xs
xsm
sm
md
lg

เงาใจ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงาใจ ตอนที่ 2

เมทินีพาตัวเองมาอยู่ที่โรงพยาบาลตอนเช้า เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามาในห้องพักฟื้นของวาทิต พอเห็นเป็นเมทินี วาทิตก็ยิ้มกว้างดีใจ แทบไม่เชื่อสายตา

“เม”
ส่วนที่หน้าประตูห้องตอนนี้ พ่อเลี้ยงวิทย์ยืนแอบดูด้วยความกังวลใจ เห็นวาทิตกับเมทินีคุยกัน พ่อเลี้ยงยืนจ้องไม่วางตา

วาทิตกับเมทินีคุยกันอยู่
“คุณพ่อบอกว่าเมยังไม่ได้รับปากแต่งงานกับพี่กูรใช่ไหม”
เมทินีพยักหน้ารับ วาทิตเอื้อมมือมาจับมือเมทินีกุมไว้
“ถ้างั้นเมแต่งงานกับผมนะ”
เมทินีตัดสินใจบอกตามความรู้สึก “วาทิต บางทีเราสองคนก็เหมาะจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากกว่านะ”
“แต่ผมรักเม”
“ตอนนี้เธออย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่น รู้ไหมว่าพ่อเลี้ยงรักและเป็นห่วงเธอมาก”
“เม...ผมกำลังคุยเรื่องของเรา”
“ฉันสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ”
เมทินีจับมือวาทิตปลอบด้วยท่าทีแบบเพื่อน วาทิตได้ยินคำยืนยันจากเมทินีก็นิ่งไป แล้วหันไปมองนอกหน้าต่างไม่มองหน้าเมทินีจนเธอรู้สึกผิด
“ฉันขอโทษนะวาทิต”
วาทิตเริ่มหายใจหอบ “เมกลับไปเถอะ ผมไม่อยากรบกวน”
“วาทิต เธอโอเคหรือเปล่า ฉันอยู่เป็นเพื่อนเธอได้นะ”
วาทิตพยามอดทนให้ดูปกติ “ผม...” แต่กลับหอบมากขึ้น “ผม...โอเค...ขอบคุณที่มาเยี่ยม”
พ่อเลี้ยงวิทย์ที่ยืนอยู่ด้านนอกมองเข้ามารู้สึกใจคอไม่ดี เลยรีบเปิดประตูเข้ามาหาลูกชาย
“วาทิตเป็นยังไงบ้าง”
วาทิตยังนิ่งเหมือนไม่ได้ยินแต่หอบมากขึ้นอีก วิทย์กับเมทินีมองหน้ากันใจไม่ดี
“วาทิต”
สักพักวาทิตก็หายใจไม่ออก เมทินีเห็นอาการก็ตกใจ
“วาทิต ใจเย็นๆ นะลูก อย่าเป็นอะไรนะ” พ่อเลี้ยงถลันไปกดอินเตอร์คอมข้างเตียง “หมอ ช่วยเรียกหมอด่วน”
หมอกับพยาบาลวิ่งเข้ามา “ญาติถอยไปก่อนนะคะ”
พ่อเลี้ยงกับเมทินีถอยมายืนมองร่างวาทิตในขณะที่พยาบาลรีบปิดม่าน พ่อเลี้ยงวิทย์หลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาเอง เมทินีเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

คืนนั้นด้านหน้าร้านดอกไม้ติดป้ายคำว่าปิดแล้ว
ส่วนด้านใน เห็นเมทินีนับดอกไม้ในตู้เย็น มณีที่ยังอยู่ในชุดทำงานที่โครงการยืนนับเงินลงบัญชีอยู่ โดยหลังจากเลิกงานมณีจะกลับมาช่วยงานลูกสาวเสมอ ส่วนไมตรีในชุดนักศึกษากำลังถูพื้นร้าน จนเห็นพี่สาวเหม่อเลยเดินไปสะกิดแม่ให้ดู
“คิดเรื่องวาทิตวันนี้เหรอลูก”
เมทินีเดินมาหาแม่ “ค่ะ เมยอมรับว่าสงสารวาทิต”
“อย่าบอกว่าพี่เมจะหันไปชอบพี่วาทิตนะ”
“บ้าเหรอ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้”
“ทำไมล่ะ เอาเข้าจริงพี่วาทิตก็รักพี่เมมากนะ”
“แต่นิสัยพี่กับวาทิตไม่มีทางไปด้วยกันได้”
ใบหน้าสวยหวานของเมทินีนิ่ง มีแววจดจำรำลึกเรื่องราวในอดีต

สมัยเรียนโรงเรียนมัธยม วันนั้น เมทินีจับคู่ตีแบตมินตันกับทิปปี้ โดยมีวาทิตเป็นคนนับคะแนนให้ เมทินีกับทิปปี้เล่นกันอย่างสนุกสนาน
“วาทิตลงมาเล่นบ้างมั้ย” เททินีร้องชวน
“เม แกก็รู้ว่าพี่วาทิตเขาไม่ค่อยแข็งแรง”
“ไม่แข็งแรงก็ต้องออกกำลังกายสิแก ไม่ใช่ไม่แข็งแรงแล้วก็เลยไม่ทำอะไร มันก็ยิ่งไม่แข็งแรงไปใหญ่”
วาทิตที่นั่งอยู่ข้างสนามตัดสินใจลุกขึ้น ถอดแว่น แล้วรับไม้แบตจากทิปปี้ลงไปยืนตีกับเมทินี แต่พอเริ่มเสิร์ฟไปไม่เท่าไหร่ วาทิตก็เริ่มเหนื่อยเริ่มหอบจนเมทินีกับทิปปี้เป็นห่วง
“เราว่าวันนี้เธอพอแค่นี้ก่อนเถอะ”
“เราตีอีกนิดก็ได้นะ”
วาทิตเดินไปที่ท้ายคอร์ตจะเริ่มเสิร์ฟ แต่แล้วก็ทรุดตัวลงนั่ง เมทินีกับทิปปี้รีบวิ่งพาไปนั่งพักข้างสนาม
ระหว่างนั้นมีนักเรียนร่วมชั้นชายสองคนเดินเข้ามา
“เม ทิปปี้เราสองคนขอเล่นด้วยสิ” หนุ่มชื่อวิรัชเอ่ยขึ้น
“ก็ดีนะ เล่นแบบคู่เลยแล้วกัน” ทิปปี้บอกกับวาทิต “วาทิต เธอนับคะแนนให้หน่อยนะ”
“เล่นแบบคู่ผสมแล้วกัน เราคู่กับเมนะ”
วิรัชยิ้มเดินไปหาเมทินี วาทิตเห็นก็ไม่พอใจ
“ไม่ได้ นายสองคนไปที่อื่นเลยไป”
วาทิตรีบออกมากันจนทุกคนงง
วิรัชไม่ยอม “เฮ้ย ไอ้พิการอย่าซ่าน่า”
“ฉันไม่ได้พิการโว้ย”
“ตั้งแต่เด็กจนโต นายเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่ไม่ต้องเล่นพละ ไม่เรียกพิการแล้ว เรียกอะไรวะ” สุพจน์ว่า
วาทิตเอาไม้แบตไล่ตีหัวเพื่อนจนวิ่งหนีไปแล้วตัวเองก็หอบ
วิรัชตะโกนด่า “ไปก็ได้วะ เดี๋ยวมันหัวใจวายตายไปเราสองคนจะซวย”
เมทินีมองด้วยความไม่ชอบใจ

“เธอทำนิสัยแบบนี้อีกแล้วนะ”

มณีกับไมตรีฟังเมทินีเล่าเรื่องจบ และสรุปอีกว่า

“ตั้งแต่นั้นพี่ก็ไม่ค่อยชอบนิสัยวาทิต เพราะนับวันวาทิตยิ่งแสดงอารมณ์กับทุกคนที่เข้าใกล้พี่ ซึ่งพี่ก็รู้ว่าเพราะเขาชอบพี่ แต่พี่ก็ให้ได้แค่ความเป็นเพื่อน”
“น่าสงสารวาทิตอย่างที่เมว่านะ ถึงจะมีเงินทองมากมาย แต่สุขภาพไม่เหมือนคนอื่น ก็เลยทำให้อารมณ์แปรปรวนไปด้วย”
“สรุปที่ผมเชียร์ข้างพี่กูรก็มาถูกทางแล้วสิ”
“นี่นายไม ไม่ใช่ชกมวยนะไม่ต้องมาเชียร์ข้างไหนทั้งนั้นยิ่งพี่น้องมาทะเลาะกันเพราะพี่แบบนี้ พี่ยิ่งตัดสินใจง่ายเลยว่าจะไม่รักใครทั้งนั้น”
“เม...คิดดีแล้วเหรอลูก”
“ดีที่สุดค่ะแม่ เมไม่อยากทำให้ใครต้องลำบากใจเพราะเม”
“เฮ้อ...ตกลงนี่พี่จะพลาดคนดีๆ อย่างพี่กูรเพียงเพราะติดที่พี่วาทิตงั้นเหอะ” ไมตรีบ่น
เมทินีกับมณีขำที่เห็นไมตรีทำท่าเซ็งผิดหวังจริงจัง

รุทรนั่งอยู่ที่บ้านเล็กท้ายรีสอร์ต ท่ามกลางบรรยากาศแสนสวย เขาหยิบเอากล้องมาต่อกับเครื่องแม็คเปิดดูรูปที่ถ่ายเอาไว้ แล้วเลือกขยายที่เป็นรูปเมทินี ที่หน้าจอเห็นรูปเมทินีตั้งแต่วันงานพืชสวนโลก รุทรไล่รูปเมทินีดูทีละรูปแล้วยิ้มพราย
รุทรเปิดรูปเมทินีดูมาจนถึงรูปที่เมทินีอยู่กับอังกูร ดูท่าทางเป็นคู่รักกัน ชายหนุ่มมองดูรูปนั้นก่อนจะถอนหายใจลึกๆ
อนุวัตรส่งเสียงนำมา พร้อมเปิดประตูพรวดเข้ามา “ไอ้รุทร”
รุทรรีบปิดหน้าจอแต่อนุวัตรเห็นแว้บๆ “เฮ้ย นั่นรูปใครวะ”
“เปล่า...” รุทรลากเสียง
“เปล่าอะไรก็เห็นอยู่แว้บๆว่าแกดูรูปผู้หญิง” อนุวัตรนึกได้ “รูปโป๊หรือเปล่า...ดูมั่งจิ” เขาทำหน้าหื่น เลียแขนประจบรุทร
“ไอ้บ้า ไม่ใช้รูปโป๊เว้ย”
“นั่นไง รูปผู้หญิงจริงๆ ด้วย” รุทรเจ็บใจที่เสียรู้ “แกแอบมีปิ๊งใช่ไหม ขอฉันดูหน่อยนะถ้าสวยฉันจะได้แย่ง ถ้าไม่สวยแกเอากลับคืนไป ยุติธรรมไหม”
รุทรตีหัวอนุวัตร “ทะลึ่งเลย ยังไงก็ไม่ให้ดู ว่าแต่แกมานี่มีอะไร”
อนุวัตรแบมือ “ค่าผักที่เจ๊บุษเมียแกขโมยไปน่ะสิ จ่ายมาเลย”
“ไม่ให้ แกไปเอาคืนที่เจ๊เขาเอง”
อนุวัตรลงทุนไหว้ “ไอ้รุทร ไหว้ละ โลกนี้มีแกคนเดียวที่สามารถเอาเงินจากยัยเจ๊ขี้ตืดได้ นะๆ ช่วยเค้าหน่อยนะตัวเอง”
รุทรทำเป็นคิด “อืม...เอางี้”
อนุวัตรดีใจ “ไงเหรอ”
“พรุ่งนี้นะ”
“พรุ่งนี้ทำไม”
“แกไปทวงเจ๊เขาเอง ฉันไปนอนแล้ว”
อนุวัตรเหวอ รุทรไม่สนใจแกล้งเก็บคอมพ์ใส่กระเป๋า
“ไอ้รุทร แกอย่างแกล้งฉันนะเว้ย เดือนนี้ฉันต้องใช้หนี้ที่ไปรูดมือถือมา”
รุทรส่งกุญแจให้ “ฝากปิดบ้านด้วยนะ”
แล้วรุทรก็เดินออกไปเฉยเลย อนุวัตรกรี๊ดสาวแตกใส่เสียงแหลมทะลวงไส้ติ่ง

“แอ๊ยยย...อีรุทร”

บรรยากาศในตลาดสดของบุษบันในตัวอำเภอ ดูวุ่นวายรีบเร่งเช่นทุกวัน ที่มุมหนึ่งตรงแถวๆ แผงเนื้อสัตว์ เห็นบุษบันเดินนวยนาดเก็บเงินค่าเช่า พอได้เงินก็นับแล้วแจ้งยอดเงินให้คนรับใช้จดลงสมุด
 
ตัวเองเอาเงินใส่กระเป๋าหนีบไว้ที่แขน แล้วเดินต่อมาที่เขียงหมูที่มีลูกค้ากำลังซื้อของอยู่ ส่วนแม่ค้ากำลังสับหมูชั่งให้
“ป้าเข่ง ค่าเช่า”
“รอแป๊บนะจ๊ะเจ๊บุษ ขอขายของก่อน”
“ไม่ได้! ฉันรีบ” บุษบันบอกกับคนซื้อหมู “รอได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไปเดินตลาดนอกอำเภอ” เจ๊จอมงกจ้องหน้า “เอ๊ะ...นี่พี่เนียนลูกหนี้ฉันนี่ แหม...เจอพอดีจ่ายมาเลย”
คนซื้อหน้างอรีบส่งเงินให้ ป้าเข่งก็ส่งเงินให้
บุษบันนับเงินแล้วบอกคนใช้ “ป้าเข่งค่าแผง 4,000 พี่เนียนจ่ายค่างวด 1,800”
พูดจบก็เดินไปเลย ลูกน้องจดยิกๆ พอเงยหน้ามาเห็นบุษบันเดินไปก็รีบวิ่งตาม

ที่แผงขายผักของบุษบัน บุษบันเดินมาถึงก็ยืนดูด้วยสีหน้ากลุ้มใจ
“สายแล้ว ทำไมมันเหลือเยอะอย่างนี้ล่ะ”
“เจ๊ขา ชาวบ้านเขาบอกว่าผักเจ๊แพงนี่ ต่อก็ไม่ได้” คนขายบอก
บุษบันบ่นบ้า “คนซื้อนี่มันก็งกจริง จะต่อให้ฉันจนลงหรือไง”
“ถ้ามันลำบากเราก็อย่าขายสิเจ๊ เอาแผงให้เขาเช่าก็สิ้นเรื่อง”
“ไม่ได้...ฉันต้องขายผักสิ จะได้มีเรื่องไปหารุทรแฟนฉัน”
เสียงอนุวัตรดังขึ้น “อ๋อ เป็นแบบนี้เอง”
บุษบันหันขวับไปตามเสียงก็เจอกับอนุวัตรยืนยิ้มกวนๆ อยู่ บุษบันกลอกตาเซ็ง
“ไอ้คนที่ไม่อยากเจอก็เจอกันจริ๊ง” พลางมองหายอดดวงใจ “รุทรล่ะ”
“พูดอย่างกับเคยเห็นมันมาหาเจ๊งั้นแหละ” อนุวัตรเหน็บ
“ปากเสียแบบนี้ออกไปจากตลาดฉันเลย”
“ไปก็ได้ แต่เจ๊ต้องจ่ายค่าผักของศูนย์วิจัยที่เจ๊เอามาก่อน”
“ถ้าไม่เจอรุทรก็ไม่จ่าย”
บุษบันพูดจบก็หัวเราะเยาะ แล้วแกล้งเดินชนไหล่อนุวัตรออกไป อนุวัตรมองตามด้วยความแค้นใจ แล้วคิดอะไรบางอย่างออก รีบเดินตามบุษบันไป

บุษบันเดินออกมารับเงินที่แผงหนังสือหน้าตลาดกับคนใช้ โดยไม่รู้ว่าอนุวัตรเดินตามมา พร้อมกับตะโกนมาจากด้านหลัง
“พ่อแม่พี่น้อง เจ๊บุษโกงเงินค่าผักของศูนย์วิจัยจ้า”
บุษบันกับคนใช้ตกใจรีบหันไปมอง อนุวัตรยิ้มเย้ยให้แล้วตะโกนต่อ
“มาดูกันเร็ว เมื่อวานไปเอาผักที่จะส่งศูนย์วิจัยมาขาย แล้วไม่จ่ายเงิน”
คนเริ่มมามุงดูมากขึ้น บุษบันเริ่มอาย “นี่ไอ้หน้าลิง หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“จ่ายเงินมาสิ” บุษบันเชิดใส่ “เร็วครับ มาดูหน้าเจ๊หน้าเลือดเร็ว ผักเอาไว้ส่งโรงเรียนเพื่อทำอาหารกลางวันให้เด็กกิน แต่เจ๊ใจดำแย่งอาหารเด็กยากจนเอามาขาย”
บุษบันมองไปรอบๆ ก็เห็นชาวบ้านเริ่มมองด้วยสายตาเหยียดหยามจนทนไม่ไหว เปิดกระเป๋าหยิบเงินให้
“เอ้า เอาไปเลย แล้วหุบปากด้วย”
อนุวัตรนับเงิน “ขาดยี่สิบเจ๊”
“โอ๊ย...ไอ้ขี้งก”
อนุวัตรรับเงินแล้วยิ้มร่าจะเดินออกไป ถูกบุษบันดึงคอเสื้อไว้
“นี่ได้เงินแล้วก็ตะโกนแก้ข่าวให้ด้วยสิ”
“ก็ตอนตะโกนยังไม่ได้ ตอนนี้ได้เงินก็ไม่ตะโกนให้เจ็บกระเดือกหรอก เดี๋ยวเสียงเสียร้องเพลงไม่เพราะ”
อนุวัตรได้เงินแล้วก็รีบเดินจากไป พร้อมแหกปากร้องเพลงสบายใจ บุษบันมองไปยังเห็นชาวบ้านมุงอยู่
“มองอะไรนักหนา ไม่เห็นหรือไงว่าฉันจ่ายเงินไปแล้ว”
บุษบันกัดฟันเจ็บใจ

ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นักศึกษาเอกต่างๆ เข้าเอาพานไปไหว้ครูเรียบร้อย โดยยังมีนักศึกษาจากคณะที่ยังไม่ได้เข้าไหว้ครูรออยู่ จังหวะนี้ เห็นไมตรีกับวารินที่เป็นตัวแทนของเอกเกษตรคือคู่ต่อไป
“ไม่ยักรู้ว่าหน้าอย่างเธอเขาให้เป็นตัวแทนถือพานไหว้ครูด้วย”
“ฉันเป็นตัวแทนนักกีฬา อ้อ..ลืมไปว่าเธอใช้สมองเป็นอย่างเดียวคงไม่รู้ว่าร่างกายคนเรามีอย่างอื่นให้ใช้ด้วย”
สองคนเดินไปแล้วลงคลานเข่าไปตรงหน้าอาจารย์ อาจารย์ยิ้มรอจะรับพาน ทั้งคู่ทะเลาะกันต่อ
“ใช่ ฉันมันพวกใช่สมองไม่เหมือนเธอที่ใช้เป็นแต่กำลัง ท่าทางสมองจะฝ่อหมดแล้วมั้ง”
ไมตรีจะส่งพานก็ชะงักมองหน้าวารินที่ส่งยิ้มกวนมาให้
“เธอก็น่าจะออกกำลังกายบ้างนะ ตัวลีบแบนหน้าแบนหลังเป็นไม้แผ่นเรียบเหมือนคนเป็นโรค”
วารินโมโหสุดขีด “นี่...”
อาจารย์สวนขึ้น “สองคนไปปรึกษากันก่อนดีกว่ามั้ย ว่าจะทะเลาะกันก่อนหรือว่าจะไหว้ครูก่อน คนอื่นจะได้ไม่เสียเวลา”
ไมตรีกับวารินยิ้มเจื่อนๆ
“แล้วตกลงจะให้มั้ยเนี่ยพานหรือว่าจะเอากลับไปบ้านด้วย”
อาจารย์ท้วงแบบขำๆเพราะนั่งฟังมานาน
“ขอโทษค่ะ..นายคนเดียวทำให้โดนดุเลยเห็นมั้ย”
“ฉันว่าคนเริ่มนี่ไม่ใช่ฉันนะ” ไมตรีบอก
อาจารย์มองหน้าทั้งคู่แล้วส่ายหน้าระอาใจ ไมตรีกับวารินยิ้มแหยๆรีบส่งพานไหว้ครูให้อาจารย์ที่รออยู่

วาริน แต และฝ้าย เดินมาที่ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าคณะ
“ตกลงวันนี้ไปกาดสวนแก้วใช่มั้ย” วารินถามขึ้น
“ขอปลดปล่อยมั่งเหอะ” แตว่า
“ใช่ ไปเดินดูอะไรเล่นๆ ก็ยังดี มาเรียนกลับบ้านมาเรียนกลับบ้าน อ้วกเป็นสารพัดผักกันพอดี” ฝ้ายบอก
วารินเห็นไมตรีกำลังจะเดินออกจากคณะพร้อมกับเพื่อน
“เธอสองคนไปด้วยกันนะ ฉันยืมรถไปแกล้งคนหน่อย เจอกันที่กาดสวนแก้วเลยละกัน”
วารินบอกแล้วก็ขึ้นคร่อมสตาร์ตรถอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะออกรถแล้วแกล้งขับไปปาดหน้าไมตรีจนต้องกระโดดหลบ
“เฮ้ย...อะไรวะ”
วารินหันมายักคิ้วให้แบบกวนๆ
“กูว่ายัยนี่ชอบมึงแน่เลยไอ้ไม” ทิวบอก
พลเย้า “ก็น่ารักดีนะโว้ย”
“ไม่เอาหรอกว่ะ เจอทีไรมีเรื่องทุกที ขออยู่ห่างๆ ดีกว่า”

ไมตรีบอกแล้วก็นำเพื่อนๆ ขึ้นรถสองแถวของมหาวิทยาลัยไป

ในเวลาต่อมา ไมตรีกับเพื่อนกำลังเดินมาหยุดดูหนังสือพวกรถแข่งอยู่ที่ร้านหนังสือในกาดสวนแก้ว วารินเดินมายืนข้างๆ

“อ่านหนังสือออกด้วยเหรอ”
ไมตรีหันมามองแล้วทำหน้าเบื่อๆ
“ถามจริงเธอเป็นอะไรมากปะเนี่ย รู้สึกว่าจะวุ่นวายกับชีวิตฉันจังเลย ชอบฉันเหรอ”
วารินเจอคำถามนี้เข้าไปถึงกับอึ้ง
“ไอ้บ้า”
วารินว่าแล้วก็รีบเดินหนีหน้าแดงๆ เพื่อนๆรีบเดินตาม

ถัดมา ไมตรีกับเพื่อนๆ เดินผ่านกลุ่มวารินกับ ฝ้าย และ แต ที่กำลังเล่นเกมหยอดเหรียญกันอยู่
“ทำไมกาดสวนแก้วมันแคบจังวะ” ไมตรีบ่นเซ็งๆ
เพื่อนชื่อพลแซวขำๆ “แถวบ้านกูเขาเรียกพรหมลิขิตว่ะ”
“เพ้อเจ้อ”
ไมตรีว่าเพื่อนแล้วก็ทำท่าจะเดินเลยไป ในระหว่างนั้นมีเด็กช่างกลสามคนเข้ามาแซวพวกวาริน ไมตรีกับเพื่อนเลยยืนดูเชิงอยู่
“เล่นไม่เป็นสอนให้เอามั้ยน้อง” ชัย ช่างกลที่ท่าทางเป็นหัวโจก ทำท่ากรุ้มกริ่ม
“ถ้าฉันอยากได้คนสอนแล้วจะบอกละกัน แต่ตอนนี้อย่า...เสื่อม”
วารินตอบโต้แบบไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
เอก เด็กช่างกลชอบใจ “เฮ้ย น้องคนนี้หน้าตาดีแล้วยังปากดีด้วยโว้ย”
“แบบนี้สิวะสนุก” วัน อีก 1ใน 3 ช่างกล ยิ้ม นึกสนุก
วารินจูงมือเพื่อนๆ เดินหนีไป แต่ถูกชัยเรียกไว้ “อ้าว จะไปไหนล่ะน้อง”
“ห้องน้ำหญิงน่ะ จะไปด้วยมั้ย” วารินตอบกวนๆ ทั้งน้ำเสียง และสีหน้า
“เฮ้ย...เจ๋งว่ะ แบบนี้ไปหาที่เงียบๆคุยกันดีกว่า” เอกว่า
ไมตรีกับเพื่อนๆ มองหน้ากันเห็นว่าไม่ได้เรื่องแน่ ก็เลยพากันเดินเข้าไปหา
“นี่เธอ จะกลับหรือยัง” ไมตรีทำเป็นทักทายอย่างสนิทสนม
“เฮ้ย...พวกมึงมายุ่งอะไรด้วยวะ” ชัยยัวะ
“ก็เพื่อนกันมาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน” ไมตรีว่า
“เป็นเพื่อนกับพวกนี้เหรอ” ชัยถามวาริน
วารินมองหน้าไมตรี ฝ้ายกับแตภาวนาในใจขออย่าให้วารินทำเก่งบอกว่าไม่รู้จักเลย เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่
“มาด้วยกัน ฉันจะกลับบ้านแล้ว” วารินบอก
“เพื่อนก็ไม่เกี่ยวโว้ย” ขาดคำชัยเข้ามาผลักอกไมตรี แต่ไมตรีก็ไม่ยอมแพ้ผลักกลับ
ในขณะที่เรื่องทำท่าจะไปกันใหญ่ ยามก็เข้ามาเห็นพอดี
“เฮ้ย...อะไรกันไอ้เด็กพวกนี้”
พอเห็นยามพวกของชัยก็หยุด
“มันยังไม่จบหรอกมึง”
ชัยชี้หน้าขู่ไมตรีก่อนจะพาพวกเดินหลบไป

ไมตรีเดินมากับเพื่อน วารินเดินมาเรียกเอาไว้ แล้วต่อว่าเอา
“นี่นาย นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าชอบใช้กำลังแก้ปัญหา เจอนายทีไรฉันมีเรื่องทุกที”
“ฉันควรว่าเธอมากกว่ามั้ง เห็นหน้าเธอปุ๊บรู้แล้วว่าเดี๋ยวปัญหาต้องมา” วารินตอกกลับ
“ฉันเห็นด้วยกับไมตรีเขานะริน” ฝ้ายว่า
“ใช่ เมื่อกี้ถ้าเธอใจเย็นๆ พูดกับไอ้พวกนั้นดีดีก็คงไม่มีเรื่อง” แตเสริม
ไมตรีมองวารินก่อนจะยิ้มยั่ว แล้วส่ายหน้าเดินหนีไป
“ตกลงฉันผิดเหรอ” วารินหันมาถามเพื่อนๆ
“ครั้งอื่นฉันไม่รู้แต่เมื่อกี้น่ะเธอผิด เธอจะเอาชนะไมตรีทำไมนักหนา เขาก็ดูเป็นคนดีออก” ฝ้ายบอก
“หรือว่าแกชอบไมตรี” แตจ้องหน้า
“จะบ้าเหรอ หน้าเหมือนรากผักชีแบบนั้นใครจะไปชอบ ฉันก็แค่หมันไส้นายนั่น เลยอยากแกล้งเล่นที่นั้นเอง” วารินรีบปฏิเสธ
ฝ้ายบอก “ระวังนะแก แกหมั่นไส้ไปแกล้งเขามากๆ จะเสียเพื่อนที่ดีไป เพื่อนดีดีน่ะหายากนะแก อย่างฉันสองคนนี่ก็ดีที่สุดในคณะแล้ว”

วารินมีสีหน้าคิดตามที่ฝ้ายกับแตพูด

อ่านต่อหน้า 2

เงาใจ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ไมตรีกับเพื่อนทั้งสาม คม ทิว และ พล เดินออกมาที่ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์หลังกาด จู่ๆ วารินกระโดดมาดักหน้าเอาไว้

ไมตรีงง ตั้งป้อมทันที “จะตามมาว่าอะไรฉันอีกล่ะ”
“นายนี่มันมองโลกในแง่ร้าย ฉันจะมาขอโทษที่ทำไม่ดีกับนาย”
“ขอโทษ”
ไมตรีถามเสียงสูง สีหน้าแปลกใจเอามากๆ
“ใช่ ขอโทษทุกเรื่องที่ฉันทำไม่ดีกับนาย แล้วฉันก็ยกโทษทุกเรื่องที่นายทำไม่ดีกับฉัน ต่อไปนี้เราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้นายไปส่งฉันด้วย”
วารินสรุปเองเสร็จสรรพ ไมตรีเซ็ง “เอ๊า”
ชัยโผล่มาพอดี “เฮ้ย...พระเอกกับนางเอกดีกันแล้วว่ะ”
ชัยกับพวกตามมาหาเรื่อง
“พวกนายจะเอาอะไรอีก ก็จบๆ กันไปดีแล้ว” ไมตรีไม่อยากมีเรื่อง
“กูบอกแล้วไงว่ามันยังไม่จบ พวกมึงมาทำเจ๋งอวดหญิงมันก็ต้องเจ๋งให้จริงสิวะ”
โดยไม่มีใครคาดคิด ชัยพุ่งเข้าหาไมตรี พวกเพื่อนๆ ของทั้งสองฝ่ายก็เข้าตะลุมบอนกัน
ฝ้ายตกใจมาก “ตีกันใหญ่แล้วแกทำไงดี พวกนายไมตรีแย่แน่เลยพวกนั้นมันเด็กช่างกลด้วย”
“ยามไง ไปตามยามกันเร็ว”
วารินบอกแล้วก็รีบจูงมือสองเพื่อน วิ่งออกไปโดยไว

ไมตรีกับเพื่อนหนีมาที่อีกมุมหนึ่งของลานจอดรถ พวกของชัยยังไล่ตามมาไม่ลดละ พลเอาไม้ฟาดเอกล้มลง ชัยหยิบปืนปากกาออกมาจะยิงพล ไมตรีเห็นเข้าก็รีบเข้าไปแย่งจนปืนลั่นใส่ชัย เป็นจังหวะที่วารินตามยามกลับมาช่วยพอดี

ไมตรียืนตะลึง ท่าทีอึ้งๆ งงๆ กับปืนปากกาในมือของเขาที่เปื้อนเลือดเต็มไปหมด

ขณะเดียวกัน เมทินียืนจัดดอกไม้อยู่ในร้านดอกไม้ มีทิปปี้นั่งใกล้ๆคอยดูคอยส่งของให้บ้าง
“ที่จริงแกตัดสินใจไม่แต่งกับใครเลยก็ดีนะ เพราะยังไงแกก็ไม่ได้รักใครทั้งพี่กูรทั้งวาทิตอยู่แล้ว แต่ฉันก็อดเสียดายไม่ได้”
“เสียดายอะไร”
“โอกาสไง พี่กูรก็หล่อแสนดี วาทิตก็รวยล้ำเลิศ ถือว่าสายแข็งทั้งคู่ เป็นฉันนะจะใช้วิธีสลับวันเบอร์หนึ่งเบอร์สองเลย”
เมทินีขำ “บ้าเหรอ ทำแบบนั้นน่าเกลียดตาย”
สองสาวหัวเราะกันสนุกสนาน
“เม...ฉันหิวแล้วนะ ป่านนี้แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว”
“เสร็จแล้วก็กินไม่ได้ รอนายไมกลับมาก่อน”
“โห...อะไรกัน ฉันอุตส่าห์หิ้วท้องไม่กินข้าวที่ไร่แล้วยังต้องมารอที่นี่อีกเหรอ”
เมทินีขำ “บ่นเป็นยายแก่ไปได้ รอไม่นานหรอกน่าเดี๋ยวก็คงมาแล้ว”
“เดี๋ยวอะไรกัน เกิดวันนี้ไมซ้อมกีฬาหรือซ้อมเชียร์เลิกค่ำฉันจะกินดอกไม้แกหมดร้านเลยคอยดู”
“ไม่หรอก เห็นไมบอกวันนี้มีไหว้ครู เสร็จแล้วที่คณะจะปล่อยกลับเลยไม่ต้องเรียน”
“แต่นี่มันก็เย็นแล้วนะ” ทิปปี้ท้วง
เมทินีมองนาฬิกาผนังเห็นเวลาใกล้หกโมงเย็นก็เริ่มเป็นห่วง แล้วก็ต้องตกใจที่ได้ยินเสียงมณีจากในบ้าน
“ไม่.....”
สองสาวลุกพรวดจากมองหน้ากันอึ้งๆ แล้วรีบวิ่งเข้าประตูหลังร้านที่เชื่อมกับตัวบ้านไป

ในห้องรับแขกตอนนี้ มณียังอยู่ในชุดทำงานถือโทรศัพท์ทรุดร้องไห้อยู่ที่พื้น เมทินีกับทิปปี้วิ่งเข้ามาแล้วพุ่งไปหามณีทันที
“แม่...เกิดอะไรขึ้น”
มณีร้องไห้ฟูมฟาย “เม...ช่วยไมด้วย ไมถูกจับ”
“อะไรนะแม่” เมทินีใจหายวับ
“ตำรวจบอกว่าไมทะเลาะกับนักศึกษาที่เคยทะเลาะกัน ถึงขนาดยิงกันด้วย”
เมทินีกับทิปปี้อึ้ง ตกใจกับข่าวร้ายของไมตรี

ที่ห้องสอบสวนบนสน. เวลานี้ วาริน แต และฝ้ายนั่งให้ปากคำกับตำรวจเสร็จพอดี โดยที่ไมตรี ทิว พลนั่งอยู่อีกมุม ทุกคนไม่ต้องใส่กุญแจมือ แม้จะอายุครบ 18 แล้วแต่ผู้ต้องหาไม่ได้หลบหนี หรือ ต่อสู้ขัดขืนไม่ให้จับกุม
“ขอบคุณน้องทั้งสามมากนะครับตอนนี้กลับได้แล้ว”
“แล้วเพื่อนหนูล่ะคะ” วารินเป็นห่วง
ตำรวจสงสารแต่ต้องตอบเลี่ยง “เชิญกลับไปก่อนดีกว่านะ”
สามสาวลุกขึ้น วารินไม่อยากออกไปเพราะห่วงไมตรี มองหน้ากับไมตรีนิ่งๆ จนแตกับฝ้ายสะกิดให้เดินตามตำรวจอีกนายออกไป

เมื่อตำรวจพาวาริน แต ฝ้าย ออกมาจากห้องสอบสวน รุทร แรม และอนุวัตรรีบวิ่งเข้ามามองหาพอเห็นสามสาวก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“ริน เป็นไงบ้างลูก”
“รินไม่เป็นไรค่ะแม่ แต่เพื่อนรินน่ะสิ พี่รุทร พี่วัตร ช่วยเพื่อนรินได้ไหม”
รุทรกับอนุวัตรมองหน้ากันเครียดเอาไงดี

วารินเดินกลุ้มอยู่ด้านหน้าโรงพัก เสียงโทรศัพท์แตดังขึ้น
แตกดรับ “ฮัลโหล ม๊า...เอ่อ...จะกลับเดี๋ยวนี้แหละจ้ะๆๆ”
“แตกับฝ้ายกลับก่อนเถอะ” วารินว่า
“มีอะไรก็ส่งข่าวกันนะ”
ฝ้ายกับแตไหว้ลาแรมแล้วเดินออกจากเฟรมไป วารินเดินกลุ้มใจต่อ
“ไม่เป็นไรหรอกนะริน เพื่อนรินเขาไม่ได้ตั้งใจไม่ใช่เหรอ คงไม่เป็นไรหรอกลูก” แรมปลอบ
รุทรกับอนุวัตรเดินลงมาจากโรงพัก วารินกับแรมรีบวิ่งเข้าไปหา
“เป็นไงบ้างพี่รุทร พี่วัตร”
“เพื่อนสองคนรอผู้ปกครองมารับแล้วก็กลับบ้านได้ เพราะแค่ทะเลาะ วิวาท แต่ไมตรี...” รุทรพูดไม่ออก
“ไมตรีทำไมเหรอพี่รุทร”
รุทรมองหน้าอนุวัตรเหมือนจะบอกว่าช่วยบอกหน่อย
“พ่อแม่ของเด็กที่โดนยิงกำลังเดินทางมาจากโรงพยาบาล เห็นว่าเข้าจุดสำคัญ เขาจะเอาเรื่อง”
“แล้วเราจะช่วยอะไรไมตรีได้ไหม”
“ต้องให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันเอง”
วารินอึ้งทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
“ตอนนี้ที่รินทำได้ก็คือ รอฟังผลเจรจาว่าจะออกมาเป็นยังไง”
แรมกับรุทรช่วยกันประคองวารินไปขึ้นรถ อนุวัตรเป็นคนขับออกไป
รถของเมทินีก็แล่นเข้ามาจอดแทนที่ เมทินี และทิปปี้รีบลงจากรถประคองมณีที่เดินจ้ำไปด้วยร้องไห้ไปด้วยจะขึ้นไปบนโรงพัก แต่ได้ยินเสียงแตรเลยหันไป
รถของอังกูรแล่นตามมาอย่างเร็วจอดใกล้ๆ อังกูรรีบลงจากรถลงมาหาทุกคน
“ไม่ต้องห่วงนะครับผมจะช่วยทุกคนเต็มที่ โดยเฉพาะน้องไมตรี”

ทั้งหมดพากันเดินขึ้นไปบนโรงพัก

ทิวกับพลลุกขึ้นท่าทีลังเล สีหน้าเครียด ไม่อยากทิ้งเพื่อน

“เฮ้ย...ไม่เป็นไรหรอก” ไมตรีบอก
ทิวกับพลตบไหล่ไมตรีเป็นการปลอบแล้วเดินตามตำรวจออกไป สักพักเมทินี อังกูร ทิปปี้ และมณี ก็ถูกตำรวจเดินนำเปิดประตูเข้ามา มณีถลาเข้าไปกอดไมตรี
“ไม...แม่รู้ว่าไมไม่ได้ทำ ไมลูกแม่เป็นคนดี”
“แม่ พี่เม ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่ได้จะยิงเค้า”
เมทินีจับมือไมตรี “พี่รู้แล้ว ไมต้องการจะช่วยเพื่อน ไม่ต้องกลัวนะเราจะสู้ไปด้วยกัน”
ทิปปี้ยืนมองภาพสามแม่ลูกกอดกันแล้วอดน้ำตาไหลไม่ได้ พ่อกับแม่ของชัยเข้ามาหาพอเห็นหน้าไมตรีก็ระเบิดอารมณ์ใส่ด้วยแรงโทสะทั้งคู่
แม่ชัยร้องไห้ “แกยิงลูกฉัน ไอ้เด็กสารเลว”
พ่อแม่ของชัยตรงเข้าจะตีไมตรี เมทินี และมณีรีบขวาง ทิปปี้กับอังกูรรีบดึงกันชุลมุน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ หยุดเลยทุกคน ให้เกียรติสถานีตำรวจด้วยครับ”
ตำรวจเข้าห้ามถึงแยกได้
“คุณตำรวจ เอาไอ้นี่เข้าคุกเลย ไม่งั้นผมจะฆ่ามัน” พ่อชัยบอก
มณีเถียง “ลูกฉันไม่ผิด”
แม่ชัยโต้ “ไม่ผิดยังไง ตำรวจเขาจับได้คาหนังคาเขา”
“น้องฉันไม่เคยพกปืน ตำรวจก็บอกว่าปืนปากกานั่นเป็นของลูกคุณไม่ใช่เหรอ” เมทินีแย้ง
“กูไม่สนหรอกว่าปืนเป็นของใคร รู้แต่ว่าน้องแกมันเป็นคนยิง” พ่อชัยขึ้นมึงแล้ว
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ต้นเหตุมาจากลูกของพี่ไปหาเรื่องคนอื่นก่อนนะ” ทิปปี้โกรธ
“ไม่รู้ละ ตอนนี้ลูกฉันอาการหนักมาก ไอ้เด็กนี่ต้องรับผิดชอบ ไม่งั้นฉันกับผัวฉันไม่ยอมแน่”
ทิปปี้จะอ้าปากเถียง แต่อังกูรที่ยืนฟังด้วยความสงบนิ่งดึงแขนทิปปี้ไว้
“คุณจะให้พวกเรารับผิดชอบยังไง”
พ่อชัยบอกว่า “พวกคุณต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลจนกว่าลูกเราจะหายดี แล้วก็ค่าทำขวัญอีกยี่สิบล้าน”
เมทินี และ มณีร้องขึ้นพร้อมกัน “ยี่สิบล้าน”
ทิปปี้โวย “อะไรกันตั้งยี่สิบล้านบาท ค่าทำขวัญหรือจะเอาเงินไปสร้างรีสอร์ตกันยะ”
“ฮึ...ยี่สิบล้านมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ รู้ไหมว่าลูกฉันถูกยิงเข้าที่ไขสันหลัง อาจจะพิการกลับมาใช้ชีวิตได้ไม่เหมือนเดิม” แม่ชัยปล่อยโฮ
สองผัวเมียร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
“ถ้าพวกคุณไม่จ่ายลูกคุณก็ต้องติดคุก พวกเราจะไม่ยอมโดนรังแกฝ่ายเดียวหรอก” พ่อชัยขู่กลายๆ
อังกูรน้ำเสียงจริงจัง “แต่ผมว่ายี่สิบล้านมันมากเกินไป”
พ่อชัยนิ่งแล้วจ้องหน้าอังกูร “ไม่จ่ายก็ไม่จบ”
อังกูรคิดสักครู่ “ถ้างั้นผมขอแบ่งจ่ายได้ไหม”
พ่อกับแม่ชัยมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา แล้วส่ายหน้าให้พร้อมกัน
“ไม่ได้ เพราะลูกฉันมันแบ่งเจ็บไม่ได้ ยี่สิบล้านถ้วนเท่านั้น”
พ่อชัยลากตัวแม่ชัยเดินออกไปจากห้อง มณีมองหน้าไมตรีกอดไมตรีร้องไห้ ไมตรีเองก็นั่งนิ่งตะลึงแต่น้ำตาไหลออกมาเองเพราะรู้ว่าไม่มีทางที่ครอบครัวจะมีเงินมากขนาดนี้
เมทินีเข้าไปกอดมณีกับไมตรีร้องไห้เสียใจ
“ยี่สิบล้านบาท เราจะเอาเงินที่ไหนมาช่วยตาไมละลูกเม”
มณีหันมาถามเมทินีน้ำเสียงสั่นเครือ
“เมจะต้องหามาให้ได้ แม่กับไมไม่ต้องกลัวนะ”
เมทินีพยายามปลอบแม่ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีทางไหน

ตำรวจพาไมตรีเดินเข้าห้องขัง ประตูปิดลง มณีใจจะขาดรอนๆ ร้องไห้เกาะลูกกรงชั้นนอก
“แม่...อย่าร้องไห้นะ” ไมตรีปลอบแม่ แต่ตัวเองก็ร้อง
“ไม...โธ่...ไมของแม่”
มณีเกาะลูกกรงร้องไห้หนักขึ้นๆ จนเป็นลม เมทินี ทิปปี้ และอังกูรต้องช่วยพยุง
“แม่...พี่เม..ฝากดูแลแม่ด้วยนะ”
“ไมอดทนหน่อยนะ พี่จะต้องหาทางช่วยไมให้ได้”
เมทินีกับไมตรีพยักหน้าให้กันทั้งน้ำตา

มุมหนึ่งบนโรงพัก มณีนั่งซึมสีหน้าเครียด อังกูรกับเมทินียืนมองมณีด้วยความสงสาร ห่างออกมาเห็นทิปปี้ยืนคุยโทรศัพท์อยู่
“พี่มีเงินเก็บอยู่ห้าล้าน ถ้าขอยืมคุณลุงอีกสิบห้าล้านคงไม่มีปัญหา” อังกูรว่า
เมทินีเกรงใจ “จะดีเหรอคะพี่กูร เงินมันมากนะ”
ทิปปี้กดวางสายแล้วรีบเดินมาสมทบ “เม พ่อฉันบอกว่าจะช่วยแกได้สักสามล้านนะ”
“งั้นก็ยืมคุณลุงพี่อีกแค่สิบสองล้าน” อังกูรว่า
“แต่เมไม่อยากรบกวนให้พี่กูรกับทิปปี้ต้องมาเดือดร้อน”
“ถ้าเป็นไปได้แม่ก็ไม่อยากให้มีใครต้องมาเดือดร้อนเพราะเราเลยลูก แต่เราจะเอาเงินจากไหนล่ะ ทุกวันนี้ทั้งเงินเดือนแม่ ทั้งรายได้ร้านเราก็แค่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแค่นั้นเองนะ”
เมทินีเองก็อึ้งมืดแปดด้านคิดไม่ออก
“ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องอื่นเลย เราหาทางช่วยไมกันก่อนดีกว่า”
“ฉันเห็นด้วยกับพี่กูรนะ ตอนนี้ช่วยไมสำคัญที่สุด”
อังกูรกับทิปปี้ยิ้มพยักหน้าให้กำลังใจกับเมทินีและมณี สองแม่ลูกยิ้มขอบคุณอังกูรกับทิปปี้
“ขอบคุณนะทิปปี้ กูร แม่ขอบคุณมาก”

เย็นนั้น พ่อเลี้ยงวิทย์กำลังนั่งหย่อนใจ ดูพันธุ์ไม้ดอกอยู่ในห้องรับแขก มีอังกูรอยู่ไม่ห่าง ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ยี่สิบล้าน เงินไม่ใช่น้อยนะ ว่าแต่แกจะเอาไปทำอะไร”
“เอ่อ....ผมมีความจำเป็นจริงๆ ครับคุณลุง”
“ก็ใช่ คนเราจะใช้เงินขนาดนี้อย่างเร่งด่วนมันก็ต้องมีความจำเป็น แต่ไอ้ความจำเป็นมันคืออะไรลุงอยากจะรู้เหมือนกัน”
“สิบห้าล้านก็ได้ครับ หรือคุณลุงต้องการดอกเบี้ยเท่าไหร่ผมก็ไม่ขัดข้องครับ”
พ่อเลี้ยงยัวะ “อังกูรนี่แกเห็นลุงเป็นอะไร”
“เฮ้อ ผมขอโทษครับ คือผมเดือดร้อนจริงๆ และเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญสำหรับผมมาก ยังไงผมจะต้องหาเงินก้อนนี้ให้ได้”
“เอ้า....เมื่อแกไม่ยอมบอกว่าเรื่องอะไร ลุงก็จะไม่ถามอีก”
“ตกลงคุณลุง...”
“ถ้าลุงไม่รู้ว่าแกจะเอาเงินไปทำอะไรลุงก็คงให้ไม่ได้หรอก”
“หมายความว่าถ้าผมบอกแล้วลุงจะช่วยเหรอครับ”
อังกูรถามน้ำเสียงมีความหวัง
“อย่างน้อยลุงก็จะได้รู้ว่าควรให้หรือเปล่า”
“ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงไม่ต่างกันหรอกครับ ยังไงผมก็ต้องหาทางช่วยเมให้ได้”
อังกูรบอกแล้วเดินออกไป สีหน้าโกรธจัด
พ่อเลี้ยงวิทย์สะดุดกับที่อังกูรหลุดชื่อเมออกมา รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทร.ออก
“ทิปปี้มาพบฉันที่บ้านหน่อย ตอนนี้เลยสิ”

ไม่นานต่อมา พ่อเลี้ยงวิทย์รับฟังเรื่องราวของไมตรี น้องชายเมทินีจากการเล่าของทิปปี้อยู่ในห้องนั่งเล่น
“ตาไมน้องชายเมเขามีเรื่องค่ะ ทะเลาะกับพวกวัยรุ่นด้วยกันแล้วดันไปทำปืนปากกาลั่นใส่ ทางโน้นเขาเลยเรียกค่าเสียหายยี่สิบล้านไม่งั้นจะเอาตาไมคิดคุก น่าสงสารนะคะสามคนแม่ลูกเขารักกันมาก ถ้าตาไมติดคุกแม่มณีกับเมคงใจสลาย”
“แม่มณีกับฉันก็คุ้นเคยกันอยู่ มีอะไรทำไมไม่บอก”
“แม่มณีกับเมคงเกรงใจพ่อเลี้ยงน่ะค่ะ เงินไม่ใช่น้อยๆ”
“ก็เลยไปขอให้เจ้ากูรช่วย”
“พี่กูรเขาอยากช่วยเองด้วยแหละค่ะ หนูเองก็พยายามช่วย แต่รวมๆ กันแล้วยังไกลสิบล้านเยอะ”
“ถึงว่าเจ้ากูรถึงได้ดูเป็นเดือดเป็นร้อนยังกับเรื่องของตัวเอง เอาละ ฉันอยากรู้แค่นี้แหละ”
“แล้วพ่อเลี้ยงจะให้พี่กูรยืมเงินหรือเปล่าคะ” ทิปปี้ถามแบบกล้าๆกลัวๆแต่ก็อยากรู้
“เรื่องนั้นฉันตัดสินใจเอง อ้อ...แล้วก็ไม่ต้องบอกเจ้ากูรนะว่าฉันถามเรื่องนี้” พ่อเลี้ยงวิทย์บอกเสียงดุเล็กๆ
“ค่ะ”
ทิปปี้ยกมือไหว้แล้วลุกเดินออกไป ส่วนพ่อเลี้ยงวิทย์นั่งนิ่งใช้ความคิด

ด้านอังกูรแวะมาที่ร้านดอกไม้ เวลานี้เขายืนคุยกับเมทินีสีหน้าไม่ดีที่หาเงินมาช่วยไม่ได้
“พี่กูรไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของพี่กูร”
“แต่พี่เจ็บใจ คุณลุงทำแบบนี้มันแกล้งพี่ชัดๆ ยังไงพี่ก็ไม่ยอมแพ้หรอก เมให้เวลาพี่หน่อยนะ พี่จะรีบแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด”
“พี่กูร อย่าลำบากเลย” เมทินีเกรงใจ
“ไม่ พี่ไม่ลำบาก เมคือคนที่พี่รักเวลาเมมีปัญหาพี่ต้องช่วยสิ”
อังกูรจับมือเมทินีขึ้นมากุมไว้แล้วมองด้วยความจริงใจ เมทินีเองก็เห็นและเชื่อในแววตานั้นเช่นกัน

ส่วนทางไมตรีนั่งเครียดอยู่ในห้องขัง มีผู้ต้องขังอื่นอยู่ด้วย ตำรวจเดินมาไขประตู
“นายสังเวียน ออกมามีคนมาประกันแล้ว”
ผู้ต้องขังยิ้มดีใจรีบเดินออกไป ตำรวจล็อกประตู ไมตรีมองตามแล้วรู้สึกเศร้า สักพักตำรวจเดินมาที่ห้องขังอีก
“นายไมตรี มีคนมาเยี่ยม”
ไมตรียิ้มดีใจ “แม่...พี่เม”
เด็กหนุ่มจะเดินมาที่ประตู ตำรวจส่ายหน้า
“ไม่ใช่ประตูนี้ เดินไปทางนั้นมีห้องให้เยี่ยม”
ตำรวจชี้ไปอีกทาง ไมตรีเดินไป

เมื่อไมตรีรีบเดินออกมา พอมองผ่านลูกกรงซี่ถี่ก็ต้องชะงัก เพราะด้านนอกเป็นวารินในชุดนักศึกษายืนรอเยี่ยมอยู่ไมตรีจะเดินกลับ วารินรีบเรียก
“ไมตรี เดี๋ยวสิ”
ไมตรีหยุดแต่ไม่อยากหันกลับไปมอง
“ฉันอยากมาขอโทษ ฉันไม่ได้...”
ไมตรีไม่ฟังเดินกลับเข้าไปเลย
“ไมตรี”
วารินใจแป้ว เกาะลูกกรงตะโกนเรียกจนตำรวจเดินมาเตือน
“น้อง อย่าส่งเสียงดัง”
วารินพยามมองเข้าไปเหมือนจะให้เห็นไมตรี แต่ก็ไม่เห็น วารินเดินกลับด้วยความเศร้า

รุทร อนุวัตร และแรม นั่งกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันเสร็จพอดี ทุกคนช่วยกันลุกขึ้นจะเก็บอาหาร
“เราแบ่งกับข้าวเก็บไว้ให้รินไหมแม่ เผื่อมันหิว” อนุวัตรว่า
“ก็ดีนะ ข้าวปลาไม่กินตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อเช้าก่อนไปเรียนก็ไม่กิน คงห่วงเพื่อน”
อนุวัตรเริ่มเอาฝาชีมาครอบอาหาร แล้วเก็บจานเปล่าไปล้าง
“แต่ถ้ารินไม่กินหลายๆ มื้อแม่ว่ามันจะไม่ดีนะรุทร”
“เดี๋ยวผมไปดูให้นะครับ”

รุทรบอกแล้วเดินออกไป

วารินนั่งเศร้าอยู่ที่ระเบียงบ้านข้าวปลาไม่ยอมทาน รุทรเดินเข้ามาหา

“ริน...ไม่กินข้าวซะหน่อยเหรอ”
“วันนี้รินไปเยี่ยมไมตรีมา แต่เขาไม่ยอมคุยกับริน”
“คงเพราะคดียังไม่เรียบร้อย”
วารินส่ายหน้าปฏิเสธ “เขาโกรธริน”
รุทรโอบไหล่วารินเป็นเชิงปลอบ
“พี่รุทรว่าไมตรีจะติดคุกไหม”
“พี่ก็ตอบไม่ได้นะ ถ้าฝ่ายที่ถูกยิงไม่ยอมความก็คงยุ่ง”
“มันเป็นความผิดของรินเอง ถ้ารินไม่ไปกวนไอ้พวกนั้น เรื่องมันก็คงจะไม่ยืดเยื้อจนกลายเป็นแบบนี้”
วารินโทษตัวเองบอกเสียงเหมือนจะร้องไห้
“แต่รินก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้นี่ เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดแต่เราคุมทุกเรื่องในโลกนี้ให้เป็นตามที่เราอยากให้เป็นไม่ได้หรอก”
แรมเดินเข้ามานั่งข้างๆ วาริน แล้วจับมือวารินไว้
“อย่างที่พี่รุทรเขาบอกนั่นแหละริน อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด ที่สำคัญคือเกิดแล้วเราแก้ปัญหามันยังไงมากกว่า อย่าเพิ่งท้อนะลูก พยายามทำดีกับเพื่อนเท่าที่มีโอกาส ไม่ว่าเขาจะทำยังไงแต่เราก็ต้องทำดีกับเค้า อย่างน้อยก็เป็นการกตัญญูที่เขาเคยช่วยเรา”
“ค่ะแม่ พี่รุทร ต่อไปรินจะทำดีกับเค้า”
วารินบอก รู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วงไมตรีอยู่ดี

ก่อนหมดเวลาเยี่ยมเย็นวันนั้น ไมตรียืนน้ำตาซึมอยู่หลังลูกกรง มีเมทินีกับมณียืนเศร้าอยู่
“ไมเป็นไงบ้างลูก”
“ไม่เป็นไรครับแม่ แม่ไม่ต้องร้องไห้นะ”
“แม่คิดถึงไม”
“ผมก็คิดถึงแม่ พี่เม”
“ไม่ต้องห่วงนะไม พี่ต้องหาทางช่วยไมออกมาให้ได้”
ไมตรีกังวลไม่หาย “พี่เมจะทำไง”
สามคนแม่ลูกมองหน้ากันด้วยความเศร้า

มณีกับเมทินีตัดสินใจขายบ้านเพื่อช่วยไมตรี เช้าวันถัดมา มีคนมาดูบ้าน ซึ่งเป็นญาติๆ กัน กำลังยืนคิดประเมินราคาอยู่ ก่อนจะหันไปหามณีกับเมทินี
“ฉันให้ สองล้านจ้ะ”
มณีกับเมทินีอึ้ง
“ห้าล้านไม่ได้เหรอน้องปราณี” มณีบอก
“ที่ตรงนี้มันก็ไม่ใช่ในเมือง ต่อให้เป็นคูเมืองก็เถอะฉันว่าก็ไม่ถึง”
เมทินีทักท้วง น้ำเสียงขอร้อง “แต่เราขายทั้งบ้าน ทั้งร้าน ทั้งสวนเลยนะน้าปราณี”
“น้าเข้าใจว่าเมเดือดร้อน แต่น้าให้ได้แค่นี้จริงๆ”
เมทินีไหว้ “ขอบคุณน้าปราณีมากค่ะ ถ้ามีคนอื่นอยากได้เมฝากด้วยนะ”
“น้าบอกให้ได้ แต่ที่เมจะมาขายสี่ห้าล้านน้าว่ายาก”
คนดูบ้านยิ้มให้สองแม่ลูกแล้วเดินออกไป มณีกับเมทินีมองหน้ากันเศร้า

รถอังกูรแล่นมาจอดที่ด้านหน้าธนาคาร อังกูรลงมายืนกดรับสายโทรศัพท์ที่ข้างรถ
“เม...เป็นไงบ้าง”
เมทินีโทร.มาจากอยู่ที่ร้านดอกไม้ มีมณีนั่งทำงานใกล้ๆ
“วันนี้มีมาดูสองสามราย แต่ได้ไม่ถึงห้าล้าน”
“ไม่เป็นไรเม ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้พี่อยู่หน้าแบงค์ เพื่อนพี่เป็นผู้จัดการมันต้องช่วยพี่ได้ รอพี่นะ ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวพี่รีบส่งข่าวเลย”

เมทินีวางสาย มณีถาม “กูรว่าไงลูก”
“พี่กูรกำลังจะไปกู้ธนาคารค่ะ เพื่อนเค้าเป็นผู้จัดการ”
“กูรเขาเลยต้องมาเดือดร้อนไปกับเราด้วย” มณีพูดคล้ายรู้สึกผิด
“เมก็เกรงใจพี่กูรค่ะแม่ แต่นาทีนี้เราต้องช่วยตาไมก่อนนะคะ”
“พี่เขาดีกับครอบครัวเราขนาดนี้ เมก็ต้องดีกับเขาตอบแทนนะลูก”
“ค่ะแม่”

เมทินีรับปากแม่ ทั้งๆ ที่ในหัวตอนนี้ไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องช่วยไมตรี

อังกูรนั่งอารมณ์เสียอยู่ในห้องทำงานเพื่อนที่เป็นผู้จัดการแบงค์

“อะไรวะ ทำไมมันต้องรอเป็นเดือน แกเป็นผู้จัดการก็อนุมัติสิวะ”
“ไม่ได้ เรื่องกู้เงินเนี่ย ต่อให้แกส่งหลักฐานฉันทั้งหมดตอนนี้ ฉันก็ต้องส่งให้สำนักงานของแบงค์ส่วนภูมิภาค แล้วเขาก็ต้องตรวจหลักฐาน เข้าประชุม ส่งคนไปดูหลักทรัพย์ค้ำประกัน ตีราคาโอ๊ย...อีกสารพัด จะไม่เป็นเดือนได้ไง”
“งั้นฉันไปแบงค์อื่นก็ได้”
“แบงค์ไหนๆ เค้าก็ทำเหมือนกัน ฉันว่าแทนที่แกจะเสียเวลามานั่งด่าแบงค์ฉัน แกไปเขียนโปรเจ็คท์กับเตรียมหลักฐานดีกว่า”
“เขียนโปรเจ็คท์งั้นเหรอ”
“ก็แกบอกจะกู้เงินห้าล้านไปทำร้านกาแฟไม่ใช่เหรอ แกก็ต้องเขียนโปรเจ็คท์ส่งแบงค์ด้วยสิ แบงค์จะได้ช่วยดูการใช้เงินและช่วยปรึกษาว่าแกจะทำไงให้ได้กำไรมีเงินมาส่งคืนแบงค์ ไม่งั้นคนก็มากู้กันเอาเงินไปใช้มั่วๆซั่วๆ น่ะสิ”
พออังกูรรู้ว่าไม่ได้กู้กันง่ายๆ ก็อารมณ์เสียลุกเดินไปเลย
“อ้าว...ไอ้กูร ตกลงจะกู้หรือเปล่าวะ”

อังกูรขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันโปรดมาด้วยความเร็วราวกับจะบิน พอมาถึงอีกมุมของถนนเขาเบรกรถกลับตัวอย่างแรง แล้วพุ่งมาจอดที่หนึ่ง
อังกูรจอดรถลงมาถอดหมวกกันน็อกแล้วกำมือแน่นมองรถมอเตอร์ไซค์แสนรักแล้วตัดใจหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก
“พี่โจ พี่ยังสนใจมอเตอร์ไซค์ผมหรือเปล่า ผมยอมขายแล้ว แต่ผมต้องใช้เงินด่วนนะพี่ ล้านเดียว ให้มากกว่านี้ไม่ได้เหรอพี่”
อังกูรหลับตาด้วยความเจ็บปวดที่ต้องตัดจากรถที่รักที่สุด
“ได้ครับ ถ้าพี่พร้อมก็มารับรถได้เลย
อังกูรทรุดตัวลงนั่งพิงมอเตอร์ไซค์แสนรักด้วยความเหนื่อยอ่อน

ตกตอนกลางคืนมณีนั่งมัดกำดอกไม้ใต้แสงไฟนีออน เพื่อที่จะเอาไปขายในวันพรุ่งนี้แต่ท่าทางเหม่อลอยจนทำผิดทำถูก เมทินีเดินเข้าไปหา
“พักเถอะค่ะแม่ แม่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“พักได้ยังไงล่ะเม เกิดกูรหาเงินไม่ได้ เราต้องหาเงินช่วยไมนะ มา...เมก็รีบมาช่วยแม่กำดอกไม้ที่เหลือวันนี้ พรุ่งนี้เอาไปขายรวมๆ ได้สักนิดสักหน่อยก็ยังดี”
มณีบอกแล้วก็ดึงมือเมทินีให้นั่งลงข้างๆ เมทินีมองแม่ด้วยความสงสาร แล้วช่วยกันสองแม่ลูก จนมีเสียงโทรศัพท์มือถือมณีก็ดังขึ้น มณีหยิบมาดูแล้วแปลกใจ
มณีพึมพำ “พ่อเลี้ยงวิทย์”
สองแม่ลูกมองหน้ากันสงสัยว่าพ่อเลี้ยงโทร.มาทำไมก่อนกดรับสาย

พ่อเลี้ยงวิทย์พาตัวเองมาที่บ้านมณีในเวลาไม่นานต่อมา สามคนคุยกันอยู่ในห้องรับแขกในบ้าน
“ฉันยินดีจะช่วยไมตรีอย่างเต็มที่”
คำพูดจริงจังของพ่อเลี้ยงผู้มั่งคั่ง ทำเอามณีกับเมทินีมองหน้ากันแล้วยิ้มดีใจ
“ขอบคุณค่ะพ่อเลี้ยง ขอบคุณมากๆ เลยพ่อเลี้ยงจะให้ทำสัญญาเงินกู้คิดดอกเบี้ยเท่าไหร่ก็ยอมค่ะ”
“ไม่จำเป็นหรอก ฉันแค่อยากจะขอร้องหนูเมอย่างเดียว”
เมทินีฉงน “อะไรเหรอคะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์บอกเสียงนุ่ม “แต่งงานกับวาทิตได้มั้ย”
มณีกับเมทินีได้ยินข้อเสนอนี้ก็อึ้งไปทันที
“ฉันเข้าใจว่าหนูเมคงลำบากใจมาก ยังไม่ต้องตอบฉันตอนนี้ก็ได้ พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกฉันนะ”
มณีจับมือเมทินีปลอบ เมทินีนิ่งคิดหนักว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต แน่ละใบหน้าเศร้าของน้องชายหลังลูกกรงลอยวนเข้ามาในมโนนึกของเธอ

ฝ่ายไมตรีนั่งอยู่ข้างลูกกรง สีหน้าเศร้าสร้อยคิดถึงแม่คิดถึงพี่สาว ในขณะที่ไมตรีกำลังนั่งคิดถึงบ้านก็มีมือมาแตะบ่า
“เหงาเหรอน้อง” เป็นผู้ต้องหา 1
ไมตรีรีบเบี่ยงตัวถอย แต่เจอผู้ต้องหา 2 “ถ้าเหงาเดี๋ยวพี่สองคนคุยเป็นเพื่อน”
“ไม่ครับไม่เหงา เดี๋ยวแม่กับพี่สาวผมก็มารับแล้ว”
ไมตรีรีบบอกแต่ผู้ต้องหาทั้งสองคนไม่ยอมฟัง
“ไม่มีใครเขามารับตัวกันมืดๆ ดึกๆ แบบนี้หรอก ไปคุยกันตรงโน้นดีกว่า”
ผู้ต้องหา1 กะเพื่อน ช่วยกันล็อกตัวไปตรีไปมุมมืดๆ
“ผมไม่ไป อย่าทำอะไรผมนะ ช่วยด้วย” ไมตรีร้องด้วยความกลัว
ผู้ต้องหา1 ด่าเพื่อน “มึงปิดปากมันไว้สิแหกปากแบบนี้เดี๋ยวร้อยเวรได้ยินกันพอดี”
ผู้ต้องหา 2 จัดแจงปิดปากไมตรีที่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอดสุดกำลัง
ในขณะที่ผู้ต้องหาทั้งสองคนกำลังจะเริ่มต้นทำมิดีมิร้ายไมตรี เสียงเคาะลูกกรงก็ดังขึ้น
“เฮ้ย จะทำอะไร ปล่อยน้องเขาเดี๋ยวนี้นะ”
ผู้ต้องหาทั้งสองคนรีบปล่อยไมตรีทันที ไมตรีวิ่งหนีมาเกาะลูกกรงข้างๆ ตำรวจ
“ช่วยผมด้วยครับ”
ผู้ต้องหา 1 ออกตัว “ผมสองคนเห็นน้องเขาเหงาๆ เลยชวนมาคุยกันน่ะครับ”
“ถ้าอยากคุยไปคุยกันเองเลยอย่ามายุ่งกับเด็ก แค่คดีที่รอเข้าคุกอยู่นี่ยังไม่พอใช่มั้ยอยากโดนขืนใจเพิ่มอีกคดีหรือไง มานี่น้องมาอยู่ห้องเดี่ยวคนเดียวดีกว่า ไอ้พวกนี้ไว้ใจไม่ได้”

ตำรวจบอกแล้วไขห้องขังพาตัวไมตรีออกมา

อ่านต่อหน้า 3

เงาใจ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ในแสงเศร้าที่สาดส่งลงมาที่ห้องขังอีกห้อง ไมตรีนั่งอยู่ข้างลูกกรงหน้าหมองคิดถึงแม่คิดถึงพี่สาวจับจิต

ทางด้านเมทินีเปิดประตูห้องไมตรีเข้ามาแล้วเปิดไฟ เดินมานั่งที่เตียงของน้อง เหลียวมองไปรอบๆ
สายตาเมทินีไปหยุดยังรูปไมตรีสมัยเป็นนักเรียนมัธยมที่ได้รับรางวัลเรียนดี ตรงมุมห้อง แลเห็นเหรียญทองแขวน ถ้วยกีฬา ประกาศนียบัตรต่างๆ รวมทั้งรูปที่เมทินีกับมณีไปแสดงความยินดี ทั้งติด ทั้งแขวน ทั้งวางประดับอยู่เต็มห้อง
เมทินีดูรูปต่างๆ แล้วน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความสงสารน้อง จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมทินีกดรับ
“คะพี่กูร”

อังกูรแวะมาหาในทันที สองคนอยู่ในสวนสวยหน้าบ้าน เขายื่นซองสีน้ำตาลซองใหญ่ให้เมทินี เมทินีเกรงใจไม่อยากรับ
“พี่กูร”
“พี่บอกขายมอเตอร์ไซค์ไปแล้ว อีกสองวันเขาจะเอาเงินมาให้แล้วก็รับรถไป”
เมทินีใจหาย “แต่พี่กูรรักรถคันนั้นมาก”
“ไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าเมอีกแล้ว พี่รวบรวมเงินทั้งหมดที่พี่มีอยู่ตอนนี้สี่ล้านกว่าๆ เอามาให้เมเก็บไว้ก่อน อีกสองวันได้ค่ารถอีกล้านนึง เมรับเงินไปเถอะ ตอนนี้เอาไปให้เขาเท่านี้ก่อนบอกเค้าว่าที่เหลือพี่จะรีบหามาให้อย่างเร็วที่สุด”
“เมขอบคุณที่พี่กูรยอมลำบากเพื่อเม แต่เมรับไม่ได้”
“ทำไมล่ะ”
“มันไม่ควรมีใครเดือดร้อนเพราะเม ไม่ว่าพี่กูร หรือ ทิปปี้”
“แล้วเมจะทำไง จะหาเงินมาจากไหน”
เมทินีนิ่งเงียบไม่รู้จะตอบยังไง อังกูรยิ่งร้อนใจ
“ว่าไงล่ะเม ตกลงเมคิดจะทำอะไร”
เมทินีทอดถอนใจ “เมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเมควรจะทำยังไง แต่เมรู้ว่าคนเดียวที่จะทำให้เรื่องนี้จบลงได้ก็คือเมเท่านั้น”
เมทินียืนนิ่งคิดหนักมองอังกูรด้วยความสงสาร อังกูรก็มองหน้าเมทินีอย่างไม่เข้าใจว่าเมทินีคิดจะทำอะไร

กลับถึงบ้านพัก อังกูรนั่งนิ่งอยู่ในห้องนอน ดูซองเงินด้วยความเครียด
ด้านเมทินีนอนไม่หลับคิดหนักเรื่องน้อง

“ห๊า พ่อเลี้ยงขอให้แกแต่งงานกับวาทิต”
เสียงทิปปี้ร้องดังขึ้น ด้วยความตกใจในเช้าวันต่อมา สองสาวนั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟน่ารักละแวกร้านดอกไม้
“เพื่อแลกกับการช่วยไม”
“แต่พี่กูรก็กำลังหาเงินอยู่นี่”
“เมื่อไหร่ล่ะทิปปี้ ฉันปล่อยให้ไมอยู่ในสภาพนี้แบบไม่รู้ชะตากรรมไม่ได้ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าฉันกำลังทำดีหรือเปล่า แต่เพราะมันมีทางเดียวที่ฉันจะช่วยน้องให้ยังมีอนาคต และทำให้แม่สบายใจได้ แม้ฉันจะต้องกลายเป็นคนเลวที่เห็นแก่เงิน ฉันก็ต้องทำ”
ทิปปี้ยื่นมือมาจับมือเพื่อนให้กำลังใจ
“แกไม่ใช่คนเลวหรอกเม แกดีมากต่างหากเพราะแกเสียสละเพื่อแม่กับน้อง ฉันนับถือน้ำใจแกจริงๆ”
เมทินียิ้มเศร้า
“แต่การที่แกจะต้องแต่งงานกับวาทิตน่ะสิ....เฮ้อ”
“มันก็ยากที่จะทำใจรับได้นะที่จะต้องแต่งงานกับคนที่เราคิดเป็นเพื่อนมาตลอด แต่ทำไงได้ล่ะ ทางเลือกในชีวิตฉันมันไม่มี”
ทิปปี้มองดูเมทินีแล้วรู้สึกเศร้าไปกับเพื่อน “แกตัดสินใจแน่นอนแล้วใช่มั้ย”
“ฉันไม่มีเวลาคิดอะไรมากหรอก”
“แล้วพี่กูรรู้หรือยัง”
“ยัง วันนี้ฉันยังไม่เจอกับพี่กูรเลย”
“เฮ้อ...สงสารพี่กูรจัง คงเสียใจมาก”
เมทินีเองก็ถอนใจเครียด

ถัดจากนั้นเมทินีมานั่งหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ตรงหน้าพ่อเลี้ยงวิทย์ ในร้านกาแฟของโรงพยาบาล
แม้จะดีใจแต่ชายสูงวัยก็รู้สึกไม่ดีนัก “ฉันขอโทษนะที่เหมือนคนใจดำ ฉวยโอกาสตอนหนูลำบาก”
“เมเข้าใจดีค่ะ เราทุกคนต่างทำดีที่สุด”
“แต่ยังไงฉันก็ขอบใจที่หนูตัดสินใจเสียสละครั้งนี้”
พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้มขอบคุณด้วยความจริงใจ เมทินียิ้มรับเจื่อนๆ เพราะเป็นการจำใจ
“เดี๋ยวฉันจะให้ทนายจัดการเรื่องไมตรีให้เร็วที่สุด ส่วนทางหนูก็เตรียมตัวรับไมตรีกลับบ้าน”
“เมจะได้น้องกลับบ้านวันนี้เลยใช่มั้ยคะ”
เมทินีถามด้วยน้ำเสียงมีความหวัง

พ่อเลี้ยงวิทย์พยักหน้ารับสีหน้าหนักแน่น

ส่วนในห้องพักฟื้นของวาทิต มีหนานเป็นคนคอยดูแลอยู่ พ่อเลี้ยงวิทย์เปิดประตูเข้ามา วาทิตเหลือบมองแล้วก็เมินหนีทำหน้าตาเบื่อๆ เหมือนเดิม

พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้มแย้มเอาใจ “พ่อมีข่าวดีมาบอกลูก วาทิต”
“ข่าวดีที่ว่าผมยังไม่ตาย ต้องทรมานไปอีกนานน่ะเหรอครับคุณพ่อ”
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะลูก หนูเมเข้ามาได้แล้ว”
พ่อเลี้ยงวิทย์หันไปทางประตู ร้องเรียก วาทิตได้ยินก็สีหน้างงๆ
เมทินีเปิดประตูห้องพักฟื้นเข้ามา วาทิตเห็นเมทินีก็ดีใจ สีหน้าท่าทางดีขึ้นทันตาเห็น
“เม...ผมนึกว่าพอเมปฏิเสธแต่งงานกับผมแล้ว ผมจะไม่ได้เจอเมอีก”
เมทินีเดินมายืนข้างๆเตียงวาทิต หันมองพ่อเลี้ยงวิทย์ พ่อเลี้ยงยิ้มแล้วพยักหน้าให้
“ตกลงฉันจะแต่งงานกับเธอ”
วาทิตเองก็ตกใจ ไม่เชื่อหู “อะไรนะ”
“ฉันจะแต่งงานกับเธอวาทิต”
“จริงเหรอเม นี่เมไม่ได้ล้อผมเล่นใช่มั้ย”
“ฉันพูดจริง” เมทินียิ้ม
วาทิตดีใจยิ้มกว้างส่งมือมาขอจับมือเมทินี
“ผมรักเม ผม...ผม ผมไม่รู้จะบอกความรู้สึกยังไง ผมดีใจ ผมมีความสุขที่สุดเลยรู้ไหมเม”
พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้มที่เห็นลูกมีความสุข “รักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรงนะลูก จะได้แต่งงานเร็วๆ”
“ผมหายแล้วผมดีขึ้นแล้ว คุณพ่อผมจะกลับบ้านตอนนี้เลย” เขาบอก
พ่อเลี้ยงวิทย์ดีใจ “เอางั้นเลยเหรอ พ่อว่าถามหมอก่อนดีไหม”
วาทิตหันมามองหน้าเมทินีว่าที่เจ้าสาวในฝันของเขาอย่างมีความสุข

กินรีมีสีหน้าตกใจมากเมื่อได้ฟัง “วาทิตกำลังกลับบ้านตอนนี้”
กิจจา ยืนยิ้มด้วยสีหน้ามีความสุข เป็นผู้บอกข่าวนี้ สองพ่อลูกยืนคุยกันในไร่ส้มของกิจจา
“เวลาพักผ่อนของลูกจบแล้ว รีบไปเก็บของแล้วพ่อจะไปด้วย”
“พ่อไปคนเดียวได้ไหมคะ นรีขออยู่บ้านอีกสักวัน”
“ไม่ได้ นรีต้องรีบไปเอาหน้าก่อนที่ไอ้วิทย์กับวาทิตมันจะถึงบ้าน”
กินรีถอนใจเซ็งจะเดินไปแต่กิจจาดึงแขนไว้
“เดี๋ยวนรี การกลับไปดูแลไอ้วาทิตครั้งนี้ พ่อหวังว่าลูกจะก้าวหน้าไปอีกขั้นนะ”
กินรีงง “ยังไงคะ”
“พ่ออยากให้ลูกทำไงก็ได้ให้ได้แต่งงานกับมันโดยเร็ว พ่อไม่อยากรออีกแล้ว”
กินรีส่ายหน้าระอาใจแล้วเดินกลับไป กิจจามองตามแล้วยิ้มอย่างมีความหวัง

หนานขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน พ่อเลี้ยงวิทย์รีบเปิดประตูให้วาทิตลูกชายสุดที่รัก เอื้องคำกับจั่นเป็งที่มารอรับก็รีบเข้าไปจะประคอง
เอื้องคำอู้คำเมืองทักตามประสา “ทูนหัวของป้า เป็นยังไงบ้างคะไปนอนโรงพยาบาลซะหลายวันเลย”
วาทิตยิ้ม “ป้าคิดถึงฉันละสิ”
จั่นเป็งแซว “ป้าเอื้องคำน่ะแกทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงเลยค่ะ”
“แหม...ก็ป้าเลี้ยงของป้ามาตั้งแต่เล็กนี่คะ”
“ฉันก็คิดถึงบ้านคิดถึงทุกคนเลย” วาทิตบอกอย่างอารมณ์ดี
เสียงกิจจาดังขึ้น “เสียงใสแบบนี้แสดงว่าหายแล้วจริงๆ”
ทุกคนหันไปก็เห็นกิจจากับกินรีเดินมาอีกทาง วาทิตยกมือไหว้ พ่อเลี้ยงวิทย์กับกิจจาก็เข้าจับมือกัน
“ขอโทษด้วยนะวิทย์ที่ไม่ได้ไปเยี่ยมหลานเลย พอดีช่วงนี้งานที่ไร่ส้มของฉันมันก็ยุ่งๆ”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร แค่แกส่งหนูนรีมาคอยดูแลวาทิตนี่ก็ดีแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวนรีขอเริ่มงานเลยนะคะ” พูดจบกินรีก็เดินเข้าไปคอยประคองวาทิต
“เห็นไหม ลูกสาวแกนี่ขยันจริงๆ ขอบใจมากนะเพื่อน”
วิทย์กับกิจจามองนรีที่ประคองวาทิตเข้าไปในบ้าน มีเอื้องคำ จั่นเป็ง หนาน ช่วยกันถือของเดินตามเข้าไป
“ฉันดีใจที่แกชอบการทำงานของนรี”
“นิสัยส่วนตัวเขาก็น่ารักนะ วาทิตโชคดีที่ได้พยาบาลพิเศษเป็นหนูนรี”
กิจจายิ้มย่อง “วาทิตก็ชอบนรีเหรอ”
“ชอบมากเลยล่ะ เพราะตั้งแต่เด็กแกก็เห็นเปลี่ยนพยาบาลเป็นว่าเล่น พอหนูนรีเรียนจบมาอยู่นี่ เห็นไหมล่ะไม่เคยเปลี่ยนอีกเลย”
“นรีเขาก็ชอบที่ได้ดูแลวาทิต อย่างน้อยก็สบายใจที่ได้ตอบแทนบุญคุณที่แกส่งเสียนรีเรียนจนจบ”
“บุญคงบุญคุณอะไร ฉันก็คิดว่าส่งหลานเรียน”
“ไม่ได้ๆ ยังไงฉันก็สอนลูกเสมอ ความกตัญญูสำคัญที่สุดสำหรับการเป็นคน นี่ฉันยังคิดเลยนะว่าอยากให้นรีดูแลวาทิตตลอดไป”
กิจจาพูดพร้อมรอยยิ้มเพราะหวังว่ากินรีจะต้องได้แต่งกับวาทิตแน่นอน
“จริงเหรอ ขอบใจมากเพื่อน เป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ งั้นฉันขอเลยนะ ถึงวาทิตจะแต่งงาน หนูนรีก็ต้องเป็นพยาบาลพิเศษต่อไปเลยนะ”
กิจจาชะงัก “วาทิตจะแต่งงาน”

พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้มดีใจมีความสุขล้น แต่กิจจาอึ้งหนักไปทางตกใจเพราะเพิ่งรู้ว่าผิดแผน

เมื่อออกมายังรถ มือของกิจจาทุบลงบนหลังคารถตัวเองด้วยความเจ็บใจ

“บ้าจริง มันเป็นแบบนี้ได้ไง”
กินรีแอบยิ้มอารมณ์ดี
“ช่างมันเถอะค่ะพ่อ ถ้าวาทิตต้องแต่งงานกับเมทินีแบบนี้ เราก็ล้มแผนเราเถอะ”
“ไม่ พ่อจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”
กินรีตกใจ “พ่อ...แล้วจะให้นรีทำอะไร”
“ทำให้มันเลิกกัน หรือจะให้ดี รวบหัวรวบหางวาทิตมันซะก่อนแต่งงานนี่แหละ”
“พ่อ! พ่อก็รู้ว่าวาทิตเขาทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ นรีว่า...”
กิจจาสวนทันที “แกจะว่าจะทำอะไรก็ช่าง แต่ที่พ่อต้องการคือสมบัติของไอ้วิทย์ และลูกก็ต้องทำให้พ่อสมหวัง จำไว้”
กิจจาอารมณ์เสียขึ้นรถขับออกไป กินรีมองตามแล้วถอนหายใจเซ็งๆ แต่พอหันหลังจะเดินกลับก็คิดได้
“อีกสักพักคุณกูรก็คงจะเลิกรักเมทินี”
คิดแบบนี้แล้วกินรีก็ยิ่งอารมณ์ดี เดินนวยนาดเข้าบ้านไป ไม่ใส่ใจเรื่องที่คุยกับพ่ออีกเลย

ทางเข้าไร่ส้มตอนนี้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว และคนขายส้มสด น้ำส้มคั้น และผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากไร่ธนาธร
กิจจาขับรถสีหน้านิ่งออกมาจากประตูใหญ่ของไร่ เห็นมีนักท่องเที่ยวกำลังเดินหรือซื้อของอยู่หน้าไร่ กิจจายิ่งอารมณ์เสีย บีบแตรไล่จนนักท่องเที่ยวกระเจิงกันไปอย่างไม่พอใจ
กิจจาขับรถไปได้หน่อยก็เบรกหยุดอย่างแรง ระบายโมโหโดยทุบพวงมาลัย บีบแตรยาวดังลั่น
“โธ่เว้ย...ไอ้วิทย์แกทำอย่างนี้ได้ยังไง”
กิจจานั่งนิ่งคิดหนักด้วยความแค้น
“ไม่ว่าจะต้องเปลี่ยนอีกกี่ร้อยแผน ฉันก็ต้องได้ของๆ ฉันคืนจากแก...ไอ้วิทย์”

อีกฟากที่โรงอาหารในไร่ส้มธนาธรตอนนี้ เอื้องคำกับจั่นเป็ง ช่วยกันตักอาหารให้คนงานที่ต่อคิวรอสองคนสุดท้าย พอเสร็จแล้วก็พากันเดินไปนั่งสมทบที่โต๊ะหนาน
“อ้าว...ป้ากับจั่นเป็งไม่กินข้าวเหรอ”
“แค่เห็นคุณวาทิตอารมณ์ดีก็อิ่มทิพย์แล้ว” เอื้องคำบอก
“ฉันละแปลกใจมากเลยนะป้า ไม่เคยเห็นคุณวาทิตอารมณ์ดีแบบนี้นานมากแล้ว สงสัยเข้าโรงพยาบาลคราวนี้หมอเปลี่ยนยาเนอะ”
หนานพูดราวกับรู้ความลับ “โอ๊ย เปลี่ยนยาอะไรไม่เกี่ยวกัน”
เอื้องคำฉงน “พูดเหมือนรู้นะไอ้หนาน บอกมาเร็วๆ เลย”
หนานยืดอกพูดอย่างภาคภูมิใจที่รู้เรื่องนี้ก่อนใคร
“คุณวาทิตกำลังจะแต่งงาน”
เอื้องคำกะจั่นเป็ง อุทานพร้อมกัน “แต่งงาน...กับใคร”
“ก็จะใครล่ะ คุณเมที่คุณวาทิตหลงรักมาตลอดนั่นแหล่ะ เฮ้อ...สมหวังซะที” หนานยิ้มภาคภูมิ
เอื้องคำกับจั่นเป็งกรี๊ดมีความสุข แต่แล้วก็มีเสียงจานช้อนสังกะสีกับแก้วน้ำแสตนเลสตกพื้นดังเคล้ง ทุกคนในโรงอาหารหันขวับไปมอง ก็เห็นชาติยืนหน้าตาโมโหสุดๆ อยู่ข้างๆ และคงได้ยินทุกคำที่คุยกัน
“จั่นเป็ง เก็บให้ด้วย” ชาติวางอำนาจ
“อ้าว ได้ไงล่ะไอ้ชาติ จริงๆ น่ะแกต้องทำความสะอาดด้วยนะ กินประสาอะไรมาทำตกหกเลอะเทอะ” เอื้องคำด่า
“อารมณ์ไม่ดีเว้ย”
ชาติเดินกร่างออกไปเลย หนาน เอื้องคำ และจั่นเป็งมองตามแล้วส่ายหน้าระอาใจ
“บ้าจริง ตกลงไอ้พี่ชาตินี่มันเป็นหัวหน้าคนงานหรือมันเป็นเจ้าของนี่”
หนานตัดบท “ช่างมันเถอะ มันคงเจ็บแทนนายล่ะสิ”
เอื้องคำเห็นด้วย “ก็จริงนะ ขนาดไอ้ชาติยังโมโห แล้วคุณกูรรู้เรื่องนี้จะเป็นไง”
“ว่าแล้วก็อดสงสารคุณกูรไม่ได้เนอะ”
“นั่นสิ อุตส่าห์ตามจีบคุณเมตั้งนาน คุณเมเองก็ดูว่าจะชอบไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจู่ๆหวยมาออกที่คุณวาทิตวะ ไอ้หนานเอ็งพอรู้ไหม”
หนานมองซ้ายมองขวาเพื่อความปลอดภัย
เอื้องคำหมั่นไส้ “อะไรของเอ็งว่ะไอ้หนาน ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ ด้วย”
หนานเบาเสียงลง “น้องชายคุณเมไปตีกับพวกเด็กช่าง แล้วยิงเด็กคนนึงบาดเจ็บ พ่อแม่เค้าเรียกเงินยี่สิบล้าน คุณเมคงไม่มีเงิน คุณกูรก็จะช่วยแต่ไม่ได้ เธอเลยต้องแต่งงานเพื่อเอาเงินไปช่วยน้อง”
เอื้องคำตกใจ “ห๊า...อะไรวะ ทำแบบนี้ก็ขายตัวน่ะสิ”
“เบาๆ หน่อยสิป้า” หนานปราม
เอื้องคำนั้นไม่ชอบเมทินีขึ้นมาเลยในทันที “ฮึ ไม่รู้ล่ะ ทำแบบนี้ข้าก็ไม่ชอบแล้ว”
จั่นเป็งท้วง “เอ้า...ป้า แต่คุณเมเค้าจำเป็นนี่”
“จำเป็นโดยที่ไม่สนความรู้สึกคุณกูรเลยเหรอ ผู้หญิงแบบนี้ข้าว่าต้องไม่ใช่คนดี” คุณแม่บ้านผู้ภักดีว่า
“อ้าว...ฉันนึกว่าป้าเชียร์คุณวาทิตซะอีก”
“ข้าน่ะไม่ได้อยากเชียร์ใครหรอก เพราะเลี้ยงมาทั้งคู่ คุณกูรถึงจะมาอยู่ที่นี่ตอนห้าหกขวบ แต่ข้าก็รักเธอนะ ที่สำคัญเกิดเรื่องแบบนี้ ต่อไปคุณกูรกับคุณวาทิตจะอยู่ร่วมบ้านกันยังไง”

ทั้งสามเริ่มเครียด คิดไม่ตก

ขณะที่ชาติกำลังสอนสมุนในการใช้อาวุธปืน มีการซ้อมยิงเป้า อังกูรขับรถมาเข้ามาจอด ชาติและสมุนตรงเข้ามาหา อังกูรขบกรามเป็นสันสีหน้าเครียดเคร่งหลังรู้เรื่อง

“ผมรู้ว่านายไม่สบายใจ ผมไม่สนทั้งนั้นว่ามันเป็นใคร ขอเพียงให้นายสั่งเท่านั้น”
“ฉันก็อยากสั่ง อยากให้แกทำ”
“แล้วนายจะรออะไรครับ”
“ฮึ...มันจะพรากคนที่ฉันรัก มันกำลังเหยียบย่ำหัวใจฉัน แกรู้ไหมว่าขณะนี้ฉันเจ็บ”
“เป้านิ่งอย่างคุณวาทิต ผมรับรองว่าไม่มีอะไรยากครับ”
“มันเป็นเป้านิ่งก็จริง แต่การที่มันไม่คบค้ากับใครแล้วไม่ค่อยอยากไปไหน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมันฉันจะต้องเป็นผู้ถูกสงสัย”
“แล้วนายจะทนได้ยังไง ถ้ามันได้แต่งงานกับคุณเมทินี”
อังกูรตวาด “แต่งไม่ได้ แต่ถ้าไอ้วาทิตได้แต่งกับเม ฉันขอสาบานว่าไอ้แก่วิทย์กับไอ้วาทิตอยู่ในโลกนี้ยากแน่”

“อังกูร ถ้าแกมีเวลาลุงอยากให้แกใช้ความคิดกับเรื่องนี้ให้มากๆ เคยไหมที่ลุงจะ ไม่รักแกแต่น้องแกวาทิต วาทิตไม่ได้เป็นคนที่มีสภาพพร้อมเหมือนแก ฉะนั้นจะว่าลุงรักและสงสารวาทิตมากลุงก็ยอม ลุงรักและเลี้ยงดูแกกับวาทิตมาแทบจะไม่ต่างกัน จะต่างกันก็เพียงวาทิตเค้าอายุไม่ยืนยาวเหมือนแก”
คำพูดนั้น ดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งในไร่ชาธนาธร ทั้งสองลุงหลาน นั่งอยู่ด้วยกัน อารมณ์เครียดด้วยกันทั้งคู่
อังกูรจ้องหน้าลุงสีหน้านิ่ง “ผมกำลังหาทางช่วยเมอยู่แต่คุณลุงมาตัดหน้าแบบนี้มันไม่แฟร์เลย”
“แล้วคิดว่าตัวเองแฟร์กับหนูเมเหรอ ลุงถามจริงๆ กูรจะไปเอาเงินห้าล้านสิบล้านมาจากไหน ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการหาเงิน”
อังกูรบอกเสียงเรียบเย็น “ก็ถ้างั้นทำไมไม่ช่วยผม ถึงพ่อผมเป็นลูกเมียน้อยของคุณปู่ แต่ผมก็คือหลาน ทำไมคุณลุงช่วยแต่ไอ้น้องนอกไส้อย่างไอ้วาทิต”
พ่อเลี้ยงวิทย์อธิบายดีๆ “กูร ลุงขอร้อง เห็นแก่ลุง เห็นแก่ชีวิตคนๆนึงได้ไหม กูรเป็นคนดีลุงเชื่อว่ายังมีคนดีๆ รออยู่อีกเยอะ แล้วถ้ากูรชอบใครบอกลุงนะ ลุงจะเป็นธุระให้ทุกอย่าง”
พ่อเลี้ยงพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาวิงวอนหลานชาย อังกูรยืนนิ่งจ้องหน้าลุงเขม็ง
“ผมกับวาทิตเหมือนกันตรงที่เรารักผู้หญิงได้แค่คนเดียว แม้คุณลุงจะช่วยวาทิตยังไงก็ตาม ผมก็จะไม่เลิกรักเม”
“แม้ว่าหนูเมจะแต่งงานกับวาทิตไปแล้วงั้นเหรอ”
อังกูรยิ้มเยือกเย็น “ครับ”
พูดจบเขาก็จ้องหน้าลุงด้วยสายตาเคียดแค้น พ่อเลี้ยงวิทย์ได้แต่ถอนใจเครียด ไม่รู้จะช่วยอังกูรยังไง

ชาติใส่กระสุนปืนยาว ซุ่มอยู่หน้าบ้านพ่อเลี้ยงในมุมลับตาคน ชาติยกปืนมองไปเบื้องหน้า หนานขับรถพาพ่อเลี้ยงมาส่ง พ่อเลี้ยงวิทย์ ลงจากรถกำลังเดินเข้าบ้าน โดยไม่รู้ว่าปืนกำลังถูกเล็งไปที่ตัวเอง
ชาติเล็งกล้องเห็นพ่อเลี้ยงวิทย์อยู่ในเลนส์เข้าเป้าปืน ทันใดนั้นก็มีสิ่งหนึ่งมาขวางเป้า ชาติเงยหน้าขึ้นมอง
อังกูรตบปังเข้าที่หน้าชาติจนหน้าหันไป “โอ้ย นาย ทำไมผมทำอะไรผิดครับ”
“แกจะให้ฉันถูกคดีอาญาหรอไอ้ชาติ ถ้าไม่ถูกยิงเป้าก็ติดคุกจนหัวโต”
“ผมทนไม่ได้ที่มันทำอย่างนี้กับนาย”
“ฉันยังทนได้แล้วทำไมแกจะทนไม่ได้ จำใส่กะโหลกไว้ด้วย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับฉัน ถ้าฉันไม่สั่งห้ามแกทำเด็ดขาด เข้าใจไหม”
“ครับนาย”
สีหน้าอังกูรมองไปไกล แลดูน่ากลัวมาก

ที่โถงหน้าห้องสอบสวนเมทินีกับมณีกำลังนั่งรอการปล่อยตัวไมตรีอย่างใจจดใจจ่อ โดยเฉพาะมณี
“น้องจะได้กลับบ้านแน่ใช่มั้ยลูก”
“แม่ใจเย็นๆ นะจ๊ะ พ่อเลี้ยงกำลังจัดการให้อยู่”
ประตูห้องสอบสวนเปิดออก ตำรวจเดินออกมา ไมตรีเดินตามออกมาพอเห็นแม่กับพี่สาวก็โผเข้ามาหา
“แม่...พี่เม”
“ไม เป็นยังไงบ้างลูก หมดเคราะห์หมดโศกแล้วนะลูกนะ”
ทั้งสามกอดกันกลม พ่อเลี้ยงวิทย์กับทนายความเดินออกมาจากห้องสอบสวน เมทินีเข้าไปหายกมือไหว้
“ขอบคุณมากนะคะคุณลุงวิทย์”
“เรื่องนี้มันเป็นคดีอาญา เรื่องนี้ก็ยังไม่จบหรอกนะ แต่หนูเมไม่ต้องห่วงทางลุงจะจัดการให้เรียบร้อย หนูเมเตรียมตัวเรื่องแต่งงานไว้ คงอีกไม่นานนักหรอก”
“ค่ะ”
เมทินีรับคำเบาๆ บอกกับตัวเองในใจว่าเดินมาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว

ที่บ้านแรม วารินกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อน
“อะไรนะยี่สิบล้าน โอ้โหกะตั้งตัวกันเลยเหรอ รู้น่าว่าฉันต้องทำตัวดีดีกับไมตรีเขา โอเค ไว้เจอกันที่คณะ”
วารินวางสายนั่งยิ้มดีใจ รุทรเดินออกมาจากตัวบ้าน
“เป็นอะไรไปรินนั่งยิ้มหน้าบาน”
วารินเข้าไปเกาะแขนรุทรด้วยความดีใจ “ไมตรีได้กลับบ้านแล้วพี่รุทร”
“จริงเหรอ...ดีใจด้วยนะ”
“แต่เห็นบอกว่าฝ่ายโน้นเรียกค่าทำขวัญตั้งยี่สิบล้านแน่ะ”
รุทรแปลกใจ “ห๊า...ยี่สิบล้านเลยเหรอ”
วารินพยักหน้า “เพราะไอ้คนที่โดนยิงมันอาจจะเดินไม่ได้ หรืออาจจะถึงขั้นอัมพาต”
“นี่แสดงว่าบ้านเขาคงรวยมาก” รุทรตั้งข้อสังเกต
วารินงง “รวยเหรอ ไม่น่านะ รวยแล้วทำไมต้องส่งดอกไม้ตอนเช้าด้วย”
“ช่างมันเถอะ ยังไงเรื่องจบก็ดีแล้ว แต่รินต้องจำเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียนนะ อย่าวู่วาม อย่าใจร้อน อย่าทำอะไรเพียงเพราะเห็นว่าสนุก ยิ่งคนไม่ดีเราอย่าไปตอแยด้วย เราอาจไม่โชคดีเจอคนดีแบบไมตรีมาช่วยทุกครั้ง”
“ค่า...คุณพ่อ รินจำจนตายเลยแหละ แล้วรินก็จะดีกับไมตรีเขามากๆ ด้วย”

วารินยิ้มล้อๆ

อ่านต่อหน้า 4

เงาใจ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ตรงโซฟารับรองลูกค้าในร้านดอกไม้ Metinee Flora มณีเอากาแฟมาเสิร์ฟให้พ่อเลี้ยง แล้วลงนั่งคุยกัน

“ฉันขอบคุณคุณมณีกับหนูเมมากเลยนะ นี่เท่ากับว่าเป็นการต่อชีวิตให้วาทิตไปอีกนานเลย”
“ยังไงฉันก็ฝากเมกับพ่อเลี้ยงด้วยนะคะ คิดซะว่าเป็นลูกเป็นหลานอีกคน”
“ฉันสัญญานะว่าจะดูแลหนูเมอย่างดี ส่วนเรื่องที่ร้านนี่ฉันจะหาคนมาเป็นลูกมือแทนหนูเม”
“อุ๊ย...ไม่ต้องหรอกค่ะ” มณีเกรงใจ
“อย่าปฏิเสธเลยแม่มณี ฉันขอร้อง หลังจากหนูเมแต่งงานกับวาทิตแล้ว เราก็เหมือนเป็นญาติกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน”
“ขอบคุณพ่อเลี้ยงมากค่ะ”
“ตกลงฉันถือว่านี่เป็นคำตอบรับ ที่จะให้หนูเมแต่งงานกับวาทิตอย่างเป็นทางการแล้วกันนะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์กับมณียิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร
อีกมุมหนึ่ง อังกูรกับเมทินียืนฟังผู้ใหญ่คุยกัน อังกูรนั้นมองเมทินีด้วยความเศร้า เมทินีได้แต่อึดอัดใจจึงยิ้มยอมรับชะตากรรมตัวเอง

ที่สะพานข้ามลำธารน้ำตกแห่งหนึ่ง อังกูรกับเมทินียืนอยู่ด้วยกันตรงนั้น อังกูรมีสีหน้าเศร้ามาก
“พี่ขอโทษนะเมที่ช่วยเหลือเมไม่ได้”
“พี่กูรไม่ต้องขอโทษเมหรอกค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของพี่กูรเลย เมรู้และเข้าใจดีว่าพี่กูรพยายามช่วยเมมากแค่ไหน แต่เมเองที่เป็นคนตัดสินใจไปแล้ว เพราะเมรอไม่ได้จริงๆ”
“พี่เข้าใจแต่พี่ก็ยังเจ็บใจตัวเองอยู่ดี เพราะถ้าพี่ช่วยเมได้ เมก็จะไม่ต้องทรมานใจทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักอย่างวาทิต”
“พี่กูรอย่าคิดมากไปเลยนะคะ ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปในแบบของมัน เพราะเมเป็นคนตัดสินใจเอง เมยินดียอมรับได้ทุกอย่าง”
อังกูรมองเมทินีด้วยความสงสาร และอึดอัดใจจนโกรธตัวเองที่ช่วยเมทินีไม่ได้ เมทินีจับมืออังกูรปลอบ
“แต่ถึงยังไงพี่กูรก็คือพี่ชายที่ดีของเมตลอดไป”
อังกูรมองหน้าเมทินี น้ำตาคลอด้วยความเศร้าใจกับคำว่าพี่ชายที่เมทินีมอบให้อีกครั้ง
อังกูรส่ายหน้าปฏิเสธ “แต่สำหรับพี่ เมคือหัวใจของพี่” คำต่อมาเขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และพี่จะไม่มีวันเลิกรักเมเด็ดขาด”
เมทินีสงสาร “พี่กูร”
อังกูรบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดังเดิม “พี่เคยบอกเมแล้วไง ว่าชีวิตของพี่เหลือเมเพียงคนเดียว พี่รักเมมากที่สุด และพี่ไม่สามารถรักใครได้อีก จำคำพี่ไว้นะเม พี่จะรักเมคนเดียวตลอดไป”
อังกูรมองเมทินีด้วยความรัก

เมทินีมองอังกูรแล้วถอนหายใจ ทั้งสงสารและอึดอัดใจไปในคราวเดียวกัน

ขณะที่เมทินีกำลังนั่งเช็คออร์เดอร์ดอกไม้ที่ต้องส่ง ไมตรีเปิดประตูห้องเข้ามาหน้าจ๋อยๆ

ไมตรีเดินมานอนบนเตียงหนุนตักเมทินี
“ไมขอโทษนะที่ทำให้พี่เมต้องฝืนใจแต่งงานกับพี่วาทิต ทั้งๆ ที่พี่เมไม่ค่อยชอบนิสัยพี่วาทิต”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ทำอะไรก็ได้เพื่อความสุขของไมกับแม่ได้เสมอ”
เมทินีเอามือลูบผมน้องชายด้วยความเอ็นดู
“แล้วความสุขของพี่เมล่ะ” ไมตรีถาม เมทินีสะดุดไปเหมือนกัน
“ก็ความสุขของไมกับแม่ไงคือความสุขของพี่” เธอว่า
“พี่เมรู้มั้ยว่าพี่เมคือแม่คนที่สองของไม”
“ไม่เอาหรอกย่ะ แค่เป็นพี่สาวก็ปวดหัวแย่แล้ว”
เมทินีแกล้งแหย่เล่นไมตรีไหว้ “ขอบคุณมากนะพี่เม”
เมทินีขยี้ผมไมตรีด้วยความรัก ไมตรีกอดพี่สาวแน่นด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง

มณีกำลังนั่งทำบัญชีอยู่ในห้องนั่งเล่น เมทินีเอาใบรวมออร์เดอร์เข้ามาส่งให้
“นี่จ้ะแม่ยอดสั่งดอกไม้พรุ่งนี้”
มณีรับไปวางไว้ข้างๆ “เหนื่อยมั้ยลูก”
“ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ แม่ต่างหากเหนื่อยไหม กลางวันต้องทำงานที่โครงการ เลิกงานก็ต้องมาช่วยเมอีก แถมช่วงนี้ก็มีแต่เรื่องวุ่นๆ”
“แต่ตอนนี้เรื่องวุ่นๆ มันก็ผ่านไปแล้วนะ”
เมทินีฝืนยิ้ม “ใช่ค่ะแม่ บ้านเรากลับมามีความสุขซะทีเนอะ”
มณีดึงเมทินีมากอด
“แม่ขอบใจมากนะเมที่หนูเสียสละเพื่อน้องเพื่อแม่ถึงขนาดนี้ แม่รู้ดีว่ามันคงเปลี่ยนชีวิตเมไปทั้งชีวิต”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่ สิ่งที่เมต้องทำตอนนี้ก็คือหาทางอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุข
เมทินีบอกมณี แต่เหมือนเธอจะบอกกับตัวเองมากกว่า

คืนนั้นกินรีส่งยาก่อนนอนให้ วาทิตกินเสร็จอย่างอารมณ์ดี กินรีเองก็ยิ้มพอใจ
“ยินดีด้วยนะคะคุณวาทิต ในที่สุดก็สมหวัง”
วาทิตถอนใจ “แต่พี่กูรคงโกรธเกลียดฉันมาก”
กินรียักไหล่ “อีกหน่อยคุณกูรก็หายโกรธไปเองล่ะค่ะ”
“แต่พี่กูรเค้าก็รักเมมากนะ ถึงขนาดทำการ์ดแต่งงานไว้แล้ว”
“เดี๋ยวคุณกูรเค้าก็าเจอคนใหม่ เค้าก็เปลี่ยนใจไปเองล่ะค่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ”
“มันต้องเป็นอย่างนั้นค่ะ คุณกูรเป็นคนหล่อ เก่ง นิสัยก็ดี การงานก็ดี เชื่อว่าเค้าคงอกหักไม่นานหรอกค่ะ”
“ถ้าวันหนึ่งพี่กูรได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ดี ฉันกับพี่กูรก็จะกลับมาเป็นพี่น้องที่รักกันเหมือนก่อน ฉันชักอยากให้พี่กูรได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นเร็วๆ แล้วสิ”
“คุณวาทิตก็ต้องรีบแต่งงานกับเมนะคะ คุณกูรจะได้เปิดใจให้คนอื่นเร็วๆ”

วาทิตยิ้มมีหวังที่จะได้กลับไปดีกับพี่ชาย ส่วนกินรียิ้มที่แสงสว่างปลายอุโมงค์เริ่มชัดขึ้น

กินรีเดินถือนมอุ่นๆมานั่งหน้าบ้านแอบอมยิ้มมีความสุข ระหว่างนั้นชาติเมาขี่มอเตอร์ไซค์มาแล้วมาล้มใกล้ๆ กินรีตกใจกระโดดหลบ

“ว้าย...”
ชาติพยายามพยุงร่างลุกอย่างยากลำบาก กินรีเดินไปดูใกล้ๆ
“นี่นายชาติ เธอแอบออกไปกินเหล้านอกไร่เหรอ”
ชาติจุ๊ปาก “จุ๊ๆๆๆ อย่าพูดดังสิครับ”
“หืม...เป็นหัวหน้าคนงาน แต่ทำผิดกฎของไร่แล้วจะมาให้ฉันเงียบ เจริญนะ”
ชาติเพ่งมองแล้วเดินเข้ามาหา กินรีเริ่มถอย
“กฎของไร่น่ะมันเกินไป คนเราก็ต้องสังสรรค์กันบ้าง ว่าไหมครับ”
กินรีตัดรำคาญ “เอาเถอะ ฉันไม่เกี่ยวดีกว่า”
“แสดงว่าคุณนรีจะช่วยผม”
“ฉันไม่ได้จะช่วยเธอ ฉันแค่ไม่อยากยุ่งกับอะไรที่ไม่ใช่เรื่องของฉัน”
ชาติยิ้ม “ขอบคุณครับ”
กินรีค้อนแล้วจะเดินไปแต่ชาติดึงแขนไว้ กินรีตกใจสะบัดเต็มแรง
“นี่...มาดึงฉันทำไม”
“ผมแค่จะบอกว่าคุณนรีสวยและใจดีจังเลยนะครับ”
พูดจบชาติก็ยิ้มเจ้าชู้ให้กินรี แต่กินรีเห็นแล้วไม่ชอบใจรีบเดินเข้าบ้านไป ชาติมองตามยิ้มๆ แล้วเอามือที่จับกินรีมาดม ก่อนจะโซชัดโซเซไปยกรถเครื่องขี่ไปต่ออย่างยากลำบาก

ขณะที่วาทิตนั่งเลือกการ์ดแต่งงานอย่างมีความสุขในห้องนั่งเล่น อังกูรเดินเข้ามาหา วาทิตพอเห็นอังกูรก็หยุดชะงักภารกิจที่ทำอยู่
“นายก็รู้ว่าเมเขาไม่ได้รักนายแต่นายก็ยังจะรั้นอยากแต่งงานกับเม”
วาทิตพยามนิ่งไม่โต้ตอบ อังกูรยิ่งโกรธลงนั่งจ้องหน้าแล้วทุบโต๊ะปัง!
อีกมุมเห็นกินรีถือจานขนมกับน้ำผลไม้เดินมาได้ยินเสียงก็หยุดฟัง
“นายไม่ใช่คนที่เมจะแต่งงานด้วย เมไม่ได้เลือกนาย แต่คุณลุงใช้ความได้เปรียบมาฉกฉวยโอกาสให้เป็นของนาย”
“ผมไม่สนใจหรอกว่าเมจะแต่งงานกับผมเพราะอะไร ขอแค่เมยอมแต่งผมก็พอใจแล้ว”
“แล้วคิดเหรอว่าไอ้คนไม่สมประกอบอย่างนายจะทำให้เมมีความสุขได้”
อังกูรจ้องหน้าเยาะเย้ย วาทิตเริ่มมือไม้สั่นลุกจะเดินหนี แต่อังกูรลุกขึ้นกระชากคอเสื้อวาทิต
“ฉันยังไม่แพ้แกหรอกไอ้พิการ”
อังกูรบอกเสียงเข้มก่อนจะเดินกลับออกไป กินรียิ้มรีบวางของแล้วตามอังกูรออกไป
วาทิตลงนั่งเริ่มมือสั่นๆ พอจะหยิบสมุดแบบการ์ดมาดู ก็ทำสมุดนั้นตก มีการ์ดสวยใบหนึ่งในนั้น เป็นรูปถ่ายพรีเว็ดดิ้งของวาทิตกับเมทินี มีชื่อทั้งคู่อยู่ด้วย

อังกูรเดินอารมณ์เสียออกมา กินรีรีบวิ่งตามมาเรียกไว้ “คุณกูรคะ”
อังกูรหยุด แล้วหันไปตามเสียงเรียก
“นรีเสียใจด้วยนะคะ เรื่องเอ่อ...ที่คุณวาทิตได้เป็นเจ้าของเม”
อังกูรไม่อยากสนใจฟัง หันจะเดินต่อ
“ถ้าคุณกูรมีอะไรไม่สบายใจก็คุยกับนรีได้นะคะ คิดซะว่านรีเป็นน้องสาวที่ไม่อยากเห็นพี่ชายไม่สบายใจ”
อังกูรพูดโดยไม่มองหน้ากินรี “ฉันเป็นลูกคนเดียว แต่ยังไงก็ขอบใจ”
อังกูรพูดจบก็เดินไป กินรีมองตามแล้วยิ้มอย่างมุ่งมั่นมีหวัง
“นรีจะทำให้คุณลืมเมให้ได้”
ได้ยินเสียงวาทิตตะโกนเข้ามา “นรี...อยู่ไหน ขอยาหน่อย”
“โอ๊ย...รำคาญจริง”

กินรีเดินหน้าเมื่อยเข้าบ้านไป

คืนนั้น เสียงดนตรีหวานเศร้า ดังขึ้น มันดังมาจากในผับดังเมืองเหนือ นักร้องหญิงอ้อยอิ่งร้องเพลงรักเศร้า ไฟเสน่หา อังกูรอยู่ในลักษณะเมามายใกล้ขาดสติ มีชาตินั่งดูแลอยู่ไม่ห่าง

นักเที่ยวราตรีสนใจฟังเพลง บ้างกอดกันเต้นรำหวานซึ้ง อังกูรมองนักร้องแล้วยิ่งเศร้า
ภาพอดีตหวานระหว่างเขากับเมทินี ผุดซ้อนเข้าราวสายน้ำไหล ภาพแล้ว เหตุการณ์เล่า
อังกูรสลัดความคิดที่หลอนตัวเองออก แล้วมองไปเบื้องหน้า เขาเห็นเมทินีเต้นรำอยู่กับชายคนหนึ่ง
อังกูรพึมพำชื่อเมทินี แล้วลุกเดินไปหา คว้าเมทินีพร้อมเรียก “เม” พอเมทินีหันมากลับกลายเป็นหญิงอื่น
“อ้าว...เอ๊ะ...เอ่อ...ขอโทษครับ ผมเข้าใจผิด”
หนุ่มคู่เต้นซัดโครมที่หน้าอังกูร ร่างอังกูรล้ม มือของชาติวางที่บนไหล่ชายหนุ่มหันมา ชาติตะบันหน้าหนุ่มโชคร้าย ชกๆๆ จนอังกูรร้องห้าม
“เฮ้ย..พอแล้ว พอแล้วไอ้ชาติ กูผิดเองแค่สั่งสอนมันก็พอแล้ว”
ชาติชี้หน้าขู่ “ถ้ามึงแตะต้องนายกูอีก มึงตายแน่ เอ่อ...ไหวนะนาย”
“สบายโว้ย”
อังกูรจะเดินแต่เซ ชาติประคองออกไปนอกร้าน

อังกูรเปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำผับวักน้ำล้างหน้า พนักงานส่งผ้าให้ อังกูรรับมาเช็ดหน้า ชาติส่งเงินให้พนักงานแล้วโบกมือให้ถอยห่าง สองคนเดินคุยกันออกมา
“เหล้ากินแล้วก็ต้องเมา เมาแล้วก็ต้องมีเรื่อง มีเรื่องก็ต้องเจ็บตัว เฮ้ย ปากแตกด้วยเหรอวะ”
“นายไม่น่าห้าม ไอ้บ้านั่นมันน่าจะตายตรงนั้น ให้ผมไปจัดการมันก่อนนะนาย”
“เฮ้ย ไม่ต้องแล้ว ขอกันกินมากกว่านี้ ฉันผิดเองที่ตาฝาด มองเห็นใครก็เป็นเมไปหมด”
“ผมเพิ่งรู้ว่าความรักมันเป็นอย่างนี้เอง”
“เฮ้ย มันต้องมีมากกว่านี้ ที่แกเห็นมันแค่ฉากเริ่มต้นเท่านั้น ฉันจะต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากยิ่งกว่านี้ แกรู้ไหมว่าฉันรักเมมาก มากพอที่ฉันจะโดดหน้าผาตายได้ มากพอที่จะทำให้ฉันเป็นบ้าได้”
ระหว่างนี้ อีงกูรเห็นเมทินีเดินออกมาจากห้องน้ำหญิง อังกูรมองจ้อง เมทินีหันมองยิ้มแล้วเดินไป
“เม...เมรอพี่กูรก่อน” อังกูรถลาตามออกไป
ชาติถอนใจเฮือก “เม...อีกแล้วเหรอ ก็กูอีกแล้ว”

ถึงวันแต่งงาน วาทิตกับเมทินี
อังกูรในชุดหนังเตรียมออกไปขี่มอเตอร์ไซค์ยืนดูวิวอยู่ที่ระเบียงบ้านพักหลังบ้าน ชาติเดินเข้ามาในชุดเรียบร้อยเตรียมไปงานเห็นอังกูรก็แปลกใจ
“นี่คุณกูรจะไม่ไปงานเหรอครับ”
“ไปขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเพื่อนฉัน”
“ถ้าคุณกูรไม่อยู่พ่อเลี้ยงจะไม่ถามหาเหรอครับ”
อังกูรตวาด “ก็ช่างมันสิ! แกจะไปกับฉันหรือเปล่า”
“ผมต้องอยู่กับนายผมอยู่แล้ว”
อังกูรเดินไปหยิบหมวกกันน็อกจะไป
แต่แล้วพ่อเลี้ยงวิทย์ในชุดสูทเตรียมไปงานเดินเข้ามา อังกูรกับผู้เป็นลุงประจันหน้ากัน
“จะไปไหนกัน แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้”
อังกูรไม่ตอบยืนนิ่ง
“ลุงถามไม่ได้ยินเหรอ”
“วันนี้ผมไม่ว่างครับ” อังกูรพูดจบก็จะเดินไปอีก
พ่อเลี้ยงวิทย์เสียงเข้ม “แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ลุงมีเรื่องจะคุย”
จากนั้นพ่อเลี้ยงเดินมาจ้องหน้าอังกูรเป็นเชิงบังคับ

ถัดมา อังกูรกับพ่อเลี้ยงวิทย์นั่งคุยกันอยู่ที่โซฟาบ้านพักอังกูร
“ถ้ากูรกับวาทิตรักผู้หญิงคนละคนกันมันก็คงจะดี แต่ในเมื่อทางออกของปัญหามันบังคับให้ลุงต้องทำแบบนี้ ลุงก็อยากจะขอโทษกูร และลุงขอบใจมากที่กูรเสียสละเพื่อน้อง”
“ผมไม่ได้เป็นคนดีถึงขนาดขั้นเสียสละหรอกครับ แต่เป็นเพราะคุณลุงรักไอ้ลูกนอกไส้ มากกว่าผมซึ่งเป็นหลานในไส้”
“กูรจะด่าว่าลุงยังไงก็ได้ แต่ลุงยังหวังว่า วันนึงกูรจะเข้าใจลุง”
พ่อเลี้ยงวิทย์หยิบเช็คออกมาวาง “ถือว่านี่เป็นคำขอโทษจากลุงและน้องแล้วกันนะ” แล้วลุกขึ้นเดินไปตบไหล่ปลอบอังกูร “ไปแต่งตัวแล้วไปร่วมงานเถอะลุงขอร้อง ยังไงกูรก็เป็นสมาชิกวุฒิธรรม และเป็นหลาน ของลุงเสมอ”
วิทย์เดินออกไป อังกูรหยิบเช็คมาดู
เช็คในมืออังกูร เห็นตัวเลข 5 ล้านบาทถ้วน แล้วมือก็ค่อยๆ ขยำเช็คยับคามือ

ชาติอยู่หน้าบ้านพัก กำลังตรวจเช็ครถมอเตอร์ไซค์ทั้งของอังกูรและของตัวเอง เพื่อเตรียมออกไปขี่ สักครู่หนึ่งจึงเห็นอังกูรเดินเปิดประตูออกมาในชุดสูทเตรียมไปงาน ชาติพอเห็นก็แปลกใจ
“คุณกูรจะไปไหนครับ”
“ไปงานแต่งงานไอ้วาทิต”
ชาติได้ฟังก็งง “คุณแน่ใจเหรอครับ”
“คุณลุงอุตส่าห์ถ่อสังขารมาเชิญด้วยเงินตั้งห้าล้าน ยังไงฉันก็ต้องไปแสดงความยินดีให้มันสมค่าของเงินหน่อย แกก็ควรไปกับฉันถ้าไม่อยากพลาดอะไรสนุกๆ”
“สนุกๆ เหรอครับ” ชาติยิ้มสะใจ
“คนอย่างฉัน แกก็รู้นี่ว่าคำไหนคำนั้น”

อังกูรยิ้มร้ายหลังคำพูดประโยคนั้น

อ่านต่อตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น