xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 14

เย็นวันเดียวกัน ท่านชายเดินช้าๆ มาหยุดยืนมือไขว้หลังอยู่บนชั้นดาดฟ้าของวัง ใบหน้าหม่นเศร้าล้ำลึก

สักครู่จึงยืดกายตรง คล้ายพยายามบังคับอารมณ์ตนเองอย่างหนักหน่วง ดุจคนที่พร้อมรับความจริงและหน้าที่แห่งตน
ส่วนในห้องนอนเจริญขวัญเวลานี้ ผู้เป็นเจ้าของห้องตกอยู่ในอาการขัดเขิน ประหม่า และไม่มั่นใจ อีกมือดึงผ้าห่มมาห่มมาคลุมจนถึงปาก เหลือเพียงตาที่มองจ้องอิศราอยู่อย่างนั้น
อิศรามองแล้วเสหัวเราะเอ็นดูเจริญขวัญ ปนเขินตัวเองเล็กน้อย
“เอ้อ พี่อาจจะเลือกเวลาไม่เหมาะสมไปเสียหน่อยขวัญยังไม่สบายอยู่แท้ๆ แต่พี่ ไม่อยากเก็บซ่อนความรู้สึกของพี่อีกต่อไป พี่อยากดูแลขวัญ ถ้าขวัญคิดว่าพี่ดีพอ หรือว่า...ขวัญอาจจะรังเกียจพี่”
เจริญขวัญโพล่งขึ้น “ไม่ค่ะ” แล้วรู้สึกตัว ขวยเขิน ก้มหน้างุด
เจริญขวัญก้มคางซ่อนใบหน้าลงใต้ผ้าห่มลงอีกหน่อย เหลือเห็นครึ่งหน้า ดวงตาขัดเขินชัดแจ้งอิศราหัวเราะขัน
“ถ้าอย่างนั้น ขวัญยังไม่ต้องตอบพี่ก็ได้ เอาแค่ ขวัญพยักหน้า อย่างน้อยพี่จะได้รู้ว่า ขวัญรับคำขอของพี่ ไว้พิจารณา”
เห็นอีกฝ่ายนิ่ง อิศรากุมมือเจริญขวัญขึ้นมา รบเร้าร้อนรนขึ้น
“นะ พยักหน้านิดเดียวเท่านั้น นะ”
เจริญขวัญนิ่งมองเขา อิศราจ้องตอบ รอลุ้น
เจริญขวัญหลบตา หัวขยับ พยักหน้านิดๆ อิศราหัวใจพองโต ก้มลงจูบมือเจริญขวัญเบาๆ เจริญขวัญอายใหญ่ ซ่อนหน้าใต้ผ้าห่ม
มีเสียงประตูเปิด อิศรารีบปล่อยมือ ลุกยืนปรับท่าทีเหมือนยืนคุยอยู่ ดวงแก้วเดินเข้ามา พร้อมถาดวางแก้วน้ำ ชะงักมอง
“เอ้อ ผมเข้ามาเยี่ยมขวัญครับ พอดีขวัญตื่น”
“ค่ะ”
อิศราดีใจ ท่าทีลุกลี้ลุกลนขณะบอก “เอ้อ พี่ไปล่ะ ขวัญจะได้พัก ขวัญอยากได้อะไรไหม อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม พี่จะไปซื้อให้”
เจริญขวัญส่ายหน้า ดวงแก้วมองอาการลูกสาว และท่าทีอิศรา สงสัยครามครัน
“งั้นพี่ไปก่อนนะ พักเยอะๆ นะจ๊ะ”
อิศราหันมายิ้มกับดวงแก้วก่อนออกไป ดวงแก้วมองตาม แล้วหันกลับมามองลูกสาว เจริญขวัญที่มองตามอิศราตลอดเวลาหันมาเจอสายแม่ ถึงกับสะดุ้ง
“คุณอิศเขาเข้ามานานแล้วเหรอลูก”
“ไม่...ไม่นานค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“ทีหลังถ้าเขาเข้ามา หนูควรเรียกใครเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนด้วยสักคนไม่งั้นมันดูไม่เหมาะนะจ๊ะ”
เจริญขวัญหน้าเสีย “ขวัญหลับอยู่ พอตื่นก็เห็นเขาค่ะแม่”
ดวงแก้วตัดบท “เอาเถอะ แล้วก็แล้วไป แม่ไม่ว่าอะไรหรอก”
เจริญขวัญหน้าม่อน หลับตาลง ดวงแก้วเครียดขรึม

อิศราดื่มน้ำอยู่ตรงมุมในบ้าน ท่าทางมีความสุข ดวงแก้วเดินมาเบื้องหลัง
“คุณอิศคะ”
อิศราชะงักหันมาหา “ครับอาแก้ว”
“อาอยากขอบคุณ ที่คุณอิศช่วยดูแลยายขวัญ” ดวงแก้วยิ้มบางเฉียบ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ยายขวัญ เป็นโรคหัวใจมานาน แต่ก็ไม่ยอมผ่าตัด อาเองก็ไม่กล้าบังคับลูก คงเป็นเพราะอาเองก็กลัวว่า จะเกิดอะไรขึ้น”
อิศราเป็นกังวลขึ้นมา “อาหมอไพโรจน์รับปากว่าจะหาหมอมือดีที่สุดมาดูแลขวัญครับ อาแก้วไม่ต้องกังวล”
“ค่ะ” ดวงแก้วถอนใจ เหลือบมองอิศรา “ตอนนี้อาอยากให้ขวัญ รักษาตัวเพื่อเตรียมผ่าตัดอย่างเดียว ไม่อยากให้แกกังวลเรื่องอะไรอื่นทั้งนั้น”
อิศราชะงัก ทำหน้าไม่ถูก ดวงแก้วยิ้มขอตัวเดินจากไป

สีหน้าอิศราเต็มไปด้วยความอึดอัด เข้าใจในคำพูดประโยคนั้นว่าหมายถึงอะไร

เวลานั้น ท่านชายวสวัตเดินเข้ามา หยุดยืนหันหลังตรงริมสระว่ายน้ำ อิศราโทร.จากบ้านมาหา

“ว่าไง อิศรา” ท่านชายทักด้วยจิต
“สนใจข่าวดีไหมครับท่านชาย”
“ของใคร”
“ของผมสิครับ” ใบหน้าอิศรายามนี้เป็นสุขล้นเหลือ เขาทอดเสียงนุ่มไม่โหวกเหวกดังเคย “ผมขอเจริญขวัญแต่งงานแล้ว”
เห็นท่านชายเงียบไปนาน อิศราเอ่ยขึ้น
“ฮัลโล ท่านชายครับ”
“แล้วไงอีก มีหวังไหม”
“คิดว่ามีหวังเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ”
ท่านชายเงียบนิ่งฟัง
“แต่ดูเหมือน อาดวงแก้วแกออกจะกันๆ น่ะครับ ผมว่า คงเพราะขวัญยังไม่ค่อยสบาย แต่ถ้าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี คงได้ฉลองกันล่ะครับ”
ท่านชายขรึมลง “ฉันจะรอวันนั้น”
เฟรมภาพด้านท่านชาย คัทปาดออก
อิศราฮัลโล ๆ ท่านชายครับ ..อ้าว..วางซะแล้ว
ท่านชายยังยืนขรึมเอามือไขว้หลัง มองรูปปั้นตรงสระน้ำ จิตประหวัดไปถึงสาวน้อยคนนั้น
ภุมมะ เดินมาเบื้องหลังท่านชาย ค้อมศีรษะ ท่านชายหันมองมารับรู้ว่าใครมาเยือน

เป็นชาลินีที่กำลังสำรวจตัวเองหน้ากระจกห้องรับรองนั้น หล่อนเติมลิปสติก สีหน้ามีริ้วรอยกังวลอยู่บ้าง แต่พยายามวางท่าทรงเสน่ห์
ภาพจากในกระจก เห็นร่างสง่างามของท่านชายเดินเข้ามาในห้อง ทางเบื้องหลัง ชาลินีดีใจ ตาวาว วับ
“ท่านชาย”
ชาลินีหันมาช้าๆ ท่านชายยืนอีกด้านของโต๊ะยาว สองคนมีโต๊ะคั่นกลาง
ชาลินีมองท่านชาย เธอเหมือนถูกดึงดูดทุกครั้ง ชะงักมอง
“สวัสดี ชาลินี”
ใบหน้าท่านชายเรียบเฉย ชาลินีได้สติหลุดจากภวังค์ เดินอ้อมหัวโต๊ะปรี่ไปหาพลางทัก
“สวัสดีค่ะท่านชาย พอดีชาผ่านมาแถวนี้เลยแวะลองดูว่า ท่านชายจะอยู่ไหม โชคดีจริงๆ ได้พบท่านชาย”
“เธอมีธุระอะไร”
ชาลินีชะงักไปนิด ที่น้ำเสียงท่านชายฟังดูห่างเหินเหลือเกิน หล่อนหัวเราะ เสียงปร่าคล้ายน้อยใจ
“จำเป็นต้องหาเหตุผลในการมาหาท่านชายทุกครั้ง จริงๆ เหรอคะ...แหม ชักน้อยใจแล้วสิคะ”
“ทำไมต้องน้อยใจ”
“ก็...ชาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้น่ะสิคะ ว่า ท่านชายอาจจะเห็นชา พิเศษ กว่าใครๆ”
ท่านชายมองแล้วผินหน้าหนีมา ด้วยรำคาญ
“เธอพิเศษ กว่าใครอยู่แล้ว”
ชาลินีปลื้ม ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แล้วทำเสียงกระเง้าเง้ากระงอด
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะคะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ไม่ทราบสิคะ บางที ชายังอดคิดไม่ได้ว่า...” หล่อนมอง ลวงถามในท่าทีกระเง้ากระงอดประสาผู้หญิงขี้หึง “ท่านชายเห็นผู้หญิงอื่น พิเศษกว่าชาบ้างหรือเปล่า...อย่าง”
ท่านชายถามโดยไม่หันหน้ามา “อย่างใครเหรอ”
“อย่าง...” ชาลินีตริตรอง ว่าจะลองใจดีไหม แล้วทำเป็นยิ้มใส่จริต “อย่าง..แม่เด็กคนนั้น”
ท่านชายหันมองหน้า
ชาลินีสะบัดสะบิ้งแง่งอดนิดๆ “เด็กของอิศราน่ะค่ะ เจริญขวัญ”
ท่านชายหัวเราะเบาๆ ชาลินีใจชื้นขึ้น
ท่านชายหัวเราะแล้วยิ้ม จงใจพูดในสิ่งที่ชาลินีจะเจ็บปวดราวถูกมีดแทงใจ
“ก็ไม่แน่นะ ถ้า...” ท่านชายเน้นคำ “แม่เด็กคนนั้นของเธอ ไม่ใช่ เด็กของอิศรา”
ชาลินีตะลึงงัน มือไม้สั่น หล่อนกำมือจนเกร็ง ฝืนยิ้ม บังคับเสียงไม่ให้สั่นนัก นัยน์ตาวาววับ
“ท่านชายชอบพูดเล่นนะคะ ยังไง ชาคิดว่า ท่านชายก็คงรู้อยู่ว่า อิศรามีแผนอะไรกับ...” เจ้าหล่อนเกือบจะพูด แม่นั่น ออกมาอีก แต่แล้วกัดปากเปลี่ยนเป็น “เจริญขวัญ”
“เธอมาหาฉันทั้งที จะพูดถึงเรื่องคนอื่นอยู่ทำไม ถ้าเธอไม่มีธุระอะไรสำคัญ ฉันจะได้ไปทำงาน”
ชาลินีหน้าเสียคล้ายถูกไล่ พยายามฝืนยิ้ม “ชามาเรียนเชิญท่านชายไปร่วมงานทำบุญครบร้อยวันคุณยายน่ะค่ะ”
ท่านชายก้มศีรษะรับรู้ ชาลินีปั้นยิ้มสวย แต่มือที่อยู่ข้างตัวนั้นยังคงกำแน่น

เจริญขวัญนั่งเอนพิงพนักเก้าอี้อยู่ตรงสนาม มีผ้าสีสวยคลุมไหล่ เด็กสาวทอดสายตามองไปไกล ดวงแก้วเดินมาหยุดมอง ขยับลงนั่งข้างๆ ถามขึ้นโดยไม่มองหน้าลูก
“คิดอะไรอยู่ลูก”
เจริญขวัญกระอึกกระอัก “เปล่าค่ะ...เอ้อ..แม่คะ”
ดวงแก้ว ใจเย็น เสียบดอกไม้ใส่แจกัน แล้วหันมาสบตา “ว่าไงลูก”
“พี่อิศราน่ะค่ะ วันก่อน เขาถามขวัญว่า...” เจริญขวัญหน้าแดงท่าทีขวยเขิน
ดวงแก้ว ชะงักมอง แล้วถามเสียงเบาลงไป
“ว่า...”
“เขาถามขวัญว่า ขวัญ...จะแต่งงานกับเขาได้ไหม”
ดวงแก้วนิ่ง เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองเลยไปทางหนึ่ง
เจริญขวัญ ขลาดๆ กล้าๆ มองความนิ่งของมารดา แล้วรีบพูด
“แต่ขวัญ ยังไม่ได้ตอบอะไรพี่อิศหรอกนะคะแม่” เด็กสาวรีบคว้ามือแม่มาเขย่าอย่างร้อนรน “จริงๆนะคะ ขวัญยังไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น”
เจริญขวัญพิงบ่าดวงแก้วอย่างประจบเอาใจ ดวงแก้วถอนใจ ยกมือข้างหนึ่งโอบใบหน้าลูกสาว
“เอาล่ะจ้ะ แม่เข้าใจแล้ว แต่หนูคิดว่า หนูไม่ได้ตอบเขาในวันนี้ แล้ว วันหน้า หนูจะไม่ต้องตอบเหรอจ๊ะ แล้วหนูคิดยังไงล่ะลูก”
เจริญขวัญส่ายหน้า
“ไม่ค่ะ ขวัญจะให้แม่คิด”
“หนูจะให้แม่คิดทุกเรื่องไม่ได้หรอกนะลูก บางอย่าง บางเรื่อง หนูต้องตัดสินใจ เพื่ออนาคตของหนูเอง”
“แม่คะ เมื่อตอนที่พ่อบอกกับแม่ แม่คิดยังไงคะ”
ดวงแก้วเอนหน้าพิงกับศีรษะเจริญขวัญที่ซบบนบ่า
“ตอนแม่รู้จักพ่อ แม่ไม่รู้หรอก ว่าฐานะคุณพ่อเป็นยังไง แต่คุณพ่อ เป็นคนดี ท่าทางขยันขันแข็ง และเราก็รักกัน เพราะมีหลายอย่าง ที่เราเหมือนกัน”
เจริญขวัญเคลิ้มคล้อย
“เมื่อแม่รักพ่อ แม่ก็ให้ทั้งชีวิตของแม่กับพ่อของลูก และพ่อเขาก็ทำตัวสมกับความรักนั้น จนเขาตายไป”
ดวงแก้วละตัว หันมาประคองแก้มเจริญขวัญมองสบตา
“หนูคิดว่า หนูเข้าใจกับคุณอิศราดีไหมล่ะลูก”
“พี่เขาก็เป็นคนดี อ่อนโยน...แต่...สำรวยนิดหน่อย”
ดวงแก้วระบายลมหายใจเบาบาง “ดูๆ ไปก่อนเถอะลูก บางทีหนูอาจจะได้คิดว่าชีวิตการแต่งงาน อาจจะไม่ใช่ความสุขทั้งหมดของเรา เสมอไป”
เจริญขวัญยิ้มตาสดใส ใบหน้าเปล่งประกาย

ดวงแก้วมองอย่างเข้าใจ ตระหนักชัดว่าหัวใจเจริญขวัญโบยบินไปแล้ว ถอนใจบางๆ

ค่ำนั้น ชาลินีพาตัวเองมานั่งอยู่ตรงบาร์เหล้า ในร้านเหล้าหรู หล่อนดื่มเหล้ารวดเดียวหมดแก้ว หมอไพโรจน์นั่งข้างๆ มองอย่างกังวลนิดๆ ชาลินียกมือเรียกบริกร

“บ๋อย” ชาลินีชูแก้ว “อย่างเดิม อีกแก้ว”
“ดื่มมากๆ เดี๋ยวเมาหรอก” หมอท้วง
ชาลินีเยื้อนยิ้ม เริ่มมึนเพราะดื่มมาสักครู่แล้ว “ชาถึงชวนอาหมอมาไงคะ ถึงเมา อาหมอก็ดูแลชาได้ ใช่ไหมคะ”
บริกรเอาแก้วใหม่มาเสิร์ฟ หยิบแก้วเก่ากลับไป ชาลินียกแก้วขึ้นมามอง
“อาหมอ เคย..ชอบใครมากๆ ไหมคะ” น้ำเสียงหล่อน คล้ายพูดกับตัวเอง
“อายุอาป่านนี้แล้ว ก็ต้องเคยสิ”
ชาลินีเศร้าลึก “เหรอคะ ความรัก มันแปลกจริงๆ นะคะ พอมันหลั่งไหลเข้าในหัวใจอย่างถอนใจไม่ขึ้น เราก็ทำได้ทุกอย่าง”
หมอไพโรจน์มองเงียบๆ หล่อนถามเอาว่า
“แล้ว...ถ้ารักไม่สมรักล่ะคะ อาหมอ จะทำยังไง”
“เราบังคับใจใครไม่ได้ ที่ดีที่สุด เราก็ต้องบังคับใจเราเอง”
ชาลินีหัวเราะเสียงใส พูดเยาะหยัน
“อาหมอ พูดแบบทฤษฎี แบบคนโลกสวย แบบคนดี”
หมอถามแบบจิตแพทย์ “แล้วชา คิดยังไงล่ะ”
ชาลินีอึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะยกแก้วดื่ม คิดถึงเรื่องที่หล่อนเคย ทำแท้งฆ่าลูกตัวเอง ใบหน้าเศร้าลง คล้ายกดดันหนัก ลืมสติไปชั่วครู่ มือหล่อนสั่นน้อยๆ น้ำตาคลอ จมในภวังค์ของตัวเอง ท่าทีสับสนหนักหน่วง
“ความรักที่ไม่เป็นอย่างที่คิด ความหวังที่ถูกทำลาย มันก็ไม่ควรเหลือ หลักฐานอะไร ให้ตอกย้ำความผิดพลาดของเรา ทำให้เราต้องอาย ทำให้เราต้องเสียใจ ทุกครั้งที่เห็น...” น้ำเสียงหล่อนตอนท้ายเบาหวิว “มัน”
ชาลินีนิ่งงันไป ยกมือตัวเองขึ้นมาดู พบว่ามือสั่น น้ำตาเจียนหยด
หมอไพโรจน์ขมวดคิ้ว มองชาลินีอย่างสงสัย แกมเป็นห่วง
“มันก็ไม่ควรมีอยู่ ทำลายอนาคตเรา”
หมอไพโรจน์รู้สึกผิดปกติ “ชา หมายถึงอะไร”
ชาลินีได้สติ ยกนิ้วกรีดน้ำตาที่หยดรินลงมาบ้าง แล้วเสทำเป็นหัวเราะเสียงใส ทำตัวร่าเริงคว้าแก้ว
“ขา อาหมอ นั่นแน่ ทำไมทำหน้าแบบนั้น ชาไม่ได้บ้านะคะ แค่...” หล่อนยักไหล่ “เล่นละครให้อาหมอดู”
“ชามีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า”
ชาลินีปรับอารมณ์ หว่านเสน่ห์ใส่หมอเพื่อเปลี่ยนเรื่องด้วยการค้อนตาหวาน ทรงเสน่ห์ ขยับลุกเดินนวยนาดไปนั่งข้างหมอไพโรจน์
“คนไม่มีเรื่องอะไรในใจ คงมีแต่คนตายละมังคะ”
ร่างผีเอกดนัย ยืนอยู่เบื้องหลังทั้งคู่แล้ว
ชาลินี เริ่มมึนเมาก็ยิ่งบริหาร หว่านเสน่ห์โดยอัตโนมัติ ขยับเข้าชิดหมอไพโรจน์ แหย่ยั่ว เพราะรู้ว่าหนุ่มใหญ่คราวพ่อชอบตัวเอง ตาที่มองมาเป็นประกายระยิบระยับ
“อย่างอาหมอ อย่าบอกนะคะว่าไม่มีอะไร...ในใจ”
หนุ่มใหญ่แต่เป็นไก่อ่อนในสนามรัก อึกอัก ขัดเขิน ยกแก้วของตัวเองจะดื่ม ชาลินีหัวเราะคิก ยกมือแตะให้หมอชะงักก่อนยกแก้วเข้าปาก แล้วทำเลิฟช็อตคล้องมือกับหมอดื่ม
หมอไพโรจน์เคอะเขิน คิดว่าชาลินีคงเมา จึงยอมทำตามแต่ก็อึดอัดใจไม่น้อย เพราะเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง
ผีเอกดนัยก้มลงจนใกล้ด้านหลังต้นคอชาลินีจ้องตาดุ
ชาลินียิ้มหวานกับหมอไพโรจน์ แต่แล้วก็ชะงัก หันขวับไปข้างหลัง ลูบต้นคอ
“เป็นอะไร”
“ไม่รู้สิคะ มัน เย็นๆ”
ผีเอกดนัยนั่งอยู่ข้างหลังชาลินีนั่นเอง
“อยู่ๆ ก็เหมือน มีลมพัดตรงต้นคอ” หล่อนหัวเราะออกมา “สงสัยอยู่ใกล้อาหมอมากไปหน่อย เลยขนลุก”
หมอไพโรจน์ยิ้มเจื่อนๆ “อ้าว...แล้วกัน”
ชาลินีดื่มเหล้ารวดเดียวหมดอีก ยิ้มกรึ่มๆ ให้หมอไพโรจน์
จังหวะนี้ผีเอกดนัยโผล่มาด้านหลังศีรษะชาลินี นัยน์ตาดุ มองทะลุปรุโปร่ง
“ชา...พอเธอผิดหวังอะไร เธอก็หว่านเสน่ห์ไปทั่ว เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีอย่างนี้เอง ฉันมันโง่จริงๆ สำหรับเธอ ผู้ชาย มีไว้เพื่อให้เธอหลอกบริหารเสน่ห์ของเธอเท่านั้น!”
ชาลินีแสร้งยิ้มหัวกับหมอไพโรจน์ ทั้งที่ในใจกดดันเป็นที่สุด ด้วยอาการโรคจิตนิดๆ ของหล่อนเอง
“อาหมอ ดื่มนิดเดียว ไม่เอาอ่ะ ดื่มอีก หมดแก้วเลยค่ะ”
ชาลินีดันแก้วบังคับให้หมอดื่มหมดแก้ว หล่อนหัวเราะคิก

ไม่นานต่อมา หมอไพโรจน์เดินประคอง ชาลินีที่อยู่ในอาการมึนเมามาที่รถ
ชาลินีหัวเราะ “ทำไม พื้นมันเอียงอย่างนี้ล่ะ”
“จะขับรถไหวเหรออย่างนี้”
“อ้าว งั้น ชาจะมี...” เจ้าหล่อนยกนิ้วชี้แตะแก้มเขา “อาหมอมาด้วยทำไมล่ะคะชารู้ ว่าอาหมอน่ะ...เป็นสุภาพ...บุรุษ..ที่ไว้ใจได้”
“ที่จริงอาก็มึนนะเนี่ย เอ้าๆ เดินดีๆ ชา”
หมอประคองชาลินีมาที่รถ เปิดประตูให้ส่งตัวชาลินีเข้าไปนั่งก่อน ชาลินีนั่งพิงเบาะ อยู่ในอาการมึนเมา หมอไพโรจน์ อ้อมไป ด้านคนขับ

ขณะจับที่เปิดประตู หมอไพโรจน์ก็ชะงักกึก เอกดนัยยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง

ชาลินีนั่งหลับตาพิงเบาะอยู่ มีร่างๆ หนึ่งก้าวเข้ามานั่งที่คนขับ เป็นผีเอกดนัย

ชาลินีลืมตา อาการสะลึมสะลือ เห็นผีเอกดนัยที่นั่งตัวตรงมองไปข้างหน้ากับหมอไพโรจน์ สลับกันไปมา ชาลินีขมวดคิ้ว แล้วหลับตาลง
ผีเอกดนัย สตาร์ทรถ แล้วเคลื่อนออกไป

ท่านชายยืนอยู่บนระเบียงยอดตึกร้านไวน์ มองไปไกล สีหน้าเคร่งเครียด

ชาลินีนอนอยู่บนเตียงของโรมแรม ทั้งห้องแสงสลัว มีร่างๆหนึ่ง นั่งอยู่บนโซฟาในเงามืด มองจ้องชาลินีอยู่
ชาลินีนอนหลับตะแคงหน้า ร่างนั้นเคลื่อนมาลงนั่งข้างเตียง เห็นมือซีดขาวเลื่อนมา ใช้นิ้วแตะแก้มชาลินีเบาๆ ที่แท้เป็นผีเอกดนัย
“ชา...”
ชาลินีสะลึมสะลือ ปรือตามอง ในสายตาเห็นภาพสลับกัน ระหว่างหมอไพโรจน์ และ ผีเอกดนัย นั่งชิดตัวเองที่ขอบเตียง ก้มมองมา
“โอย...อาหมอ...ชา ปวดหัวจังเลย”
ผีเอกดนัย แค่นยิ้ม แล้วค่อยก้มลง
จะด้วยรักและแค้น ผีเอกดนัยก้มจูบแก้มชาลินีที่หลับตามึนหัวอยู่นั้น
ผีเอกดนัยหลับตาบรรจงจูบอย่างโหยหาแสนเศร้า
“ชา...ชา จ๋า”
ชาลินีมึนหัวหันมองมา เห็นเป็นใบหน้าหมอไพโรจน์ หล่อนหัวเราะเมาๆ ยกมือปัดหน้าออก
“อาหมอ...อย่า...ค่ะ”
ผีเอกดนัยชะงักกึก หน้าเคร่งจ้องชาลินี ที่อยู่ในอาการสะลึมสะลืออย่างแค้นฝังหุ่น
“ชั้นปล่อยให้เธอ เป็นของใครไม่ได้ เธอ ต้องเป็นของฉัน คนเดียว”
ชาลินีขมวดคิ้ว ปรือตามอง ใบหน้าที่ก้มลงมายังเป็นหน้าหมอไพโรจน์ ชาลินียังมากลัวมาก/ สลับหน้าเป็นหน้าผีเอกดนัย ก้มลงมา ชาลินีชะงัก ร้องกรี๊ด
ผีเอกดนัยพุ่งเข้ามารวบคอบีบอย่างแรง ชาลินีดิ้น ทุบร่างหมอไพโรจน์ที่ถูกผีเอกดนัยบงการอยู่

ชาลินีดิ้นขลุกขลักพยายามผลักผีเอกดนัยออก จนเริ่มอ่อนแรง มือชาลินีตกลง ผีเอกดนัย ยิ้มเหี้ยมเกรียม
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องเปิดออก แสงสว่างจ้าส่องเข้ามาพร้อมควันสีขาว
ร่างท่านชายปรากฏที่กรอบประตู ในชุดพญามาร ผีเอกดนัยตกใจ ลุกขึ้น แล้วกลายเป็นโกรธตะโกนไปทางประตู
“อย่ามายุ่งกับผม” ผีร้ายชะงักมองชาลินี “อ้อ ที่ท่านคอยมายุ่ง เพราะนังนี่ไปชอบท่านงั้นล่ะสิ อ้อ แล้วท่านก็คงไปหลงใหลเสน่ห์อีนี่ อีกคนล่ะสิ”
ผีเอกดนัยหัวเราะหยัน ท่านชายวสวัตโกรธ ตวัดมือ
“บังอาจ”
เกิดเป็นแสงเสมือนโซ่ยาว ตวัดไปโดนร่างผีเอกดนัย เจ้าผีร้ายสะดุ้งเฮือก ออกจากร่างหมอไพโรจน์ แล้วหายวับไป หมอไพโรจน์ล้มลงสลบกับพื้น ในขณะที่ชาลินี สลบอยู่บนเตียง

ท่านชายวสวัต เดินเข้ามาช้าๆ ปรายตามองสองคนที่ไม่ได้สติ สีหน้าเคร่งขรึม

อ่านต่อหน้า 2

เงา ตอนที่ 14 (ต่อ)

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่า ชาลินีหลับพิงเบาะรถที่จอดอยู่หน้าร้านเหล้าหรูที่เก่า และ หมอไพโรจน์ก็หลับพิงเบาะอยู่เช่นกัน

ชาลินีถอนหายใจแรง แล้วสะดุ้งตื่นอย่างตกใจ ผวาตัวนั่งตรงนึกทบทวนเรื่องราว แล้วแตะคอตัวเอง รู้สึกปวด
“โอย”
ชาลินีเหลียวมองไปรอบๆ อย่างงุนงง ที่เห็นตัวเองอยู่ในรถ พอเปิดประตูออกมา แล้ว ยิ่งงงใหญ่
เพราะรถยังจอดอยู่ที่เดิม
ชาลินียังคงแตะคอตัวเองอย่างเจ็บปวดอยู่ แล้วเซไปเปิดประตูข้างหมอไพโรจน์ ร้องเรียก
“อาหมอ อาหมอคะ อาหมอไพโรจน์คะ”
หมอไพโรจน์สะดุ้งตื่น งุนงงไปหมด
“เอ๊ะ นี่ เรามาอยู่ในรถตั้งแต่เมื่อไหร่”
ชาลินีมองฉงน สีหน้าสับสนกับทีท่าของหมอและงงตัวเองเช่นกัน

ณ วัดร้าง ท่ามกลางซากปรักหักพังโบราณสถาน ท่านชายวสวัตปรากฏกายขึ้นในบริเวณนั้น มองกราดไปรอบๆด้านอย่างระวัง เปล่งเสียงทรงอำนาจขึ้นมา
“จงออกมา! ออกมาให้หมด!
ผีเอกดนัย นั่งอยู่ตรงมุมมืดในซากปรักหักพัก ซ่อนตัวแอบดูเหตุการณ์
บรรดาผีนักรบ และผีชาวบ้าน ราว 15 ตน ค่อยๆ ปรากฏร่าง มายืนเรียงหน้า มองจ้องท่านชายอย่างโกรธแค้น ท่านชายยืนตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่ ด้านหลังคือสิริ ภุมมะ
ผีเอกดนัย เหยียดยิ้มมุมปาก
ท่านชายก้าวออกไป ภุมมะ ขยับก้าวขาจะเดินตาม สิริยกมือแตะอกเป็นเชิงห้าม ภุมมะมองฉงน
“ไม่ใช่เรื่องที่เราควรก้าวไปยุ่งเกี่ยว”
ภุมมะงงอยู่ สิริมองไปทางท่านชายที่เดินไป
“เป็นเรื่องระหว่างท่าน กับ เจ้ากรรมและนายเวรของท่าน” สิริบอก
ท่านชายในชุดพญายมราช เดินเข้าหากลุ่มผีอย่างช้าๆ ผีแต่ละคน ต่างยำเกรง ผสมหวาดกลัว ขยับถอย ผีบางตนคุดคู้อยู่ ท่านชายชะงัก หยุดมองพวกผีอย่างเข้าใจ สีหน้าเครียดขรึมของท่านชายเจือไปด้วยกระแสเมตตา

ท่านชายในชุดดำพญามาร กลายร่างเปลี่ยนเป็นพระยาเจนศึก เดินช้าๆ ตรงไปหยุดหน้ากลุ่มผีทั้งหลาย หวังเปิดใจพูดคุยในฐานะพระยาเจนศึกกับเจ้ากรรมนายเวร มิใช่ในฐานะยมราช
พระยาเจนศึกขรึมเครียด มองรอบข้างระวังตัว
เหล่าผี จากตอนแรกดูระแวงระวัง แต่เมื่อเห็นพระยาเจนศึกนิ่งเฉย ก็ค่อยๆ ตีกรอบล้อมเข้ามา อย่างเอาเรื่อง แลดูน่าสะพรึงกลัว ผีเยอะขึ้นๆ
“ความอาฆาต แค้น พยาบาท มีประโยชน์อันใด นอกจากทำให้จิตเจ้า รุ่มร้อน จนติดยึดกับสถานที่ ไม่ไปสู่ที่ ที่เจ้าควรต้องไปตามวาระกรรม มา กว่าร้อยปี”
ผีทหาร1 ที่ดูดุดัน น่ากลัวที่สุด ถลันออกมา คำรามก้องเสียงเหมือนสัตว์ป่า
“เจ้าฆ่าพวกเรา”
ผีชาวบ้าน 1 ถลันออกมา
“เจ้า สั่งให้กรอกยากพิษ ปลิดชีวิตพวกเรา”
ตามมาด้วยผีชาวบ้าน 2 “เอาชีวิต พวกเราคืนมาสิ”
ผีทุกตนครางฮือ เสียงเซ็งแซ่ “เอาชีวิตพวกเราคืนมา”
ผีทหาร1 คำรามอีก “ความแค้นนี้ เจ้า ต้องชดใช้”
บรรดาผีดาหน้าล้อมกรอบขยับเข้าใกล้เรื่อยๆ ส่งเสียงเซ็งแซ่
“เราไม่ยอม” / “เอาชีวิตเราคืนมา” / “เราไม่ยอม”
ผีอีกหลายตนคืบคลานมาตามพื้น ล้อมกรอบร่างพระยาเจนศึก
มือไม้เหล่าผีต่างชูร่อน ร้องโหยหวน มือบางตนชูเข้าไปแตะตัวท่านชาย ผีเพิ่มจำนวนจนเต็มไปหมด
ท่านชายขมวดคิ้ว ถูกดึงทึ้งถูกมือมาป่ายหน้าตาเนื้อตัว
สิริ กับ ภุมมะ มองท่านชายสายตาเป็นห่วงมาก
จังหวะหนึ่งภุมมะสุดทน จะถลันไปช่วย สิริยกมือกั้นห้าม ส่ายหน้า ภุมมะหงุดหงิด งุ่นง่าน กังวล จู่ๆ ผีทหาร 1 ตวัดดาบ ฟันฉับใส่ท่านชาย ร่างท่านชายสะบัดตามรอยฟัน มีรอยถูกฟันที่หน้า ดาบฟันลงที่อก มีรอยเลือดแดงฉาน ท่านชายหันมายืนนิ่ง ครู่เดียวรอยเลือดจางหาย
ท่านชายโดนผีล้อมกรอบรุมทำร้าย บ้างฟันท่านชาย บ้างจับตัวดึงทึ้งไปมา ท่านชายยินยอมไม่ตอบโต้ แววตามีแต่ความเสียใจ

หลังจากนั้น ร่างท่านชายทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ประจำตัว ท่าทางยังมีอาการเจ็บปวดจากการถูกทำร้าย สีหน้า อ่อนระโหยโรยแรง
สิริ ภุมมะ เข้ามามองอย่างกังวล
“กระหม่อม..ขอถาม บางอย่าง พระเจ้าข้า” ภุมมะถามขึ้น
ท่านชายเหลือบมอง พยักหน้า
“ทำไม..พระองค์ถึงยอมปล่อยให้ถูกทำร้าย ทั้งๆ ที่ วิญญาณเหล่านั้น พระองค์จับพวกมันลงโลกันต์ ง่ายนิดเดียว” ภุมมะน้อมหน้าลง “พระเจ้าข้า”
ท่านชายถอนหายใจ
“วิญญาณเหล่านั้น ทำร้ายเราด้วยภาพนิมิต ตามที่จิตพยาบาทอยากให้เป็น ข้าไม่ได้เจ็บปวดอะไร แต่ข้ายอม เพราะกรรมที่ข้าทำร้ายพวกเขาไว้”
ท่านชายลุกเดิน ท่าทางยังเจ็บปวด โซเซมายังแก้วน้ำอมฤต จับแก้วขึ้นมามอง
“และถึงแม้ว่า ข้าเองก็กำลังชดใช้บาปนี้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ช่วยให้การผูกอาฆาตจองเวรนั้น หมดสิ้นไป”
“แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป พระเจ้าข้า” ภุมมะยังไม่คลายกังวล

ท่านชายถอนหายใจยาว ยกแก้วมองแล้วดื่ม ความเจ็บปวดทรมานแผ่เป็นริ้วๆ ไปทั่วร่าง

วันต่อมาชาลินีเดินออกมาตรงระเบียง ชะงักมองไปริมสระ เห็นหมอไพโรจน์ยืนกอดอกอยู่อย่างเคร่งขรึม ท่าทางเป็นกังวลมาก หมอหันมาเห็น ชาลินีมองสีหน้าฉงน

สาวใช้วางแก้วกาแฟ สองแก้ว ให้ชาลินีและหมอไพโรจน์ แล้วออกไป
หมอออกอาการกระอึกกระอัก ชาลินีเองก็ไม่ค่อยกล้ามองหน้าหมอ ต่างคนต่างคำตอบเรื่องเมื่อคืนไม่ได้
หมอไพโรจน์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “เมื่อคืน..มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ชา”
“ชาก็ไม่ทราบ...อาหมอ ตอบชาดีกว่าค่ะ”
“จะให้อาตอบอะไร ในเมื่อ อาจำอะไรไม่ได้ อาพยายามคิดทั้งคืน จำได้แค่ว่า อาพาชามาที่รถจะพากลับมาส่งบ้าน แล้ว...ก็มารู้ตัวตอนชาปลุก” ชาลินีนิ่งคิด หมอถามว่า “แล้วชา จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“ชาจำได้เหมือนว่า....ชาไปตื่นในห้องๆหนึ่ง แล้ว..อาหมอก็...”
ชาลินี ชะงักคิด นึกถึงตอนถูกบีบคอ โดยมีใบหน้าหมอไพโรจน์และผีเอกดนัยซ้อนกันไปมา คิดแล้วชาลินีขุนลุกเกรียว หวาดกลัว แต่ยังคงสับสนไม่แน่ใจ
หมอเห็นท่าทางก็ตกใจ “อาหมอทำไม”
“ไม่...ไม่มีอะไรค่ะ”
“แล้วถ้าเรา ไปที่อื่นมาก่อน ทำไมอาหมอจำไม่ได้”
ชาลินีคิดไปคิดมา สุดท้ายไม่อยากคิดต่อแล้ว “ช่างเถอะค่ะอาหมอ ป่วยการคิด” หล่อนหัวเราะออกมา “สรุปว่าเราสองคน เมาไม่รู้เรื่องกันทั้งคู่ ดีนะคะ ไม่ไปหลับในระหว่างขับรถ”
หมอไพโรจน์คลี่ยิ้มออกมา ยกกาแฟจิบ เหลือบมองเห็นที่คอชาลินีมีรอยแดง ช้ำ
“เอ๊ะ นั่น คอชา มีรอยอะไร”
ชาลินีไม่สบายใจ แต่ไม่อยากคิดต่อ “ไม่มีอะไรค่ะ”
หมอมองแล้วไม่สบายใจ

ด้านเจริญขวัญท่าทางยังดูอ่อนเพลียเอาการ นั่งเอนพิงเก้าอี้อยู่ในสนาม ทอดสายตามองไปไกล มีสายลมพัดมาวูบหนึ่ง จนผมเจริญขวัญไหว หญิงสาวสะดุ้งรับรู้กลิ่นบางอย่าง เจริญขวัญขยับนั่ง สูดดม
“หอมจริง”
เจริญขวัญเหลียวหา แล้วชะงัก เมื่อเห็นท่านชายเคลื่อนออกมาช้าๆ จากหลังพุ่มไม้ใกล้ๆ
“ท่านชาย”
ท่านชายยิ้มทัก เจริญขวัญขยับลุกไหว้
“หายดีแล้วหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่ว่า คงต้องไปตรวจอีก หมอจะจับผ่าตัดค่ะ”
ท่านชายมองหน้า น้ำเสียงนุ่มแต่จริงจัง “ตอนนี้ ยังไม่เป็นอะไรหรอก”
เจริญขวัญชะงักมองสบตาท่านชาย
เจริญขวัญยิ้มละไม “ขวัญไม่กลัวความตายหรอกค่ะ แม่สอนเสมอว่าให้เชื่อว่าสวรรค์มีจริง เราจะได้เพียรสะสมความดี”
“คนดีมักคิดแต่สิ่งที่ดีเสมอ ขอให้คุณยึดหลักนี้ไว้เถอะ...เมื่อวันนั้นมาถึง บางทีคุณก็จะได้ข้อพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง”
“ขวัญ คิดว่า ขวัญ เคยเห็นเทพ องค์หนึ่งค่ะ”
ท่านชายหัวเราะอย่างขบขำ “ยังงั้นเชียวรึ”
เจริญขวัญมองท่านชายอย่างลึกซึ้ง
“ค่ะ มีรัศมีสว่างจ้า งดงามเหลือเกิน”
ท่านชายนิ่งไป เจริญขวัญยังคงมองจ้องไม่วางตา
“ขวัญว่า ท่านต้องเป็นเทพที่ใจดีมากแน่ๆ”
สีหน้าท่านชายหม่นลง หันมามองเจริญด้วยแววตารวดร้าว “ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหม อย่าคิด ว่าความดีจะอยู่ในรูปที่งามเสมอไป”
เห็นเจริญขวัญฟังอย่างซาบซึ้ง ท่านชายหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงเศร้า
“ทุกสิ่งทุกอย่าง มันสุดแต่กรรม”

ยินเสียงแก้วตกแตกดังเพล้ง ท่านชายและเจริญขวัญหันไปมอง
เห็นดวงแก้วยืนตะลึงหน้าซีดอยู่ ในมือมีถาด ส่วนแก้วน้ำตกแตกกับพื้นข้างกาย
“แม่”
เจริญขวัญถลาไปหามารดา
“ท่าน...ท่านชายมาทำไม” ดวงแก้วถาม
“ท่านชายแวะมาเยี่ยมขวัญค่ะแม่ เดี๋ยวขวัญเก็บเองค่ะแม่”
เจริญขวัญก้มเก็บ ไม่เห็นว่า ดวงแก้ว ค่อยๆ มองไปทางท่านชาย ในท่าทีอันนอบน้อม มีทั้งความหวั่นหวาด และเป็นห่วงลูก
ท่านชายมองมา นิ่งสงบ

ระหว่างที่ เจริญขวัญเดินเก็บเศษแก้วแตกอยู่นั้น ดวงแก้วเดินมาหยุดตรงหน้าทานชาย ท่าทีสงบเสงี่ยม พยายามเก็บอาการหวาดหวั่นในใจ ยกมือไหว้ ท่านชายก้มศีรษะ
“ท่านชาย กรุณามาเยี่ยมยายขวัญ” ดวงแก้วเลียบเคียงถาม ไม่กล้าสบตา “ท่าน กำลังคุยกับยายขวัญ เรื่องอะไรนะคะ”
“เรื่องกรรม ฉันหมายถึง ไม่มีใครห้ามกฎแห่งกรรมได้ ทั้งการเกิด แก่ เจ็บ...แล้วก็ ตาย”
ดวงแก้วสะดุดใจ กลายเป็นแม่เสือหวงลูกขึ้นมาในฉับพลัน แม้จะกลัวแต่น้ำเสียงก็มาดมั่น
“แต่... ดิฉัน จะพยายามยืดเวลาของลูกให้นานที่สุด จนกว่าจะหมดบุญของเราเอง จะไม่ยอมให้ใคร มาแย่งลูกของดิฉันไป”
“ไม่มีใครมาแตะต้องได้หรอก ถ้ายังไม่ถึงเวลา”
ดวงแก้วฟังอย่างอึดอัดใจ หวาดกลัว
เสียงท่านชายมีกระแสเมตตาส่งมา
“แต่เมื่อถึงเวลานั้น จะไม่มีใครช่วยใครได้ นอกจากผลของกฎแห่งกรรมที่แต่ละคนทำไว้เอง แม้แต่.. ยมเทพ ก็ช่วยใครไม่ได้”
ดวงแก้วตัวสั่น เข้าใจความนัยนั้น ท่านชายปรายตามองมา
เจริญขวัญเดินเข้ามาพร้อมถาดแก้วแตกที่เก็บเสร็จ
“แม่คะ เดี๋ยวขวัญเอาแก้วไปทิ้งก่อนนะคะ”
“ฉันมานานแล้ว แค่อยากมาเยี่ยมอาการคุณเจริญขวัญ” ท่านชายยิ้มก้มศีรษะบอกลา
เจริญขวัญวางถาดสองแม่ลูก รีบไหว้
ท่านชายยิ้ม เดินไปช้าๆ
ดวงแก้วตัวสั่นสะท้าน ยังอยู่ในอาการตะลึงตะไล พึมพำออกมา เศร้าลึกๆ
“เจ้าประคุณ..ท่านพูดถูกเหลือเกิน”
“แม่ เป็นอะไรไปคะ ทำไมแม่ตัวสั่นแบบนี้”
ดวงแก้วส่ายหน้าแทนคำตอบ สายตายังมองไปในทิศที่ท่านชายเดินออกไป
“ไม่มีอะไรหรอกลูก ท่านเพียง พูดเรื่องกรรม ให้แม่เข้าใจดีขึ้นน่ะลูก”
ดวงแก้วหันกอดเจริญขวัญ
“ไม่มีใคร ช่วยใครได้ ยกเว้นความดีของเราเอง ท่านพูดถูกที่สุดแล้ว”
เจริญขวัญขมวดคิ้ว ย้อนถามเบาๆ
“แม่คะ แม่เชื่อจริงๆใช่ไหมคะ ท่านชาย พิเศษ กว่าคนแบบเราๆ ท่านชายอาจจะเป็น...”
ดวงแก้วตกใจยกนิ้วแตะปากลูก

“จุ๊ๆ อย่าพูดไปเลยลูก มันเป็นเรื่องที่ ใครก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้”

วันเวลาเดียวกันนั้น เพียงแต่ต่างสถานที่และบุคคล พระสุธรรม กำลังนั่งสมาธิอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ในห้องบนกุฎี วัดแห่งนี้ ลมพัดเข้ามา ปลายเทียนไหววูบดับไป

พระสุธรรมค่อยๆ ลืมตา รู้สึกขนลุกซู่ โดยประหลาด ค่อยๆ หันหน้าไปด้านหลัง ที่ปกติว่างเปล่า แล้วต้องสะดุ้ง เห็นภุมมะนั่งทับส้น คุกเข่าก้มหน้าอยู่
พระสุธรรม กระถดถอยหลัง
“พุทโธรักษา ธัมโมรักษา สังโฆรักษา”
ภุมมะค่อยๆ เงยหน้าช้อนตาขึ้นมอง ยิ้มมุมปาก พระสุธรรมตกใจอยู่อย่างนั้น ในสีหน้าหวาดหวั่น แต่พยายามสงบอารมณ์
ไม่นานต่อมา ภายในรถที่แล่นมาบนถนน มุ่งหน้าไปยังต่างจังหวัด พระสุธรรมนั่งอยู่ ในที่นั่งตอนหลัง ที่มีภุมมะเป็นขนขับรถ หลวงพี่บีบย่ามแน่นด้วยสองมือ หลับตาพึมพำสวดมนต์ตลอดเวลา
“อรหังสัมมา สัมพุทโธ”
สักครู่พระสุธรรมค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมองไปด้านหน้างวยงง และอย่างไม่เข้าใจ พึมพำกับตัวเอง
“คราวนี้ ต้องให้นั่งรถไป ให้เหมือนกับคราวท่านนายพล หรือ” พระสุธรรมเสียงดังขึ้น “เอ้อ...โยม”
ภุมมะเงียบ
พระสุธรรมทำใจ ด้วยคิดไปเองว่ายังไงเสียก็ต้องตาย ท่านจึงหลับตา คลายอารมณ์หวาดหวั่นที่จุกอยู่ในใจ และพยายามตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ
“อรหัง...อรหัง...อรหัง”
รถแล่นมาบนถนนเส้นทางต่างจังหวัด

ขณะเดียวกันนั้น ผีเอกดนัยนั่งก้มหน้าชันเข่า อยู่ตรงซากปรักหักพังอย่างเคียดแค้น หม่นเศร้า
สักครู่หนึ่ง เหมือนรับรู้อะไรบางอย่าง เงยหน้ามองมาทางหนึ่ง ลุกขึ้น แค่นหัวเราะออกมา
“เสด็จมาอีกแล้ว”
ผีเอกดนัยมองไปทางหนึ่ง
พวกสัมภเวสีหลายตน ต่างๆ ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากความมืด ในซากปรักหักพังนั้น
ลมพัดมาวูบใหญ่ ท่านชายวสวัตปรากฏร่าง ยืนกายโดดเด่นทะมึน อยู่บนซากปรักหักพัง สีหน้าดุเข้มทรงอำนาจ และยิ่งใหญ่ กวาดตามองไปโดยรอบ สิริ ปรากฏกายเบื้องหลังท่านชายแล้ว
ผีเอกดนัย ยิ้มเยาะ ถดกายถอยหลบเข้าไปในความมืด

ผีต่างๆ ปรากฏกาย ด้วยสีหน้าโกรธแค้น อาฆาตพยาบาท เข้ามารายล้อมท่านชายที่ยืนสูงกว่านั้น ท่านชาย ผินหน้ามองสิริราวสั่งการ สิริน้อมศีรษะรับ เดินออกไปช้า
พวกผีต่างๆ ที่พกพาความโกรธแค้นติดตัวมา ต่างพากันระวังระแวง สิริเดินหน้าเหี้ยมมาหยุด มองรอบ
ผีทหาร 1 ดูออกว่าไม่กลัวสักนิด มันคำรามลั่น นำขบวน ยกดาปรี่เข้าหา พวกผีต่างๆ ร้องโหยหวน ก้าวตาม
ผีทั้งหลายเข้าล้อม สิริ คล้ายที่เคยล้อมท่านชายมาก่อน
ท่านชายมองดูเหตุการณ์อย่างสุขุม ใบหน้าขรึมดุ พวกผีเข้ามารุมล้อมใกล้สิริเข้ามาทุกที
สิริยิ้มมุมปาก ตวัดสองมือ
พลัน มีแสงพุ่งออกมา พลิ้วเป็นงูไฟสีแดงฉานสามตัว พุ่งเข้าหากลุ่มผีนั้น
เชือกงูไฟเข้ารัดพวกผีร้าย เป็นกลุ่มๆ โดยปลายเชือกนั้น ถูกสิริจับโยงยึดดึงไว้เหมือนบ่วงบาศ
ผีกรีดร้องโหยหวน ด้วยความรุ่มร้อนจากเปลวไฟ
ใบหน้าสิริ เข้มขรึม ดุดัน ดึงรั้งเชือกไฟนั้น ยิ่งดึงผียิ่งร้องโหยหวน

ผีเอกดนัยโผล่ออกมาจากเงามืดมองจ้อย ด้วยความตกใจ

ฝ่ายภุมมะที่เดินนำมาในบริเวณวัด หยุดชะงักกึก จนทำให้พระสุธรรมที่เดินตามมาอย่างหวาดหวั่น พลอยชะงักตาม ภุมมะหันไปหลวงพี่สะดุ้งอีก
“เร็วเถิด พระคุณเจ้า”
ภุมมะเดินนำไป ท่าทีรีบร้อน
พระสุธรรมฉงนฉงาย มองโดยรอบ คิดไปอีกทาง “ทางไปนรกหรือนี่ เดี๋ยวนี้ต้องเดินเหรอ ไม่เห็นเหมือนคราวก่อน”
หลวงพี่สุธรรมเดินตามภุมมะไปอย่างงงๆ

ท่านชายสวัตยืนดูอยู่สักครู่ จึงลอยข้ามหัวสิริลงมายืนหยัดเบื้องหน้าสิริ ต่อหน้าผีทั้งหลาย
แล้วท่านก็ตวัดมือ ตัดเชือกไฟนั้นจนขาดสะบั้น
เชือกงูไฟอันตรธานจากกลุ่มผีในพริบตา ผีทุกตนทุกกลุ่ม ทรุดลงท่าทีปวดแสบปวดร้อน สีหน้าหวาดกลัว
ท่านชายกวาดตามอง เปล่งเสียงดังกึกก้อง ในวิทยฐานะ พญายมราช
“พวกเจ้าจงฟัง จงรับรู้ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเรา ดูเถิด! แค่เพียงสิริ ก็ยังจัดการพวกเจ้าทั้งหมดได้ในพริบตา!
ผีชาวบ้าน ที่กองกันอยู่ตรงพื้นร่ำไห้ออกมา ด้วยสีหน้าโกรธแค้น
ผีชาวบ้าน1 บอก “ท่าน ยังโหดเหี้ยม อำมหิต เช่นเดิม”
ผีทหาร 1 แดกดันไม่ครั่นคร้าม “จะทำอะไรพวกเราก็ทำ! แต่ความแค้นนี้ ข้าจะนำมันลงนรก”
ผีชาวบ้าน2 เสริม “และกี่ชาติ กี่ภพ พวกข้า ก็จะจองล้างจองผลาญ ท่าน”
สีหน้าท่านชายวสวัตที่ฟังเหล่าผีพูดระบาย เต็มไปด้วยกระแสสายแห่งความสะเทือนถึงที่สุด วาจาถัดมาจึงนุ่มลง
“เราเพียงให้พวกเจ้าได้รับรู้ ว่าถ้าเราจะทำอะไรกับพวกเจ้า เราก็ทำได้ แต่เราไม่ได้ต้องการจะทำร้ายวิญญาณของพวกเจ้า..เราเพียงต้องการให้พวกเจ้า หยุดฟังเรา”
เหล่าผีมองอย่างหวาดระแวง
ท่านชายวสวัต น้ำตาคลอ กัดริมผีปากแน่น
ผีเอกดนัยลอบมองอยู่ สีหน้าสงสัยใคร่รู้
ท่านชายวสวัต เปลี่ยนร่างเป็นพระยาเจนศึก ก้าวเข้ามาช้าๆ ที่กลุ่มผีทั้งหลายที่นอน นั่ง กองอยู่ที่พื้น ท่านกวาดตา ส่งกระแสแห่งความเศร้าสะเทือนใจไปโดยรอบ
“ฟังเราให้ดี เจ้า! ผู้เป็นเจ้ากรรมแลนายเวรแห่งเรา”
ในนามพระยาเจนศึก ท่านกวาดตามองมายังเหล่าผีทหาร สีหน้ารำลึกจดจำไม่ลืมเลือน

อดีตชาติ พระยาเจนศึกฟันเหล่าทหารตายลง ราวใบไม้ร่วง โดยไม่ปรานีปราศรัย กาลต่อมาพระยาเจนศึก ยืนดูทหารกรอกยาพิษชาวบ้านตามคำบงการ
ท่ามกลางปรักหักพังโบราณสถาน สีหน้าหน้าท่านชายในคราบพระยาเจนศึกสะเทือนใจใหญ่หลวง ต่อความผิดบาปของตน

พระยาเจนศึกย่อตัวลง คุกเข่ากับพื้นช้าๆ ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด เหล่าผี ปีศาจ มองตะลึง ไม่คาดฝัน ผีเอกดนัยมองจากที่ซ่อน อย่างประหลาดใจ
ภุมมะเดินดุ่มนำออกมา พระสุธรรมสะพายย่ามเดินก้มหน้าตามมาคิดว่าตะวเองกำลังไปนรก พอเงยหน้ามองไปก็ตกตะลึง เห็นท่านชายในคราบไคลพระยาเจนศึก คุกเข่า ต่อหน้าบรรดาผี
พระสุธรรมมือสั่นด้วยความกลัว พยายามสงบจิตใจ
ภุมมะ เดินไปหาสิริ สองคนมองหนากัน แล้วต่างก็ลงนั่งคุกเข่า ก้มศีรษะตามอย่าง

พระยาเจนศึก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพูด
“แม้นว่าเหตุที่เราฆ่าท่าน ทรมานท่าน เพื่อทำหน้าที่ที่เราต้องแบกแผ่นดิน อันเป็นหน้าที่ของทหาร ผู้ที่ยอมตายเพื่อให้แผ่นดินรอดพ้นภัย แม้บุญแห่งกุศลที่เราอุทิศเพื่อแผ่นดิน ทำให้เราได้มีบารมีรับมอบภาระหน้าที่ ดูแลกำจัดคนทำชั่ว ในนรกโลกันต์ ก็ตาม”
พูดเท่านี้ พระยาเจนศึกกวาดตามอง สีหน้ายังเศร้าหมอง แต่ดูจริงใจยิ่งนัก “แต่ภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ ก็เป็นเสมือนผลแห่งกรรม ที่เราฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเช่นกัน เราต้องรุ่มร้อนเกินในโลกันต์ ที่ร้อนแรงไม่มีวันสิ้นสุดนั้น ท่านทั้งหลาย เราและท่าน ต่างมีวิบากกรรมต่อกัน จึงทำให้เกิดมาเพื่อฆ่ากัน เราไม่ฆ่าท่าน ท่านก็ฆ่าเรา หากผูกเวรกันต่อไป ชาตินั้นเป็นอย่างไร ชาติหน้าก็เป็นอย่างนั้น ท่านฆ่าเรา เราก็ฆ่าท่าน ติดอยู่ในบ่วงหนี้กรรมไปเยี่ยงนี้ ไม่มีวันจบ”
ท่านชายในคราบพระยาเจนศึก ทอดถอนใจ “จิตวิญญาณของท่านและเรา ก็ไม่มีวันเป็นสุข
และท่านทั้งหลายเอง ก็ต้องผูกติดกับสภาวะนี้ ทั้งๆ ที่บนโลกนี้ ไม่ใช่ยุคสมัยของพวกท่านแล้ว แต่ได้ผัดแผ่นดินมาแล้วหลายร้อยปี พวกท่าน ก็ยังคงต้องแบกทุกข์ แบกอาฆาต อยู่”
ผีทหาร เริ่มฟังกันอย่างสงบลง
พระสุธรรม ที่รับฟังอยู่ด้วย สงบเย็นเช่นกัน เหมือนกับได้ฟังธรรมอันก่อให้เกิดพุทธิปัญญาหลวงพี่จึงค่อยๆ ทรุดลงนั่งสมาธิกับพื้น หลับตาตั้งสมาธิแผ่เมตตา

นัยน์ตาพระยาเจนศึกยามนี้ มีน้ำคลอตา มองทหารผีทั้งหลาย ส่งกระแสความจริงใจไปให้
“ท่านทั้งหลาย เราได้ยอมเจ็บปวด เพื่อให้ท่านคลายพยาบาทไปบ้าง แม้จะน้อยนิดก็ตาม
แต่เราขอให้ท่านทั้งหมด โปรดปลดปล่อยวิบากกรรมต่อกัน เลิกแล้ว และอโหสิกรรมต่อกันเพื่อท่านทั้งหลาย จะได้ไม่ต้องทุกข์เยี่ยงนี้ต่อไปด้วยเถิด”

ได้ซึมซับรับฟังกันแล้ว ผีทหารทั้งหลายคลายสีหน้าอันเคียดแค้นลง เริ่มดูเป็นใบหน้ามนุษย์ คืนร่างเป็นคน หน้าตาสงบ สุขุม

จากนั้น พระยาเจนศึกหันมาทางกลุ่มผีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่เคยโดนกรอกยาพิษจนตาย เอ่ยด้วยเสียงอันสั่นเครื

“และสำหรับพวกท่าน ที่เราต้องจำใจปลิดชีวิตกรอกยาพิษให้ตายดับไป เพื่อหวังปกป้องแผ่นดินนั้น...เรา..เรา”
ท่านชายในกายพระยาเจนศึก หวนนึกถึงภาพที่ตนสั่งทหารกรอกยาพิษชาวบ้าน ร่างสั่นสะท้าน เสียใจสุดซึ้ง น้ำตาไหลริน ทั้งรู้สึกผิด และสะเทือนใจใหญ่หลวง จนต้องหยุดร้องไห้ เงียบไประยะหนึ่ง
ภุมมะ สิริ ยิ่งก้มหน้างุดไม่กล้ามองท่านร้องไห้
เช่นกัน ผีเอกดนัย ค่อยๆ ทรุดกายลงนั่ง ซึมซับการ อโหสิอันใหญ่หลวงนั้นไปด้วย

พระยาเจนศึกตั้งสติเงยหน้าอันขรึมเศร้าขึ้น “เราขอบอกท่านว่า แม้เราเป็นพญายม เราก็ยังต้องแบกรับผลกรรมนี้ ต้องทุกข์ทรมาน ต้องดื่มน้ำกระทะทองแดงทุกคืนวัน และจะเป็นเช่นนี้ไป จนกว่าจะหมดสิ้นผลแห่งกรรม”
ผีชาวบ้านมีสีหน้าสงบลงทั้งแถบ
“เราน้อมสำนึกในบาปกรรมของเรา แต่เราขอให้ท่านทั้งหลาย โปรดพิจารณาปลดปล่อยเราและท่าน อย่าได้อาฆาต ผูกพยาบาท จองเวร จนเป็นวิบากผูกมัดกันอีกเลย”
สิ้นคำขออโหสิ พระยาเจนศึก ค่อยๆ ประนมกร ยกมือพนม น้ำตาคลอหน่วย ด้วยสำนึกผิด มองผีชาวบ้านทุกตน
“ท่านทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้ากรรมแลนายเวรแห่งเรา เรา ขออโหสิกรรม ถอนคำสาปแช่ง และคำพยาบาทจากท่านทั้งหลายด้วยเถิด”
ลมพัดวูบใหญ่ ด้วยปาฎิหาริย์จากแรงอธิษฐานดังกล่าว
พระสุธรรมเริ่มพนมมือ บริกรรมสวดมนต์แผ่เมตตา
“สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ อัพญาปัชฌา โหนตุ อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ...”

ผีทั้งหลาย เปล่งเสียงร้องโหยหวนอีกครั้ง สวนขึ้นมากับเสียงสวดมนต์
ร่างผีแต่ละตน มีแสงสว่าง หลังสิ้นเสียงร้องโหยหวน ค่อยๆ คืนสภาพเป็นคนดังเช่นก่อนตาย ต่างพนมมือน้อมรับเมตตาธรรม
พระยาเจนศึกมองรอบ ปากสั่นระริกยิ้มบางๆ ใบหน้าปีติเป็นล้นพ้น
พระสุธรรมยังคงเปล่งวาจาต่อ ท่านชาย สิริ ภุมมะ พนมมือ กันอยู่อย่างนั้น วิญญาณคลายร่างคืนเป็นคน พนมมือน้อมรับ
“สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้นจงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลยจงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นนี้ เทอญ”
วิญญาณทั้งหลายเปล่างวาจาขึ้นพร้อมๆ กัน เสียงดังกระหึ่ม
“สา...ธุ..” / “อโห...สิ”
วิญญาณต่างวูบหายไปทีละตนสองตน
พระยาเจนศึกยังคงพนมมือมอง แล้วหันมาทางทหาร1 ผีตนสุดท้าย พลันผีทหาร 1 มองสบตาท่าน แล้ววางดาบลงที่พื้น พนมมือก่อนร่างวูบหายไป
พระยาเจนศึกยิ้ม ปากสั่นระบายลมหายใจอันหนักหน่วงออกมา โล่งใจ

ฝ่ายพระสุธรรมที่สงบนิ่งในท่าสมาธิ ท่านชายวสวัตคืนร่างในชุดดำ เดินมาหยุด ยืนมอง พระสุธรรมลืมตามองต่ำ ใบหน้าสำรวม ไม่ได้มองหน้าท่านชาย
“ทำไมถึงเป็นอาตมา...อาตมา เพิ่งบวชได้ไม่นาน”
ท่านชายยิ้ม “มีเหตุ ย่อมมีปัจจัย นี่อาจเป็นเส้นทางของการเจริญในธรรมของพระคุณเจ้า เราขออนุโมทนา”
พระสุธรรมสงบ สำรวม ท่านชายมองแล้ว หันไปอีกทาง

ผีเอกดนัย ที่บัดนี้มีสีหน้าคล้ายมนุษย์กว่าเคย กำลังถอยหลังอย่างระแวงระวัง ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วชะงัก เห็นสิริ ภุมมะ ยืนอยู่ ผีเอกดนัยตกใจ ละล้าละลัง

สิริภุมมะยืนตระหง่าน ควบคุมผีเอกดนัยที่นั่งคุกเข่าอยู่ รอบร่างมีสายไฟร้อยรัดเหมือนเชือก มือไขว้หลัง พระสุธรรม เปิดตาหรี่มอง
ท่านชาย หมุนตัวหันมามอง
ผีเอกดนัยขอร้อง “ปล่อย ปล่อยผมเถอะ ได้โปรด”
ท่านชายตวาดดุ “ปล่อยให้เจ้า ไปสร้างเวรทำบาปอีกยังงั้นรึ”
ผีเอกดนัยก้มหน้า ร้องไห้
“ท่านไม่เข้าใจ ผม...ผมตายเพราะเขา”
“ตายเพราะเขา! เขาเอาปืนมายิงเจ้าให้ตายหรือเจ้าตัดสินใจ ฆ่าตัวตายเอง”
ผีเอกดนัยโต้ “แต่ แต่...เขา เขา...เขาหลอกผม”
ท่านชายถอนหายใจ
“เจ้ามัวเมาในความหลง ทำให้ขาดสติ ตายแล้วยังผูกจิตจนกลายเป็นแรงอาฆาต แล้วเจ้าจะจองเวรสร้างกรรมเพิ่มอีกอย่างนั้นหรือ กรรมหนักที่เจ้าฆ่าตัวเอง รอเวลาที่เจ้าต้องชดใช้ในนรกก็หนักหนาอยู่แล้ว”
ผีเอกดนัย ร้องไห้สะอื้น ท่านชายโบกเพียงมือเบาๆ เชือกไฟที่ร้อยรัดร่างหายไป
“ข้าจะเมตตาเจ้าอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย ต่อจากนี้ไปข้าจะผูกจิตของเจ้า ให้อยู่ใกล้พระคุณเจ้าไว้ เผื่อการได้ฟังเทศน์ ฟังธรรม จะทำให้เจ้าได้คิด และยุติการโกรธ ความพยาบาท อาฆาต เปลี่ยนเป็นให้อภัย และ กลายเป็นอโหสิได้”
พระสุธรรมฟังอยู่ลืมตาขึ้นช้าๆ ในความสำรวมนั้น สีหน้าประหลาดใจล้ำ

รถที่ภุมมะขับ แล่นมาตามทาง มีพระสุธรรมที่นั่งเบื้องหลัง หลวงพี่เหลือบแลมามองข้างๆ มีผีเอกดนัย นั่งนิ่งมองตรงไปข้างหน้า มาด้วย
พระสุธรรม ถอนหายใจ ทำหน้าไม่ถูก พึมพำกับตัวเองว่า
“อาตมา เพิ่งบวชได้ไม่เท่าไหร่เองนะ เฮ้อ…”
หลวงพี่ถอนหายใจ พยายามทำใจสงบหลับตา

แก้วน้ำทองแดงตั้งเด่นอยู่ในที่เดิม ท่านชายยืนห่าง มองอย่างคนสำนึกในภาระการชดใช้กรรม
สิริ ภุมมะ ยืนน้อมหน้าอยู่มุมหนึ่ง
ท่านชายเดินตรงไป หยิบแก้วนั้น ยกดื่มสีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกทรมานวูบหนึ่ง

จนเมื่อคลายความเจ็บปวดจางลง ท่านชายคลี่ยิ้มริมฝีปากท่านสั่นระริก ปีติล้น ต่อการอโหสิกรรมจากผีเหล่านั้น

อ่านต่อหน้า 3

เงา ตอนที่ 14 (ต่อ)

อิศราก้าวเข้าบ้านมา ไม่ทันเห็นที่อรุณเดินออกไปตามถนนเข้าบ้าน และเด็กหนุ่มหยุดเดินหยุดหันมองมายังอิศราที่เดินเข้าไป อย่างเจ็บแค้น

เจริญขวัญเดินโซซัดโซเซเข้ามาในห้องนอน ตกอยู่ในอาการช็อกและหัวใจสลาย ร่างแบบบางพอมานั่งลงขอบเตียงก็ลงผิดจังหวะ จนรูดตกจากขอบเตียงมานั่งแปะที่พื้น
เหตุการณ์เมื่อครู่ขณะอรุณเปิดมือถือที่บันทึกเสียงให้ฟัง ตามมาหลอกหลอนอีกครั้ง
เจริญขวัญ ตะลึงตะไลอยู่นิ่งนานชอกช้ำระกำทรวง แล้วน้ำตาร่วงหยดเผาะ เมื่อพอได้สติ รีบหันไปมองทางประตูกลัวแม่เข้ามาเห็น

ตอนค่ำอิศราเดินผิวปากอารมณ์ดีมาที่โต๊ะอาหาร ดวงแก้วขยับลงนั่ง สีตักข้าวให้ ชายหนุ่มฉงน
“อ้าว น้องขวัญล่ะครับ”
“เห็นบ่นปวดหัว นอนแล้วล่ะค่ะ”
“อ้าว นี่ละ เพราะหนีออกไปรดน้ำต้นไม้แน่ๆ เลยครับ แดดก็ร้อน ผมว่าแล้วเชียว”
ดวงแก้วอมยิ้ม สีหน้าอิศราดูมีความสุขเหลือเกินปิดไม่มิด

หลังมื้อค่ำอิศราเดินขึ้นมาหยุดตรงหน้าห้องนอนเจริญขวัญ เหลียวซ้ายแลขวา ด้วยเกรงว่าคุณอาดวงแก้วจะมาเห็น อิศราเคาะห้องนอนเรียกเบาๆ
“ขวัญ ขวัญจ๊ะ”
ส่วนในห้อง เจริญขวัญนอนนิ่ง ร่างกายและหัวใจทรุดโทรม ขอบตาแดงบวมช้ำ ได้ยินเสียงเรียก
อิศรายิ้มกริ่ม เอาหน้าแนบประตูถาม
“ขวัญ เป็นยังไงบ้าง”
อิศรา ค่อยๆ หมุนลูกบิดประตู เปิดแง้มดู
แสงในห้องมีเพียงไฟโคมหัวเตียง ไม่สว่างมากนัก เมื่อเห็นร่างเจริญขวัญ นอนตะแคงหันหลัง ห่มผ้าคลุมสูงทั้งตัว อิศรายิ้ม
“ขวัญ...ขวัญ...หลับแล้วเหรอจ๊ะ”
เจริญขวัญจะหลับลงได้อย่างไร เธอนอนตะแคง สะอื้นโดยไม่มีเสียง และยกมือปิดปาก อิศราไม่รู้ว่าเจริญขวัญกำลังร้องไห้อย่างหนัก ชะเง้อดู ยิ้มกระหยิ่ม
“ฝันดีนะจ้ะ สาวน้อยของพี่”
อิศรายิ้มพราย ค่อยๆ ปิดประตูลง
เจริญขวัญร้องไห้ เงียบๆ คนเดียวในห้อง

เกิดหลายเหตุการณ์ ในเวลาเดียวกันนี้แต่คนละสถานที่
ในเสียงเทียนวับแวม พระสุธรรมนั่งนิ่ง อ่านหนังสือธรรมมะอยู่ในห้องพักบนกุฎี
“สิ่งที่ชายหญิง เรียกว่า ความรักนั้น...แท้จริง มันคือ ความทุกข์”
ส่วนชาลินีอยู่ที่บ้านของหล่อน รินไวน์ยกดื่ม สีหน้าเคร่งเครียด หงุดหงิดเอาการ
“มันมาจากกิเลศ ให้เกิดความหลง เรารักเขา เขาไม่รักเรา ล้วนมีทุกข์แฝงอยู่ทั้งนั้น”
ฝ่ายอิศราเพิ่งว่ายน้ำเสร็จ โหนตัวเปียกขึ้นจากสระ มานั่งเก้าอี้ข้างสระ เช็ดผมไปยิ้มอิ่มเอมใจ
“เพราะมีกิเลศบังตา จึงขาดปัญญาที่จะมองเห็นสิ่งที่แท้จริง”
ทางด้านท่านชายวสวัต นั่งเหงา โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ในบรรยากาศแสนวังเวงของวัง
“เป็นเหตุให้ก่อภพ ก่อชาติ กันไปไม่รู้จบสิ้น”

พระสุธรรมนั่งอ่านหนังสือเสียงทุ้ม นุ่ม อยู่อย่างนั้น
“ความรักตนเอง หลงว่ามีตนเอง ถูกกิเลศครอบงำ ทำกรรม ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น ด้วยความไม่รู้ว่ากิเลส กำลังเผาใจตนเอง เผาผู้อื่น พอได้รับผลกรรม ก็หลงลืมไปว่าตนเองนี่แหละ เป็นผู้ทำมา ก็อาฆาตแค้น ไม่ยอมให้อภัย วงจรมันก็เป็นเช่นนี้แล”
พระสุธรรมหยุด เหลียวแลมองไปโดยรอบห้องอย่างระวัง พบว่าในห้อง ไม่มีอะไร
พระสุธรรมถอนหายใจ จะปิดหนังสือ ทันใดเปลวเทียน ดับวูบลงพร้อมกันทั้งสองเล่ม หลวงพี่มองอย่างเข้าใจ
กระแอม เปิดหนังสือใหม่ “มีเหตุ ย่อมมีผล หากปราศจากการให้อภัย ก็จะไม่มีคำว่าอโหสิ ให้กันและกัน หรือ แม้แต่...” หลวงพี่กวาดตามองรอบห้อง จงใจอ่านคำนี้ให้ใครคนหนึ่งว่า “การให้ตัวเอง”
ในเงามืดของห้อง ผีเอกดนัยนั่งกอดเข่า ยังไม่หมดกิเลส ร้องไห้สะอื้นอยู่เงียบๆ
พระสุธรรมปิดหนังสือ หันมา กราบพระพุทธรูป ด้วยท่าเบญจางค์ประดิษฐ์งดงาม

เช้าวันนี้ ทนายวันชัยนั่งอยู่แล้วในห้องรับแขก พร้อมกับเจริญขวัญที่วางหน้าตาเรียบเฉยแต่ดูซูบซีดซุดโทรม
“ผมเตรียมเอกสารให้คุณขวัญเซ็นไว้ก่อน” ทนายยื่นซองสีน้ำตาลวางบนโต๊ะ “พอเราไปกรมที่ดินจะได้ไม่ต้องไปเซ็นนาน”
เจริญขวัญเหลือบมองซอง สีหน้าเจ็บปวด
สี และ อิศรา ช่วยกันขนของออกมาจากด้านใน เป็นของถวายพระ ที่ห่อกระดาษสังฆทานเรียบร้อย ดวงแก้วเดินตามมา
อิศราแวะยิ้มทักสองคน “ขนเที่ยวนี้ก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวตามมาเลยนะจ้ะขวัญ”
เจริญขวัญฝืนยิ้มบางๆ แต่เศร้าเหลือนเกิน แทบไม่มองหน้าอิศรา
“พรุ่งนี้ ผมจะมารับคุณขวัญไปกรมที่ดินนะครับ”
อิศราเอ่ยขึ้นใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เอางี้ดีกว่าครับ อาวันชัยมาที่นี่ แล้วผมบริการขับรถให้เอง”
อิศรา สี และดวงแก้ว เดินออกไปหน้าตึก ทนายหันมองตามอิศรา สีหน้าประหลาดใจ
“คุณอิศรา...เปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ” เจริญขวัญมองหน้าทนายวันชัย “ผมว่าคุณอิศ ดูมีความสุขมากกว่าเมื่อก่อน เยอะเลยครับ”
เจริญขวัญยิ่งฟังก็ยิ่งเศร้า น้ำตาคลอหน่วยมองซองตรงหน้า แต่พยายามซ่อนสีหน้า

งานทำบุญครบหนึ่งร้อยวันคุณหญิงอุ่น ญาติทุกคนมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงที่วัดแห่งนี้ ยินเสียงสวดบังสกุล ดังออกจากอุโบสถวัด เห็นพระพักตร์พระประธานตระหง่านอยู่ ข้างๆ ของถวายสังฆทานที่วางไว้มุมหนึ่ง กรอบรูปคุณหญิงอุ่นตั้งอยู่ มีสายสิญจน์โยงจากผ้าบังสุกุลบนพานตรงหน้า และโยงมายังพระสงฆ์ทุกรูป ที่กำลังสวดอยู่ต่อหน้าพระทุกรูป
พระสุธรรม และพระรูปอื่นๆ นั่งเรียงตามพรรษา และกำลังสวดมีโยงสายสิญจน์
คุณหญิงเพ็ญ ท่านนายพลบัญชา ชาลินี หมอไพโรจน์ อิศรา ดวงแก้ว เจริญขวัญ ทนายวันชัย นั่งเรียงถัดกันมา ญาติท่านอื่นๆ อยู่ถัดมาทางด้านหลัง ทุกคนพนมมือ
ระหว่างฟังพระสวด อิศราดูมีความสุข ส่วนชาลินีใจลอย คอยเหลียวหลังมองหาท่านชายตลอดเวลา ฟากหมอไพโรจน์ขรึมลอบมองชาลินีอย่างไม่สบายใจ
เจริญขวัญพนมมือ เงยหน้ามององค์พระ พระพักตร์องค์พระประธานคล้ายมองลงมาอย่างปราณี เจริญขวัญน้ำตาคลอ
หมอไพโรจน์ มองพระสุธรรมผ่านๆ แล้วต้องหันมามองซ้ำ จำได้ สีหน้าหมอประหลาดใจ
พระสวดเสร็จ ทุกคนกราบ
พระสุธรรมเงยหน้ามองที่ช่องประตู ร่างท่านชายก้าวเข้ามา โดดเด่นเป็นสง่า งดงามเช่นเคย แสงแดดส่องประกายจับจากด้านหลัง ทำให้ด้านหน้าท่านชายดูเป็นบุคคลลึกลับ

เป็นเงา ที่ตัดกับความสว่างภายในองค์พระอุโบสถ

ชาลินีหันมาเห็นท่านชายก็ยิ้มดีใจ แต่แล้วพอมองตามสายตาท่านชายแล้ว พบว่าสายตาท่านชายกลับมองตรงมายังเจริญขวัญนิ่งอยู่

เจริญขวัญหันมามอง พอเห็นเป็นท่านชาย สีหน้าหมองเศร้าก็เปล่งแววยินดี เหมือนเด็กมองหาความอบอุ่น
ท่านชายยิ้มบางๆ ส่งไปให้เจริญขวัญ ชาลินีหรือจะไม่หงุดหงิด

ท่านนายพล คุณหญิง กลุ่มญาติ หมอ และทนาย คุยกันเบาๆ
อิศราเก็บรูปคุณย่า ดวงแก้ว กับสี ช่วยทำความสะอาดกันอยู่ พระท่านกำลังขยับลุก
นายพลเอ่ยขึ้น “หมอ ขอบคุณมากนะ อุตส่าห์มา”
“ยินดีครับ” หมอไพโรจน์มองไปทางพระสุธรรม แล้วงออกตัว “ผมขอตัวนิดนะครับ”
หมอขยับเข้าไปหาพระสุธรรม พระสุธรรมจึงนั่งต่อ ญาติ1 คุยต่อ
“แม่เพ็ญ ทำบุญเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวก็จัดการเรื่องพินัยกรรม เรื่องมรดกได้แล้วสิ”
คุณหญิงเพ็ญให้นึกหมั่นไส้ แต่ยิ้มกลบ “ค่า ใช่ไหมคะ คุณทนาย”
ทนายวันชัยยิ้ม “ครับ”
ญาติๆ ยิ้ม ไหว้ลาลุกออกไป
นายพลบัญชามองไปทางกลุ่ม ท่านชาย เจริญขวัญ ชาลินี
“ท่านชายอะไรนั่น มาด้วยเหรอ ผมนึกว่างานนี้ชวนแต่ญาติๆ”
“ท่านอาจจะมาเป็นอนาคตญาติไงคะ” คุณหญิงพูดเป็นนัย
“พูดอะไรคิดบ้าง ว่าเรามีลูกสาว ถ้าไม่ใช่ เสียหน้ามาถึงผม”
นายพลฉุนลุกเดินออกไป
คุณหญิงค้อน ลุกเดินตาม “ห่วงแต่ตัวเองนี่แหละ”

เจริญขวัญเงยหน้ามอง ภาพวาดผนังโบสถ์อย่างใจลอย ท่านชายเดินมาใกล้เจริญขวัญ
“คุณเจริญขวัญ”
เจริญขวัญหันมองมา สีหน้าระทม ฝืนยิ้มบางๆ
“ภาพเขียนนี่ สวยจังเลยนะคะท่านชาย”
ท่านชายมองเจริญขวัญอย่างมีเมตตา เข้าใจ และสงสาร
“เทวดาในภาพ ดูมีความสุขกันจังเลยนะคะ”
ท่านชายมองตาม “เทวดาเอง ก็ยังไม่พ้นกิเลศ” แล้วหันมามองเจริญขวัญ “สุขและทุกข์เป็นของคู่กัน มีเพียงสติ ที่จะเป็นตัวรั้ง ไม่ให้สุขมากไป...หรือ ทุกข์มากไป”
เจริญขวัญชะงัก ค่อยๆ หันมามองท่านชาย
เจริญขวัญตอบเสียงเบาหวิว “เหรอคะ แล้วสติ มันช่วยให้ความผิดหวัง มันจางหายไปได้ไหมคะ”
ท่านชายถอนใจยาว ไม่ทันจะพูดต่อ ชาลินีเข้ามามองสองคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้ อิจฉาริษยาสุดประมาณ

พระรูปอื่นๆ ลุกไปหมดแล้ว ดวงแก้ว อิศรา เก็บรูปและข้าวของเสร็จแล้ว มีถาด ใส่ถุงให้สีถือ สามคนลุกออกไป ขณะที่หมอไพโรจน์พนมมือคุยกับพระสุธรรม
“ได้ข่าวเหมือนกันว่าท่านบวช บังเอิญจริงมาพบท่านที่นี่”
“อาตมาบวชหลังจากงานของท่านล่ะโยม” หลวงพี่ตอบอย่างสำรวม ในท่วงท่าอันสงบ
“นานแล้วนะครับ กะว่าจะบวชกี่พรรษาหรือครับ”
พระสุธรรมมองแลเลยไปทางท่านชาย ที่ยืนอยู่กับเจริญขวัญ โดยมี ดวงแก้ว อิศรา และสีกำลังเดินไปหา
ท่านชายหันมามองสบตาพระ ยิ้มน้อยๆ
“อาตมาตั้งใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะอุทิศตนให้พระพุทธศาสนา
“เหรอครับ” หมอไพโรจน์นึกอะไรขึ้นมาได้ หันหลังไปมองทางท่านชายแล้วหันมา “ผมจำได้ว่า คืนวันงานศพท่านนายพล พระ...ได้พบท่านชายวสวัตแล้ว มีอาการเหมือนตกใจ แล้วก็พูดแปลกๆ”
พระสุธรรมมองหมอไพโรจน์ ที่มองสบตามาอย่างกระหายใคร่รู้ หลวงพี่มองอย่างพิจารณาว่าจะเล่าไหม หรือสอนอะไรดี
“คืนนั้นอาตมาอาจจะสับสนไปหน่อย แต่ตอนนี้ อาตมากระจ่างแล้ว” พระสุธรรมยิ้ม “คุณโยมสนใจ อยากรู้ไหมล่ะ”
หมอไพโรจน์อึ้งๆ ไป

อิศรา ดวงแก้ว สี เดินมาสมทบกับชาลินี ท่านชาย เจริญขวัญ
“เรียบร้อยแล้วลูก”
อิศราเอ่ยขึ้น “อยู่กันพร้อมหน้า เดี๋ยวเราแวะไปหาอะไรทานกันไหมครับ”
เจริญขวัญออกตัว “ขวัญ อยากกลับบ้านค่ะ”
“งั้นอากลับแท็กซี่กับขวัญกับสีก็ได้นะคะ”
ชาลินียินดีปรีดาขึ้นมานิดๆ
“ท่านชายไปหาอะไรทานกันนะคะ”
“ก็ได้”
คำตอบนั้นทำเอาชาลินีฟิน
“ให้ภุมมะไปส่งคุณเจริญขวัญที่บ้านให้ก็ได้” ท่านชายว่า
“ก็ได้ครับ ขอบคุณครับ” อิศราเห็นด้วย เขาหันมาทางเจริญขวัญ “เดี๋ยวพี่จะซื้อของกินอร่อยๆกลับไปฝากนะจ้ะ”
เจริญขวัญยิ้มหลบตา ท่านชายมองนิ่งอย่างเข้าใจ

สี ดวงแก้ว และเจริญขวัญ เดินเข้ามาตรงบันไดหน้าตึกแล้ว
“แม่คะ”
ดวงแก้วหันมา สีเดินเลยเข้าบ้านไป
“ขวัญ อยากคุยอะไรกับแม่หน่อยค่ะ”
ดวงแก้วประหลาดใจ กริ่งเกรง และเป็นห่วง
“จ้ะ มีอะไรจ๊ะ”
เจริญขวัญจับแขนแม่ มองสักครู่หนึ่งก็ร้องไห้ออกมา ดวงแก้วตกใจมากรีบผวากอด
“ขวัญ เป็นอะไรลูก”

ดวงแก้วกอดปลอบมองลูกสาวสีหน้าผู้เป็นแม่ตกใจ ที่จู่ๆ เจริญขวัญร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ

ที่นั่น ช่างต่างจากบรรยากาศที่ร้านอาหาร ระเบียงยอดตึกโดยสิ้นเชิง ด้วยเวลานี้ อิศราชูแก้วยิ้มร่า

“มา..ชนกันหน่อยครับ”
“จะฉลองเรื่องอะไรล่ะ” ท่านชายถาม
ชาลินีชิงตอบ “เรื่องที่ นายอิศขอแต่งงานกับเจริญขวัญแล้วไงคะ ชนกันหน่อยสิคะ ท่านชาย”
ท่านชายปรายยิ้ม “ยินดีด้วย อิศรา”
“อิศ เธอไม่เรียนขอให้ท่านชายเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ล่ะ” ชาลินีแส่อีก
“ผมยังไม่ทราบเลย ว่าจะแต่งเมื่อไหร่”
ชาลินีเซ็ง “อ้าว”
อิศราพูดราวบอกกับตัวเอง “ตอนนี้ ผมขอแค่ ให้ได้อยู่ใกล้ๆ คอยดูแลเจริญขวัญ ช่วงที่เธอผ่าตัดให้จนขวัญหาย แข็งแรง ก่อน”
ชาลินีหงุดหงิด “อ้าว แล้วจะชนแก้วฉลองเรื่องอะไรกัน แต่งก็ยังไม่แต่ง”
“ก็ฉลอง ที่ผมรู้ใจตัวเอง ว่า..ผมมีความรักแล้วน่ะสิ” อิศราหัวเราะ
ชาลินีเม้ง แค่นหัวเราะ “บ้า”
อิศราหัวเราะ ลุกไปยืนริมราวระเบียง กางแขนตะโกนก้อง
“ผมมีความรักแล้ว วู้...”
ชาลินีค้อนควัก “ประสาท”
อิศราหัวเราะหันมาใบหน้าเริงรื่น แจ่มใส ท่านชายมองอิศรา สงสารกึ่งเวทนา ยิ้มบาง ก่อนจะหันมองออกไปไกลยังทิศทางหนึ่ง

ที่นั่นเจริญขวัญ กำลังนั่งเขียนจดหมายอยู่ตรงระเบียง ริมบึงในบ้าน
บนโต๊ะข้างๆ กาย มีซองสิน้ำตาลวางอยู่ เจริญขวัญเขียนจดมาย น้ำตาหยดรินลงบนกระดาษ
ขณะเดียวกัน ดวงแก้ว และสี ถือกระเป๋าลงมาจากบันได ดวงแก้วออกมาหยุดดูลูกสาวอย่างสงสารสุดหัวใจ เจริญขวัญเขียนจดหมายอยู่อย่างนั้น

รถอรุณจอดรออยู่แล้ว สีหน้าอรุณเคร่งขรึม ขณะมาช่วยป้าสีเอากระเป๋าใส่ท้ายรถ
เจริญขวัญเขียนจดหมายเสร็จแล้ว ลุกเดินมาในห้องโถงมีดวงแก้วกอดประคองพา
เด็กสาววางซองจดหมายและซองสีน้ำตาบนตู้ หน้ารูปคุณย่าอุ่น
เจริญขวัญมองรูปคุณย่านิ่ง เป็นการสั่งลา
“คุณย่าขา...ขอบพระคุณนะคะ”
ดวงแก้ว ประคองเจริญขวัญ หันเดินออกไป

อรุณเปิดประตูให้เจริญขวัญ ขึ้นรถกับดวงแก้ว ก่อนอ้อมมาที่คนขับ เจริญขวัญนั่งซึม เอนเอาหัวพิงบ่าผู้เป็นมารดา
รถที่มีอรุณเป็นผู้ขับ เคลื่อนช้าๆ ออกมาตามถนนในบ้าน ห่างตึกใหญ่ที่คุณหญิงอุ่นมอบให้เจริญขวัญ จนพ้นประตูออกไป อรุณขับรถมุ่งหน้าพาสองแม่ลูกกลับบ้านไร่

ซองจดหมายสีสวยหวาน วางทับอยู่บนซองเอกสารสีน้ำตาลของทนายวันชัย
อิศราหยิบซองเล็กขึ้นมาเปิดดูก่อน หยิบกระดาษออกมา แผ่นแรก ประหลาดใจ สีหน้าอิศรามึนงง ตาเข้ม นั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเก้าอี้ที่เจริญขวัญนั่งเขียนจดหมาย
อิศราคลี่กระดาษออกอ่าน รวดเร็ว ก้มอ่านจดหมาย
ราวกับมีเจริญขวัญมาอ่านทุกข้อความที่เธอบรรจงเขียนให้เขาฟัง
“พี่อิศคะ ในขณะที่พี่อิศได้อ่านจดหมายนี้ ขวัญกับแม่ เรากลับบ้านแล้วค่ะ”
อ่านได้เท่านี้สีหน้าอิศราก็ตกใจมาก เขาเงยหน้าขึ้น
อิศรามโนไปว่าเจริญขวัญนั่งอยู่ตรงหน้า พูดกับเขา ด้วยข้อความเดียวกับในจดหมาย สีหน้าเจริญขวัญช้ำชอก อิศราตะลึงงัน ราวกับสองคนมองสบตากัน คุยกันจริงๆ
อิศราตะลึงตะไลในตอนต้น แล้วกลายเป็นความเสียใจสุดประมาณ
“เรากลับบ้าน ที่เป็นบ้านของเรา บ้านที่มีความรักและความจริงใจที่แท้จริงส่วนบ้านหลังนี้..ขวัญขอคืนให้กับ คนที่ควรเป็นเจ้าของจริงๆ คือ พี่อิศ”
“ไม่...ไม่…”
“ขวัญเคยถามพี่ ว่าถ้าพี่อิศมีอะไร ก็ขอให้บอกขวัญตรงๆ” เจริญขวัญยิ้มทั้งน้ำตา “พี่อิศไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลา ทำให้ขวัญ ต้องเชื่อว่าพี่อิศ คิดอะไรกับขวัญ”
อิศราพูดพร่ำ “พี่รักขวัญ พี่รักขวัญ จริงๆนะ”
เจริญขวัญกรีดน้ำตาแล้วยิ้มหวานเศร้า
“ในอีกซอง ขวัญเขียนจดหมายยกกรรมสิทธิ์บ้านนี้คืนพี่แล้ว พี่ให้คุณอาทนายจัดการได้เลยนะคะ”
“ไม่ ไม่นะ..พี่ไม่ต้องการ”
เจริญขวัญยิ้มละไม “ขวัญไม่ขออะไรจากพี่อิศ แม้แต่คำว่าขอบคุณ ถ้าจะขอ ขวัญขอให้พี่อิศ ปล่อยให้ขวัญอยู่กับแม่ตามประสาเราเหมือนเดิม”
“ไม่...นี่มันอะไรกัน”
อิศราก้มหน้ามองจดหมายในมือ ประหลาดใจ ตะลึงตะไล

ฟากสามคนเดินทางถึงบ้านไร่กันแล้ว ดวงแก้วประคองเจริญขวัญ ที่เดินซึมๆ ขึ้นบันไดมา อรุณ และปลั่งช่วยหิ้วของสัมภาระ ปลั่งเดินขึ้นบ้านไปก่อน ดวงแก้วหันมารับกระเป๋าจากอรุณ
“ขอบใจมากนะ พ่อรุณ”
“ครับ”
ดวงแก้วเดินเข้าบ้านไป เจริญขวัญยังยืนซึมอยู่ อรุณมองอย่างเป็นห่วง
“ขวัญ”
“เรามันเป็นคนโง่ คนตาบอดที่ไม่เคยเห็นความจริง ที่รุณเคยเตือนเราเลย” เจริญขวัญบอกตัวเอง
“อย่าโทษตัวเองเลยขวัญ ขวัญต้องรักษาสุขภาพนะ”
“เราไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้..จิ๊บๆ”
เจริญขวัญลงนั่งเก้าอี้ระเบียงหน้าบ้านพิงซบเสา
อรุณมองสงสาร ลงนั่งที่ขั้นบันไดไม่ไกลกัน
เจริญขวัญนั่งซึม ส่วนอรุณมองเป็นห่วงเจริญขวัญเหลือเกิน

ฝ่ายอิศรายืนงง เท้าเอวมองออกไปที่บึงน้ำในบ้าน ขบคิดหนักว่าเกิดอะไรขึ้นหนอ?

ไม่นานถัดมาอิศราเดินปึงปังเข้าบ้านชาลินีมา เห็นชาลินีนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โซฟาหรูในห้องรับแขก ชายหนุ่มทักเสียงขุ่น

“ชา”
“อะไร๊ ทำหน้ายังกะโกรธใครมา”
“เธอ ไปพูดอะไรกับขวัญหรือเปล่า”
ชาลินีโกรธในคำถาม และนึกฉุนน้ำเสียงอิศรา “ชั้นจะไปพูดอะไร เจอหน้ายังแทบไม่ได้คุยกันเลย”
อิศราคำราม “เฮ่ย”
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“ขวัญหนีกลับไร่ไปแล้ว ต้องมีใครพูดอะไรกับขวัญแน่ๆ”
“ใครจะไปพูดอะไร”
อิศรารำพึง “ท่านชาย”
อิศราเดินจ้ำอ้าวออกไปเลย ชาลินีมองตามสีหน้าตกใจ
“อิศ”

อิศราเดินเร็วรี่เข้ามา ร้อนรนใจและเต็มไปด้วยความโกรธ
“ท่านชาย...ท่านชายครับ...ท่านชาย”
อิศรายืนคว้างอยู่กลางห้องโถงหน้าบันได ท่านชายวสวัตก้าวมายืนกลางระเบียงบันไดชั้นบน
“ว่ายังไง อิศรา”
อิศราหันมอง พบว่าท่านชายมองอยู่
“เจริญขวัญหนีไป ผมอยากทราบว่าท่านชายพูดอะไรให้เจริญขวัญหนีไปหรือเปล่าครับ”
“ฉันงั้นเหรอ” ท่านชายย้อน ก้าวลงบันไดมาสองสามขั้น “นี่เธอ กล้ากล่าวหาฉัน งั้นเหรอ อิศรา”
อิศราโกรธ นัยน์ตาเข้ม “ก็ถ้าไม่ใช่ท่านชาย แล้วจะใครครับ ใครกัน ที่ไม่อยากให้ผมแต่งงานกับเจริญขวัญ นอกจากคน ที่รักเจริญขวัญเหมือนกัน”

ท่านชายวสวัตจดสายตามองจ้องใบหน้าอิศราเขม็ง ทั้งโกรธ ทั้งผิด และหวังเสียใจ

อิศราเดินเข้ามาหยุดเงยมองท่านชาย ด้วยความรู้สึกกดดัน และผิดหวัง ท่านชายก้าวลงบันไดมาช้าๆ ทีละขั้น ใบหน้าดุดัน ทรงอำนาจ มองจ้องอิศราตลอดเวลา

“เธอกล้ากล่าวหาฉัน คนที่เธอเคยบอกว่า เป็นเพื่อนแท้ของเธอ งั้นเหรอ อิศรา”
อิศราชะงักไป เสียใจลึกๆ รีบเบี่ยงหน้าหนี ซ่อนสายตาอันแสนเจ็บปวดรวดร้าว
“ผมก็ไม่อยากคิดว่าจะเป็นท่าน แต่ผมมองไม่เห็นเหตุผลอะไร หรือใคร ที่จะทำให้เจริญหนีไป” เขาหันขวับกลับมา ใบหน้าเศร้า น้ำตาคลอ พูดอย่างรุนแรง “เธอหนีไป แล้วก็ทิ้งจดหมายยกบ้านคุณย่าให้ผม! ขวัญรู้ได้ยังไง...” ถึงตอนนี้อิศราเงยมองท่านชาย “ต้องมีใครไปบอกเจริญขวัญ”
ท่านชายสวนแรงพอกัน “แล้วเธอ บังอาจคิดว่าเป็นชั้น”
อิศราอึ้งนิ่งงันไป ท่านชายก้าวลงมาอีก โกรธ ยิ้มตาดุ
“ฉันเนี่ยนะ จะต้องลงไป ยุ่ง กับเรื่อง มะ...” ท่านจะบอกว่า มนุษย์แต่เลี่ยงเสียเป็น “เธอ! เท่าที่ฉันเข้าไปเตือนสติเธอ ก็เกิน หน้าที่ของฉันแล้ว”
อิศรา “แต่...ต้องมีใครบอกขวัญ”
นัยน์ตาท่านชายตาเข้มขึ้น “อิศรา ฉันตอบเธอไม่ได้หรอกนะ ว่าคุณเจริญขวัญรู้ได้ยังไงแต่ฉันบอกเธอได้ว่า ความลับน่ะ มันไม่มีในโลก”
อิศราน้ำตาคลอกดดันหนัก
ท่านชายบอกต่อ “ก็ในเมื่อเจตนาแรกของเธอกับคุณเจริญขวัญ ก็เพื่อบ้านเท่านั้น”
อิศราเถียง รำพันน้ำตาคลอหน่วย “แต่ท่านชายก็ทราบว่าตอนนี้มันไม่ใช่!...ผมรักเธอ”
ท่านชายคลายความดุลง มองเขาอย่างมีเมตตามากขึ้น
อิศราจมจ่อมอยู่ในความรู้สึกตัวเองนิ่งนาน ท่านชายเข้ามาหยุดตรงหน้า อิศราเงยมอง
“แล้วคำว่ารักของเธอ มันยิ่งใหญ่ซะแค่ไหนล่ะ หรือว่าเพื่อให้ได้มาครอบครองเท่านั้น”
อิศราขยับปากจะพูด แต่กลับอึ้งพูดไม่ออก
“คุณเจริญขวัญเป็นคนดี หัวใจของเจริญขวัญ ยิ่งใหญ่ มีแต่การให้ แม้แต่บ้านราคาร้อยกว่าล้านก็ยังยกคืนให้เธอแล้วเธอล่ะอิศรา ว่าเธอได้ทำอะไรที่สมกับคุณค่าของผู้หญิงอย่างเจริญขวัญบ้าง”
อิศราอึ้ง นิ่งงัน มันเป็นจริงทุกประการ เขาขยับขาถอยซวนเซนิดๆ คิดได้ว่า ตนเองดูไม่มีค่าคู่ควรเจริญขวัญ อิศราค่อยๆ เบี่ยงหน้า หันกลังให้ท่านชาย น้ำตาร่วงริน พูดคล้ายบอกกับตัวเอง
“จริงสิ ผมต่างหากที่อาจจะไม่มีค่าคู่ควรกับ...ขวัญ”
อิศรากัดฟันแน่น น้ำตาร่วง เดินหมดแรงออกไป ท่านชายมองตาม ถอนหายใจยาว
“ความรัก...ความทุกข์”

น้ำเสียงพญามารเยาะหยันกึ่งปล่อยปลง

อ่านต่อหน้า 4

เงา ตอนที่ 14 (ต่อ)

อิศราพาตัวเองมาอยู่ที่เค้าน์เตอร์บาร์ร้านเหล้าแห่งนี้สักครู่ใหญ่แล้ว ยกแก้วเมรัยขึ้นดื่ม แก้วแล้วแก้วเล่า จนเมา อกหักยับเยิน

ชาลินีเดินร้อนรุ่มเข้ามาในร้าน สอดสายตาเหลียวมองหา ลูกค้าในร้านไม่เยอะมากนัก จนเห็นอิศรานั่งเคาน์เตอร์ดื่มอยู่คนเดียว ปรี่เข้ามาหา อิศรากำลังยกดื่มอีกแก้ว เจ้าหล่อนจึงจับมืออิศราไว้
“ดื่มไปเท่าไหร่แล้วนี่”
อิศราแค่นหัวเราะ ดึงมือตัวเองออก ยกแก้วดื่มต่อ ชาลินีมองหมั่นไส้
“อย่าบอกนะว่า อกหักจะเป็นจะตาย กะแค่ผู้หญิงคนเดียว”
อิศราฉุนกึก ถือแก้วชี้นิ้วใส่หน้า “เธอ เธอจะมารู้อะไร”
“แล้วเธอไปหาท่านชายมาหรือเปล่า ท่านชายว่ายังไงล่ะ”
ชาลินีโมโห หงุดหงิดในใจ กังวลว่าท่านชายจะเป็นคนทำให้เจริญขวัญจากไปเพื่อจะไปรักกับท่านเสียเอง อิศราเศร้า เกลียดตัวเอง
“ท่านไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย” เขาบอก
“จริงนะ” หล่อนเบาใจ ดี๊ด๊ายิ้มออก
อิศราปรือตามองชาลินี “ท่านชาย ไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้หรอก เธอเองก็เลิกยุ่งกับท่านชายเสียทีเถอะ”
ชาลินีปรี๊ด “เอ๊ะ เธอพูดอย่างนี้ได้ยังไง”
อิศราตัดบท สวนคำ “ก็เพราะว่า...” เขาชะงัก แล้วพูดต่อเรียบๆ “ท่านชายไม่รักเธอหรอก”
ชาลินีลุกพรวดรับไม่ได้ “ไม่จริง ท่านอาจจะวูบไหวไปบ้าง แต่ ถ้าชั้นใกล้ชิดกับท่านเหมือนเคย ท่านก็ต้องรักชั้น” ร่างของหล่อนสั่นสะท้าน เสียงก็สั่น ยิ้มเรียกความเชื่อมั่น “วันนี้อาจจะรักไม่มาก แต่วันหน้า...”
ชาลินีชะงัก เมื่อเห็นท่าทีอิศราที่มองมาแม้จะเมาก็ตาม แต่มันมีอะไรในนั้น อิศราเริ่มหัวเราะจากเบาๆ ในลำคอ แล้วระเบิดเสียงหัวเราะประชดโลก จนชาลินีชะงัก
“เธอนี่ เอาไปเลย เต็มร้อย คะแนนความดันทุรัง”
ชาลินีชะงัก ยิ่งโกรธ “ตาบ้า
หล่อนยกแก้วเหล้าของอิศรา สาดน้ำเหล้าใส่หน้าเขา ก่อนสะบัดตัวหันเดินจากไปโดยเร็ว
อิศราชะงัก ยกมือลูบหน้าช้าๆ อย่างไม่สนใจตัวเอง ก่อนจะยกมือเรียกบริกรให้เอาเหล้ามาใหม่ ดวงหน้าช้ำชอกทุกข์ระทม อาลัยอาวรณ์เจริญขวัญ และสุดท้ายเขานึกโกรธตัวเอง
เวลาเดียวกัน เจริญขวัญยืนพิงกรอบหน้าต่างโถงบ้าน ด้วยสีหน้าเจ็บช้ำ มองเหม่อออกไป เหมือนรอคอยการมาถึงของอิศราเพื่ออธิบายเรื่องราว
ดวงแก้วเดินมาหยุดมองทางด้านหลัง สภาพลูกสาวยามนี้ เหมือนนกน้อยปีกหัก ผู้เป็นมารดาระบายลมหายใจ สงสารลูกเหลือเกิน

ชาลินีกลับถึงบ้าน เข้าห้องนอนมา ด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน หงุดหงิด คำพูดเมื่อครู่ของอิศรา ได้เป็นเครื่องตอกย้ำความพ่ายแพ้ยับเยินของหล่อน
“ท่านชายไม่รักเธอหรอกชา”
ชาลินีปากสั่น “ไม่ ไม่จริง ไม่จริง! ตาอิศบ้า”
ชาลินีเดินงุ่นง่านจนมาหยุดมองตัวเองหน้ากระจก หอบหายใจอย่างรุนแรง สีหน้าเข้มมุ่งมั่น นัยน์ตาแรงกล้า
“ท่านชาย...ต้องรักฉันสิ”
ชาลินีเกิดอาการหลอน เห็นภาพตัวเองในกระจกเป็นชาลินีอีกคนที่ยังมีสติ สวย สงบ และดูมีสำนึกของคนดีอยู่
“หยุดคิดเสียทีชาลินี มันเป็นไปไม่ได้”
ส่วนชาลินีตัวจริง ยังคงร้อนรุ่ม มองกระจกอย่างประหลาดใจ
“อะไรนะ”
ชาลินีในกระจกตอบเสียงเศร้าว่า “ท่านชายดูจะชอบเจริญขวัญมากกว่าเสียอีก”
ชาลินีตัวจริง ตัวสั่น กรี๊ด ทะเลาะกับ ตัวหล่อนเองในกระจก
“ไม่จริง ไม่จริ๊ง แม่นั่น มันยั่วท่านชายต่างหาก มันหลอกจับผู้ชาย ผู้ชายก็โง่ ให้มันหลอก นายอิศก็โง่! ท่านชายก็โง่!”
ชาลินีในกระจก มองมาอย่างเศร้าสร้อย
ชาลินีตัวจริง นึกถึงภาพห้องเก็บของโบราณภายในวังท่านชาย เห็นข้าวของสูงค่า เห็นปิ่น เครื่องประดับ บ่งบอกถึงความร่ำรวย
“ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ ฉันจะไม่ยอมให้นังผู้หญิงบ้านนอก มาครอบครองวัง แล้วก็สมบัติต่างๆของท่านชาย...ท่านชาย...” หล่อนยิ้ม “ต้องเป็นของชั้นคนเดียว”
ภาพในกระจก ชาลินีผู้ที่มีหน้าตาอ่อนไหวผินหน้าหนีไปจากกระจก พอหันมาอีกทีกลายเป็นใบหน้าของชาลินีผู้ร้อนร่านคนเดิมคนนั้น

สุดท้ายฝ่ายอธรรมในใจชาลินีก็ชนะสำนึกฝ่ายดี

ไม่นานต่อมา ชาลินีเดินออกจากห้องน้ำมาในชุดคลุม บนเตียงมีชุดหรู เดรสยาวสีแดงสด เซ็กซี่และเย้ายวนวางอยู่

ลิปสติกถูกหมุนขึ้นช้าๆ เห็นแท่งสีแดงสด มันถูกวาดลงบนปาก มือชาลินียื่นมาหยิบชุดไป หล่อนยกมือเหยียดสูงให้ชุดไหลลู่ลงตามรูปร่างอันเซ็กซี่ยวนตายวนใจของหล่อน ก่อนจะเอื้อมหยิบปิ่นที่วางเด่นอยู่ มากลัดที่อกเสื้อ
ชาลินีมองตัวเองกระจก ในชุดเดรสอันรัดรึง ค่ำคืนนี้หล่อนแต่งหน้าเข้มกว่าเคย ปากยิ้มแต่ดวงตากดดัน ทว่า ดูมีเสน่ห์ล้ำลึก
ชาลินีเดินออกจากห้องไป
พลันมีแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วเกิดเสียงฟ้าผ่า เปรี้ยง! ราวกับต้อนรับชาลินีคนสวย

แสงฟ้าแลบแปลบปลาบบนท้องฟ้าเหนือวังท่านชาย ตามด้วยเสียงฟ้าร้องคำรณครืนครัน ขณะชาลินีเปิดประตูตึกใหญ่เข้ามาเอง ทันทีที่ประตูเปิด สายฟ้าแลบผ่าอีกเปรี้ยง
ชาลินีเดินเร็วรี่เข้ามาหยุดกลางห้องโถงตีนบันได หล่อนหมุนรอบตัววางท่าเซ็กซี่มองหา ร้องเรียกหา
“ท่านชายขา”
ชาลินีหันเหลียวหาท่านชาย ดวงตาไหวระริกระรื่น หล่อนชะงักเมื่อมองไประเบียงกลางบันได เพราะจู่ๆ ร่างท่านชายวสวัตยืนโดดเด่นงามสง่าอยู่บนบันไดนั้น
ชาลินีมองท่านชายอย่างหลงใหล และเช่นทุกครั้งเหมือนถูกดึงดูดเข้าหา
“ท่านชาย”
ท่านชายมองมาผู้มาเยือนยามวิกาล ใบหน้างามขรึมเคร่ง
ชาลินียิ้มทั้งดวงตาหวานฉ่ำ ในแววตามีกระแสความหลงใหล และเทิดทูนบูชาฉายโชน
น้ำเสียงหวานหยด ออดอ้อน และสมยอม “ท่านชาย”
ท่านชายหน้าขรึม มองนิ่งอยู่ “มาหาฉันตอนดึกๆถึงบ้าน เธอคงมีธุระอะไรสำคัญ”
“ชา...ชา...มีเรื่องจะสารภาพค่ะ”
ชาลินีเดินเข้าไปช้าๆ ท่านชายยังคงยืนอยู่ท่าเดิม
“สารภาพ...เธอจะสารภาพความผิดบาปของเธอ เรื่องไหนล่ะ” ยิ้มเยาะ
“มันเป็นความผิดบาปหรือเปล่า ชาไม่รู้ และ ผลของมันที่จะตามมาเป็นอย่างไร ชาก็ไม่สน..แต่ชาเก็บความปรารถนานี้ต่อไปไม่ได้อีกต่อไป”
ชาลินีก้าวมาถึงบันไดขั้นแรก เงยมองซึ้งๆ ท่านชายปรายมองต่ำ แววตาทรงอำนาจ และท้าทายในที
“เธอปรารถนาอะไร พูดมาสิ ฉันจะฟัง”
ชาลินีก้าวขึ้นบันไดอีกขั้น หน้ายังคงแหงนมองท่านชาย
“ความรักนี่...มันเป็นความผิดบาปมากไหมคะ”
ท่านชายทอดเสียงนุ่ม “ก็สุดแล้วแต่ความรักนั้น รักอย่างบริสุทธิ์ใจ ย่อมไม่ผิด” น้ำเสียงท่านเข้มขึ้นอีก “ยกเว้น รักที่เคลือบแฝงหวังผลประโยชน์ ของเธอเป็นอย่างไหน”
“ชาไม่รู้” น้ำเสียงหล่อนนุ่ม ละห้อยโหย ดูคล้ายเจียมตน “ชารู้แต่ว่า ชารักใครคนหนึ่งตั้งแต่แรกเห็น รักอย่างทาส”
ท่านชายปรายยิ้มเยาะ ชาลินีไม่ทันเห็น
“สัญชาติญาณของทาส มักเป็นเช่นนั้นเสมอ”
ชาลินีก้าวขึ้นไปอีกขั้น จวนใกล้ ดวงตาส่อแววชัดเจนของความรุ่มร้อน เจียมตนแต่เสนอตัว
“ชายอมทุกอย่างค่ะ ยอมเป็นทาส ยอมเป็นผู้หญิงหน้าไม่อาย” หล่อนน้ำตาคลอ เสียงสั่น “ขอเพียง ให้ชาได้รัก...”
ชาลินีค่อยๆ ยื่นมือออกไป แตะแขนท่านชาย พลัน สีแดงอ่อนๆ ฉายออกมาเมื่อมือแตะร่าง ชาลินีสะดุ้งร้อนวาบ แต่ทน แตะแขนท่านชายอยู่อย่างนั้น
ชาลินีขยับก้าวขึ้นมายืนเคียงกับท่านชาย จนหน้าเข้าใกล้หน้าท่านชาย
“และให้คนที่ชารัก...รักตอบชาบ้าง”
“ความรักจากฉัน งั้นรึ” ท่านชายระเบิดเสียงหัวเราะดังก้อง สบตาชาลินี นัยน์ตาเข้มดุ แม้ปากจะยิ้ม “ความรักจากชั้น!”
ชาลินีมองสายตาท่านชาย แล้วผงะออกโดยไม่รู้ตัวนิดหนึ่ง งงงันแกมตกใจ
ขาที่ถดถอยห่างออกมาหน่อยหนึ่ง ก้าวเข้าไปใหม่ ก้าวเข้าไปที่เดิม ตั้งสติได้แล้ว บนความเสียใจ แต่หล่อนสู้ ด้วยความยอมเป็นเบี้ยล่าง
“ใช่ค่ะ รักจากท่าน” ชาลินีน้ำตาคลอ
“เธอกล้าขอความรักจากชั้น” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูแคลน
“ทำไมผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายรอให้ผู้ชายมาขอความรักก่อนล่ะคะผู้หญิงก็มีหัวใจรักเหมือนกันนี่”
ท่านชายหัวเราะเหยียดหยัน ขณะเดินลงบันไดหนีไป ชาลินีเหลียวมองตาม
“งั้นผู้ชายก็ต้องเป็นฝ่ายสนองตอบสินะ”
ชาลินีก้าวตามลงมา โหยหา อยากได้ อยากดื่มกินรสเสน่หา ท่วงท่าเร่าร้อน และเศร้าลึก
“ท่านชายขา ชามีอะไรที่ไม่คู่ควรกับท่านชายเหรอคะ ความรู้ ฐานะของชา หน้าตาชาไม่สวยเหรอคะ”
“ความสวยของคน ไม่จำเป็นต้องแสดงถึงหัวใจ”
“แล้วจะให้ชาแสดงถึงหัวใจยังไงอีกคะ”

ในอกชาลินียามนี้ ร้อนรุ่มรู้สึกเหมือนอยากร้องไห้ ของล้ำค่าสูงสุดสอยชิ้นนี้จวนหลุดมือ ยังไงหล่อนก็ต้องคว้าเอามาให้ได้

ชาลินีน้ำตาปริ่ม เดินมาทางเบื้องหลังของท่านชายจนชิด หล่อนแนบหน้าที่บ่าแขนท่านชาย พูดเย้ายวนเยี่ยงทาสรัก ยอมสิ้นทุกอย่าง

“หรือว่าท่านชาย...จะเมตตาให้ชา...ไปรับใช้ท่านชาย ข้างบน”
ท่านชายยืดกายตรง รัศมีอ่อนๆ ทั้งร่างเป็นสีแดง ด้วยกระแสความโกรธ
“ชา...ยอมทุกอย่างค่ะ”
ชาลินีรู้สึกร้อนจนผงะหน้าออกจากตัวท่านชายนิดๆ แต่ยังคงพยายามฝืนทน
ท่านชายหัวเราะสวน “อ้อ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาเสนอตัวกันง่ายๆ อย่างนี้เองรึ ไม่กลัวบาป กลัวผิดศีลกันเลยนะ”
เจ้าหล่อนย้อนแย้ง “บาปมีตัวตนเหรอคะ ชาเชื่อว่า ถ้าเรารักใคร เราก็ต้องทุ่มเทให้กับเขา คนนั้น ให้สมกับความรัก ดีกว่าปล่อยให้ตายไป ให้ร่างกายจมดิน ไปพร้อมกับความผิดหวัง”
ท่านชายหันขวับมองชาลินีอย่างดูแคลน เหน็ดเหนื่อย ระอาใจในความอยากของมนุษย์
“แล้ววิญญาณล่ะ”
ชาลินีหัวเราะ “จะสนวิญญาณทำไมคะ” หล่อนเลื่อนตัวมาด้านหน้าจ้องตาท่านชาย “ขอเพียงร่างกายและหัวใจ ได้ทำในสิ่งที่ปรารถนา”
ท่านชายอิดหนาระอาใจเหลือล้น จับมือชาลินี จ้องเต็มตาแล้วสะบัดออก หันตัวหนีก้าวไปที่บันไดพร้อมเปล่งวาจาไล่
“เธอกลับไปซะเถอะ”
ชาลินีตะลึงตะไล ยืนจังงังอยู่พักหนึ่ง แล้วหันกลับไปหา เดินเร็วๆ ตามไป

ท่านชายก้าวขึ้นมาจนอยู่กลางบันไดแล้ว ด้วยความเหนื่อยหน่ายระคนโกรธ ชาลินีถลาตามมาที่ขั้นบันไดจากด้านล่าง
“เดี๋ยวค่ะท่านชาย”
ชาลินีรีบร้อนจนสะดุดชายกระโปรง ร่างถลาไปนั่งบนขั้นบันได สองมือควานคว้า แต่ได้เพียงขาของท่านชาย หล่อนพิลาปร่ำไห้ สะอึกสะอื้น นั่งจับขากอดไว้มั่น เงยหน้ามองน้ำตาเต็มตา
“ได้โปรดเถอะค่ะ ชาเปิดใจทุกอย่าง อย่างไร้ความอาย เพราะชารักท่านชาย..ได้โปรด รับรักชาสักนิด” หล่อนผวากอดรวบขาท่านชายอย่างดื้อรั้น อ้อนวอนขอร้อง “อย่าให้ชาต้องเจ็บปวดทรมานหัวใจไปมากกว่านี้เลยนะคะ”
ท่านชาย ก้มมองชาลินีอย่างสะอิดสะเอียน เหนื่อยหน่ายมนุษย์ในเบื้องแรก แล้วกลับถอนหายใจ ใบหน้าเคร่งขรึมคลายลง
ท่านชายก้มลงจับแขนสองข้าง ดึงร่างชาลินีที่ชะงักการร้องไห้โดยพลัน ดวงตามีความหวังเรืองรองขึ้น
สองคนประจันหน้ากัน ใบหน้าชาลินียังมีน้ำตาปริ่มๆ มองอย่างตะลึงกึ่งมีความหวัง ท่านชายมอง กราดเกรี้ยวในสีหน้าเคร่งขรึมเหนื่อยหน่าย
ชาลินีฝืนยิ้ม ปากสั่นระริก “ท่านชายขา”
ท่านชายเรียกขึ้นมาอย่างรุนแรง “สิริ!”
ชาลินีตะลึง ท่านชายปล่อยมือเบาๆ เพียงเท่านั้นร่างชาลินีก็ร่วงลงนั่งแปะพื้น
“พาผู้หญิงคนนี้กลับไปซะ”
ท่านชายก้าวขึ้นบันไดหนีไป โดยไม่แยแส ทิ้งชาลินีให้นั่งตะลึงงันอยู่อย่างนั้น จนครู่หนึ่งได้สติเหลียวขวับตามไป
“ท่านชาย!”
แล้วชาลินีก็ต้องตะลึงตะไลอีกหน เพราะร่างท่านชายหายวับไปในพริบตา มีเพียงร่างสิริยืนอยู่แทนที่
สิริย่อตัวคุกเข่าลงก้มหน้ามาใกล้แค่คืบ
“ท่านไล่แล้วไง กลับไป๊!”
สิริยื่นหน้าเข้าหาชาลินี ยิ้มแสยะ แล้วหัวเราะอย่างน่าสะพรึงกลัว

ทันทีทันใดนั้นร่างชาลินีถูกจับโยนนั่งหลังรถสปอร์ตคันหรูของหล่อน
“โอ๊ย”
ชาลินีผวาลุกนั่ง แผดเสียงใส่สิริที่นั่งขับรถอยู่เบื้องหน้า
“แก แกจับชั้นโยนมาอย่างนี้ได้ยังไง ชั้นเป็นใคร แล้วแกเป็นใคร ไอ้ขี้ข้า”
สิริหัวเราะหึๆ ไม่หันมามอง
ชาลินีมองไปรอบสองข้าง นอกหน้าต่างมีแต่ความมืดรอบ ชาลินีตื่นกลัว
“แล้วทำไมมืดแบบนี้ แกจะพาชั้นไปไหน จอดเดี๋ยวนี้นะ แก...แกจอดสิ ฉันจะไปหาท่านชาย ฉันต้องพูดกับท่านให้รู้เรื่อง!”
ชาลินีผวาจะไปตีบ่าสิริ
“บอกให้จอดไงเล่า นี่แก ชั้นพูดไม่ได้ยินเรอะ”
ร่างสิริขับรถไป หันมาเพียงหัว หน้าตาดุดัน น่ากลัวนั้น ซีดขาวขอบตาดำคล้ำ
ชาลินีผงะตกใจ ถอยไปจนชิดพนักเก้าอี้ ปิดหน้าร้องกรี๊ดสุดเสียง
“แอร๊ยยยยย”
รถทะยานไปราวกับเหาะมา ชาลินียังร้องกรี๊ดไม่ทันจะขาดเสียง ประตูด้านหลังเปิดออกอย่างแรง ชาลินีเปิดมือออกมอง เห็นสิริชะโงกหน้าเข้ามา
“ลงไป”
ชาลินีกลัวสุดขีด มองรอบๆ ด้วยสีหน้าตกใจ ทำไมถึงบ้านเร็วขนาดนี้ แต่เพราะกลัวสิริ จึงผวาถอยไปจะไปเปิดประตูอีกข้าง
“แก ไอ้บ้า”
สิริหัวเราะเยาะ “บาปผิด วิญาณบาป ไม่ยอมไปไหนไกลเลยเลยนะ เอาแต่จะวนเวียน กลับไปหาเปลวเพลิงตลอดเวลา”
ชาลินีพยายามเปิดประตูอีกด้านที่ตัวเองพิงอย่างตื่นตระหนก
“แก แกพูดอะไรของแก ชั้น ชั้นจะฟ้องท่านชาย”
“ฟ้อง ท่านรู้ทุกสิ่ง เห็นทุกบาปที่เจ้าทำ สักวันหนึ่ง บาปผิดของเจ้า จะต้องได้รับการชดใช้”
ชาลินียิ่งตกใจกรี๊ด “แกพูดบ้าๆ อะไรของแก ไป๊ ไปให้พ้น ไอ้บ้า”
ฉับพลัน ประตูด้านที่ชาลินีพิงและพยายามเปิด ก็ถูกเปิดออก ชาลินีหันไปเห็นสิริยืนอยู่ เป็นคนเปิดให้ ทั้งที่เมื่อกี้อยู่ด้านตรงข้าม
“ไสหัวไป ไสหัววิญญาณที่มีแต่จะทำให้เพลิงนรก รุ่งโรจน์ไม่มีวันดับได้ ลงไป๊!”

ชาลินีหลับหูหลับตากรี๊ดๆๆๆ ยินแต่เสียงสิริหัวเราะหึๆ กึกก้องในหู ก่อนที่ทุกอย่างในหัวชาลินีจะดับวูบลง

ในสีหน้าอันกราดเกรี้ยว โกรธขึ้ง ท่านชายเดินไปมา อาละวาดอย่างรุนแรง

“ดู ดูมัน! มันกล้า มาเสนอตัวให้ข้าถึงที่นี่ สิริ บอก ภุมมะ” ท่านชายโกรธสุดขีด จนมือที่ชี้ไปยังสิริยังสั่น “เล่าไปสิ ว่ายางอายของมนุษย์เป็นยังไง”
ภุมมะ สิริ ก้มหน้า ท่านชายถอนหายใจแรง แล้วดูเหมือนอ่อนล้าลงไปในพริบตา
“ข้าเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน เหนื่อยหน่าย กับกิเลศ ตัณหา ราคะ ความโลภ เห็นแก่ตัว ของมนุษย์...ข้าชิงชัง ขยะแขยง มนุษย์! จนข้าอยากจะกวาดล้าง ให้ธรณีแยก สูบร่างพวกมัน ให้น้ำท่วม กวาดล้างมนุษย์จิตสกปรกให้หมดสิ้น!”
สิริน้อมนำเตือนสติ “พระเจ้าข้า แต่กรรมของแต่ละบุคคล ย่อมถูกกำหนดไว้แล้วและในหมู่มนุษย์ที่ผิดบาป ก็ยังมีมนุษย์ที่ทรงคุณค่าความดีอยู่”
ท่านชายคลายอาการกราดเกรี้ยวลง เมื่อรำลึกถึงเจริญขวัญ
“ใช่ ช่างตรงกันข้ามกันนัก มนุษย์ผู้หญิงเหมือนกัน แต่คนหนึ่งทำให้ข้าสัมผัสกับความรักความหวังความสุข แต่อีกคน มีแต่จะก่อทุกข์ให้ข้า”
พญายมราชถอนหายใจลุกเดินไป เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ฟ้าแลบ คำรณร้อง แล้วผ่าเปรี้ยงลงมา แสงนั้นกระทบใบหน้าหม่นเศร้าของท่านชาย
“ข้ารู้ ว่าแผ่นทองเบื้องบน จะต้องมีชื่อของคน คนหนึ่ง”
ท่านชายชะงัก ไม่พูดชื่อออกมา
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาหวานเศร้า ลึกซึ้ง “และสักวัน ข้าจะได้ไปอยู่ที่นั่น กับ...เธอ...เจริญขวัญ”

ขณะเดียวกันภาพในกรอบสายตาของชาลินี เห็นคุณหญิงผู้เป็นมารดา พร่า เลือน แล้วจึงค่อยๆ ปรับชัดขึ้น คุณหญิงเพ็ญก้มมองลูกสาวที่ฟื้นจากสลบ ห่วงระคนโมโห
“ทำไมมาเป็นลมเป็นแล้งหน้าบ้าน” หันไปแว้ดสาวใช้ พลางแตะตัวชาลินี “แกก็เช็ดตัวเข้าสิ ดูซิ เนื้อตัวเย็นเชียว หรือจะเมา ดีนะขับรถกลับมาได้”
สาวใช้ก้มหน้าเช็ดตัวให้ชาลินีอยู่ “ตอนหนูไปเปิดประตู เห็นผู้ชายใส่ชุดดำค่ะ”
คุณหญิงหันมองชาลินีที่ค่อยๆ ปรือตา คล้ายสติเริ่มมา
“ใคร” ผู้เป็นมารดาฉุน เขย่าแขนธิดา “แม่ชา! รู้ตัวรึยัง ลืมตามาพูดให้รู้เรื่องหน่อยสิ”
ชาลินีส่ายหน้า ถอนใจยาว ค่อยๆ ลุก ปัดมือสาวใช้ไปอย่างรำคาญแล้วรู้สึกมึนหัว
“เอ้า มัวแต่ส่ายหน้าด๊อกแด๊ก นี่ไปไหนมา”
ชาลินีหลุดปากว่า “วังค่ะ” แล้วชะงักนิ่งงันไปอีก
“ไปวังท่านชายวสวัตน่ะเหรอ แล้วทำไมกลับมาเป็นลมอยู่หน้าบ้าน เสื้อแสงผมเผ้ามันกระเจิงแบบนี้ล่ะ แล้วผู้ชายชุดดำน่ะใคร ท่านชาย เหรอ”
“ลูกน้องท่านชายค่ะ” ชาลินีไม่กล้าสบตามารดา
คุณหญิงชะงักเข้าใจไปในทางอื่น อ้าปากค้าง ครู่หนึ่งจึงไล่สาวใช้ไป
“แกไปไหนก็ไป ไป๊”
สาวใช้ลุกออกไป ชาลินีหน้าซีด กระอึกกระอัก ตาเคว้ง
คุณหญิงโกรธสุดขีด กลัวเสียหน้ามากกว่าห่วงลูกสาว เค้นเสียงต่ำ
“นี่แกไปเสียท่าท่านชายมางั้นเหรอ”
ชาลินีกลืนกินถ้อยคำที่จะอธิบาย ปล่อยให้แม่เข้าใจผิด ก้มหน้าซ่อนแววตากดดัน
คล้ายกับเป็นคำตอบ คุณหญิงยิ่งโกรธเหมือนเสือติดจั่น โกรธลูกไปด้วย กลัวเสียหน้า
“โอ๊ย ตายแล้ว นี่ถ้าพ่อแกรู้จะว่ายังไงเนี่ย ห๊ะ...เฮอะ เคยแต่ตีท้ายครัวคนอื่น มาโดนกับตัวเองมั่ง เป็นไงล่ะ!”
ชาลินีก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
“ท่านชายนะ” อารมณ์คุณหญิงเพ็ญภาวีร์พลุ่งพล่าน โกรธแค้นสุดขีด “แบบนี้ ต้องแจ้งความ เอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
ชาลินีผวาจับมือ “อย่านะคะแม่ เป็นข่าว เราผู้หญิง เราก็เสีย”
“อ้อ แล้วแกจะให้เขากินฟรี แล้วก็ถีบหัวส่งอย่างนี้เหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะแม่ แต่หนูว่า ถ้าแม่ไปพูดดีๆ ท่านชาย ก็คงจะเห็นกับแม่”
คุณหญิงสวน “โอ๊ย เขาจะมาเกรงกลัวอะไรชั้น ขนาดเขารู้อยู่ว่าแกลูกใคร ยังทำกันได้”
“แต่หนูเชื่อว่า ถ้าแม่ไปพูด ท่านก็คง ยอม”
คุณหญิงเพ็ญยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “ก็จริง ท่านอาจจะเห็นแก่เกียรติของชั้นมั่ง งั้นพรุ่งนี้ชั้นไปคุยกะเขาแกนะแก ไหนอวดเก่งสารพัด นี่ถ้าพ่อแกรู้เขาต้องด่าชั้นหาว่าเลี้ยงลูกไม่ดีแน่ๆ เฮ่ย”
คุณหญิงสะบัดค้อนควัก ลูกสาวเดินจากไป
ชาลินี เครียด มีความหวัง นั่งบีบมือไปมา หวั่นๆ แต่หลังชนฝา ยอมทุกวิธี

ชาลินีหน้าเครียด เดินมาลงนั่งขอบเตียง รำพึงออกมา
“ถ้าแม่..ไปพูด ท่านคงต้องยอม” แล้วชะงัก “ยังไงท่านก็ต้องกลัวเสียหน้าบ้างล่ะ”
ชาลินีล้มลงนอนตะแคงมองเหม่อเลื่อนลอย
เสียงท่านชายผุดขึ้นมาหลอกหลอน “เธอกลับไปซะ”
ชาลินีเสียใจลึกล้ำ แต่ยังมีความหวัง
“สักวัน เราจะทำให้ท่านเห็นค่าของชาลินี”
ชาลินีพลิกตัวนอนหงาย มองเพดานอย่างเลื่อนลอย ฝันถึงภาพตอนท่านชายยิ้มหัว เต้นรำกับหล่อน และ ตอนท่านชายให้ดุกรุสมบัติของโบราณ และหยิบปิ่นให้ หล่อนยิ้มดีใจ
ใบหน้าชาลินี คลี่ยิ้ม
“แรกๆ ท่านอาจจะโกรธไปบ้าง แต่ต่อไปท่านก็ต้องใจอ่อนกับชาลินี”
ชาลินีพลิกกลับมากอดหมอน นอนตะแคงใบหน้าเพ้อฝัน
“ท่านชายวสวัต..ของ ชาลินี”
ชาลินียิ้มให้ตัวเอง ค่อยๆ หลับตาลง พร้อมๆ กับควันสีขาว ลอยอ้อยอิ่งเข้ามาในห้อง

ชาลินีหลับตาอยู่ แต่เปลือกตาขยับ รู้สึกอึดอัด พยายามลืมตาแต่ลืมไม่ขึ้น ขมวดคิ้วมุ่น ปรากฏร่าง สิริ ภุมมะ ออกจากหมอกควัน เข้ามาก้มมองชาลินี ใกล้ๆ ชาลินีอึดอัดกระสับกระส่าย
“คนบาป ลงบัญชีไว้” สิริบอก
ภุมมะว่า “ใช่..ลงบัญชีไว้”
ชาลินีอึดอัด อาการเหมือนถูกผีอำ
สิริหัวเราะหึๆ “บาป...คนบาป..สักวันหนึ่ง”
“ใช่...สักวันหนึ่ง” ภุมมะหัวเราะหึๆ
บัดนี้ ร่างสิริ ภุมมะ ชะโงกหน้ามอง ยืนค้ำร่างชาลินีอยู่บนเตียง
ชาลินีดิ้นรนกระสับกระส่าย ยกสองมือปัด ร้อง “อย่า...”

ชาลินีขยับกายลุกพรวด ลืมตาตื่น เหลียวไปรอบๆ ไม่มีแม้เงาร่าง สิริ ภุมมะ ชาลินีหอบหายใจ นึกประหวั่นพรั่นพรึงกับฝันเสมือนจริงเมื่อครู่นี้

อ่านต่อตอนที่ 15
กำลังโหลดความคิดเห็น