพื่อนกัน”
“แต่คนเค้าพูดกันทั้งมหาวิทยาลัยว่าเธอกับเอกราชคบกัน”
“ฉันเป็นเพื่อนกับทุกคน”
ตุลเทพยิ้มเยาะ
“อย่ามาพูดดีสร้างภาพให้ตัวเองเลย เธอมันก็เห่อคนรวยเหมือนผู้หญิงคนอื่น ทำมาเป็นเล่นตัวกับฉัน ระวังจะโดนไอ้เอกราชหลอกฟันไม่รู้ตัว”
ริลณีเงื้อมืออย่างอยากจะตบ แต่ค้างไว้
“นาย คนอย่างนาย นี่มันเกินเยียวยาจริงๆ”
พูดจบก็รีบเดินหันหลังและหนีไปอีกทาง ตุลเทพที่ยังโมโหไม่หาย รีบตามไป ก่อนจะถือวิสาสะคว้าแขนเธอมาจับไว้แน่น
“เดี๋ยวก่อน เธอยังไปไหนไม่ได้ ต้องมาพูดกับฉันให้รู้เรื่องก่อน”
“ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะพูดกับนาย ปล่อย”
ตุลเทพกลับยิ่งจับไว้แน่น
“เก็บไว้ให้ไอ้เอกราชมันจับคนเดียวรึไง ฉันจะบอกให้ ว่าฉันมีดีกว่าไอ้เอกราชมันเยอะไม่อย่างนั้น แฟนฉันไม่ทั้งรักทั้งหลงหรอก”
“นายมีแฟนอยู่แล้วจะมายุ่งกับฉันทำไม”
“ฉันยอมไปเลิกกับแฟนวันนี้ พรุ่งนี้เลยก็ได้ ถ้าเธอยอมคบกับฉัน”
ปริมลดาที่เดินเข้ามาพร้อมกับหงส์หยกเห็นภาพตรงหน้าก็โกรธจัด รีบเดินเข้าไปกระชากตัวริลณีที่ตุลเทพจับไว้มาตบอย่างแรง จนอีกฝ่ายลงไปกองกับพื้น แล้วก็ตามไปตบซ้ำไม่ยั้ง
หงส์หยกทำท่าเหมือนพยายามจะเข้าไปห้าม แต่จริงๆ แอบหยิบมือถือมาถ่ายคลิปไว้
“นี่น่ะเหรอ ที่แกบอกว่าจะไม่ยุ่งกับแฟนของฉัน นังหน้าด้าน นังโกหก แกคิดจะหว่านแหจับผู้ชายทั้งมหาวิทยาลัยรึไง”
ปริมลดาตะคอกเสียงดัง จนนักศึกษาคนอื่นรีบวิ่งเข้ามามุงดู พลางถ่ายคลิปถ่ายรูปไว้
น้าไหวรีบเข้าไปจับปริมลดาไว้ ส่วนกล้าพยายามเข้าไปพยุงริลณีที่ล้มลงกับพื้นขึ้นมา ปริมลดาสะบัดมือน้าไหวออก ก่อนจะวิ่งเข้าไปจะตบริลณี แต่พลาด โดนกล้าเต็มๆ
น้าไหวกับกล้าจึงต้องช่วยกันจับปริมลดาไว้ ตุลเทพรีบเข้าไปดูริลณี ยิ่งทำให้ปริมลดาโกรธมาก
“ต่อหน้าต่อตา ยังกล้าไปหามันอีกเหรอ”
“มากเกินไปแล้วนะลดา คุณนี่มัน ผมจะไม่ทนอะไรแบบนี้อีกแล้ว”
ปริมลดาสวนกลับทันที
“ไม่ทน ก็เลิกเจ้าชู้สิ”
“แล้วตัวคุณเองล่ะ มั่วไม่เลือก อย่าคิดว่าผมไม่รู้อะไรนะ แต่ที่ผมเลือกไม่พูด เพราะไม่คิดว่าเป็นปัญหา เรา 2 คนคบกันแบบแฟร์ๆ แต่ถ้าคุณคิดว่าไม่แฟร์ งั้นเราก็เลิกกัน ต่างคนต่างอยู่ อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย”
ปริมลดาโกรธจัด “คิดจะเลิกคบกับฉันไปคบมันใช่มั้ย”
“ถ้าริลณีเค้ายอมคบผมผมก็คบ แต่ผมจะไม่ยอมคบกับคุณอีก เข้าใจมั้ย คุณมันผู้หญิงป่าเถื่อน ขาดสติ ผมทนอยู่กับคุณไม่ได้หรอก พอกันทีเถอะ”
ตุลเทพพูดพร้อมกับรีบพาริลณีออกไป ปริมลดามองตามอย่างโมโห ก่อนจะมองไทยมุงที่ทั้งสมเพช ทั้งหัวเราะสะใจ ด้วยความทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้งแค้น

ปริมลดาร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยมีหงส์หยกพยายามช่วยพูดปลอบ
“มันเลิกกับฉันต่อหน้าคนตั้งเยอะ แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ก็เตือนแล้วว่าอย่าไปทำตัวป่าเถื่อน ไร้สติแบบนั้น ผู้ชายที่ไหนเค้าก็ไม่ทนหรอก คือฉันหมายถึง ผู้ชายน่ะความอดทนต่ำ เอาใจยากน่ะ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะริลณีชอบอ่อยผู้ชายไปทั่ว ตุลเทพคงไม่กล้าทำกับเธอแบบนี้หรอก”
หงส์หยกพูดยุ ซึ่งได้ผล
“นังริลณี มันทำให้อายต่อหน้าคนทั้งมหาวิทยาลัย คอยดูเถอะ ใครที่มันทำให้ฉันเจ็บ มันจะต้องเจ็บยิ่งกว่าฉันเป็นสิบเท่า”

ปริมลดากำมือแน่นด้วยความแค้น

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น