xs
xsm
sm
md
lg

ลมซ่อนรัก ตอนที่ 3

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ลมซ่อนรัก ตอนที่ 3

ทางด้านอัณณา เดินเข้ามาหาชมนาดที่กำลังมองวิวกรุงเทพฯ อยู่ที่ริมผนังกระจกห้อง มีธนาฒน์ยืนห่างออกมา

"คุณชมนาด เรียกดิฉันมาพบ มีอะไรหรือคะ" 
ชมนาดหันมาหา พลางแนะนำ "อัณณา นี่ ธนาฒน์ เป็นผู้ช่วยคนใหม่ของคุณสินธร" 
ธนาฒน์กับอัณณาทักทายกันตามมารยาท
"คุณสินธรฝากให้ชั้นแจ้งกับคุณ ว่าท่านจะให้ธนาฒน์มาช่วยดูแลเรื่องคดีทุจริตที่เกิดขึ้นทั้งหมดของจีแอลเอส ทั้งคดีของภัทริน และคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัทในเครือของเราทั้งหมดด้วย"
"ไหนว่าเรื่องนี้จะให้คุณปราณเป็นคนหาข้อมูลมาแก้ต่าง"
"ใช่ครับๆ คุณปราณก็ทำส่วนของคุณปราณต่อไป ผมก็สืบสวนในฐานะของบริษัท อย่าคิดว่าผมมาจับผิดหรือเป็นศัตรูของคุณปราณเลยนะครับ ผมก็ทำงานตามหลักฐาน บางทีผมอาจจะเป็นคนช่วยคุณปราณเสียด้วยซ้ำ"
"ค่ะ"
"ผมคงจะต้องรบกวนขอข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณอัณณาด้วยนะครับ เอกสารทุกชนิดที่คุณปราณและคุณพสุวัฒน์เซ็นรับทราบทุกเรื่อง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน"
"ไม่ทราบคุณจะเอาไปทำอะไรคะมากมายขนาดนั้น"
"คุณอัณณาไม่สะดวกเหรอครับ" ธนาฒน์ถาม
"ไม่ใช่ค่ะ แต่ดิฉันเห็นว่ามันมีรายละเอียดเยอะแยะ ที่จุกจิก และน่าเบื่อมากๆ กลัวจะทำให้คุณเสียเวลา"
"ไม่เสียเวลาอะไรหรอกครับ ผมเอามาอ่านเล่นๆ ยามว่างๆ ได้" ธนาฒน์ยิ้มอ่อนโยน
อัณณาอึ้ง
"รบกวนด้วยนะคะ"
ชมนาดกับธนาฒน์ยิ้มอย่างซื่อใสให้กัน

ภัทรินที่นอนหลับอยู่ที่ชานบ้าน ยินเสียงซึงไพเราะอ่อนหวานดังขับกล่อม สักพัก ภัทรินก็เริ่มรู้สึกตัว เธอได้ยินเสียงเพลงก็ลืมตามอง เธอเห็นปราณนต์นั่งอยู่ที่รั้วระเบียงโดยกำลังเล่นซึงเพลงไพเราะอ่อนหวานอยู่ ภัทรินนอนลืมตามองอย่างเคลิบเคลิ้มไปด้วย
ปราณนต์เล่นเพลงมาถึงจังหวะหนึ่งก็หันมาทางภัทริน ทั้งสองสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ ปราณนต์ยังคงเล่นเพลงต่อเนื่องด้วยท่าทียิ้มแย้ม ภัทรินทำเป็นเบ้หน้าใส่แก้เก้อ
ภัทรินพูดแก้เก้อ "มาเล่นเพลงอะไรหนวกหูคนจะนอน"
"มานอนอะไรบ้านคนอื่น"
ภัทรินเพิ่งรู้ตัวจึงมองไปรอบๆ ก็พบว่าเป็นบ้านปราณนต์จริงๆ
"ทำไมชั้นมานอนบ้านคุณ"
"นี่ขนาดไม่เมานะเนี่ย คุณเป็นลม ผมก็เลยให้คุณมานอนพักในบ้านก่อน แล้วรู้มั้ย คุณอ้วกใส่บ้านผมด้วย"
"อย่ามาใส่ร้าย"
ปราณนต์ชูนิ้ว "สองครั้ง"
"มั่วแล้ว"
ภัทรินจะลุกแต่ปราณนต์รีบร้องห้าม
"อย่าเพิ่งลุก เดี๋ยวจะหน้ามืดอีก" ปราณนต์หยิบขันน้ำเย็นลอยดอกมะลิส่งให้ "ดื่มซะหน่อย จะได้สดชื่น" ภัทรินลังเล "ถ้าผมจะแอบใส่ยาอะไรให้คุณ คงเป็นยาทำลายระบบเสียงปรอทแตกของคุณ กรี๊ดยังกับนั่งรถไฟเหาะ"
"น่ากลัวขนาดนั้น ไม่กรี๊ดสิแปลก! ถามจริงเถอะ รถสัปปะรังเคคันนั้น จะใช้อีกทำไม ไม่กลัวตายเหรอ"
"กลัว แล้วจะให้ทำไง"
"ซื้อใหม่สิ"
"เอาเงินจากไหน คุณก็เห็นว่าโรงพยาบาลแทบไม่เก็บเงินคนไข้ เรารักษาด้วยมนุษยธรรม รถคันนั้น ก็ได้บริจาคมาจากผู้อำนวยการคนเก่า ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ทำไงได้ เรามีรถแค่3คัน ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ต้องเอามาใช้"
"ก็ทำเรื่องขอจากหน่วยงานอะไรก็ขอไปสิ ไม่ก็ประกาศรับบริจาค คนไทยใจบุญจะตาย แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้"
"งั้นผมขอคุณคันนึง"
"ตลกแระ" ภัทรินค้อน
"คุณรู้มั้ยว่าแค่ยารักษาโรคพื้นฐาน กว่าจะได้มาแต่ละเม็ด มันลำบากแค่ไหน บนดอยสูงห่างไกลความเจริญ จัดอีเว้นท์ไม่ได้ ไม่มีนักข่าวตามมาถ่ายรูป แล้วคนที่นี่ก็ไม่ใช่ฐานเสียงสำคัญ คนที่ทำบุญต้องใจบุญจริงๆ เพราะมันคือการปิดทองหลังพระของแท้ คุณว่ายังเหลือคนที่ทำอย่างนี้จริงๆ สักกี่คน ตัวคุณเอง ไปใส่บาตรที ก็ต้องถ่ายรูปอวดคนอื่นในเฟซบุ๊ค ใช่มั้ยล่ะ"
"ก็ ทำไมอ่ะ ชั้นก็ทำตามยุคสมัย"
"นี่แค่เรื่องบริจาคนะ ยังไม่นับเรื่องทุจริตอีก พวกที่ชอบทุจริตยา ผมไม่เข้าใจว่าจิตใจทำด้วยอะไร โกงคนเจ็บคนป่วย"
ภัทรินสะอึกเมื่อรู้สึกว่าตัวเองโดนด่า
"คุณเคยเจอมั้ย ไอ้พวกที่ทุจริตอย่างหน้าซื่อตาใส ไม่เคยแคร์ว่าใครจะเดือดร้อนย่อยยับจากสิ่งที่มันทำยังไง..มันคิดแต่ขอให้ตัวเองมีตัวเองได้เป็นพอ คนพวกนี้ไม่มีวันเจริญ"
ภัทรินน้ำตาไหลเมื่อคิดถึงชีวิตตัวเองก็แค้นร่วมไปด้วย
"ใช่ ยิ่งไอ้คนที่หลอกใช้คนอื่นโกง แล้วตัวเองได้ประโยชน์ แต่ปล่อยให้คนอื่นรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ!! มันชั่วที่สุด"
ปราณนต์งงที่อยู่ๆ ภัทรินก็ของขึ้น "คุณ เป็นอะไร"
"ชั้นเกลียดมัน คนชั่ว คนขี้โกง"
"คุณ เบาๆ"
ภัทรินอินจัดจนคุมตัวเองไม่ได้ "มันทำลายชีวิตคนดีๆ คนนึงให้พังพินาศ มันทำลายความชีวิตชั้นไม่เหลืออะไร มันทำร้ายชั้นขอสาปแช่งมันให้ตกนรก ให้มันไม่ตายดี"
"คุณ ชู่ว์ๆๆ"
"ไอ้คนชั่ว"

นอกจากไม่ฟัง ภัทรินยังแหกปากสุดเสียง

ปราณนต์พาภัทรินออกมาด้านนอก อีกฝ่ายถามเสียงดัง

"จะพาชั้นไปไหน"
"ชู่ว์ๆๆๆ ผมรู้ว่าคุณอัดอั้น เก็บเอาไว้ก่อน ผมมีวิธีช่วยให้คุณได้ระบายที่ดีกว่าการแหกปากเฉยๆ ดูนะ" ปราณนต์หยิบลูกไม้ที่ใส่ตะกร้าเอาไว้ซึ่งเป็นตะกร้าลูกไม้สำหรับการปลูกป่า "เห็นนี่มั้ย ลูกไม้"
"แล้วไง"
"คุณเห็นนี่มั้ย ลูกไม้ รักใคร เกลียดใคร ก็เขียนลงไปในนี้" ปราณนต์เอาปากกามาเขียนใส่ลูกไม้ "เกลียดคนขี้โกง แล้วก็..”
ปราณนต์ตรงไปที่สามง่ามสำหรับยิงลูกไม้เพื่อปลูกป่า เขาเงื้อหนังสติ๊กสุดความตึงแล้วปล่อยออกไป พร้อมกับตะโกนสุดเสียง
"เกลียดคนขี้โกง แค่นี้ก็ได้ระบายและได้ปลูกป่าด้วย"
ปราณนต์พูดไม่ทันจบ ภัทรินก็วิ่งคว้าลูกไม้มาเขียนทันที เธอเขียนแล้วรีบไปยิงบ้าง
"ไอ้ผู้ชายเฮงซวย"
ภัทรินยังไม่หายเจ็บใจจึงไปหยิบลูกไม้มาเขียนอีก
"ไอ้นรกส่งมาเกิด"
ภัทรินไปหยิบมาเขียนอีก
ภัทรินยิงลูกไม้และแหกปากต่อเนื่อง
"ขอให้แกล่มจม"
"แกมันชั่ว"
"แกไม่มีวันเจริญ!”
"ขอให้แกเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก"
ปราณนต์ได้แต่มองอย่างอึ้งๆ ที่เห็นภัทรินเก็บกดมากขนาดนี้

ระบายอารมณ์เสร็จ ภัทรินทิ้งตัวนอนแผ่ที่ระเบียงอย่างสบายอารมณ์ขึ้นที่ได้ระบาย
"ฮู้ว สะใจจริงจริ๊งง"
"อยากเห็นหน้าไอ้ผู้ชายที่ทำร้ายจิตใจคุณจริงๆ" ปราณนต์บอก
"หยุด! คนกำลังอารมณ์ดีๆ อย่าทำให้หงุดหงิด"
ปราณนต์รีบปิดปาก
ภัทรินมองท้องฟ้าก็ตะลึงที่เห็นดาว "โหว ดาว หูย ดาวที่นี่ ชัดเจนมาก"
"คุณชอบดูดาวเหรอ" ปราณนต์ถาม
"ชอบ"
ปราณนต์นอนหงายดูดาวข้างๆ "นั่นกลุ่มดาวอะไร"
"ไม่รู้" ภัทรินตอบ
"กลุ่มนั้นล่ะ"
"ไม่รู้"
"อ้าว ชอบยังไง ไม่รู้อะไรสักอย่าง"
"ชอบดู แต่ไม่ชอบเพ้อกลุ่มดงกลุ่มดาวไร้สาระ กลุ่มดาวลูกไก่ ดาวคันไถ ดาวคนคู่ มันดูเป็นลูกไก่ เป็นคนคู่ตรงไหน ถามหน่อย ไหนชี้สิ ไหนปีกไก่ ไหนจงอยปาก"
"มันก็ไม่ได้เหมือนอย่างนั้น เค้าตั้งชื่อเพราะมันเรียงตัวคล้ายลูกไก่ตัวน้อยๆที่เดินตามแม่ไก่ เวลาพูดว่ากลุ่มดาวลูกไก่ คนทุกคนก็จะเข้าใจตรงกันว่า อ๋อ คือกลุ่มดาวที่เรียงตัวกันอย่างนี้นะ"
"ก็มันดูไม่ใช่ลูกไก่ ทำไมต้องเรียกลูกไก่ด้วย"
"แล้วคุณจะเรียกว่าอะไร"
"ชั้นจะเรียกว่า กลุ่มดาวหมอปากเสีย"
ปราณนต์ตกใจ "เฮ้ย"
ภัทรินชี้ต่อ "แล้วนั่นก็ กลุ่มดาวหมออวดเก่ง"
"เหรอ งั้นนั่นก็ กลุ่มดาวยัยเสียงเป็ด"
"ฮึ่ย" ภัทรินแค้นที่ถูกว่าจึงคิดตั้งชื่อเอาคืนให้เจ็บแสบ "นั่น ดาว...”
ปราณนต์ชิงตั้งชื่อให้กลุ่มดาวนั้นก่อน "กลุ่มดาวลูกเป็ดภัทริน"
"เฮ้ย เล่นชื่อจริงเลยเหรอ นั่น กลุ่มดาวนั้น”
"ไม่ๆๆ กลุ่มดาวนั้น ผมจะตั้งชื่อว่า...”
ทั้งสองคนแย่งกันชี้กลุ่มดาวอื่นๆ มีการปัดมือกันและกันจนกลายเป็นจับมือดึงลงมา ทั้งคู่หันมาจ้องหน้ากันโดยไม่ได้ตั้งใจ จากที่หัวเราะสนุกสนานพอสายตาสบสายตาต่างก็ตกอยู่ในภวังค์
ปราณนต์เผลอยิ้มให้ด้วยความรู้สึกดีที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่ ภัทรินอึ้งแล้วก็รีบลุกพรวดมานั่งเพื่อหักห้ามความรู้สึก
"ชั้น กลับบ้านดีกว่า"

ภัทรินลุกเดินไปทันที ปราณนต์งง

ขณะที่ปราณนต์ขี่จักรยานมาส่งภัทรินที่หน้าบ้าน ภารตีโผล่มาแอบมอง ลุ้นให้คนทั้งสองรักกัน

พอจักรยานจอด ภัทรินก็รีบลงแล้วจะเข้าบ้านไปเลย
ปราณนต์เรียกไว้ "คุณ เดี๋ยวสิ"
ภัทรินชะงัก
"เป็นอะไร ผมพูดหรือทำอะไรผิดหรือเปล่า"
"เปล่า"
"แล้วทำไมอยู่ๆถึงมาโกรธผมอีก"
"ชั้นไม่ได้โกรธ"
"แล้วทำไมตลอดทางไม่พูดอะไรซักคำ หน้าก็ไม่มอง"
"ชั้นเหนื่อยแล้ว ขอโทษนะ"
ภัทรินตัดบทแล้วเดินกลับเข้าบ้านไปเลย ปราณนต์งงและไม่เข้าใจ ภารตีก็งงไปด้วย

ภัทรินเข้ามาในบ้าน โคโค่วิ่งออกมาต้อนรับ ภัทรินอุ้มโคโค่ขึ้นมากอด ภารตีรีบตามเข้ามา
"ภัท เป็นอะไร มีเรื่องอะไรกับหมอหรือเปล่า" ภารตีถาม
"ไม่มีอะไรหรอกแม่"
"ไม่มีอะไรได้ไง แล้วลูกหายไปกับหมอทั้งวันทั้งคืน ไม่มีอะไรบ้างเลยหรอ"
ภัทรินพูดจริงจัง "แม่ แม่ไม่ต้องเชียร์ ภัทจะไม่รักใครอีก หมอเค้าดีกับภัทก็เพราะอยากให้ภัทช่วยเดินเรื่องขอบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ให้แค่นั้นแหละ เขาก็แค่คิดใช้ประโยชน์จากภัท ภัทจะไม่โง่เป็นเครื่องมือให้ใครอีก"
ภัทรินเดินหุนหันเข้าไปด้านในทันที

ภารตีงง มองเจ้าโคโค่นอนหมอบจ๋อยๆ อยู่ตรงนั้น

ธนาฒน์กำลังบรรยายอยู่ในห้องประชุม หน้าจอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจด้านสุขภาพในภูมิภาคอาเซียน ผู้เข้าร่วมประชุมมีทั้งพสุวัฒน์ อัณณา สินธร ชมนาด กรรมการบริษัทอีก 3 คน และแขกฝรั่งต่างชาติ สินธรกับชมนาดนั่งฟังไปก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของฝรั่งผู้เข้าร่วมประชุมไป ทุกคนมีท่าทางพึงพอใจในความสามารถของธนาฒน์มากๆ ธนาฒน์นำเสนอข้อมูลจบ ผู้ร่วมประชุมต่างชาติก็ปรบมือด้วยความชื่นชมมาก
ในเวลาถัดมา ธนาฒน์กำลังให้สื่อถ่ายภาพเพื่อนำไปลงแมกกาซีน เขาแต่งตัวในลุคของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองที่สุดใน พ.ศ.นี้ ธนาฒน์แลดูหล่อ สุขุม และน่าเชื่อถือ
เขายังเป็นตัวแทน GLS ไปมอบเงินบริจาคให้หน่วยงานการกุศล ถือป้าย ถ่ายออกสื่อ
อีกวันธนาฒน์กำลังให้สัมภาษณ์กับสื่อธุรกิจ เขาวางท่าน่าเชื่อถือ พูดจาอย่างเป็นกันเอง น่ารัก แต่ก็มีมาดผู้บริหาร
อัณณาเห็นและรับรู้ทั้งหมด

สินธรดูรูปของธนาฒน์ที่ลงในนิตยสารและหนังสือพิมพ์กรอบธุรกิจ มีรูปธนาฒน์ลงเต็มหน้า สินธรพอใจมาก
"เยี่ยม ชั้นยังไม่เคยได้ลงสกู๊ปสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หัวนี้เลย นายมันสุดยอด" สินธรชม
"ความสามารถของผม มันก็เป็นเงาสะท้อนความสามารถของคุณสินธรนั่นแหละครับ" ธนาฒน์บอก
"ฮ่าๆๆ ทำตัวให้ดีอย่างนี้ รับรองได้ว่าอนาคตไกลแน่"
"ตอนนี้ กรรมการบริษัทหลายท่าน เริ่มคุ้นชื่อธนาฒน์ เริ่มมองเห็นบทบาทความสามารถของธนาฒน์แล้ว เราปั้นธนาฒน์ให้ผู้ใหญ่ในบริษัทมองเห็นได้แล้ว ต่อไปที่เราต้องทำก็คือ ทำให้ผู้ใหญ่เห็นคุณปราณมากในแง่ลบมากยิ่งขึ้นค่ะ" ชมนาดบอก
"เธอมีแผนยังไง" สินธรถามด้วยความสนใจ
ชมนาดพูดชงให้ "บอกคุณสินธร สิธนาฒน์ แผนของเธอน่ะ"
"วันนัดเซ็นสัญญาข้อตกลงการเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับญี่ปุ่น จะเป็นยังไง ถ้าคุณปราณไม่มาตามนัด"
สินธรตาวาวด้วยความสะใจ

พสุวัฒน์วางหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ซึ่งตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของธนาฒน์ลง
"คุณธนาฒน์ ผู้ช่วยคนใหม่ของคุณสินธร รู้สึกจะเพิ่งย้ายมาทำงานในสำนักงานใหญ่ หลังจากเกิดเรื่องทุจริตขึ้นไม่นานค่ะ" อัณณารายงาน พร้อมตั้งข้อสังเกตตอนท้าย
พสุวัฒน์สงสัย "หนูอัณจะบอกอะไร"
"อัณว่ามันแปลก ที่อยู่ๆ คุณสินธรก็ผลักดันคุณธนาฒน์ จนมีบทบาทโดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กรรมการรู้จักเขาหมด"
"หนูอัณกำลังคิดมากไปหรือเปล่า" ผู้สูงวัยทักท้วง
"อัณก็หวังอย่างนั้น เพราะในระหว่างที่ปราณไม่อยู่ คนอีกคนก็ถูกคุณสินธรผลักดันให้ขึ้นมามีบทบาทมากขนาดนี้ อัณก็อยากขอให้อัณคิดมากไปเองเหมือนกันค่ะ"
"งั้นหนูก็ไปตามนายปราณกลับมาสิ หนูคนเดียวที่ทำได้"
"ค่ะ อัณจะพาปราณมาให้ได้ ยังไง เขาก็ต้องมาเซ็นสัญญากับญี่ปุ่น จะผิดนัดไม่ได้เด็ดขาด"

อัณณามุ่งมั่น แววตาคู่งามฉายโชน พร้อมสู้เต็มที่

ภัทรินอุ้มโคโค่ออกมานอกบ้านแล้ววิ่งเล่นกัน

"มาเลยโคโค่ แน่จริงจับให้ได้สิ"
ภารตีเดินมาจากทางหน้ารั้วบ้าน ตรงเข้ามาหาภัทริน
"ภัท จดหมายจากแผนกกฎหมายของบริษัทที่ลูกทำงานอยู่" ภารตียื่นซองจดหมายให้
ภัทรินอึ้งๆ แล้วก็รีบรับมา พอดูหน้าซองก็เห็นว่าเขียนว่า จากแผนกกฎหมาย บริษัท จีแอล เอส ภัทรินก็หน้าถอดสี
"มีอะไรเหรอภัท"
"เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกแม่"
"แกะอ่านให้แม่ฟังสิ"
"ไม่มีอะไรจริงๆ สงสัย บริษัทจะส่งมาเตือน เรื่องที่ภัทลางานนานเกินไป เป็นจดหมายเตือนว่า การลางานเกินห้าวันต่อครั้ง เป็นเรื่องผิดกฎระเบียบบริษัทและผิดกฎหมายการจ้างงาน ถ้าไม่กลับ เขาจะพิจารณาลดขั้นเงินเดือน"
ภารตีไม่เชื่อ "เปิดอ่านเดี๋ยวนี้"
ภัทรินอึกอักแล้วก็หาทางเลี่ยง "เอ้อ ภัทลืมบอก ภัทต้องกลับกรุงเทพวันนี้ เอ่อ คือ...งั้นภัทไปเก็บของดีกว่า เดี๋ยวไปไม่ทันรถ เอ๊ย เครื่อง"
ภัทรินรีบชิ่งไป ภารตีเดินตามไม่ลดละ

ภัทรินเข้ามาเก็บของอย่างเร่งรีบ ภารตีตามมาคาดคั้น
"มีเรื่องอะไรไม่ดีใช่มั้ย"
"เปล่า"
"ถ้าไม่มีอะไร เค้าจะส่งจดหมายมาทำไม แล้วทำไมถึงไม่อ่านให้แม่ฟัง"
"แม่ คือ...มันก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภัทจัดการเองได้ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก"
ภัทรินหิ้วกระเป๋าเดินหนีออกไปอีก

ภัทรินเดินหนีออกมา ภารตียังเดินตาม
"มีอะไรทำไมต้องปิดบังแม่ เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อฟังกันแล้วใช่มั้ย"
"แม่ ไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องมันไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ภัทจัดการเองได้จริงๆ แม่ไม่ต้องรู้ให้รกสมองหรอก"
"เอาจดหมายมา"
"แม่ ภัท...ภัทลาละ"
ภัทรินยกมือไหว้แล้วรีบเดินหนีไป
"ยัยภัท...ยัยภัท"
ภัทรินเดินจ้ำหนีออกมานอกบ้าน
ปราณนต์ปั่นจักรยานสวนเข้ามาแล้วก็งงๆ ที่เห็นภัทรินเดินลากกระเป๋าสวนออกไป
"อ้าว คุณ จะไปไหน"
ภัทรินไม่ตอบและไม่มองหน้าเขาด้วย เธอก้มหน้าก้มตาลากกระเป๋าต่อไป ปราณนต์เข้าไปหาภารตีที่เดินตามออกมา ปราณนต์ยังไม่ทันได้พูดอะไร ภารตีรีบบอก
"หมอนนท์ ยัยภัทจะกลับกรุงเทพฯ น้าว่าต้องมีเรื่องแน่"
"มีเรื่องเหรอครับ"
"หมอณนต์ หมอช่วยไปดูยัยภัทหน่อย" ภารตีขอร้อง
ปราณนต์รีบปั่นจักรยานตามภัทรินไป
ภารตีเครียดเพราะมั่นใจว่าลูกต้องมีปัญหาแน่ ๆ

ปราณนต์ปั่นจักรยานตามมาจนทันภัทริน
"คุณจะเดินลงจากดอยงั้นเหรอ"
"เดี๋ยวรถโดยสารก็มา" ภัทรินบอก
"วันนึงมีแค่รอบเช้ากับบ่าย คุณมาไม่ทันแล้ว" ปราณนต์ว่า
"แต่ชั้นต้องไป ชั้นต้องกลับกรุงเทพฯ"
"เอ้าๆ งั้นก็ไปกับผม ผมกำลังจะเข้าไปในเมืองพอดี เดี๋ยวแวะไปส่งให้ แต่ผมต้องแวะไปเอารถก่อน โอเคมั้ย"
ภัทรินสงบลงโดยพยายามไม่แสดงออกว่ามีเรื่องอะไร
"ไม่ต้อง..ชั้นอยากเดินไปเรื่อย ๆ"
ภัทรินเดินหนีอย่างเร่งรีบ
ปราณนต์ลงจากจักรยานตามมาคว้ากระเป๋าภัทรินเอาไว้
"เห็นคนเดือนร้อนแล้วไม่ช่วย เสียชื่อหมอณนต์หมด ไปกับผมเถอะ นะ"
ปราณนต์แย่งกระเป๋าเดินทางภัทรินมาถือเอาไว้ ภัทรินไม่ยอมจึงยื้อกันไปมา
"หมอบ้า ปล่อยกระเป๋าชั้นนะ"
ทั้งสองยื้อไปมาซักพัก ปราณนต์ก็แกล้งปล่อยมือ
ภัทรินเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าทำให้กระเป่าที่สะพายอยู่หล่น ของบางอย่างกระเด็นออกมา รวมทั้งจดหมาย
"อ๊าย ปล่อยมือทำไมเนี่ย"
"อ้าวก็คุณบอกให้ปล่อย" ปราณนต์ว่า
ปราณนต์ยิ้มก้มลงช่วยเก็บของแล้วหยิบจดหมายขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นจดหมายจากแผนกกฎหมาย
ภัทรินรีบกระชากจดหมายไปเก็บ ปราณนต์ยิ้ม ๆ
"ไปเอารถที่บ้านผมเหอะ...เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง...หรือไม่...เราก็นั่งคุยกันอยู่ตรงนี้ทั้งวันก็แล้วกัน"
ปราณนต์นั่งกับพื้น ภัทรินรีบลุกขึ้น
ภัทรินบอก "ไปเอารถกัน"
ภัทรินรีบเดินกลับไปที่จักรยาน
ปราณนต์มองตามด้วยความสงสัยมากมายที่อยู่ในหัว

จันทร์วิภากำลังจิบกาแฟอยู่
"ตายแล้ว จิบเพลิน สายแล้ว ไปทำงานก่อนนะแก"
จันทร์วิภารีบลุกจะออกไป แต่ภารตีเดินพุ่งสวนเข้ามา
"หนูเนตร หนูเบญ ช่วยหาเบอร์โทรศัพท์บริษัทที่ไอ้ภัทมันทำงานอยู่ให้หน่อยได้มั้ย"
"ได้สิคะ เซิร์ชหาในอินเตอร์เนตแป๊บเดียวก็เจอ บริษัทใหญ่ขนาดนั้น"
"น้าภาจะติดต่อแผนกอะไร เรื่องอะไรคะ เพราะจีแอลเอสมีบริษัทลูกเยอะ จะได้หาเบอร์ได้ถูก"
"แผนกกฎหมาย"

สามสาวแปลกใจ ภารตีมีสีหน้าเหมือนต้องการจะรู้ให้ได้

อ่านต่อหน้า 2

ลมซ่อนรัก ตอนที่ 3 (ต่อ)

รถของปราณนต์แล่นมาตามทางลงเขา ภัทรินที่นั่งอยู่ในรถนั่งนิ่งเกร็ง มือทั้งสองข้างบีบกันเองแน่นเพราะรับไม่ได้ที่ตัวเองถูกจับได้ว่ากำลังล่มสลาย เธอไม่ยอมรับ เครียด และกดดัน
"คุณอยากพูดอะไรมั้ย"
ภัทรินยังคงนิ่งเครียดเหมือนไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ปราณนต์แกล้งแตะเบรกเพื่อให้รถกระตุก ภัทรินถึงกับตัวโยน
"นี่คุณ” ภัทรินไม่พอใจ
ปราณนต์ขำ "เงิบล่ะสิ ถ้าไม่อยากเงิบอีกอย่านั่งเฉยในรถผม นั่งข้างคนขับน่ะควรจะชวนคุยหรือพูดอะไร คนขับจะได้ไม่ง่วง"
"ชั้นไม่รู้จะคุยอะไร" ภัทรินซึม
ภัทรินนิ่ง ปราณนต์ขับรถแบบกระตุกๆ โดยเหยียบคันเร่งสลับกับเบรกไปมา
"งั้นต้องขับแบบนี้ จะได้ไม่ง่วง" ปราณนต์บอก
"เลิกแกล้งชั้นซะที" ภัทรินว่า
"เล่าเรื่องของคุณสิ"
"ไม่มีอะไรจะเล่า"
"เรื่องที่คุณจะรีบกลับกรุงเทพก็ได้"
ภัทรินได้ยินเรื่องนี้ก็ถึงกับชะงักไปแล้วไม่พูดอะไร
"เรื่องจดหมายฉบับนั้นก็ได้"
ภัทรินนิ่งไปอีกแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมา ปราณนต์เซ็งจึงหักรถเข้าจอดข้างทางทันที
"ถ้าคุณไม่พูดหรือคุยกับผม ผมขับต่อไม่ไหว ผมง่วง"
ปราณนต์ปรับเบาะเอนลงไปทันทีแล้วทำท่าจะนอน
"คุณหมอ"
ปราณนต์ลืมตามองอีกทีด้วยแววตาจริงจังและชัดเจน
"ทำไมต้องรีบกลับกรุงเทพ คุณมีเรื่องอะไรใช่มั้ย คุณปิดบังอะไรเอาไว้ ภัทริน"
ภัทรินโมโห เธอเปิดประตูแล้วลากกระเป๋าลงไปทันที

ภัทรินลากกระเป๋าเดินฮึดฮัดไปตามทาง ปราณนต์รีบลงมาจากรถ
"จะเดินไปเองเหรอ รู้มั้ยว่าอีกกี่กิโลถึงจะเจอชุมชน" ปราณนต์ถาม
ภัทรินเดินไม่หยุด
ปราณนต์เดินตาม "จะหนีอะไรก็หนีได้ แต่คุณหนีความจริงไม่พ้น จดหมายฉบับนั้น ไม่บอกก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี คุณไปมีคดีความกับใครมา หมิ่นประมาท ฟ้องร้อง ฆาตกรรม หรือฉ้อโกง"
"คุณไม่ต้องยุ่งกับชีวิตชั้นได้มั้ย" ภัทรินว่า
"ผมไม่ได้แคร์ชีวิตคุณเลย แต่ผมสงสารน้าภา แม่คุณรักและห่วงคุณมาก แต่คุณทิ้งท่านมาดื้อ ๆ ให้ท่านอยู่กับความสงสัยข้องใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตลูก คิดว่าน้าภาจะรู้สึกยังไง คุณไม่สงสารแม่คุณเหรอ"
"เรื่องแม่ชั้น เดี๋ยวชั้นโทรศัพท์อธิบายได้ ไม่ต้องมายุ่ง"
"เห็นแก่ตัว" ปราณนต์ต่อว่า
ภัทรินตกใจ "หา”
ปราณนต์ยิ้มเยาะและไม่อยากจะด่าอะไรอีกแล้ว "ขนาดแม่คุณเอง คุณยังไม่แคร์ ผมก็ไม่มีหวังอะไรกับตัวคุณแล้วล่ะ"
"คุณหมอ คุณไม่ได้รู้จักชั้นดี อย่ามาตัดสินชั้น"
"ผมรู้จักคุณผ่านการกระทำที่คุณทำกับแม่คุณนั่นแหละ น้าภาพูดทุกวี่ทุกวันว่ามีลูกสาวแสนดี แต่ทุกครั้งที่น้าภาป่วย ผมไม่เคยเห็นลูกสาวแสนดีคนไหนพาแม่ไปโรงพยาบาลเลย คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง"
ภัทรินเดินหนีเหมือนไม่อยากรับรู้ ปราณนต์เดินตาม
"หมาที่คุณส่งมาให้แม่คุณเลี้ยงอีก เพราะอะไร ไม่มีปัญญาเลี้ยงหรือแฟนไม่ชอบ อะไรที่คุณรัก แต่ถ้ามันสร้างปัญหาให้คุณเมื่อไหร่ คุณก็พร้อมจะถีบหัวส่ง อย่างนี้ไม่เรียกเห็นแก่ตัวจะให้เรียกว่าอะไร"
"หยุดด่าชั้นได้แล้ว มันกงการอะไรของคุณ นี่มันเรื่องของชั้น หมาก็หมาชั้น แม่ก็แม่ชั้น คุณเกี่ยวอะไรด้วย"
ภัทรินเจ็บปวดจนน้ำตาไหล
"ถ้าหมอกตัญญูมากนักก็กลับไปดูแลแม่ตัวเองสิ"
ปราณนต์อึ้งที่โดนย้อนเรื่องแม่ ภัทรินเชิดหน้าแล้วเดินแยกออกไป
ปราณนต์ฉุนและน้อยใจ "เออ ผมขอโทษที่จุ้นจ้านชีวิตคุณ"
ปราณนต์เดินแยกกลับไปที่รถก่อนจะขึ้นรถไปอย่างฉุนเฉียวแล้วก็ขับออกไป รถแซงภัทรินที่ยังเดินอยู่ไปเลยโดยไม่รีรอหรือลังเล ปราณนต์ขับผ่านไปแบบไม่แยแสเหลือไว้เพียงแต่ฝุ่น ภัทรินที่เดินลากกระเป๋าน้ำตานอง แต่ยังฝืนลากไป

ภัทรินลากกระเป๋าเดินไปบนถนนที่ขระขรุ ด้วยท่าทางฮึดฮัดต่อเนื่อง และมีน้ำตา เธอยังคงเดินฝ่าแดดจ้า
ภัทรินยังคงเดินต่อไป รถกระบะแล่นผ่านไปทิ้งฝุ่นเอาไว้จนฟุ้งกระจาย
ภัทรินยังคงเดินต่อไป อยู่ๆกระเป๋าที่ลากมาก็ล้อแตกแล้วหลุดออกมา ภัทรินยิ่งฉุน เธอฝืนลากกระเป๋าไปทั้งๆที่ไม่มีล้อ กระเป๋ากระดอนกระโดกกระเดกกระแทกกับพื้นที่ขรุขระ
ในที่สุด กระเป๋าก็ดีดเปิดออกมาผลัวะ ข้าวของเสื้อผ้าในนั้น หลุดออกมาเกือบหมด ภัทรินหันมาเห็นสภาพกระเป๋าเดินทางแล้วทำสีหน้าเหมือนจะโวยวาย แต่แล้วก็กลับข่มอารมณ์ฝืนลากกระเป๋าเดินต่อทั้งๆ ที่ฝากระเป๋าเปิดอยู่
ภัทรินเดินไปได้อีก6-7ก้าวก็ชะงักยืนนิ่ง เธอปล่อยกระเป๋าแล้วร้องไห้อย่างหมดแรง
"แม่ ชั้นขอโทษ ชั้นขอโทษ ฮือๆๆ"
ภัทรินร้องไห้
รถของปราณนต์แล่นกลับมาจอดห่างออกไป ปราณนต์ที่นั่งในรถมองสภาพของภัทรินด้วยความสงสาร เห็นใจ แล้วเขาก็เปิดประตูลงไปยืนมองภัทรินข้างรถ ภัทรินเงยหน้ามาเห็นพอดีก็ชะงักที่เห็นปราณนต์กลับมา เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืนมองด้วยความงงงวยว่าปราณนต์กลับมาทำไม และเขาจะมาไม้ไหน
ปราณนต์มองนิ่งด้วยแววตาอ่อนลง แล้วเขาก็เดินเข้าไปหาเธอ ภัทรินสงสัย ยิ่งปราณนต์เดินเข้ามาใกล้ สีหน้าของเธอก็เริ่มตื่นปนระแวง ปราณนต์เดินมาถึงตรงหน้า ภัทรินก้าวถอยหลังไปก้าวนึง ปราณนต์ก้าวตาม
ภัทรินมองด้วยแววตาตื่นๆ ทันใดนั้น ปราณนต์ก็ดึงภัทรินเข้ามากอดในลักษณะปลอบใจ
ภัทรินเหวอเพราะตั้งตัวไม่ทัน ทีแรกเธอก็ดิ้นไม่ยอมให้กอด แต่สุดท้ายภัทรินก็สัมผัสได้ถึงความเมตตาของปราณนต์ที่ต้องการปลอบใจเธอ และภัทรินเองก็ต้องการใครสักคนมาปลอบใจเหมือนกัน ภัทรินจึงค่อยๆนิ่งไปและร้องไห้ออกมา ปราณนต์สับสนกับการกระทำของตัวเองว่าเพราะอะไรเขาจึงห่วงใยผู้หญิงคนนี้ ภัทรินร้องไห้ไม่หยุด

ธนาฒน์เข้ามาในห้องของสินธร
ธนาฒน์พูดด้วยสายตาแวววาว "คุณสินธรไม่อยู่ พี่ชมเลยเรียกผมมาหา มีอะไรพิเศษกับผมหรือเปล่าครับ"
ชมนาดชี้ให้ดูเอกสารที่โต๊ะ
"ข้อมูลเกี่ยวกับการเซ็นสัญญาให้สิทธิ์การเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแก่ญี่ปุ่น.. พรุ่งนี้ คุณปราณจะมาสาย หรือไม่ก็อาจจะไม่มาเลย เธอต้องเตรียมตัวให้ดี เพื่อช่วยกู้สถานการณ์เอาไว้"
ธนาฒน์นึกว่าชมนาดจะมีเรื่องส่วนตัวด้วยจึงเอ่ยถาม "แค่นี้เองเหรอครับ"
"ธนาฒน์ ระวังกิริยาหน่อย อย่าใช้สายตานั้นมองชั้น มันจะทำให้ทุกอย่างพัง" ชมนาดเตือน
"สายตาผม มันก็ผกผันไปตามความสวยของพี่ชมนั่นแหละครับ"
ชมนาดจ้องดุที่ธนาฒน์ยังไม่หยุด ธนาฒน์สลดไป
"ทำตัวให้สมกับที่จะเป็นคู่แข่งคุณปราณหน่อย" ชมนาดว่า
"พี่ชม ผมยังนึกไม่ออกว่าผมจะเป็นคู่แข่งกับคุณปราณได้ยังไง เขาเป็นท่านประธาน เป็นลุกชายคุณพสุวัฒน์ กรรมการใหญ่ ส่วนผม มันโนบอดี้ ไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน เป็นคนนอกร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงคุณสินธรจะสนับสนุน แต่ผมจะเอาอะไรไปสู้เขา"
"ใครบอกว่าเธอมีคุณสินธร เธอมีชั้นต่างหาก ฟังนะธนาฒน์ เรากำลังเล่นการเมืองอยู่ ตอนนี้คุณปราณเหนือกว่าเธอทุกด้านก็จริง แต่ ถ้าวันนึง บอร์ดบริหารมีมติเห็นชอบร่วมกันว่าคุณปราณขาดคุณสมบัติ เขาก็ต้องหลุดจากตำแหน่งแล้วคนที่พร้อมที่สุด โดดเด่นที่สุด ณ เวลานั้นก็จะได้ขึ้นมาแทน"
"ซึ่งก็คือคุณสินธร เพราะผมเป็นแค่ร่างทรงของเขา" ธนาฒน์ว่า
"ถ้าเธอคิดแค่นั้น เธอก็จะได้แค่นั้น" ชมนาดบอก
"หือ"
"ธนาฒน์ คุณสินธรใช้เธอเป็นร่างทรง แต่ถ้าเธอเชื่อฟังพี่ เธอจะไปได้ไกลกว่านั้น ไกลจนเธอนึกไม่ถึงเลย"
"ไกลกว่านี้ ก็มีแค่ตำแหน่งของคุณสินธร"
"หรือไม่ก็ตำแหน่งคุณปราณ" ชมนาดพูดขึ้น
ธนาฒน์ตาโตเพราะไม่อยากจะเชื่อ

ปราณนต์อ่านจดหมายทวงหนี้ฉบับนั้นจนจบ เขากับภัทรินนั่งอยู่ด้วยกันที่กระบะท้ายรถ
"คุณเป็นหนี้บริษัทสิบเจ็ดล้าน"
"พวกมันวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น มันรวมหัวกันโกงเงินบริษัท แล้วก็โบ้ยความผิดทุกอย่างมาที่ชั้น ให้ชั้นเป็นแพะรับบาป" ภัทรินว่า
"คุณไม่ได้ทำจริงๆเหรอ" ปราณนต์ถาม
ภัทรินหันขวับมาจ้อง "นี่"
"บางที คุณอาจจะรู้ แต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เซ็นๆอนุมัติไป เพราะอาจได้รับผลประโยชน์บางอย่างตอบแทน"
"ถ้าคุณไม่เชื่อที่ชั้นพูด ก็ไม่ต้องคุยกัน" ภัทรินกระชากจดหมายคืนแล้วลุกขึ้นยืน
"ผมแค่ถาม คุณก็น่าจะรู้ว่าบ้านเราเรื่องผลประโยชน์ที่เอื้อกันมันมีมาแต่ไหนแต่ไร เธอช่วยชั้น ชั้นช่วยเธอ เรื่องพวกนี้ผมเจอมาแยะ" ปราณนต์ยืนบ้าง "ทำเป็นร้องไห้ฟูมฟายว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ แต่สืบไปสืบมา สุดท้ายก็มีผลประโยชน์ร่วมกัน"
ภัทรินฉุน "ผลประโยชน์เดียวที่ชั้นได้จากมันคือความรักปลอมๆ แล้วชั้นก็โง่รักมัน ตั้งเกือบสองปี สองปีที่ชั้นไม่รู้เลยว่ากำลังถูกหลอกใช้ ทำไมชั้นถึงไม่รู้ ทำไมถึงโง่อยู่ตั้งเกือบสองปี ทำไมล่ะ ทำไม ทำไม"
ภัทรินยิ่งพูดก็ยิ่งสะเทือนใจ ปราณนต์เห็นน้ำตาของเธอ
"โอเคๆๆ ผมเชื่อคุณแล้ว หยุดร้องเถอะ"
ชั้นเคยฝันหวานว่าจะได้แต่งงานกับมันอีกด้วย ชั้นหน้ามืดตามัวที่สุด ยัยเพ้อเจ้อ ยัยโง่เง่าไม่มีใครเกิน" ภัทรินตีตัวเอง "โง่ๆๆ"
"หยุดบ้าเถอะคุณ" ปราณนต์ปราม
"ชั้นหยุดไม่ได้" ภัทรินบอก
ปราณนต์จับมือภัทรินให้หยุดตีตัวเอง "ก็แค่หยุด"
"คุณไม่เข้าใจเหรอว่าผู้หญิงเวลาอินแล้ว มันหยุดไม่ได้ จนกว่าจะสุด" ภัทรินดึงมือออกมาแล้วตีตัวเองอีก "ชั้นมันโง่ๆๆ"
ปราณนต์ได้แต่มองแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ สักพักเขาก็มีสีหน้าเริ่มเหยแล้วก็ร้องไห้อีกคน
"ถ้าคุณไม่หยุด ผมจะร้องแล้วนะ"
"จะร้องทำไม" ภัทรินถาม
"ผมอินแทนคุณ ฮือๆๆๆ ฮือ" ปราณนต์ร้องหนักกว่าและดังกว่า
"นี่ ปัญหานี้ มันของชั้นนะ อย่ามาร้องเสียงดังกว่าสิ"
"ผมหยุดไม่ได้ ฮือๆๆๆ" ปราณนต์ร้อง
"ประสาท เป็นหมอหรือเป็นบ้าเนี่ย" ภัทรินว่า
"ฮือๆๆๆ"
ภัทรินอดขำท่าทางของปราณนต์ไม่ได้จึงขำออกมาทั้งน้ำตา
"บ้า หยุดแล้ว" ภัทรินปาดน้ำตา
ปราณนต์ค่อยหยุดร้องได้แล้วก็ยิ้มออกมาก่อนจะถามด้วยท่าทางจริงจัง
"คุณจะเอายังไงต่อไป"
ภัทรินเครียดเพราะไม่รู้คำตอบ

รถของปราณนต์จอดอยู่ที่หน้าบ้านภารตี ภารตีนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้านโดยนั่งเครียดแทนลูกว่าจะหาทางออกยังไงดี เข้าโคโค่นั่งอยู่ด้วยข้างๆ ภัทรินที่นั่งอยู่ในรถลังเล ปราณนต์พยักหน้าให้กำลังใจ ภัทรินลงจากรถแล้วเดินเข้าไปหาภารตี
"แม่”
ภารตีหันมามองนิ่ง สงบ เข้าอกเข้าใจ ไม่โวยวาย
ภัทรินอ้ำอึ้ง พูดไม่ออกเพราะเริ่มไม่ถูก
ภารตีเรียก "มานั่งนี่มา"
ภัทรินเข้าไปนั่งข้างๆแม่
ภัทรินอยากจะบอกแต่พูดไม่ออก "แม่ คือ”
"แม่รู้แล้ว"
ภัทรินอึ้งเพราะยิ่งได้เห็นท่าทีแม่ที่อ่อนโยน เข้าใจ และไม่เคยซ้ำเติมลูกเลย เธอก็ยิ่งเสียใจแล้วโผกอดแม่
"แม่ ภัทขอโทษนะ ภัทขอโทษ" ภัทรินร้องไห้พร้อมกับพร่ำพูดขอโทษซ้ำๆ
ภารตีน้ำตาไหลแล้วก็กอดปลอบใจพร้อมกับลูบหัว "ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร"
สองแม่ลูกกอดกันแน่
"ขอโทษแกด้วยนะโคโค่” ภัทรินบอกโคโค่
ปราณนต์มองอยู่ห่างๆ ด้วยความสงสารภัทริน

พระจันทร์บนท้องฟ้าที่บ้านภารตีสว่าง ภัทรินนั่งกอดโคโค่พร้อมกับเล่าเรื่องทุกอย่างให้ภารตีฟัง
"ภัทสาบานได้นะแม่ ภัทไม่เคยโกงเงินบริษัท หรือเงินใครเลย แม่เคยสอนอะไรไว้ ภัทจำได้ทุกอย่าง"
"คนเรา ทำไมถึงได้ใจร้ายต่อกันได้ขนาดนี้ อยากได้เงินจนไม่คิดถึงถูกผิด ไม่สนใจว่าจะไปทำให้ใครต้องเดือดร้อนทุกข์ยากแค่ไหน คนพวกนี้ ไม่มีความเป็นคน"
"ไม่เอาแม่ อย่าโมโห เดี๋ยวความดันขึ้น"
"แม่ขออะไรอย่างได้มั้ยภัท ต่อจากนี้ มีอะไรอย่าปิดบังแม่อีก ได้มั้ย"
"ค่ะแม่ ภัทสัญญา"
"แล้วลูกจะทำยังไง" ภารตีถาม
"ก็ ยังไม่รู้ แต่ภัทจะไม่ให้แม่ต้องมาเดือดร้อนด้วยเด็ดขาด ภัทเป็นคนก่อ ก็ต้องรับผิดชอบ"
"จะรับผิดชอบยังไง หนี้ตั้งสิบเจ็ดล้าน"
"ไม่รู้ เขาส่งจดหมายมาให้ภัทกลับไปเซ็นรับทราบหนี้สินและทำสัญญาผ่อนชำระหนี้ให้เป็นกิจจะ ภัทก็จะไป จะทำหนังสือประนอมหนี้ไปบอกเขาว่ามีปัญญาผ่อนเดือนละสี่พัน"
"เขาจะยอมเหรอ"
"ถ้าไม่ยอม ก็ให้ส่งฟ้องศาลไป อย่างมากก็ติดคุก" ภัทรินบอก
ภารตีอึ้ง "ภัท”
ภัทรินรู้สึกจนตรอก ภารตีกอดกุมมือลูกสาวเอาไว้
"ไม่ มันต้องมีทางออกสิลูก มันต้องมี"
สองแม่ลูกโอบกอดกันอย่างเศร้าสร้อย

วันต่อมา พสุวัฒน์เดินผ่านบริเวณด้านนอกออฟฟิศซึ่งมีสื่อต่างๆมารอทำข่าวจำนวนหนึ่ง มีบอดี้การ์ดของบริษัทคอยกันสื่อเอาไว้ พอสื่อเห็นพสุวัฒน์ก็ตะโกนเรียกอยากขอสัมภาษณ์
อัณณารีบเข้าไปหา "ท่านคะ ทางนี้ค่ะ"
อัณณาเชิญพสุวัฒน์เดินเลี่ยงสื่อไป
"นี่มันอะไร สื่อมาจากไหน มาได้ยังไง" พสุวัฒน์ถาม
ทันใดนั้น ศิลากับสุพจน์ก็เดินเข้ามาหาโดยมีสินธรกับธนาฒน์เดินตามมาด้วย
"จีแอลเอสกำลังจะขยายตลาดเข้าไปในญี่ปุ่น มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา สื่อที่ไหนก็ต้องสนใจทั้งนั้น"
"แต่เราไม่ได้เชิญ เราตกลงกันแล้วว่าจะปิดเรื่องนี้ไม่ให้สื่อรู้" พสุวัฒน์บอก
"ข่าวรั่วมั้งครับพี่พสุ พวกนักข่าวสมัยนี้เค้าวงในกันจะตาย ปิดยังไงก็ไม่มิดหรอกครับ" สินธรบอก
"แล้วนี่คุณปราณกลับมาหรือยังครับ คนญี่ปุ่น เข้มงวดเรื่องเวลามาก ผมไม่อยากทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่ให้ความสำคัญกับงานนี้ แล้วพวกสื่อจะเอาเราไปออกข่าวเสียๆหายๆได้นะครับ"
"ตั้งแต่ลูกชายคุณขึ้นมาบริหาร มีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอดเลยนะ" สุพจน์ว่า
"อย่าเพิ่งกังวลไปเกินกว่าเหตุเลยค่ะ..ดิฉันส่งรถไปรอรับคุณปราณที่แอร์พอร์ตแล้ว คุณปราณมาทันเวลาแน่ค่ะ" อัณณาบอก
"งานนี้จะหมู่หรือจ่าก็อยู่ที่หลานคนเดียวแล้วนะพี่พสุ" สินธรว่า
พสุวัฒน์กับอัณณาชักจะหวั่นใจ

ชมนาดกำลังโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงาน
"รออยู่ที่แอร์พอร์ตแล้วใช่มั้ย"
คนขับรถตู้ของบริษัทที่ถูกส่งไปรับปราณที่สุวรรณภูมิกำลังพูดสายอยู่กับชมนาด
"ครับ แต่คุณชมครับ เรื่องนี้จะไม่ถึงหูท่านประธานนะครับ"
"อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ถ้าคุณปราณจะมาสาย มันเป็นความผิดของระบบจราจร ไม่ใช่นาย เข้าใจมั้ย"
ชมนาดยิ้มตาวาว

ภัทรินกำลังลาภารตี
"จริงๆแล้วภัทนั่งรถทัวร์ไปก็ได้"
"ในจดหมายเค้าให้ลูกติดต่อกลับภายในวันนี้ไม่ใช่เหรอ ไปเครื่องดีแล้ว จะได้ทัน ตั๋วเครื่องบินเดี๋ยวนี้ แพงกว่ารถทัวร์ไม่กี่ร้อยเอง เอาไว้ขากลับค่อยนั่งรถทัวร์แล้วกัน"
"ช้าหน่อยแต่ก็ประหยัดเงินกว่านะแม่"
อยู่ๆรถของปราณนต์ก็แล่นมา จันทร์วิภา เนตรมณี และเบญจคีย์นั่งมาด้วย โดยที่อะเล สามีของจันทร์วิภาเป็นคนขับ ภัทรินเห็นพวกเพื่อนๆลงจากรถก็เอ่ยถาม
"พวกแก มาทำไม"
เบญจคีย์โวย "แหม ดูมันพูด มาทำไม อย่างนี้มันน่าช่วยมั้ย”
"ก็มารับเธอไปส่งสนามบินน่ะสิ" เนตรมณีบอก
ภัทรินมองแม่
"แม่เป็นคนขอให้พวกเค้าไปส่งภัทน่ะลูก"
"พวกแกไม่ได้โกรธชั้นเหรอ"
"แกเพิ่งถูกคนอื่นทำร้ายมา จะให้พวกเราตีซ้ำแผลแกอีกเหรอ พวกชั้นไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก ยังไงแกก็เพื่อน"
ภัทรินมองแม่ "แม่ แม่เล่าให้เพื่อนภัทฟังเหรอ"
ภารตีพยักหน้า ภัทรินมองหน้าเพื่อน ๆ ทุกคนก็เห็นว่าทุกคนยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มจริงใจ
"ขอบใจนะ"
เพื่อนๆ เข้ามารุมกอดภัทรินเพื่อปลอบใจ เบญจคีย์เข้ามาท้ายสุดแต่สุดท้ายสี่สาวก็กอดกันกลม
"รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวสาย" อะเลบอก
"นั่นรถหมอณนต์นี่" ภัทรินทัก
"คุณหมอไปสัมมนาที่เชียงใหม่ ฝากให้ผมเอารถมารับคุณภัทไปส่งสนามบิน"
"มีน้ำใจเหมือนกันนะหมอ ภัทไปนะคะแม่" ภัทรินยกมือไหว้
"คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะลูก”
ภัทรินไปขึ้นรถ อะเลรีบไปเปิดประตู

ชมนาดกำลังโทรศัพท์อยู่ที่ห้องทำงาน โดยมีธนาฒน์อยู่ด้วย
"ยังไม่เจอคุณปราณอีกเหรอ" ชมนาดถาม
คนขับรถตู้ของบริษัทจีแอลเอสพูด
"ไฟลท์ที่มาจากปารีสก็ลงตั้งนานแล้ว แต่ผมไม่เห็นคุณปราณออกมาเลยครับ"
"ยังไม่มาอีกเหรอ รอต่อไป ถ้ามีอะไรคืบหน้าโทรมารายงานชั้นด้วย" ชมนาดวางสาย "เป็นไปได้ยังไง นอกจากไฟลท์นั้นก็ไม่มีไฟลท์อื่นที่มาจากปารีสแล้วนี่ หรือว่าปราณจะไปเวียร์เครื่องที่อื่น"
"คุณปราณยังไม่มาก็ดีสิครับ"
"ชั้นก็ขอให้เป็นอย่างนั้น อย่ามีอะไรผิดแผนแล้วกัน"
ชมนาดเครียดและเป็นกังวล

อัณณาวางสายโทรศัพท์แล้วรีบเดินกลับเข้ามาในห้องพสุวัฒน์ด้วยหน้าตามีเรื่อง
"คุณลุงคะ”
ทุกคนเห็นสีหน้าอัณณาก็รู้ว่ามีเรื่องแน่จึงรอฟัง
อัณณาพูดต่อ "คุณปราณ ตกไฟลท์ค่ะ"
ศิลากับสุพจน์อึ้ง
สุพจน์ตกใจ "ตกไฟลท์ เฮ้ย แล้วการเซ็นสัญญาวันนี้ล่ะ ใครจะรับผิดชอบ"
"คุณพสุวัฒน์ ผมเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าลูกชายคุณไม่เหมาะสม ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเด็กฝึกงาน ทำอย่างนี้มันเสียหายมาก"
"ผมไม่ยอมแน่ ความผิดครั้งนี้ลูกชายคุณต้องชดใช้"
สินธรทำเป็นนิ่งแต่ลึกๆ กลับพึงพอใจ
ทันใดนั้นธนาฒน์ก็วิ่งพรวดเข้ามารายงาน
"ตัวแทนจากญี่ปุ่นมาแล้วครับ"
ทุกคนเครียด อัณณากับพสุวัฒน์ก็เครียด

รถเก๋งผู้บริหารคันสวยหรูมาจอดที่หน้าสำนักงานใหญ่ พนักงานมาเปิดประตูให้อย่างคล่องแคล่ว โคบายาชิ นักธุรกิจอาวุโสจากญี่ปุ่นก้าวลงมาพร้อมผู้ติดตามอีก2คน พวกนักข่าวตามออกมาถ่ายรูปๆ โคบายาชิยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี

โคบายาชิเดินเข้ามาภายในสำนักงาน พสุวัฒน์กับอัณณาเดินออกมาและกำลังจะไปต้อนรับ แต่สินธรรีบมาตัดหน้า
"ผมรับหน้าให้เอง พี่ไปหาทางแก้ปัญหาที่จะไม่กระทบกับธุรกิจของเราดีกว่า"
พสุวัฒน์กับอัณณาได้แต่ยืนมองเพราะไม่รู้จะจัดการยังไง สินธรรีบปราดเข้าไปรับหน้า ธนาฒน์ตามประกบและชมนาดมาสมทบ
สินธรทัก "สวัสดีครับคุณโคบายาชิ ผมสินธร เป็นกรรมการบริหารจีแอลเอส และนี่ ธนาฒน์ ผู้ช่วยมือหนึ่งของผม กับคุณชมนาด เลขาฯ"
ล่ามที่มาด้วยกับโคบายาชิทำการแปลให้ทันที
ธนาฒน์พูด "ฮาจิเมมาชิเตะ วาตาชิวะ ทานะโตะ เดสุ. โคบายาชิซังโนะไดแฟนเดสุ ทสุยนิ ไอเอเตะ อุเรชี่เดสุ (สวัสดีครับ ผมชื่อธนาฒน์ ผมได้ยินชื่อของคุณมานานแล้ว ดีใจมากที่ได้เจอครับ)”
โคบายาชิตื่นเต้นจึงพูดใส่เป็นชุด " oo hontouni? arigatou nihongo oo-jousu desune! nande nihonngo ga hanaseruno? Gakkou (โอออ จริงเหรอที่เป็นแฟน..ขอบคุณนะ พูดญี่ปุ่นเก่งนะเนี่ย ดีมากเลย ทำไมพูดได้ล่ะ ..เรียนที่โรงเรียนเหรอ)
พอเจอภาษาญี่ปุ่นมาเต็มๆ ธนาฒน์ก็ถึงกับใบ้รับประทาน เขายิ้มแหะๆ เพื่อกลบเกลื่อน
ธนาฒน์พูดสั้นๆ "ไฮ้”
โคบายาชิเดินยิ้มแย้มผ่านไป ทุกคนเดินตาม
"กะจะพูดให้ประทับใจ แต่จำได้ประโยคเดียว" ธนาฒน์
"ไม่ได้จริง ทีหลังก็อย่าพูด" ชมนาดว่า
ชมนาดรีบเดินตามขบวนไป สินธรกับธนาฒน์พาโคบายาชิเดินมาตามทางเพื่อจะไปที่ห้องประชุม
"ห้องประชุมทางนี้ครับ เชิญเลยครับ"
สินธรเปิดประตูให้โคบายาชิและผู้ติดตามเข้าไปก่อน พอพวกญี่ปุ่นเข้าไปหมด สินธรก็หันกลับมากำชับกับพสุวัฒน์ที่ยืนหน้าเครียดอยู่กับอัณณา
"ทีนี้ ก็เป็นหน้าที่ของพี่แล้วนะครับ ที่จะต้องอธิบายเรื่องลูกชายของพี่ ผมคงไม่เกี่ยว"
สินธร ธนาฒน์ และชมนาดเดินตามเข้าไปในห้องประชุม

สินธร ธนาฒน์ และชมนาดเดินเข้ามาแล้วก็ต้องชะงักด้วยความแปลกใจ เพราะอีกด้านของห้องประชุมมีคนๆหนึ่งกำลังลุกยืนต้อนรับแขกญี่ปุ่นอยู่ คนๆนั้นก็คือ ปราณนต์ที่มาในคราบของปราณ
สินธรตกตะลึง "ปราณ”
สินธร ธนาฒน์ ชมนาดต่างตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าปราณจะโผล่มาได้
ปราณนต์พูดภาษาญี่ปุ่น "ฮาจิเมมาชิเตะ โคบายาชิซัง GLSชะ คาระ ปรานโตะโมวชิมัสสุ คงไกโนะโกะเคียวเรียวคุ โยโรชิคุโอเนไงอิตาชิมาสุ (สวัสดีครับคุณโคบายาชิ ผม ปราณจากบริษัทจีแอลเอส ยินดีมากที่จะได้ร่วมธุรกิจกับคุณ..ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ)
“aa kochira koso. e nande nihongo o jouzu na no (ผมก็ด้วยเช่นกัน ฮ้า ทำไมคุณพูดภาษาญี่ปุ่นเก่งจัง)” โคบายาชิพูด
"อี่เยะ มาม่า เดสุโย ไทย(ไม่เลยครับ ยังไม่ได้เรื่องเลย)”
“iiee iiee kanpeki kanpeki (ไม่ ไม่ เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก)
ปราณนต์ทักทายเสร็จก็หันมามองพวกสินธรที่ยังคงยืนอึ้งอยู่
"จะไม่นั่งกันเหรอครับ" ปราณนต์ถาม
พวกสินธรเครียดแทนจึงหันมาสบตากันไปมา
"ผมมีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ"
ในขณะที่พสุวัฒน์กับอัณณาที่ตามเข้ามากลับเป็นฝ่ายมีท่าทางสดใสและเชื้อเชิญให้ทุกคนประจำที่ เพราะเกมพลิกมาเป็นของฝ่ายพสุวัฒน์แล้ว
"คุณศิลา คุณสุพจน์ นั่งสิ อัณณา ไปเชิญนักข่าวมาถ่ายภาพด้วยสิ"
"ค่ะท่าน" อัณณาตอบรับ
พสุวัฒน์กับอัณณาสังเกตปฏิกิริยาของสินธร ชมนาด ธนาฒน์ ศิลา และสุพจน์จนครบทุกคน ปราณนต์มีสีหน้าแววตาคมกริบ เยือกเย็น และไม่อ่อนโยน

แท็กซี่จอดที่หน้าสำนักงานใหญ่จีแอลเอส ภัทรินลงมามองตึกสำนักงานใหญ่ที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า มีผู้คนเดินผ่านไปมาตามประสาย่านธุรกิจ แต่ภัทรินก้าวขาไม่ออกเพราะรู้ว่าจะต้องไปเผชิญกับความอับอายในฐานะคนโกง
ภัทรินรวบรวมความกล้า สูดลมหายใจ แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดินไป แต่เหมือนจะสูดลมหายใจน้อยไป ภัทรินเลยชะงักแล้วต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อให้ก้าวเดินต่อไปได้อีก

ภัทรินเดินมาที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ด้านหน้า
ประชาสัมพันธ์ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร "ติดต่อเรื่องอะไรคะ"
"เรื่อง เอ่อ ฝ่ายนิติกรรมค่ะ" ภัทรินบอก
"เรื่องอะไรคะ"
"แจ้งเขายังงี้ก็พอค่ะ"
"จะให้แจ้งว่าใครมาพบคะ"
"เอ่อ ภัทริน"
ประชาสัมพันธ์เอะใจกับชื่อนี้ "ภัทริน เอิ่ม นามสกุลอะไร คะ"
"สุคนธกาญจน์"
หน้าที่ยิ้มแย้มของประชาสัมพันธ์หุบลงทันที ก่อนที่จะพูดห้วนๆ "ขอบัตรประชาชนตัวจริงด้วย"
ภัทรินส่งบัตรประชาชนให้ พนักงานรับมาส่งต่อกันดูว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่าก่อนจะเขี่ยบัตร visitorให้
ภัทรินจำใจรับมาหนีบที่เสื้อเพราะไม่อยากจะมีเรื่อง
"ไปทางไหนคะ"
"เดี๋ยวให้คนพาไป"
บอดี้การ์ดชาย2คนเข้ามายืนขนาบภัทรินราวกับเป็นผู้ต้องหาคดีสำคัญ ภัทรินอึ้ง

อ่านต่อหน้า 3

ลมซ่อนรัก ตอนที่ 3 (ต่อ)
ภัทรินถูกพาเข้ามาในห้องรับรองเล็ก
บอดี้การ์ดบอกกับเธอ "รอที่นี่"
บอดี้การ์ดยืนเฝ้าโดยไม่ปล่อยให้ภัทรินยืนคนเดียว
ภัทรินไม่พอใจที่ถูกปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษอุจฉกรรจ์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ระงับอารมณ์ไม่ให้ปรี๊ดแตก เธอทนนั่งรอไปตามคำสั่งก่อนจะกอดอกแล้วก็เชิดหน้า

โคบายาชิ นักธุรกิจอาวุโสชาวญี่ปุ่นจรดปลายปากกาเพื่อเซ็นสัญญาที่วางอยู่บนโต๊ะ เสร็จแล้วโคบายาชิก็ลุกขึ้น ปราณนต์รีบลุกตาม ทั้งคู่จับมือกันอย่างแนบแน่น ทุกคนปรบมือ โคบายาชิเข้ามาตบไหล่ปราณนต์แล้วดึงเข้าไปโอบ ทั้งคู่หัวเราะจนทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย สินธรมองอย่างแค้นๆ ธนาฒน์กับชมนาดเห็นภาพข้างหน้าแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้จึงมองหน้ากัน นักข่าวถ่ายรูปกันพรึ่บพรั่บ

ภัทรินที่นั่งอยู่บนโซฟาเริ่มกระสับกระส่าย เธอคอยมองนาฬิกาข้อมือ ภัทรินมองบอดี้การ์ดที่ยืนนิ่งแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด
"ทำไมต้องให้รอนานอย่างนี้ ช่วยไปเร่งให้หน่อยได้มั้ย ชั้นไม่ได้มีเวลาว่างมากนะ"
บอดี้การ์ดนิ่ง ภัทรินหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
พนักงานหญิงจากฝ่ายนิติกรรมเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารปึกใหญ่
พนักงานวางแฟ้มตรงหน้าภัทริน ตึง "เงื่อนไขของการชำระหนี้ทั้งหมด ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย..อ่านให้ละเอียดแล้วเซ็นรับทราบทุกหน้า"
ภัทรินหยิบซองเอกสารขึ้นมาแล้ววางทับลงไปบนแฟ้มอีกที "นี่คือเอกสารขอประนอมหนี้ของดิฉัน ..อ่านให้ละเอียด ไม่ต้องเซ็นรับทราบ แต่ดิฉันผ่อนได้ตามที่ระบุในนั้น"
ภัทรินไม่ยอมน้อยหน้า เธอยังคงอวดดีใส่

ปราณนต์นั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง สักพักพสุวัฒน์กับอันนาก็เดินเข้ามา
"เรียบร้อย" ปราณนต์ถาม
"ค่ะ คุณโคบายาชิกลับไปโรงแรมแล้วค่ะ ท่านประทับใจมาก โดยเฉพาะที่ปราณพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ไปแอบเรียนมาตอนไหนเนี่ย"
ปราณนต์ไม่ได้ตอบคำถามอัณณาและไม่มีทีท่าจะเล่นหยอกล้อเหมือนปราณนต์คนเดิม
"แล้วได้เห็นปฏิกิริยาของคนที่เห็นหน้าผมมั้ยครับ" ปราณนต์ถาม
"ชัดเจน..แผนของลูกหลอกพวกมันสนิท พ่อไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่คิดหักหลังพ่อจะเป็นน้องของพ่อเอง มิน่า สินธรถึงได้ทำดีกับพ่อตลอดเวลา มันทำได้ยังไง กับพี่ชายกับหลานแท้ๆของมัน" พสุวัฒน์ว่า
"เราควรทำยังไงต่อไปดี" อัณณาถาม
"รอดูไปก่อน อย่าให้พวกเขารู้ว่าเรารู้ คนคิดไม่ซื่อ จะต้องแพ้ภัยตัวเอง"
ปราณนต์พูดจบก็จะเดินออกไป
"ลูกจะไปไหน" พสุวัฒน์ถาม
"ผมมีงานค้างของผมอยู่ ต้องกลับไปจัดการ ขอตัวนะครับ"
"แต่พ่อยังมีเรื่องอยากคุยด้วย" พสุวัฒน์บอก
ปราณนต์เดินออกไป พสุวัฒน์เซ็ง อัณณารีบเดินตามไป

สินธรแค้น
"มันหลอกเรา มันรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันเลยวางแผนหลอกเอาไว้อีกชั้นนึง"
"ชมคิดไว้แล้วว่ามันมีอะไรแปลกๆ คนของชมบอกว่า คุณปราณไม่ได้มากับเครื่องที่มาจากปารีส เป็นไปได้ว่าคุณปราณไม่ได้ไปที่นั่นจริง" ชมนาดว่า
"หรือบางทีเขาอาจไม่ได้ไปไหนเลยด้วยซ้ำ อยู่เมืองไทยนี่แหละ แต่แอบซุ่มทำอะไรบางอย่างอยู่" ธนาฒน์บอก
"ก็คงจะซุ่มสืบเรื่องการทุจริตในบริษัทนี่แหละ"
"แล้วมันจะสาวมาถึงผมมั้ยครับ" ธนาฒน์ถาม
"คดีของนายมีแพะไปแล้ว" สินธรบอก "จะเครียดอะไรอีก ที่น่าห่วงก็คือตอนนี้พวกมันรู้ตัวว่ามีคนไม่หวังดีแล้ว และมัน ต้องพยายามหาทางเล่นงานเราคืนแน่"
"ถ้างั้น เมื่อกี้ที่อยู่ๆคุณปราณก็โผล่มา ถือเป็นการเล่นงานเราคืนหรือเปล่าครับ เราเผลอมีพิรุธอะไรไปหรือเปล่า" ธนาฒน์หวั่นใจ
ทุกคนอึ้งๆ เพราะไม่รู้ว่าเผลอทำอะไรไปหรือเปล่า

ภัทรินเดินมายืนรอลิฟท์ซึ่งเห็นเลขชั้นว่าเธออยู่ชั้น6 บอดี้การ์ดยังคงยืนตามประกบแน่นหนา
"แน่จริงตามไปให้ถึงบ้านเลยสิ"
ปราณนต์เดินออกมาที่ลิฟท์แล้วกดลิฟท์ เลขชั้นที่เขาอยู่คือ 18 อัณณาเดินตามมา
"เดี๋ยวอัณไปส่งค่ะ"
ปราณนต์นิ่งและไม่มีท่าทีตอบรับใดๆ เขายังคงรอลิฟท์ไป
ลิฟท์มาถึง ในลิฟท์มีพนักงานหญิงอยู่ก่อนแล้ว3-4คนทำให้อัณณาต้องหยุดพูด ปราณนต์เดินเข้าไปในลิฟท์ อัณณารีบเดินตามไป

ปราณนต์ยืนนิ่งอยู่ในลิฟท์ อัณณาก็พูดอะไรไม่ได้เพราะมีคนอื่นอยู่ เธอเหลือบมองไปที่เลขบอกชั้นก็เห็นว่าอยู่ที่ชั้น8แล้วพอถึงชั้น6เสียงลิฟท์ก็ดังขึ้น ลิฟท์จอด ประตูลิฟท์กำลังจะเปิด
ภัทรินยืนรอลิฟท์อยู่ ประตูลิฟท์เปิดออกภายในลิฟท์เป็นพนักงานชายคนอื่นยืนอยู่ ภัทรินเดินเข้าไป
ลิฟท์อีกตัวเปิด คนภายในลิฟท์ที่ปราณนต์อยู่เดินออกมา

ภัทรินเดินออกมาจากลิฟท์มา บอดี้การ์ดตามประกบ ปราณนต์กับอัณณาเดินตามหลังมาเช่นกัน อัณณากดโทรศัพท์ไปด้วยแต่แล้วอยู่ๆ ภัทรินก็ชะงักแล้วจะหันกลับไปทำให้เกือบจะเห็นปราณนต์ แต่บอดี้การ์ดขยับมายืนขวางเสียก่อน
"ชั้นจะไปห้องน้ำ" ภัทรินบอก
บอดี้การ์ดชี้ไป "ทางนั้น"
บอดี้การ์ดชี้ไปอีกทาง ภัทรินจ้องหน้าบอดี้การ์ดอย่างมีน้ำโหๆ จังหวะนั้นปราณนต์เดินผ่านจุดที่ภัทรินยืนอยู่โดยไม่ทันได้เห็นกัน เพียงแค่ภัทรินหันหน้าไปก็มองเห็นกันแล้ว แต่ภัทรินก็ไม่ได้หัน เธอกลับหันไปอีกทาง
ภัทรินขยับเดิน บอดี้การ์ดจะเดินตาม
ภัทรินหันมาแหว "จะตามทำไม คิดว่าชั้นจะขโมยโถส้วมกลับบ้านหรือไง"

ในขณะเดียวกัน อัณณาก็สะกิดให้ปราณนต์หันมาคุยด้วย
"อัณโทรตามให้รถมารับแล้ว รอก่อนได้มั้ยคะ มันไม่เสียเวลามากหรอกค่ะ" อัณณาบอก
"ผมจะไปรอข้างนอก"
ปราณนต์เดินนำออกไป อัณณาเดินตาม

ภัทรินหันกลับมาทางปราณนต์พอดี เธอเห็นด้านหลังของปราณนต์ก็รู้สึกคุ้นจึงมองตามไปอย่างฉงน
"เอ๊ะ นั่น”
ภัทรินรีบเดินตามเข้าไปมองให้ชัดๆ แต่มีคนเดินสวนมาเกะกะขวางทางเต็มไปหมด
"คุณ คุณหมอหรือเปล่า เดี๋ยว"
ภัทรินตามไป แต่ยังไม่ทันเห็น อยู่ๆก็มีเสียงของธนาฒน์เรียกดังขึ้นมา
"แพต”
ภัทรินชะงักเพราะจำเสียงนั้นได้ เธอหันกลับมาเห็นธนาฒน์ยืนอยู่ ภัทรินเหวอในทีแรกเพราะคาดไม่ถึงที่จะได้เจอ และไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมา
ภัทรินอึ้ง "ธนาฒน์"

ปราณนต์เดินออกมารอรถตู้ อัณณาตามมารอด้วยท่าทางคล้ายมีเรื่องอยากจะพูดด้วย
"ไม่กลับไป ไม่ได้เหรอปราณ"
ปราณนต์นิ่ง ไม่ตอบ
"คุณก็เห็นว่าพ่อคุณต้องการคนช่วย"
"ผมก็ช่วยอยู่"
"แต่ว่า”
"อัณ ที่ผมต้องไป ไม่ได้ไปเที่ยวนะ ผมกำลังช่วยแก้ปัญหาของจีแอลเอสอยู่"
"คุณทำอะไร บอกได้มั้ย"
"คุณรู้แค่ว่า ทุกอย่างที่ผมกำลังทำก็เพื่อช่วยบริษัทของพ่อ แค่นี้ก็พอ"
"แต่อัณอยากช่วย"
"สิ่งเดียวที่ผมต้องการให้อัณช่วย ตอนนี้ คือช่วยดูแลคนที่อัณควรจะดูแลให้ดีทำให้ผมได้ใช่มั้ย"
อัณณานิ่งไปเพราะไม่ยอมรับ รถตู้มาถึง ปราณนต์ขึ้นรถไป ส่วนอัณณาได้แต่ยืนมอง

ภัทรินเดินแยกออกไป แต่ธนาฒน์ตามมามองภัทรินสำรวจ
"คุณ เอ่อ ยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะแพต"
"อย่า อย่ามาเรียกชั้นว่าแพต"
"ทำไมล่ะ แล้วนี่แพตมาทำอะไร มาสมัครงาน หรือมาผ่อนหนี้"
ภัทรินรู้สึกเคียดแค้น "คนเลว"
"ว่างมั้ย ก็ต้องว่างสิเนอะ ไปหากาแฟดื่มกันมั้ย ผมยังจำกาแฟโปรดของแพตได้นะ Decaf Double Tall Caramel Non Fat Two Brown Light Hot Light Milk With Whip Cappuccino”
ภัทรินได้ฟังก็ยิ่งเจ็บปวด เธอหันหน้าจะเดินหนีเพราะไม่อยากมีเรื่อง ธนาฒน์เดินตาม
"จะไปไหน ให้ผมเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วนะแพต" ธนาฒน์บอก
ภัทรินชะงัก เธอแค้นมากแต่พยายามระงับอารมณ์
"ชั้นทำอะไรให้คุณ" ภัทรินถาม
"แพต จะร้องไห้เหรอ คนเยอะแยะนะ เสียภาพหมด ไปหาที่คุยกันดีๆดีกว่า หรือถ้าแพตอยากเป็นคนเลี้ยงกาแฟ ก็ได้นะ"
ภัทรินแค้น จังหวะนั้นมีพนักงานหญิงถือถ้วยกาแฟเดินผ่านมา ภัทรินพรวดเข้าไปแย่งกาแฟแก้วนั้นมาถือเอาไว้
ธนาฒน์เห็นก็ถาม "แพตจะทำอะไร"
"ทำไมต้องทำกับชั้นอย่างนี้ ชั้นทำอะไรผิด ทำไม"
"อย่านะแพต"
ภัทรินทำท่าจะสาดกาแฟใส่ธนาฒน์ แต่บอดี้การ์ดตามมาคว้าแขนของภัทรินเอาไว้เพื่อจะแย่งกาแฟออก ภัทรินยื้อแย่งและไม่ยอมปล่อย ในที่สุด ภัทรินก็ล้มกาแฟก็หกใส่ตัวเอง
ภัทรินร้อน "โอ้ย"
ธนาฒน์รอดตัวอย่างหวุดหวิดจึงโล่งอก
ผู้คนเริ่มหันมามอง ชมนาดเดินตามเข้ามา
"มีเรื่องอะไร" ชมนาดเห็นหน้าภัทรินก็จำได้ "เธอ”
ภัทรินก็จำได้ "คุณ”
ธนาฒน์รีบรักษาหน้า "เขาเป็นอะไรก็ไม่ทราบครับคุณชมนาด ผมแค่เสนอว่าอยากช่วยเหลือ แต่อยู่ดีๆเขาก็อาละวาด"
ภัทรินร้องไห้อย่างพ่ายแพ้ "คนชั่ว คุณทำลายชีวิตชั้น ชั้นเกลียดคุณ"
"ถ้าเธอเสร็จธุระแล้ว ก็กลับไปดีกว่า แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก ที่นี่ไม่ต้อนรับคนที่มีประวัติเรื่องการทุจริต"
บรรดาคนที่มองมาเริ่มซุบซิบกัน ภัทรินอึ้งที่ถูกแฉ เธออายและแค้นจนน้ำตาตกใน
"พวกคุณ ร่วมมือกันหลอกใช้ชั้น ยัดเยียดข้อหาให้ชั้น ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นฝีมือพวกคุณทั้งหมด"
ชมนาดพูดกับบอดี้การ์ด "เอาตัวออกไป"
บอดี้การ์ดเข้ามาประกบภัทริน แต่ภัทรินยังโวยวายทั้งน้ำตา
"ชั้นไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ต้องมาจับตัวชั้น ชั้นเดินไปเองได้"
ภัทรินถูกลากตัวไปอย่างหมดสภาพ ชมนาดกับธนาฒน์เครียด

ชาวเขาเดินเก็บของป่าเป็นขบวน รถสองแถวโดยสารแล่นปุเรงๆ ภัทรินรีบลงจากรถสองแถวที่บริเวณด้านหน้าไร่ด้วยสีหน้าสงบ หม่นเศร้า และไร้เรี่ยวแรง เจ้าโคโค่วิ่งออกมาเห่าต้อนรับ ภารตีที่ทำงานอยู่รีบเงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นเป็นภัทรินเธอก็รีบผละจากงานเข้ามาถามไถ่
"ยัยภัท เป็นไงบ้างๆ"
ภัทรินฝืนทำตัวปกติเพราะไม่อยากให้แม่รู้ "ก็ โอเคแม่"
"เป็นอะไรหรือเปล่า"
"ชั้นไปเจอมัน คนที่ทำลายชีวิตภัท"
"ภัท" ภารตีเข้ามากุมมือให้กำลังใจ "ถ้าจะร้อง แม่ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วอย่าร้องไห้เพราะเรื่องนี้อีก"
ภัทรินทำเป็นเข้มแข็ง "ไม่ ภัทรจะไม่ร้องไห้ให้กับคนๆนี้อีกแล้ว ภัทรจะเข้มแข็ง จะไม่อ่อนแอให้ใครหัวเราะเยาะได้"
ภารตีรู้ทัน "ร้องมาเยอะแล้วล่ะสิ"
ภัทรินยอมรับ "ตลอดทางเลย"
ภารตีกับภัทรินยิ้มขำออกมา ภารตีลูบหัวภัทรินเพื่อปลอบขวัญ
"แม่รู้ทันชั้นตลอดเลย"

ภัทรินขี่จักรยานมาจอดที่หน้าบ้านปราณนต์ เสียงซึงดังมา
ภัทรินจอดรถแล้วเดินเข้าไปด้านในก็พบปราณนต์กำลังนั่งเล่นซึงอย่างอารมณ์ดีอยู่ที่มุมเดิม ภัทรินเดินเข้าไปที่มุมยิงลูกไม้แล้วหยิบลูกขึ้นมาเขียนแล้วยิงออกไปเพื่อระบายให้หายแค้น
ระหว่างนั้นปราณนต์ยังคงเล่นซึงร้องเพลงต่อไปพลางมองอาการของภัทรินไปด้วย ภัทรินยิงอีก3-4ลูกให้หายแค้น
"ชั้นจะไม่ร้องไห้เพราะแกอีกแล้ว"
ปราณนต์ชะงักแล้วหยุดร้อง
ภัทรินได้ระบายก็สบายใจขึ้น เธอนั่งพักแล้วก็ยิ้มออกมาได้
"ให้หมอเช็กสมองหน่อยดีมั้ย" ปราณนต์ถามกวนๆ
ภัทรินหันมาจ้องตาขวางแล้วทำหน้าจิ๊จ๊ะใส่ "เดี๊ยะๆ"
ปราณนต์ยิ้ม
"น้าภาบอกว่าคุณไปกรุงเทพ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ"
"ไปเคลียร์หนี้ ส่วนเรื่องอื่น หมอไม่ต้องอยากรู้หรอก มีแต่เรื่องไม่น่าจดจำ เอ้อ นี่หมอ เมื่อวานคุณได้เข้าไปกรุงเทพหรือเปล่า"
"ผมสัมมนาอยู่ที่เชียงใหม่ ทำไมเหรอ"
"ชั้นว่าชั้นเห็นคุณที่นั่น"
"เห็นผมที่กรุงเทพ"
"ใช่ ชั้นว่าชั้นมองไม่ผิด เพียงแต่ คุณใส่สูท สะอาด เนี้ยบ ดูมีสง่าราศีกว่านี้มาก"
ปราณนต์ยิ้ม "แน่ะๆๆ คุณไม่คิดแต่ผมคิดนะ"
"คิดอะไร"
"ไปไหนมาไหนก็เห็นแต่หน้าผม มันแปลว่าอะไรล่ะครับ"
"ประสาท"
ปราณนต์จ้องจับผิด ภัทรินที่ทีแรกเขินกลายมาเป็นถลึงตาสู้
"หมอไม่มีอะไรปิดบังชั้นแน่นะ"
ปราณนต์กำลังจะอ้าปากตอบ แต่ภัทรินร้องห้าม
"ไม่ต้องตอบ มองตา เดี๋ยวชั้นตัดสินเอง"
ปราณนต์ขำๆ ยิ้มๆ ก่อนจะจ้องด้วยแววตาใสซื่อ
ภัทรินจ้องเพ่ง ปราณนต์เล่นหูเล่นตากวนๆ
"เฉยๆสิ" ภัทรินว่า
"ได้คำตอบยังครับ" ปราณนต์ถาม
"ชั้นคงตาฝาดไปเอง ก็น่าจะจริง เพราะหมอซ่อมซ่ออย่างคุณ ต่อให้ไปใส่สูทผูกไทด์ยังไง ก็ไม่มีทางดูเป๊ะได้อย่างคนๆนั้นหรอก"
"อาจจะเป็นฝาแฝดของผมก็ได้"
"คุณมีแฝดเหรอ"
"อื้อ"
"จริงหรือหลอก"
"มองตาสิ"
ปราณนต์ทำตาเขม็ง ภัทรินจ้องอย่างคาดคะเน แล้วอยู่ๆสายตาของปราณนต์ก็เปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยน รักใคร่ ภัทรินเหวอเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว
"ชั้น กลับดีกว่า"
ภัทรินรีบเดินหนี ปราณนต์ยิ้ม

ปราณนต์เดินตามภัทรินมา
"ผมคิดวิธีที่จะช่วยหาเงินมาล้างหนี้ให้คุณได้แล้ว"
ภัทรินชะงัก
"คุณพูดจริงเหรอ"
"เงินสิบเจ็ดล้าน ค่าดอกเบี้ยเดือนๆนึงก็อ้วกแล้ว ผมเลยไปคุยกับคนๆนึงมา เขายินดีจะให้เงินคุณสิบเจ็ดล้าน เอาไปล้างหนี้ให้หมด จากนั้นคุณก็ค่อยผ่อนคืนเค้า โดยไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ย"
"มีด้วยเหรอ คนใจดีขนาดนั้น"
"คนดีอาจจะมีไม่มาก แต่ก็ยังมีอยู่"
"ต้องเป็นคนที่ ถ้าไม่รวยมาก ก็ต้องบ้ามาก..อยากเห็นหน้าจริงๆว่าเป็นใคร"
ปราณนต์ยื่นหน้ามา "ผมเอง"
ภัทรินอึ้ง "หา”
"ไม่ได้รวยมาก แต่บ้าจริง ผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง เก็บไว้ในธนาคารก็ไม่ได้ใช้อะไร ผมเลยจะให้คุณยืม ดีมั้ย"
"หมอกำลังล้อเล่นอะไรกับชั้นอยู่"
"ผมอยากช่วยคุณจริงๆ"
ภัทรินระแวง "ช่วยเปล่าๆฟรีๆ"
ปราณนต์ยิ้มที่ภัทรินรู้ทัน
"มันไม่ได้ยากเกินไปหรอก ผมช่วยคุณ คุณช่วยผม มันก็แฟร์ๆ"
"ชั้นต้องทำอะไร"
"แต่งงานกับผม"
ภัทรินอึ้ง เหวอ และอ้าปากค้างราวกับถูกหมัดน็อก เธอยืนแข็งค้างอยู่พักใหญ่

ภัทรินเดินหนีออกมาที่จักรยาน ปราณนต์เดินตามมา
"เดี๋ยวสิคุณ เดี๋ยวๆๆ" ปราณนต์วิ่งมาขวาง "คุณ โอเคใช่มั้ย"
"อะไร จะล้อเล่นอะไร ชั้นไม่สนุกด้วย"
ภัทรินรีบไปขี่จักรยาน แต่ปราณนต์ตามมาจับแฮนด์เอาไว้ไม่ยอมให้ไป
"ผมพูดจริง"
ภัทรินจะขี่จักรยานไปให้ได้ แต่ปราณนต์จับเอาไว้แน่นไม่ยอมให้ไปไหน เขาจ้องตาและยืนยันอย่างหนักแน่นมั่นคงอีกที
"ผมพูดจริง ผมอยากแต่งงานกับคุณจริงๆ"
ภัทรินอึ้งงง และไม่เข้าใจสาเหตุ "เราเจอกันกี่วัน คุยกันกี่ครั้ง หมอกล้าขอคนที่แทบจะไม่ได้รู้จักกันเลยแต่งงานได้ยังไง"
"ผมมีเหตุผลของผม"
"อะไร”
"แต่งงานกับผมก่อน แล้วจะบอก"
"ชอบเพศเดียวกันเหรอ ถึงต้องหาผู้หญิงมาแต่งงานบังหน้า"
"ถ้าตอบว่าใช่ แล้วจะยอมแต่งป่ะ"
"ไม่ เราไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้รักกัน แต่งงานกันไม่ได้"
ภัทรินเตะขาปราณนต์จนเขาปล่อยมือจากรถ ภัทรินรีบดันทุรังขี่จักรยานฝ่าไป

ภัทรินขี่จักรยานออกมา ปราณนต์เดินจ้ำตามจักรยาน
"ผมกำลังถูกพ่อบังคับให้แต่งงานกับคนที่ผมไม่รัก และย้ายกลับไปปักหลักสร้างครอบครัวที่กรุงเทพ แต่ผมไม่อยากกลับไป ผมอยากเป็นหมอที่นี่..ก็เลยอยากแต่งงานกับใครสักคน เพื่อให้พ่อผมตัดใจ"
"แล้วชั้นก็เลยต้องเอาชื่อเสียงเกียรติยศตัวเองเพื่อช่วยคุณ"
"ช่วยผม" ปราณนต์พูดเน้น "และช่วยตัวคุณเองปลดหนี้"
ภัทรินยังอึกอักเพราะทำใจไม่ได้ "ไม่ๆๆๆ"
"คุณไม่อยากปลดหนี้เหรอ"
"ก็อยาก แต่ แต่ชั้นทะนุถนอมตัวเองมายี่สิบกว่าปี ชั้นก็ควรจะมอบมันให้กับคนที่ชั้นรัก ไม่ใช่หมอปากเสียอย่างคุณ"
ปราณนต์รีบเสริม "ไม่ จะไม่มีอะไรเกินเลย ผมจะไม่แตะต้อง ไม่ทำสกปรกกับคุณ มันจะเป็นการแต่งงานหลอกๆ ที่มีขึ้นเพื่อผลประโยชน์ล้วนๆ"
ปราณนต์จับจักรยานให้หยุดอีกแล้วขอร้อง แต่ภัทรินรับไม่ได้
"ตกลงมั้ย" ปราณนต์ถาม
"แต่งงานมันจะหลอกได้ยังไง" ภัทรินถามกลับ
"ได้สิ"
"ไม่ ไม่ได้ จะแต่งงานได้ มันต้องมีสเต็ป มีช่วงที่คบเป็นแฟน แล้วก็พัฒนามาเป็นคู่หมั้น ชั้นต้องการแนะนำคู่หมั้นของชั้นกับคนอื่นว่า“เค้าเป็นคู่หมั้นของชั้น”ถ้าข้ามสเต็ปไป ความฝันของชั้น ความฝันของผู้หญิงทุกคนก็หมดสิ้นกัน คุณเข้าใจมั้ย"
"โอเคๆๆ วันนี้ผมเป็นแฟน..พรุ่งนี้เป็นฟิอองเซ่ มะรืน เป็นผั สามี โอเค๊"
"นี่คุณจะบ้าเหรอ"
"อยากจะปลดหนี้มั้ยเนี่ย"
"คุณไม่เข้าใจๆๆ"
ภัทรินขี่จักรยานหนีไปอย่างไม่ยอมรับ
ปราณนต์เซ็งและคิดจะทำให้ภัทรินยอมเรื่องแต่งงานให้ได้

อ่านต่อหน้า 4

ลมซ่อนรัก ตอนที่ 3 (ต่อ)

ธนาฒน์เดินพุ่งมาที่ห้องทำงานของปราณแล้วตรงมาที่โต๊ะอัณณา ก่อนจะวางเอกสารคำสั่งลงบนโต๊ะดังปัง
"คำสั่งนี้คืออะไร" ธนาฒน์ถาม
อัณณามองเอกสารแบบไม่ได้วิตกอะไรเพราะพร้อมรับมือ
"คุณปราณส่งถึงฝ่ายบัญชีทุกบริษัทในเครือ เปลี่ยนแปลงระบบเบิกจ่ายทั้งหมดใหม่ ให้ทุกการเบิกจ่ายต้องส่งมาให้คุณปราณเซ็นอนุมัติแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น มันหมายความว่ายังไง" ธนาฒน์ถาม
"มันเป็นนโยบายใหม่ของคุณปราณ เพื่อป้องกันการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกค่ะ" อัณณาบอก
ธนาฒน์ไม่พอใจจึงจะเข้าไปในห้องปราณ อัณณารีบห้าม
"คุณปราณไม่อยู่ห้องค่ะ"
ธนาฒน์ชะงักเพราะงง
"แล้วอยู่ที่ไหน ผมต้องการคำตอบจากเขา"
"คุณธนาฒน์มีปัญหาอะไรแจ้งกับดิฉันไว้ได้ค่ะ แล้วจะเรียนคุณปราณให้"
"ผมอยากถามกับคุณปราณโดยตรงมากกว่า"
"เห็นจะไม่ได้ค่ะ เวลานี้ คุณปราณต้องอยู่ในเซฟเฮ้าส์ เพื่อความปลอดภัยจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่อาจจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่คุณปราณยังทำงานอยู่นะคะ ดิฉันวีดีโอคอนเฟอเร้นซ์แจ้งท่านทุกวัน คุณปราณทราบทุกเรื่อง ทุกปัญหา ไม่มีอะไรต้องห่วงค่ะ"
ธนาฒน์แปลกใจและชักจะสงสัย "คุณปราณเพิ่งกลับมาจากปารีส ไม่ทันไรหายตัวไปอีกแล้ว แน่ใจเหรอว่าไม่มีอะไรต้องห่วง"
อัณณารวบเอกสารแล้วลุกขึ้นยืนทำท่าว่าต้องทำงาน "สรุปว่าคุณมีอะไรอยากฝากดิฉันแจ้งคุณปราณมั้ยคะ"
อัณณาตัดบทแล้วยืนรอคำตอบพร้อมกับทำหน้ายิ้มอย่างมืออาชีพ
"ผมไม่มี แต่บอกได้เลยว่าคุณสินธรมีแน่" ธนาฒน์ว่า
"ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฝากแจ้งคุณสินธรตามนี้ด้วย ขอบคุณนะคะ"
อัณณาเดินแยกไปทำงานโดยเข้าไปในห้องของปราณ ธนาฒน์รู้สึกสงสัย

อัณณาเข้ามาในห้องแล้วเอาเอกสารเข้าไปวาง ธนาฒน์เดินตามเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
อัณณาหันมาเห็นก็ระแวง "คุณเข้ามาทำไมคะ"
"ผมมีเรื่องที่อยากจะพูดกับคุณ สองคน"
"ดิฉันมีงานต้องทำ"
อัณณาตัดบทแล้วจะเดินหนีออกไปจากห้อง แต่ธนาฒน์ขยับมาขวางเอาไว้ก่อนจะเอ่ยถาม
"คุณกลัวอะไรผม"
"คุณต้องการอะไร"
"ผมรู้สึกว่า คุณมีอะไรปิดบังผมอยู่ เรื่องเจ้านายของคุณ"
"ไม่มีค่ะ"
ธนาฒน์ต้องการจับผิดจึงไล่ต้อน "มี มีแน่ เรื่องคดีโกงเงินบริษัทหรือเปล่า ใช่สิ คุณเป็นเด็กที่คุณพสุวัฒน์ส่งเสียให้เรียนจนจบ เป็นเพื่อนสนิทคุณปราณ แล้วก็มาเป็นเลขา บางที คุณอาจจะมีส่วนรู้เห็นในการทุจริตเงินบริษัทด้วยก็ได้ แล้วการที่อยู่ๆคุณปราณมาแล้วก็ไป มันน่าสงสัย"
อัณณารีบสวน "คุณปราณไปหาหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์และลากคนโกงตัวจริงมารับผิด"
"หรือไม่ก็แอบไปทำลายหลักฐานจริง และสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาให้ตัวเองพ้นผิด"
"คุณอยากจะคิดอะไรก็เชิญค่ะ"
"ผมทำแน่ และผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าคุณปกปิดอะไรผมอยู่"
ธนาฒน์มีสีหน้าคล้ายผู้ล่าเหยื่อ แล้วเขาก็เดินออกไปด้วยความสะใจ อัณณาเครียด

ภัทรินนั่งเครียดอยู่ที่บริเวณบ้าน
"แต่งงาน ปลดหนี้ แต่งงาน เฮ้อ มันต้องมีทางเลือกอื่นสิ ทางออกที่สวยๆของปัญหา ต้องมีสิๆ"
ปราณนต์เดินยิ้มเข้ามา
"คิดถึงผมอยู่หรือเปล่าครับ"
"หือ ทำไมชั้นต้องคิดถึงหมอด้วย ไม่เลยสักนิด แหวะ อี๋ พูดมาได้" ภัทรินว่า
ภารตีเดินเข้ามาเพราะเพิ่งกลับจากไร่ "พูดกับคุณหมอให้ดีๆหน่อยสิภัทร พูดไม่เพราะเลย"
"แม่ แล้วนี่ทำไมแม่มากับหมอได้ แม่ไม่สบายเหรอ"
"เปล่าๆ คุณหมอมาคุย.." ภารตีหัวเราะคิกคัก "ธุระนิดหน่อยน่ะ"
"ธุระอะไร"
"ผมไปขออนุญาตน้าภาจีบคุณไงครับ"
ภัทรินตกใจ "หา”
"คุณบอกเองว่าอยากให้เราค่อยเป็นค่อยไปทีละสเต็ป และอยากให้ทุกอย่างอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ ผมก็ทำตามความต้องการของคุณ"
"ชั้นบอกเมื่อไหร่ว่าอยากคบกับคุณ"
ปราณนต์แซว "แน่ะ เขิน"
ปราณนต์เฉไปแซว แล้วหันมาหัวเราะคิกคักกับภารตี
"ชั้นไม่ได้เขิน" ภัทรินบอก
"เหมือนอย่างที่ผมว่าไว้มั้ยครับ"
ภารตีตัดบท "พอๆๆ ไปภัท ไปเก็บเสื้อผ้า อย่าให้คุณหมอรอนาน"
"เก็บเสื้อผ้าไปไหน" ภัทรินถาม
"โรงพยาบาลจะไปออกตรวจและแจกเสื้อผ้าให้กับชาวเขาบนดอย ผมอยากให้คุณไปด้วยกันครับ เราจะได้เรียนรู้กันให้มากขึ้น"
"ให้โอกาสคุณหมอหน่อยนะ ลูกจะได้ลืมเรื่องเก่าๆ และจะได้เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงรักเขา นะภัท"
"แม่อ่ะ" ภัทรินหันมามองปราณนต์ที่ยิ้มรออยู่ "ไม่..ชั้นไม่ไป"
ภัทรินเดินปึงปังหนีไป
"ผมจัดการเองครับน้าภา"
ปราณนต์รีบตามไป ภารตียิ้มปลื้มใจที่มีหมอมาจีบลูกสาวตัวเอง

ภัทรินเดินหนีมา ปราณนต์รีบเดินตาม
"คุณภัท รอผมก่อน"
ภัทรินหยุดชะงักแล้วหันกลับมาชี้หน้าด้วยความโมโห
"คุณทำอย่างนี้ทำไม ต้องการอะไร เลิกยุ่งกับชั้นซะทีได้มั้ย"
"แน่ะ เขิน" ปราณนต์แซว
"เขินบ้าอะไร ชั้นไม่แต่งงานกับคุณ ต่อให้หลอกๆเล่นๆ ชั้นก็ไม่แต่ง"
"แล้วคุณจะเอาเงินที่ไหนไปใช้หนี้"
"เรื่องของชั้น"
"รู้หรือเปล่าว่าเมื่อเช้า น้าภานัดนายหน้าค้าที่ดินมาคุยเรื่องขายไร่"
ภัทรินชะงัก "ไม่ต้องมาอำชั้น"
"ทำเป็นไม่รู้จักนิสัยแม่ตัวเอง เอ๊ะ หรือไม่รู้จริงๆ น้าภาอยากจะช่วยคุณล้างหนี้ ยอมขายไร่ ยอมใจร้ายกับคนงานที่จะต้องตกงาน เพื่อช่วยคุณ แล้วคุณทำอะไร ดีแต่วีนเหวี่ยงทะนงในศักดิ์ศรีตัวเองไปวันๆ"
"ชั้นกำลังหาทางจัดการปัญหาชั้นอยู่"
"ไม่มีทางที่คุณจะหาเงินสิบแปดล้านได้ นอกจากแต่งงานกับผม"
ภัทรินอึ้งและสับสน ลึกๆ เธอก็รู้ดีว่าไม่มีปัญญาล้างหนี้เองได้
ปราณนต์พูดต่อ "ผมช่วยแก้ปัญหาให้คุณ คุณแก้ปัญหาให้ผม วินวินทั้งสองฝ่าย อย่าคิดมากน่ะ" ปราณนต์ยิ้มแล้วยื่นมือมา "ขอมือหน่อย"
ปราณนต์ยื่นมือแบบจะขอจับมือด้วยท่าทางแซวๆกวนๆ
ภัทรินบอกทันที "ไม่"
"แน่ะ เขิน"
"ไม่ได้เขิน ไม่ๆๆ"
ภัทรินหันหนี แต่ปราณนต์เข้าคว้ามือภัทรินมากุมเอาไว้เลย
"นี่" ภัทรินดื้อดึงจะเอามือออก
ปราณนต์จับมือภัทรินไว้ "ชู่ๆ ลองคบผมดูสักวัน แล้วคุณจะติดใจ เผลอๆคุณอาจจะรักผมจริงๆขึ้นมาก็ได้"
"ไม่มีทาง"
"แน่ะ เขิน"
ภัทรินปรี๊ดแตกจนอยากทุบปราณนต์
"เลิกกวนประสาทได้มั้ย”
ภัทรินเดินหนีแล้วไล่ปราณนต์ไม่ให้ตาม
"ไม่ต้องตาม”
ปราณนต์เดินตาม ภัทรินจ้ำหนี

ภัทรินจ้ำหนีเข้ามาในไร่กะหล่ำ โดยมีปราณนต์เดินตามตลอด
"ยอมรับเถอะว่าคุณไม่มีทางเลือกอื่น" ปราณนต์กดดัน
"ชั้นมี"
"ถึงบริษัทจีแอลเอสจะไม่เอาเรื่องคุณถึงศาล แต่คิดเหรอว่าเขาจะยอมให้คุณผ่อนเดือนละสองสามพัน..เขาเร่งรัดให้คุณชำระหนี้แน่ แล้วถึงเวลานั้น ไร่นี้ ก็จะหายไป ทุกๆอย่างของแม่คุณก็จะหายไป คุณอยากเป็นลูกอกตัญญูเหรอ"
ภัทรินหันกลับมาชี้หน้า "เลิกด่าว่าชั้นซะที"
ปราณนต์จับนิ้วของภัทริน "ยอมรับเถอะว่าผมเท่านั้นที่ช่วยคุณได้"
"เป็นหมอบนดอย ทำไมถึงมีเงินมากมาย สิบยี่สิบล้านได้"
"ผมก็เก็บหอมรอมริบมาตลอดน่ะสิ ผมไม่ใช่พวกกินหรูอยู่แพง ใช้ของแบรนด์เนมแบบคุณ"
ภัทรินฉุน "นี่”
"จะเป็นแฟนผมได้ยัง"
"ทำไมคุณไม่ไปเอาผู้หญิงคนอื่นแต่งงานหลอกพ่อคุณ ทำไมต้องเป็นชั้น"
"ถ้าผมจะทำให้พ่อเปลี่ยนใจเลิกบังคับให้ผมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก คนที่ผมเลือกมาแต่งงานด้วยก็ต้องมีคุณสมบัติดีประมาณนึง"
"คุณสมบัติดีประมาณนึง เฮอะ นี่คุณจะหยามชั้นมากไปแล้ว" ภัทรินว่า
"ผมหยามอะไร คุณมันก็แค่ตัวท๊อปบนดอย อย่าทะนงตัวไปหน่อยเลย"
ภัทรินอึ้ง "ตัวท๊อปบนดอย หน็อย ไอ้คุณหมอ"
ภัทรินปรี๊ดแตกจึงเข้ามาทุบๆ แต่ปราณนต์กลับยิ้มและหัวเราะ
ภัทรินถาม "ขำอะไร"
"คุณเริ่มทำตัวเป็นแฟนผมแล้วนะ ทุบอีกสิ อย่าหยุด แฟนกันต้องทุบกันอย่างนี้แหละ ทุบสิๆ" ปราณนต์แอ่นอกให้
"บ้า"
ภัทรินจะเดินหนี แต่ปราณนต์ดึงตัวเธอมาแล้วจับมือภัทรินไว้ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีมาพูดจริงจัง
"ภัทริน ผมไม่มีเวลาตามตื๊อคุณเป็นเดือนเป็นปีหรอกนะ พรุ่งนี้พ่อจะมารับผมเข้ากรุงเทพไปแต่งงานแล้ว คุณต้องแต่งงานกับผมไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้"
"หา ทำไมเร็วอย่างนี้ จะไม่ให้เวลาชั้นคิดเลยหรือไง"
"จะคิดอะไร ไม่อยากได้เงินเหรอ"
"นี่ คุณหมอ ถึงชั้นจะอยากได้เงิน ก็ไม่คิดเอาตัวเข้าแลกนะ"
"โอเค๊ คุณอยากจะให้แม่คุณต้องมาลำบากตอนแก่เพราะคุณ ก็เชิญคิดตามสบาย"
ปราณนต์เดินหนีออกไป ทิ้งภัทรินให้ยืนอึ้งเหวออยู่กลางไร่กะหล่ำ

รถของอัณณาแล่นเข้ามาจอดในบ้านในตอนค่ำ อัณณาลงจากรถด้วยท่าทางรีบร้อน อัญชัญ แม่ของอัณณารีบวิ่งออกมา
"อัณ ลูก เป็นยังไงบ้าง"
"หนูกลับมาอาบน้ำค่ะแม่"
"ทานอะไรมาหรือยัง แม่มีข้าวต้มนะลูก"
"หนูต้องรีบไปหาปราณค่ะ คุณแม่ช่วยจัดใส่กล่องให้ได้มั้ยคะ เดี๋ยวหนูเอาไปทานในรถ ขอบคุณนะคะแม่"
อัณณาหอมแก้มแม่แล้วรีบร้อนเข้าไปในบ้าน อัญชัญเซ็ง

อัญชัญนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร สักพัก อัณณาที่เปลี่ยนชุดใหม่ก็รีบลงมาจากด้านบนเพื่อจะออกไป แต่อัญชัญเรียกเอาไว้
"ทานข้าวต้มก่อนสิ"
อัณณาเซ็ง "แม่คะ"
"มันไม่เสียเวลาอะไรมากมายหรอก"
อัณณาหยิบรองเท้ามาสวมเพราะจะรีบไป "เดี๋ยวอัณไปซื้อบะหมี่ถ้วยต้มกินแล้วกันค่ะ"
"อัณคิดว่าแม่ไม่อยากให้อัณไปดูแลปราณเหรอ แม่อยากให้ไป แต่อัณก็ต้องพร้อมที่จะไปด้วย เพราะถ้าเกิดอัณไม่สบายหรือเป็นล้มเป็นแล้งไปอีกคน ปราณจะเหลือใคร แล้วใครจะช่วยท่านพสุวัฒน์ทำงาน"
อัณณานิ่งไปเพราะเริ่มใจอ่อน
"ค่ะแม่" อัณณายอมเดินไปกินข้าว
อัญชัญยิ้มออก "มาๆๆ ข้าวต้มปลาเยอะๆอย่างที่ลูกชอบ อ่ะ"
อัณณาตักมาชิม "หื้ม อร่อยที่สุดเลยค่ะ"
"มันไม่ได้อร่อยอะไรมากมายหรอก แต่ลูกน่ะ ไม่ได้ทานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมานานมากกว่า"
"ก็ตั้งแต่ปราณเกิดเรื่อง มันก็วุ่นวายไปหมดทุกอย่างเลย"
"แล้วปราณเป็นยังไงบ้าง"
"ยังเหมือนเดิมค่ะ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ปราณยังต้องซ่อนตัว ให้ใครรู้ที่อยู่ไม่ได้ เพราะมันจะเป็นผลเสียต่อบริษัท และเป็นอันตรายต่อตัวปราณเอง"
"โถ คุณปราณ เวรกรรมอะไรของคุณนะ"
"ไม่ใช่เวรกรรมหรอกแม่ ฝีมือของคนที่ไม่รู้จักพอ อยากครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของจีแอลเอส แต่อัณจะไม่ยอมให้พวกมันทำสำเร็จ คุณลุงพสุมีพระคุณต่อครอบครัวเรามาก ท่านช่วยชีวิตแม่ แล้วยังส่งอัณเรียนปริญญาโท จนอัณมีอาชีพดูแลแม่ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อัณจะช่วยคุณลุงพสุกับปราณด้วยชีวิตของอัณเอง"
"ดีแล้วที่ลูกกตัญญู แต่ลูกก็ต้องไม่ประมาท ไม่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลและสติปัญญา เข้าใจมั้ยลูก"
"ค่ะแม่"
"เอ้อ แล้วน้องชายฝาแฝดของปราณ เขาไม่คิดมาช่วยอะไรพ่อเขาเลยเหรอ"
อัณณาชะงักไปนิดนึงเมื่อได้ยินชื่อปราณนต์ก่อนจะพูดออกมา
"เขาก็ช่วยนะคะ ช่วยในแบบของเขา แบบที่ไม่คิดจะเข้าใจใคร และไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าใจเค้าด้วย"
อัญชัญมองลูกอย่างเข้าใจความรู้สึกที่ลูกมีต่อปราณนต์เป็นอย่างดี

ภัทรินนั่งคิดหนักอยู่บริเวณม้านั่งนอกบ้าน สักพักภารตีก็เดินเข้ามา
"คิดอะไรอยู่ภัท คิดถึงคุณหมอหรือเปล่า"
"แม่ แม่จะขายไร่จริงๆเหรอ" ภัทรินถาม
"คุณหมอบอกล่ะสิ ก็แม่ไปคิดๆอย่างที่ลูกเคยพูด จะทำไร่ไปทำไม กำรี้กำไรก็ไม่ค่อยจะได้ ไม่คุ้มค่าเหนื่อย ขายทิ้งไป เอาเงินที่ได้มาช่วยลูกโปะหนี้ดีกว่า ถึงจะไม่หมด แต่มันก็น้อยลง ก็น่าจะทุเลาได้"
"แล้วแม่จะทำอะไร ถ้าไม่มีไร่ แม่ก็หมดตัวเลยนะ"
"แม่ก็อาจเปิดร้าน ขายอะไรที่มันกำไรมากหน่อย ไปรับของชาวเขามาขายนักท่องเที่ยว วันนึงถ้าได้กำไรสักสามสี่ร้อยก็น่าจะมีเงินจ่ายหนี้ได้"
"กำไรสามสี่ร้อย มันไม่ง่ายนะแม่"
"แล้วถ้าแม่ไปยืมชุดชาวเขามาใส่ด้วย ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปครั้งละยี่สิบ ดีมั้ย ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก"
ภัทรินกอด "แม่ นี่ภัททำให้แม่ลำบากใช่มั้ย"
"ไม่หรอกลูก ไม่เป็นไร"
ภัทรินกอดแม่ ภารตีปลอบใจ
"มีลูกอยู่ด้วย ลำบากกายแค่ไหน แม่ก็มีความสุขนะ"

เช้าวันใหม่ เงินที่ใส่กระป๋องซึ่งมีทั้งแบงก์ทั้งเหรียญรวมกันประมาณหมื่นกว่าบาท จันทร์วิภา เนตรมณี และเบญจคีย์เอาเงินมารวมกันเพื่อช่วยเหลือภัทริน
"เงินอะไรอ่ะ" ภัทรินถาม
"พวกเราเอาเงินมารวมกันช่วยแกไงภัท นี่เงินสด มีราวๆหนึ่งหมื่นห้าร้อย" จันทร์วิภาบอก
"ส่วนเงินในบัญชี เงินเก็บเราสามคน รวมกันก็ราวๆแสนหกหมื่น พวกชั้นสมทบทุนให้แกเอาไปปลดหนี้"
ภัทรินซึ้งใจ "พวกแก”
"แกไม่ต้องมาร้องไห้เลย ชั้นขี้เกียจร้องตาม"
ภัทรินทรุดนั่งอย่างรู้สึกผิด "พวกแกทำอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้ชั้นร้องได้ยังไง"
ทันใดนั้น อะเลก็วิ่งโวยวายเข้ามา
อะเลพูดไม่ชัดตามแบบชาวเขา "ทำอย่างนี้ได้ยังไง ทำไมต้องเอาเงินมาให้เขาด้วย นั่นเงินของเรากับลูกนะฮันหนี เอาเงินคืนมา"
อะเลจะเข้าไปดึงเงินคืนแต่จันทร์วิภารีบเข้ามาขวาง
"พี่อะเล เพื่อนชั้นเดือดร้อน ช่วยกันก่อนได้มั้ย"
"แล้วถ้าลูกมาเกิด จะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูก"
"ก็ตอนนี้ลูกยังไม่มา พี่ไม่มีปัญญาทำให้ชั้นท้องก่อน ก็อย่าเพิ่งมากั๊ก"
"อะเลไม่ยอม อะเลทำงานเก็บเงินเพื่อลูก อะเลไม่ยอมๆๆ"
จันทร์วิภาเข้ามาลากตัว "กลับบ้านไปเลย ถ้าไม่กลับ คืนนี้ไม่ต้องมาจู้ฮุ๊กกรู๊เลยนะ และชั้นจะไม่ให้พี่จู้ฮุ๊กกรู๊ตลอดไปด้วย ไป กลับ"
จันทร์วิภาไล่อะเลให้กลับไป อะเลโวยวายตลอดแต่ก็ยอมถอยไป
"พอเถอะจันทร์ แฟนเธอพูดถูก เงินเก็บของเธอ พวกเธอก็ควรเก็บเอาไว้" ภัทรินบอก
"ภัท เงินมันจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราใช้มันอย่างมีค่า และการช่วยเหลือแก บอกเลยว่าคุ้มค่าที่สุด"
"ขอบใจพวกแกมาก แต่ชั้นรับไม่ได้ ปัญหาของชั้น ชั้นจะนั่งเฉยๆแล้วปล่อยให้คนรอบตัวเดือดร้อนแทนไม่ได้ ชั้นต่างหากที่ต้องเดือดร้อน ต้องลำบาก ไม่ใช่พวกแก ไม่ใช่แม่ เพราะนี่คือปัญหาของชั้น ชั้นต้องจัดการ"
ภัทรินลุกแล้ววิ่งออกไปเลย
เบญจคีย์ตะโกนไล่หลัง "ภัท แกจะไปไหน"

ภัทรินวิ่งมาที่บ้านปราณนต์แล้วก็หอบเหนื่อย เธอรีบเข้าไปด้านใน
"หมอ คุณหมอ อยู่ไหนหมอ"
พวกเพื่อนๆ ของภัทรินวิ่งตามมา
"แกบุกมาบ้านหมอณนต์ทำไม" จันทร์วิภาถาม
"ชั้นมีธุระสำคัญกับเขา"
ภัทรินตามหาปราณนต์ไปรอบบ้าน เธอดูตามมุมต่างๆ แต่ก็ไม่พบ พอจะเข้าไปดูในตัวบ้านก็พบว่าบ้านล็อก
ภัทรินตกใจ "ล็อกบ้าน หรือว่าหมอจะ ไปแล้ว"
"ใช่ หมอเขาบอกชั้นไว้ตั้งแต่เช้าแล้วว่าต้องเข้ากรุงเทพ ตอนนี้คงกำลังเดินทางไปสนามบินเชียงใหม่ แกมีเรื่องอะไร" จันทร์วิภาถาม
"ไปสนามบิน" ภัทรินทวนคำ
ภัทรินตกตะลึงแล้วก็รีบวิ่งออกไป
เบญจคีย์ด่าจันทร์วิภา "ทำไมแกไม่บอกก่อนเราจะวิ่งกันมาห๊ะ"

ภารตีกำลังล่ำลาคนงานในไร่
"อ่ะ นี่ เงินงวดสุดท้ายนะ ขอบใจที่มาช่วยกันตลอดเลยนะ"
ภัทรินวิ่งกลับมาที่บ้านด้วยท่าทางรีบร้อนมาก
"แม่ แม่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วไปกับชั้นเดี๋ยวนี้เลย" ภัทรินบอก
"อะไรๆ จะไปไหน" ภารตีถาม
"เออ นั่นดิ แกจะรีบร้อนไปไหนของแก" เบญจคีย์สงสัย
"หยุดถาม แล้วไปเตรียมเอารถออก ชั้นจะเข้าเมืองไปหาหมอ"
"แกไม่สบายเหรอภัท" เนตรมณีถาม
"ไม่ใช่ ชั้นจะไปหาหมอปราณนต์ อย่าเพิ่งถามได้มั้ย ชั้นรีบ"
จันทร์วิภาบอก "ก็ตอบมาให้ชัดเจนสิว่าแกจะไปหาหมอปราณนต์ทำไม"
"ชั้นจะให้แม่ไปสู่ขอเขา ชั้นจะแต่งงานกับหมอปราณนต์" ภัทรินบอก
ทุกคนตกใจ "หา"
"ได้ยินชัดเจนแล้วก็แยกย้าย ไปๆๆ"
ทุกคนอึ้ง ตะลึง และไม่ไหวตึง
"เอ้า บอกให้รีบยังจะนิ่งอีก ไปๆๆๆๆ โอ๊ย ไปชุดนี้แหละแม่ ไปเลย ไป"
ภัทรินลากมือภารตีไปที่รถ ทุกคนงงมาก

จันทร์วิภาเป็นคนขับ ภัทรินร้อนใจ
"แกขับให้มันเร็วกว่านี้ได้มั้ย" ภัทรินเร่ง
"นี่ยังไม่เร็วอีกเหรอ จะเร็วไปไหนของแก" จันทร์วิภาว่า
"ลูกพูดจริงๆเหรอที่จะไปสู่ขอหมอณนต์" ภารตีถาม
"จริงสิแม่"
เนตรมณีกับเบญจคีย์พูดพร้อมกัน "แรงมาก"
"ดีมากลูกแม่ คนดีๆอย่างหมอณนต์ห้ามปล่อยให้หลุดมือเด็ดขาด" ภารตีบอก
เนตรมณีกับเบญจคีย์พูดพร้อมกัน "โอ้ว แรงตัวแม่ชัดๆ"
"ยัยจันทร์ ชั้นบอกให้แกโทรไปถามหมอว่าอยู่ที่ไหน ทำไมแกยังไม่โทรอีก" ภัทรินว่า
"โอ๊ย รถก็จะให้ขับเร็ว โทรก็จะให้โทร จะเอาอะไรกับชั้น" จันทร์วิภาเซ็ง
"เอามือถือมา ชั้นกดให้ เม็มชื่อว่าอะไร หมอณนต์ใช่มั้ย"ภัทรินเลื่อนหาเบอร์ "ไม่เห็นมีเลย"
"ไม่ได้เม็มชื่อหมอณนต์" จันทร์วิภาบอก
"แล้วแกเม็มว่าอะไรล่ะ"
"เม็มว่า เอ่อ หมอสุดหล่อ"
เนตรมณีกับเบญจคีย์พูดพร้อมกัน "หมอสุดหล่อ ฮะๆๆ" ทั้งสองหัวเราะกันคิกคัก
"แกนี่เพี้ยนตั้งแต่เด็กยัยโตจริงๆ" ภัทรินกำลังจะกดหาเบอร์ อยู่ๆ ก็มีสายเข้า ภัทรินอ่านชื่อ "เฮ้ย พ่อเทพบุตร ใครอ่ะ"
จันทร์วิภาตอบ "สามี"
เนตรมณีกับเบญจคีย์ขำ"พ่อเทพบุตร ก๊ากๆ"
"รับสายสิ"
"ไม่ ชั้นจะโทรหาหมอณนต์ก่อน" ภัทรินกดตัดสายแล้วหาชื่อปราณนต์ ก่อนจะกดโทรออกแล้วกดสปีกเกอร์ "ทุกคนเงียบ"
ทุกคนเงียบ มีเพียงเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดัง สักพัก ปราณนต์ก็รับสาย
"ว่ายังไงครับคุณจันทร์"
ภัทรินใช้สายตาจ้องเพื่อบังคับให้จันทร์วิภาพูด
จันทร์วิภายอมพูด "เอ่อ คุณหมออยู่ที่สนามบินใช่มั้ยคะ คุณหมอจะบินกี่โมงคะ"
ปราณนต์เดินพูดอยู่ที่บริเวณล็อบบี้โรงแรมหรูแห่งหนึ่งในเชียงใหม่
"เปล่าครับ ผมไม่เข้ากรุงเทพแล้วครับ"
จันทร์วิภาเบรกเอี๊ยด ทุกคนหน้าแทบคะมำแล้วส่งเสียงกรี๊ดวี้ดว้ายกันออกมา
"เสียงอะไรครับ คุณจันทร์อยู่กับใคร"
รถจอดสนิท ภัทรินให้สัญญาณเพื่อให้ทุกคนเงียบแล้วทำมือสั่งให้จันทร์วิภาพูดไป
จันทร์วิภาพูดต่อ "เอ่อ เสียงคนไข้ค่ะ คุณหมอไม่เข้ากรุงเทพแล้ว งั้นเดี๋ยวก็กลับดอยผาหมอกใช่มั้ยคะ" จันทร์วิภาพูดกับภัทรินเบาๆ "เราก็ไม่ต้องไปแล้วใช่มั้ย เยส”
"วันนี้ผมคงต้องค้างที่เชียงใหม่ ส่วนอนาคต ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับไปอีกหรือเปล่า" ปราณนต์บอก
ภัทรินลิมตัวจึงเผลอพูดออกมา "หมายความว่าไง" ภัทรินตกใจจึงรีบปิดปาก
ปราณนต์งง "เอ เสียงเหมือนภัทรินเลย"
ภัทรินรีบโบกมือส่งสัญญาณให้จันทร์วิภาบอกว่าไม่ใช่เธอ
"เสียงจันทร์เองค่ะหมอ พอดี เมื่อกี้ตกใจน่ะค่ะ"
ปราณนต์พูดต่อ "คุณจันทร์ ที่ผมลงจากดอยคราวนี้เพราะคุณพ่อผมท่านจัดงานแต่งงานให้ผมกับลูกสาวเพื่อนของท่านน่ะครับ ทีแรกจะจัดที่กรุงเทพ แต่นี่ท่านย้ายมาจัดเชียงใหม่แล้ว ขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอก เอ่อ ขอไปเตรียมตัวก่อนนะครับ"
ภัทรินเรียกไว้ "เดี๋ยว"
ภัทรินเผลออีก เธอรีบหันไปใบ้ให้จันทร์วิภาถามว่าโรงแรมอะไร
ทีแรกจันทร์วิภาไม่เข้าใจ "หา หือ เอ่อ อ๋อ โรงแรมอะไรคะ"
จันทร์วิภาฟังชื่อโรงแรมจากปราณนต์ ภัทรินลุ้นสุดๆ

รถพุ่งเข้ามาจอดเอี๊ยดที่หน้าโรงแรม ภัทรินกระโดดลงมาก่อนแล้วรีบวิ่งเข้าไปเลย ทุกคนรีบลงตามมา โดยที่ภารตีมีอาการเมารถ
"เฮ้ย รอด้วยสิยัยภัท" เบญจคีย์เรียก
"น้าภาคะ ยาดมค่ะ อะไรมันจะแรงขนาดนี้ ถึงกับทิ้งแม่เลยเหรอ" เนตรมณีว่า
อยู่ๆภัทรินก็วิ่งวกกลับมาชี้หน้าอย่างรู้ทันว่าเพื่อนจะหาว่าตนทิ้งแม่
"ชั้นไม่ได้ทิ้งแม่ แต่รู้ว่าพวกแกจะช่วยดูแลแม่ให้ เข้าใจมั้ย"
ภัทรินรีบวิ่งเข้าไปในโรงแรมทันที

ภัทรินวิ่งพุ่งเข้ามามองหาห้องจัดเลี้ยง แต่ก็หาไม่เจอเพราะไม่รู้จัก เธอเลยรีบวิ่งพุ่งเข้าไปที่เค้าท์เตอร์
"งานแต่งงานหมอปราณนต์ ห้องไหนคะ" ภัทรินถาม
พนักงานโรงแรมถาม "หมออะไรนะคะ"
"หมอปราณนต์"
พนักงานครุ่นคิด "อื้ม วันนี้มีงานแต่งงานเดียวที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นสอง แต่”
"ชั้นสอง"
ภัทรินไม่ฟังให้จบ เธอรีบวิ่งไปทันที
พนักงานพยายามเรียก "เดี๋ยวค่ะคุณ"

ที่บริเวณหน้าห้องจัดเลี้ยงซึ่งจัดงานแต่งงาน มีโต๊ะลงทะเบียน แจกของชำร่วย มุมโชว์ภาพของคู่บ่าวสาว มีบริเวณแบ็กดร็อปสำหรับถ่ายภาพที่ระลึก เจ้าสาวกำลังยืนถ่ายภาพกับแขก โดยมีพ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวและพ่อฝ่ายเจ้าบ่าวยืนร่วมเฟรมด้วย ภัทรินวิ่งขึ้นบันไดมาเห็นงานแต่ง เธอเห็นเจ้าสาวอยู่ที่แบ็กดร็อปก็รีบพุ่งเข้าไปทันที
"คุณหมอณนต์ คุณหมอณนต์อยู่ไหน"
ทุกคนชะงักเพราะงงว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร มาจากไหน
ภัทรินมองไปที่เจ้าสาว "เจ้าบ่าวอยู่ที่ไหน คุณพ่อ คุณเป็นพ่อหมอณนต์ใช่มั้ยคะ อย่าบังคับให้ลูกชายแต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้รักเลยค่ะ"
กลุ่มเจ้าสาว พ่อแม่ ญาติๆตกใจ
กลุ่มเจ้าสาวตกใจ "หา”
ภัทรินพูดต่อ "คนที่ลูกชายคุณพ่อรักจริงๆคือชั้นค่ะ"
กลุ่มเจ้าสาวตกใจอีกรอบ "หา”
จันทร์วิภา เนตรมณี และเบญจคีย์ประคองภารตีผ่านมาเจอ
ภัทรินพูดไม่หยุด "เรารักกัน อยากแต่งงานกันจริงๆค่ะ" ภัทรินพูดกับเจ้าสาว "ชั้นขอโทษที่ต้องทำอย่างนี้ แต่ชั้นไม่มีทางเลือกแล้ว ไม่มีเขา ชั้นก็ตาย แม่ชั้น เพื่อนๆชั้นก็จะเดือดร้อน ชั้นทนไม่ได้ ชั้นขอโทษจริงๆนะคะ"
ทันใดนั้นเจ้าบ่าวซึ่งเป็นชายตี๋ร่างตุ้ยนุ้ยเดินเข้ามา
"คุณเป็นใครอ่ะครับ"
ภัทรินหันมามองเจ้าบ่าวงงๆ
เจ้าสาวพูดกับเจ้าบ่าว "เขาบอกว่าเป็นคนรักตัวจริงของคุณ"
เจ้าบ่าวตกใจ "หา”
"เดี๋ยวๆๆ นี่เจ้าบ่าวเหรอ" ภัทรินถาม
พวกภารตีอึ้งแทน
"ซวยแล้วยัยภัท” จันทร์วิภาว่า
เจ้าสาวตัดพ้อต่อว่าเจ้าบ่าว "คุณแต่งงานกับอ้อยเพราะถูกพ่อบังคับเหรอ งั้นก็เชิญไปแต่งกับคนที่คุณรักเลย"
เจ้าสาววิ่งร้องไห้ออกไป พ่อกับแม่เจ้าสาวรีบวิ่งตาม
"อ้อยใจ เดี๋ยวก่อน ผมไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้เลย" เจ้าบ่าวหันมาจ้องภัทรินด้วยความแค้น "คุณทำอะไรเนี่ย"
ภัทรินยกมือไหว้ "ชั้นขอโทษ ชั้นไม่ได้ตั้งใจ"
ภัทรินหันกลับจะหนี แต่ก็ไปชนเข้ากับคนๆนึง พอเงยหน้ามองก็เห็นว่าคือปราณนต์นั่นเอง
"หมอ”
"คุณมาทำอะไรงานคนอื่นเขา ไป"
ปราณนต์ลากภัทรินเดินหนีไป เจ้าบ่าวทรุดแล้วครวญครางที่เจ้าสาวหนีไปจนงานแต่งล่ม
อ่านต่อตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น