xs
xsm
sm
md
lg

ใยกัลยา ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ใยกัลยา ตอนที่ 14

เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง สองพ่อลูกซึ่งดูการแถลงข่าวเจคกับหอมน้ำจบแล้ว กำลังคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่นในคฤหาสน์

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมหอมน้ำถึงได้กลับคำจะเล่นละครอีก”
“คุณเจคอาจจะหว่านล้อมหรือไม่ก็....” บุรีนิ่งไป
ศวัสตอบแทนว่า “คุณแม่อยู่ในร่างหอมน้ำหรือครับ”
บุรีทอดถอนใจ “พ่อก็ไม่แน่ใจ”
“แต่ถ้าเป็นคุณแม่ ทำไมท่านถึงไม่ยอมอยู่ที่นี่ เพราะเหตุผลเดียวที่คุณแม่อยากกลับมามีชีวิตอีกก็คือได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกอีกครั้ง”
“นั่นซิ”
“ผมจะไปถามเขาดู”
ศวัสเดินออกไป

ศวัสขับรถเข้ามาจอดในมุมค่อนข้างลับตาคนหน้าหอพักหอมน้ำ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. มีแต่เพียงเสียงให้ฝากข้อความ ศวัสโทร.อีก แต่ได้ผลลัพท์อย่างเดิม จึงเปลี่ยนเป็นโทร.ถึงเขน
เสียงเขนรับสาย “สวัสดีค่ะ คุณหมอ” แต่มีเสียงจอแจของคนหลายคนแทรกจนแทบไม่ได้ยินเสียงเขน
“หอมน้ำอยู่ด้วยหรือเปล่า”
เสียงเขนดังออกมาว่า “อยู่กับนักข่าวค่ะ คุณหมอคะ เขนต้องไปก่อนนะคะ หอมเรียกแล้ว”
เสียงโทรศัพท์ตัดไปเลย ศวัสออกอาการหงุดหงิด

หลังงานแถลงข่าวค่ำคืนนั้น เจคเป็นเจ้ามือเลี้ยงสองสาวที่ร้านอาหารย่านผู้มีอันจะกิน โดยผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับชื่อดังทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดี ซึ่งหอมน้ำที่ถูกสิงเองก็ไม่มีท่าทางผิดปกติใดๆ พูดคุยสดใสในบุคลิกซื่อๆ ของหอมน้ำ
“อย่าเพิ่งอิ่มนะ อยากกินอะไรก็สั่งเลย ฉลองการเข้าสู่วงการอีกครั้งของหอมน้ำ” เจคว่า
เขนหันมาถามอีกครั้ง “เอาจริงเหรอหอม”
“ก็...คิดว่าจะลองดูอีกสักครั้ง ถ้าคราวนี้ไม่เวิร์คก็จะเลิกจริงๆ เลย”
เจคบอกกับเขนว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง อาจะให้เขนเป็นผู้จัดการ แล้วก็ทับทิมเป็นผู้ติดตามอีกคน”
“หอมว่าเยอะเกินไปมั้งคะ คนอื่นอาจจะหมั่นไส้” หอมน้ำท้วง
เขนกินอย่างมีความสุขเต็มที่ “ไม่เห็นจะเป็นไร พี่ทับก็สนิทกับพวกเราอยู่แล้ว”
“เขน....” พุธกันยาที่สิงหอมน้ำทำเป็นทักท้วง
“หอม หอมน่ะใสซื่อ ให้เขนกับพี่ทับช่วยกันดูแลน่ะดีแล้วล่ะ” เขนพูดพลางกินต่อ
เจคสบตาหอมน้ำยิ้มๆ

รอบบริเวณหอพักในยามค่ำ ผู้คนบางตา เขนเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พูดโทรศัพท์กับศวัสที่ตอนนี้อยู่ที่บ้าน
“เขนต้องขอโทษด้วยค่ะ ที่เมื่อตอนเย็นคุยกับคุณหมอไม่ได้ เพราะนักข่าวเยอะแยะไปหมด ทุกคนเข้ามารุมสัมภาษณ์หอม”
“เขาตื่นเต้นไหม”
เขนงง “หอมน่ะหรือคะ”
“ใช่ เขาแสดงท่าทางตื่นเต้นอะไรหรือเปล่า”
เขนนิ่งคิด “ก็...นิดหน่อยค่ะ แต่เขนคิดว่าเขารับมือกับทุกสถานการณ์ได้ดีขึ้น คุณหมอถามทำไมหรือคะ”
ศวัสเสียงเข้มจริงจังมาก “ฟังให้ดีนะ ชั้นอยากให้เธอคอยสังเกตท่าทาง จนคำพูดทุกอย่างของหอมน้ำให้ดี”
“คุณหมอ” เขนแปลกใจมาก
“ถ้าเห็นมีอะไรผิดปกติ ก็รีบโทร.มาบอกชั้นทันที”
เขนรับทั้งที่ยังมึนๆ “ค่ะ”
ศวัสวางโทรศัพท์ลง เขนวางโทรศัพท์ลงเช่นกัน
“แปลก” เขนนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วนึกได้ “หรือว่า” สาวอวบยกมืออุดปากด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว ยืนอยู่หน้ากระจก เพ่งพิศดูเงาตัวเองอย่างพึงพอใจ
“เปลี่ยนร่างใหม่ก็ดีเหมือนกัน อายุลดไปเป็นสิบปี”
หอมน้ำเดินไปปิดไฟ ทั้งห้องมืดลง แล้วเดินมานั่งบนเตียง ตบที่นอนเบาๆ เหมือนจะเตือนให้ตัวเองรู้สึกถึงความมีตัวตน จากนั้นจึงเอนตัวลงนอน
เสียงหอมน้ำตัวจริงดังขึ้น “คุณพุธกันยา”
ร่างหอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงชะงักนิดๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง เห็นร่างหอมน้ำตัวจริงปรากฏขึ้น แต่ภาพออกมาเดี๋ยวชัดเดี๋ยวจางไป เพราะยังบังคับตัวเองไม่ได้
หอมน้ำที่ถูกสิงยิ้มขัน แล้วขยับพิงหัวเตียง
“ใครจะไปคิดว่า วันหนึ่งเราจะมาเปลี่ยนสถานะกัน เธอกลายเป็นผี ส่วนชั้นกลายเป็นเธอ”
ทั้งสองโต้เถียงกันไปมา
หอมน้ำตัวจริงบอกว่า “หอมไม่ใช่ผี หอมยังไม่ตาย แต่คุณพุธมาแย่งร่างของหอมไป”
หอมน้ำที่ถูกสิงหัวเราะหยัน “ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ แต่มันก็เป็นไปแล้วจริงๆ”
“ได้โปรดเถอะค่ะ หอมอยากกลับเข้าร่างของหอม”
“อ้าว! แล้วเธอจะให้ชั้นไปอยู่ไหนล่ะ ร่างกายของชั้นก็ถูกเผาไปตั้งนานแล้ว ลูกผัวชั้นเขาอยากให้ชั้นไปที่ชอบ ซึ่งที่ชอบของชั้นก็คือได้อยู่กับพวกเขาตลอดไป”
“แล้วหอมล่ะคะ หอมจะไปอยู่ที่ไหน”
“เธอก็ไปเกิดใหม่ซิ บางที...ชีวิตเธออาจจะดีกว่าเก่าก็ได้ ส่วนชั้น ตอนนี้ง่วงมาก เหนื่อยมาทั้งวัน ต้องขอนอนก่อน”
พลางหอมน้ำที่ถูกสิง เลื่อนตัวลงนอน สูดลมหายใจยาวอย่างมีความสุข

“เฮ้อ! มีความสุขจัง”

หอมน้ำตัวจริงก้าวมา ก้มลงตะโกนใส่หอมน้ำที่ถูกสิง มือกำแน่น

“คุณจะทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณไม่มีสิทธิ์”
หอมน้ำถูกสิง พลิกตัวนอนตะแคง
“ร่างนี้เป็นร่างของหอม คุณจะปล้นไปเลยไม่ได้ ไม่ยุติธรรม”
หอมน้ำถูกสิงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าอย่างรำคาญ
หอมน้ำตัวจริงเม้มปาก “หอมจะต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของหอม หอมเชื่อในกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงดึงผ้าห่มลง “ไม่เคยได้ยินหรือว่า ‘คนทำชั่วได้ดีมีถมไป’ เธอพูดต่ออย่างเห็นแก่ตัว ด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “แต่ชั้นไม่ใช่คนชั่ว ชั้นแค่ได้รับโอกาสอันมหัศจรรย์ที่สุดเท่านั้น ซึ่งหากเป็นเธอ เธอก็ต้องฉวยเอาไว้”
หอมน้ำบอกอย่างจริงจังหนักแน่น “ไม่ค่ะ หอมจะไม่มีวันทำอย่างคุณเด็ดขาด และหอมจะไม่ยอมถอดใจ ร่างนี้เป็นของหอม หอมจะต้องเอาคืนมาให้ได้”
หอมพุธสิง “ไปฝึกจิตทำให้ใครๆ เห็นเธอได้ก่อนก็แล้วกัน ไม่ใช่มาแบบแวบๆวับๆ แบบนี้ เวียนหัว”
หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง “เลื่อนตัวลงนอน หลับตาไม่รู้ไม่ชี้”
วิญญาณหอมน้ำ มองร่างกายตัวเองอย่างแน่วนิ่งจริงจัง

ดึกสงัดในบรรยากาศแสนวังเวง ศวัสนอนหลับสนิท แต่เหมือนใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ศวัสเองดูจะรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวนั้น ร่างนั้นยังคงเคลื่อนไหวช้าๆ อยู่ในห้อง
สีหน้าศวัส เปลือกตาขยับแล้วจึงลืมขึ้น ตกตะลึง เขาเห็นเป็นภาพมาๆ หายๆ ของหอมน้ำปรากฏขึ้น
หอมน้ำทำปากไม่มีเสียง “คุณหมอ”
ศวัสค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง จดสายตามองหอมน้ำโดยไม่กระพริบ ภาพยังคงมาๆ หายๆ อยู่อย่างนั้น
หอมน้ำพูดโดยไม่มีเสียง “คุณหมอ”
ศวัสลุกขึ้นช้าๆ เดินมาที่ภาพขาดๆ หายๆ นั้น แล้วยื่นมือไป แต่ทันทีที่มือเข้าไปใกล้ ภาพนั้นก็หายไปจากสายตา
ศวัสตกใจตื่น ผุดลุกขึ้นนั่ง
“หอมน้ำ”
ศวัสค่อยๆลุกขึ้น เดินไปที่เห็นหอมน้ำในความฝัน แล้วมองไปทั่วอย่างสำรวจตรวจตรา
ในที่สุดศวัสทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ศวัสร้อนใจสุดจะประมาณ นัดเจอเขนแต่เช้าละแวกหอพัก สองคนอยู่ในร้านโจ๊กแห่งหนึ่ง บริกรยกชามโจ๊กของศวัสและเขนมาวางตรงหน้าทั้งสองคน แล้วเดินออกไป
“อืม...เขนไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินะคะ ที่จริง...ตอนที่เขนอยู่บ้านคุณหมอเขนก็เคยสงสัยมากๆ แล้วก็คิดว่าคุณพุธเข้าสิงร่างหอมในตอนนั้นแน่ๆ แต่หลังจากนั้น ก็เหมือนคุณพุธจะหายไป หอมน้ำกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”
“ยังไง ชั้นก็อยากให้เธอสังเกตดู เพราะถ้า...เป็นคุณแม่ชองชั้น ยังไงท่านก็ต้องมีหลุดออกมาบ้าง” ศวัสกำชับ
“ได้ค่ะ แหม เขนชักใจไม่ดีแล้ว”
“ตอนนี้หอมน้ำสวมสร้อยพระหรือเปล่า”
เขนมีสีหน้าครุ่นคิดตรึกตรองถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

โดยเวลานั้น หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาครองร่างแล้ว ทำเป็นดึงสร้อยพระออกมาจากในเสื้อ
“นี่จ้ะ”
เขนมีสีหน้าเหมือนสำนึกผิด “ขอโทษนะ ที่เขนสงสัยหอม”
หอมน้ำยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรจ้ะ หอมเข้าใจ เขนเป็นห่วงหอม กลัววิญญาณคุณพุธจะมาแย่งร่างหอมไป”
“แล้วหอมก็อย่าโกรธคุณหมอนะ คุณหมอเองก็เป็นห่วงหอมมาก”
“หอมรู้” หอมน้ำหันไปแปรงผมต่อ
“จำได้ไหมที่เขนเคยบอกว่า คุณหมอชอบหอม ตอนนี้เขนยิ่งมั่นใจใหญ่เลย”
หอมน้ำเพียงยิ้มนิดๆ แต่ไม่พูดอะไรออกมา

ตอนสายวันเดียวกันนี้ หอมน้ำกับเขนเดินเข้ามาหน้าห้องเจค ทุกคนในบริเวณนั้น ต่างมองอย่างประหลาดใจสุดๆ ตามกิริยาใครมัน หอมน้ำกับเขนไหว้ทุกคนอย่างเรียบร้อย แล้วเดินเข้าไปภายใน ทุกคนยังอ้าปากค้างมองตาม
จนอุมาใช้ข้อศอกถองโค้ก “ไง พี่โค้ก นางเอกมาแล้ว”
โค้กยังคงมองไปทางทิศทางนั้นด้วยนัยน์ตาแปลกใจ

เจคซึ่งอยู่ในห้องทำงาน รีบลุกขึ้นต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พลางรับไหว้สองสาวที่เดินเข้ามา
“ขอต้อนรับกลับบ้าน”
“ขอบคุณค่ะ”
เจคเลื่อนบทหนังให้หอมน้ำดู
“เอาไปอ่าน แล้วก็ทำความเข้าใจให้ดี บทนี้พุธกันยาเล่นจนได้รางวัล”
หอมน้ำกับเขนสบตากัน โดยที่หอมน้ำทำหน้าจ๋อยๆ แล้วหันมามองเจค
“หอมไม่มั่นใจเลยค่ะ”
เขนออกอาการหนักใจ “นั่นซิคะ”
“ไม่มีอะไรเหนือความพยายามของมนุษย์หรอก แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้รีบถ่าย พี่จะส่งหอมน้ำไปเรียนการแสดงก่อน”
“ขอบคุณมากค่ะ”
สีหน้าหอมน้ำมีแววขบขันลึกล้ำ

บรรยากาศทุกแผนกในโรงพยาบาลตอนนี้ดูคึกคัก ในขณะที่ศวัสกำลังเดินกลับห้องพักแพทย์หลังตรวจเสร็จ แต่มีเสียงเรียกไว้
“คุณหมอคะ”

ศวัสหันไปมองทางเสียง เห็นหอมน้ำยกมือไหว้พลางเดินออกมาจากมุมที่หลบยืนอยู่ ศวัสมองจ้องราวกับจะสำรวจทะลุเข้าในกายที่ยืนสงบเสงี่ยมตรงหน้า!

ไม่นานต่อมา สองคนอยู่ด้วยกันภายในห้องพักแพทย์ หอมน้ำดึงสร้อยพระออกมาเพื่อพิสูจน์ตัวตน แล้วเงยหน้าอันเศร้าสร้อยมองศวัสด้วยความน้อยใจ

“หอมไม่ทราบว่าจะต้องพิสูจน์อะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
“ชั้นเข้าใจ แต่เธอก็ต้องเข้าใจคนอื่นด้วย เพราะ...” หมอหนุ่มพูดไม่เต็มปากเต็มคำนักเมื่อนึกถึงพุธกันยา “คุณแม่ของชั้นก็แสดงอิทธิฤทธิ์เอาไว้มาก”
นัยน์ตาหอมน้ำเป็นประกายแว่บหนึ่ง
“ชั้นก็ได้แต่หวังว่า ท่านจะมีแต่ความสงบสุขในสัมปรายภพ”
หอมน้ำอดย้อนไม่ได้ “คุณหมอรู้จัก สัมปรายภพ หรือคะ”
ศวัสมองหอมน้ำพลางขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
หอมน้ำที่ถูกสิงทำเป็นยิ้มแห้งๆ “ขอโทษค่ะ หอมแค่สงสัย เพราะได้ยินคุณหมอพูดมาสองครั้งแล้ว”
“คอยจับผิดชั้นหรือ”
หอมน้ำยิ้มหวานประจบ “หอมไม่กล้าหรอกค่ะ”
ศวัสพูดถามไปเรื่อยๆ “เย็นนี้มีธุระที่ไหนหรือเปล่า”
หอมน้ำส่ายหน้าท่าทีใสซื่อ “ไม่มีค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ชั้นจะพาไปเลี้ยงข้าวเป็นการขอโทษที่เข้าใจผิด”
“ที่บ้านคุณหมอหรือคะ” เธอถามเร็วปรื๋อด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย ด้วยดีใจที่จะได้พูดคุยกับบุรี
“เธออยากกินข้าวที่บ้านชั้นหรือ”
“ค่ะ ป้าเยาว์แกทำกับข้าวอร่อย”
“ก็ได้”
หอมน้ำยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้าแห่งความสุข

เสร็จจากการแสดงตัวกับศวัส พุธกันยาในร่างสภาพหอมน้ำก็โทร.ไปหาเจคทันที เจคอยู่ในห้องทำงานออฟฟิศสร้างศิลป์ได้ฟังก็นิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจขณะพูดสาย
“คุณไม่ควรทำอย่างนั้น
หอมน้ำหัวเราะระรื่นอย่างมั่นใจในตัวเอง “ไม่หรอกค่ะ กัลเป็นดาราเจ้าบทบาท อย่าลืมซิคะ กัลอยากกินข้าวพร้อมหน้าสามคนพ่อแม่ลูกมานานแล้ว”
เจคเหน็บแนม “พ่อลูกเขาก็คิดว่ากำลังกินข้าวกับเด็กกะโปโลอยู่ดี”
“อีกไม่นาน เขาก็จะเลิกคิด รอให้วิญญาณหอมน้ำไปตามทางของเขาก่อน กัลจะเปิดเผยให้คุณบุรีกับศวัสรู้”
“คุณไม่กลัวว่าเขาจะโกรธ” เจคหยั่งเชิง
“โกรธใคร โกรธกัลน่ะเหรอ ไม่มีทาง ในเมื่อทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว หอมน้ำจะไม่มีวันกลับมา ร่างนี้ก็เป็นของกัลยาโดยสมบูรณ์ แค่นี้นะคะ”
หอมน้ำวางสายไป แววตาเปล่งประกายสุขสม
ส่วนเจคเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นัยน์ตาเป็นประกายมาดมั่น
“เสียใจด้วยกัลยา ผมจะไม่ยอมให้โอกาสที่สองต้องหลุดลอยไปแน่นอน”

เยาวภากำลังหมักเนื้อจะทำสเต็กตามที่ศวัสโทร.มาบอก ปากก็ร้องเรียกแจ่ม
“แจ่ม แจ่มเอ๊ย”
เสียงแจ่มขาน “ขา” นำมาก่อนตัวจะรีบเดินเข้ามา “มาแล้วค่ะ คุณแม่บ้าน”
“ไปเอาผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนห้องรับรองแขกมาซักหรือยัง”
แจ่มเสียงอ่อยๆ “ยังเลยค่ะ”
เยาวภาหันขวับมามองด้วยความฉุนเฉียว “ชั้นสั่งตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ ขึ้นไปเอาเดี๋ยวนี้เลย”
“น้องหอมกับน้องเขนมาพักไม่กี่วันเอง คงไม่สกปรกหรอกค่ะ” แจ่มอ้างความจริงสยอง
“ชั้นสั่งให้ไปเอาเดี๋ยวนี้”
“ค่ะ เอ้อ...คุณแม่บ้านขึ้นไปเป็นเพื่อนแจ่มได้ไหมคะ”
“ทำไม กลัวผีเรอะ”
“ก็...ทำนองนั้นแหละค่ะ”
“กลางวันแสกๆ ผีที่ไหนจะกล้า”
แจ่มรีบบอกทันที “ผีคุณพุธกันยาไงคะ กลางวันกลางคืนออกมาได้หมด”
เยาวภาตัดรำคาญ “อย่าร่ำไร ขึ้นไปเอามาเดี๋ยวนี้”
แจ่มอิดออดเต็มที่ “คุณแม่บ้านขา”
“ไปเดี๋ยวนี้”
แจ่มหน้างอออกไป เยาวภามองค้อน แล้วหันไปง่วนทำอาหารต่อ

แจ่มเดินหน้างอมาถึงบริเวณบันไดแล้วชะงัก ค่อยๆ เหลือบตามองรูปพุธกันยาเหนือราวบันไดเวียน เห็นภาพนั้นเหมือนจะมองตอบมา แจ่มยกมือไหว้
“อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะคะ คุณผู้หญิง”
แจ่มหลับหูหลับตาวิ่งขึ้นไป

วิญญาณหอมน้ำซึ่งนอนหลับตาด้วยความท้อแท้ ลืมตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงลูกบิดประตู แล้วเห็นแจ่มค่อยๆ เปิดประตูเยี่ยมหน้าเข้ามามองซ้ายมองขวา
หอมน้ำดีใจลุกขึ้นนั่งทันที “พี่แจ่ม เข้ามาเลย”
แจ่มเดินเข้ามา แล้วรีบยกม้านั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมาวางดันประตูเปิดกว้างไว้ไม่ให้ปิดด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นเดินมาดึงผ้าคลุมเตียงออก นั่นทำให้วิญญาณหอมน้ำซึ่งอ่อนแรงกระเด็นลงมานั่งแบบอยู่บนพื้น
“โอ๊ย! เบาๆ หน่อยซิจ๊ะ พี่แจ่ม”
แจ่มเอาผ้าปูมากองไว้มุมหนึ่ง แล้วรีบถอดปลอกหมอนข้าง
หอมน้ำเดินมาใกล้ๆ พูดใส่หูแจ่ม “พี่แจ่ม ได้ยินหอมหรือเปล่า”
แจ่มถอดปลอกหมอนข้างต่อ ทำทุกอย่างด้วยความรีบร้อน นัยน์ตาล่อกแล่กเหลือบซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง
หอมน้ำรวบรวมเรี่ยวแรงตะโกนสุดเสียง “พี่แจ่ม”
แจ่มยังคงถอดปลอกหมอนหนุนหัว
“พี่แจ่ม ทำไมไม่ได้ยินหอม”
ในที่สุดแจ่มถอดปลอกหมอนเสร็จ แล้วรีบหอบพร้อมกับผ้าปูเดินไปที่ประตู หอมน้ำหลับตาลงกลั้นใจใช้พลังที่มีอยู่ในตัวเต็มที่ บันดาลให้ประตูปิดเองอย่างแรงไม่ให้แจ่มออกไป
แจ่มร้องลั่น “ว้าย”
หอมน้ำลืมตาขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจสุดๆ
“แม่เจ้า หอมทำได้แล้ว หอมทำได้แล้ว”
แจ่มผวากอดปลอกหมอนกับผ้าคลุมเตียงแน่น สีหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้
“เจ้าประคุณ คุณพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยลูกด้วย อย่ามาหลอกมาหลอนลูกเลย”
“พี่แจ่ม นี่หอมเอง”
แจ่มยังคงไม่ได้ยิน หลับหูหลับตารีบเดินไปที่ประตู พยายามดึงลูกบิดให้เปิด
หอมน้ำเบือนหน้าไปมองลิ้นชัก กลั้นใจรวบรวมพละกำลังอีกครั้ง จนลิ้นชักค่อยๆ ขยับ เห็นดังนั้นหอมน้ำเริ่มมีกำลังใจขึ้น เธอหลับตารวมพลังอีก ลิ้นชักเปิดออกมาอย่างแรงและตกลงมาที่พื้น ข้าวของในนั้นกระเด็นออกมากระจัดกระจาย
หนึ่งในนั้นคือสร้อยพระของหอมน้ำกระเด็นลอยมาตกลงบนเตียง
แจ่มร้องลั่น ทรุดลงไปกองกับพื้น ร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว

หอมน้ำเองก็หมดพลัง ค่อยๆ ขยับเดินมาที่เตียง แล้วก้มลงมองสร้อยพระอย่างพอใจ

ด้านเยาวภาหมักเนื้อทำสเต็กเสร็จ หันมามอง เรียกหาแจ่ม

“แจ่ม แจ่มเอ๊ย”
ไม่มีเสียงตอบ
เยาวภาเดินมาที่ประตูครัวเหลียวมองหา “แจ่ม แจ่ม
เงียบอีก “หรือถูกผีคุณกัลหักคอ”
สีหน้าเยาวภากลัวไม่น้อย พยายามรวบรวมความกล้า แล้วเดินไป

พอเยาวภาเดินขึ้นบันไดมา แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นแจ่มยืนหอบผ้าปูกับปลอกหมอนหน้าซีดอยู่หน้าประตูห้อง
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปละ...ปละ...เปล่าค่ะ”
“แล้วทำไมทำหน้ายังกับถูกผีหลอก”
แจ่มฝืนยิ้ม “เหรอคะ แจ่ม...แจ่มไปซักผ้าล่ะค่ะ”
แจ่มรีบเดินก้มตัวผ่านเยาวภา ลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
เยาวภามองตามด้วยความแปลกใจ แล้วจึงเบือนหน้ากลับมาที่ห้อง ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ประตูห้องที่หอมน้ำเคยพัก ค่อยๆ แง้มเปิดออก เยาวภาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางระมัดระวัง มองสำรวจภายใน พบว่า ทุกอย่างเข้าที่หมดเป็นปกติ
“ไม่เห็นมีอะไร”
เยาวภาตรวจดูความเรียบร้อยอีกที แล้วจึงเดินออกไป ปิดประตูลง

ทางด้านแจ่มรีบเดินเข้ามาในห้องตัวเองแล้วล็อกประตู มือขวาเหมือนกำอะไรอย่างหนึ่งไว้แน่น แจ่มเดินมานั่งบนเตียง แล้วค่อยๆ แบมือออก เผยให้เห็นว่าเป็นสร้อยพระของหอมน้ำนั่นเอง
“ทำไมน้องหอมถึงได้ลืมสร้อยพระไว้”

เย็นลงแล้ว ขณะหอมน้ำซึ่งแต่งตัวสวยงาม กำลังนั่งแปรงผมอยู่หน้ากระจกในห้อง สักพักหนึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ หอมน้ำวางแปรงลง เดินไปเปิดประตู แล้วยิ้มสดใส เขนนั่นเอง ที่มองหอมน้ำทั่วตัวอย่างประหลาดใจ
“สวยจัง จะไปไหนจ๊ะ อย่าบอกนะว่า...”
หอมน้ำชิงบอกว่า “คุณหมอจะมารับไปทานข้าวจ้ะ”
“เฮ้อ โล่งใจไปทีที่ไม่ใช่คุณเจค” เขนเดินเข้ามาหา
“ทำไม คุณเจคเป็นยังไงหรือ”
เขนทำมือประกอบ “หัวงู”
หอมน้ำขัน “ฮื้อ เขนล่ะก็”
“อ้าว จริงๆนะ เห็นไร้อารมณ์อย่างนั้นเถอะ เขนเคยเห็นตอนเขาแอบมองหอม”
หอมน้ำเดินไปหยิบสร้อยพระที่วางไว้ตรงโต๊ะข้างเตียง มาพนมมือไหว้ แล้วคล้องคอนอกเสื้อจงใจให้เขนเห็น
“หอมห้อยหลวงพ่ออะไรน่ะ ว่าจะถามตั้งหลายครั้งแล้วก็ลืมทุกที”
หอมน้ำขยับจะตอบ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเธอหยิบขึ้นมาดู “คุณหมอมาแล้ว”
“งั้นก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวเขนปิดห้องให้”
หอมน้ำหยิบกระเป๋า แล้วรีบเดินออกไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
เขนมองตามด้วยความโล่งใจ

บรรดานักศึกษาที่พักอาศัยอยู่ที่หอนั้น บ้างเพิ่งกลับมา บ้างทำท่าเหมือนจะออกไปหาอะไรทาน ในอิริยาบถต่างๆกัน
หอมน้ำทักทายกับเพื่อนๆ แล้วรีบเดินตรงมายังศวัสที่ยืนรออยู่ข้างรถ
หอมน้ำไหว้ทัก ศวัสมองทั่วตัวสีหน้าประหลาดใจนิดๆ “แค่ไปกินข้าวที่บ้านชั้น ไม่ต้องแต่งตัวสวยขนาดนี้ก็ได้”
หอมน้ำยิ้มหวาน “หอมต้องให้เกียรติเจ้าของบ้านค่ะ”
ศวัสขรึมลง “มันเป็นทางการเกินไป ชั้นชอบแบบที่เธอเคยเป็นมากกว่า”
หอมน้ำทำเป็นสลดลง ก้มหน้า “หอมขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณหมอไม่พอใจ”
ทั้งคู่เดินออกไป

ศวัสจอดรถที่โรงรถเรียบร้อย หอมน้ำมองไปที่จอดรถบุรีแล้วชะงัก ด้วยที่ตรงนั้นไม่มีรถจอดเช่นเคย
“เอ๊ะ! พี่...เอ๊ย! คุณลุงไม่อยู่หรือคะ”
“ออกไปทานข้าวกับอาขวัญ”
หอมน้ำลืมตัวแดกดันออกมา “ข้าวบ้านก็มี”
ศวัสหันมามอง หอมน้ำรู้สึกตัวยิ้มใสซื่อ
“อร่อยด้วย ผงชูรสก็ไม่ใส่ หอมชอบทานข้าวบ้านมากกว่าตามร้านอาหาร”
ศวัสเปิดประตูรถก้าวลงไป หอมน้ำลงอีกด้าน
“เสียดาย ไม่อย่างนั้นก็ได้ทานกัน 4 คน”

ศวัสเดินเข้าบ้านเงียบๆ หอมน้ำรีบเดินตาม

แจ่มยกถาดที่วางน้ำผลไม้มาวางให้บนโต๊ะรับแขก ซึ่งศวัสกับหอมนั่งอยู่ในนั้น

หอมน้ำยิ้มทักทายอย่างสนิทสนม “พี่แจ่ม สบายดีหรือจ๊ะ”
แจ่มเงยหน้ามองหอมน้ำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะอ้าปากจะตอบ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อพบว่าที่คอหอมน้ำมีสร้อยพระห้อยอยู่ราวกับจะอวดโอ้ ลักษณะเหมือนสร้อยพระเส้นที่แจ่มเก็บไว้ไม่มีผิด
หอมน้ำนิ่วหน้าฉงน “พี่แจ่ม”
แจ่มยังคงจ้องมองสร้อยคอหอมน้ำอยู่อย่างนั้น หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงประเมินเหตุการณ์ มีสีหน้าเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
ศวัสเสียงดุเข้ม ด้วยคิดว่าแจ่มเสียมารยาท “แจ่ม”
แจ่มสะดุ้ง แล้วหันมามองศวัส แววตายังตื่นตระหนก
“จ้องสร้อยคอคุณหอมน้ำทำไม”
แจ่มขยับจะตอบ แต่หอมน้ำชิงแทรกขึ้นก่อน
“สร้อยคอของหอมไปเหมือนของใครเข้าหรือจ๊ะ”
แจ่มค่อยๆ หันมามองหอมน้ำช้าๆ พบว่านัยน์ตาหอมน้ำทั้งสองดวงขาวโพลน จ้องจิกเป็นเชิงขู่
“เอ้อ...ไม่มีอะไรค่ะ”
“ไม่มีอะไร แล้วทำไมจ้องเขม็ง”
“แจ่ม...เอ้อ...แจ่มเพิ่งเห็นใกล้ๆ น่ะค่ะ พระ...พระ...เหมือนของแม่แจ่ม”
หอมน้ำยิ้มหวาน พูดเย้า “แต่หอมไม่ได้เอาของแม่พี่แจ่มมานะ”
“ค่ะ” แจ่มยิ้มแห้งๆ แล้วออกไปทันที
หอมน้ำมองตามแว่บหนึ่ง แล้วเสยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม พลางลอบมองศวัส ซึ่งยังคงมองตามแจ่มด้วยแววตาครุ่นคิด

ในครัวตอนนี้ เยาวภากำลังจัดผักด้วยสีหน้านิ่งเฉย และเย็นชาเช่นเดิม แจ่มหน้าตาตื่นรีบเดินเข้ามา
“คุณแม่บ้านคะ”
เยาว์ยังคงเฉยชา
“คุณแม่บ้าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
เยาวภาเหลือบมองแจ่มแว่บหนึ่ง “มากันแล้วหรือ”
“ค่ะ คุณแม่บ้านคะ”
“เอาเนื้อออกมาย่างได้แล้ว”
“แจ่มแน่ใจว่า น้องหอมน้ำถูกผีสิงค่ะ”
เยาวภาหันขวับมามอง
“จริงๆ ค่ะ คุณแม่บ้านตามแจ่มมาซิคะ”
แจ่มรีบเดินนำ เยาวภาตามไปทันที

แจ่มเดินนำเยาวภาเข้ามาในห้องตัวเอง แล้วตรงไปเปิดลิ้นชัก หยิบสร้อยพระที่เหมือนของหอมน้ำมาส่งให้เยาวภา
“อะไร”
“สร้อยพระของน้องหอมค่ะ”
“แล้วเอามาให้ชั้นดูทำไม เอ๊ะ! หรือว่าแกขโมยมา”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณแม่บ้าน คุณแม่บ้านจำที่แจ่มขึ้นไปเอาผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนในห้องรับรองแขกลงมาซักได้ไหมคะ”
เยาวภาพยักหน้า “แกทำหน้าเหมือนเห็นผี”
“ประมาณนั้นเลยค่ะ”
แจ่มเล่าเรื่องตอนที่เจอปรากฏการณ์ต่างๆ ในห้องรับรองแขก จนกระทั่งเจอสร้อยพระ รวมทั้งตอนที่แจ่มเห็นสร้อยพระอีกเส้นที่ห้อยที่คอหอมน้ำ
“เหมือนกันเปี๊ยบเลยค่ะ” แจ่มย้ำ
นัยน์ตาเยาวภาเป็นประกายแว่บขึ้นมา “ถ้าไม่ได้มีสร้อยเหมือนกันสองเส้นก็แสดงว่าไม่เส้นใดเส้นหนึ่งต้องเป็นของปลอม”
“เส้นไหนล่ะคะ”
“แกเก็บสร้อยเส้นนี้เอาไว้ให้ดี ชั้นจะเอาไว้พิสูจน์ตอนคุณบุรีกลับมาให้เห็นชัดๆ กันไปเลยว่า เมียที่เขารักนักรักหนา และไม่เคยลืมเลย ที่แท้ก็เป็นผีร้ายอาละวาด”
สีหน้าแววตาเยาวภาเต็มไปด้วยความสะใจและมุ่งมาดหมายมั่น

เยาวภาเดินกลับเข้ามาในครัวด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย แต่นัยน์ตาเป็นประกายวาววับด้วยความสะใจ ติดตามด้วยแจ่มที่เดินเลี้ยวเข้ามาในครัว
ทว่าสองคนต้องชะงัก โดยเฉพาะแจ่มนั้นกลัวจนตัวสั่น เมื่อเห็นหอมน้ำยืนหันหลังให้อยู่ในนั้นแล้ว แจ่มพยายามจะพูด แต่ไม่มีเสียงลอดออกมา
หอมน้ำหันกลับมาช้าๆ ยิ้มเย็นเยือกเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงของพุธกันยา
“หายไปไหนกันมา ดูซิ เนื้อเสียหมดแล้ว”
พลางหอมน้ำเบี่ยงตัวให้ทั้งสองคนมองเห็นเนื้อที่เยาวภาหมักเอาไว้เตรียมย่างทำสเต็ก
ทั้งเยาวภากับแจ่มต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นว่าเนื้อหมักสองชิ้นมีหนอนขึ้นเต็ม ราวกับเป็นเนื้อเน่า
“เข้ามาดูให้เห็นชัดๆ ซิ”
เยาวภากับแจ่มยังคงตะลึงตะไล อ้าปากค้าง ยืนตัวแข็งทื่อ
หอมน้ำซึ่งบัดนี้นัยน์ตาเป็นสีขาวหมดทั้งดวง “แกสองคนคิดจะทำอะไร”
ทั้งสองคนยังพูดไม่ออก ได้แต่นิ่งงันเหมือนเดิม
“ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็อย่าทำ อย่าแม้แต่จะคิด”
นัยน์ตาหอมน้ำกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แล้วขยับเดินไป ขณะผ่านสองคน มีไอเย็นจางๆ ลอยออกมา จนทั้งคู่ขนลุกเกรียว
เมื่อเดินเลยผ่านสองคนออกไปเพียง 2-3 ก้าว หอมน้ำหยุดหันกลับมาใหม่ แต่สองคนต้องตื่นตะลึงแทบช็อกเพราะเธอหันมาแค่คอพร้อมกับพูดขู่ด้วยน้ำเสียงพุธกันยาว่า
“อย่าให้ชั้นต้องเตือนบ่อยๆ”
คอหอมน้ำหันกลับตามเดิม แล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไร

สองสาวทรุดลงกับพื้นครัว หมดเรี่ยวหมดแรงด้วยความสยดสยอง

ขณะนั้น ศวัสกำลังทอดสายตามองดอกพุดซ้อนซึ่งเริ่มมีออกดอกอีกครั้ง หอมน้ำเดินเข้ามา หยุดมองศวัสในสีหน้าอันอ่อนโยนด้วยกิริยาท่าทางของพุธกันยา ที่กำลังทอดสายตามองลูกชายด้วยความรัก

ศวัสยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แล้วเหมือนจะรู้สึกตัว หันกลับมาโดยที่หอมน้ำไม่ทันรู้ตัว ศวัสชะงัก ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเหมือนมีเงารางๆ ซ้อนร่างหอมน้ำ ศวัสขยี้ตาแล้วมองอีกครั้ง เงาซ้อนนั้นหายไป เขาถอนใจโล่งอก
“มีอะไรหรือคะ”
“เปล่า”
หอมน้ำเลื่อนสายตาไปที่ดอกพุดซ้อน “พุดซ้อนออกดอกเร็วจัง เพิ่งถูกตัดไม่เท่าไหร่นี้เอง”
ศวัสพยักหน้า “หิวหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินเล่นกันก่อน”
ศวัสออกเดิน หอมน้ำเดินตามอย่างสำรวม

ส่วนในครัวสองคนยังคงงุนงงขนลุกขนพองกับสิ่งที่เห็น
“หนอนขึ้นได้ยังไง เนื้อนำเข้าอย่างดี”
“คุณแม่บ้านคะ” แจ่มกลืนน้ำลายเอื้อก พลางพยักหน้าไปที่โต๊ะเตรียมของกลางห้อง
เยาวภาเบือนหน้ามองตาม แล้วชะงัก เมื่อเห็นเนื้อกลับอยู่ในสภาพดีเหมือนเดิม
“เป็นไปได้ยังไง”
แจ่มบอกเสียงเบา “คุณแม่บ้านเคยดูเรื่องแม่นากพระโขนงไหมคะ ดูแล้วจะเข้าใจว่าผีไทยทำได้สารพัด”
“เนื้อสองชิ้นนี่จะทิ้งแล้วทำเมนูใหม่ดี หรือว่าจะเสิร์ฟอย่างเดิม” เยาวภาถามความเห็น
“แจ่มว่าทิ้งดีกว่า เห็นภาพเมื่อกี้ยังสยองไม่หาย”
เยาวภาทอดสายตามองเนื้อด้วยสีหน้าครุ่นคิด

จากยามเย็นเป็นมืดค่ำ สองคนประจำที่ในห้องอาหาร แจ่มยกกับข้าวมาเสิร์ฟ จานอาหารมีผัดผัก ต้มยำกุ้ง น้ำพริกไข่ปู และไข่เจียวทอดอย่างสวยน่ากิน
“อ้าว ชั้นสั่งสเต็กไง” ศวัสท้วง
แจ่มอึกอัก ขณะเหลือบมองหอมน้ำ และพบว่าหอมน้ำกำลังมองอาหารด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เอ้อ...พอดีเนื้อตกลงพื้นค่ะ คุณแม่บ้านเลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็นอาหารพวกนี้”
ศวัสหันมาบอกหอมน้ำ “ต้องขอโทษด้วยนะ ที่ชั้นบอกว่าจะเลี้ยงสเต็ก”
“ไม่เป็นไรค่ะ หอมทานได้”
แจ่มเอ่ยขึ้นท่าทีเกรงๆ “เอ้อ...คุณแม่บ้านให้เรียนถามว่า น้องหอมแพ้อาหารทะเลหรือเปล่าคะ ถ้าแพ้ จะได้ทำให้ใหม่”
หอมน้ำจ้องจิกแจ่มด้วยนัยน์ตามาดร้ายแว่บหนึ่ง
“ไม่เป็นไร หอมทานได้ค่ะ ฝากบอกคุณแม่บ้านด้วยว่าขอบคุณที่เป็นห่วง”
แจ่มรีบหันหลังเดินออกไป ศวัสลงมือตักอาหารใส่จานให้หอม

พ้นจากห้องนั้นมาได้ แจ่มรีบรุดเดินเข้าครัวมา พร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่
“คุณแม่บ้านหาเรื่องให้แจ่มซะแล้ว พอแจ่มถามน้องหอมว่าแพ้อาหารทะเลหรือเปล่าเท่านั้นแหละ มองแจ่มตาเขียวเลย”
เยาวภายิ้มสะใจ “คุณกัลยา แพ้อาหารทะเล”
แจ่มสะดุ้ง “คุณแม่บ้าน”
“ชั้นแค่แก้แค้นนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง”
“โธ่เอ๊ย! แต่แจ่มนี่แหละค่ะ จะเดือดร้อน”
“อย่าลืมว่าเรามีสร้อยพระ”
แจ่มยังคงคร่ำครวญเซ็งๆ “ไม่ควรเล้ย ไม่ควรเลย”

หอมน้ำตักต้มยำกุ้งเข้าปาก
“เผ็ดไปไหม”
หอมน้ำส่ายหน้า “ไม่ค่ะ อร่อยดี”
ศวัสพยักหน้า แล้วกินต่อเงียบๆ
หอมน้ำลอบมองอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้น “เงียบจังเลยนะคะ”
“นี่มันบ้าน ไม่ใช่ผับใช่เธคจะได้เสียงดังอึกทึก”
“ขอโทษนะคะ”
ทั้งสองกินกันต่อเงียบๆ อีกครู่หนึ่ง หอมน้ำจึงบอกว่า
“ที่หอมพูดเมื่อกี้ หมายถึงว่า พอไม่มีคุณพุธกันยา บ้านก็เงียบเหลือเกิน”
“อย่าเอาคุณแม่ชั้นมาพูดเรื่อยเปื่อย”
ทันใดโต๊ะอาหารสั่นเหมือนมีใครมาเขย่า ศวัสสะดุ้ง ขณะที่หอมน้ำเม้มปากไม่พอใจ
ไม่เท่านั้นไฟโคมเหนือโต๊ะกินข้าวยังแกว่งไปมาเหมือนถูกเขย่าอีก ศวัสเงยหน้ามอง ส่วนหอมน้ำตวัดสายตามองโดยรอบอย่างหงุดหงิด
ศวัสพึมพำ “คุณแม่”
หอมน้ำเสียงแข็ง โดยลืมตัว “ไม่ใช่ค่ะ”
ศวัสหันมามอง “แล้วจะเป็นใคร”
หอมน้ำทำหน้าตาใสซื่อตามเดิม “หอมเคยอ่านหนังสือที่พูดถึงพวกสัมภเวสีหรือพวกผีเร่ร่อน หอมแน่ใจว่าต้องเป็นพวกนี้แน่ เพราะถ้าเป็นคุณพุธกันยา หอมก็ต้องเห็นท่านซิคะ แต่นี่หอมไม่เห็นใครเลย”
แก้วน้ำข้างหอมน้ำเลื่อนจากโต๊ะ ตกลงแตกกระจาย ศวัสสะดุ้งเฮือกมองฉงน

ขณะที่พุธกันยาในร่างหอมน้ำมีสีหน้าโกรธถึงขีดสุด และรู้ว่าเป็นฝีมือใคร?

อ่านต่อหน้า 2

ใยกัลยา ตอนที่ 14 (ต่อ)

หลังมื้อค่ำอันแสนวุ่นวาย ศวัสมาส่งหอมน้ำหน้าหอพัก แล้วกลับไปเลย บรรยากาศรอบๆ หอพักยามนี้ ยังคงคึกคักอยู่

เมื่อหอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงเดินเข้ามาในห้อง เธอทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด
“เรื่องชักจะยุ่งไปกันใหญ่แล้วใช่ไหมคะ” เสียงหอมน้ำตัวจริงดังขึ้น
หอมน้ำที่ถูกสิงชะงัก ลุกขึ้นแล้วเดินมาที่หน้ากระจก ทว่าภาพในกระจกปรากฏเป็นหอมน้ำตัวจริง
ส่วนพุธกันยาปรากฏร่างซ้อนกายหอมน้ำอยู่เห็นได้ชัด ทั้งคู่เปิดฉากประคารมกันอย่างคิดว่าตัวเองเป็นต่ออีกฝ่าย
“พี่แจ่มกับคุณแม่บ้านพบสร้อยพระของแท้แล้ว อีกไม่ช้าทุกคนก็จะรู้ความจริง”
พุธกันยายิ้มแสยะเย้ยหยัน “ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้น เธอก็จะหายไปจากโลกนี้แล้ว แปลกดีเหมือนกันนะ ปกติคนตายร่างกายย่อมเน่าเปื่อยไปตามสภาพ เหลือแต่ดวงวิญญาณ แต่เธอตายวิญญานกลับสูญสลาย เหลือแต่ร่างกาย ความจริง เธอต้องขอบใจชั้นเสียด้วยซ้ำที่ทำให้ร่างกายของเธอยังอยู่”
“ใครทำสร้อยพระปลอมให้คุณ”
พุธกันยายักไหล่นิดๆ ท่าประจำของเธอ “เจค เขาคอยช่วยชั้นทุกอย่าง”
“นึกแล้วไม่มีผิด”
พุธกันยามองหอมน้ำอย่างเพ่งพิศ “เธอเปลี่ยนไปมาก ไม่ขี้แย เอะอะอะไรก็ร้องไห้เหมือนเมื่อก่อน สามารถสู้ตากับชั้นได้ แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างมันสายเกินไป”
หอมน้ำมองตอบ “คุณทำให้หอมเข้มแข็งขึ้น คุณทำให้หอมรู้สึกอยากสู้เพื่อตัวเอง เพื่อทุกคนที่หอมรัก และหอมสัญญากับคุณเลยว่า หอมจะแย่งร่างของหอมกลับมาให้ได้”
พุธกันยาหมั่นไส้แกมรำคาญ “ไม่ต้องมาสัญญิงสัญญาอะไรกับชั้น เพราะชั้นไม่รับ”
หอมน้ำยิ้มบางๆ “รับหรือไม่รับ หอมก็จะเอาร่างของหอมคืนมา หอมไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด”
พุธกันยาเหยียดยิ้ม “ก็ลองดู”
“แน่นอนค่ะ”
ร่างหอมน้ำในกระจกเลือนหายไป
“นังเด็กเมื่อวานซืน”
พุธกันยาเคียดแค้นสุดจะประมาณ

ฝ่ายบุรีกลับจากทานข้าวกับขวัญอนงค์เดินเข้ามาในห้องโถง และจะเลยไปที่บันได
เสียงเยาวภาดังขึ้น “คุณบุรีคะ”
บุรีหันไปมองสีหน้า “ อ้าว! เยาว์ แจ่ม มีอะไรหรือ”
แจ่มเหลือบมองเยาวภา เหมือนจะยกให้เป็นหน้าที่ของเยาวภาทุกอย่าง
“เยาว์มีเรื่องสำคัญจะต้องเรียนให้คุณทราบ โดยมีแจ่มเป็นพยาน”
บุรียังอารมณ์ดีอยู่ “ฟังดูท่าจะเป็นเรื่องใหญ่นะนี่”
“ค่ะ เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเกี่ยวกับคุณกัลยา”
บุรีชะงัก “กัลยาทำไม”
“คุณกัล...”
ทันใดนั้นเอง ไฟในบริเวณนั้นก็ดับลงทันที แจ่มกระโดดเข้ากอดเยาวภาร้องลั่น
“ผีหลอก”
เยาวภาสะบัดสุดแรงจนร่างแจ่มกระเด็น
“นังบ้า”
ไฟกลับมาสว่างขึ้นมาอีก ทุกคนถอนใจเฮือก
แจ่มถอนใจดังกว่าใคร “เฮ้อ” บอกกับเยาวภาว่า “คุณแม่บ้านว่าต่อเลยค่ะ”
เยาวภาชักฉุน “อย่ามาสั่งชั้น”
บุรีเองเริ่มรำคาญ “มีอะไรก็รีบพูดมา ชั้นเหนื่อย”
เยาวภาแขวะทันที “ไปทำอะไรมาล่ะคะ”
บุรีชะงัก หน้าตึงมองหน้าเยาวภาอย่างไม่พอใจ จนคุณแม่บ้านผู้เย็นชาต้องหลบตา ยืนนิ่งไป
บุรีมองสองสาวสลับกัน แล้วเดินขึ้นบันไดไป
แจ่มรีบสะกิดเยาวภา “ไปโน่นแล้วค่ะ คุณแม่บ้าน”
เยาวภาโพล่งขึ้นเสียงดังและพูดเร็วปรื๋อ “คุณกัลยายังไม่ได้ไปไหน”
บุรีหยุดกึก แล้วหันกลับมามอง
เยาวภาบอกต่อ “แจ่มมันไปพบ...”
ไม่ทันจะพูดอะไรต่อเยาวภาสะดุ้งเฮือก ด้วยที่คอของมีไอเย็น จากลมหายใจวิญญาณพุธกันยา เป่ารดที่ต้นคอ จนผมบริเวณนั้นปลิว เยาวภาขนลุกซู่
แจ่มหันหน้ามามองเห็นเยาวภาซึ่งยืนตัวแข็ง พูดไม่ออก
บุรีส่ายหน้า แล้วเดินขึ้นไป
แจ่มร้อนใจ “คุณแม่บ้าน”
คราวนี้แจ่มชะงัก ที่ลำคอแจ่มเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับที่เยาวภาเจอเมื่อครู่นี้ และแจ่มยืนตัวแข็งทื่อตามกัน
เยาวภาหันมามองแจ่ม “ทำไมไม่พูดต่อล่ะ”
จากนั้นเยาวภาเดินกลับเข้าไปหลังบ้าน แจ่มเดินตามไปทันที

ฝ่ายศวัสกำลังนั่งมองภาพดอกพลับพลึงธาร ในกรอบรูป ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด กระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ศวัสวางรูปลง แล้วลุกเดินมาเปิดประตู

“อ้าว คุณพ่อ เชิญครับ”

บุรีเดินเข้ามา ศวัสปิดประตูลง หันมามองผู้เป็นบิดา แล้วทำหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นใบหน้าค่อนข้างเคร่งขรึมของพ่อ

“มีอะไรหรือครับ คุณพ่อ”
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อกี้เยาวภากับแจ่มมาพูดเรื่องแม่ของลูก”
ศวัสชะงักไปชั่วขณะ “คุณแม่ทำไมหรือครับ”
“เห็นเยาว์บอกว่า กัลยายังไม่ไปไหน แล้วก็นิ่งไป ไม่พูดอะไรอีก พ่อรำคาญเลยขึ้นมา”
“น้าเยาว์แกนึกอะไรขึ้นมา” ศวัสแปลกใจ
บุรีไหวไหล่นิดๆ “พ่อก็ไม่รู้ ศวัสคิดว่ายังไง ถ้าหากพ่อจะแต่งงานกับขวัญอนงค์...”
ศวัสทั้งประหลาดใจแล้วดีใจ “จะคิดยังไง ก็ดีใจน่ะซิครับ”
วิญญาณพุธกันยาซึ่งเพิ่งก้าวผ่านประตูเข้ามา หยุดชะงัก เบิกตากว้างอย่างตกใจ
บุรีถอนใจยาว “แม่เขาจากเราไปจริงๆแล้ว พ่อควรจะก้าวต่อไปเสียที”
“ไม่ กัลยังไม่ได้ไปไหน” พุธกันยาแผดเสียงขึ้นมา แต่ไม่มีใครได้ยิน
ศวัสเดินมาใกล้ “ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณพ่อจมอยู่กับความทุกข์มานานแล้ว อาขวัญเป็นคนดี คุณพ่อสมควรจะได้มีความสุขเสียที”
พุธกันยาน้ำตาไหลพราก “แล้วแม่ล่ะลูก แม่จะอยู่ได้ยังไง ถ้าคุณพ่อแต่งงานไปกับคนอื่น”
บุรีดึงศวัสมากอดนิ่งๆ ครู่หนึ่ง “ขอบใจลูก ขอบใจมาก”
พลางบุรีตบไหล่ลูกชายเบาๆ แล้วคลายแขนออก
“แล้วศวัสล่ะ” บุรีอมยิ้ม
“ผมทำไมหรือครับ”
“อายุอานามลูกก็สมควรจะมีเหย้ามีเรือนได้แล้ว หน้าที่การงานก็ดี” บุรีเว้นคำพูดอีกนิดแล้วยิ้มล้อๆ “หนูหอมน้ำก็จะเรียนจบปีนี้แล้วไม่ใช่หรือ”
พุธกันยาสะดุ้ง
ศวัสทำหน้าเก้อๆ เขินๆ “หอมยังเด็ก แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับผม”
“ถามเขาซิ ไม่เห็นจะยาก”
ศวัสยังมีท่าทางเขินๆ อยู่ บุรีตบไหล่ศวัสเบาๆ
“ขอให้โชคดี”
บุรีเดินออกไป ศวัสสูดลมหายใจยาวอย่างมีความสุข
พุธกันยาโกรธจนหน้าเขียว นัยน์ตากลับเป็นสีดำทั้งดวง “มีความสุขกันเหลือเกิ๊น ชั้นอุตส่าห์ต่อสู้แทบตายกว่าจะได้ชีวิตใหม่มา ชั้นไม่มีวันยอมแพ้แน่”

บุรีเข้าห้องนอนมา ฮัมเพลงอย่างมีความสุข ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ
พุธกันยาปรากฏตัวขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “มีความสุขกันเหลือเกิ๊น มีความสุขกันเหลือเกินพ่อกับลูก”
บุรีเดินไปถึงประตู ยังไม่ทันจะเปิด ประตูเปิดแล้วปิดเองดังปัง บุรีสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองโดยรอบ พบว่าทุกอย่างเงียบสนิทจนวังเวง บุรีส่ายหน้าประมาณว่า ไม่มีอะไร แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
พุธกันยามองตาม กำมือแน่นด้วยความเคียดแค้นใจ

พุธกันยาในสภาพใบหน้าโกรธขึ้ง เดินออกมาจากประตู ตรงมาที่บันได แล้วชะงัก เมื่อเห็นร่างวิญญาณหอมน้ำแวบๆ ก้าวลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว พุธกันยารีบรุดตามลงไป

พุธกันยาก้าวออกมาจากบ้านมาหน้าตึกใหญ่ แลเห็นร่างนั้นกำลังตรงไปที่หน้าบ้านอย่างรวดเร็ว
“หอมน้ำ”
หอมน้ำหันมามอง แล้วหันกลับรีบพุ่งตัวออกไปโดยไว พุธกันยารีบตามไปทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์เคียดแค้นหงุดหงิด

รอบๆ หอพักค่อนข้างเงียบ ด้วยเป็นเวลาค่อนข้างดึก
ภายในห้องพัก กายร่างหอมน้ำนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่บนเตียง วิญญาณหอมน้ำเร่งรีบวิ่งทะลุประตูเข้ามา แล้วตรงไปที่ร่างตัวเองบนเตียงอย่างเร่งร้อน แต่พุธกันยาตามเข้ามาแล้ว
“หอมน้ำ”
หอมน้ำทำท่าจะกระโจนเข้าไปในกายร่าง
พุธกันยาแซงเข้าไปได้ก่อนอย่างหวุดหวิด แล้วพลิกตัวหนีโดยไว
วิญญาณหอมน้ำกระโจนลงมาบนที่นอน โดยที่นอนไม่เป็นรอยใดๆ เพราะวิญญาณเบาหวิว
หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงลุกขึ้น ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“คิดจะแย่งร่างของชั้นหรือ”
“ร่างของหอมต่างหาก คุณแย่งร่างของหอมไป”
หอมน้ำถูกสิง หัวเราะ “คนที่แข็งแรงกว่า เข้มแข็งกว่าเท่านั้นถึงจะเป็นผู้ชนะ”
“แต่ชัยชนะที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรมเป็นชัยชนะที่จอมปลอม”
“จะจอมปลอมหรือจะจริง มันก็คือชัยชนะ”
“แล้วเราจะได้เห็นกันค่ะ ก็อย่างที่หอมบอก หอมจะพยายามเอาร่างของหอมคืนมาให้ได้”
หอมน้ำที่ถูกสิงส่ายหน้า “เธอนี่มันดื้อจริงๆ นี่ถ้าเราต้องเป็นแม่ผัวกับลูกสะใภ้กันจริงๆ ละก็ มีหวังละครน้ำเน่ายังต้องอาย”
วิญญาณหอมน้ำตัวจริงค่อยๆ พร่าพราย ร่างหายๆ มาๆ มีสภาพคล้ายจอภาพทีวีภาพเสีย เหมือนเริ่มจะบังคับไม่ได้ หอมน้ำมีสีหน้าตื่นตระหนก
หอมน้ำที่ถูกสิงนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความพอใจ “ใกล้จะได้ไปสู่สุคติแล้วล่ะซิ” น้ำเสียงพูดเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาไงล่ะ”
หอมน้ำตัวจริงพยายามจะบังคับร่างของตนให้กลับมา โดยใช้พลังเต็มที่
หอมน้ำที่ถูกสิงปิดปากหาว “พยายามต่อไปนะ ชั้นจะนอนละ”
หอมน้ำที่ถูกสิง เดินไปปิดไฟ แล้วเดินมาล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมร่าง หลับตาลง

หอมน้ำมองร่างสภาพของตัวเองนั้นด้วยความเจ็บใจ

ท่ามกลางความมืดสลัวและวังเวงนั้น ศวัสนอนหลับสนิท จนเสียงเรียกของหอมน้ำดังขึ้น

“คุณหมอคะ คุณหมอฟันทันตแพทย์”
เปลือกตาศวัสเริ่มขยับ
“คุณหมอ”
ศวัสลืมตาขึ้น แล้วต้องสะดุ้ง
เมื่อเห็นร่างหอมน้ำกำลังเดินออกไปในขณะที่ประตูเปิดออก ศวัสมองตาแทบไม่กระพริบ
ประตูค่อยๆ ปิดลงตามเดิม ศวัสรู้สึกตัว รีบลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูตามออกไป

ศวัสปิดประตูแล้วก้าวมาตรงระเบียงหัวบันได แล้วเหลียวมองหา เห็นหอมน้ำยืนอยู่ที่หัวบันได
“หอมน้ำW”
หอมน้ำยิ้มเศร้าๆ แล้วหันหลังเดินลงไป
“หอมน้ำ เดี๋ยว”
หอมน้ำเดินลงบันไดไปช้าๆ
“ชั้นบอกว่า อย่าเพิ่งไป”
หอมน้ำเดินไปเหมือนไม่ได้ยิน ศวัสจดเท้าเดินตามด้วยสีหน้าหงุดหงิด

ศวัสตามหอมออกมาบริเวณสนาม แต่หอมน้ำหายไปแล้ว เขาเหลียวมองหา พลางร้องเรียก
“หอมน้ำ” เสียงดังสะท้อนก้องไปมา
ทุกอย่างเงียบสนิท ศวัสตะโกนอีก “หอมน้ำ”
เขาเห็นร่างหอมน้ำยืนหันหลังให้อยู่มุมหนึ่ง ศวัสโล่งใจ “หอมน้ำ”
ศวัสรีบรุดเดินตรงไปหา ร่างนั้นทำท่าจะเดินจากไปอีก ศวัสรีบคว้าไว้ แล้วจับไหล่ให้หมุนกลับมา แต่ศวัสต้องชะงัก เมื่อร่างนั้นหันกลับ มากลายเป็นพุธกันยาส่งยิ้มอย่างเอ็นดูรักใคร่มาให้
“คุณแม่

ศวัสฝันไป เวลานี้ตกใจตื่น “คุณแม่”
ศวัสลุกขึ้นนั่ง แล้วมองไปที่นาฬิกา นาฬิกาบอกเวลาตีสาม
ศวัสยังคงมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

บรรยากาศยามเช้าที่ค่อนข้างขมุกขมัว
ศวัสเดินเข้ามาภายในห้องทานข้าว ขณะที่บุรีกำลังอ่านหนังสือพิมพ์หน้าเศรษฐกิจอยู่ บุรีพับหนังสือพิมพ์วางลง เมื่อเหลือบเห็นศวัส
“ราคาทองผันผวนทุกวัน เลยขายไม่ได้สักที”
“เมื่อคืนผมฝันแปล”
แจ่มยกอาหารเช้าเข้ามาเสิร์ฟ แล้วยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนมีอะไรอยากจะพูด
“มีอะไรหรือแจ่ม”
เยาวภาเดินเข้ามา “ไปหยิบมาให้คุณผู้ชายดูซิ”
“ค่ะ” แจ่มรีบเดินออกไป
ศวัสถามอย่างแปลกใจ “ดูอะไรหรือครับ น้าเยาว์”
“สร้อยพระค่ะ”
บุรี กะศวัสแปลกใจมากขึ้น “สร้อยพระอะไร”
“เดี๋ยวก็รู้” เยาวภาบอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น แววตามาดหมาย

แจ่มกำลังค้นหาสร้อยพระด้วยสีหน้างุนงงและตกใจ
“หายไปไหน”
แจ่มเปิดลิ้นชัก ค้นหาในตู้ ตลอดจนก้มลงดูใต้โต๊ะ ใต้เตียง แทบจะพลิกห้องหา จนเมื่อเงยหน้าขึ้นหัวดันชนโต๊ะอีก
“โอ๊ย” แจ่มเอามือกุมหัวนั่งพิงโต๊ะ สีหน้าเหมือนจะร้องไห้

ด้วยทั้งเจ็บหัวและเจ็บใจที่สร้อยหายไป

พอฟังแจ่มเล่าจบ เยาวภาออกอาการฮึดฮัดโมโหมาก

“ไม่มี หมายความว่ายังไง”
แจ่มเช็ดน้ำตา “หมายความว่าหายไปแล้วค่ะ”
“จะหายไปได้ยังไง” เยาวภาหงุดหงิดสุดๆ
“แจ่มไม่ทราบ” แจ่มร้องไห้โฮ
บุรีโบกมืออย่างรำคาญ “ช่างเถอะ ไม่เจอก็ไม่เจอ”
“ช่างไม่ได้ค่ะ ของมันเห็นๆกันอยู่” เยาวภาโมโหไม่หายหันขวับมาถลึงตาใส่แจ่ม “แกเอาไปขายหรือเปล่า ทองยิ่งแพงๆ อยู่”
“โธ่! คุณแม่บ้าน” แจ่มสะอึกสะอื้น
“คงไม่ใช่หรอกครับ ถ้าหากแจ่มจะเอาไปขาย คงไม่มาบอกน้าเยาว์ตั้งแต่แรกหรอกครับ”
“ว่าไม่ได้ ความโลภมันไม่เข้าใครออกใครอยู่แล้ว”
บุรีติง “ไม่เอาน่า เยาว์ ชั้นเชื่อว่าแจ่มคงไม่มีวันทำอย่างนั้น ว่าแต่แน่ใจนะ ว่าแจ่มไม่ได้เอามาฝากเยาว์ไว้”
เยาวภาชะงัก ฉุนกึก “คุณบุรี นี่คุณหาว่าเยาว์...เยาว์ขโมยเอาไปขายหรือคะ”
บุรีชักจะหงุดหงิด “ชั้นยังไม่ได้พูดอย่างนั้นสักคำ ที่ถามก็เผื่อว่าเยาว์อาจจะลืม”
“เยาว์ไม่มีวันลืม รู้งี้เยาว์เก็บไว้เองก็ดี”
เยาวภาบ่นบ้าพลางเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
แจ่มบอกกับสองพ่อลูกผู้เป็นนาย “แจ่มสาบานว่าแจ่มไม่ได้เอาไปขายจริงๆ ค่ะ”
“ไม่ต้องสาบานอะไรหรอก ไปล้างหน้าล้างตาไป๊”
“ค่ะ” แจ่มคอตกออกไป
“แกคิดว่ายังไง”
“ไม่ทราบซิครับ แจ่มไม่น่าจะโกหก”
“แล้วมันจะหายไปไหนได้”
“ถ้า...ถ้านะครับ ถ้าวิญญาณคุณแม่จะมาเอาไป”
“ผีจับพระได้ที่ไหน”
ศวัสกุมขมับครู่หนึ่ง “เมื่อคืนผมฝันถึงคุณแม่”
ศวัสเล่าเหตุการณ์ให้พ่อฟัง บุรีรับฟังด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ถ้าแม่ของแกยังไม่ได้ไปไหน”
ศวัสฉุกคิด ลุกขึ้นทันที “ผมขอตัวก่อนนะครับคุณพ่อ” หมอหนุ่มรีบเดินออกไป
“นั่นแกจะไปไหน”
บุรีถอนใจเฮือก เมื่อพบว่าศวัสเดินเร็วจนลับตาไปแล้ว

ศวัสขับรถเข้าบริเวณหอพัก ซึ่งมีนักศึกษาเดินไปมา เข้าออกตามปกติ รถศวัสขับมาจอดลงตรงมุมหนึ่งห่างตึกหอพัก หมอหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร
เขนรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คุณหมอฟันทันตแพทย์มีอะไรหรือคะ ได้ค่ะได้ เดี๋ยวเขนล้างหน้าแปรงฟันแล้วจะลงไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
เขนวางโทรศัพท์ลง สีหน้ายังงงๆ “มีอะไรแต่เช้า”
สาวอวบหาวเสียงดัง แล้วลุกขึ้นจากเตียง

ถัดมา เขนเดินเข้ามาในบริเวณที่ศวัสบอกจอดรถรออยู่ แล้วชะเง้อมองหา จนเห็นไฟหน้ารถศวัสกระพริบเป็นสัญญาณ เขนรีบเดินไปเปิดประตูรถด้านหน้า แล้วขึ้นไปนั่ง ศวัสขับรถออกไป

สองคนอยู่ในร้านอาหารบรรยากาศเงียบๆ ไม่ไกลจากหอพักนัก รอสักครู่บริกรยกข้าวมันไก่ร้อนๆ เนื้อไก่สับพอคำต่างห่างอีกจาน และแกงจืดควันฉุยเดินมาวางให้
เขนเขินๆ “คุณหมอไม่รับประทานด้วยกันหรือคะ”
“เชิญตามสบาย ชั้นอิ่มแล้ว”
“งั้น...เขนไม่เกรงใจละนะคะ”
ศวัสพยักหน้า “เอาเลย แต่มีข้อแม้อย่างนึง”
“หลายอย่างก็ได้ค่ะ”
“ชั้นอยากให้เธอคอยสังเกตหอมน้ำให้หน่อย”

เขนชะงัก เงยหน้าจากช้อนที่กำลังจะเข้าปากมองฉงน

ฝ่ายหอมน้ำเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยหน้าตาสดชื่นพลางเช็ดหน้าเช็ดตา
“การมีชีวิตนี่เป็นเรื่องประเสริฐที่สุด ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนบางคนถึงได้ฆ่าตัวตาย”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หอมน้ำเดินมาหยิบขึ้นดู เห็นที่หน้าจอปรากฏชื่อ “คุณเจค” ก็ให้รำคาญเล็กๆ
“นี่ก็โทร.มาแต่เช้า”

หอมน้ำยืนมองดูมือถือดัง จนสัญญาณขาดหายไป พลางยักไหล่แล้ววางลงอย่างไม่แยแส

ขณะเดียวกัน เจคซึ่งเข้าออฟฟิศแต่เช้า เวลานี้อยู่ในห้องทำงาน และก้มลงมองโทรศัพท์ด้วยสีหน้าสดชื่น

“ท่าจะยังไม่ตื่น”
เจควางโทรศัพท์ลง ในจังหวะที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก เป็นพิไลยกกาแฟร้อนๆ กับแซนด์วิชน่ากินเข้ามาให้
“กาแฟกับแซนด์วิชค่ะ”
“ขอบใจ”
“สายๆ คุณเจคจะรับประทานอะไรคะ”
“สงสัยจะไม่ไหวแล้วล่ะ กาแฟกับแซนด์วิชนี่ก็อิ่มไปถึงมื้อเที่ยง”
พิไลอ้าปากจะถามอีก
“แต่มื้อเที่ยง ชั้นจะออกไปกินข้าวข้างนอก”
“ค่ะ” พิไลเดินไปที่ประตู ขยับจะเปิดออก แล้วนึกได้หันกลับมา “คุณเจคคะ”
เจคยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ตามองพิไลเป็นคำถาม
“เมื่อวาน ป้าได้ยินคุณโค้กพูดว่า คุณเจคจะเอาหนังทุกเรื่องที่พุธกันยา เคยเล่นไว้มาสร้างใหม่อีกหรือคะ”
“ใช่ เป็นไง ป้าว่าดีไหมล่ะ”
“ไม่ดีค่ะ เพราะไม่มีใครอีกแล้วที่จะเหมือนพุธกันยา นางเอกในดวงใจของป้า”
เจคยิ้ม “ถ้าเขารู้ เขาคงจะดีใจที่มีแฟนคลับเหนียวแน่นขนาดนี้”
“แล้ว...คุณเจคจะให้ใครมาเล่นแทนพุธกันยาหรือคะ”
เจคนัยน์ตาเป็นประกายแห่งความสุขขึ้นมาแว่บหนึ่ง “หอมน้ำไง รับรองว่าบทบาทไม่แพ้พุธกันยาแน่”
พิไลถอนใจเศร้า “ไม่มีใครอีกแล้วที่จะมาแทนที่พุธกันยาได้ โลกนี้มีพุธกันยาเพียงคนเดียวเท่านั้นค่ะ”
จากนั้นพิไลเปิดประตูเดินออกไป ปิดประตูลงเบาๆ
เจคหัวเราะขัน “เป็นเอามาก” แล้วหยิบแซนด์วิชมากิน

จานไก่ชิ้นสับพอคำ และจานข้าวมันสองจานเกลี้ยงในพริบตา ศวัสมองเขนอย่างทึ่งๆ
“เก่งนี่ ไม่ค่อยเคยเห็นใครกินข้าวมันไก่มื้อเช้าทีเดียวสองจาน”
“คุณหมอเล่นชมเสียเขินเลย ความจริง จานที่สาม เขนก็ยังไหวนะคะ”
“อ้วนขนาดนี้ยังไม่พออีกเหรอ”
เขนยิ้มแห้งๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขนล้วงกระเป๋าหยิบขึ้นมาดูแล้วเงยหน้าบอกศวัสตื่นๆ
“หอมน้ำโทร.มาค่ะ”
ศวัสพยักหน้า “รับซิ”
เขนรับโทรศัพท์ตามที่ศวัสบอก
“ว่าไงหอม อ๋อ! เขนออกมากินข้าว เมื่อคืนนอนหิวท้องร้องจ๊อกๆทั้งคืน หอมจะกินอะไรมั้ย เขนจะซื้อเข้าไปให้ โอเคจ้ะ เดี๋ยวเจอกัน”
เขนเก็บโทรศัพท์ ด้วยสีหน้ากังวล
“คุณหมอว่าหอมเขาจะรู้มั้ยคะ ว่าเราแอบสงสัยเขา”
“ถ้าเธอไม่ทำอะไรผิดปกติ เขาก็ไม่รู้ ระวังหน่อยก็แล้วกัน”
ศวัสพูดพลางเรียกบริกรมาคิดเงิน แล้วส่งให้
“ไป”
เขนลุกเดินตามศวัสออกไป

บรรยากาศบริเวณหอพักเริ่มพลุกพล่าน ขณะศวัสขับรถมาจอด ประตูเปิดออก เขนก้าวลงมาพร้อมถุงใส่โจ๊กกับปาท่องโก๋ หันมาไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
ศวัสรับไหว้ แล้วขับรถออกไป เขนมองตาม แล้วเดินไปสู่หอพัก
“เขน” เสียงหอมน้ำเรียกดังมา
เขนสะดุ้ง หันไปมอง ด้วยสีหน้าผิดปกติไป พลางเหลือบไปมองทางที่รถศวัสแล่นไปอย่างกังวลแว่บหนึ่ง
“อ้าว หอม มาอยู่ตรงนี้นานแล้วหรือยัง”
หอมน้ำหัวเราะเสียงใส “ถามแปลกๆ หอมเพิ่งมา”
เขนโล่งใจแล้วส่งถุงให้ “เอ้า โจ๊กกับปาท่องโก๋”
หอมน้ำรับมาแล้วเดินเข้าหอไปด้วยกัน “ขอบใจ นึกยังไงถึงออกไปกินข้าวคนเดียวโดยไม่รอหอม”
“ก็บอกแล้วไงว่าหิวตั้งแต่เมื่อคืน”

หอมน้ำเอาโจ๊กกับปาท่องโก๋ใส่ชาม ขณะที่เขนเดินไปเปิดหน้าต่าง
“เขนกินปาท่องโก๋นะ หอมไม่ชอบ”
เขนชะงัก “แต่หอมเคยชอบนี่”
“ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว เดี๋ยวอ้วน เดือนหน้าจะฟิตติ้งหนังแล้ว”
“แน่ใจเหรอหอม ว่าจะเล่นละครเป็นอาชีพ”
หอมน้ำตักโจ๊กทาน “ถามทำไม ไม่อยากให้หอมเล่นหรือ หอมจะให้เขนเป็นผู้จัดการ”
เขนจ้องหน้าเพื่อน “ไหนหอมบอกว่าไม่ชอบวงการนี้”
หอมน้ำเยื้อนยิ้ม “ก็บอกแล้วนี่ ว่าหอมเปลี่ยนใจแล้ว” พลางมองหน้าเขนท่าทีจริงจัง “หรือว่า เขนสงสัยอะไร”
เขนรีบปฏิเสธทันที “เปล่า”
หอมน้ำวางช้อน ท้าวคางมอง “รู้มั้ย หมู่นี้เขนมีอะไรแปลกๆ”
เขนทำไม่รู้ไม่ชี้ “เหรอ แต่เขนว่า เขนปกตินะ” สาวอวบรีบเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้จะไปไหนหรือเปล่า”
“ไป หอมจะไปพบคุณเจค”

หอมน้ำตักโจ๊กกินต่อ ทำตัวเหมือนปกติทุกอย่าง เขนลอบมองด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ด้วยหนังเรื่องใหม่ใกล้จะเปิดกล้อง ในออฟฟิศเจคตอนนี้ บรรดาพนักงาน ทำงานกันไปตามปกติ โค้กกำลังคุยกับพนักงานอีกกลุ่มหนึ่งหน้าเค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

ส่วนในห้องทำงานเจค เพลินพิศซึ่งเพิ่งมาถึง ก้มลงไหว้เจคอย่างอ่อนช้อยเหมือนจะขอลุแก่โทษ
“เพลินต้องกราบขอประทานโทษจริงๆ ค่ะ ที่ยังรับเล่นเป็นตัวรองไม่ได้ เพราะคุณวดีจะให้เพลินเป็นนางเอกละครเรื่อง…เล่ห์ร้ายกระหายรัก”
เจคสะดุ้งกับชื่อละครเรื่องแรกของ สีรีย์ ช้อยนิ่ม “เรื่องอะไรนะ”
“ฟังให้ดีนะคะ” เพลินพิศกระแอมเล็กๆ “เรื่อง “เล่ห์ ร้าย กระ หาย รัก” ค่ะ” เจ้าหล่อนออกเสียงทีละพยางค์ “นางเอกเป็นแวมไพร์”
เจคบอกหน้าตาย “นึกว่าซอมบี้”
เพลินพิศค้อนขวับ “คุณวดีบอกว่า ท่านจะปั้นให้เพลินเป็นนางเอก เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เพลินจะต้องเอาบทละครทุกเรื่องที่รับจะเล่นไปให้ท่านดูก่อนทุกครั้ง” ว่าที่นางเอกพูดอย่างภาคภูมิ
เจคนิ่วหน้าแว่บหนึ่ง “เขาจะเป็นผู้จัดการให้คุณหรือ”
“ค่ะ ซึ่งนับเป็นเกียรติกับเพลินอย่างสูง” เพลินพิศหน้าระรื่น
“เป็นเกียรติหรือเป็นกรรมกันแน่” เจคอดแดกดันไม่ได้
เพลินพิศค้อนควัก “แหม! คุณเจคละก็”
“ได้ยินมาว่าน้องเอิงจะเล่นด้วยนี่”
“อ๋อ! บทของน้องเอิงจะเป็นรองบทของเพลินค่ะ”
เจคขยับตัว “ถ้าอย่างนั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วย”
“ขอบคุณค่ะ” เพลินพิศลุกขึ้นยืน “ถ้าหากคุณเจคมีบทนางเอกจะให้เพลินรับใช้ละก็ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”
“ไม่เกรงใจอยู่แล้ว” เจคสัพยอก
เพลินพิศไหว้ลา “เพลินลาล่ะค่ะ”
เจครับไหว้ มองตามเพลินพิศที่เดินออกไป ท่าทีปลงๆ กึ่งเวทนา
“ให้ยัยวดีเป็นผู้จัดการเนี่ยนะ”

บริเวเค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ออฟฟิศ พิไลกำลังยกถาดวางจานข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวมาให้โค้ก ซึ่งนั่งคุยกับคนอื่นๆ อยู่บริเวณนั้น
“กระเพราไก่ไข่ดาวมาแล้วค่ะ คุณโค้ก”
“ขอบคุณครับ ป้า”
คนอื่นๆ แซว “โห ! อิจฉาพี่โค้กจังเลย”
“อย่าอิจฉาเลยจ้ะ คุณโค้กเขาเป็นคนอัดหนัง อัดละครที่คุณพุธกันยาเล่นมาให้ป้า ซาบซึ้งสุดๆ”
เพลินพิศเดินเข้ามาอย่างภาคภูมิ “นางเอกใหม่มาแล้ว ใครอยากถ่ายรูปด้วยบ้างจ๊ะ”
ทุกคนหันไปมอง
เพลินพิศเชิดหน้าคุยจ้อ “เพลินกำลังจะได้เป็นนางเอกละครของคุณวดี...”
ในขณะที่เพลินคุยโอ่อยู่ หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง เดินเข้ามา ยกมือไหว้โค้ก พิไล และคนอื่นๆ โดยแกล้งมองผ่านเพลินพิศไป
“สวัสดีค่ะ พี่โค้ก ป้าพิไล แล้วก็พี่ๆ ทุกคน”
โค้กแดกดันนิดๆ “นี่ก็นางเอก เอ๊ะ! วันนี้เจอแต่นางเอก ไปดีกว่า รัศมีเราไม่ถึง”
โค้กยกจานข้าวลุกเดินหนีไป คนอื่นๆแยกย้ายตามหน้าที่ ยกเว้นพิไล
หอมน้ำมองตามหน้าเศร้า “พี่โค้กยังโกรธหอมไม่หายเลย”
เพลินพิศกระแนะกระแหน “ก็เธอหลอกใช้เขานี่ เป็นใคร...ใครก็ต้องโกรธ บาย” ว่าที่นางเอกโปรยยิ้มเยาะแล้วเดินไป
หอมน้ำเม้มปากขณะมองตาม
“อย่าไปถือสาเลยค่ะ แกขี้อิจฉาน่ะ ได้ข่าวว่าหนูจะเล่นหนังทุกเรื่องที่พุธกันยาเคยเล่นไว้”
“ค่ะ หอมดีใจมากเลย ป้าต้องคอยดูนะคะ”
พิไลยิ้มเอ็นดู “จะไม่ให้คลาดสายตาเลยล่ะค่ะ ป้าไปละ”
พิไลเดินไปเลย หอมน้ำมองตาม โดยไม่สังหรณ์ใจใดๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไป

ถัดมา เจคลุกเดินยิ้มหน้าบานเปิดประตูรับหอมน้ำ แล้วเดินตามเข้ามา
“เขนล่ะ”
“ไปพบอาจารย์ค่ะ”
“ดีเหมือนกัน จะได้คุยกันสะดวกหน่อย”
“บทเขียนจบหรือยังคะ”
“ใกล้แล้ว” เจคมองหอมน้ำเป็นเชิงชั่งใจแว่บหนึ่ง “คุณบุรีเขารู้หรือยังว่าคุณเป็นใคร”
“กัลว่าจะปรึกษาเรื่องนี้กับคุณอยู่พอดี”

สีหน้าหอมน้ำดูเคร่งเครียดและกังวลชัดแจ้ง

เพลินพิศกำลังเกลี้ยกล่อมโค้กอยู่ข้างๆ รถ เรื่องวดีชวนไปกำกับละครของบริษัท

“น่า พี่โค้ก อยู่กับคุณวดีได้เป็นผู้กำกับ อยู่ที่นี่ก็แค่เบ๊”
โค้กมีสีหน้าครุ่นคิดหนัก
“คุณวดีชอบฝีมือพี่โค้กมากนะ ไม่งั้นเขาไม่ให้เพลินมาเกลี้ยกล่อมหรอก”
“พี่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย คุณเจคเขาคอยช่วยเหลือสนับสนุนทุกอย่าง”
เพลินพิศเบ้ปาก
“นี่เขาก็ฝึกให้พี่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับอยู่ ถ้าพี่ไปมันก็เหมือนอกตัญญู” โค้กบอก
“คุณวดีเขาไว้ใจให้พี่เป็นผู้กำกับนะ” เพลินพิศขยับตัวแตะแขนโค้ก “อีกอย่าง แม่หอมน้ำเขาก็เซ็นสัญญาสังกัดบริษัทสร้างศิลป์ อีกหน่อย เขาก็จะขึ้นมาเป็นเจ้าของทั้งบริษัทฯทั้งคุณเจค พี่โค้กจะทนได้เหรอ”
โค้กขบกรามแน่น
“พี่โค้กเองก็ทำงานหัวซุกหัวซนให้คุณเจคมาตั้งนาน ตอนนี้ถึงเวลาจะสร้างอนาคตให้ตัวเองแล้ว เพลินน่ะเชียร์พี่สุดติ่งเลย เก็บไปคิดดูก็แล้วกัน ไปละ”
เพลินพิศเดินไปที่บริเวณจอดรถ ขณะโค้กยังยืนจมอยู่กับความคิดอยู่อย่างนั้น
จู่ๆ เสียงเพลินกรีดร้องดังขึ้น โค้กสะดุ้งเฮือก รีบเดินแกมวิ่งไปยังเสียงนั้น เห็นเพลินพิศยืนมองรถตัวสั่นเทา มีพนักงาน 3-4 คนรวมทั้งพิไลวิ่งมาสมทบ ทุกคนต่างชะงัก เมื่อเห็นงูตัวใหญ่นอนขดตัวอยู่บนหน้ารถเพลิน
พิไลทำหน้าสยอง “ว้าย”
“ต้องมีใครแกล้งเพลินแน่ๆ” เพลินพิศโวยลั่น
“ใครที่ไหนจะมาแกล้ง บังเอิญมากกว่า” โค้กว่า
เพลินพิศเสียงแข็งใส่ “ไม่มีบังทางเอิญขนาดนี้หรอก”
โค้กชักจะรำคาญ “งั้นคุณสงสัยใครก็ว่ามา”
เพลินพิศชี้หน้ากราด “สงสัยมันหมดทุกคนเลย”
แต่ละคนเหวอ ปฏิเสธกันไปวุ่นวาย ขณะที่พิไลเดินเลี่ยงไปพร้อมกับคนอื่นๆ 2-3 คน พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันไป
“พูดอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก” โค้กตำหนิ
“อ๋อ! ถูกแน่นอน เพลินกำลังจะไปเล่นละครเป็นนางเอกให้คุณวดี คนที่นี่ทนไม่ได้เลยรวมหัวกันแกล้ง ถ้าชั้นจับได้ว่าเป็นใครละก็ คอยดู”
เพลินพิศสะบัดหน้าเดินไปที่ประตูรถ งูชูหัวขึ้นทันที ทำท่าเหมือนจะกัด ทุกคนร้องกันลั่น
เพลินพิศหลับตาปี๋แล้วยกสองมืออุดหูเต้นเร่าๆ “เอามันไปที แอร๊ย เอามันออกไปที”
โค้กเป่าปากเหมือนสมเพช แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ตามเจ้าหน้าที่

ส่วนในห้องทำงานเจค หอมน้ำยังมีท่าทีกังวลหนัก
“กัลไม่อยากจะทนอีกต่อไปแล้ว บางที กัลอาจจะบอกเขาภายในวันสองวันนี้ละค่ะ”
เจคสวนขึ้นทันทีอย่างลืมตัว “ไม่ได้เด็ดขาด”
หอมน้ำนิ่วหน้าฉงน “ทำไมถึงไม่ได้”
เจครู้สึกตัวรีบปรับวิธีการพูด “ใจเย็น...ใจเย็น อย่าเพิ่งหงุดหงิด”
“ไม่เข้าใจ ทำไมถึงบอกไม่ได้ นึกว่าจะช่วยกัลสียแล้ว” หอมน้ำค่อนค้อน
“แน่นอนที่สุด ผมอยากช่วยคุณ และต้องช่วยคุณแน่ แต่คุณต้องทบทวนให้ดี ขณะนี้ทั้งคุณบุรีแล้วก็หมอศวัสต่างก็คิดว่าคุณออกจากร่างหอมน้ำไปแล้ว แต่อยู่ดีๆ คุณกลับบอกพวกเขาว่าคุณอยู่ในร่างของหอมน้ำ ส่วนหอมน้ำกลับกลายเป็นดวงวิญญาณล่องลอยแทนคุณ ลองคิดดูซิว่า ทั้งลูกทั้งสามีของคุณจะคิดยังไง”
หอมน้ำเชิดหน้าอย่างเชื่อมั่น “เขาก็จะดีใจไปเท่านั้นน่ะซิ”
“แน่ใจ”
หอมน้ำเม้มปาก
เจคพูดด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม “คุณเป็นคนที่รู้จักสองคนนั่นดีกว่าใคร คุณบุรีกับหมอศวัสเป็นคนรักความยุติธรรม ถึงจะรักคุณสักแค่ไหน แต่พวกเขาคงไม่ยินดีให้คุณทำลายอนาคตของเด็กสาวบริสุทธิ์คนหนึ่งหรอก”
“ไม่จริง พวกเขารักชั้น ต้องการชั้น”
เจคกล่อมต่อ “นั่นมันหลายปีมาแล้ว เกือบ 30 ปีมั้ง เวลาที่นานขนาดนั้นมันเปลี่ยนอะไรได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะใจคน ที่เคยเจ็บปวดทรมานปานจะตาย ตาม ก็จะเริ่มปลงตก”
“ไม่มีวัน”
“เวลาจะเยียวยาได้ทุกอย่าง”
หอมน้ำผุดลุกขึ้นแล้วจ้องหน้าเจคเขม็ง “ชั้นผิดหวังในตัวคุณมาก”
หอมน้ำเดินผลุนผลันออกไป ท่าทางหงุดหงิดเป็นที่สุด
เจคมองตาม แล้วเอนหลังพิงพนักอย่างพอใจในความคิดตัวเอง

ด้านศวัสกำลังเดินไปที่บริเวณจอดรถ ขณะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ศวัสยกขึ้นมาดู กดรับด้วยสีหน้าแปลกใจ
“สวัสดีครับ คุณอา” พอฟังเจคที่พูดปลายสาย สีหน้าศวัสงงยิ่งขึ้น “ว่างครับ คุณอามีธุระอะไรหรือครับ ได้ครับ ผมจะไปพบคุณอาเดี๋ยวนี้เลย”

ศวัสขึ้นรถ แล้วขับออกไปเลย

ร้านอาหารแห่งนี้บรรยากาศเงียบๆ ซึ่งมีคนเข้ามายังไม่มากนักและตรงโต๊ะในมุมที่สองคนนั่งอยู่ ดูเป็นส่วนตัว บริกรยกอาหารไปเสิร์ฟตามโต๊ะ

เจคเอ่ยขึ้นว่า “อยากกินอะไรก็สั่งเลย”
“ผมยังไม่หิวครับ อยากฟังธุระสำคัญของคุณอามากกว่า”
ขณะที่ทั้งสองคนพูดกัน บริกรเดินมาส่งเมนูให้ เจครับมา แล้วส่งให้ศวัส
“ไม่หิวก็สั่งก่อน หรือจะให้อาสั่งให้”
“งั้นเอาสลัดกุ้งทอดก็แล้วกัน”
เจคหันไปสั่งกับบริกร “สลัดกุ้งทอด 2 น้ำตะไคร้ 2”
“ครับ” บริกรค้อมตัวรับคำสั่งแล้วหยิบเมนูเดินไป
“หมอคงเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแล้วใช่ไหม”
ศวัสขยับตัว ไม่แน่ใจว่าเจคจะมาไม้ไหน
เจคยิ้มรู้ทัน “ใช่ อากำลังจะพูดถึงเรื่องคุณแม่ของหมอนั่นแหละ”
ศวัสยังคงนิ่ง รอฟังเจคพูดต่อ
“เรื่องที่อาจะพูดนี่...”
เสียงโทรศัพท์เจคดังขัดจังหวะขึ้น
“ขอโทษนะ” พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วเจคชะงักงันไป ด้วยที่หน้าจอปรากฏชื่อ “กัลยา” ที่เจคเมมเบอร์ทับชื่อหอมน้ำไปแล้ว
เจคกดรับ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ฮัลโหล”
หอมน้ำซึ่งถูกพุธกันยาสิงอยู่ที่ห้อง ในหอพัก นั่งโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเยือกเย็นไร้ชีวิตจิตใจ ประตูหน้าต่างปิดหมด ภายในห้องจึงค่อนข้างสลัว
“อย่าได้เล่าอะไรให้ศวัสฟังเด็ดขาด”
เจคสะดุ้ง หน้าเสีย
“อย่าทรยศกับชั้น”
หอมน้ำตัดสาย วางโทรศัพท์ลง
เจคเก็บโทรศัพท์ สีหน้าท่าทางที่ดูยิ้มแย้มกระตือรือร้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ศวัสมองท่าทีที่เปลี่ยนไปฉับพลันอย่างแปลกใจ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ! ไม่มี คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม”
ศวัสประหลาดใจแต่ก็รับคำ “ครับ สบายดี”
สักครู่หนึ่ง บริกรยกจานสลัดกับเครื่องดื่มมาให้
“สลัดจานเดียวไม่น่าจะอิ่ม เอาอะไรอีกไหม”
ศวัสพูดเป็นเชิงถามเรื่องธุระ “คุณอาครับ...”
“นานๆ จะได้เลี้ยงหลานชายเสียที”
ศวัสขัดขึ้น “คุณอาบอกว่ามีธุระสำคัญกับผม”
เจคคิดหาข้อแก้ตัวเรื่องธุระจนได้ “ธุระของอาก็คือ ถ้าอาจะขอใช้บ้านหมอถ่ายหนังอีก หมอจะอนุญาตไหม”
ศวัสมองเจคอย่างแปลกใจ

พนักงานในออฟฟิศวุ่นวายอยู่กับงานของตน ในออฟฟิศสร้างศิลป์ 2000 ส่วนภายในห้องทำงาน เจคที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแววตาหวาดๆ แกมกังวล
โดยยังไม่ทันจะนั่ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้เจคสะดุ้งเฮือก ค่อยๆ หยิบมือถือขึ้นมาดู
“กัลยา”
หอมน้ำพูดสายด้วยสุ้มเสียงอ่อนลงจากคราวที่แล้ว “เมื่อกี้กัลต้องขอโทษที่พูดเหมือนขู่คุณ”
เจคยังตั้งตัวไม่ค่อยทัน “ไม่...ไม่เป็นไร”
“คือ...กัลเกิดกังวลขึ้นมาว่า คุณจะเผลอเอาเรื่องของกัลไปเล่าให้พี่บุรีหรือศวัสฟัง”
เจคทำหน้าเหมือนจะเอะใจบางอย่าง
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า สุ้มเสียงไม่ค่อยดีเลย”
เจคคิดปราดเดียว “ผม...ผมแพ้อากาศน่ะ เพิ่งมาเป็นเอาตอนแก่”
“ขอโทษนะคะที่โทร.มารบกวน”
“ไม่เป็นไร”
“สัญญานะว่าเรื่องนี้จะรู้กันแค่เราสองคน ห้ามหลุดกับใครเด็ดขาด” พุธกันยาในร่างหอมน้ำกำชับ
“ผมสัญญา” เจครับคำหนักแน่น
“งั้นก็แค่นี้นะคะ”
หอมน้ำวางโทรศัพท์ลง เจควางโทรศัพท์ลงเช่นกัน พร้อมกับถอนใจโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว หลงกลัวแทบตายว่าจะรู้เรื่อง”

บรรยากาศของบริเวณคอนโดฯภายนอก
ภาพภายในห้อง วดีอยู่ในชุดนอน มือถือแก้วน้ำส้มเดินมาหยิบรีโมทแล้วนั่งลงเปิดทีวี แล้วจิบน้ำส้ม
ภาพในทีวีเป็นรายการบันเทิง แล้ววางรีโมทลงจิบน้ำส้มช้าๆ นัยน์ตาจับจ้องมองไปที่จอทีวีอย่างตั้งใจฟัง
นักข่าว 1 ถามว่า “น้องเพลินยังเห็นผีพุธกันยาอยู่หรือเปล่าครับ”
เพลินพิศทำตาโต กิริยาน่ารัก “โอ๊ว ! เรื่องมันตั้งนานมาแล้วนะคะนั่น ไม่แล้วละค่ะ เขาคงไม่มายุ่งกับเพลินอีกแล้ว เพราะเพลินได้พระดีมาจากคุณแม่วดีค่ะ”
วดีนิ่วหน้า “ชั้นเป็นแม่แกเมื่อไหร่กันยะ”
นักข่าว 2 ร้อง “ว้า! พวกเราเลยอดรู้เลยว่า ทำไมนางถึงฆ่าตัวตาย”
เพลินพิศห่อไหล่ “อันนี้เราอย่าไปคาดเดาเลยดีกว่านะคะ เดี๋ยวนางอาจไม่พอใจ ลุกขึ้นมาสิงใครอีก”
วดีฉุนกดรีโมตปิดอย่างหงุดหงิด
“ปากพาจนแล้วมั้ยล่ะ” พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ออก
เพลินพิศซึ่งกำลังขับรถมาตามทางใช้สมอลล์ ทอล์คคุยสาย หน้าระรื่น
“สวัสดีค่ะ คุณวดี คุณวดีได้ดูเพลินให้สัมภาษณ์ในงานอีเว้นท์หรือเปล่าคะ”
“เพิ่งจะปิดทีวีเมื้อกี้นี้เอง ช่างกล้านะ เรียกชั้นว่าคุณแม่ยังไม่พอ ยังไปลามปามพุธกันยาอีก ระวังเถอะ มันจะไปบีบคอแก”
เพลินพิศหัวเราะคิกคัก “บีบคอไม่ได้หรอกค่ะ เพลินห้อยพระตั้งสามองค์”
“อย่าประมาทเชียวนะ”
วดีปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด ส่วนเพลินพิศหัวเราะคิกคัก แล้วเลี้ยวรถไป

เพลินพิศเลี้ยวรถเข้ามาในซอย ขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงถนนจะเลี้ยวเข้าคอนโด ซึ่งไฟสองข้างทางเสีย ทำให้ถนนมืด
เพลินพิศบ่นอย่างหงุดหงิด “ไปเสียมาตั้ง 4-5 วันแล้ว ไม่เห็นมีใครมาแก้สักที”
จู่ๆ มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด เพลินพิศเบรกอย่างแรงด้วยความหัวเสีย
“บ้าหรือเปล่าเนี่ย”
เพลินพิศพยายามระงับความหงุดหงิดครู่หนึ่ง แล้วสตาร์ตรถ แต่สตาร์ตเท่าไหร่ก็ไม่ติด จึงเปิดประตูรถออกไป เพื่อจะเปิดกระโปรงรถดู แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ในเงามืดข้างเสาไฟฟ้า
“ใครน่ะ” เงานั้นยังนิ่ง “ชั้นถามว่าใคร”
เงานั้นขยับก้าวออกมาเล็กน้อย ในความมืดทำให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่บุคลิกและการแต่งตัวและทรงผมเหมือนพุธกันยาเปี๊ยบ
เพลินพิศชะงัก
เสียงใครคนนั้นดังขึ้นว่า “พุธกันยา ชั้นชื่อพุธกันยา”
เพลินพิศกรีดร้องลั่นด้วยความกลัว เมื่อร่างนั้นก้าวออกมาเห็นเป็นพุธกันยา แม้จะเห็นไม่ชัด แต่ก็แลดูน่ากลัวมาก
เพลินพิศหันกลับ หลับหูหลับตาวิ่งไปโดยไม่ทันดูข้างหน้า รถคันหนึ่งแล่นสวนมาเฉี่ยวชนโครมใหญ่

ร่างเพลินพิศล้มลง และสลบไปในทันที

อ่านต่อหน้า 3

ใยกัลยา ตอนที่ 14 (ต่อ)

วดีรู้ข่าวจากเอิงและลิซซี่ไม่นานหลังจากนั้น ขนาดต้องยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ เอิงกับลิซซี่ยังอยู่ในชุดเพิ่งกลับจากไปเที่ยวเริงราตรี

“ตายหรือเปล่า”
“บาดเจ็บสาหัสค่ะ” เอิงบอก
“จะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ สงสัยคุณวดีต้องหานางเอกใหม่”
เสียงโทรศัพท์ลิซซี่ดังขึ้น ลิซซี่หยิบขึ้นมาดู แล้วเปิดประตูออกไปรับข้างนอก
“จะต้องไปหาที่ไหนอีก น้องเอิงนี่ไง นางเอก ใช่มั้ยคะ ป้าขา” เอิงบอกสีหน้าระรื่น
“ยังจะมาพูดเล่นอยู่ได้”
“น้องเอิงพูดจริง ทำจริงค่ะ”
“เลิกกวนประสาทชั้นเสียทีได้มั้ย”
ขณะที่วดีหงุดหงิดหลานสาวอยู่ประตูเปิด ลิซซี่เข้ามาหน้าตาตื่น มือยังถือโทรศัพท์ขณะยังพูดไม่จบ
“คุณวดีขา”
“มีอะไร”
“น้องพัมกิ้นโทร.มาบอกว่า ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลใหม่ๆ น้องเพลินเขาเพ้อถึงชื่อพุธกันยาตลอดเลย”
วดีสะดุ้ง ขณะที่เอิงกระโดดเข้ากอดป้าด้วยความกลัวสุดขีด
“ว้าย ผีหลอก”

เช้าวันรุ่งขึ้น รอบบริเวณโรงพยาบาลบรรยากาศสดใส เจคเดินออกมาในสวนหย่อม หามุมสงบพูดโทรศัพท์กับหอมน้ำ
“คุณไม่ได้ทำอะไรเพลินเขาแน่นะ”
“เอ๊ะ” สุ้มเสียงหอมน้ำที่รับสายอยู่ที่หอพัก ชักจะไม่พอใจ
เจครีบพูด “อย่าเพิ่งโกรธ ที่ผมถามอย่างนี้เพราะนักข่าวกับตำรวจพูดตรงกันว่า เพลินเพ้อถึงชื่อคุณตลอดเวลา”
“แม่คนนี้เขาคงรักกัลมากมั้ง”
“กัล ผมอยากรู้ความจริง”
“ความจริงก็คือ กัลไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับแม่เพลิดเพลินเจริญใจนั่นเลย”
“งั้นทำไม…” เจคพูดไม่ทันจบ
“เจค คุณอยากรู้ความจริง กัลก็บอกไปหมดแล้ว ถ้ายังไม่เชื่อ ก็ไปพาตำรวจมาจับกัลให้หมดเรื่องหมดราว กัลจะอยู่ที่หอนี่แหละ”
หอมน้ำวางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด
เจคเก็บโทรศัพท์ ขณะโค้ก พิไล ฟ้า และอุมาเดินเข้ามาหา
“เพลินฟื้นหรือยัง” เจคถาม 3 คน
“ยังเลยครับ” โค้กบอก
พิไลบ่นๆ “เคราะห์ร้ายจริงๆ เลย ตอนเช้างูมาขดอยู่บนรถ พอตอนค่ำโดนรถชน เฮ้อ คงต้องทำบุญสะเดาะเคราะห์เป็นการใหญ่แล้ว”
“ที่ตำรวจเขายังสงสัย ก็คือเพลินวิ่งหนีอะไรมา ถึงได้ถูกรถชน” โค้กว่า
เจคเดินเข้าไปภายใน ระหว่างที่ทุกคนพูดกัน

อีกฟาก สองสาวเดินออกมาจากในหอพัก เขนเอ่ยขึ้นว่า
“เขนว่าเราไปเยี่ยมเขาหน่อยก็ดีนะ”
หอมน้ำส่ายหน้าเด็ดขาด “ไม่ เขนอยากไปก็ไปคนเดียว”
เขนมีสีหน้าแปลกใจกับทีท่าและน้ำเสียงนั้น
หอมน้ำรู้สึกตัว “คือหอมใจคอไม่ค่อยดีเลย เอาอย่างนี้ เขนช่วยไปเยี่ยมคุณเพลินแทนหอมได้ไหม”
“ก็ได้”
“ขอบใจนะจ๊ะ เขนดีกับหอมเหลือเกิน”
“เรื่องเล็ก แล้วหอมจะไปไหน”
“ว่าจะเข้าไปที่คณะหน่อย”
“งั้นเราแยกกันตรงนี้นะ”
“จ้ะ”
หอมน้ำทำเป็นเดินตรงไปที่ทางไปมหาวิทยาลัย ขณะที่เขนเรียกแท็กซี่

หอมน้ำไม่ได้ไปมหา’ลัย แต่กำลังลงจากแท็กซี่หน้าบ้านศวัส พร้อมต้นพุดซ้อนกระถางเล็กๆ กระถางหนึ่ง พลางหิ้วถุงนั้นไปกดกริ่ง

บุรีกับขวัญอนงค์เดินตรงมายังรถ ขณะที่หอมน้ำหิ้วดอกไม้เข้ามา
นัยน์ตาหอมน้ำเป็นประกายวาบด้วยความเกลียดชังคำรามในใจ “นังขวัญอนงค์”
ขวัญอนงค์แปลกใจเช่นกัน “หอมน้ำ มาทำไมแต่เช้า”
“พอดีแฟนคลับเอาต้นพุดซ้อนมาให้หอมตั้งแต่เมื่อวาน ที่หอไม่มีที่ปลูก หอมเลยจะเอามาให้คุณลุง เพราะจำได้ว่าภรรยาคุณลุงชอบดอกพุดซ้อน” หอมน้ำจงใจพูดกระทบบุรี
ขวัญอนงค์ขัน “รู้ละเอียดดีจริง”
“ขอบใจนะ หนูหอมน้ำ เดี๋ยวอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน คุณขวัญกับลุงจะไปเยี่ยมคุณเพลิน แล้วจะรีบกลับมาทำกับข้าวกินกัน”
“โถ หอมน้ำคงไม่อยากกินข้าวกับคนแก่หรอกค่ะ” ขวัญอนงค์ว่า
“ตรงกันข้าม หอมชอบคนแก่”
คำพูดนั้นทำเอาขวัญอนงค์ชะงัก ขณะที่บุรีหัวเราะเสียงดัง
หอมน้ำสบตาขวัญอนงค์จังๆ “หอมหมายถึงคนแก่ที่น่าเคารพนับถือน่ะค่ะ”
“งั้นก็เข้าไปรอในบ้าน ดูเหมือนวันนี้ศวัสไม่ไปทำงาน ไป คุณขวัญ”
“ค่ะ” ขวัญอนงค์หันมาทางหอมน้ำ “เดี๋ยวอามานะจ๊ะ”
หอมน้ำยิ้ม “ค่ะ”
หอมน้ำยืนมองตามบุรีที่ขับรถออกไปโดยมีขวัญอนงค์นั่งคู่กันออกไป อย่างขุ่นเคืองใจ

กอพุดซ้อนแตกใบออกดอกสะพรั่ง หอมน้ำเดินเข้ามาในนั้น ตามด้วยลุงคนสวนที่หิ้วกระถางตามมา
“จะเอาลงตรงไหนครับ”
“ตรงนั้น” หอมน้ำชี้ไปมุมหนึ่ง
คนสวนเดินไปตรงที่หอมน้ำพยักหน้าชี้ไป วางกระถางลง
“ชั้นจะปลูกเอง” หอมน้ำบอก
คนสวนหันมามองหอมน้ำอย่างประหลาดใจที่เด็กสาวพูดจาท่าทางเป็นผู้ใหญ่ผิดวัย
“ไปเอาจอบมาซิ”
คนสวนเดินไปเอาจอบมาบอกว่า “ผมขุดให้เอง”
หอมน้ำสวนทันที “ไม่ต้อง ต้นพุดซ้อนพวกนี้ชั้นปลูกเองกับมือทุกต้น”

คนสวนอ้าปากค้าง มองหอมน้ำอย่างหวาดๆ แกมประหลาดใจ

ศวัสยืนอยู่ในห้องรับแขก มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นหอมน้ำกำลังขุดดินเตรียมปลูกพุดซ้อนอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย
ศวัสยังคงมองด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
หอมน้ำทรุดตัวลงค่อยๆ เอาพุดซ้อนออกจากกระถาง แล้วเอาลงดินด้วยความชำนาญ

ศวัสมองจับตาตามทุกอิริยาบถ

หอมน้ำซึ่งล้างไม้ล้างมือเรียบร้อยแล้ว เดินเข้ามาในบ้าน เห็นศวัสนั่งอ่านหนังสือพิมพ์หน้าเศรษฐกิจ หันหลังให้อยู่ พุธกันยาในร่างหอมน้ำหยุดมองลูกชายด้วยแววตาสุดแสนจะรักใคร่เอ็นดู

ศวัสเหมือนจะรู้สึกตัวว่ามีคนมอง จึงหันกลับมา สีหน้าศวัสรับรู้ถึงความรักลึกซึ้งของแม่ที่มีต่อลูกจากสายตาคู่นั้น
หอมน้ำรู้สึกตัว “คุณหมอ” แต่ไม่ไหว้อย่างทุกครั้ง “เอ้อ...วันนี้ไม่ไปทำงานหรือคะ”
ศวัสพยักหน้า “ชั้นไม่ค่อยสบาย”
หอมน้ำเป็นห่วงเป็นกังวลขึ้นมาทันที “เป็นอะไรมากหรือเปล่า กินยาหรือยัง แล้วนี่...”
ศวัสมองเพ่งพิศขณะขัดขึ้นทันที “ถามยังกับเป็นแม่ของชั้นแน่ะ”
หอมน้ำชะงักแล้วยิ้มแห้งๆ “ขอโทษค่ะ คือคุณหมอดีกับหอมตลอดมา เจ็บไข้ได้ป่วยก็พาไปหาหมอ แล้วจะไม่ให้หอมเป็นห่วงได้ยังไงคะ”
“ขอบใจ”
หอมน้ำเดินมาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า แววตายังคงห่วงใยเห็นได้ชัดแจ้ง
“ทานข้าวหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้ว เธอล่ะ”
“เรียบร้อยแล้วเหมือนกันค่ะ”
โทรศัพท์ศวัสดังขึ้น เขายกขึ้นดู ที่หน้าจอขึ้นชื่อ “เขน”
“เดี๋ยวมา” ศวัสลุกขึ้น
“ใครโทร.มาหรือคะ”
ศวัสนิ่วหน้านิดๆ มอง
หอมน้ำรู้สึกตัว “ขอโทษค่ะ”
ศวัสเดินออกไป หอมน้ำมองตามสีหน้าครุ่นคิด

ศวัสเดินออกมาอีกมุมหนึ่งในบ้าน คุยสายกับเขน
“มีอะไรหรือ”
“เขนอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ มาเยี่ยมคุณเพลิน”
“คุณเพลินเป็นยังไงบ้าง”
“เพิ่งฟื้นเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ คุณหมอว่าแปลกไหมคะ คุณเพลินยืนยันว่าเห็น...เอ้อ...คุณพุธกันยา”
จังหวะนี้เหมือนมีใครมาแอบมองศวัสอยู่
ศวัสรู้ตัวลดเสียงพูดเบาลง “เขาอยู่ที่นี่”
“ใครคะ” เขนชะงักแล้วนึกได้ “หอมน้ำ”
“ใช่”
“เอ๊ะ ไหนเขาว่าจะไปพบอาจารย์ ท่าทางจะไม่ได้เรื่องแล้ว เขนจะไปที่บ้านคุณหมอเดี๋ยวนี้”
ศวัสกำชับ “อย่าให้เขาสงสัยล่ะ”
“ค่ะ”
เขนปิดโทรศัพท์ แล้วเดินออกไปเพื่อเรียกแท็กซี่ ขณะที่ศวัสหันกลับมา เหมือนคนที่กำลังแอบมองหลบวูบไป

อีกฟากภายในห้องพักฟื้น เพลินพิศมองบุรีกับขวัญอนงค์สลับกันราวกับจะยืนยันคำพูดเมื่อครู่ นัยน์ตามีแววหวาดกลัว
“จะให้ไปสาบทนที่ไหนก็ได้ เพลินยืนยันว่าเห็นพุธกันยาจริงๆ ไม่ใช่แค่เห็น เขาพูดเองเลยว่าเขาชื่อพุธกันยา”
ขวัญอนงค์มองบุรีอย่างเกรงใจแว่บหนึ่ง “เหลวไหล”
เพลินพิศอ้าปากจะเถียง
“หนูเห็นเขาชัดขนาดนั้นเลยหรือ”
“ถึงจะอยู่ในเงามืด แต่หนูก็จำได้ค่ะ เขาแต่งตัวทำผมทำเผ้าเหมือนในรูปที่บ้านคุณอา แล้วเขาก็ยังบอกชื่อด้วย”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ทุกคนหันไปดู เห็นวดี เอิง และลิซซี่เข้ามา โดยลิซซี่ถือแจกันดอกไม้จัดอย่างสวยงามมาเยี่ยม
ขวัญอนงค์ไหว้ทักวดี “สวัสดีค่ะ พี่วดี”
วดีรับไหว้ บุรีทำเป็นเหมือนมองไม่เห็น
เอิงโพล่งทักขึ้น “สวัสดีค่ะ คุณพ่อ”
คราวนี้ทุกคนสะดุ้ง
“พี่หมอไม่ได้มาด้วยหรือคะ น้องเอิงว่าจะไปเยี่ยมคุณพ่อกับพี่หมอที่บ้าน”
“ขอบใจหนู แต่อย่าลำบากเลย ขวัญ ผมออกไปรอข้างนอกนะ”
“ขวัญว่าจะกลับเหมือนกัน พี่วดี ขวัญกลับก่อนนะคะ”
“เชิญจ้ะ”
สองฝ่ายล่ำลากัน แล้วบุรีกับขวัญอนงค์พากันออกไป
วดี เอิง ลิซซี่ และเพลินพิศมองตาม
เอิงหันกลับมาเป็นคนแรก “คุณพ่อกับป้าวดีโกรธกันหรือคะ”
วดีโมโห “ไปเรียกเขาว่าคุณพ่อทำไม เคยเรียกคุณลุงไม่ใช่เรอะ”
“ของแบบนี้มันเปลี่ยนกันได้ค่ะ อีกหน่อย น้องเอิงแต่งงานกับพี่หมอ น้องเอิงก็เท่ากับเป็นลูกคุณพ่อของพี่หมอเหมือนกัน”
ทุกคนเอือมทั้งแถบ

บุรีกับขวัญเดินคุยกันมาเรื่อยๆ เพื่อตรงไปยังที่จอดรถ
ขวัญอนงค์เอ่ยแซวยิ้มๆ “เป็นไงคะว่าที่ลูกสะใภ้”
บุรีส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ใช่เสป็คศวัส”
“แล้วใครล่ะคะที่ใช่ หอมน้ำหรือเปล่า”
“ต้องถามเขาดูเอง”

สีหน้าบุรีราบเรียบจนขวัญอนงค์ตัดสินใจไม่ถามต่อ

ทางฝ่ายทั้งสามคนลากเก้าอี้มานั่งรอบเตียงเพลินพิศ

เอิงเอ่ยขึ้น “นังพี่เพลินเล่าแล้วน่ากลัวเหมือนกันนะคะเนี่ย”
“ของจริงน่ากลัวกว่าที่พี่เพลินเล่าเยอะเลยค่ะ”
ลิซซี่ยกมือ “ลิซซี่ขอสนับสนุนค่ะ ลิซซี่เคยเห็นมันหมุนคอได้”
กะเทยเผือกนึกถึงตอนเห็นพุธกันยาในร่างหอมน้ำหมุนคอต่อหน้าต่อตาตอนไปทำข่าวในกองหนัง
“มีคนเดียวที่ไม่กลัว คนๆ นั้นคือ...แทน..แทน...แทน...แทน..แถ่น...แทน...แท้น...” เอิงทำเสียงเพลงและผายมือไปทางวดี “ป้าวดีคนนี้นี่เอง”
วดีฉุน “บ้า”
“เพราะฉะนั้น เชิญผีพุธกันยาหลอกได้”
วดีมองตาเขียวปั้ด “นังน้องเอิง”
เพลินพิศกับลิซซี่หัวเราะขำ
ลิซซี่ถามกับเพลินพิศว่า “น้องเพลินพอจะทราบไหมคะว่า ทำไมพุธกันยาถึงได้จองเวรจองกรรมกับน้องเพลินนัก”
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ”
วดีเอ่ยขึ้น “ชั้นรู้”
ทุกคนหันมามองวดีเป็นตาเดียว
“เพราะเธอดันไปให้สัมภาษณ์บ้าๆ บอๆ ถึงมันไงล่ะ”
เอิงขัดขึ้น “แปลว่าผีดูทีวี”
วดีถลึงตาใส่เอิง แล้วพูดกับเพลินต่อ “ต่อไป หากจะให้สัมภาษณ์เรื่องอะไร ต้องระวังตัวเอาไว้บ้าง นี่ดีเท่าไหร่แล้วที่มันไม่เอาถึงตาย”
เพลินพิศเม้มปากเหมือนยังเจ็บใจพุธกันยาไม่หาย

กลับมาถึงบ้านขวัญอนงค์กับบุรีช่วยกันทำกับข้าวอยู่ในครัว โดยบุรีเป็นลูกมือช่วยชิม
หอมน้ำเดินเข้ามา มองท่าทีสนิทสนมของบุรีกับขวัญอนงค์ด้วยความเคียดแค้น
ขวัญอนงค์ตักแกงส้มแล้วยื่นไปตรงหน้าบุรี “ลองชิมดูซิคะ อร่อยหรือยัง”
บุรีชิมโดยที่ขวัญอนงค์ยังถือช้อนอยู่ “อร่อยมาก”
“แน่ใจนะคะ”
“เดี๋ยวถามศวัสกับหอมน้ำดูก็ได้”
หอมน้ำได้จังหวะสอดแทรกพอดี “ใครเรียกหอมน้ำคะ”
สองคนหันมามอง หอมน้ำทำหน้าตาเป็นปกติ
“อาขวัญทำแกงส้ม หนูมาลองชิมซิว่าอร่อยหรือยัง” บุรีว่า
ขวัญอนงค์ตักแกงให้หอมน้ำ “นี่จ้ะ”
หอมน้ำรับมาชิม แล้วทำยิ้มใส่
“หวานไปค่ะ หวานจนเลี่ยน แกงส้มต้องให้เปรี้ยวนำ”
สองคนชะงัก หอมน้ำยังคงทำหน้าซื่อใสซื่อเป็นกูรูอาหารต่อ
“สำหรับหอมนะคะ แกงส้มอะไรก็สู้แกงส้มผักกาดดองไม่ได้”
สองคนสะดุ้ง
“ยิ่งถ้าใส่ปลากระบอกด้วย อร่อยที่สุดเลย”
บุรีพึมพำ “จริงซิ ลุงเกือบลืมไปแล้ว”
หอมน้ำยิ้มหวาน “ถ้าคุณลุงชอบ วันหลังหอมจะมาทำให้ทาน”
หอมน้ำยิ้ม มองเลยไปให้ขวัญอนงค์ แล้วเดินออกไป บุรียกมือขึ้นลูบหน้า ขณะทรุดตัวลงนั่ง
“นั่นมันของโปรดของเราสองคน ผมกับกัลยา หอมน้ำรู้ได้ยังไง”
“บังเอิญมากกว่าค่ะ”
“ตั้งแต่กัลยาจากไป ผมก็ไม่เคยกินแกงส้มผักกาดดอกปลากระบอกอีกเลย”
ขวัญอนงค์เหลือบมองไปทางประตูที่หอมน้ำเพิ่งเดินออกไปอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด

ขวัญอนงค์ตักไข่เจียวปูให้บุรีทานกับแกงส้ม
“หอมว่าไข่เจียวใส่น้ำตาลปี๊ปลงไปนิดๆ จะอร่อยขึ้นเยอะเลย”
บุรีสะดุ้ง เหลียวมองจ้องหอมน้ำเขม็ง
“มีที่ไหน ไข่เจียวใส่น้ำตาลปี๊ป” ศวัสเอ็ด
“แกเคยชอบกินมากตอนเด็กๆ” บุรีเว้นไปอีกนิดหนึ่ง “แม่เขาทำให้กินบ่อยๆ”
ศวัสนิ่วหน้าเหมือนจะคิด
ขวัญอนงค์พูดทีเล่นทีจริง “ดูเธอน่าจะเป็นกูรูอาหารจานโปรดของครอบครัวนี้นะ หอมน้ำ”
“หอมพูดไปตามความรู้สึกน่ะค่ะ ถ้าอาขวัญไม่พอใจ หอมต้องขอโทษด้วย”
“เรื่องอะไรที่อาขวัญจะต้องไม่พอใจ”
หอมน้ำยิ้มหวาน “นั่นน่ะซิคะ”
เขนแทรกขึ้น “เขนเห็นด้วยกับอาขวัญนะ วันนี้ดูหอมจะรู้เรื่องกับข้าวกับปลามากกว่าปกติ”
“ก็บอกแล้วว่าหอมพูดไปตามความรู้สึก” หอมน้ำหันมาทางบุรี “คุณลุงคะ เมื่อเช้าหอมเอาต้นพุดซ้อนที่แฟนคลับให้มาไปลงไว้ให้หลังบ้านนะคะ”
ขวัญอนงค์ประชดหน้ายิ้มๆ “นี่ก็รู้ใจอีกเหมือนกัน”
“ข้อนี้ไม่เห็นจะยาก คุณลุงปลูกต้นพุดซ้อนไว้เยอะแยะ แสดงว่าต้องชอบดอกพุดซ้อนอยู่แล้ว จริงมั้ยคะคุณลุง”
บุรียิ้มพอใจ “จริง ขอบใจหนูมากที่วันนี้ช่วยพาความทรงจำบางอย่างคืนมาให้ลุง”
หอมนำยิ้มหวานกับบุรี แต่พอมองเลยมาที่ขวัญอนงค์รอยยิ้มหวานนั้นเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะ

ตลอดเวลา ทุกภาพเหตุการณ์อยู่ในสายตาจับสังเกตของศวัสกับเขน

ศวัสเดินออกมายังสนามหญ้าช้าๆ อย่างใช้ความคิด

เสียงเขนเรียกไว้ “คุณหมอคะ”
ศวัสหยุดเดิน แล้วหันมามอง
เห็นเขนวิ่งตุ้บตั้บมาหา “เขนแน่ใจแล้ว...” น้ำเสียงฟังกระหืดกระหอบ
ศวัสรอฟัง “ว่า...”
“ว่า...คุณแม่คุณหมอยังสิงอยู่ในตัวหอมน้ำ”
ศวัสถอนใจยาว
“คุณหมอคิดว่ายังไงคะ”
“เราต้องพิสูจน์”
เขนดึงสร้อยพระพวงใหญ่ของตนออกมา “เขนเตรียมมาแล้วค่ะ”
สาวอวบยิ้มกับศวัสอย่างมั่นอกมั่นใจ

หอมน้ำยังคงพูดคุยกับบุรีจ้อยๆ เสียงใส บุรีดูออกจะเพลิดเพลิน ส่วนขวัญอนงค์มองหอมน้ำอย่างครุ่นคิด
“มีอีกหลายอย่างที่คุณลุงยังไม่รู้เกี่ยวกับหอม”
“เช่น”
“เช่นหอมเป็นคนมือเย็น ปลูกต้นไม้ขึ้นงามทุกต้น”
“เหมือนกัลยา อีกแล้ว จริงไหมขวัญ”
ขวัญอนงค์พูดทีเล่นทีจริง “เหมือนน่ะโอเค แต่อย่าให้เป็นคนเดียวกันเลย เดี๋ยวจะวุ่นวายกันไปหมด”
บุรีนิ่วหน้า
“วุ่นวายยังไงคะ” หอมน้ำไม่พอใจนิดๆ
“ก็...”
ขวัญอนงค์หยุด เมื่อเห็นศวัสกับเขนเดินเข้ามา
ศวัสทำไม่รู้ไม่ชี้ “คุยอะไรกันอยู่หรือครับ”
เขนลงนั่งข้างๆ หอมน้ำเนียนๆ
“คุยเรื่องที่หอมน้ำมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนพุธกันยา” ขวัญอนงค์บอก
หอมน้ำหัวเราะระรื่น “ขอบคุณอาขวัญค่ะ ที่คิดอย่างนั้น”
“ออกไปคุยกันข้างนอกหน่อยได้ไหม” เขนเอ่ยขึ้น
หอมน้ำชักแปลกใจ “คุยที่นี่ไม่ได้หรือ”
เขนยิ้ม “ไม่ได้จ้ะ ความลับ”
“ก็ได้” หอมน้ำลุกขึ้นแล้วพูดกับทุกคน “คุยกันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวหอมมา”
หอมน้ำเดินออกไป ตามด้วยเขน
บุรีแปลกใจ “มีอะไรหรือลูก”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
ขวัญอนงค์ลุกขึ้น “ขวัญเห็นจะต้องกลับเสียที”
บุรีลุกตามแล้วหันมาทางศวัส “พ่อไปส่งอาขวัญก่อนนะ”
ศวัสลุกตามอีกคน ไหว้ลาขวัญอนงค์ “ครับ... สวัสดีครับ อาขวัญ”
“สวัสดีค่ะ แล้วอาจะมาทำกับข้าวให้ทานอีก คราวนี้จะเจียวไข่ใส่น้ำตาลปี๊ปให้”
ทั้งหมดหัวเราะ แล้วขวัญอนงค์กับบุรีพากันเดินออกไป
ศวัสพึมพำกับตัวเอง “ไข่เจียวใส่น้ำตาลปี๊ป”

ฝ่ายหอมน้ำลงนั่งพิงเก้าอี้ยาวอย่างสบายในซุ้มพุดซ้อน ก่อนจะเงยหน้ามองเขนซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
“ไหน มีความลับอะไรจะบอก”
“เขนอยากจะดูพระของหอมอีกครั้ง”
“โฮ้ย! ดูอะไรกันบ่อยๆ” หอมน้ำออกอาการรำคาญ
“เถอะน่ะ”
“ก็ได้”
หอมน้ำถอดสร้อยพระออกมา แล้วส่งให้
เขนรับมาดู “พระปลอมหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“จะบ้าเหรอ”
“อ้าว จริงๆนะ ดูใกล้ๆแล้วไม่ค่อยจะเหมือนองค์เก่าของหอมเลย”
“ทำไมจะไม่ใช่”
เขนดึงสร้อยพระของตัวเองออกมา “เขนว่าเปลี่ยนเป็นสร้อยพระของเขนดีกว่า รับรองว่าของจริงแท้แน่นนอน จะได้ป้องกันภูตผีปีศาจให้หอมได้”
หอมน้ำผุดลุกขึ้นแล้วถอยหลังไปอย่างตกใจ “อย่านะ”
เขนชูสร้อยขึ้น “ทำไมล่ะ ไม่ชอบให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหรอกหรือ”
หอมน้ำตวาดลั่นและนัยน์ตากลับกลายเป็นขาวล้วน เหมือนดวงตาปีศาจ “ไปให้พ้น” น้ำเสียงกลายเป็นเสียงพุธกันยา
เขนสะดุ้ง แต่แล้วก็พยายามระงับความหวาดกลัว
“ไม่ได้ยินเรอะ นังอ้วน”
“ได้ยิน แต่ไม่ไปจนกว่าคุณจะคืนร่างให้เพื่อนเขน”
“ชั้นไม่คืน แล้วก็จะหักคอแกด้วย”
“เข้ามาซิ เข้ามาใกล้ๆ” เขนท้า
“แกกล้าท้า”
“คุณพุธ เราพูดกันดีๆก็ได้ เขนเคารพคุณเสมอ หอมก็เหมือนกัน คืนร่างให้หอมเถอะนะคะ คุณตายไปแล้ว”
หอมน้ำตวาดลั่นอย่างเจ็บปวดด้วยเสียงพุธกันยา “ไม่ต้องมาตอกย้ำ”
เขนสูดลมหายใจยาวรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าหาช้าๆ “คุณพุธ เอาร่างเพื่อนเขนคืนมาค่ะ”
“ไม่ ร่างนี้เป็นของชั้น”
หอมน้ำหันหลังกลับ แล้ววิ่งหนี โดยเริ่มมีพายุหวีดหวิวคล้ายฟ้าฝนจะตกในไม่ช้านี้
เขนหอบน้ำหนักร้อยโลรีบวิ่งตามไม่ลดละ ปากตะโกนเรียก ด้วยท่าทางดูตลกขบขัน

“อย่าหนีซิคะ”

อ่านต่อหน้า 3

ใยกัลยา ตอนที่ 14 (ต่อ)

พุธกันยาในร่างหอมน้ำวิ่งมาอย่างเร็วท่ามกลางลมพายุพัดโหมอย่างรุนแรง โดยมีเขนวิ่งตุ้บตั้บไล่ตามมา ภาพไล่ล่าดูตลกแกมลุ้น จังหวะหนึ่ง หอมน้ำหันหน้ามาดุ โดยไม่ทันระวัง เท้าเลยสะดุดก้อนหินหกล้มลง

เขนเข้ามาใกล้อย่างได้ที หอมน้ำลุกขึ้นอย่างว่องไว แล้ววิ่งหนีต่อ แต่เขนตัดสินใจกระโดดเข้าใส่ตะครุบตัว จนล้มกลิ้งไปด้วยกัน
ในร่างสภาพของหอมน้ำ เสียงพุธกันยาร้องลั่น “โอ๊ย นังอ้วน ปล่อยชั้นนะ นังเด็กบ้า”
เห็นเขนชูสร้อยพระขึ้น หอมน้ำเปลี่ยนเป็นวิงวอนดราม่าทันที
“อย่า อย่าทำกับชั้นแบบนี้เลย ชั้นแค่อยากคุยกับลูก กับสามี แค่อยากอยู่กับครอบครัวชั้นเท่านั้น”
“ไม่ต้องดราม่า ถึงเขนจะสงสารคุณขนาดไหน แต่เขนก็ต้องเลือกเพื่อนของเขน”
หอมน้ำร้องกรี๊ด แล้วร่างรางๆ ของพุธกันยาก็กระเด็นออกจากร่างหอมน้ำทันที

วิญญาณไร้เรี่ยวแรงของหอมน้ำนอนฟุบอยู่ในห้องพุธกันยา ท่ามกลางเสียงพายุหวีดหวิว จู่ๆ มีแสงจากที่ใดที่หนึ่งส่องมาถูกร่างหอมน้ำ แล้วม้วนรัดตัวร่างวิญญาณนั้นออกไป

ศวัสวิ่งเข้ามาในบริเวณนั้นกลางพายุ เห็นเขนพยายามเขย่าตัวเรียกเพื่อน ศวัสเข้ามาคุกเข่าข้างๆ ช่วยเรียกแสงซึ่งรัดร่างวิญญาณหอมน้ำลอยมา ปล่อยร่างลง
วิญญาณหอมน้ำลอยลงมาเข้าร่างพอดิบพอดี โดยที่ศวัสกับเขนไม่เห็น พร้อมๆ กับที่พายุสงบลง หอมน้ำขยับตัว แต่แล้วกลับแน่นิ่งไปอีก
“หอมน้ำ”
“หอม ไอ้หอม”
“พาไปข้างในดีกว่า”
ศวัสช้อนร่างหอมพาไปที่บ้าน โดยเขนรีบตาม
พุธกันยาร้องเรียกลูก น้ำตาไหลพรากๆ “ศวัส ช่วยแม่ด้วย ช่วยแม่ด้วย อย่าใจร้ายกับแม่นักเลย”
ศวัสไม่ได้ยิน พุธกันยาสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น

แจ่มมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นศวัสอุ้มหอมน้ำเข้ามา ตามด้วยเขนซึ่งหน้าตาตื่นตกใจมาก
“น้องหอมเป็นอะไรหรือคะ”
“แจ่ม ไปเอาผ้าชุบน้ำมา”
“ค่ะ”
เขนบอก “ยาดมด้วย”
“ค่ะ” แจ่มรีบเร่งออกไป
ศวัสค่อยๆ วางหอมน้ำลงบนโซฟา เรียกเบาๆ ด้วยเสียงอ่อนโยน “หอมน้ำ หอมน้ำ”
“ทำไมไม่ฟื้นล่ะคะ” เขนใจหายใจคว่ำจนจะร้องไห้
ศวัสจับชีพจรหอมน้ำ
เขนเอามืออุดปากน้ำตาไหล “ชีพจรเต้นหรือเปล่าคะ”
ศวัสพยักหน้า “เขาคงยังอ่อนเพลียอยู่”
แจ่มถืออ่างแก้วเล็กๆ ใส่น้ำ และผ้าขนหนูมาส่งให้ศวัส
“มาแล้วค่ะ”
“ยาดมค่ะ” เขนขอ
แจ่มส่งให้ “นี่ค่ะ”
ศวัสใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดหน้าให้หอมน้ำอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ขณะที่เขนแกว่งยาดมที่จมูก

ฝ่ายพุธกันยาโผเผน้ำตาไหลมาจนถึงบริเวณซุ้มพุดซ้อน แล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้องไห้คร่ำครวญ
“ทำไมศวัสถึงใจร้ายกับแม่อย่างนี้ ทำไม แม่ผิดด้วยหรือที่อยากอยู่กับพ่อกับลูก อยากอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
บรรยากาศรอบบริเวณเต็มไปด้วยความโศกาอาดูรมากๆ
“ศวัสไม่รักแม่แล้วหรือลูก ทำไมถึงไปช่วยคนอื่น ไม่ช่วยแม่”
พุธกันยาโศกศัลย์อยู่ในนั้นลำพัง โดยยังไม่ยอมรับรู้ความผิดของตน

ส่วนในห้องรับแขก ศวัสตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“พาไปโรงพยาบาลดีกว่า”
ว่าพลางศวัสช้อนร่างหอมน้ำขึ้นมาแนบอก แต่จังหวะนี้หอมน้ำดันลืมตาขึ้นพอดี
ศวัสก้มลงมอง หอมน้ำเงยหน้ามองสบตา
แจ่มกับเขนมองภาพนั้น แล้วหันมาสบตากัน
ระหว่างหอมกับศวัส เน้นความใกล้ชิดครู่หนึ่ง แล้วทั้งสองรู้สึกตัว
ศวัสวางหอมน้ำลงทำขรึมแก้เก้อ “ชั้นกำลังจะพาเธอไปโรงพยาบาล”
หอมน้ำบอกเสียงอุบอิบ “หอมไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ”
“รู้” ศวัสเสียงเข้ม
หอมน้ำหน้าเสีย เขนฉุนแทนเพื่อน
“คุณหมออย่าดุนักเลยค่ะ หอมเพิ่งจะฟื้น”
ศวัสหันไปทางแจ่ม “แจ่ม ไปต้มข้าวต้มร้อนๆ มาให้คุณหอมน้ำหน่อย”
“ค่ะ”
“อุ๊ย ! ไม่ต้องค่ะ”
“อย่าดื้อ”
หอมน้ำหน้าจ๋อยสนิท ศวัสมองเหมือนอยากจะพูดอะไรด้วย แจ่มมองเห็นสายตานั้นพอดี
“น้องเขน ไปช่วยพี่แจ่มหน่อยได้ไหม”
เขนตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่แจ่มขยิบตา
“อ๋อ ได้ค่ะ” เขนลุกตามแจ่มไปทั้งที่งงๆ
หอมน้ำหลับตาลง หลบสายตาศวัส
“หอมน้ำ ลืมตาขึ้นซิ” หอมน้ำยังคงหลับตาปี๋ “ยังอีก”

เสียงอันดุดันของศวัส ทำให้หอมน้ำรีบลืมตาขึ้นทันที ทั้งคู่ตาสบตากันซึ้งๆ นิ่งนาน

ฝ่ายสองคนเดินมาจะเข้าครัว เขนรีบดึงแขนแจ่มไว้

“พี่แจ่ม ทำไมต้องให้เขนมาด้วย”
“ฮื้อ ! น้องเขนไม่เห็นหรือคะ”
“เห็นอะไร” เขนงง
“ก็เห็น...”
แจ่มชะงักเมื่อเห็นเยาวภาเดินออกมาหยุดยืนมอง เขนหันมามองตามสายตาแจ่ม
“มาวุ่นวายอะไรกันแถวนี้”
“อ้อ ! คุณหมอสั่งให้เขนกับพี่แจ่มมาทำข้าวต้มให้หอมค่ะ” เขนบอก
“เกิดจะมากินอะไรกันตอนนี้” เยาวภาค่อนขอด
“คุณแม่บ้านไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยหรือคะ” เขนถาม
“แล้วมันมีอะไรที่ชั้นจะต้องรู้ต้องเห็นล่ะ”
“ช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณแม่บ้านนอนพักน่ะค่ะ น้องเขน”
เยาวภามองแจ่มเขม็ง ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“มิน่า ถึงไม่ได้ยินอะไร”
เยาวภาเลื่อนสายตามาจ้องเขนแทน

ภายในห้องรับแขกยามนี้ หอมน้ำขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง ศวัสช่วยประคอง ทั้งสองนิ่งกันไปครู่หนึ่ง แล้วศวัสตัดสินใจพูดขึ้นในที่สุด
“ขอโทษ”
หอมน้ำเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ “คะ”
ศวัสชักจะฉุนนิดๆ “บอกว่าขอโทษ”
หอมน้ำน้อยใจทันที “ไม่เป็นไรค่ะ” พลางเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อกลั้นน้ำตา
ศวัสเสียงอ่อนลง “ชั้นขอโทษจริงๆ เธอไม่ควรจะต้องมาเดือดร้อนจนแทบเอาชีวิตไม่รอดอย่างนี้เลย”
หอมน้ำเบือนหน้ากลับมาเสียงอ่อนลงเช่นกัน “ไม่ใช่ความผิดของคุณหมอสักหน่อย”
“ชั้นถือว่าใช่ ไม่นึกเลยว่าคุณแม่จะฉวยโอกาสทำเรื่องเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้”
ระหว่างนี้วิญญาณพุธกันยาปรากฏตัวขึ้น ทันได้ยินประโยคหลังพอดี วิญญาณพุธกันยาผงะไป สีหน้าบ่งบอกความเจ็บปวดขมขืน
หอมน้ำตกใจ “คุณหมอคะ”
“ทำไม” ศวัสมองตามสายตาหอมน้ำแล้วนึกรู้ “คุณแม่อยู่ที่นี่หรือ”
หอมน้ำพยักหน้าพึมพำรับคำ “ค่ะ”
“บอกท่านด้วยว่า ชั้นผิดหวังในตัวท่านมาก”
พุธกันยาน้ำตาไหลพราก “ศวัส”
หอมน้ำท้วง “คุณหมอคะ”
“หากท่านฆ่าตัวตายจริงๆ ชั้นยังไม่เสียใจและผิดหวังเท่านี้เลย”
“ศวัส แม่ขอโทษ แม่ขอโทษจริงๆ แม่ผิดไปแล้ว”
ศวัสหันมาดูแลหอมน้ำ “เดินไหวไหม”
“ค่ะ” หอมน้ำเหลือบตามองพุธกันยาแว่บหนึ่ง
“ออกไปข้างนอกกัน”
หอมน้ำชักลังเล
“ไปซิ อ้อ! แล้วบอกคุณพุธกันยา ด้วยว่า กรุณาอย่าตามมา”
ศวัสจูงหอมน้ำเดินออกไป หอมน้ำไม่วายหันมามองพุธกันยาซึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ ด้วยความสงสารและเห็นใจสุดๆ

ศวัสพาหอมน้ำเดินมานั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ รอบบริเวณอากาศสดชื่น
“คุณแม่ตามมาหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
ศวัสส่ายหน้า “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณแม่จะมีแผนร้ายกาจ”
“หอมเข้าใจท่านค่ะ” ศวัสชะงัก แล้วหันมามอง “ท่านรักคุณหมอ รักคุณลุงมาก”
“แต่ก็ไม่ควรทำให้คนอื่นเดือดร้อน ดาราคนนั้นก็ให้สัมภาษณ์ว่าคุณแม่เป็นคนทำ แล้วนี่ยังจะมีใครต้องเดือดร้อนอีกก็ไม่รู้ ความรักของคุณแม่ไม่ใช่การเสียสละ แต่คือการการทำลาย” ศวัสระบดระบายอย่างอัดอั้น
หอมน้ำก้มหน้าลง
“เธอต้องระวังตัวให้ดี”
“หอมจะพยายามค่ะ”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ชั้นจะคอยระวังให้เธอ”
หอมน้ำสะดุ้ง “อุ๊ย! ไม่เป็นไรค่ะ”
ศวัสมองหอมน้ำแน่วนิ่ง “ไม่เป็นไรไม่ได้ ชั้นจะคอยปกป้องเธอจากคุณแม่เอง ชั้นต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่คุณแม่ทำลงไป ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น จากนี้ไป ชั้นจะคอยดูแลเธอ”
ศวัสถอดสร้อยพระออก แล้วสวมให้หอมน้ำ
“สร้อยของเขนคืนให้เขาเสีย แล้วสวมสร้อยพระของชั้นติดคอไว้เลย ห้ามเอาออกเด็ดขาด”
“หอม หอมเกรงใจคุณหมอค่ะ”
“อย่าพูดอย่างนั้น ชั้นบอกแล้วว่าจะคอยดูแลเธอเอง จำไม่ได้หรือ”
หอมน้ำไหว้ด้วยสีหน้าตื้นตันใจ
“ขอบพระคุณคุณหมอมากค่ะ”

พุธกันยากำลังมองจ้องลงมายังสามคนด้วยสีหน้าเย็นชา น้ำตายังจับเป็นคราบบนใบหน้าซีดสวยนั้น

ท้องฟ้าเหนือคอนโดเจค เหมือนฝนกำลังจะตกมาในอีกไม่กี่นาทีนี้ ท้องฟ้าร้องครืนครัน ลมพัดค่อนข้างแรง

ส่วนภายในห้อง เจคพยายามโทรศัพท์ถึงหอมน้ำ เดินกลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจที่หอมน้ำไม่เปิดโทรศัพท์
“ทำไมถึงไม่เปิด”
เจคทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด แล้วนึกได้ กดโทร.ถึงเขน แต่ก็มีเพียงสัญญาณให้ฝากข้อความเช่นกัน
“มันมีอะไรกันนักหนาถึงได้นัดกันปิดโทรศัพท์หมด” เจคฮึดฮัดขัดใจเป็นที่สุด

ท้องถนนยามนี้รถรายังคงแล่นขวักไขว่ ศวัสขับรถมาตามทางมุ่งหน้ากลับหอพัก โดยมีหอมน้ำนั่งคู่ข้างหน้า ส่วนเขนนั่งเบาะหลัง บนตักหอมน้ำ มีพระพุทธรูปของศวัสมาด้วย
“จำไว้ว่า ห้ามถอดสร้อยเด็ดขาด...ทั้งสองคน”
สองสาว รับ “ค่ะ”
“แล้วถ้าคุณพุธสะกดจิตให้เราถอดล่ะคะ” เขนกังวลเพราะเจอบ่อย
“ก็ต้องมีสติ นึกถึงพุทธคุณเข้าไว้ เขนต้องย้ายมาอยู่กับหอม หรือหอมจะย้ายไปอยู่กับเขนก็ได้”
เขนคิดปราดเดียว “หอมย้ายไปอยู่กับเขนดีกว่า”
หอมน้ำพยักหน้ารับ
“หากมีอะไรผิดปกติ ต้องรีบโทรศัพท์ถึงชั้นทันที”
สองสาวรับ “ค่ะ” พร้อมเพรียง
ศวัสเหลือบตามองพระพุทธรูปบนตักหอมน้ำ
“พระพุทธรูปองค์นี้เป็นของคุณพ่อ ท่านบอกว่าศักดิ์สิทธิ์มาก”
หอมน้ำลังเล “แล้ว...แล้วคุณพุธจะไม่มาเอาคืนหรือคะ”
“ไม่หรอก เพราะชั้นขออนุญาตคุณพ่อแล้ว”
สองสาวพยักหน้าพึมพำรับคำเบาๆ
ศวัสเหลือบมองหอมน้ำแว่บหนึ่งอย่างเป็นห่วง แล้วขับต่อไปเงียบๆ

ตอนที่ศวัสขับรถมาจอดหน้าตึก บรรยากาศรอบหอพักยังดูคึกคัก ด้วยเป็นเวลายังไม่ดึกมากนัก
ศวัสเปิดประตูเดินนำเข้ามา แล้วเปิดไฟสว่าง
“เอาแต่เสื้อผ้าของใช้จำเป็นเท่านั้นก็พอ”
“ค่ะ”
หอมน้ำกับเขนช่วยกันหยิบของใช้จำเป็น ขณะศวัสช่วยดูหนังสือเรียน

ประตูห้องเขนเปิดออก ทั้งสามคนช่วยกันหอบข้าวของเข้ามา เขนเปิดไฟ ศวัสอัญเชิญพระพุทธรูปไว้บนหลังตู้ หลังจากมองหาที่เหมาะๆ ครู่หนึ่ง ขณะที่หอมน้ำกับเขนช่วยกันจัดของเงียบๆ
“อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนด้วย”
“เราสองคนสวดเป็นประจำอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“ดี”
“คุณหมอไม่ต้องเป็นห่วงหอมนะคะ เขนจะดูแลให้เป็นอย่างดีที่สุด”
หอมน้ำชักจะอึดอัด “หอมดูแลตัวเองได้น่ะ”
“อย่าอวดดี ดูแลตัวเองได้แต่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”
หอมน้ำเม้มปาก แล้วเบือนหน้าไปอีกทาง
น้ำเสียงศวัสอ่อนลง “ขอโทษ” เขนเบิกตากว้าง “ที่ชั้นเข้ามาวุ่นวายก็เพราะคุณแม่ของชั้นเป็นต้นเหตุ ชั้นจะพยายามทำให้ท่านเปลี่ยนใจให้ได้”
“แต่คุณหมอไม่เห็นท่านนี่คะ” เขนทักท้วง
“ชั้นไม่เห็นท่าน แต่ท่านเห็นแล้วก็ได้ยินชั้นไม่ใช่หรือ”
หอมน้ำรับคำ “ค่ะ” เบาๆ
ศวัสมีสีหน้าแน่วนิ่งจริงจังขณะมองสบตาหอมน้ำ “เราจะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ ชั้นสัญญา”
หอมน้ำสบตาศวัสด้วยความตื้นตันใจ

นักศึกษาชายหญิงในบริเวณนั้นเดินสวน เข้าออกไปมา ขณะศวัสเดินนำออกมาหน้าตึก โดยมีหอมน้ำกับเขนเดินตามมาส่งที่รถ สองสาวไหว้ศวัสอย่างสำนึกในบุญคุณ
“ขอบคุณมากค่ะ”
“หอมก็ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ”
ศวัสมองหอมน้ำนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง “ดูแลตัวเองให้ดีนะ”
“ค่ะ”
ศวัสกำชับกับเขน “ฝากหอมน้ำด้วย”
“ค่ะ หอมเป็นเพื่อนที่เขนรักมากที่สุดอยู่แล้ว”
ศวัสพยักหน้า ขึ้นรถแล้วขับออกไป
สองสาวมองตามจนลับตา เขนหันมามองหอมยิ้มหยอก
หอมน้ำร้อนตัว “ยิ้มอะไร”
“ในท่ามกลางข่าวร้าย ก็ย่อมมีข่าวดี”
หอมน้ำเฉไฉเดินกลับ “ไม่เห็นจะมีข่าวดีที่ไหน”
“ถามจริง หอมไม่รู้สึกว่า คุณหมอฟันทันตแพทย์เป็นห่วงหอมมาก”
“เขาก็ห่วงเขน”
“ห่วงเขนให้คอยดูแลหอมน่ะซิ เชื่อหรือยังล่ะ”
หอมน้ำนิ่งงันไป
“เขนบอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า คุณหมอฟันทันตแพทย์ชอบหอม”
หอมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

คฤหาสน์ทั้งหลังตกอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบ
ศวัสเปิดประตูห้องพุธกันยาเดินเข้ามาในนั้น พุธกันยานั่งมองลูกนิ่งๆ ขณะศวัสเดินมาทรุดตัวลงกราบโกศกระดูก
“คุณแม่ ผมรู้ว่าคุณแม่อยู่ในห้องนี้”
พุธกันยายังคงมองลูกนิ่งๆ
“ผมมากราบขอร้องให้คุณแม่เลิกคิดที่จะสิงร่างหอมเสียที มันบาปนะครับ”
พุธกันยาเม้มปาก น้ำตาคลอด้วยความน้อยใจลูก
“หอมน้ำยังเด็ก คุณแม่อย่าเอาชีวิตของเขาไปเลย เขาควรจะได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข”
“ชั้นก็ควรจะได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขเหมือนกัน”
“ผม...ผมรักหอมน้ำ”
พุธกันยาสะดุ้ง “แล้วแม่ล่ะ ศวัสไม่รักแม่เลยหรือลูก”
“ผมอยากให้คุณแม่อวยพรให้เรา”
พุธกันยาอุดหูไม่อยากได้ยิน “ไม่ ชั้นไม่อวยพรให้ใครทั้งนั้น”

ร่างพุธกันยาพลันหายไป ในจังหวะที่ศวัสก้มกราบลงพอดี

หอพักยามดึกบรรยากาศเงียบสงัด แสงไฟตามห้องปิดเป็นส่วนใหญ่ ภายในห้องเขน สองสาวนอนหลับ เขนอยู่บนเตียง ส่วนหอมน้ำนอนที่หน้าเตียง

มีเสียงกุกกักเหมือนคนเดินมาหยุดที่ปลายเท้า หอมน้ำลืมตาขึ้น แล้วสะดุ้งเฮือกด้วยไม่ทันรู้ตัว
พุธกันยานั่งอยู่บนเตียง มองหอมน้ำด้วยนัยน์ตาดำของปีศาจ
“คุณพุธ” หอมน้ำผุดลุกนั่งทันที
พุธกันยาแดกดัน “ยังอยู่ดีมีสุขหรือที่แย่งลูกของชั้นไป”
หอมน้ำหันไปมองเขน แต่เขนหลับสนิท
“เพื่อนเธอไม่ตื่นขึ้นมาช่วยเธอหรอก”
หอมน้ำยกมือขึ้นจับพระที่ห้อยคอไว้
พุธกันยามองแว่บหนึ่ง “นั่นสร้อยพระของศวัส”
“คุณหมอให้หอมไว้ป้องกันตัวค่ะ”
“ป้องกันตัวจากใคร จากชั้นงั้นเรอะ”
หอมน้ำเริ่มตั้งสติได้ “คุณคิดว่าใช่ไหมล่ะคะ”
“ไม่ต้องมาย้อน”
“คุณกลับไปเถอะค่ะ”
“ถ้าชั้นไม่กลับ”
“หอมก็จะนอนต่อ”
หอมน้ำเอนตัวลงนอน ดึงผ้าห่มคลุมตัว “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” แล้วหลับตาลง
พุธกันยาตวาด “หอมน้ำ”
หอมน้ำทำเป็นไม่ได้ยิน
“หอมน้ำ”
หอมน้ำยังคงทำเป็นไม่ได้ยิน พุธกันยากระชากผ้าห่มออก แล้วชะโงกหน้าลงมาจนใกล้ ด้วยท่าทีคุกคาม และน่ากลัวมากๆ พระที่คอเปล่งรัศมีเรืองรองออกมา พุธกันยากรีดร้องโหยหวน แล้วหายวับไป หอมน้ำถอนใจโล่งอก แล้วยกพระขึ้นจบหัวไหว้บูชา

ในความคึกคักยามเช้า สองสาวพากันมาอยู่ในร้านอาหารข้างหอพัก หอมน้ำทานเพียงไข่ดาว ไส้กรอก ขนมปัง ขณะที่เขนกินข้าวมันไก่จานโปรดเช่นเดิม
เขนมองหน้าตาสดชื่นของเพื่อนยิ้มๆ “น่าอิจฉาจัง มีคนโทร.มาถามทุกข์สุขตั้งแต่เช้า”
หอมน้ำเขิน “คุณหมอเขาก็ห่วงเราทั้งสองคนนั่นแหละ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก หอมน้ำหยิบขึ้นมาดู แล้วถอนใจ “คุณเจค”
“รับเถอะ เมื่อคืนโทร.เข้ามาตั้งหลายครั้ง ไอ้เราก็ดันปิดโทรศัพท์”
หอมน้ำรับสาย “สวัสดีค่ะ”
เจคโทร.จากห้องนอนในคอนโด มีสีหน้าโล่งใจ “รับเสียที เมื่อคืน...”
หอมน้ำพูดขัดขึ้นก่อน “อ๋อ! เมื่อคืนหอมปิดโทรศัพท์ ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ”
เจคชะงักกึกกับสรรพนามนั้น “หอม”
“คุณเจคมีธุระอะไรกับหอมหรือคะ”
“เดี๋ยวมาพบที่ออฟฟิศหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“ดี” เจควางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เขนเงยหน้าจากจานข้าวมันไก่จานที่สอง “คุณเจคโทร.มาทำไม”
“ให้ไปพบที่บริษัท”
“สงสัยคุณพุธแกต้องไปสัญญิงสัญญาอะไรไว้แน่” เขนบอกอย่างมั่นใจ

ไม่นานต่อมา หอมน้ำกับเขนเดินเข้ามาในห้องทำงานเจคแล้วไหว้
เจครับไหว้แล้วบอกเขน “เขนลงไปคุยกับโค้กเรื่องคิวหนังก่อนได้ไหม”
“คิวหนังอะไรคะ” หอมน้ำแปลกใจมาก
เขนเลยบอก “ก็ที่เล่าให้ฟังไง”
หอมน้ำนิ่ง ขณะที่เจคส่งซองใส่บทหนังให้
“บทมาครบแล้ว”
หอมน้ำตัดสินใจบอก “หอมไม่อยากเล่นหนังค่ะ”
“แต่หอมรับปากกับพี่แล้ว เขนเป็นพยานได้” เจคว่า
“เอ้อ...หอมต้องขอประทานโทษจริงๆ หอม...” หอมน้ำลำบากใจมาก
“ถ้าปฏิเสธตอนนี้ ก็เท่ากับพี่ต้องเสียหาย หนูก็รู้ว่าทุกอย่างเตรียมพร้อม รอแค่เปิดกล้องต้นเดือนหน้า พี่คงเปลี่ยนตัวนางเอกไม่ทัน ทุกคนเขาคิวเต็มหมด”
หอมน้ำสบตาเขนด้วยสีหน้าหนักใจ

สองสาวเดินตรงมาหน้าห้องน้ำออฟฟิศ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“หอมจะทำยังไงดี”
“เดี๋ยวค่อยปรึกษาคุณหมอ เขนเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
หอมน้ำพยักหน้า เขนเดินเข้าไป หอมน้ำก้มลงมองนึกฝึกบทในมืออย่างหนักใจ มีเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากบริเวณบันได ฟังดูกึกก้องโหยหวนโดยประหลาด หอมน้ำชะงัก ตัดสินใจเดินลงไปดู

หอมน้ำเดินลงบันไดมา 2-3 ขั้น แล้วชะโงกหน้ามอง ด้วยรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครคนหนึ่งมองอยู่ แต่บริเวณนั้นว่างเปล่า หอมน้ำชะโงกดูจนทั่วครู่หนึ่ง จึงขยับจะหันหลังกลับ ใครคนนั้นหลบวูบไป
หอมน้ำมองไปโดยรอบด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจ แล้วเดินกลับขึ้นไป คราวนี้หอมน้ำชะงัก เมื่อเห็นโค้กกำลังก้าวลงมา แล้วหยุดชะงักมองตน
หอมน้ำไหว้ “สวัสดีค่ะ พี่โค้ก”
โค้กเดินหนีไปโดยไม่แม้แต่จะรับไหว้ หอมน้ำมองตามอย่างหนักใจ

อดนึกสงสัยและแปลกใจในท่าทีนั้นของโค้กไม่ได้

อ่านต่อตอนที่ 15 อวสาน
กำลังโหลดความคิดเห็น