เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 7
ภายในห้องนอนวันวิสา เวลาต่อมา วรินนั่งอยู่ข้างเตียงกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามมือ ตามแขนให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน จนวันวิสาค่อยๆ รู้สึกตัว ลืมตาขึ้น
“อาวัน...อาวัน” วรินเรียกสติ
วันวิสาเหลียวมองไปยังข้างเตียง เห็นบันลือ บดิน และ วริน อยู่พร้อมหน้า ทุกคนมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง บันลือถามขึ้นเป็นคนแรก
“อาวัน ลื้อหายไปไหนมา ลื้อรู้ไหม ลื้อทำให้ทุกคนเป็นห่วงขนาดไหน”
“อั๊ว ตามหาจนแทบจะพลิกแผ่นดิน กรุงเทพฯ อยู่แล้ว ลื้อไปอยู่ไหนมา” บดินซักไซ้
“ป๊า...ม๊า...เฮีย...หนูขอโทษ” วันวิสาน้ำตาร่วง
“อาประยูรอีกินไม่ได้นอนไมหลับตั้งแต่ลื้อหายตัวไป เกิดอะไรขึ้น ลื้อเล่ามาซิ”
วันวิสาได้แต่ส่ายหน้า หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย
“อย่าเพิ่งซักอะไรอีตอนนี้เลย ให้อีพักผ่อนก่อนดีกว่า” วรินตัดบท
“ใครมันทำอะไรลื้อ ต้องบอกเฮียนะ เฮียจะไปเล่นงานมันเอง” บดินฮึดฮัดอยู่นั่น
วริน โบกมือไล่บดินให้ตามบันลือ ออกไป
วันวิสาน้ำตาไหลทั้งที่หลับตาอยู่ “ม๊า...หนูรักป๊ากับม๊านะ”
วรินรับรู้ได้ถึงความทุกข์ที่ลูกสาวไปเจอมา
วันวิสาน้ำตาไหลรินเป็นสาย
บันลือเดินพล่านอยู่ในห้องรับแขก บดินเองก็คิดไม่ตก สักครู่วรินจึงเข้ามา
“อีพูดอะไรบ้าง” บันลือถามไม่ทันได้คำตอบ บดินก็ถามขึ้นอีก
“ม๊า เรื่องนี้มันสำคัญนะ เพราะยังไงอาประยูรอีก็ต้องถาม”
“ลูกสาวหายตัวไปจากบ้านเป็นอาทิตย์ ใครมันจะคิดในแง่ดี” บันลือฉุนเฉียว
“มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
“เหมือนคราวที่แล้วน่ะเหรอ ใครเขาจะเชื่อว่ามันไม่มีอะไร” บันลือหงุดหงิด
“จะมาเค้นคออีทำไมตอนนี้ อีเอาตัวรอดกลับมาได้ก็นับว่าโชคดีขนาดไหนแล้ว”
“บอกอีให้เตรียมคำตอบดีๆ ให้อาประยูรอีด้วยก็แล้วกัน”
บันลือหัวเสียออกไป
“มันเรื่องใหญ่นะม๊า ถ้าอาประยูรอีเกิดไม่เชื่อใจอีขึ้นมา”
บดินตามบันลือออกไป วรินเครียดไม่น้อย
ทางด้านภรพนั่งมาในเรือที่แล่นอยู่ในทะเล กำลังจะกลับเกาะ
“นาย...นาย” คนขับตะโกนเรียก
ภาษิตรีบรุดเดินไปดูที่หัวเรือ ภรพตามไป
สามคนเห็นเรือลำหนึ่งจอดนิ่งอยู่กลางทะเล มีคนโบกผ้า เหมือนต้องการความช่วยเหลือ
“อะไรภาษิต”
“สังสัยเรือเสียน่ะครับ”
“เข้าไปดู เผื่อช่วยเหลืออะไรเขาได้” ภรพบอก
คนขับเรือเบี่ยงหัวเรือไปหาเรือลำนั้น
ภาษิตตะโกนถาม “เรือเป็นพรือพี่ชาย”
จังหวะที่เรือเทียบเข้าไปใกล้ ผู้ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่มิดชิดในเรือลำนั้น ก็โผล่พรวดออกมา ระดมยิงใส่เรือภรพ
ภรพไม่ทันตั้งตัว ร่างผงะตามแรงกระสุน เข้าที่หัวไหล่ ร่างภรพหงายหลังตกน้ำตูม
ร่างภรพที่ตกน้ำมา เห็นเลือดแดงฉานนองไปทั่วคุ้งน้ำ ในเงียบสงัดนั้น เสียงเพลงรักของคนสองคนที่ดูเหมือนดังหวานแว่วมาจากที่ ไกลๆ
ภรพกำลังต่อสู้กับความตายอย่างหนัก ในหัวของเขานึกถึงเหตุการณ์รักหวานชื่นของตนและวันวิสา
ราวกับจิตถูกส่งถึงกัน ด้วยเวลาเดียวกันนี้ เหตุการณ์รักหวานชื่นเรื่องราวเดียวกันของ ภรพ และ วันวิสา ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงของวันวิสา จิตวรบรรจง ซึ่งนอนหลับอยู่บนเตียง
โดยเฉพาะตอนที่ สองคนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกัน และภรพท่าทางจะไม่รอด
วันวิสากระสับกระส่ายหนัก
“อาวัน...อาวัน” เสียงวรินดังขึ้น
วันวิสาลืมตาตื่นขึ้น ท่าทีงวยงง
“ม๊า”
“ลื้อฝันร้ายรึไง”
วันวิสาเอื้อมมือไปกอดกุมมือวรินเอาไว้เหมือนต้องการที่พึ่ง.
“มันก็แค่ฝันร้าย”
วันวิสาน้ำตาไหลริน
“ใช่ม๊า มันก็แค่ฝันร้าย หนูจะต้องลืมมันให้ได้”
วรินลูบหัวลูกสาวปลอบใจ วันวิสาน้ำตาไหลเป็นทาง
ประตูโกดังบริษัทรุ่งเรืองไพศาลศิริ ในกรุงเทพฯ ถูกเปิดออก ลังบรรจุรังนกคุณภาพดีที่ภรพส่งมาทีหลัง ถูกเรียงไว้
ไพศาล และโชคทวี ก้าวเข้ามาในโกดัง
“หมายความว่ายังไงครับเจ๊ก ไหนว่าของไม่มาตามนัด” โชคทวีมีสีหน้าแปลกใจมาก
“มาช้าดีกว่าไม่มา”
“แต่ยังไงก็ต้องส่งข่าวบอกกันสิครับ ไม่อย่างนั้นปั่นป่วนกันไปหมด”
“ไม่มีปัญหาหรอกอาโชค ทุกอย่างปรับได้ตามสถานการณ์ ลื้อไม่เคยได้ยินเรื่องต้นอ้อลู่ลมรึไง ของพวกนี้ต้องส่งลงเรือให้เสร็จวันนี้”
“ครับเจ็ก”
มงคลเข้ามาสมทบ
“นายครับ ภาษิตโทร.มาจากตรัง บอกมีเรื่องสำคัญมากต้องเรียนนาย อีกชั่วโมงจะโทร.กลับมาใหม่ครับ”
“เรื่องสำคัญจริงทำไมไม่บอกมาเลยวะ เสียเวลาเปล่าๆ” โชคทวีบ่น
ไพศาลครุ่นคิด
สามคนกลับมาถึงบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริแล้ว
จนโทรศัพท์ในห้องโถงดังขึ้น โชคทวีขยับตัวจะเข้าไปรับสาย แต่ไพศาลยกมือห้ามไว้ และเดินไปรับสายเอง แถมโบกมือไล่ ให้ทั้งโชคทวีและมงคลออกไป
“ว่าไง ภาษิต”
คำพูดจากฝั่งนั้น ราวกับกระแทกเข้าหน้าเถ้าแก่ไพศาลจังๆ เถ้าแก่ตั้งใจฟังเสียงจากปลายทางจนจบ
สมาชิกบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ ยกเว้นภรพ พร้อมหน้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหารเย็น
อาเจิ้ง เริ่มเก็บถ้วย ชาม ออกไป หลังจากทุกคนอิ่มกันแล้ว พราวตา ขยับช่วยอาเจิ้ง ไพศาลดูซึม เงียบขรึมตั้งแต่เริ่มทานแล้ว และตอนนี้รวบวางตะเกียบทั้งที่ข้าวยังเหลือเต็มถ้วย
“กับข้าวไม่อร่อยเหรอป๊า ป๊ากินน้อยจัง” พราวตาถาม
“อาเจิ้งทำมันต้มขิงไว้ไม่ใช่เหรอ ป๊าซดน้ำขิงร้อนๆ จะได้คล่องคอ” ภรีมว่า
สุพรรษามองหน้าสามี “ไม่สบายรึเปล่า อาเซี้ย”
“อั๊วมีเรื่องสำคัญต้องบอกทุกคน”
ทุกคนนิ่งงัน เดาได้ว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดี
“ถึงเป็นข่าวร้ายยังไงก็ต้องยอมรับมันให้ได้ อาษา ลื้อทำใจดีๆ นะ” เถ้าแก่เจาะจงผู้เป็นภรรยา
“อาเซี้ย ลื้อจะพูดอะไร ข่าวอาภรพใช่ไหม”
ไพศาล พยักหน้า พูดออกมาอย่างยากเย็น “อาภรพ...อีจากพวกเราไปแล้ว”
พราวตา และภรีม ตะลึงตะไล “ป๊า”
“ไม่จริงหรอก ไม่จริงใช่ไหม อาเซี้ย ลื้อพูดไม่จริงหรอกอั๊วไม่เชื่อ อั๊วไม่เชื่อ”
สุพรรษาไม่อาจรับได้ หัวใจสลาย แทบล้มทั้งยืน พราวตา กับภรีม รีบเข้าประคอง อลหม่านกันไปทั้งบ้าน
ค่ำนั้นบันลือย้อนถามลูกชายที่เพิ่งกลับจากข้างนอก เข้าบ้านมา
“ลื้อไปได้ยินมาจากไหน”
“คนของเถ้าแก่เฮ้งอีคุยกัน อีว่าทีแรกก็ไม่เชื่อ จนต้องแอบไปดูบ้านมัน ไอ้เซี้ยมันให้คนแขวนโคมขาวตรงประตูหน้าบ้านแล้วนะป๊า มันก็น่าจะเป็นเรื่องจริงละ”
วันวิสาเดินมาชะงักกึกตรงปากประตูพอดี ก่อนจะเข้ามา
“คนชั่วอย่างมันสมควรแล้วที่ต้องตาย อั๊วว่ารถเราที่ถูกปล้นวันก่อนก็ต้องเป็นฝีมือมัน ไม่มีใครหรอก”
“ไอ้ภรพนี่มัน ร้ายกาจจริงๆ นะป๊า คนอย่างมัน จะมีคนไปร่วมงานศพซักกี่คน”
วันวิสาเย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อได้ยินข่าวร้าย
สร้อยที่ภรพทำจากหอย และให้วันวิสา วางอยู่ในกล่องบนเตียง วันวิสาร้องไห้อย่างหนักหน่วง พยายามไม่ให้เสียงร้องของตัวเองเล็ดรอดออกมา
วรินซึ่งรู้ข่างภรพแล้วเช่นกัน เปิดประตูเข้ามาในจังหวะนี้
“ลื้อไม่หิวข้าวเหรออาวัน”
วันวิสาแอบป้ายน้ำตาทิ้ง ทำเสียงปกติ “ไม่หิวเลยม๊า”
วันวิสาปิดกล่อง แล้วลุกยืนหันมายิ้มให้มารดา วรินยิ้มปลอบ ดูออกว่าวันวิสาพอจะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้นแล้ว
“ยังไงคนเราก็ต้องกลับมาอยู่กับความเป็นจริง ที่ผ่านมาแล้ว อะไรที่มันเป็นความทุกข์ก็ลืมมันไปซะให้ได้ เลือกจำแต่เรื่องดีๆ ไม่งั้นลื้อไม่มีทางเดินไปข้างหน้าได้หรอกอาวัน”
“จ้ะ ม๊า หนูจะพยายาม”
ผ่านโคมขาวเขียนตัวหนังสือน้ำเงิน ตามประเพณีจีน ห้อยอยู่ 2 ใบ ที่ประตูเข้าบ้านซ้าย ขวา เสี่ยเฮ้งเดินตรงเข้ามาหาไพศาล เพื่อแสดงความเสียใจ.
“อั๊วเสียใจด้วยนะอาเซี้ย”
“ขอบใจ”
“อาภรพอีไม่น่าอายุสั้นยังงี้เลย” เฮ้งบอก
เวลานั้นเองเสี่ยเล้ง เดินตรงเข้ามาหา
“อาเซี้ย”
ไพศาลฝืนยิ้มทัก “อาเล้ง ขอบใจที่อุตส่าห์มา”
“คนเป็นพ่อแม่..ไม่มีอะไรให้เสียใจเท่าต้องมาทำงานศพให้ลูกแล้ว อั๊วเห็นใจลื้อจริงๆ อาเซี้ย”
“อะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้มันเกิด”
“ค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำนะ ยังไงชีวิตมันก็ต้องสู้กันต่อไป”
“อั๊วหมดหวังแล้วอาเล้ง กำลังใจ มันไม่มีเหลือแล้ว ที่มีทุกวันนี้ ก็ทำให้ลูกทั้งนั้น อีมาจากไปยังงี้ ก็ไม่ รู้จะดิ้นรนไปเพื่ออะไร”
แขกกลับไปหมดแล้ว มงคลเข้ามาในห้อง ขณะไพศาลสั่งงานโชคทวี
“ลื้อไปตรวจดูให้แน่ใจว่าของที่ส่งลงเรือเรียบร้อยทุกอย่าง”
“เจ็กไม่ต้องห่วงครับ ผมจะทำงานเป็นหูเป็นตาแทนภรพให้ดีที่สุด”
“ขอบใจ อามงคล ลื้อไปจองตั๋วรถไฟ ลงตรังให้อั๊วด้วย”
“กี่ใบครับนาย”
“ใบเดียว อั๊วจะลงไปคนเดียว”
“เจ็กจะลงไปคนเดียวได้ยังไงครับ รอส่งของลงเรือแล้ว ผมไปกับเจ๊กก็ได้” โชคทวีคัดค้าน
“ลื้อสองคนอยู่ช่วยดูแลที่นี่ดีแล้ว อั๊วแค่ลงไปรับศพอาภรพเท่านั้นเอง เสร็จธุระก็จะรีบกลับขึ้นมา”
องค์เทพเจ้าเหนือแท่นบูชาคล้ายมองลงมายังวันวิสา ซึ่งยามนี้ดูออกว่าทุกข์เหลือเกิน และพาตัวเองมานั่งไหว้พระที่ศาลเจ้าซินแสง้วง พอไหว้เสร็จจึงปักธูป
ซินแสง้วงยืนมองอยู่เอ่ยขึ้น “เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดา มีวันได้พบกันก็ต้องมีวันจากลา ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ อยู่ที่ตอนได้พบกันรู้จักกัน ได้ทำดีต่อกันให้ได้จดจำรึเปล่า”
“ซินแส หนูจะทำยังไงดี ชั่วชีวิตหนูคงรักใครไม่ได้แล้ว”
“ทำหน้าที่ของลื้อให้ดีที่สุด เป็นลูกก็ทำหน้าที่ลูกยึดมั่นกตัญญู ต่อพ่อแม่ ลื้อจะพบแต่ความสุขความเจริญ”
วันวิสาได้แต่ก้มหน้า
ซินแสง้วงมองไปทางประตูเข้าศาลเจ้า “อาษา”
สุพรรษา พราวตา และ ภรีม เข้ามาในศาลเจ้า วันวิสาหันไปมอง
สุพรรษาทักตอบ “ซินแส”
พราวตา และ ภรีม แสดงความเคารพด้วยการทักทาย
วันวิสาขยับลุกขึ้น สุพรรษาหันมาเห็น “ลื้อน่ะเอง”
ภรีมเห็นแล้วแค้น “ได้ข่าวเฮีย พวกลื้อคงดีใจกันทั้งบ้านเลยสินะ”
พราวตาปรามน้อง “หมวยเล็ก ลื้ออย่าเสียมารยาท”
ซินแสง้วงเอ่ยขึ้น “ไหว้พระให้สบายใจก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
ภรีมยังจ้องหน้าวันวิสา ในขณะที่พราวตาประคองพาสุพรรษาไปหน้าแท่นบูชา
วันวิสาเดินออกไปจากศาลเจ้า จิตใจหดหู่เหลือคณา
ฉาก 14 : บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ (ต่อ)
ตัวละคร : ภรีม, โชคทวี
โชคทวีดูกระสับกระส่าย
“ไปถึงแล้วก็น่าจะโทรศัพท์กลับมาบอกบ้าง ป๊าไม่น่าทำให้ใครต่อใครเป็นห่วงขนาดนี้”
โชคทวีเฮียจะไปด้วย แต่เจ็กก็ไม่ให้ไป เฮียไม่เข้าใจ เจ็กคิดอะไรอยู่ รอบตัวมันมีแต่คนชั่วทั้งนั้น ไว้ใจใครได้ที่ไหน
ภรีมเฮียอย่าพูดยังงี้ให้ม๊าได้ยินนะ ยิ่งใจเสียกันอยู่
โชคทวีแล้วนี่ใครจะเป็นคนขึ้นมาช่วยงานเจ็กบอกหมวยเล็กไหม
ภรีมไม่ รู้สิ ใครจะรู้งานเท่าเฮียภรพ แต่ป๊าคงตัดสินใจไว้แล้วละ
โชคทวี
ฉาก 15 : บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ (ครัว) ต่อ
ตัวละคร : พราวตา, มงคล
ขึ้นภาพ พราวตาตักข้าวมาวางให้มงคล
พราวตากินข้าวผิดเวลาบ่อยๆไม่ดีหรอกนะ
มงคลผมรู้ครับ แต่จะให้ทำยังไงได้
“ดูแลตัวเองให้มากกว่านี้ ไม่งั้น เจ็บป่วยไปอีกคนจะลำบาก”
“ผมตัวคนเดียว ช่างมันเถอะครับ ยังไงเรื่องของเจ้านายก็ต้องสำคัญกว่า”
“ขอบใจนะมงคล”
“พ่อแม่ให้กำเนิด แต่นายเหมือนเป็นผู้ให้ชีวิตผม ยังไงผมก็ต้องทดแทนครับ ถ้าแลกกันด้วยชีวิตได้ผมก็ยอม”
พราวตามองมงคลที่กินข้าวอย่างหิวโหย
ทางด้านไพศาล และ ภาษิต อยู่ในเรือของเกาะรังนก ซึ่งแล่นมากลางทะเล ตรงจุดที่ภรพถูกโจมตี
“แถวนี้แหละครับนาย ที่มันดักโจมตีเรา คุณภรพไม่เฉีลยวใจคิดว่าเป็นเรือจอดเสียอยู่ เลยไม่ทันระวังตัว”
“พวกมันกี่คน”
“ผมว่าอย่างน้อยก็ห้าหรือหกครับ แต่อาวุธหนักพวกมันมีครบมือ”
สีหน้าไพศาล ดูเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไพศาลเดินขึ้นกระท่อมของภรพ ตามหลังภาษิต
“นายมาถึงแล้วครับ”
ประตูกระท่อมเปิดออก เผยให้ภรพ ซึ่งยังมีผ้าพันแผลในจุดที่ถูกยิงอยู่
ภรพยังไม่ตาย “ป๊า”
พยัคฆ์หนุ่มขยับเข้าหาบิดา พ่อลูกกอดกันเต็มรัก โดยไม่ต้องฟูมฟายด้วยคำพูดใดๆ
ถัดจากนั้น ภาษิตเล่าเหตุการณ์วันนั้นมาจนถึงตอนท้าย
“วันนั้นโชคดีที่เรือพวกเราผ่านมาพอดี พวกมันเลยล่าถอยไป”
“พวกมันเป็นใคร”
“ไม่รู้ป๊า แต่ที่แน่ๆ มันรู้ความเคลื่อนไหวของเราทุกอย่าง”
ประมุขแก๊งเสือคำรามออกมา “ไอ้บันลือ”
“ทีแรกอั๊วก็คิดยังงั้นป๊า” ภรพว่า
“ไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร”
ภรพอธิบาย “รถเสี่ยบันลือก็ถูกปล้น ของกำลังจะถูกสับเปลี่ยนเหมือนกันป๊า เหมือนกับเราเคยเจอ”
ไพศาลอึ้ง “ลื้อหมายความว่า มีมือที่สาม”
“ใช่ป๊า แล้วไอ้มือที่สามนี่แหละ ที่คอยยุแยงให้เรากัยเสี่ยบันลือผิดใจกัน”
ภรพบอกอย่างมั่นใจ
ที่บ้านจิตวรบรรจง เวลาเดียวกัน สองพ่อลูกกำลังต้อนรับ เสี่ยเฮ้ง ที่แวะมาส่งข่าวเรื่องภรพ
“เขาว่ากันว่าศพก็หาไม่เจอ”
“คนมันบาปหนา ทำความชั่วเอาไว้มาก แผ่นดินที่ไหนก็ไม่อยากเป็นที่รับศพมันหรอก” บันลือบอกอย่างสะใจ
“ไม่มีไอ้ภรพซะคน แก๊งเสือก็คงหมดอำนาจละครับเจ็ก” บดินว่า
“อั๊วว่าไม่ใช่ มันจะยิ่งบ้าอำนาจซะละมากกว่า ไม่มีใครรู้จักไอ้เซี้ยดีไปกว่าอั๊วหรอก ลื้อต้องระวังตัวให้มากๆ อาบันลือ อั๊วแน่ใจว่ามันต้องกำลังคิดทำอะไรซักอย่างกับลื้อแน่ๆ ไอ้นี่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองไม่เป็นหรอก” เฮ้งบอก
“แล้วอั๊วควรจะทำยังไง อาเฮ้ง”
“ถ้าลื้อรอเป็นฝ่ายตั้งรับลื้อเสียเปรียบมันแน่ มันกำลังซวน ลื้อต้องฉวยโอกาสนี้ รุกมันซะก่อนที่มันจะตั้งตัวได้...”
วันวิสายกกาน้ำชาเข้ามา เฮ้งเห็นวันวิสา ชะงักปากคำที่จะพูดต่อ
“น้ำชา ป๊า”
บันลือแนะนำ “อาวัน นี่เจ็กเฮ้ง”
“ลูกสาว ลื้อ” เฮ้งมองจ้อง
วันวิสาทักทาย “เจ็กเฮ้ง”
“โหงวเฮ้งอีดีนะ จะสุขสบายวันข้างหน้า”
“ไปบอก อาม๊าลื้อด้วยวันนี้อาเฮ้งจะกินข้าวเย็นกะเรา”
วันวิสากลับออกไป เฮ้งมองตาม สายตาพึงพอใจ
สามคนยังคงหารือกันอยู่ในกระท่อมภรพบนเกาะรังนก
“อีกไม่นานหรอกป๊า อั๊วแน่ใจว่าผู้ร้ายตัวจริงมันต้องเปิดหน้าออกมาให้เราเห็นแน่”
“ลื้อจะต้องเป็นคนตายไปอีกนานเท่าไหร่ มันไม่เป็นมงคลเลยนะอาภรพ”
“อั๊วตายไปแล้ว แต่อั๊วก็เกิดใหม่แล้วป๊า ใครมันคิดจะล้มแก๊งเสือของเรา มันจะได้รู้กันว่าศักดิ์ศรีของเสือยิ่งใหญ่แข็งแกร่งขนาดไหน”
วันถัดมา เถ้าแก่ไพศาลกลับถึงบ้านพร้อมโถบรรจุเถ้ากระดูกที่บอกคนอื่นว่าเป็นกระดูกภรพ และวางโถนั้นลงบนโต๊ะ ต่อหน้า สุพรรษา พราวตา ภรีม โชคทวี มงคล และ อาเจิ้ง บรรยากาศโศกาเป็นที่สุด
“อั๊วหมดปัญญาจะเอาศพอีกลับมาฝัง ก็เลยต้องทำย่างนี้”
สุพรรษาฟูมฟายเป็นที่น่าเวทนา “อาภรพ อาภรพ”
“พวกลื้อดูแลอาม๊าให้ดีๆ” ไพศาลมองสองหมวย
“จ้ะป๊า”
ขณะไพศาลจะเดินออกไปจากห้อง โชคทวีถามขึ้น
“เจ็ก แล้วเจ๊กรู้ไหมว่าใครมันเป็นคนทำ”
ไพศาลส่ายหน้า “รู้ไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร อาโชค”
“ผมจะไปแก้แค้นให้เจ็กไง”
“ขอบใจ อาโชค แต่อั๊วว่าไม่จำเป็นหรอก แก้แค้นไปก็ใช่ว่าอาภรพอีจะพื้นขึ้นมาได้”
“แต่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีนะเจ็ก เจ็กจะยอมให้ใครมันมาหยามพวกเราได้ยังไง” โชคทวีดูจะแค้นมาก
ไพศาล ยกมือขึ้นห้าม แล้วเดินออกไปช้าๆ เหมือนคนปลงตกกับชีวิต
ที่ศาลเจ้าซินแสง้วง ควันธูปตลบอบอวลอยู่หน้าแท่นบูชา วันวิสาไหว้พระด้วยจิตใจห่อเหี่ยว
“ถ้าความรักมีพลังอำนาจจริงทำไมปาฏิหาริย์จึงไม่เกิด”
เหมือนมีสายตาใครสักคนมองมายังเธอ
“ลูกจะขอวิงวอนอย่างนี้ทุกวัน ถึงแม้ว่าศรัทธาต่อความรักในตัวลูก กำลังจะหมดลงทุกที”
วันวิสาปักธูปลงกระถาง แล้วรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับจ้องด้วยสายตาใครสักคนอยู่ วันวิสาหันไป และเห็น
ชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายภรพยืนอยู่มุมหนึ่ง แต่เป็นตำแหน่งที่ย้อนแสง จึงเห็นหน้าไม่ชัด
วันวิสาตะลึง ไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชายคนนั้นขยับตัว และเดินหายไปในหลืบมุมศาลเจ้า
วันวิสา ขยับตามทันที
วันวิสา เดินมาตามทางที่เห็นผู้ต้องสงสัย จนเมื่อพ้นหลืบมุมต้องชะงักเพราะชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่
“นาย”
ชายคนนั้นหับกลับมา ไม่ใช่ภรพ แต่เป็นทรงกลด
“ขอโทษ ฉันนึกว่าคนเคยรู้จัก”
“คุณคือ วันวิสา”
วันวิสามองฉงน “คุณรู้จัก ฉัน”
“ผมเป็นเพื่อนสนิทภรพ เขาเคยพูดถึงคุณให้ผมฟัง”
วันวิสาอึ้ง นิ่งงันไป
“ผมเจอเขาครั้งสุดท้าย เขาฝากให้ผมมอบสิ่งนี้คืนให้คุณ”
ทรงกลดยื่นห่อผ้าเล็กๆ ให้ วันวิสารับของสิ่งนั้นมา ทรงกลดเดินจากไป
วันวิสาค่อยๆ แกะห่อผ้านั้นออกดู มันคือสร้อยหอยที่เธอทำให้ภรพ
วันวิสาน้ำตาร่วง กระชับของสิ่งนั้นแนบหัวใจตัวเอง
ภรพรออยู่ก้นซอยศาลเจ้า จนทรงกลดย้อนกลับมา “ขอบใจแกมากทรงกลด แกช่วยฉันได้ทุกเรื่องจริงๆ”
“เคยช่วยแต่เรื่องงาน ไม่คิดเลยว่า จะต้องมาช่วยเรื่องหัวใจของเพื่อนด้วย” ทรงกลดว่า
“แกคิดว่า เธอเป็นยังไง”
“ท่าทางเธอเศร้าใจเรื่องแกมากนะ”
“เธอเกลียดฉันยังกะอะไรดี”
“แต่ถ้าเธอรู้ความจริง เรื่องของที่ถูกปล้น เธอต้องเกลียดแกไม่ลง”
“เอาเถอะ ปล่อยให้มันเป็นความลับต่อไป ฉันเองก็อยากจะรู้ว่าใจจริงของเธอเป็นยังไงกันแน่”
“แกระวังให้ดีๆ ก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นอะไรๆ มันอาจจะสายเกินไปก็ได้”
ภรพนิ่งคิดตามคำเตือนเพื่อน
กลับจากศาลเจ้า วันวิสาหมกตัวอยู่ในห้อง เธอหย่อนสร้อยหอย ลงไปเก็บรวมในกล่องเดียวกัน จิตใจหดหู่เศร้าหมองเหลือคณา สักครู่วรินเข้ามาในห้อง
“อาวัน”
“ม๊า”
“อาประยูรอีเข้ามารับลื้อ จะพาออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน ลื้อผัดอีมาหลายวันแล้ว วันนี้อย่าทำให้อีเสียน้ำใจเลยนะ”
“อะไรที่ทำแล้วป๊ากับม๊าสบายใจหนูก็ทำได้ทั้งนั้น” วันวิสาบอก
“โลกนี้มันไม่มีอะไร ได้อย่างใจไปซะทุกเรื่องหรอก คนทุกคนก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่าง ดีบ้างชั่วบ้างปะปนกันไป เรื่องแย่ๆ ลื้อก็ทำไม่รู้ไม่เห็นซะ คงพอจะหาความสุขได้บ้างละมัง”
“จ้ะ ม๊า”
วันวิสาเก็บกล่องใส่ในส่วนที่ลึกที่สุดของลิ้นชัก
ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ เถ้าแก่ไพศาลเรียก โชคทวี และมงคลมาพบในห้องทำงาน ในนั้นมีทรงกลดอยู่ด้วย
“ตั้งแต่วันนี้ไป อาทรงกลดอีจะมาช่วยงานที่รุ่งเรืองไพศาล ลื้อสองคนต้องฟังคำสั่งของอีเหมือนเป็นคำสั่งของอั๊วเหมือนอาภรพ ยังอยู่กับเราไม่ได้ไปไหน”
“คุณทรงกลด ต้องการอะไรผมยินดีรับใช้ทุกอย่างครับ” โชคทวียิ้มแย้ม ท่าทีนอบน้อม
“ขอบใจ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันอย่างพี่น้อง ไม่ใช่อย่างเจ้านาย กับลูกจ้าง”
ทรงกลด เยื้อนยิ้ม บอกอย่างไม่ถือตัว
ออกจากห้องทำงานเถ้าแก่ โชคทวีมาบ่นกับภรีม ท่าทางน้อยใจ
“เฮียทรงกลดอีสนิทกับเฮียภรพมาก อีอุตส่าห์มีน้ำใจมาช่วยงาน หมวยเล็กก็ว่าดีแล้วละ เพราะป๊าทำงานคนเดียวคงเหนื่อยเกินไป”
“ความจริง เจ็กไม่เห็นต้องหันหน้าไปพึ่งคนอื่นเลย จะลำบากใจกันซะเปล่าๆ เฮียก็อยู่ตรงนี้ทั้งคน เจ็กเรียกใช้ได้อยู่แล้วทั้งชีวิต จิตใจ เฮียให้ได้เพราะเจ็กเป็นผู้มีพระคุณของเฮีย ทั้งชีวิตเฮียไม่รู้จะตอบแทนหมดรึเปล่าด้วยซ้ำ”
“เฮียน้อยใจป๊าเหรอเนี่ย”
“เปล่า เฮียแค่เสียใจนิดหน่อย กับกลัว...”
ภรีมฉงน “กลัวอะไร”
“กลัวว่าอีกหน่อย หมวยเล็กมีพี่ชายคนใหม่แล้ว จะไม่เห็นเฮียคนนี้อยู่ในสายตาน่ะสิ”
ภรีมเขิน “เฮียก็...”
อีกมุมในบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ พราวตาคุยอยู่กับมงคล ค่อนข้างไม่เห็นด้วยที่ไพศาลยังลุยงานต่อ
“ตั้งแต่เด็ก ฉันไม่เคยคิดหรอกว่า ป๊าทำมาค้าขายอย่างมีศัตรู อยู่รอบตัว มาวันนี้ถึงได้เห็น ความอยากมีอยากได้ของคนเรา ทำให้ทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งเอาชีวิตกัน ฉันอยากให้ป๊าถอยออกมา ไปจากธุรกิจนี้ ใครอยากจะแย่งชิงกันก็ให้เขาแย่งชิง กันไปเถอะ บ้านเราสูญเสียอาภรพไปคนนึงแล้ว มันมากเกินไปแล้ว”
“ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของนายดีครับ คุณพราว มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีที่ต้องรักษาเอาไว้”
“แล้วถ้าเกิดเรื่องซ้ำรอยเดิมละมงคล เหยื่อรายต่อไปจะเป็นใครถ้าไม่ใช่ป๊า”
“คุณพราวอย่าห่วงเลยครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาย ก็ต้องข้ามศพผมไปก่อน”
“อย่าพูดแบบนี้ ชีวิตใครก็มีค่าทั้งนั้น”
“ผมไม่มีใครให้ต้องห่วงข้างหลังนี่ครับ ถึงต้องตายผมก็ไม่เสียดายหรอก”
พราวตานิ่ง เต็มตื้นในความคิดของมงคล
บรรยากาศในภัตตาคารฉั่วเทียนเหลา คับคั่งไปด้วยนักกินนั่งดื่มเช่นทุกคืน อาหารถูกวางเสิร์ฟลงบนโต๊ะ พนักงานถอยออกไป
“เราสั่งอาหารเยอะเกินไปแล้วค่ะ”
“ก็พี่เห็นน้องวันไม่ค่อยกินอะไรพี่ก็สงสัยว่าคงไม่อร่อย”
“กินไม่หมดอย่างนี้น่าเสียดายค่ะ”
“เรามีเงินจ่าย จะไปเสียดายทำไมน้องวัน สั่งน้อยๆ เดี๋ยวคนอื่นมันก็คิดว่าเรากระจอกนะครับ”
ประยูรคุยเขื่องคีบอาหารใส่ปาก
หยกมณีทักทายแขกตามโต๊ะโน้น โต๊ะนี้จนมาถึงโต๊ะสองคน
“อาหารเป็นยังไงบ้างคะเฮีย”
ประยูรตะลึงหน้าอกหน้าใจหยกมณีที่อยู่ในระยะใกล้ บอกทั้งที่อาหารเต็มปาก “อร่อยๆๆ”
หยกมณีหัวเราะ หันมาทางวันวิสา “คืนนี้จะขอเพลงอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”
“ไม่ล่ะค่ะ คุณร้องเพลงไหนก็เพราะทั้งนั้น ขอบคุณค่ะ” วันวิสายิ้มตอบ
“แต่ทุกคนต้องมีเพลงโปรดของตัวเอง อย่างน้อยได้ฟังแล้วช่วยย้ำเตือนความสุขในวันเก่าๆ นะคะ”
“สำหรับฉันไม่มีหรอกค่ะ”
หยกมณีขอตัว ขยับออกไป
ประยูรอาหารเต็มปาก มองตาม เอว ตูด สะท้านใจของหยกมณี จนลืมเคี้ยวอาหาร วันวิสาเห็นอาการประยูรแล้วต้องเมินหน้าหนี
แต่แล้ววันวิสาต้องชะงัก เพราะมุมหนึ่งในความมืดสลัวไกลๆ เธอเห็นภรพยืนอยู่
“หอเจี๊ยะ ๆๆ”
ประยูรคีบอาหารมายื่นให้ วันวิสาแค่ละสายตามาชั่วขณะ แล้วหันไปมองอีกครั้ง เธอไม่เห็นเขาแล้ว
เสียงอินโทรเพลงรักเพลงนั้นดังแทรกเข้ามา หยกมณียืนสวยอยู่หน้าไมค์ เริ่มครวญเพลงรักเพลงนั้น
วันวิสาจำใจ ลุกเดินเข้ามาในฟลอร์ เต้นรำกับประยูร
ประยูรท่าทางเคลิบเคลิ้มกับเสียงเพลง และบรรยากาศรักเต็มที่ ในขณะที่วันวิสากระอักกระอ่วน หันหน้าหนีคู่เต้นรำตลอดเวลา เพลงๆ นั้นบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจ
หยกมณี เจื้อยแจ้วบทเพลงอย่างรัญจวน ยิ่งขยี้อารมณ์เจ็บปวดให้วันวิสาเหลือแสน
วันวิสามองขึ้นไปบัลโคนีข้างบนแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างภรพยืนมองลงมาที่เธอ วันวิสาไม่ยอมละสายตา เธอแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดไปเอง
ภรพผละออกจากบัลโคนี วันวิสาหยุดเต้นรำทันที จนประยูรชะงักหัวทิ่ม เพราะเป็นจังหวะจะโชว์สเต็ปพิสดาร
“น้องวัน”
“ขอโทษค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
วันวิสาผละออกจากฟลอร์ทันที ประยูรคว้าไว้ไม่ทัน
วันวิสาขึ้นมาชั้นบนอย่างตั้งใจ กวาดสายตามองหาไปทั่ว แสงตรงเฉลียงชั้นบนมืดสลัว และเหมือนไม่มีใครอยู่เลย
ที่หลืบมุมหนึ่ง ร่างตะคุ่มของชายคนหนึ่งโผล่ออกมาให้เห็นเพียงเสี้ยวแผ่นหลัง และส้นรองเท้า
วันวิสาใจเต้น และมั่นใจ จะจับให้มั่นคั้นให้ตาย เธอสืบเท้าก้าวเข้าไป
“ฉันรู้ว่าเป็นนาย”
ร่างนั้นผงะออกด้วยความตกใจ
ชายคนนั้นร้อง “ไอ๊หยา”
ตามด้วยเสียงฝ่ายหญิงร้อง “ว้าย”
ชายหญิงที่กำลังล้วงตับไตไส้พุงกันอยู่ในมุมอับนั้นผละออกจากกันทันที วันวิสาเองก็ตกใจ
“ขอโทษ ฉันเข้าใจผิด ขอโทษค่ะ เชิญตามสบาย”
วันวิสาผละออกจากที่นั้นทันที แล้วไปหยุดที่มุมหนึ่งน้ำตาร่วงรินเป็นสาย
“นี่ฉันเป็นบ้าอะไรไปแล้ว”
วันวิสาร้องไห้กับตัวเอง ระบายความอัดอั้นตันใจที่ค้างอยู่
ภรพยืนพิงซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นแค่มีเสาหรือมุมบังเท่านั้น เขาต้องรอคอยเวลาที่เหมาะสม
ถัดมา ภายในห้องแต่งตัวส่วนตัวของหยกมณี นักร้องเจ้าเสน่ห์รวบรวมเงินทิปจากการร้องเพลงใส่กระเป๋าขณะเอ่ยขึ้นกับภรพที่อยู่ในนั้น
“ผู้หญิงน่ะไม่ได้อ่อนแออย่างที่คุณคิดหรอกนะคุณภรพ อาจจะเสียน้ำตาบ่อยหน่อย ก็เพราะน้ำตาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอต่างหาก”
“ผมต้องการเวลา”
หยกมณีติงและเตือน “นานเกินไปนักก็ระวังนะคะ ไม่ใช่แค่เสียเวลา แต่จะสายเกินไป”
“ผมต้องการมั่นใจกว่านี้”
หยกมณีฮัมเพลงรักเพลงนั้น “ผู้หญิงนะต่างจากผู้ชายอีกด้านนึงก็ตรงที่ รักเดียวใจเดียวค่ะ ยิ่งเป็นรักครั้งแรก...นานแค่ไหนก็ไม่มีวันลืม...” ดาวเด่นแห่งฉั่วเทียนเหลาฮัมเพลงไป
ภรพนิ่งคิด
รถประยูรแล่นมาจอดส่งวันวิสาถึงหน้าบ้านจิตวรบรรจง
“ขอบคุณค่ะ”
“น้องวัน พี่แทบจะรอให้หนาวก่อนแล้วค่อยแต่งไม่ได้แล้วละ พี่กลัวว่าต้องทนนอนหนาวคนเดียว น้องวันคิดว่ายังไง”
“ปีนี้คงไม่ค่อยหนาวเท่าไร แต่ถ้าหนาวมากๆ ก็ห่มผ้าหนาๆ สิคะ” วันวิสาบอก
ประยูรหัวเราะ ชอบใจ “น้องวันน่ารักจังเลย พี่จะให้ป๊ากับม๊ามาสู่ขอน้องวันให้เร็วที่สุด ม๊าอยากได้หลานชานคนแรกมาเลี้ยงปีหน้าเลย หัวปีท้ายปีซักห้าคนนะครับ”
“ฉันจะเข้าบ้านแล้ว”
วันวิสาลงจากรถ โดยประยูรไม่คิดแม้จะขยับไปเปิดประตูให้ เอาแต่ฮัมเพลงรักเพลงนั้น หวังให้วันวิสาซึ้ง
วันวิสาหันกลับมามองอย่างกระอักกระอ่วน แล้วเข้าบ้านไป
ขณะที่ประยูรครึ้มอกครึ้มใจอยู่ดีๆ ไข่เน่าลูกหนึ่ง ถูกเขวี้ยงเข้าใส่กระจกหน้ารถ ตรงหน้าประยูรพอดี เขาตกใจสุดขีด ร้องโวยวาย
“เฮ้ย” ประยูรโมโห ลงจากรถ กะจะมาเอาเรื่อง “ลื้อเป็นใคร”
ประยูรมองย้อนแสงจึงไม่เห็นหน้า ชายคนนั้นค่อยๆ ยกไม้ท่อนขึ้น ท่าทางประสงค์ร้ายชัดๆ
“ไอ้หยา”
ประยูรโกยอ้าวกลับขึ้นรถ ขับหนีออกไปทันที ร่างนั้นโยนไม้ทิ้งแล้วเดินเข้ามาในแสงสว่าง เผยให้เห็นว่าเป็นภรพ
วันวิสาถอดเครื่องประดับออกวางตรงหน้ากระจก มองตัวเองในกระจกแล้วถอนใจ เดินมาที่หน้าต่าง มองออกไปในคืนท้องฟ้าไร้จันทร์
วันวิสายืนพิงหน้าต่างอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน ใบหน้าสวยเศร้าหมองจัด ใจคะนึงครวญถึงเขาคนนั้นเป็นแน่
ภรพยืนซ่อนตัวมองวันวิสาอยู่ในมุมหนึ่ง ใจนั้นอยากจะปืนขึ้นไปหาเธอเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 7 (ต่อ)
เสี่ยเฮ้งพาตัวเองมานั่งตีหน้าขรึมเคร่งราวกับว่าไม่สบายใจเต็มประดา อยู่ตรงหน้าเถ้าแก่ไพศาล ภายในห้องรับแขกบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ มี มงคล และ โชคทวี อยู่ในนั้นด้วย
“อั๊วไม่คิดหรอกว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
“ลื้อไปได้ยินมาจากไหนล่ะอาเฮ้ง”
“ใครต่อใครมันก็พูดกัน ว่ารุ่งเรืองไพศาล จะไม่ลงแข่งประมูลสัมปทานรังนกปีนี้”
“ปากคนนี่ไวซะยิ่งกว่าอะไรอีกนะ”
“แปลว่า มันไม่ได้เป็นแค่ข่าวลือ”
“อาเฮ้ง...อั๊วอายุไม่ใช่น้อยแล้วเหนื่อยมามาก แล้วยิ่งอาภรพมาล้มหายตายจากไปทั้งคนอย่างนี้ บอกตามตรง อั๊วไม่รู้จะดิ้นรนไปเพื่ออะไรแล้ว ชีวิตมันสิ้นหวังไปหมด อีกไม่นาน รุ่งเรืองไพศาลก็คงเหลือแต่ชื่อน่ะแหละ”
สีหน้าไพศาลคล้ายปล่อยปลงกับทุกสิ่งอย่าง
ถัดจากนั้นเฮ้งก็คาบข่าวมาปล่อยที่บ้านจิตวรบรรจง ให้บันลือ และบดินฟัง
“ไอ้เซี้ยมันหมดอาลัยตายอยากขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ลูกมันตายทั้งคน มันก็คงท้อจริงๆ น่ะแหละ”
“ไอ้นี่มันใจเสาะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” บันลือเหมือนจะสะใจ
“ทีนี้ลื้อก็หมดคู่แข่งแล้วนะอาบดิน”
บดินทักท้วง “มันอาจจะเป็นข่าวลวงก็ได้นะป๊า มันอาจจะแกล้งปล่อยข่าวให้เราตายใจ”
“มันจะทำยังงั้นทำไมวะ เรื่องเป็นเรื่องตายใครมันจะกล้าเอามาล้อเล่น ยิ่งคนอย่างไอ้เซี้ย อั๊วรู้จักมันดี”
“แก๊งเสือ สิ้นชื่อก็คราวนี้เอง ลื้อนี่บารมีมากจริงๆ อาบันลือ”
บันลือรับคำชมของเฮ้งอย่างไม่เต็มอก เต็มใจนัก
วันวิสายืนแอบฟังอยู่มุมหนึ่ง ได้ยินทุกสิ่งอย่าง
บ่ายคล้อย ภายในห้องพักของหยกมณี ที่ฉั่วเทียนเหลา ภรพนั่งอยู่มุมหนึ่ง
“ได้เรื่องไหมหยก”
“คนของแก๊งหมีขาว กับแก๊งเสือดาว มันคุยกัน เรื่องรุ่งเรืองไพศาลไม่ลงแข่งประมูลสัมปทาน ท่าทางพวกมันสบายใจกันมาก ฉลองกันล่วงหน้า แล้วคุณภรพ...”
ภรพสวนออกมา “ดี อีกไม่นานก็คงได้รู้ว่าไอ้ตัวการตัวจริงมันเป็นใครกันแน่”
“ยังมีอีกข่าวนึง ไม่รู้ว่าคุณภรพจะทำใจได้รึเปล่า”
ภรพบ่น “ข่าวร้ายไม่จบไม่สิ้น”
“ลูกสาวเถ้าแก่บันลือจะแต่งงานเร็วๆ นี้”
“ข่าวนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันเลย”
หยกมณีหมั่นไส้เกินทน “ปากไม่ตรงกับใจ”
ภรพทำนิ่งเฉย
“เวลาไม่เคยคอยใคร จะทำอะไรก็ต้องรีบทำนะคะ คุณภรพ”
ภรพจมอยู่ในความคิด
ส่วนที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ โชคทวี กำลังรินน้ำชาใส่จอกเอาใจไพศาล
“เย็นแล้ว ลื้อกลับบ้านไปเถอะ”
“ผมมีเรื่อง อยากปรึกษาเจ็ก ผมไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว ความจริงเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมตรงๆ แต่ผมรู้สึกว่าผมจะอยู่เฉยไม่ได้”
“ลื้อมีอะไรก็พูดมาเลย”
“ผมว่าตอนนี้ คนบางคนมันกำลังเหิมเกริม คิดทำตัวเป็นใหญ่ ยิ่งภรพไม่อยู่แล้ว มันยิ่งหนักข้อขึ้นทุกที อีกหน่อยมันคงไม่เกรงใจเจ็ก ถ้าเจ๊กไม่รีบตัดไฟตั้งแต่หัวลม”
ไพศาลฉงน “ลื้อพูดถึงใคร”
ขณะที่มงคลช่วยเข็นรถ พาสุพรรษาเข้ามาในห้องนอน และอุ้มจากรถขึ้นเตียงนอน
พราวตายิ้มบอก “ขอบใจนะมงคล”
สุพรรษา มีท่าทีเกรงใจ “ลื้อต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“นายหญิงอย่าพูดอย่างนั้นสิครับ นายกับนายหญิงมีบุญคุณกับผมชาตินี้ชดใช้ยังไงก็ไม่มีวันหมด”
ไพศาลก้าวเข้ามาพอดี
“ลื้อไม่จำเป็นต้องมาชดใช้อะไรทั้งนั้น อีกไม่นานก็จะไม่มีบริษัทรุ่งเรืองไพศาลแล้ว ลื้อก็ควรเตรียมหาทางขยับขยายออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”
พราวตาตกใจ “ป๊า”
“ต่อให้ไม่มีเงินเดือน ผมก็เต็มใจอยู่รับใช้นายที่นี่ตลอดไปครับ” มงคลบอก
ไพศาลจ้องหน้า “ลื้อหวังอะไรกันแน่”
สุพรรษาแปลกใจ “อาเซี้ย พูดอะไรอย่างนั้น”
“ลื้อรอรับเงินเดือนงวดสุดท้าย แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
เถ้าแก่ไพศาลบอกเสียงเข้ม แล้วเดินออกไปเลย
ทุกคน งงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ภรีมรู้ข่าวจากโชคทวีก็ตกใจนิดๆ
“หมายความว่า ไล่ออกงั้นเหรอ”
“เจ็กตัดสินใจถูกแล้วละ ไอ้หมอนี่ มันทำตัวไม่น่าไว้ใจมานานแล้ว เผลอๆ มันจะเป็นไส้ศึกให้คู่แข่งของเจ็กด้วย” โชคทวีว่า
“เฮียมงคลเป็นคนซื่อออก ไม่น่าเป็นไปได้”
“ดูคนน่ะ ดูแค่ภายนอก ไม่ได้หรอกนะหมวยเล็ก ต่อหน้าอย่างลับหลังมันอาจจะเป็นอีกอย่างก็ได้”
ภรีมไม่สบายใจ “เสียดาย เห็นกันมาตั้งหลายปี”
“เฮียว่าที่ภรพตายนี่เผลอๆ มันก็มีส่วนเกี่ยวข้อง” โชคทวีค่อยๆ เผยตัวตนออกมาแล้ว
“น่ากลัวจังเลย”
“หมวยเล็กไม่ต้องกลัวหรอก เฮียยังอยู่ทั้งคนเฮียไม่ยอมให้หน้าไหน มันมาคิดร้ายกับพวกเราได้หรอก”
ที่บ้านจิตวรบรรจงตอนนี้ เสียงเถ้าแก่บันลือโวยวายดังลั่น
“ไม่ทันก็ต้องทัน แค่ตัดชุดใหม่ สองสามวันไม่เสร็จก็ให้มันรู้ไปสิวะ”
“ลงอีแบบนี้มันก็คงอยากได้ค่าจ้างเพิ่มน่ะแหละป๊า”
“ก็จ่ายให้มันไป ทำยังไงก็ได้ ให้วันแต่งงานลื้อทุกอย่างมันผ่านไปได้ก็แล้วกัน”
วันวิสานั่งนิ่งเหมือนหุ่นอยู่ในนั้น
“ความจริง ซินแสง้วงบอกว่าวันนั้นฤกษ์ดีแต่ก็ไม่ใช่ดีที่สุด ถ้าจะเอาฤกษ์ดีที่สุดให้รออีกสองสามเดือน” วรินบอก
“ลื้อจะพูดอะไร อั๊วตกปากรับคำอาประกิตไปแล้วจะให้อั๊วกลับคำรึไง”
“ไม่ใช่ยังงั้น อั๊วแค่คิดว่าถ้ามะรืนนี้แค่หมั้นหมายกันเอาไว้ก่อนก็คงไม่เสียหายอะไร ได้ฤกษ์ดีที่สุดค่อยแต่งกัน”
บดินท้วง “อีจะคิดว่าเราไม่เต็มใจจะยกให้นะม๊า”
“เดี๋ยวนี้เขาหมั้นกันก่อนค่อยแต่งกันทั้งนั้น”
“นั่นมันพวกทำตามฝรั่ง เห็นฝรั่งทำอะไรก็คิดว่าดีไปหมด ไม่มีหมั้น แต่งกัน แต่งเลย หรือว่าลื้อมีปัญหาอะไรอาวัน” เถ้าแก่หันมาทางลูกสาว
“ไม่มีป๊า อะไรก็ได้ แล้วแต่ป๊าจะจัดการ”
บ้านจิตวรบรรจงทั้งหลังตกอยู่ในความมืดสลัว
ภรพดูลาดเลาจนแน่ใจ จึงแอบปีนข้ามรั้วเข้ามา แล้วพาตัวเองเข้ามุมหนึ่งของตัวบ้าน
วันวิสาที่นั่งแปรงผมตัวเองหน้ากระจก จิตใจเหม่อลอยไปถึงไหนไม่รู้ มีเสียงกุกกักที่เฉลียงนอกหน้าต่างทำให้เธอแปลกใจหันไปมอง
เหมือนมีใครอยู่ที่เฉลียงข้างนอก วันวิสาระวังตัว ลุกเดินไปดู คลี่ผ้าม่านโปร่งออกดู แต่ก็ไม่เห็นใคร
เอาให้แน่ใจ เลยเปิดประตูออกไปดู ไม่มีใครในความมืด
วันวิสากลับเข้าในห้อง ขณะจะปิดประตูเฉลียง เธอต้องตกใจสุดขีด เพราะถูกรวบตัวปิดปากแน่น
“อย่าส่งเสียง ถ้าไม่อยากตาย”
วันวิสาตัวแข็งทื่อ จำเสียงนี้ได้แม่น
ภรพเคลียจูบข้างหูไล่ลงมาที่ซอกคอ วันวิสาเจอสัมผัสเดิมยิ่งตกใจ ดิ้นผละหลุดออกแล้วช็อกเมื่อเผชิญหน้ากับภรพที่รับรู้ว่าตายห่าไปแล้วจังๆ
“ดีใจหรือเสียใจที่ได้เจอกันอีก”
วันวิสาตะลึงตะไล พูดอะไรไม่ออกยังไม่หายช็อก
“นี่ตัวเป็นๆ ไม่ใช่ผี” ภรพยืนยัน
“นายยังไม่ตาย”
“คนอย่างนายภรพมันดวงแข็ง ไม่ตายง่ายๆ หรอก” ภรพคุยโว
วันวิสาโกรธซะงั้น “นายมันเข้าขั้นบ้าแล้ว แช่งตัวเองอย่างนี้ก็มีด้วย”
“ไม่ทำอย่างนี้แล้วจะได้รู้ได้เห็นอะไรดีๆ ได้ยังไง”
“นายพูดอะไรของนาย”
“อย่างน้อยก็ได้เห็นผู้หญิงคนนึงที่รีบเอาตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำ ทำไมล่ะ ผัวเก่าตายยังไม่ทันถึงเดือนเลย รีบหาผัวใหม่ซะแล้ว”
วันวิสาโกรธจะตบหน้าภรพ แต่ภรพรับมือไว้ได้ทัน กระชากตัวเข้ามาประชิด
“บอกเลิกการแต่งงานซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
“นายมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน”
“ทำไมต้องให้บอกว่าสิทธิ์อะไร”
ภรพรั้งตัววันวิสามาละเลงจูบเต็มรักเต็มคิดถึง
วันวิสาไม่สามารถร้องออกมาได้แม้แต่แอะเดียว เพราะปากของเธอถูกประกบปิดสนิท
วรินเดินตรงมาถึงหน้าห้องวันวิสา จะเปิดประตูเข้าไป แต่ต้องชะงัก แปลกใจที่ประตูล็อค จึงเคาะประตูเรียก
“อาวัน...อาวัน”
วันวิสาที่กำลังดื่มด่ำกำซาบกับรสหวานแห่งจุมพิตจากพยัคฆ์ร้ายผละออกทันที เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“นายไปซะ แล้วอย่ากลับมาอีก เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ฉันถือว่า คนชื่อภรพตายจากโลกนี้ไปแล้วไม่มีคนชื่อภรพเหลืออยู่อีกแล้วแม้แต่ในความทรงจำ”
วันวิสาผละออก
“อาวัน ลื้อหลับรึยัง อาวัน”
ประตูถูกเปิด วันวิสาโผล่หน้าออกมา
“นึกว่าหลับไปแล้ว”
“ยังม๊า พอดีหนูเข้าห้องน้ำ”
วรินมุดเข้าห้องทันที วันวิสาไม่ทันตั้งตัว รีบตามติด เสียวสันหลังวาบ
“ม๊ามีอะไรรึเปล่า”
“มาอยากถามลื้อมากกว่า ว่าลื้อมีปัญหาอะไร”
“ม๊าพูดถึงเรื่องอะไร”
“เรื่องแต่งงานของลื้อ”
“ไม่มีปัญหาอะไรนี่ม๊า”
“ลื้อแน่ใจว่าลื้อเต็มใจ”
“อะไรก็ได้ที่ทำให้ม๊าสบายใจหนูทำได้ทั้งนั้น”
ภรพซ่อนตัวมิดชิดอยู่มุมหนึ่งในห้องนั่นเอง
“นี่มันเรื่องสำคัญกับชีวิตลื้อนะ”
“อยู่ๆ กันไปก็คงดีเอง” วันวิสาว่า
“เกิดเป็นลูกผู้หญิง โอกาสมันไม่ได้มีมากหรอกนะ แต่ถ้าลื้อแน่ใจแล้ว ก็ทำหน้าที่เมีย หน้าที่ลูกสะใภ้ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน”
“จ้ะม๊า ถึงตอนนี้หนูรู้แล้วว่าความรักมันไม่มีอยู่จริงหรอก มันเป็นเรื่องเหลวไหลเรื่องโกหกหลอกตัวเองทั้งนั้น หนูเหลือแต่หน้าที่ของลูกที่ต้องทำเพื่อป๊ากับมาเท่านั้น”
บันลือนอนอยู่บนเตียงแล้ว เหลียวมองมายังวรินที่เพิ่งกลับเขาห้องมา
“ลื้อไปไหนมา”
“ไปอยู่กับอาวัน”
“คุยอะไร”
“อีกหน่อยอีก็ต้องไปอยู่บ้านผัวไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ก็คุยกันตามประสา”
“ไม่ใช่ไปพูดอะไรให้อีเปลี่ยนใจไม่อยากแต่งงานขึ้นมานะ”
“เฮียไม่ต้องห่วงหรอก อาวันอีโตแล้วพูดจารู้เรื่องอีกอย่าง อั๊วว่ายังไงอาวันอีก็คงโชคดีกว่าอั๊ว ที่ได้แต่งงานกับคนที่รักอี ไม่ใช่สักแต่ว่าแต่งอย่างอั๊ว”
วรินลงนอน หันหลังให้สามี บันลือครุ่นคิด
สองคนกำลังโต้เถียง ปากไม่ตรงกับใจอยู่ในห้องวันวิสา
“ไอ้ตี๋ประยูรมันมีอะไรดี”
“มีแน่นอน อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์อย่างนาย”
“ถ้าไม่อยากอายไปกว่านี้ ไปบอกยกเลิกการแต่งงานซะ”
“นายไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งฉัน ฉันไม่ใช่นักโทษของนายแล้ว”
“ทำไมจะไม่ใช่ เธอต้องชดใช้สิ่งที่เธอทำไว้ตลอดชีวิตของเธอนั่นแหละ”
“ออกไป...ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”
“ร้องเลย ใครเขาห้ามเธอไว้ล่ะ หรือว่าอยากถูกปิดปากอีกครั้ง”
“นายมันเลว”
“แต่เธอก็คิดถึงผู้ชายเลวคนนี้ทุกนาที”
“ไม่จริง ฉันรังเกียจนายทุกลมหายใจเข้าออกต่างหาก ฉันไม่เคยดีใจกับอะไรเท่าตอนที่ฉันได้ยินข่าวว่านายตายเลย”
ภรพกระฉากตัววันวิสาเข้ามากอดรัดอีกครั้ง แต่วันวิสานิ่งเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ ภรพที่ตั้งใจจะแกล้งข่มขู่คุกคาม ต้องหมดอารมณ์
“ถ้ายังยืนยันคิดจะแต่งงานกับไอ้หมอนั้นอย่าหาว่าไม่เตือน”
ภรพผละออก แล้วกลับออกไปทางเดิมที่เข้ามา
วันวิสานิ่งอึ้ง ลึกๆ ในใจ ยามนี้ ดีใจเหลือเกินที่เขายังไม่ตาย
เช้าวันนี้ มงคลหิ้วรองเท้าออกมาใส่หน้าบ้านเช่า ใส่ยังไม่ทันเสร็จก็ต้องเงยหน้าขึ้น เพราะเหมือนมีใครเดินมาหยุดหน้าบ้าน เป็นพราวตาหิ้วปิ่นโตยืนมองอยู่
“คุณพราว”
“กำลังจะไปไหน”
“ผม...มีธุระนิดหน่อยครับ”
“กินข้าวรึยัง”
มงคลอึ้ง
พราวตาเก้อเขินอยู่เหมือนกัน “พอดีฉันออกมาตลาด...เลยตักข้าวมาเผื่อ”
มงคลขยับไปรับปิ่นโตมาจากพราวตา “ถ้าคุณพราวไม่รังเกียจ เชิญเข้าในบ้านก่อนสิครับ”
พราวตาไม่ลังเลสักน้อย เดินนำมงคลเข้าในบ้าน
เมื่อเข้ามาในบ้าน พราวตากวาดสายตาสำรวจคร่าวๆ
“ผมจะถ่ายปิ่นโต จะได้ล้างคืนให้คุณพราวนะครับ”
“กินให้อิ่มเถอะ ฉันไม่ได้รีบขนาดนั้น”
พราวตาขยับเข้ามาหา เพราะท่าทางมงคลเกรงใจไม่เลิก คลี่ปิ่นโตออกมาวางเรียง
มงคลนั่งลง กินข้าวเงียบๆ
“นายจะไปธุระที่ไหน”
“ผมแค่จะไปหางานทำครับ”
“งานอะไร”
“ผมเองก็ยังไม่รู้ งานอะไรผมก็ทำทั้งนั้นครับ ผมไม่เกี่ยงหรอก”
“อย่าไปข้องแวะกับเรื่องผิดกฎหมายก็แล้วกัน”
“คุณพราวไม่ต้องห่วงหรอกครับ นายสอนผมเสมอว่าคนทำความชั่วชีวิตไม่มีวันได้รับความสุขความเจริญ”
“นายต้องอดทนมากๆนะ คนคิดดีทำดีไม่มีทางอับจนหนทางหรอก...ฉันจะเป็นกำลังใจให้”
“ขอบคุณครับคุณพราว”
ส่วนที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ โชคทวีทำทีเป็นจัดแฟ้มเอกสารอยู่ในห้องทำงานเถ้าแก่ไพศาล แต่จริงๆแล้วแอบดูตัวเลขทางการเงิน ภรีมผ่านมาหน้าห้องทำงานและเห็นจึงยิ้มทัก
“เฮียมาทำงานแต่เช้าเลย กินข้าวรึยัง”
“เผื่อเจ๊กจะเรียกใช้ให้ทำอะไร”
“เฮียต้องเหนื่อยหน่อยนะ มงคลก็ไม่อยู่แล้ว อันที่จริงเฮียย้ายมาอยู่ที่นี่เลยก็ยังได้ ห้องว่างก็ยังมี”
“ไม่เหมาะหรอกมั้งหมวยเล็ก”
“ทำไมจะไม่เหมาะ เฮียก็เหมือนลูกชายคนนึงของบ้านนี้แล้วนะ”
“หมวยเล็กให้เกียรติเฮียเกินไป”
“ไม่หรอก ป๊ากับม๊าก็คิดอย่างงั้น”
“นับเป็นวาสนาของเฮีย เฮียไม่ได้หวังอะไรเลย เท่าที่เจ็กเมตตาเฮียมา เป็นบุญคุณที่ชดใช้ไม่หมดอยู่แล้ว เฮียไม่อยากเป็นขี้ปากใครต่อใครว่ามักใหญ่ใฝ่สูง”
“เฮียก็คิดมากไปได้ คนคิดดีทำดีอย่างเฮีย ยังไงก็ต้องได้รับสิ่งดีๆ เป็นการตอบแทนสิ”
“ขอบใจนะหมวยเล็ก หมวยเล็กเป็นกำลังใจให้เฮียมาตลอดเลย ชีวิตของเฮียครึ่งนึงเป็นผู้เป็นคนมาได้ก็เพราะหมวยเล็กแท้ๆ”
อีกฟาก บันลือ บดิน ประกิต ประยูร นัดสังสรรค์กันอยู่ในห้องวีไอพีห้องหนึ่งที่ฉั่วเทียนเหลา
พนักงานลำเลียงอาหารหลายอย่างเข้ามาเสริฟบนโต๊ะ
“อีกไม่กี่วันเราก็จะเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เรื่องธุรกิจของเราลือคิดว่ายังไงล่ะอาบันลือ” ประกิตเอ่ยขึ้น
“ลื้อจะให้หุ้นบริษัทลื้อเป็นค่าสินสอดอยู่แล้วนิ” บันลือหัวเราะร่า
“เสียดายอั๊วไม่มีลูกสาวไม่งั้นก็จะได้ยกให้อาบดิน” ประกิตหัวเราะสุขล้น
“ป๊าคงยอมจ่ายค่าสินสอดเป็นหุ้นครึ่งนึงของบริษัทแหงๆ ครับ” ประยูรว่า
“นี่อั๊วพูดจริงๆ นะ ก็ทำไมเราสองบริษัทไม่รวมให้เป็นบริษัทเดียวกันซะเลยล่ะ อาบันลือ”
ภรพที่แฝงตัวปลอมเข้ามาเป็นหนึ่งในพนักงานเสิร์ฟฟังหูผึ่ง
“นั่นสิครับ ถ้าเรารวมกัน บริษัทเราก็จะกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดไม่มีใครกล้ามาสู้เลยนะครับเผลอ ๆ จะมีแต่บริษัทเราที่เป็นเจ้าของสัมปทานทั้งประเทศ” ประยูรเห็นงามด้วย
“น่าคิดเหมือนกันนะครับป๊า” บดินก็เห็นดี
“อั๊วขอเวลาไปคิดดูก่อนละกันอาประกิต”
“คนเป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างเราๆ ทนเหนื่อยก็เพื่อลูกหลานเพื่อวงศ์ตระกูลทั้งนั้น”
ประยูรรีบบอก “งั้นอั๊วก็ต้องรีบมีหลานให้ป๊าอุ้มเร็วๆ จะได้ทันใช้งาน เอาหลานช่วยซักห้าคนดีไหมป๊า”ประกิตเย้า “ทำไมลื้อมักน้อยจังวะ”
“งั้นสิบคนเลย ป๊าเลี้ยงไหวใช่ไหม”
“ไหวสิ สมบัติเราตั้งมากมาย”
“แต่งวันนี้เลยได้ไหมป๊าอั๊วจะได้รีบทำหลานไวๆ”
สิ้นเสียงประยูร วงสนทนาเฮฮาชื่นมื่นเหลือแสน
ภรพหมั่นไส้สุดจะประมาณ ตักน้ำซุปร้อนๆ ทำทีเหมือนจะเสิร์ฟให้ประยูร แต่แกล้งเทน้ำซุปพลาดลงตักลงเป้ากางเกงประยูรจังๆ
ประยูรแหกปากร้องลุกพรวดอย่างทุรนทุราย
“ขอโทษครับเสี่ย ขอโทษครับ”
ในความชุลมุนอลหม่านนั้น ภรพนำพาตัวเองออกมาด้วยสีหน้าสาแก่ใจ
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 7 (ต่อ)
อีกฟาก ภายในร้านตัดเสื้อแห่งหนึ่ง วันวิสา และ วริน นั่งคอยกันอยู่ตรงโซฟามุมรับรองลูกค้า เจ้าของร้านประคองชุดแต่งงานของวันวิสาออกมา มันตัดเย็บด้วยผ้าสวยสีมงคล ชมพูเหมือนขนมสาลี่
เจ้าของร้านเอื้อนเอ่ยอวดโอ้ “ช่างระดมเร่งมือกันแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลนค่ะ ยังไงก็ต้องให้ชุดนี้เสร็จให้ได้ คุณวันวิสาเข้าไปลองชุดดูนะคะ”
วันวิสากลับว่า “ไม่เป็นไรหรอกมังคะ”
วรินพยักหน้าบอก “เข้าไปลองเถอะ เผื่อไม่พอดียังไงจะได้แก้ไขทัน”
วันวิสาจำใจลุกออกไปทางห้องลองเสื้อ
“จะต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในปีนี้เลยนะคะ” เจ้าของร้านจ๊ะจ๋า
วรินเพียงยิ้มบางๆ
ในห้องลองเสื้ออันคับแคบด้านหลังของร้านนั้น วันวิสายืนทำใจอยู่อึดใจ กว่าจะขยับจะลองชุด มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ
“ม๊าหรอจ้ะ เดี๋ยวนะ”
เสียงเคาะประตูรัวๆ ถี่ๆ อีกที ทำให้วันวิสาขยับมาเปิดกลอน
“ดีเหมือนกัน ม๊าช่วยหนูติดกระดุมหลังให้ที”
กลายเป็นภรพที่ผลุบเข้าในทันที “อยากเป็นเจ้าสาวจนตัวสั่นขนาดนี้เลยเหรอ”
วันวิสาตกใจหันขวับมาเผชิญหน้าภรพ “นาย”
“จะร้องก็ร้องเลย อย่าขู่ ใครต่อใครจะได้รู้กันให้หมด”
“นายต้องการอะไรกันแน่”
“ไปบอกป๊าของเธอ ให้ปล่อยข่าวออกไปว่าจะควบรวมบริษัทกับเสี่ยประกิต”
วันวิสาย้อน “ทำไมฉันต้องทำตามที่นายสั่งด้วย”
เสียงวรินเคาะประตูเรียก “อาวัน เสร็จรึยัง”
ภรพ และ วันวิสา พากันเงียบ มองกันนิ่ง
“ติดกระดุมอยู่จ้ะม๊า”
วันวิสาผละออกไปเปิดประตู เอาตัวและชุดบังภรพไว้
“ติดกระดุมไม่ได้ทำไมไม่เรียก”
วรินช่วยติดกระดุมหลังให้
ภรพที่ยังทำตัวลีบเล็กซ่อนอยู่ในห้องลองเสื้อนั้น
ถัดมา วันวิสาสวมชุดเรียบร้อยแล้ว ถูกพาตัวมาหน้ากระจกบานใหญ่
เจ้าของร้านยิ้มภาคภูมิ “สวยค่ะ พอดีเป๊ะเลย”
ทุกคนสนใจว่าที่เจ้าสาวคนสวย แต่วันวิสามองเงาสะท้อนกระจกแต่ไม่ได้โฟกัสที่ตัวเอง เธอเพ่งไปยังร่างภรพที่สะท้อนในกระจก เขาหยุดมองเธอนิ่ง
“ข้างบนแน่นเกินไปไหม” วรินถาม
ร่างวันวิสาถูกจับตัวหมุนมาดูความเรียบร้อยของชุดด้านหลัง วันวิสาเผชิญหน้าตัวเป็นๆ ของภรพ
เขามองเธอหนักแน่นเหมือนเน้นย้ำคำสั่ง
วันวิสาถูกจับหันไปมองทางโน้นทีทางนี้ทีราวหุ่นยนต์
เมื่อเธอมองผ่านกระจกอีกครั้งก็ไม่เห็นภรพแล้ว
เหตุการณ์ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ โชคทวีประคองสุพรรษาทำกายภาพบำบัดฝึกให้เดิน ภรีมให้กำลังใจอย่างใกล้ชิดอยู่อีกข้าง
“อีกนิดนึงม๊า แข็งใจอีกนิด”
สุพรรษากัดฟันเหมือนใช้กำลังอย่างหนักจนขยับขาอีกข้างได้สำเร็จ
“เก่งมากเลยครับซิ่ม ฝึกอย่างนี้ทุกวันผมว่าอีกไม่นานซิ่มต้องกลับมาเดินได้แน่ๆ”
สุพรรษาพยักหน้าอย่างมีกำลังใจ
ไพศาลเอ่ยขึ้น “ลื้อต้องอดทนต้องสู้นะอาษา”
“วันนี้ม๊าเดินได้ตั้งสองสามก้าวพรุ่งนี้ต้องให้ได้มากกว่านี้นะ”
“ขอบใจลื้อนะอาโชค อุตส่าห์เสียเวลามาช่วย”
“ไม่เสียเวลาอะไรเลยครับ ซิ่มก็เหมือนแม่แท้ๆ ของผม อะไรที่ตอบแทนซิ่มได้ผมก็อยากทำ”
“งั้นเฮียจะมาเรียกซิ่มอยู่ได้ยังไงต้องเรียกม๊าสิถึงจะถูก ใช่ไหมม๊า” ภรีมยิ้มหน้าบาน
โชคทวีขัดเขิน “ผมไม่กล้าหรอกครับ”
“เรียกเถอะ เรียกม๊า ลื้อก็เหมือนลูกอีกคนนึงของม๊าเหมือนกัน”
โชคทวีดีใจยิ้มกว้าง “ม๊า...ขอบคุณครับม๊า”
บรรยากาศซาบซึ้งพอท้วมๆ ไพศาลยิ้มเหมือนปีติ แต่ปนเศร้าใจ ยากเดาอารมณ์ออก
ทางด้านเสี่ยเฮ้ง เพิ่งออกจากห้องวีไอพีของฉั่วเทียนเหลา หลังมาทานข้าวกับลูกน้อง 2 คน เจอมงคลปักหลักดักรออยู่
“ลื้อนี่เซ๊าซี๊จังโว้ย อั๊วบอกไม่รับก็ไม่รับสิวะ อั๊วมีลูกน้องพอแล้ว”
“ผมทำได้ทุกอย่างแล้วแต่เฮียจะสั่งนะครับ เงินเดือนเสี่ยยังไม่ต้องให้ก็ได้ ผมแค่ข้าวสามมื้อก็พอใจแล้วครับ”
“ลื้อนี่พูดไม่รู้เรื่อง” เฮ้งรำคาญ
“ผมไม่มีที่ไปจริงๆ ครับ เสี่ย เสี่ยเมตตาผมด้วยเถอะครับ”
“ลื้อมันคนของอาเซี้ย แล้วอั๊วจะรับลื้อไว้ได้ยังไงวะ อั๊วไม่รู้หรอกนะว่าลื้อไปก่อปัญหาอะไร อาเซี้ยถึงไล่ลื้อออกมา ขืนอั๊วรับลื้อไว้ก็เท่ากับผิดใจกับอาเซี้ยเปล่าๆ ลื้อไปไกลๆ เลย อย่ามายุ่งกะอั๊วอีก”
เฮ้งเดินออกไปกับลูกน้อง
สีหน้ามงคลดูผิดหวังและท้อแท้สุดจะประมาณ
ขณะมงคลจะเดินออกจากฉั่วเทียนเหลา เขามองไปที่โทรศัพท์ตรงเคาน์เตอร์แคชเชียร์
โทรศัพท์ในร้านๆ หนึ่งมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เห็นพนักงานยกหูโทรศัพท์
“ได้ครับ เดี๋ยวอั๊วส่งข่าวให้เฮียภรพเดี๋ยวนี้เลย”
ชาย 1 วางสายโทรศัพท์ แล้วเดินออกไป
สุพรรษานั่งในรถเข็น ไหว้พระเสร็จก็ส่งธูปให้พราวตาไปปักในกระถางธูป
“ซินแซง้วงคงอยู่ข้างใน ม๊าจะคุยกับอีไหม”
“ไม่เป็นไรอีอาจจะมีแขก”
“งั้นเรากลับบ้านเลยนะม๊า”
พราวตาเข็นรถจะสุพรรษาออกมา เป็นจังหวะที่วรินกับวันวิสาเดินเข้ามาในศาลเจ้าพอดี วริน และ สุพรรษามองหน้ากัน
ถัดมาสองคนคุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งในศาลเจ้า สุพรรษาเอ่ยถามขึ้น
“ได้ข่าวว่าลูกสาวจะแต่งงาน”
“อีกสองวัน”
“ดีใจด้วยนะ”
“คนเป็นแม่ ได้ภูมิใจก็แค่ส่งลูกสาวให้ไปเป็นคนตระกูลอื่น”
“เสียดายที่ลูกชายอั๊วอีไม่มีวาสนาพอ”
“เรื่องเก่าจะไปพูดถึงมันทำไม ความรักมันก็แค่เรื่องคิดไปเอง มันไม่ได้มีอยู่จริงหรอก”
สุพรรษาแย้ง “ลื้อมองโลกโหดร้ายเกินไป”
“ไม่เจอกับตัวก็ไม่มีวันรู้ซึ้งถึงรสชาติมันหรอก ว่าการต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเรามันเจ็บปวดขนาดไหน”
“แต่ในฐานะแม่ เราอยู่กันมาได้จนถึงวันนี้ก็เพราะความรักในหัวใจของเราไม่ใช่เหรอ ลื้อจะว่าความรักไม่มีอยู่จริงได้ยังไง” สุพรรษาย้อนแย้ง
วรินนิ่งงันไปนาน
ขณะที่ผู้เป็นมารดาแยกไปคุยกัน วันวิสา และ พราวตา ยังนั่งรออยู่ตรงหน้าแท่นบูชา พราวตาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“เสียดายนะ เสียดายที่เรื่องผิดใจกันในอดีตของคนรุ่นนึง ต้องทำให้ความรักของคนอีกรุ่นมีปัญหา”
“มันเป็นอดีตไปแล้ว อย่าไปคิดถึงมันเลยค่ะ ความรักมักเล่นกับเราเสมอ ตราบใดที่เรายอมเป็นคนโง่”
“ภรพเขาจริงใจกับเธอมากนะ เขาไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนเข้าบ้าน เธอป็นผู้หญิงคนแรกของเขา และคงเป็นตลอดไป”
“เขาส่งเจ้มาโน้มน้าวฉันให้ยกเลิกการแต่งงานเหรอค่ะ”
พราวตาฉงน “เธอพูดอะไร”
“สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งนั้น ฉันจะลืมมันไปให้หมด”
“ตั้งแต่ภรพตายจากไป ที่บ้านฉันก็เงียบเหงา ทั้งป๊าทั้งม๊า ดูไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไร...ชีวิตของเธอ เธอเลือกมันได้ด้วยตัวเธอเอง แล้วฉันจะไปโน้มน้าวเธอได้ยังไง”
“เขาต้องการอะไรกันแน่ถึงทำอย่างนี้”
พราวตางงอยู่นั่น “เธอพูดอะไร”
วันวิสาอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วตัดสินใจจะบอกความจริง “แสดงว่าเจ้ไม่รู้งั้นเหรอว่าเขา...”
แต่มีเสียงสุพรรษาดังขัดขึ้นก่อน “อาพราว กลับกันได้แล้ว”
“จ้ะ ม๊า”
พราวตาลุกเดินออกไปเข็นรถมารดาออกไป วันวิสาอึ้งอยู่อย่างนั้น
อีกฟาก เสี่ยเฮ้งหิ้วกระเป๋าเงินมาในตรอก มีลูกน้องเดินตามประกบคุ้มกัน ชายที่เดินสวนมา แปลงร่างเป็นผู้ร้ายเข้าชิงกระเป๋าเฮ้งทันที เฮ้งตกใจ แหกปากร้อง แต่กอดกระเป๋าไว้แน่น จึงถูกต่อยปากเข้าหนึ่งหมัดลูกน้องรีบเข้ามาช่วย เปิดฉากต่อสู้กับคนร้ายที่ฝีมือระดับเทพ
ผู้ร้ายโยนกระเป๋าเงินแหวกอากาศไปให้เพื่อนอีกคน
“เงินอั๊ว เงินอั๊ว”
สองลูกน้องเสี่ยเฮ้งแทบเอาตัวไม่รอดกับผู้ร้ายคนเดียว
ผู้ร้าย 2 ได้กระเป๋าเงิน จะเผ่นหนี แต่ถูกมงคลโผล่เข้ามาขวาง มงคล บู๊กับผู้ร้าย2 และจัดการได้ราบคาบในพริบตา ผู้ร้าย 2 โกยหนีไม่คิดชีวิต ผู้ร้าย 1 เห็นท่าไม่ดีโกยหนีไปเหมือนกัน
เฮ้งรีบเข้ามารับกระเป๋าเงินไปกอดแน่น แล้วหันไปเล่นงานลูกน้อง
“ลื้อสองตัวไม่ได้ความเลย จ้างลื้อเสียเงินเปล่า”
เฮ้งหันมาอีกที มงคลก็เดินจากไปแล้ว เฮ้งรีบวิ่งตาม
เสี่ยเฮ้งวิ่งตามมงคล แหกปากเรียกไว้
“ลื้อ...ลื้อ...เดี๋ยวก่อน”
มงคลหันกลับมา
“รับไปอั๊วให้รางวัล”
เฮ้งควักเงินออกมาจากกระเป๋ายื่นให้มงคล
“เสี่ยเก็บไว้เถอะ แค่นี้เรื่องเล็ก”
เฮ้งไม่พอใจ “ลื้อดูถูกน้ำใจอั๊วนี่หว่า”
“ผมช่วยเพราะอยากช่วย ไม่ได้หวังรางวัลอะไรทั้งนั้น”
มงคลเดินจากไป เฮ้งตะโกนตามหลัง
“ไอ้เซี้ยมันตาถั่วมันถึงไล่ลื้อออกมา ลื้อเป็นคนมีฝีมือ ทำไมไม่มาทำงานกับอั๊วล่ะ”
ตกกลางคืน ยามที่นั่งสัปหงกเฝ้าโกดังเก็บรังนกที่ท่าเรือ ตื่นตัวขึ้นพยายามยืดเส้นยืดสายขับไล่ความง่วงเกิดความผิดปกติ ยามคว้าไฟฉายมาสาดส่อง เหมือนมีคนบุกรุก ยามกระชับกระบอง ส่องไฟและขยับเข้าไปดู ยามถูกลอบทำร้ายโดยตีจากข้างหลัง ลงไปกองกับพื้นไม่รู้เป็นหรือตาย
ชายลึกลับ 4 คนกรูกันไปที่ประตูโกดังและทำลายประตูเปิดเข้าไป
ที่บ้านจิตวรบรรจง
วันวิสา และวรินช่วยกันยกอาหารออกมาเสิร์ฟพวกผู้ชาย
“อั๊วไม่สงสัยแล้วว่าทำไม ลื้อไม่ค่อยกินข้าวนอกบ้าน กับข้าวฝีมือเมียลื้อดียังไงนี่เอง”
“อาวันอีก็เก่งอีได้วิชาจากม๊าอีไปเยอะ”
“แต่ไม่ต้องห่วงนะ บ้านเฮียมีคนใช้ ลื้อชี้นิ้วสั่งอย่างเดียวไม่ต้องเหนื่อยหรอก” ประยูรว่า
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“อั๊วรับเองป๊า” บดินลุกไปรับโทรศัพท์ “เออ อั๊วเอง มีอะไรก็พูดมาสิ” บดินฟัง สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจ “อั๊วจะรีบไป”
บดินวางสาย บันลือถามขึ้น “มีอะไร อาบดิน”
“ไฟไหม้ โกดัง ป๊า”
อีกฟาก มองจากจากภายนอก แลเห็นควันกำลังทะลักออกมาจากโกดัง คนงานวิ่งกันพล่าน ตื่นตกใจ และหาทางดับไฟ
ภรพปรากฏตัวขึ้นตรงมุมหนึ่ง เห็นคนงานยังพยายามพังประตูเข้าไปแต่ทำไม่ได้เพราะถูกล็อคจากภายใน ภรพพาตัวเองอ้อมไปด้านหลังโกดัง
ภรพโผล่พรวดมาที่ประตูด้านหลัง เห็นพวกชายลึกลับที่วางเพลิงเสร็จกำลังจะหนีออกไป ภรพสะกัดกลุ่มคนร้าย เข้าบู๊ทันที 4 ต่อ 1
ทางด้าน บดิน กับ บันลือ กระโจนขึ้นรถที่หน้าบ้าน บดินทำหน้าที่ขับรถ วันวิสาพรวดพราดขึ้นรถมาด้วย
“หนูไปด้วยป๊า”
“ลื้อจะไปทำไมวะเกะกะ”
“งานของป๊าก็งานของหนูเหมือนกัน”
บันลือไม่ยอม “ลื้อลงไป”
บดินกลับบอกว่า “ปล่อยอี ป๊า”
บดินออกรถทันที ไม่ต้องการเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
รถประกิตแล่นตามรถบันลือออกไป
“อาวัน ลื้อจะไปทำไม” วรินร้องตะโกนตามแต่ไม่เป็นผล
ขณะที่คนงานส่วนหนึ่งช่วยกันดับไฟ ตามสภาพ โดยประตูถูกพังเปิดได้แล้ว คนงานอีกส่วนพยายามขนหลังรังนกหนีไฟออกมา
รถสองคันมาถึง บดิน และ บันลือ พุ่งไปที่ความชุลมุนหน้าโกดังทันที วันวิสาจะตามเข้าไป ประยูรยื้อตัวเอาไว้
“น้องวันอย่าเข้าไป มันอันตราย”
ประยูรกอดรัดวันวิสาซะแน่น จนวันวิสาต้องสะบัดออก ถอยกลับออกมา วันวิสามองไปด้านหลังโกดัง ตัดสินใจวิ่งอ้อมไปด้านนั้นทันที
บรรดาคนงานช่วยกันขนลังไฟไหม้เปียกน้ำออกมาด้านนอกโกดัง บดินเดินออกมาจากโกดัง
“เสียหายไม่มากป๊า ไฟไหม้แค่บางส่วนยังโชคดี”
“มันไหม้ได้ยังไงวะ” บันลือคาใจไม่หาย
“ไฟอาจจะช็อตป๊า”
“ไม่ใช่หรอกป๊า ไม่ใช่ไฟช็อตแต่มีคนตั้งใจเข้ามาเผา” วันวิสาบอก
“ลื้อรู้ได้ยังไง”
“หนูเห็นมันวิ่งหนีออกไปด้านหลัง”
บันลือหันมาหาบดิน “ลื้อพาคนของเราไปดูสิ”
“ครับป๊า”
บดินพาคนงาน 2 คนออกไป
ประยูรโชว์แมน “น้องวัน มันอันตรายนะ เกิดมันทำร้ายน้องวันขึ้นมาจะทำยังไงทีหลังต้องอยู่ใกล้ ๆ เฮียไว้นะครับ”
“ลื้อคิดว่ามันฝีมือใคร” ประกิตถาม
บันลือครุ่นคิด วันวิสารู้อยู่เต็มอกแต่พูดไม่ออก
วันถัดมา เสี่ยเฮ้งเปิดฉากใส่ไฟเถ้าแก่ไพศาลทันที ที่หย่อนก้นนั่งลงในห้องรับแขกบ้านจิตวรบรรจง
“ลื้อเชื่ออั๊วเหอะต้องเป็นฝีมือไอ้เซี้ยแน่ ลื้อไม่มีศัตรูที่ไหนนอกจากมันคนเดียว”
“มันก็ประกาศว่ามันจะเลิกค้าขายรังนกแล้วนี่ มันจะทำยังงั้นทำไม” บันลือไม่ปักใจเชื่อ
“มันอิจฉาลื้อไง ไอ้นี้มันเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก มันไม่ยอมให้ตัวเองเจ๊งคนเดียวหรอก คนอื่นต้องเจ๊งไปกับมันด้วย”
บดินค่อนข้างจะเชื่อและคล้อยตาม “เลวจริงๆ เราต้องตอบโต้เอาคืนมันบ้างนะป๊า”
“ไม่มีหลักฐานจะเอาผิดมันได้ยังได้ยังไง”
“ลื้อจะหวังกฎหมายบ้านเมืองเรอะอาบันลือคนชั่วๆ อย่างมัน ยังไงก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน มันถึงจะถูก”
วันวิสายืนแอบฟังอยู่มุมหนึ่งในอีกห้อง ใจหนึ่งอยากจะบอกว่าตนมีหลักฐานที่เห็นกับตา แต่อีกใจก็ไม่กล้า จนวรินเข้ามาวันวิสาหันไปเห็น
“จ้ะ ม๊า”
“มันเผาของลื้อได้ ทำไมลื้อจะเผาของมันบ้างไม่ได้วะ” เฮ้งสำทับอีก
มงคลที่นั่งคอยอยู่มุมหนึ่ง ขยับลุกขึ้นมาเตรียมเปิดประตูรถให้ เมื่อเห็นเสี่ยเฮ้งเดินออกมา บันลือ และ บดิน เดินออกมาส่งเฮ้ง
“ลูกน้องใหม่เจ็กเหรอครับ ผมคุ้นหน้ามันจัง” บดินคุ้นๆ หน้ามงคล
“ลูกน้องเก่าไอ้เซี้ยมันไง”
“ไปไงมาไง ถึงมาอยู่กับลื้อได้” บันลือฉงน
“ไอ้เซี้ยมันไล่ออกมา อั๊วเลยรับมันไว้ไอ้นี่มันเก่ง คนไม่มีบารมีอย่างไอ้เซี้ยไม่มีปัญญาเลี้ยงคนดีๆ มีฝีมือหรอก อั๊วไปนะ ลื้อจะให้อั๊วช่วยอะไรก็บอกมา อั๊วยินดี คนชั่วๆ อย่างไอ้เซี้ยเราต้องช่วยกันเหยียบให้จมตีน”
เฮ้งเดินไปขึ้นรถ บันลือครุ่นคิด
ไหว้พระ ไหว้เจ้า คือที่ยึดเหนี่ยวเดียวยามนี้ ของหมวยเล็กแห่งบ้านจิตวรบรรจง
ในขณะที่วันวิสาปักธูปลงกระถางอย่างไม่มีสมาธิ เหมือนมีสายตาใครสักคนจ้องอยู่ วันวิสาหันขวับ
“ฉันรู้ว่านายอยู่แถวนี้”
วันวิสารีบขยับตรงมาที่หลืบมุมหนึ่งแต่ไม่พบใคร
เสียงซินแสง้วงดังมาจากด้านหลัง “ลื้อตามหาใครอยู่รึเปล่า”
“ซินแส” วันวิสาหันกลับมาทางเสียง
“ท่าทางลื้อเหมือนตามหาใคร”
“เปล่า...ซินแส”
“ลื้ออยากตรวจสอบดูดวงชะตาลื้อไหม”
“ไม่จ้ะซินแส”
“ดีแล้ว เพราะอะไรก็มากำหนดความเป็นไปของชีวิตเราไม่ได้ นอกจากตัวเราเอง”
“ซินแส” วันวิสารับคำ
“แต่บ้างที สิ่งที่เรามองเห็นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่มันเป็นอยู่ สิ่งที่เราตามหาบางทีมันก็ไม่ได้อยู่ไกลสุดเอื้อม มันอยู่ในใจลื้อเองน่ะแหละสำรวจดูดีๆ แล้วลื้อจะหามันเจอ”
ซินแสง้วงเดินกลับเข้าไปข้างใน ทิ้งวันวิสาไว้
ช่วงเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ไพศาล แอบมาหาบันลือ เวลานี้สองคนคุยกันอยู่ลำพังในบ้านจิตวรบรรจง
“เป็นอย่างที่ลื้อพูดจริงๆ” บันลือเอ่ยขึ้น
“ไอ้เฮ้ง คนอย่างมัน น่าจะโดนกระทืบให้จมดิน” ไพศาลแค้นไม่หาย
“ฝากขอบใจอาภรพด้วยนะ ถ้าอีไปไม่ทัน หมดโกดังแน่ แล้วก็ขอบใจลื้อที่โทร.มาบอกเรื่องไอ้เฮ้ง ไม่งั้นอั๊วก็เข้าใจผิดพวกลื้ออีก”
“อาประกิตก็เหมือนกัน คบกับอี ระวังให้ดี”
“อาประกิตไม่น่ามีพิษมีภัยอะไรนะ ดูท่าทางแล้วไม่น่าเป็นคนเลวนะ”
“คนหัวอ่อน ความจริงก็น่ากลัวไม่น้อยกว่าคนเลวหรอก หากที่น่ากลัวมากกว่า ถ้าอีถูกจูงจมูกไปร่วมกับฝ่ายตรงข้ามเล่นงานเรา”
“ลูกชายอีกำลังจะแต่งงานกับลูกสาวอั๊ว”
ไพศาลเสียงดังขึ้น “แต่งไม่ได้”
“ทำไมวะ”
ไพศาลเปิดฉากโน้มน้าว เกลี้ยกล่อม “ลื้อก็รู้ว่าลูกสาวลื้อไม่ได้รักลูกชายอาประกิต นี่อาบันลือ แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักมันทรมานมากขนาดไหน ลื้อกับอั๊วน่าจะรู้ดี อาษารักอยู่กับลื้อ แต่ต้องมาแต่งงานกับอั๊วตามที่ผู้ใหญ่บอกตามประเพณี แล้วได้อะไร ขนาดอีมีลูกกับอั๊ว 3 คน อาษายังบ่นถึงลื้ออยู่เลย ลื้ออยากให้ลูกของลื้อเป็นอย่างเรามั้ย”
“แล้วอั๊วต้องทำยังไง งานแต่งล้มไม่ได้แล้ว”
“ก็ปล่อยให้มีงานแต่งไป แล้วก็...” คำหลังไพศาลกระซิบบอก
บันลือได้ฟังแล้วเดือดดาลสุดๆ “ไอ้เซี้ย ไอ้เก๋าเจ๊ง ลื้อจะมากไปแล้วนะ ลื้อจะฉีกหน้าอั๊วเหรอ”
“ฉีกหน้ากากคนที่อยู่ใกล้ตัวลื้อด้วยไง” ไพศาลว่าตัวเอง
“ไอ้เซี้ย”
“ลื้อก็รู้อยู่ว่า ลูกสาวลื้อรักอยู่กับอาภรพ ถ้าอาภรพผิดหวัง แม่ของอีก็ต้องเสียใจ ลื้ออยากให้อาษาเสียใจเหรอวะ”
“ไอ้เซี้ย ลื้อกระชากหัวใจอั๊วไปครั้งนึงแล้ว นี่ลื้อจะให้อั๊วขายขี้หน้าคนทั้งเยาวราชอีก มันจะมากไปแล้วนะเว้ย”
บันลือลุกขึ้นเดินออกไป แต่ครู่เดียวก็เดินกลับมา
“เห็นแก่อาษาไม่เกี่ยวกับลื้อ อั๊วให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
“ทุกอย่างต้องเป็นความลับ มีแค่ลื้อกับอั๊ว แล้วก็อาภรพเท่านั้นที่รู้ ขอบใจลื้อมาก”
ไพศาลยื่นมือให้จับ แต่บันลือไม่ยอมจับ แถมชี้หน้า แล้วเดินออกไป
บันลือตะโกนลั่น “อามาลี อาหารที่ให้เตรียมไว้ ให้หมากินไปเลย คนไม่ต้องกินแล้ว”
ในตรอกแคบร้างไร้ผู้คน เหมือนแทนสายตาใครสักคนเห็นวันวิสาเดินอยู่ข้างหน้า สาวเจ้าระแวงจนแทบประสาทกิน หันกลับไปมองแต่ก็ไม่เห็นใคร พอจะเดินต่อกลับถูกดึงเข้าซอกมุมหนึ่ง
ภรพรัดตัววันวิสาไว้แน่น
“คิดถึงกันขนาดนี้เลยเหรอว่าที่เจ้าสาว”
“ปล่อยฉันนะ”
“ไอ้เจ้าบ่าวของเธอ มันจะรู้สึกยังไงนะถ้ามันรู้ว่าเจ้าสาวของมันมีชู้ทางใจ”
วันวิสาโกรธ “หยาบคาย จิตใจสกปรก เมื่อคืนฉันน่าจะเอาปืนไปด้วย จะได้ยิงนายทิ้งให้สิ้นเรื่อง”
“อย่ามานึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
“ฉันจะบอกทุกคนให้รู้ความจริง”
“แล้วคิดเหรอว่า เธอจะไม่มีความจริงที่ปกปิดคนอื่นเขาอยู่เหมือนกัน”
ภรพลวนลามจะจูบวันวิสา วันวิสาเบี่ยงหลบ
“เรื่องระหว่างเธอกับฉันมันไม่จบง่ายๆ หรอก รอให้ฉันจัดการกับเรื่องกวนใจให้เรียบร้อยก่อน เธอน่ะมันของตาย”
สิ้นวาจานั้นภรพจูบฝังความหวานและเผ็ดร้อนให้วันวิสาก่อนจะผละออก
“ยังจำทางกลับบ้านได้ไหม คงไม่ต้องถึงกับให้ไปส่งหรอกนะ รักษาตัวให้ดีๆ ให้ถึงวันแต่งงานก็แล้วกัน”
ภรพผละออกและจากไปอย่างเย็นชา
ทิ้งวันวิสาให้อึงอลกับสารพันความรู้สึกที่พยัคฆ์ปากมอมทิ้งไว้ เป็นที่ระลึก
ด้านภรีมก้มหน้าก้มตาสอยผ้าอยู่มุมหนึ่งในบ้าน
บนโต๊ะที่มีอุปกรณ์ตัดเย็บเรียงราย กรรไกรที่วางอยู่ข้างกายหมวยเล็กถูกหยิบออกไป แล้วมีกล่องแหวนถูกวางแทนที่ ภรีมแปลกใจ หันมาเจอโชคทวียืนยิ้มหล่ออยู่
“เฮียซื้อมาให้หมวยเล็ก”
“อะไร”
“เปิดดูสิ”
ภรีมเปิดกล่องออกดู พบว่าในกล่องเป็นแหวนไข่มุกเม็ดไม่ใหญ่โต
“ชอบไหม”
ภรีมยิ้มกว้าง “สวยจัง”
“ชอบก็ใส่เลยนะ มา...เฮียสวมให้”
ภรีมยังขืนมือเอาไว้ “นี่มันของแพงเสียดายตังค์เปล่าๆ เฮีย”
“แพงกว่านี้เฮียก็ซื้อให้ได้ถ้าหมวยเล็กชอบ”
โชคทวีค่อยๆ บรรจงสวมแหวนให้ภรีม
“สวยจัง หมวยเล็กอยากมีแหวนสวยๆ ยังงี้ใส่มานานแล้ว”
“เฮียดีใจที่หมวยเล็กชอบ เฮียเก็บเงินเดือนอยู่หลายเดือนเลยนะกว่าจะซื้อมาได้”
“ลำบากเฮียเปล่าๆ”
“ไม่ลำบากสักนิด เพื่อคนที่เฮียรักลำบากกว่านี้เฮียก็ทนได้”
ภรีมซึ้งไปกับคำหวาน “เฮีย”
โชคทวียิ้มอย่างเต็มไปด้วยความจริงใจ
เย็นนั้น พราวตาคนน้ำซุปในหม้อ หันมาจะเอาผักลงหม้อ ภรีมหั่นผักไม่เสร็จซะที อ้อยสร้อยอยู่นั่นเพราะมัวปลื้มแหวนในนิ้ว
“หั่นผักแค่นี้ทำไมไม่เสร็จซะทีหมวยเล็ก”
“ก็ทำไมเจ้ไม่มาหั่นเองล่ะ”
พราวตาเห็นนิ้วเรียวน้องสาว “นั่นไปเอาแหวนใครมาใส่”
“แหวนหนู”
“ทำไมไม่เคยเห็น”
“ก็เฮียโชคเขาเพิ่งซื้อให้”
พราวตาตำหนิ “รับของจากใครๆ ง่ายๆ ยังงี้ได้ยังไง”
“เฮียเขาเต็มใจให้ จะไม่รับได้ยังไง”
“เอาไปคืนเขาซะ”
ภรีมไม่ยอม “เรื่องอะไร”
“ถ้าป๊ากับม๊ารู้จะว่ายังไง
“เจ้ หนูโตแล้วนะ เจ้อิจฉาหนูรึไงถึงมาสั่งโน่นสั่งนี่”
“อั๊วจะไปอิจฉาลื้อทำไม”
“เจ้เห็นคนอื่นเขามีแฟนไม่ได้ เพราะแฟนเจ้ก็ถูกไล่ออกไปแล้วใช่ไหมล่ะ” หมวยเล็กย้อน
พราวตาโกรธ “เป็นเด็กเป็นเล็กพูดยังงี้ได้ยังไง”
“มันแทงใจดำเจ้ใช่ไหมล่ะ”
“หมวยเล็ก”
“พวกลื้อเสียงดังอะไรกัน”
เสียงสุพรรษาดังขึ้น ขณะเข็นรถพาตัวเองเข้ามาในครัว
“ทะเลาะอะไรกัน”
“เปล่าม๊า ไม่มีอะไร”
ภรีมเดินหนีออกไปทันที
“เป็นพี่น้องกันทะเลาะกันได้ยังไง”
“ไม่มีอะไรจริง ๆ ม๊า อีแค่ทำงานช้าเท่านั้นเอง”
พราวตาหันไปหยิบผักมาหั่นใส่หม้อ
สุพรรษานิ่ง เหมือนกำลังใช้ความคิด
ตกตอนกลางคืนกล่องใส่ของจุกจิกส่วนตัวค่อยๆ ถูกเปิดออก มือวันวิสาหยิบสร้อยหอยออกมา
ความรักความหลังผุดขึ้นมาหลอกหลอน จนวันวิสาน้ำตาร่วง
“นายทำให้ฉันรู้จักความรักแล้วทำไมนายต้องมายัดเยียดความเกลียดชังให้ฉันด้วยนายภรพฉันเกลียดนาย”
ผู้อาวุโสประคองทองของหมั้น นำขบวนลูกน้องที่ลำเลียงของหมั้นเป็นหาบๆ เข้ามา บันลือ และ บดิน คอยต้อนรับขบวนของหมั้นอย่างขันแข็งกุลีกุจอ
เพียงไม่นาน ในห้องโถงบ้านจิตวรบรรจง เวลานี้ แรงงานลูกน้องเสี่ยประกิตลำเลียงของหมั้นเข้ามา
ของหมั้นมากมายนองเนือง วางเรียงอยู่เป็นตับ บันลือรับทองของหมั้นมาจากผู้อาวุโส แล้วคืนของหมั้นบางส่วน อันมี ส้ม และ ขนม คืนใส่หาบให้ผู้อาวุโสตามประเพณี
บันลือ และ บดินท่าทางเบิกบานมีความสุข
ส่วนวรินนิ่งเงียบ วันวิสาก้มหน้าก้มตาใจคอปั่นป่วน
พราวตาหิ้วปิ่นโตมาถึงหน้าบ้านเช่ามงคล แต่พบว่าบ้านปิดคล้องกุญแจ หมวยใหญ่แห่งบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ ละล้าละลังอยู่อึดใจ ตัดสินใจวางปิ่นโตไว้มุมหนึ่งแล้วจะกลับออกไป
ชาวบ้านซึ่งเป็นเพื่อนบ้านมงคลเดินมามอง “มาหาใคร”
“อามงคล ที่เช่าบ้านหลังนี้”
“อีไม่อยู่แล้วอีย้ายออกไปแล้ว”
“ย้ายไปไหน”
“ม่ายรู้...อีไม่ได้บอก”
พราวตาเคว้งคว้าง อื้ออึงในหัว ก้มลงเก็บปิ่นโตกลับออกไป ด้วยจิตใจอันห่อเหี่ยว
ขณะเดียวกันโชคทวีกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาหาไพศาลที่กำลังตรวจบัญชีอยู่ในห้องทำงาน
“เจ็กครับ ผมมีเรื่องสำคัญอยากปรึกษาเจ็กครับ”
“มีอะไรก็ว่ามา...” ไพศาลเงยหน้ามามองแวบเดียว แล้วก้มกลับไปยังงานตรงหน้า
“ผมคงไม่มีปัญญาหาเถ้าแก่ที่ไหนมาสู่ขอหมวยเล็กน่ะครับ”
“ลื้อรักลูกสาวอั๊ว”
“ครับเจ็ก รักมากครับ”
“อั๊วดีใจที่ได้ยินยังงั้น”
“แล้ว...เจ๊กคิดว่ายังไงครับ”
“คนบ้านนี้ไม่ได้เคร่งครัดประเพณี แต่เรื่องนี้อั๊วถือ อั๊วมีลูกสาวสองคน ยังไงอาพราวลูกสาวคนโตก็ต้องได้แต่งออกไปก่อน ลื้อคงเข้าใจนะ”
โชคทวีฝืนยิ้ม “ครับเจ็ก”
“หวังว่าลื้อคงอดใจรอได้นะ”
“ครับเจ็ก”
ฉั่วเทียนเหลาคับคั่งไปด้วยนักกินนักดื่มมากมายดังทุกคืน หยกมณีร้องเพลงรักกล่อม เสี่ย เฮีย และป๋า อยู่บนเวทีด้วยลีลาอันรัญจวนจิต ภรพฝังตัวอยู่ในมุมมืดมุมหนึ่งหลังเวที รอคอยการมาถึงของใครบางคน
มงคลลงจากรถแล้วเปิดประตูรถให้เฮ้งลงมา มงคลเดินตามจะเข้าภายในฉั่วเทียนเหลา เฮ้งหันมาสั่ง
“ลื้อไม่ต้องตามเข้าไป หาอะไรกินข้างล่างซะ อั๊วจะคุยงานกับผู้ใหญ่”
“ครับเสี่ย”
มงคลตามเฮ้งเข้าภายใน และไปส่งเสี่ยถึงหน้าห้องวีไอพี
หยกมณียังร้องเพลงอยู่บนเวที กวาดสายตา โปรยเสน่ห์ไปทั่วทุกซอกมุม จนไปหยุดที่มุมหนึ่ง มงคลจุดไฟแช็คสว่างขึ้นในความมืด คล้ายส่งสัญญาณมาให้ ภรพอยู่หลังม่านเห็นสัญญาณนั้น
หยกมณีสอดตามองไปอีกครั้ง พนักงานเสิร์ฟเอากระดาษโน้ตเล็กๆ ไปยื่นให้หยกมณีตรงหน้าเวที หยกมณีร้องเพลงไปคลี่กระดาษโน้ตออกอ่าน ทำเหมือนลูกค้าขอเพลง แล้วทำลายทิ้งทันที
ถัดมาไม่นานประตูห้องวีไอพีถูกผลักเปิดเข้าไปโดยฝีมือหยกมณี สาวสวยพูดจากระเง้ากระงอดตัดพ้อพองาม
“คนใจดำ มาถึงฉั่วเทียนเหลาทั้งที่ไม่ยอมลงไปตบรางวัลหยกเลยแต่หัวค่ำเพิ่งได้ทองสามเส้นเอง”
เป็นเฮ้งที่อยู่ในนั้นหันมาบอก “คุยธุระเสร็จเดี๋ยวอั๊วลงไป”
“ธุระอะไรสำคัญกว่าหยกอีกเหรอคะ บอกหน่อยได้ไหม”
จังหวะนี้เองเสี่ยเล้งโล้ตัวเองเข้าสู่แสงสว่างในห้อง
“ลื้อจะรู้ไปทำไม”
หยกมณียิ้มหวาน “เสี่ยเล้งนี่เอง หยกก็นึกว่าใครก็เผื่อมีช่องทางหยกจะได้ลงทุนร่วมหุ้นด้วยคนไงคะ”
“ลื้อมาใกล้ๆ อั๊ว” เล้งเรียก
หยกมณีขยับเข้าไปหา เล้งหยิบทองออกมาชู แล้วหย่อนลงในอกเสื้อหยกมณี
“ลื้อกลับไปร้องเพลงของลื้อไป ถ้าถูกใจเดี๋ยวคืนนี้อั๊วยังมีอีกหลายเส้น” เล้งว่า
“ขอบคุณค่ะเสี่ย เสี่ยใจดีที่สุดเลย”
หยกมณีลุก เดินนวยนาดออกไป ลีลาเยื้องย่างหูตาแพรวพราวด้วยจริต
ถึงจะไม่รู้รายระเอียดการพูดคุยการพูดคุย แต่ก็สมหวังระดับหนึ่ง
เมื่อหยกมณีออกจากห้องไปแล้ว เฮ้งกับเล้งจึงคุยแผนชั่วกันต่อ
“เฮียว่าแผนเดิมมันจะยังใช้ได้เหรอ”
“เรื่องเงินเรื่องอำนาจมันไม่เข้าใครออกใครหรอก อาเฮ้ง”
ฝ่ายหยกมณีกลับเข้ามาในห้องแต่งตัว โยนสร้อยทองที่ได้มาใส่รวมในกล่อง
“แขกพิเศษของเสี่ยเฮ้งใจถึงนะคะ ไม่ทันไรก็ทิปทองเส้นใหญ่แล้ว”
หยกมณีเหมือนพูดกับตัวเอง แต่จริงๆ บอกกล่าวแก่ภรพที่อยู่ในห้องนั้นด้วย
ภรพออกจากฉั่วเทียนเหลา เวลานี้กำลังคุยโทรศัพท์กับใครคนหนึ่งอยู่
“น่าจะเป็นมันนะป๊า คนของอั๊วเห็นหน้า เว้นแต่ว่าบังเอิญมาคุยเรื่องอื่นกัน
ปลายสายคือ ไพศาล ซึ่งอยู่ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ
“มันเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่แล้ว อยากใหญ่ อยากเป็นที่หนึ่ง อยากเป็นแม้กระทั่งนายกสมาคมเลือดมังกร จะได้เอาธุรกิจสีดำของพรรคพวกมันเข้ามาให้เต็มเยาวราช แต่ถึงจะมั่นใจว่าเป็นมัน เราก็ต้องหาหลักฐานให้แข็งแรง ซี้ซั้วไม่ได้ ไม่งั้นจะเป็นเราใส่ความมัน”
“ได้ครับป๊า”
“อ้อ ลื้อรีบไปจัดการธุระส่วนตัวของลื้อด้วย”
“ป๊าขออนุญาตเจ็กแล้วใช่มั้ย”
“เออ อั๊วพูดกับอีแล้ว อั๊วลงทุนโดนด่ามาซะเละ รีบไปจัดการให้เรียบร้อย”
ภรพตื้นตัน “ขอบคุณครับป๊า”
“โชคดีไอ้เสือ”
สีหน้าและแววตาภรพหลังวางสาย มุ่งมั่นมาดหมายมากๆ ต่อภารกิจของหัวใจ ในวันพรุ่ง!
อ่านต่อตอนที่ 8