เงา ตอนที่ 13
ท่านชายวสวัต ยืนนิ่งเอามือไพล่หลัง มองภาพเขียนนรกอยู่ ในขณะที่สิริเดินเข้ามาน้อมหัวรายงานว่า
“นายอิศรากลับไปแล้วเจ้าข้า”
สิริวางถาดเงินลง จึงพบว่าอิศรายังไม่ได้เอานาฬิกาไป ท่านชายเบี่ยงตัวมาดูนาฬิกาเรือนนั้น
สิริ ก้มศีรษะถามอย่างนอบน้อม ด้วยทีท่าระมัดระวังวาจา
“ถ้าหาก นายอิศรา เลือกจะรับนาฬิกาเรือนนี้ จะเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าข้า”
ใบหน้าท่านชายขรึมเศร้า ด้วยมีจิตเมตตาลึกๆ ในใจ
“เขา ก็จะไม่มีวันหลุดพ้นเส้นทางของอบายมุข ที่ในที่สุดจะทำเขาให้ได้เป็น ตัวตายตัวแทนของข้า”
ท่านชายก้าวไปใกล้ภาพวาด สายตาอันแน่วนิ่งของท่านมองจ้องสัตว์นรกที่กำลังพยายามตะกายออกจากหลุมในภาพ เอ่ยออกมาอีกคำว่า
“อิศรา ต้องกำหนดชะตากรรมของเขา และของ เจริญขวัญ ด้วยตัวเอง”
เจริญขวัญเดินเข้ามาในห้องโถงกลางบ้าน สีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด จนครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา พอหันไปมองจึงรู้ว่าเป็นรถของอิศรา
อิศราเดินก้มหน้างุดๆ ก้าวยาวเดินเร็วเข้ามาในบ้าน จมอยู่ในความคิด จนเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ชะงัก ที่เห็นเจริญขวัญยืนจ้องอยู่และส่งยิ้มให้
อิศรามองอึ้ง พูดไม่ออก สองคนมองกันอยู่ครู่หนึ่ง อิศราระบายลมหายใจออกมา เผยอยิ้มบางๆ เป็นเชิงทักทายแต่ดูห่างเหินไว้ตัวมากกว่าทุกที
“เอ้อ...พี่อิศ”
อิศราขัดขึ้น “พี่เพลียจัง ขอตัวก่อนนะ”
เจริญขวัญยิ้มค้าง อิศราเดินสวนกับเจริญขวัญที่ยืนงงอยู่ โดยไม่มองหน้าเธอ
เมื่อได้สติเจริญหันตัวมองตามเขาด้วยสีหน้างุนงง ก็เห็นอิศราเดินงุดๆ ขึ้นบันไดไปไม่เหลียวหลัง
อิศราทิ้งตัวลงบนเตียง นอนก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดหนัก สีหน้ายิ้มแย้ม แต่ดุดัน ของท่านชายผุดขึ้นมาในมโนนึก
“ท่านชายจะช่วยผม หรือจะซื้อผม เพื่อให้ไปให้พ้นทางจากเจริญขวัญกันแน่ครับ”
ท่านชายนิ่ง อิศรามองอย่างค้นหา
ท่านชายมองตรงไปเบื้องหน้า เยื้อนยิ้มเหมือนจริงใจ บอกด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “เมื่อเธอเห็นค่าในวัตถุ แล้วเธอจะแคร์อะไรกับแค่ ผู้หญิงคนเดียว”
อิศราแค่นยิ้ม พูดตอบไม่มองหน้าเช่นกันว่า “แต่ก็เป็นผู้หญิงที่ท่านชายเห็นว่ามีค่ามาก จนจะซื้อผมให้ไปให้พ้นจากเธอตั้ง...สามร้อยล้าน”
ท่านชายลุกยืน น้ำเสียงเข้มขึ้นในประโยคต่อมา “ตัดสินใจซะสิ อิศรา เพราะถ้าเธอเลือกแล้วเธอจะกลับคำไม่ได้”
นิ่งนึกแล้วอิศราได้แต่ถอนหายใจอย่างอึดอัด ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างเร็ว
เขาบอกตัวเอง ด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน กลั้วหัวเราะ ว่า “สามร้อยล้านเชียวนะ นายอิศ แลกกับแค่...ผู้หญิงคน เดียว”
มือถือดังขึ้นในจังหวะนี้ อิศรามองชื่อในมือถือแล้วยิ่งอึดอัดใจ เมื่อเห็นว่าชาลินีโทร.มา ด้วยบัดนี้เขารู้แล้วว่าท่านชายชอบเจริญขวัญ แต่ชาลินีหลงรักท่านชายหัวปักหัวปำ
สุดท้ายก็กดรับสาย “ว่าไง”
ชาลินีหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่กับตัวเอง ที่บ้าน
“ทำอะไรอยู่”
อิศราทั้งสงสาร และเวทนาลึกๆ ย้อนถามเสียงนิ่ง “ทำไมล่ะ”
“ท่านชายอยู่ไหนน่ะ รู้ไหม”
“นี่ผมก็เพิ่งกลับจากวังท่านชายมา”
“อ้าว ไปเจอท่านมาแล้วเหรอ ทำไมไม่บอกเลยนะ ท่านว่ายังไงบ้าง เธอพูดถึงฉันกับท่านบ้างหรือเปล่า”
อิศราฟังก็ยิ่งเวทนา และอึดอัดใจ เลยเงียบไป
“ว่าไงล่ะ เรียนท่านชายมั่งหรือเปล่า ว่าฉันคิดถึง”
น้ำเสียงอิศราที่เปล่งออกมาคล้ายจะปลอบโยนในที “ชา...” เขาอึ้งไป ชั่งใจ
ชาลินีฉงน “ทำไม มีอะไรเหรอ”
อิศราตัดสินใจไม่บอกดีกว่า “ฉันง่วง แค่นี้ก่อนนะ”
อิศรากดปิดมือถือ ถอนหายใจแรงด้วยความอึดอัด
ชาลินีงง “อ้าว อะไรของเขา..แล้วนายอิศ ไปหาท่านชายทำไม”
สาวใช้เดินมาหา “คุณชาคะ” ชาลินีหันไปมองเป็นเชิงถาม
เป็นหมอไพโรจน์ที่ใช้ความเจ็บป่วยของชาลินีเป็นพาหะ เพื่อมาดูให้หายคิดถึง ชายกลางคนยกแก้วกาแฟดื่ม ขณะชาลินีเข้าห้องมา
“อาหมอ” หล่อนไหว้ยิ้มทัก “สวัสดีค่ะ”
หมอลุกยืนอย่างสุภาพบุรุษ “อาแวะมาเยี่ยม เป็นยังไงบ้าง”
ชาลินีแตะที่คอ ยิ้มหวานบอก “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“แน่ใจนะ”
ชาลินียิ้มลงนั่ง เจ้าหล่อนทำตาเจ้าชู้ ยิ้มหวานให้โดยนิสัย ไม่ได้คิดมาก
“แหม มีหมอเมตตามาคอยดูแลถึงบ้าน อยากป่วยทุกวันแล้วสิคะ”
ไพโรจน์ออกอาการขัดเขิน จนต้องกระแอมแก้กลบ “เอ้อ อาว่า อาอยากถามอะไรชาสักหน่อย”
“ค่ะ”
“เรื่องท่านชายวสวัตน่ะ”
ชาลินีชะงัก สะดุดใจเมื่อได้ยินคำว่า ท่านชายวสวัต ราวต้องมนต์
“ทำไมเหรอคะ”
“ที่ว่าท่านเป็นเจ้าชายจากต่างประเทศ อาไปค้นคว้าหาประวัติท่านชายที่ไหนก็ไม่พบ ท่านชายมาจากประเทศไหนนะ”
“เห็นนายอิศเคยบอกว่าจำตะวันออกค่ะ หรือ จากแถบภูฐาน ชาก็ไม่แน่ใจ” หล่อนยิ้มบางๆ ดวงตาแลเลยไป คิดถึงท่านชายเข้าให้ “รู้แต่ว่า ท่านรวยมาก มีธุรกิจรอบโลก แล้วก็...มีเสน่ห์เหลือเกิน”
ไพโรจน์มองกิริยาชาลินีโดยนึกรู้ ว่าหล่อนหลงท่านชายเอามาก
ชาลินีได้สติ “เอ๊ะ แล้วทำไมอาหมอต้องค้นคว้าเรื่องท่านชายด้วยล่ะคะ”
“ท่านชายเป็นคนที่เหมือนว่า ใครๆ จะรู้จักกันทั้งนั้น แต่พอถามเข้าจริงๆ ก็ไม่มีใครรู้จักเรื่องราวท่านชายจริงๆ สักคน อาก็เลยแปลกใจ แล้วก็เลย ยิ่งอยากรู้” ปลายประโยคหมอเสยิ้ม
“แหม จะทำตัวเป็นหมอวัตสัน เพื่อนของนักสืบ เชอร์ล็อคโฮมเหรอคะ” ชาลินีคิดอะไรบางอย่างออก ยิ้มมีเลศนัยพูดทีเล่นทีจริง “เอางี้มั้ยคะ ชาจะเป็นเชอร์ล็อคโฮมให้อาหมอเอง ช่วยอาหมอสืบเรื่องของท่านชายให้ทะลุปรุโปร่งเลย”
หมอไพโรจน์ยิ้มขัน ด้วยคิดว่าชาลินีพูดเล่น
หลังสนทนากันอยู่พักใหญ่ ชาลินีจึงเดินออกมากับหมอไพโรจน์ หยุดตรงระเบียงหน้าตึก
“อุ้ย ชาลืมมือถือ อาหมอรอเดี๋ยวนะคะ”
หมอพยักหน้า ชาลินีเดินกลับเข้าไปด้านใน หมอไพโรจน์ยืนรอ โดยไม่เห็นว่า ระหว่างนี้ใบหน้าอันดุดันน่ากลัวของผีเอกดนัยยืนอยู่ริมรั้ว จ้องตัวเขาอยู่ จนเมื่อชาลินีเดินยิ้มมา สองคนเดินลงบันไดหน้าตึกไปที่รถ
ผีเอกดนัยมองตาม แสยะยิ้ม
“ผู้ชาย ติดบ่วงของเธอ อีกคน งั้นเหรอ...ดี”
ผีเอกดนัยหัวเราะหึๆ อย่างน่าสะพรึง
ออกจากลิฟท์ หมอไพโรจน์เดินตามชาลินี มาจนถึงหน้าร้านอาหารบนยอดตึกของท่านชาย
“ที่นี่ก็เป็นธุรกิจของท่านชายด้วยเหรอ” หมอเอ่ยถามขึ้น
“ค่ะ แล้วที่รู้ก็ยังมีที่ คลับโลกันต์ แต่ ชาไม่ชอบไปที่นั่น มัน วังเวงยังไงไม่รู้ค่ะ” หล่อนยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “อาหมอมาทางนี้สิคะ”
ชาลินีเดินนำก้าวผ่านสะพานระหว่างช่องตึก ไพโรจน์เดินตามโดยไม่ทันมอง แต่ต้องชะงัก มองพื้นเบื้องหน้า เห็นช่องว่างทะลุลึกลงไปราว 40 ชั้น ก็ตกใจ ร้องอุทาน
“เฮ่ย”
ชาลินีอยู่ตรงกลาง หัวเราะคิก ยื่นมือมาให้
“แหม เดินมาเลยค่ะ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว”
หมอไพโรจน์มองมือชาลินี ก็ยื่นมือไปให้จับ ชาลินีหัวเราะคิกคัก พาเดินข้ามไปอีกฝาก
เห็นท่าทางไพโรจน์ขัดเขินราวเด็กหนุ่ม ชาลินีหัวเราะอีก แล้วปล่อยมือหมอ เดินนำเข้าไป หมอไพโรจน์เก้ๆ กังๆ
หมอไพโรจน์ขอตัวมาเข้าห้องน้ำ ยืนหน้ากระจกอ่างล้างมือ บ่นงึมงำกับตัวเอง
“เลิกคิดบ้าๆ ไอ้หมอ นั่นมันหลาน”
ผีเอกดนัยโผล่หน้าเข้าในกระจกเงาจากเบื้องหลังหมอไพโรจน์ หน้าขรึมตาดุ
“หลาน?” ผีร้ายหัวเราะหึๆ “ก็เป็นผู้หญิง สวย เซ็กซี่ด้วย”
หมอไพโรจน์ชะงัก รามือที่กำลังล้างอยู่เงยมองตัวเองในกระจก เหมือนโดนใส่ความคิดในสมองจากเสียงนั้น
ผีเอกดนัยขยับเข้าใกล้หน้าหมอไพโรจน์ ที่ครุ่นคิดมองจ้องหน้าตัวเองอยู่
“แกก็ชอบชาลินี ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลองดูล่ะ”
หมอไพโรจนมองตนเองในกระจกเหมือนถูกสะกด มีหน้าผีเอกดนัยใกล้ซ้อนอยู่ทางด้านหลัง
ชาลินีเดินออกมาบนระเบียงดาดฟ้าร้านไวน์ มองทิวทัศน์ พูดสายกับอิศราอยู่
“ฉันพาอาหมอไพโรจน์มาที่ร้านยอดตึกของท่านชาย ตามมาสิอิศ”
อิศรายังอยู่ในห้องนอน “ไม่ล่ะ แล้วคุณพาอาหมอไปทำไม”
ชาลินีหัวเราะคิก “ก็ อาหมอเขาอยากรู้จักท่านชายมากขึ้น ก็ไม่แน่นะเผื่อท่านชายมาเห็นฉันกับผู้ชายคนอื่น บางทีอาจจะกระตุ้นต่อมหึงของท่านชายขึ้นมาบ้าง”
อิศราชะงัก อึดอัดใจ ระคนสงสารชาลินีที่พยายามหลอกตัวเอง
“บ้า...คิดอะไรอย่างนั้น”
“อ้าว ก็ไม่แน่นะ ท่านชายจะได้เห็นชาลินีมีค่า”
อิศราสงสารชาลินีเหลือเกิน ยิ่งได้ฟังเจ้าหล่อนหัวเราะระรื่นบอกต่อมาว่า
“จะได้ไม่ปล่อยให้ชาลินีหลุดมือ”
อิศราครางเสียงนุ่ม อย่างเห็นใจ “ชา...อย่าทำอย่างนั้นเลย”
“จะมาก็รีบมานะ แค่นี้ก่อน อาหมอมาแล้ว” ชาลินีกดยกเลิกสนทนา
“โธ่เอ๊ย ชา เฮ้อ...”
ชาลินีหันมาหา ยิ้มให้หมอไพโรจน์ ที่เดินมาหยุดมองชาลินีห่างๆ หากชาลินีใส่ใจสักนิดจะพบว่าสีหน้าหมอเปลี่ยนไป ยิ้มมุมปาก โดยมีผีเอกดนัยยืนบงการซ้อนอยู่ด้านหลังหมอ ตาดุ ยิ้มมุมปากเช่นกัน
เวลาถัดจากนั้นที่โต๊ะหนึ่งบนระเบียงกว้างบนดาดฟ้า บริกรวางแก้วพั้นช์สีสวยและแก้วกาแฟ และกำลังเดินออกไป
ชาลินีและหมอไพโรจน์ นั่งตรงข้ามกัน หมอไพโรจน์มองหน้าชาลินีตลอด ตาวับหวาน
ชาลินีจิบพั้นช์ “อากาศดีนะคะ ดูสิคะอาหมอ ดูเหมือนพระอาทิตย์กำลังจะตก อาหมอ เอาแต่ทำงาน เคยมาพักแบบนี้บ้างไหมคะ”
หมอพูดด้วยกิริยาแข็งทื่อแปลกไป “มาคนเดียว มันไม่ได้เห็นอะไรสวยงามหรอก”
ชาลินียิ้ม หมอที่นั่งฝั่งตรงข้ามนั้น มีผีเอกดนัยยกมือเกาะบ่าอยู่ พลางก้มพูดข้างหูอย่างบงการอีกว่า
“แต่ถ้ามากับคนสวยๆ มันก็ช่วยให้เห็นความงามได้”
หมอไพโรจน์พูดตาม
“แต่ถ้ามากับคนสวยๆ มันก็ช่วยให้เห็นความงามได้”
ชาลินีชะงัก สีหน้าแปลกใจแล้วหัวเราะคิกใส่จริต “อุ้ยตายแล้ว อาหมอพูดแบบนี้ก็เป็นด้วยเหรอคะ” หล่อนหัวเราะปลื้มตัวเองอย่างน่ารัก
ผีเอกดนัยขยับมาลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ ชาลินี หันมองชาลินีด้วยสายตาสุดแค้นแสนรัก
“เธอชอบ คำหวาน ๆ แบบนี้ใช่มั้ยชา เพราะมันทำให้เธอปลื้มหลงตัวเอง”
ชาลินีไม่ได้ยิน ยังคงเยื้อนยิ้มกับหมอไพโรจน์ พลางจิบเครื่องดื่มสีสวย
ผีเอกดนัยนํ้าตาคลอ รำพันอีกว่า “แล้วพอเบื่อ เธอก็เฉดหัวส่ง ใช่ไหมชา”
หมอไพโรจน์ที่ดูเหมือนจะได้สติคืนมาแล้ว เหลียวมองไปรอบตัว สงสัยครามครัน
“เอ๊ะ”
“อะไรคะอาหมอ”
หมอไพโรจน์พูดกับตัวเอง “เมื่อกี้...อา อยู่ในห้องนํ้า”
ชาลินีฉงน ได้ยินไม่ถนัดหู “คะ”
ผีเอกดนัยหันมองมอง ยิ้มแสยะ แค่นหัวเราะ ฉันพลันทันใดนั้นเอง ผีเอกดนัยชะงัก มองไปทางหนึ่งแล้วหายวับไปทันที
หมอไพโรจน์ ยังงงๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ
“ไม่ ไม่มีอะไร”
ชาลินียิ้ม มองเลยไปด้านหลังหมอไพโรจน์ แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นยินดีล้น สายตาที่มองไปนั้นเปล่งประกายหลงใหลอย่างเต็มเปี่ยม
บริกรเปิดประตูให้ท่านชายวสวัต ท่านชายเดินออกมาช้าๆ
ชาลินียิ้มปลื้มแววตาหลงใหลชัดแจ้ง “ท่านชาย”
ท่านชายกำลังเดินช้าๆ มาใกล้ๆ หล่อ งามเหลือเกิน ชาลินีมองอย่างหลงใหล
หมอไพโรจน์มองเห็นสายตาชาลินี แล้วหันไปมองตาม จึงเห็นท่านชายเดินใกล้เข้ามา
หมอไพโรจน์หันมองชาลินีอีกที แล้วเข้าใจความรู้สึกจากสีหน้าที่แสดงออกโจ่งแจ้งนั้น ท่านชายเดินมาหยุด
“ดีใจจังค่ะ วันนี้มาได้พบท่านชายด้วย”
ท่านชายยิ้มขรึม แล้วมองหมอไพโรจน์อย่างลึกซึ้ง ด้วยรู้ว่าเมื่อกี้ถูกผีครอบงำและบงการ
ท่านชายนั่งแล้ว ชาลินียิ้มหวาน ตื่นเต้นดีใจ คอยลอบมองท่านชายอย่างคาดหวังว่าจะหึงไหม
“อาหมอไพโรจน์ แวะไปหาชาที่บ้านค่ะ ชาเลยชวนมาที่นี่ ถือโอกาสพาอาหมอมาพักสมองบ้าง ใช่ไหมคะอาหมอ”
“คนเราทำงานมากๆ ก็อาจจะเครียด หมอต้องดูแล ควบคุมสติให้ดี” ท่านชายเตือนเป็นนัย
“ปกติ ผมก็คุมสติตัวเองได้ดีอยู่แล้ว”
ท่านชายฟังแล้ว หัวเราะเบาๆ
“ผมหมายถึง การอยู่ใกล้คนสวยอาจทำให้ผู้ชาย เคลิบเคลิ้มไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะ ระยะนี้ กับ ชาลินี”
ชาลินีลอบยิ้ม ตาเป็นประกายไม่เข้าใจคำพูดเตือนของท่านชายต่อหมอหนุ่มใหญ่ คิดว่าท่านชายหึงหล่อน
หมออึ้ง น้ำเสียงเข้มตอบกลับเกือบเป็นฉุน “ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทนั้น”
“เอ้อ อาหมอขา ท่านชายคงพูดเล่นน่ะค่ะ” ชาลินีตัดบทหันมายิ้มตาหวานให้ท่านชาย “ท่านชายคงไม่หึงชาจริงจังหรอก ใช่ไหมคะ”
หมอไพโรจน์ขรึมไปถนัดตา เพราะฉุนท่านชาย แต่ชาลินีปลื้มลืมโลก จนไม่ทันเห็นว่าท่านชายตวัดตามองหล่อนอย่างรังเกียจเหยียดหยามลึกๆ
พร้อมกับแค่นหัวเราะบอกว่า “ฉันคงไม่กล้าหึงเธอหรอก”
ชาลินีระริก นึกว่าท่านชายน้อยใจ “โธ่ ท่านชายก้อ” หล่อนยิ้มโปรยเสน่ห์
หมอไพโรจน์หงุดหงิด รู้สึกเหมือนตัวถูกดูถูกอย่างแรง
อีกฟากหนึ่ง ณ วัดโบราณ ร้างไร้ผู้คน
บรรยากาศแสนดูวังเวง ลมพัดมาตามพื้นใบไม้ปลิวกระจาย จนเห็นเท้าของภุมมะที่ก้าวราวกับลอยลงมาเหยียบพื้น
ภุมมะเหลือบมองรอบตัว แล้วรู้สึกผิดสังเกต ระมัดระวังขึ้น
“ออกมา! เจ้าสัมภเวสี”
ในความเวิ้งว้าง วังเวง และน่ากลัวนั้น ภุมมะยืนนิ่งอยู่ หันมองซ้ายขวาอย่างระวังจากรอบตัว ปรากฏร่างผีชาวบ้าน ผีเชลยศึกชาวพม่าที่ พระยาเจนศึกเคยสั่งกรอกยาพิษจนตาย ต่างทยอยออกมาจากความมืด
ภุมมะขมวดคิ้ว รู้สึกได้ว่า ผิดปกติ
ผีเอกดนัย ปรากฏร่าง ทางด้านหลังของผีเหล่านั้น
“เจ้า”
“จะจับ กู..งั้นเหรอ” ผีเอกดนัย หัวเราะหึๆ น้ำเสียงต่ำ น่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด
ภุมมะโมโห พุ่งเข้าหาทันที ผีเอกดนัยถอยหลังเข้าความมืดด้านหลัง ปล่อยให้ผีนักรบทหารพม่า ผีชาวบ้าน ก้าวมายืนกันด้านหน้าบังไว้ ร้องคำราม โหยหวนใส่
ภุมมะชะงัก ผีร้ายเดินกรายล้อมเดินเข้าหาช้า ๆ
ผีนักรบปราดเข้ามา ยกดาบฟาดใส่ภุมมะ ภุมมะเบี่ยงหลบ ตวัดมือกลับ กลายเป็นแสงไปตัดร่างๆหนึ่งของผีนักรบที่เข้าฟาดดาบใส่ภุมมะ ร่างนั้นขาดแล้ววูบหาย ไปปรากฏตัวอีกด้านหนึ่ง นั่นเท่ากับว่า ฆ่าไม่ตาย
ยินเสียงหัวเราะของผีเอกดนัยดังกึกก้องรอบทิศทาง ภุมมะแค้นขุ่นข้องเอามากๆ
ภายในห้องเก็บของโบราณ ในวังท่านชาย ถัดจากนั้น ภุมมะ น้อมหัวรายงานท่านชายวสวัตอยู่
“ที่ที่เจ้าสัมภเวสีไปซ่อนตัวอยู่นั้น ล้วนมีวิญญาณโบราณ ทั้งวิญญาณทหารจากต่างแผ่นดินที่มาตายครั้งมาทำสงครามที่นี่ และยังมี วิญญาณที่ยังผูกใจอาฆาตต่อความตายของพวกมันในอดีต พวกมันจึงมีจิตที่มีอำนาจกล้าแข็ง พยาบาทไม่ยอมไปจากที่ ที่พวกมันตายลง รวมทั้ง...”
สิริฉงน “อะไรหรือ ภุมมะ”
ภุมมะก้มหน้า “วิญญาณพยาบาลเหล่านั้น ล้วนมีกรรมเกี่ยวพันและอาฆาตแค้น อดีตของพระองค์ เจ้าข้า”
สิริชะงัก หันมามองท่านชาย
ท่านชายที่ยืนมองตํ่ารับฟังรายงานอยู่ เหลือบมามองภุมมะใบหน้าเครียดเคร่งพลางบอกว่า
“เจ้ากรรมและนายเวรของข้า”
ท่านชาย ถอนหายใจทุกข์หนัก
ตอนค่ำอีกวันหนึ่งอิศรา เดินพับเสื้อแขนยาวลงบันไดมา เจริญขวัญเดินมาจากครัวเจอพอดี ยิ้มทัก
“พี่อิศ”
อิศราชะงัก ทำทีจับกระดุมเสื้อ ยิ้มบางๆ ทักตามมารยาท ใบหน้าขรึมเศร้า
“ครับ”
“ขวัญ ทำอาหารไว้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ แต่พอดี พี่มีธุระ”
อิศรายิ้มเป็นเชิงลาหันตัวเดินจากไป แล้วคลายยิ้มเป็นเคร่งขรึมทันทีที่ห่างเจริญขวัญออกมา
เจริญขวัญมองตาม สีหน้างุนงง
อิศราพาตัวเองมานั่งดื่มไวน์ ที่บาร์ร้านบนยอดตึก ท่าทางหงุดหงิด เจ็บชํ้าในใจ ข้างๆ มีสาวสวยคุ้นหน้ากัน สองนางนั่งอยู่ไม่ห่างและลอบมองอยู่ ยิ้ม สะกิดกันเดินมาหา
“มองตั้งนาน พี่อิศนี่เอง หายไปไหนนานเลย” สาว 1 ทัก
อิศรายิ้มตอบ ไม่ค่อยสนใจนัก ดื่มไวน์ต่อ
สาว1 ขยับมาเกาะบ่า “ดื่มหนักจัง อย่าบอกนะคะว่าอกหัก”
“ทำไมเหรอ คนอย่างผม จะอกหักบ้าง ไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงผสมท่าทีบอกให้รู้ว่าเขาเริ่มเมานิดๆ
สาว2 หัวเราะ คิก “คนอย่างคุณอิศรานะคะ มีแต่จะหักอกผู้หญิงน่ะสิ หล่อ แล้วก็รวยเลือกได้แบบนี้”
อิศราฟังแล้ว ระเบิดหัวเราะเหมือนขำมาก พูดประชดตัวเอง
“ผมน่ะนะ รวย”
สาวทั้ง2 เริ่มงง กับอาการของอิศรา
“เพราะผู้หญิงคิดแค่ว่า ผมรวย งั้นเหรอ ผมถึงจะมีสิทธิ หักอกคนอื่น” อิศราหัวเราะอีก
สาว1 หน้าเหยเก “คุณอิศ เป็นอะไรไปคะ”
“ผมน่ะเหรอ” เขาไม่มองใคร พูดพร่ำอย่างเจ็บปวด ยิ้มหัวด่าว่าตัวเอง “ผมก็แค่ ไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า เป็นผู้ชายที่ซื้อได้ คุณมีเงินมั้ยล่ะ ถ้ามี ซื้อผมได้นะ”
สาว2 เล่นด้วยทำเป็นเปิดกระเป๋า “เท่าไหร่เหรอคะ” นางหันไปหัวเราะคิกกับเพื่อน
อิศราโกรธ บอกด้วยเสียงขื่นขม เหยียดหยามตัวเองว่า “สามร้อยล้าน”
สาว1 ร้อง “อุ๊ต๊ะ”
2 สาว คิดว่าอิศราพูดเล่น พากันหัวเราะขัน
อิศรากัดกรามจนนูนปูด นัยน์ตาหมองเศร้า ยกแก้วดื่มพรวด
เจริญขวัญคอยอิศราอยู่นานแล้ว ด้วยความกังวลใจ ขณะจะเดินกลับขึ้นบันได ก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา หญิงสาวชะงัก เดินมาหยุดคอยตรงโถงหน้าบันได สักครู่เดียวเห็นอิศราเดินเซ ท่าทางมึนเมาเข้ามา เขาชะงักเมื่อเห็นเจริญขวัญ
เขามองมาสีหน้าเศร้าจัด “ขวัญ”
“พี่อิศ”
อิศราแค่นยิ้มเดินเข้ามา แล้ว เซมาใกล้เจริญขวัญด้วยความเมา
เจริญขวัญปราดเข้ามารับ ใบหน้าอิศราเซมาพิงบ่าเจริญขวัญที่ยกมือโอบประคองอย่างเป็นห่วง มืออิศราค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาทาบหลังเจริญขวัญ
แววตาของอิศรา สับสนหนัก เคว้งคว้าง ด้วยบัดนี้มีใจรักต่อเจริญขวัญเต็มหัวใจแล้ว แต่ยังตัดสินใจไม่ได้
อิศราเลื่อนหน้าออกจากบ่าเจริญขวัญช้าๆ หน้าเขาเกือบชิดหน้าเจริญขวัญ ปากเคลื่อนมาเกือบใกล้กับริมฝีปากเจริญขวัญอีกด้วย
สองคนสบตากัน ใบหน้าเศร้าของอิศราแสนสับสน ขณะมองสบตาเจริญขวัญที่มองมาอย่างห่วงใย ซื่อใส ขัดเขิน และประหม่า
อิศราลืมตัววูบหนึ่ง มองเจริญขวัญอย่างแสนรักมืออีกข้างของอิศราเลื่อนขึ้นช้าๆ เหมือนจะมาประคองใบหน้าอีกฝ่าย
เจริญขวัญอึ้ง ขัดเขิน ตาใสบริสุทธิ์มองอิศราประหม่าไปหมดสิ้น
พลันสายตาอิศรา แลเลยไปเห็นรูปย่าอุ่นตรงผนังห้อง สุดท้ายอิศราผละออกจากเจริญขวัญเฉยๆ
พึมพำเบาๆ เพียงว่า “ขอโทษ”
จากนั้นอิศราไปผละตัวเดินจากไป ทิ้งเจริญขวัญให้ยืนอึ้ง หน้าแดงอยู่คนเดียว แล้วสักครู่เหมือนหัวใจเธอจะเต้นแรงเกินควร เจริญขวัญยกมือกุมอก เซไปยืนพิงเปียโนในโถง หอบหายใจ
อิศราเดินโซเซขึ้นบันได โดยไม่เห็นว่า ตอนนี้เจริญขวัญเหงื่อแตก อ้าปากหอบหายใจอย่างรุนแรงอยู่ด้านหลัง
ดวงแก้วหลับอยู่ ขณะเจริญขวัญเดินมามองแม่ ใบหน้าหมองเศร้า อาการดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ เจริญขวัญเลื่อนตัวมาห่มผ้าผืนเดียวกับแม่ ลงนอนกอดดวงแก้วซุกหน้ากับบ่า
แรงโอบกอดสัมผัสจากลูก ทำให้ดวงแก้วสะดุ้งตื่น “อ้าว ขวัญ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
เจริญขวัญยิ้ม “เปล่าค่ะแม่ ขวัญหนาว อยากนอนกอดแม่”
“ลูกคนนี้ ไม่ยอมโต” ดวงแก้วลูบหัวลูกขยับให้เจริญขวัญนอนสบายขึ้น ก่อนหลับต่อ เจริญขวัญนอนนํ้าตารินอย่างเงียบๆ
วันนี้ ทั้งหมดนั่งอยู่ในหนึ่งชั้นบนของบ้าน กำลังฟังทนายวันชัยที่เป็นประธานในห้องพูดเรื่องงานทำบุญคุณหญิงอุ่น และพินัยกรรม
อิศราดูขรึมไปถนัดตา นั่งพิงเก้าอี้ไม่มองใครอยู่ในความคิดของตัวเอง เจริญขวัญลอบมองอิศราตลอดสีหน้าไม่สบายใจนัก
ทนายวันชัยเอ่ยสรุปในตอนท้าย “ตกลงทุกคนเห็นด้วยที่จะจัดทำบุญครบร้อยวันคุณหญิงอุ่นอาทิตย์หน้านะครับ”
คุณหญิงเพ็ญรับคนแรกว่า “ใช่ค่ะ เดี๋ยวหญิงจะตามญาติๆ คนอื่นเอง คงไม่กี่คน ก็เลี้ยงพระทำบุญที่วัดแล้วกันนะคะ”
ชาลินียิ้มตามองอิศราที่นั่งก้มหน้าอยู่ เลยถามทนายแทนอิศรา
“เรื่องสำคัญคือเรื่องจัดการมรดกตามคำสั่งคุณย่ามั้งคะ ทั้งเรื่องแบ่งมรดกกับเรื่อง...โอนบ้านเมื่อไหร่ล่ะคะอาทนาย”
อิศราเหลือบมองมา ชาลินียิ้มให้
“จัดการได้เลยครับ” วันชัยหันมาทางเจริญขวัญ “คุณเจริญขวัญสะดวกวันไหน หลังจากวันทำบุญ นัดผมให้พาไปที่อำเภอได้เลย”
เจริญขวัญมองตอบ ท่าทางอึดอัดใจมาก
“ครับ” ทนายประจำตระกูลลอบมองอิศรา พูดต่อว่า “ถ้าไม่มีใครขัดข้อง”
ชาลินีหัวเราะ “ใครจะขัดข้องล่ะคะ ใช่ไหมอิศรา”
อิศราส่งสายตาขุ่นเขียวมองชาลินี แต่เมื่อแลเลยมา เห็นเจริญขวัญมองอยู่ อิศราก็ยิ้มนิดๆ เป็นเชิงไม่ให้เจริญขวัญสงสัยอะไร
“เอาล่ะ ก็ตกลงตามนี้” คุณหญิงเพ็ญตัดบท มองรอบๆ แค่นหัวเราะออกมาเป็นเชิงแดกดัน “คิดๆก็น่าใจหาย บ้านนี้หญิงอยู่มาตั้งแต่เกิด อีกหน่อย ก็ไม่ใช่บ้านเราแล้ว”
คุณหญิงเพ็ญ และ ชาลินีปรายตามองเจริญขวัญราวกับเธอเป็นผู้ผิด เจริญขวัญอึดอัดใจมากขึ้นไปอีก
อิศรามองอยู่ เลยแก้ต่างให้ พูดเนือยๆ ขณะลุกว่า
“อาหญิงก็ไม่ได้อยู่บ้านนี้มาตั้งแต่แต่งงานแล้วนี่ครับ ตอนคุณย่าอยู่ ก็ไม่ค่อยมาหา คงไม่น่าจะรู้สึกผูกพันอะไรนักหนา”
คุณหญิงเพ็ญฉุน “เอ๊ ตาอิศ หาเรื่องจริง จ้ะ! ชั้นน่ะไม่ค่อยผูกพันบ้านนี้เท่าเธอนี่”
คุณหญิงจงใจย้อนพูดแทงใจอิศรา ชาลินีรู้ทันหัวเราะกิ๊ก
สีหน้าอิศราเครียดขรึม “หมดธุระแล้วใช่ไหมครับ งั้นผมขอตัวก่อน”
อิศราลุกเดินออกไป เจริญขวัญละล้าละลังหันมองตาม ไม่เข้าใจอารมณ์อิศราหลายวันมานี้
ฝ่ายดวงแก้ว เดินรีๆ รอๆ อยู่ด้านล่าง เห็นอิศราเดินลงบันไดมาสีหน้าเคร่งขรึม เลยถามขึ้น
“ประชุมญาติกันเรียบร้อยแล้วเหรอคะคุณอิศ”
“ครับ ทำไมอาแก้วไม่เข้าไปฟังด้วย”
“อา...ปล่อยให้เป็นเรื่องของขวัญ ดีกว่าค่ะ”
“ครับ”
อิศรายิ้มเสียไม่ได้ เดินออกไปเลยไม่พูดคำใดอีก ดวงแก้วมองตามพิศวง
เจริญขวัญ เดินลงมากับทนายวันชัย มีคุณหญิงเพ็ญ ชาลินีตามกันลงมา
“พี่อิศล่ะคะแม่”
“ออกไปแล้วจ้ะ”
เจริญขวัญผิดหวัง ถอนใจบางๆ ทนายวันชัยลงมากับ ชาลินี และคุณหญิงเพ็ญ
“ผมลาล่ะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะ” คุณหญิงเพ็ญรับไหว้เย่อหยิ่งตามประสา
ทนายเดินออกไปแล้ว ชาลินียิ้มขยับมาจับแขนเจริญขวัญ
“ไงจ้ะสาวน้อย อีกไม่นานก็จะได้เป็นเศรษฐี เจ้าของบ้านราคาหลายสิบล้านแล้ว ดีใจไหมจ๊ะ”
เจริญขวัญยิ้มไม่ออก
“หนูก็ถามอะไรไม่รู้ ใครบ้างจะไม่ดีใจ ว่าแต่ เรื่องทำบุญพระอาหารเลี้ยงของถวายพระ ใครจะจัดการ แม่ก็ไม่ว่างด้วย” คุณหญิงว่าอย่างรู้ประสงค์
“แม่ถามชาเหรอคะ ชาจะรู้เรื่องมั้ยล่ะ” ผู้เป็นธิดาย้อนให้
ดวงแก้วรับอาสา “เอ้อ..ให้แก้วดูแลให้ก็ได้ค่ะ”
“ก็ดี” คุณหญิงเพ็ญจิกกัดเบาๆ “จะได้ถือว่าทำบุญ ขออโหสิกรรมคุณแม่ด้วย แม่ไปนะชา”
คุณหญิงเพ็ญเดินออกไปเลย ชาลินีลอบยิ้มสะใจที่สองแม่ลูกสีหน้าไม่ดี แล้วเสแสร้งใส่
“อย่าไปถือสาคุณแม่เลยนะคะ คุณแม่ พูดตรงๆไปงั้นเอง”
ดวงแก้วยิ้มเจื่อน
“อาแก้วขา มีอะไรเบาๆ รองท้องไหมคะ ชาหิวจัง”
“ได้ค่ะได้ เดี๋ยวไปดูให้นะคะ”
ดวงแก้วรีบเข้าครัวไปจัดการ เจริญขวัญจะตาม ชาลินีจับแขนไว้ยิ้มหวาน แต่นัยน์ตาเข้ม
“ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิจ๊ะ”
ชาลินียืนกายตรงรออยู่ริมบ่อน้ำพุหน้าตึก เจริญขวัญถือถาดนํ้าส้ม และจานของว่าง มาวางให้
“ของว่างค่ะ แม่ทำขนมปังหน้าหมูมาให้ค่ะ”
“ขอบใจ นั่งด้วยกันสิจ๊ะน้องขวัญ” ชาลินียิ้มขยับมานั่งตรงโต๊ะสนาม
เจริญขวัญลงนั่งตาม
“น้องขวัญ พีไม่อ้อมค้อมล่ะนะจ๊ะ ถามจริงๆ พอโอนบ้านแล้วจะให้ตาอิศออกจากบ้านเลยหรือเปล่า”
เจริญขวัญตอบโดยเร็วว่า “ไม่ค่ะ ขวัญบอกพี่อิศแล้ว ว่าขอให้อยู่ที่นี่เหมือนเดิม”
“คนรักกันชอบกันอยู่บ้านเดียวกันเฉยๆ จะดีเหรอ ทำไมไม่หมั้นหมายแต่งงานกันไปเลยล่ะ”
เจริญขวัญตกใจ “คะ เอ้อ”
“อ้าว ตายจริง นี่ตาอิศ ไม่เคยบอกความในใจให้น้องขวัญรู้เหรอจ๊ะ ตายแล้ว นี่พี่ก็เอาเรื่องตาอิศมาขายซะแล้ว”
เจริญขวัญอึดอัดสับสนไปหมด
“แต่จริงๆนะ ตาอิศน่ะ เห็นอย่างนั้น ไม่เคยรักเคยชอบใครเลยนะจ้ะ แต่กับน้องขวัญ โอ๊ยเขาไปเล่าถึงความดี” ชาลินีกลั้นใจพูดต่อว่า “ความน่ารักอย่างโน้นอย่างนี้ให้ฉันฟังอยู่เรื่อย”
เจริญขวัญนั่งกุมมือนิ่ง
“นี่” ชาลินียืนมาจับมือเด็กสาว “ถ้าน้องขวัญกับตาอิศลงเอยกันได้ ทุกอย่างก็จะลงตัวพี่จะดีใจด้วยมากเลย”
“ขวัญ...” เจริญขวัญอึกอัก
มือชาลินีที่จับมือเจริญขวัญกลายเป็นบีบแน่นขึ้น จ้องหน้า ซ่อนซุกความร้ายกาจไว้จนมิด
“นอกเสียจากว่า น้องขวัญ มีผู้ชายคนอื่น”
เจริญขวัญตกใจรีบบอก “ไม่ค่ะ ไม่มี”
“จริงนะจ้ะ ไม่งั้น ตาอิศต้องอกหัก บ้าคลั่งแน่ๆ” หล่อนกรีดเสียงหัวเราะอย่างน่าหมั่นไส้ “วันนี้ดูหน้าตาอิศหมองๆ ไป ฉันยังนึกว่าโดนน้องขวัญสลัดรักซะอีก”
เจริญขวัญ สะดุดใจ “ขวัญ...เอ้อ…”
“นั่นแน่...เขินเหรอ” ชาลินีหัวเราะระรื่น “รีบตัดสินใจเถอะ ดีไม่ดี เผื่อเราจะได้แต่งงานพร้อมๆ กัน น้องขวัญกับอิศ พี่...กับ...” หล่อนมองอย่างตอกยํ้าและค้นหา “ท่านชายวสวัต”
เจริญขวัญมองตอบอย่างบริสุทธิ์ใจ ขณะย้อนถาม
“คุณชาลินี กำลังจะแต่งงานกับท่านชายเหรอคะ”
“ท่านน่ะเปรยๆ มาหลายครั้งแล้วจ้ะ พี่เองก็กำลังคิดหนักยังหวงชีวิตโสดน่ะนะ แต่ถ้าท่านรบเร้าเรื่อย คงต้องตามใจท่าน”
เจริญขวัญไม่รู้สักนิดว่าเป็นคำลวง ยิ้มบางพลอยยินดีไปด้วย แต่ยังสับสนเรื่องอิศราไม่หาย
ชาลินีลอบมอง เหยียดยิ้ม ทั้งหมั่นไส้ และดูแคลน
“น้องขวัญ อย่าไปบอกอิศล่ะว่าพี่เอาความลับเขามาพูดก่อน เรื่องท่านชายด้วย เดี๋ยวพี่โดนเล่นงานแย่ ถือว่าเป็นความลับของผู้หญิงเราด้วยกันนะจ๊ะ”
หล่อนกำชับกำชาหนักแน่น
อ่านต่อหน้า 2
เงา ตอนที่ 13 (ต่อ)
โจรท่าทางคล้ายขี้ยาสองคน ขี่มอเตอร์ไซค์ช้าๆ ผ่านมาทางด้านหลังอิศราที่นั่งเหม่ออยู่ พวกมันทำท่าจะขี่ผ่านเลยไป
โจร 2 นั่งซ้อนหลังสะกิดคนขี่ โจร 1 ให้ชะลอรถ บุ้ยใบ้ให้ดูอิศรา แล้วทั้งสองก็มองซ้ายขวาเห็นว่าเปลี่ยวดี จึงจอดรถ ก้าวลงจากรถ
อิศรานั่งอยู่ ถอนหายใจหนักๆ อีกที เมื่อลุกขึ้นหันมาแล้วต้องชะงัก สองโจรขี้ยาเข้ามาอย่างประสงค์ร้าย
โจร1 บอก “เพ่ ท่าทางรวย ขอตังค์ใช่มั่งดิ”
โจร2 ว่า “ไม่ก็ กุญแจรถก็ได้ เพ่”
อิศราฉุนด้วยเครียดอยู่ เท้าเอว “อย่าเพิ่งมายุ่งกะพี่ ไอ้น้อง พี่กำลังอารมณ์ บ่จอย”
โจรสองคนมองหน้ากัน แล้วหัวเราะแห้งๆ
โจร1 ดึงมีดพับจากกระเป๋ากางเกงมาสะบัด อิศรามอง ระวังตัว
โจร 1 โถมเข้ามาก่อน อิศราปัดป้องอย่างเป็นมวย อาศัยที่สองโจรตัวเล็กกว่า อิศราจึงได้เปรียบ ทำให้โจรกระเจิงไปได้ แต่ถูกมีดตวัดปาดที่แขนเลือดซิบ
อิศรามองรอยเสื้อขาดและเลือดซึมออกที่แขน เจ็บ แต่ทนไหว
ขณะเดียวกัน เจริญขวัญนั่งซึมเหม่ออยู่ริมสระมาสักระยะแล้ว ดวงแก้วเดินมาทางเบื้องหลังลูบหัวลูกสาว
“เป็นอะไรลูก หนูดูซึมๆ ทั้งวัน”
“เปล่าค่ะแม่”
ยินเสียงรถอิศราแล่นเข้ามา สองแม่ลูกชะเง้อมองด้านในบ้าน
เห็นอิศรา เดินเข้ามา ที่แขนข้างหนึ่งมีผ้าพันแผล ใบหน้ามีร่องรอยชํ้าเล็กน้อย
เจริญขวัญตกใจ “พี่อิศ”
สองแม่ลูกปราดหา
ดวงแก้วมองแล้วยิ่งตกใจ “ตายจริง เกิดอะไรขึ้นคะ”
“โชคไม่ดี บังเอิญไปเจอโจรกระจอกมาหาเรื่องเข้าน่ะครับแต่ไม่เป็นอะไรครับ”
เจริญขวัญท้วง “ไม่เป็นไรยังไงคะ พี่อิศเจ็บมาด้วย”
“พี่ไปหาหมอทำแผลมาเรียบร้อยแล้ว นี่หมอให้ยามาทานด้วย” เขาชูถุงยาในมือข้างที่ไม่เจ็บ “นี่ไง”
เจริญขวัญคราง “โธ่ พี่อิศ”
อิศราฝืนยิ้มกับทั้งสองคนแม่ลูก “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไปนอนก่อนนะครับ”
จากนั้นอิศราก็เดินขึ้นห้องไป เจริญขวัญมองตามอย่างเป็นห่วง
รุ่งเช้า เจริญขวัญถือถาดอาหารเช้า และแก้วนํ้ามาหยุดหน้าห้องอิศรา เคาะประตูเรียก
“พี่อิศคะ พี่อิศ...ตื่นหรือยังคะ”
เคาะอีกที แต่ก็ยังเงียบไม่มีเสียงตอบ เจริญขวัญจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้ามา เห็นอิศรานอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง
เจริญขวัญวางถาดที่โต๊ะหัวเตียง
“พี่อิศ ขวัญเอาข้าวต้มมาให้ค่ะ ทานนะคะ จะได้ทานยา” ร่างอิศรายังไม่ไหวติง
เจริญขวัญทำท่าจะเดินออกไป แล้วชะงัก หันกลับมามองด้วยสายตาสงสัยและเป็นห่วง
“พี่อิศคะ”
อิศรายังคงนอนนิ่ง เจริญขวัญตัดสินใจเดินอ้อมกลับไปดูอีกด้าน พอเห็นใบหน้าอิศราก็ตกใจ
“พี่อิศ”
สภาพอิศราจับไข้ นอนหน้าเซียวปากซีดแห้ง มีเหงื่อพราว เนื่องจากแผลจากมีดอักเสบ
เจริญขวัญผวาไปหาจับหน้าจับตัวตรวจอาการ
“พี่อิศ ตัวร้อนจังเลย ไปหาหมอไหมคะ ทำยังไงดี”
อิศราเลื่อนมือมาจับมือเจริญขวัญ หรี่ตามอง เพราะพิษไข้
“ไม่เป็นไร” เสียงไอดูตรงข้ามกับที่เขาบอกออกมา “พี่ไม่เป็นไร
เจริญขวัญมองอย่างเป็นห่วง
อิศราดึงมือเจริญขวัญมาแนบหน้าตัวเองอยู่อย่างนั้น บอกเสียงนุ่มขณะหลับตาลง
“ขอพี่หลับอีกเดี๋ยวนะ”
เจริญขวัญจะดึงมือออก มืออิศราดึงรั้งไว้ พูดขอร้องทั้งที่หลับตา
“ขอเวลา...อีกเดี๋ยวเดียว”
อิศราหลับตาโดยจับมือเจริญขวัญแนบหน้าตัวเองไว้อย่างนั้น
เจริญขวัญอึดอัดขัดเขินไปหมดสิ้น ได้นั่งนิ่งตามใจเขา ด้วยความสงสาร
ดวงแก้วกำลังคุยกับสีอยู่ บนโต๊ะตรงหน้ามีของชุดถวายสังฆทาน เช่น ผ้าไตร วางอยู่บางส่วน
“ฉันออกไปหาซื้อมาเลย วันงานจะได้ไม่ต้องยุ่งมาก อ้อ คงต้องรบกวนเรื่องช่วยกันทำอาหารถวายพระเพลหน่อยนะจ๊ะ”
“กวนอะไรละคะคุณแก้ว เป็นหน้าที่และจะได้ทำบุญด้วยแรงกายด้วย เดี๋ยวก่อนวันงานเราไปจ่ายตลาดกันนะคะ งั้นสีเอาถุงของนี่ไปเก็บก่อนนะคะ”
“จ้ะ”
สีลุกหยิบถุงของถวายสังฆทาน พอหันตัวจะเดินไปก็ชะงัก ดวงแก้วมองตาม
เห็นท่านชายวสวัตยืนอยู่ ยิ้มบางๆ อย่างอบอุ่นมาให้ ดวงแก้วแปลกใจระคนตกใจ ท่านชายก้มศีรษะทัก
ท่านชายยืนอยู่ใกล้ๆ ที่โต๊ะสนามริมนํ้าพุ มองไปไกลลิบ ดวงแก้วเดินเข้ามาต้อนรับวางแก้วนํ้า และถ้วยนํ้าชาให้
“เชิญค่ะท่านชาย”
ท่านชายยิ้มหันมา แล้วเดินมานั่งที่โต๊ะ
“เมื่อคืนคุณอิศเจ็บตัวกลับมา เห็นว่าโดนทำร้าย ยังนอนอยู่ข้างบนค่ะ”
“ทราบแล้ว ฉันถึงแวะมา”
ดวงแก้วฉงน “คุณอิศโทร.บอกหรือคะ”
ท่านชายยิ้มเลี่ยงไม่ตอบ “จัดของเตรียมไปถวายพระหรือ”
“ค่ะ เตรียมทำบุญให้คุณหญิงอุ่นท่าน”
“ดี ผู้รับก็ได้กุศล คนทำก็ได้บุญ”
ดวงแก้วมองท่านชาย แล้วตัดสินใจลวงถาม “เอ้อ...ท่านชาย เชื่อเรื่อง บาปบุญเหมือนกันหรือคะ”
ท่านชายยิ้มมีริ้วรอยเศร้า “เชื่อสิ โดยเฉพาะ เชื่อเรื่องบาปของ มนุษย์”
ดวงแก้วพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “เวลาดิฉันทำบุญ เคยสงสัยเสมอว่าบุญกับบาป มีจริงไหม ถ้าเรารู้ เราคงหนีได้”
ท่านชายมองนิ่ง “ไม่มีใครหนีได้หรอก บุญ บาป ดุจเงาตามตัว ได้โอกาสเมื่อไหร่ก็จะแสดงผล เมื่อนั้น”
ดวงแก้วชะงักมองท่านชาย เคลือบแคลงหนักขึ้น
“ผลของบุญบาป ก็เหมือนกับต้นไม้ ที่ก่อนจะออกผล เราก็ไม่รู้ว่าผลจะออกตรงไหน แต่รู้ว่ามีแน่ เหมือนผลของบุญบาปมีอยู่จริง แต่ผลของบุญจะหนักและแรง จึงมาช้ากว่าผลของบาปเสมอ ผลกรรมจึงเป็นสิ่งที่บางครั้ง ก็มาเร็ว และไม่มีใครช่วยได้”
ดวงแก้วร้อนรนใจ “แต่ถ้าหากเราทำบุญมากขึ้นล่ะคะ มากจนผลบาปตามไม่ทัน ได้ไหมคะ”
“ก็เร่งทำเข้าสิ” ท่านชายสบตาดวงแก้ว “ก่อนจะสายเกินไป”
ดวงแก้วสบตาท่านชาย ร้อนรุ่มในใจอยู่อย่างนั้น
ท่านชายชะงัก เหลือบมองขึ้นไปด้านบนตึก สีหน้าหน้าขรึมลง ก่อนจะลุกยืนพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ฝากบอกอิศราด้วยว่าฉันแวะมา แต่ว่าตอนนี้ คงจะยังไม่เหมาะ”
ท่านชายก้มศีรษะลา ดวงแก้วหน้าซีดขาว
ขณะที่ท่านชายเดินผ่านไป ดวงแก้วที่นั่งตัวสั่น บีบมือแน่นอยู่นั้น เอ่ยขึ้นอีกว่า
“ท่านชายคะ ยายขวัญเป็นคนดีทำบุญเสมอ แม้กระทั่ง กรวดนํ้าให้...” ดวงแก้วเงยหน้าขึ้นมอง พูดเสียงสั่น “ยมบาล เสมอ”
ท่านชายชะงัก
“ท่านว่า บุญนั้น ท่าน ยมบาล จะช่วยให้ยายขวัญ ให้มีชีวิตที่ยืนยาวได้ไหมคะ”
“ความดีของมนุษย์ เกิดผลสำเร็จได้หลายทาง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ย่อมเป็นไปตามทางของมันเสมอ ไม่มีหัตถ์ของใครแม้แต่ ยมบาล จะช่วยได้”
ท่านชายเหลือบมองมาสบตากับดวงแก้วที่มองมาอย่างประหม่า
ดวงตาท่านชายทอแสงออ่อนลงจากดุ เป็นนิ่งขึ้น ก่อนจะเดินตัวตรงออกไป
ดวงแก้วหน้าซีด แม้เคลือบแคลง แต่เห็นจริงในคำท่านชาย
อิศรานั่งเอนอยู่บนเตียง มีถาดข้าววางบนตัก อิศราก้มหน้าตักข้าวต้มกินเอง ดูน่าสงสาร เขาไม่ยอมให้เจริญขวัญป้อน คล้ายพยายามทำใจ
เจริญขวัญนั่งดูอยู่ เห็นข้าวต้มติดริมฝีปากเล็กน้อย เจริญขวัญหยิบทิชชู่มาเช็ดให้ อิศราเหลือบตามองหน้าเศร้า เจริญขวัญสบตาอย่างประหม่า
อิศราหลบตา ยิ้มระโหยอ่อนแรง ดันถาดออก
“อิ่มแล้วหรือคะพี่อิศ งั้นทานยานะคะ”
เจริญขวัญเปิดซองยาสองซอง ยาแก้ไข้ และยาแก้อักเสบ ส่งให้ และส่งแก้วนํ้าตาม
อิศรารับมากินดื่มนํ้า บอกเบาๆ ว่า “ขอบคุณ เลยต้องมาเป็นภาระขวัญอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
อิศราเลื่อนตัวลงนอนตะแคง หันหลังให้เจริญขวัญ
เจริญขวัญลุก หยิบถาดจะหันตัวเดินไป แล้วทนไม่ไหวหันกลับมายืนมองอิศรา
“พี่อิศ โกรธอะไรขวัญหรือเปล่าคะ”
อิศราลืมตาสีหน้าขรึม เจริญขวัญยืนด้านหลังไม่เห็นสีหน้านั้น
“พี่อิศโกรธ ที่ขวัญไม่ตอบคำถามที่พี่อิศเคยถามหรือเปล่าคะ”
อิศราอัดอั้นใจ ขมวดคิ้วพูดไม่ออก เขาสับสนหนักระหว่างเงินตรากับรัก และคิดว่าเพื่อนในชีวิตคือท่านชายชอบเจริญขวัญ
“ขวัญ...ไม่ได้ตอบ ว่าคิดกับพี่อิศ ยังไง” น้ำเสียงหญิงสาวประหม่า
อิศราเครียด เจริญขวัญค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งริมเตียงอีกครั้ง
“เพราะ ขวัญ คิดไม่ออกว่า ผู้หญิงอย่างขวัญ จะมีอะไรดีพอ ที่พี่อิศจะต้องมาสนใจ”
อิศราหันขวับมา “อย่าพูดอย่างนั้น ขวัญ!”
ไม่เท่านั้นอิศราหันลุกมานั่ง ดึงร่างเจริญขวัญมากอดเหมือนจะปลอบ
เจริญขวัญทั้งประหม่าทั้งขัดเขิน อิศราพูดข้างบ่าเธอ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ขวัญ มีค่า มากกว่าที่ขวัญคิด มาก...จนขวัญนึกไม่ถึง”
เจริญขวัญอึ้ง นิ่งงันไป
อิศรารู้สึกตัว ดันร่างเจริญขวัญออก ยิ้มเศร้าๆ “แล้วพี่ก็ไม่ได้โกรธอะไรขวัญเลย”
“ค่ะ”
อิศรายิ้มบางๆ ไอออกมา แล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนอน หลับตาลงช้าๆ
เจริญขวัญลุกขึ้นมองเขา ยังคงมีความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เดินออกไป
ทันทีที่เสียงประตูปิดลง อิศราลืมตา ใบหน้าหมองเศร้า
ในห้องพักแพทย์ ค่ำวันนี้ หมอไพโรจน์นั่งดูข่าวการแพทย์ในจอคอมพิวเตอร์ เป็นเว็บภาษาอังกฤษ ดูอยู่สักพัก ก็รู้สึกปวดตา หมอกดหัวคิ้ว ก่อนกดปิดจอคอม
หมอลุกเดินมาทรุดลงที่โซฟาในห้อง เอนตัวลง นั่งเหยียดขาพิงพนัก สักพักล้มตัวนอน เอาศีรษะพาดที่เท้าแขน
บรรยากาศในห้องดูน่าสะพรึง หมอไพโรจน์ลืมตาขึ้น ตาแข็งทื่อ ผิดไปจากคนเดิม
อีกฟาก เสียงมือถือดังขึ้น ชาลินีหยิบมาดูชื่อ เลิกคิ้วฉงน แล้วยิ้ม กดรับสาย
“อาหมอ สวัสดีค่ะ”
หมอไพโรจน์ ตาแข็ง ไม่พูดตอบ
“ฮัลโล อาหมอ ได้ยินไหมคะ”
หมอไพโรจน์ยังไม่ขยับปาก
“ฮัลโล อาหมอคะ เอ...หรือสายหลุด” ชาลินีจะวาง
เสียงหมอเปล่งออกมา “ชา...”
ชาลินียิ้ม “ค่ะ อาหมอ มีอะไรคะ”
“ชา...”
ชาลินียิ้มฟังอยู่
หมอไพโรจน์ยิ้มเหี้ยม พบว่าคนที่ถือมือถือพูดคือ ผีเอกดนัยที่สิงอยู่
เสียงหมอลอดออกมาว่า “คิดถึง”
ชาลินีชะงัก แล้วขำคิก ภาคภูมิในเสน่ห์
“อุ้ย อาหมอ พูดว่าไงนะคะ ชาหูฝาดไปหรือเปล่า”
ผีเอกดนัยยิ้มเหี้ยม ทั้งรักทั้งแค้น จนนํ้าตาคลอ
“คิดถึง...จริงๆ”
ชาลินีปิดปากกลั้นหัวเราะ
“อาหมอ! อาหมอล้อชาเล่นแน่เลยนี่ชาเขินนะคะ” หล่อนหัวเราะขำ ถูกคนแก่คราวพ่อจีบ
ประตูห้องพักแพทย์ที่ปิดอยู่ มีเสียงเคาะ ไม่นาน เห็น พยาบาล 1 เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มในมือ
“อาจารย์คะ”
หมอไพโรจน์ยืนนิ่งอยู่ เหลือบมองมา พยาบาลเดินเข้ามาใกล้ๆ พบว่ามีสร้อยพระห้อยคอของพยาบาล นางนั้น
ส่วนชาลินี รอฟังอยู่ “ฮัลโล อาหมอโทร.มา จะบอกชา แค่นี้เหรอคะ”
หมอถือมือถือแนบหูอยู่ จนพยาบาลเดินมาหยุดข้างๆ
“อาจารย์คะ คนไข้ที่จะเตรียมผ่าตัดพรุ่งนี้ มาแอดมิทแล้วค่ะ” พยาบาล 1 เห็นหมอไม่ตอบรับ จึงยื่นมือมาจับแขน “อาจารย์คะ”
หมอไพโรจน์สะดุ้งสุดตัว ขนาดพยาบาลยังตกใจ
ร่างหมอไพโรจน์เซทรุดลงไปยังโซฟา ผีเอกดนัยหลุดออกจากร่าง มือถือตกที่พื้น พยาบาลตะลึง ถลันเข้าประคอง
“อาจารย์คะ”
ชาลินีเห็นว่าเสียงเงียบไปก็นึกสงสัย “ฮัลโล ฮัลโล... อาหมอคะ” หล่อนมองมือถืองงๆ คิดว่าสายหลุดไปขำๆ
“เป็นอะไรของเขา...หรือจะเมา”
หมอไพโรจน์นั่งพิงพนักโซฟาอยู่ มีพยาบาลยื่นยาดมใส่สำลีให้ดม หมอไพโรจน์สะดุ้ง รู้สึกตัว
“อาจารย์ เป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมเพลีย คงเผลอหลับไป ไม่เป็นไรหรอก เออ คนไข้ของผมแอดมิทมาหรือยัง”
พยาบาลงง “แอดมิทแล้วค่ะ เดี๋ยวนะคะ เมื่อกี้ อาจารย์พูด โทรศัพท์อยู่นะคะ พอหนูจับตัวก็ล้มลงค่ะ หนูเลยนึกว่า อาจารย์เป็นลม”
หมอไพโรจน์ ชะงัก ประหลาดใจ หยิบมือถือมากดดู เห็นชื่อโทร.ออกสุดท้ายเป็นชื่อชาลินี
“ขอบใจ คุณไปเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นไปดูคนไข้เอง”
“ค่ะ” พยาบาลยังงงๆ อยู่ขณะลุกออกไป
หมอตัดสินใจ แล้วกดเบอร์มือถือโทร.ออก
มือถือดังอีกครั้ง ชาลินีหยิบดูยิ้มอีก รับสาย
“เมื่อกี้สายหลุดไปเหรอคะอาหมอ”
หมอไพโรจน์ประหลาดใจ กึ่งตกใจ
“เมื่อกี้...อา โทร.หาชาเหรอ”
“อ้าวแล้วกัน อาหมอลืมง่ายๆอย่างนี้เองเหรอคะ” ชาลินีหัวเราะคิก
“เดี๋ยวนะ ชา เมื่อกี้อาโทร.หาว่ายังไง”
“อ้าว ตายล่ะ อาหมอขา ถ้าโทร.มาบอกว่าคิดถึงแล้วจำไม่ได้แบบนี้ ชาจะเชื่ออาหมอได้เหรอคะ”
หมอทั้งตกตกใจ ทั้งประหลาดใจ “อาน่ะเหรอ บอกว่าคิดถึงชา”
ชาลินีหัวเราะขำ “แน๊ อาหมอ ตกลงจะล้อชาเล่นจริงๆ ใช่ไหมคะ”
“เอ้อ อาต้องไปดูคนไข้ก่อน แค่นี้นะ”
หมอวางสายไปเลย ชาลินีขำ
“เล่นมุขอะไรของเขา”
ฟากหมอไพโจน์ มองมือถือนิ่งอยู่ งุนงง และไม่เข้าใจตัวเอง
เช้าวันถัดมา ดวงแก้วหั่นผักอยู่ในครัว ใกล้ๆ สี มือถือดัง ดวงแก้ววางมีด แล้วล้วงหยิบมือถือจากกระเป๋า
“ฮัลโหล”
อรุณพูดโทรศัพท์
“อาแก้วครับ ผมเอง เอ้อ...อาสบายดีนะครับ”
ดวงแก้วยิ้ม “จ้ะ ตอนนี้อาอยู่กรุงเทพฯ”
“ผม...ทราบแล้วครับ”
ที่แท้อรุณพูดมือถืออยู่ข้างรถ หน้ารั้วบ้าน ชะเง้อมองเข้าไปด้านใน
“เอ้อ...ขวัญ สบายดีนะครับ”
“จ้ะ สบายดี พ่อรุณว่างๆก็แวะมาซี่”
อรุณไม่สบายใจแม้จะคิดถึงมาก ได้แต่ชะเง้ออยู่หน้าประตู
“ครับ อาแก้ว ไว้ว่างแล้ว ผมจะแวะไป เอ้อ...แค่นี้นะครับ”
“จ้ะ”
อรุณวางสาย แล้วหันมองประตูอีกที ไม่มั่นใจ สุดท้ายหันกลับ คอตกขึ้นรถไป
เจริญขวัญเดินเข้ามาในครัวพอดี
“ขวัญ แม่ทำข้าวต้มเสร็จพอดี หนูเอาไปให้คุณอิศไหมลูก นี่ ถ้าวันนี้แกยังไม่หายไข้ แม่ว่าต้องให้ไปโรงพยาบาลแล้วนะ”
เจริญขวัญครุ่นคิด เสยิ้ม
“กวนป้าสีเอาไปให้ได้มั้ยจ๊ะ ขวัญอยากรดนํ้าต้นไม้”
“ได้ค่ะได้ เดี๋ยวสีจัดการเอง”
“เอ้อ เมื่อกี้ พ่อรุณโทร.มาแน่ะ”
“เหรอคะ”
เจริญขวัญรับรู้ เดินไป ดวงแก้วดูสี จัดจาน
เจริญขวัญเดินอ้อยอิ่งออกมา ทอดถอนหายใจ จนมาหยุดยืนดูสระนิ่ง แล้วคิดถึงเหตุการณ์ที่อิศราเคยยืนตรงจุดนี้ พูดกับเธอคล้ายจะบอกรัก
“พี่หมายถึง คิดถึงพี่ ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่แค่..ญาติ...” เขาจ้องลึกในดวงตาเธอ “แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่จะรอขวัญอยู่ที่นี่”
เจริญขวัญงุนงงสับสน คิดถึงเมื่อเช้าวานนี้อีก ตอนเอาข้าวต้มไปให้
อิศราลุกนั่ง ดึงร่างเจริญขวัญมากอดเหมือนจะปลอบ
“ขวัญ มีค่า มากกว่าที่ขวัญคิด มาก...จนขวัญนึกไม่ถึง”
สีหน้าเจริญขวัญ สับสนหนัก
“เฮ้อ...”
เสียงท่านชายดังขึ้น “เป็นอะไร”
เจริญขวัญหันมา เห็นท่านชายยืนเอามือไขว้หลังอยู่ รัศมีกระจ่างในแสงแดดส่องแผ่นหลัง
“ท่านชาย”
เจริญขวัญยกมือไหว้ ท่านชายยิ้มรับไหว้
“ฉันเห็นเธอยืนอยู่ เลยให้ภุมมะจอดรถไว้ทางโน้น”
เจริญขวัญยิ้มบางๆ ก้มหน้า
ท่านชายก้มมอง พอเจริญขวัญเงยหน้ามองขึ้นมาเกือบสะดุ้ง
“ยังไม่สบายใจอยู่อีกหรือ เจริญขวัญ”
เจริญขวัญนึกประหม่า แต่รู้สึกอบอุ่นโดยประหลาด ท่านชายยิ้มเศร้า
ระหว่างนี้ อิศราเดินหน้าตาอิดโรย ลงบันไดมา ยังไออยู่นิดหน่อย เจอดวงแก้ว
“คุณอิศ เป็นยังไงบ้างคะ หน้ายังซีดอยู่เลย ต้องไปหาหมอไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมดีขึ้นแล้ว”
ท่านชายนั่งอยู่กับเจริญขวัญตรงมุมสวยริมสระ เจริญขวัญยิ้มขรึม
ท่านชายเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่สบายใจอะไร”
เจริญขวัญอึกอัก “ขวัญ...”
ท่านชายยิ้ม “เรื่อง อิศรา งั้นหรือ”
เจริญขวัญตกใจ มองจ้อง “ท่านชาย..เอ้อ ท่านชายทราบได้ยังไงคะ”
“ก็บ้านนี้อยู่กันแค่ไม่กี่คน แม่ของเธอไม่น่าจะใช่ต้นเหตุที่ทำให้เธอคิดมาก”
เจริญขวัญเป็นฝ่ายถามขึ้นอีกว่า “ท่านชายเคยบอกว่า ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คนแล้ว...มันต้องใช้เวลานานสักแค่ไหนล่ะคะ”
“บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตก็มี แต่จะไปสนใจว่าคนอื่นคิดยังไง ทำไม ที่สำคัญ คือใจเธอคิดอย่างไรต่างหาก”
ท่านชายลุกยืนเดินไปใกล้เจริญขวัญ ถามด้วยน้ำเสียงเศร้าเหลือเกิน
“เจริญขวัญ คุณ...ชอบ อิศรา ใช่ไหม”
เจริญขวัญตกใจ เงยหน้ามองท่านชาย
ท่านชายมองตอบ ดูอบอุ่นสำหรับเจริญขวัญ แต่นัยน์ตาท่านชายเศร้านัก
“นี่ขวัญ แสดงอาการอะไรออกไปให้ท่านชายเห็นหรือคะ น่าอายจริงๆ”
ท่านชายชัดเจนกับความในใจของเจริญขวัญแล้ว จึงยิ้มเศร้า ปรายตามองไปทางหนึ่ง
อิศราเดินมาเห็นไม่ตั้งใจ ชะงักมองสองคน
เห็นท่านชายยืนใกล้เจริญขวัญ อิศราทำท่าเหมือนจะหันกลับ แต่ก็อดมองไปไม่ได้อย่างเศร้าๆ เพราะคิดว่าท่านชายต้องรักเจริญขวัญเป็นแน่
ท่านชายรับรู้การมาอิศราจึงลอบยิ้ม ทำเป็นไม่เห็น และจงใจแกล้งเพื่อพิสูจน์ความรักของอิศรา
เจริญขวัญอึ้ง ก้มหน้า ขัดเขินบีบมือตัวเองไปมา
ท่านชายตั้งใจเอื้อมมือไปจับมือเจริญขวัญอย่างนุ่มนวล เจริญขวัญเงยมองท่านชาย
“จำไว้อย่างหนึ่ง เจริญขวัญ” ท่านชายยิ้มเปี่ยมเมตตา “คุณเป็นคนดี ใครก็ตามที่ได้หัวใจของคุณ ช่างเป็นผู้ชายที่โชคดี แต่เขาก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เขามีค่าพอกับหัวใจของคุณ”
เจริญขวัญประทับใจท่านชาย
ท่านชายยกอีกมือหนึ่งมาประกบกุมมือข้างเดิมของเจริญขวัญ ยกมือเธอขึ้นมาแนบอก ยิ้มอ่อนโยน
“ฉัน ขอให้บุญ นำพาคุณไปในทางที่ดี”
ท่านชายกุมมือเจริญขวัญนิ่งนาน ยิ้มเศร้าลึกๆ ส่งไปในดวงตาของเจริญขวัญ
อิศรามองภาพนั้น เจ็บปวดใจนัก รู้สึกตัวว่าต่ำต้อยด้อยค่ากว่าท่านชาย พอจะหันกลับมีเสียงรถแล่นเข้ามา อิศราหันไปมอง
เป็นชาลินีสวมแว่นดำ ก้าวลงรถ แล้วเดินเข้ามา แต่ต้องตกตะลึงพรึงเพริดไปอีกคน
เมื่อเห็นภาพท่านชายกุมมือเจริญขวัญเกือบชิดอก นั่นทำให้ชาลินีแทบกระอัก
ชาลินีถอดแว่นดำออก เผยให้เห็นสายตาที่มองมายังภาพนั้น จากอาการช็อก กลายมาเป็นโกรธแค้นเจริญขวัญถึงขีดสุด ขอบตาร้อนระอุด้วยไฟริษยาที่เต้นเร่ารอบดวงตา
อิศราเห็นท่าไม่ดี จึงเปลี่ยนใจเดินตรงไปหาเจ้าหล่อน
อ่านต่อตอนต่อไป
เงา ตอนที่ 13 (ต่อ)
อกแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ขณะชาลินีโลดแล่นพุ่งทะยานมาทางศาลาริมสระ อิศราพุ่งออกมาจากทางหน้าตึกจนมาทันกัน คว้าแขนชาลินีหมับ
ชาลินีโกรธสุดขีด สะบัดเต็มแรง “อิศรา มาจับชั้นทำไม”
อิศรากำข้อมือมั่นไม่ยอมปล่อยบอกเสียงตํ่าๆ ว่า “ก็แค่จะเตือน ว่าอย่าคิดทำอะไรวู่วาม”
“มัวแต่ใจเย็นแล้วกลายเป็นไอ้โง่เหมือนเธอน่ะเหรออิศเธอไม่เห็นสองคนนั่น” ชาลินีย้อน
อิศราสวนคำ “แล้วไง แล้วที่คุณจะวู่วามไป ให้ตัวเองมีแต่เสียหนักขึ้นงั้นเหรอ”
ชาลินีหงุดหงิด ขุ่นเคืองไปหมด สะบัดมือออกจากอิศรา เดินไป อิศราเดินตาม
ในศาลาท่านชายยังคงกุมมือของเจริญขวัญที่งุนงงอยู่ รู้ด้วยจิตแล้วว่า สองคนกำลังเดินมา ท่านชายเยื้อนยิ้ม ปล่อยมือเจริญขวัญ
ท่านชายถอนใจ ยิ้มกึ่งเสียดสีพูดกับตัวเอง “เกิดเป็นมนุษย์ ต้องเกลือกกลั้วกับอารมณ์หยาบ และกิเลศคน น่าชิงชัง”
เจริญขวัญสะดุดใจ มองหน้าท่านชายอย่างเคลือบแคลง สงสัย
ไม่ทันจะถามอะไรออกมา ชาลินีเดินเข้ามาตามด้วยอิศราที่ซ่อนความรู้สึกภายใต้ใบหน้าหมอง
ชาลินีมาถึงแสร้งทำเป็นยิ้มหวานทักทาย “ท่านชาย มาแต่เช้าเลยนะคะ มาหา...” ตอนท้ายหล่อนเหลือบมองเจริญขวัญ “ใครเหรอคะ”
เจริญขวัญอึดอัดไปเลย
ท่านชายยิ้ม ย้อนถามกลับ “แล้วฉันกำลังยืนคุยอยู่กับใครล่ะ”
ชาลินีตัวชากับคำตอบ ท่านชายไม่แยแส ยิ้มมุมปาก มองเลยมาทางอิศราคลี่ยิ้มทัก
“ฉันมาหาเธอเมื่อวาน รู้ว่าเธอไม่ค่อยสบาย วันนี้เลยแวะมาอีก เป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วครับ ขอบคุณครับ ผมไม่ทราบว่าเมื่อวานท่านชายมา”
ท่านชายบอกอีกว่า “พบแต่กับคุณดวงแก้ว”
“อ้อ ครับ”
บรรยากาศอึมครึมตึงเครียด ความอึดอัดทำหน้าที่ของมันอย่างหนักหน่วง เจริญขวัญหาจังหวะหลบออกมาเสีย
“เอ้อ...ขวัญ ขอตัวไปหาเครื่องดื่มให้ดีกว่านะคะ พี่อิศกาแฟนะคะ”
อิศราพยักหน้า “จ้ะ”
“คุณชาลินี กาแฟดำเหมือนเคยนะคะ ส่วนท่านชาย” เจริญขวัญสะดุดไปนิด เพราะท่านายไม่เคยดื่มกิน “นํ้าเปล่า”
ชาลินีเหน็บแนม “แหม แม่บ้านของอิศ ช่างจำจริงๆ ว่าใครชอบอะไร เป็นโชคดีของนายอิศจริงๆ ท่านชายว่าจริงไหมคะ”
ท่านชายกลับตอบว่า “บุญวาสนาของใครก็ของคนนั้น สำหรับฉัน ผู้หญิงบางคนเป็นของต้องห้าม ที่มีคนปิดป้ายบอกไว้ตั้งแต่เริ่มทีเดียว” เสียงหัวเราะตอนท้าย ยิ่งทำให้เลือดในกายชาลินีเร่าร้อนจนระอุ
อิศราลอบมองท่านชาย ใบหน้ายิ่งหมองลง เจริญขวัญอึดอัดมาก
“ขอตัวก่อนนะคะ”
เด็กสาวรีบเดินเข้าบ้านไป
เจริญขวัญเดินเร็วรี่มา อึดอัดใจหลายอย่าง จะพอก้าวขึ้นบันไดประตูตึก ก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกตินิดหน่อย จึงหยุดสูดลมหายใจยาวๆ สองสามครั้ง พอรู้สึกดีขึ้น เดินต่อเข้าบ้าน
ส่วนที่ศาลาริสระ ท่านชายวสวัตดูอารมณ์เย็นลง มองความรุ่มร้อนในใจของทั้งชาลินี และความหม่นหมองในอกของอิศรา แล้วยิ้มเอ่ยถามเขาขึ้นว่า
“แล้วไปทำอีท่าไหนเข้า ถึงได้ถูกทำร้ายได้”
อิศราแค่นยิ้ม “ผมคงดวงซวยเองล่ะครับ”
ชาลินีสอดทันที “แต่ก็ยังดีนะ ที่มีคนคอยปรนิบัติดูแล รักษาทั้งกายและหัวใจ”
“อย่าพูดเป็นเล่นน่ะ ชา” อิศราเกรงใจท่านชาย
“อ้าว หรือไม่จริง” ชาลินีหัวเราะใส่จริต “ท่านชายก็รู้อยู่เต็มอก ว่าเธอหมายปองแม่ทองพันชั่งนั่นขนาดไหน”
อิศราชักฉุน “เธอเรียกคนอื่นให้มันดีกว่านี้หน่อยได้ไหม” พลางเหลือบมอง เกรงว่าชาลินีจะทำท่านชายขุ่นใจไปด้วย
ชาลินีไม่สน พูดกลั้วหัวเราะ “อ้าว เธอจะให้ชั้นเรียก เลดี้ ของเธอว่ายังไงล่ะ”
“ยังไงก็ได้ อย่าให้มันรำคาญใจคนฟังให้มากนักเลย”
ชาลินีหัวเราะขัน “ดูสิคะท่านชาย ที่เค้าว่า บ้าน ทำให้คนเปลี่ยนไปได้เห็นท่าจะจริง”
อิศราย้อนเจ็บ “แต่ที่เขาว่า การศึกษาทำให้คนดีขึ้น กลับไม่ยักจริง”
ชาลินีฉุนกึก “เอ๊ะ อิศ”
“เอาละ ถ้าเธอสองคนจะทะเลาะกัน ฉันจะกลับเสียที” ท่านชายตัดบท
“อย่าเพิ่งรีบร้อนสิคะ” ชาลินีหัวเราะ “อิศกับชาก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะยิ่งนายอิศวันนี้ดูอารมณ์เสียอาจจะมีเรื่อง...เสียใจ”
อิศราตวัดมองตาขุ่น ชาลินีทำไม่รู้ไม่ชี้
“ชาขอตัวไปล้างมือก่อนนะคะ” ชาลินีปรายยิ้มมองอิศรา อยากให้เขาเคลียร์ท่านชายให้จบว่าอย่ามายุ่งกับเจริญขวัญ “ปล่อยให้ผู้ชายคุยกันตามประสาผู้ชายสักพักดีกว่า เดี๋ยวชามานะคะท่านชาย”
ชาลินีคว้ากระเป๋าเดินไป
ท่านชายมองหน้าอิศรา โดยผู้ถูกมองไม่ค่อยอยากสบตานัก ใบหน้าหม่นเศร้า
ชาลินีเดินขึ้นบันไดหน้าตึกมา หล่อนหยุดอย่างหงุดหงิด เหลียวกลับไปมองทางศาลา นัยน์ตาดุเข้ม มือที่กำกระเป๋าถือ จิกนิ้วลงเต็มแรง
“ไก่อ่อน โง่งี่เง่าจริงๆ นายอิศ”
ชาลินีหันกลับมา เดินหุนหันเข้าบ้านไป
อิศราอึดอัดใจ และแค้นใจตัวเอง ท่านชายมองนิ่ง อยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบกล่องนาฬิกามาวางลงตรงหน้า อิศราเหลือบมอง
“ตัดสินใจหรือยัง อิศรา”
อิศรายิ้มเศร้า เหมือนถูกตบหน้า เขาต่อว่าด้วยน้ำเสียงนุ่ม ด้วยยังนับถือท่านชายมาก
“ที่จริง ท่านชาย ไม่น่าต้องลำบาก ถึงขนาดนี้นะครับ”
ท่านชายมองอิศราขรึมนิ่ง มองล้วงลึกภายในใจ ท่านชายที่ซึมซับความคิดอิศรา
อิศรากดดันสุดขีด เหยียดหยามตัวเอง พูดโดยไม่ยอมมองหน้าท่านชาย
“ตั้งแต่เด็ก ที่ผมเคยเล่าให้ท่านชายฟัง ว่าคุณย่า สอนผมเสมอ ว่า เงิน คืออำนาจ คือ ทุกสิ่งที่จะทำให้คนเคารพนับถือเรา และผมก็เชื่อตามนั้นมาเสมอ”
ร่างท่านชายที่อิศราไม่ได้เห็น มีแสงกระจ่างจางๆ เปล่งออกมา ท่านชายมองอิศราด้วยแววตาแน่วนิ่ง และดูออกว่าเริ่มเมตตาขึ้นเรื่อยๆ
“ผมทำทุกอย่างเพื่อดูแลคุณย่า ผมอยากให้คุณย่ารักผม แต่…บางครั้ง ผมก็ไม่รู้ว่า ที่ผมทำไปทั้งหมด เพื่อตัวคุณย่า หรือเพราะผม ไม่อยากกลายเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า อย่างทีคุณย่าชอบขู่ผมว่า ถ้าผมไม่ตามใจคุณย่า คุณย่าจะเฉดหัวผมออกจากบ้าน”
สีหน้าเย็นชาของท่านชายเริ่มคลายลง เป็นละมุนขึ้น นิ่งฟัง เหมือนให้อิศราสารภาพบาป
“แล้วผมก็ได้บ้านหลังนี้” เขาแค่นหัวเราะ “เพราะคุณย่าบอกว่าจะให้ผม เมื่อท่านตาย แต่แล้ว พอเปิดพินัยกรรม มันกลับกลายเป็นของใครก็ไม่รู้ ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต ใครก็ไม่รู้ ที่ไม่เคยรับใช้คุณย่า อย่างที่ผม เคยรับใช้ ผมโกรธคุณย่า ผมแค้นคนๆ นั้น...ผมโกรธโลกทั้งโลก ที่ความภักดีของผม มันไม่ได้ตอบแทนผมเลยจนนิดเดียว”
อิศรานํ้าตาคลอ มองแต่มือตัวเอง ไม่เห็นท่านชาย
ร่างท่านชายมีแสงรัศมีกระจ่างขาวเพิ่มขึ้นช้าๆ ใบหน้าท่านชายเปล่งปลั่งขึ้น แน่ละ อิศราไม่เห็น
“จน...ผมได้พบคนๆ นั้น เจริญขวัญ... ผู้หญิง ที่รู้จักแต่คำว่า ให้ผู้หญิงที่ใสซื่อบริสุทธิ์ คนนั้น...”
เจริญขวัญถือถาดถ้วยกาแฟ สามใบเดินมา จนมาถึงหน้าบันได เจริญขวัญชะงักที่ทางลงบันได ยังไม่ก้าวลง มองไป เห็นร่างท่านชายที่นั่งมองอิศรา มีรัศมีกระจ่างขึ้นเรื่อยๆ เจริญขวัญตะลึงมอง
อิศรารำพันต่อ “เจริญขวัญ ทำให้ผมรู้สึก ผมสกปรกเหลือเกิน เวลาอยู่ใกล้ๆ เธอ”
ท่านชายเริ่มยิ้มบางๆ
อิศรายิ้มเศร้า “แล้วท่านชาย ก็เป็น มิตร ที่ผม รักและเคารพเป็นเพื่อน ที่อบอุ่น ที่ผมพูดด้วยได้อย่างจริงใจในทุกเรื่อง”
ท่านชายชะงักไป คล้ายรู้สึกผิดนิดๆ
ส่วนเจริญขวัญตะลึงมองท่านชาย อยู่ๆ หัวใจก็เต้นผิดปกติอีก เจริญขวัญแทบสะดุ้งแล้วงอตัวหอบหายใจ อย่างตื่นตระหนก
“ด้วยเกียรติ ฐานะของท่านชาย ที่กรุณา เป็นเพื่อนกับผม ผมก็รู้สึกเป็นโชคของผมแล้ว” อิศราแค่นหัวเราะอีก “ท่านชายไม่ต้องซื้อผมหรอกครับ เพียง ท่านชายบอกผมตรงๆ ว่า ท่านชาย ชอบเจริญขวัญ ผมก็ยินดีที่จะหลีกทางให้”
ท่านชายมองอย่างประหลาดใจ แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้ม ทอดเสียงนุ่ม
“ฉันเคยบอกเธอแล้วไง อิศรา ว่าฉัน รักใครไม่ได้หรอกสำหรับฉัน...มีเพียงหน้าที่ ที่น่าเบื่อหน่าย เป็นความทุกข์ที่ฉันต้องแบกรับไว้ นานครั้ง ที่จะมีคนหยิบยื่นความสุขมาให้ฉันเหมือนครั้งนี้ ที่เธอ ทำให้ฉัน มีความสุขขึ้นมาบ้าง”
อิศรามองท่านชายฉงน เรื่องที่กังวลตลอดหลายวันมานี้ว่าท่านชายรักเจริญขวัญ สีหน้าเขาปิติกระจ่างขึ้น อิศราไม่เห็นรัศมีนั้น
ชาลินีเดินมาตรงโถง เช็ดมือหลังออกมาจากห้องนํ้า เดินเร็วรี่มา แล้วชะงักมอง เห็นด้านหลังเจริญขวัญที่ยืนถือถาด ลำตัวดูก้มๆงอๆ อยู่อย่างนั้น ชาลินีหมั่นไส้ เดินผ่านรูปคุณหญิงอุ่นออกมาราวกับรับเอาความร้ายกาจของหญิงชราจอมอำมหิต
ใบหน้าชาลินีนิ่งขึง ขอบตาร้อนผ่าว เกลียดแค้น ชิงชัง และริษยาเจริญขวัญเหลือประมาณ
ชาลินีเดินมาทางด้านหลังเจริญขวัญช้าๆ
ส่วนท่านชายเอื้อมมือมาแตะกล่อง นาฬิกา
“ตกลง เธอจะปฏิเสธ ของขวัญ จากฉัน”
อิศราหัวเราะ “ผมก็ไม่รู้ว่าอนาคต ผมอยากจะเตะตัวเองหรือเปล่า ว่าผมทั้งบ้าทั้งโง่” น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้น “แต่ผมรู้แต่ว่า ถ้าผมรับมา ผมคงมีสภาพเหมือนไอ้คุณตัว ที่ไม่มีค่าพอที่จะเป็น เพื่อน ของท่านชายอีกต่อไป”
ท่านชายยิ้ม “แต่เธอก็ยังไม่ตอบคำถามฉัน สิ่งที่เธอต้องค้นหาให้ได้ในใจของเธอ ว่าอะไร มีคุณค่ามากกว่ากัน ระหว่าง บ้าน กับ เจริญขวัญ”
อิศรามองท่านชาย ยังไม่ทันได้ตอบ
ชาลินีมองจนแน่ใจว่าไม่เห็นใครอื่นอีก หล่อนจึงยื่นมือออกไปผลักหลังเจริญขวัญสุดแรงเกิด ด้วยใบหน้าอันโหดเหี้ยมผิดมนุษย์
ร่างเจริญขวัญถลา ถาดตกจากมือแก้วน้ำ ถ้วยชา กาแฟ กระเด็นตกกระทบพื้นเสียงดังเปรื่องปร่าง พร้อมกับที่ร่างถลากลิ้งตกบันไดลงไปที่พื้น
ชาลินีมองด้วยแววตาสาแก่ใจ
สีได้ยินเสียงโครมคราม รีบวิ่งออกมาทางด้านข้างตัวตึก
“เสียงอะไรตกน่ะ” พอวิ่งออกมาเห็นถนัดตาก็ชะงัก กรีดร้องสุดเสียง “ว้าย คุณขวัญ”
ชาลินีได้ยินเสียงสี ก็รีบถดกายถอยหลังกลับเข้าไปในบ้านไม่ให้ใครเห็น พอเห็นสีวิ่งออกมาร้องเรียกชื่อขวัญ ก็ทำทีเพิ่งก้าวออกมาเห็นเหตุการณ์
“ว้าย ตายแล้ว”
อิศราได้ยินเสียง ผุดลุก
ท่านชายชะงัก ใบหน้าเคร่งดุดันขึ้น ท่านชายและอิศรา หันขวับไปทางตัวบ้าน
“ขวัญ!”
อิศราโลดแล่นออกไปทันที ท่านชายเคียดขึ้ง โกรธชาลินีสุดจะประมาณ
ชาลินียืนมองดูสีโอบประคองเจริญขวัญอยู่
“คุณขวัญคะ คุณขวัญ”
อิศราวิ่งพรวดเข้ามา โอบประคองร่างเจริญขวัญไว้เอง
“ขวัญ ขวัญ เกิดอะไรขึ้น”
เจริญขวัญหอบหายใจแรง
“ไม่ทราบค่ะ สีเดินมาได้ยินเสียงแก้วแตกวิ่งมาดูก็เห็นคุณขวัญล้มแล้ว”
ชาลินีตีหน้าซื่อเล่าความเท็จ “นั่นสิ ชั้นออกมาก็เห็นแบบนั้น”
ดวงแก้ววิ่งมาจากข้างใน เห็น ก็ตกใจ “ห๊ะ...ขวัญ ขวัญ เป็นอะไรลูก”
“ชา โทร.ตามหมอเลย”
ชาลินีย้อน “หมอไหนล่ะ”
“หมอไหนก็โทรเถอะ” อิศราบอกกับดวงแก้ว “ผมพาไปห้องก่อนแล้วกันนะครับ”
ดวงแก้วตื่นตระหนก ใจหาย “ขวัญ...ขวัญลูก”
อิศราอุ้มเจริญขวัญเข้าไป มีดวงแก้ว และสีตามไป ชาลินียิ้มร้ายสาแก่ใจ เดินนวยนาดตามไป
พอชาลินีพ้นไป ร่างท่านชายก้าวเข้ามา ใบหน้างามดุดัน นัยน์ตาแข็งกร้าว
อิศราอุ้มชาลินีมานอนที่เตียง ดวงแก้วผวาตามมาดูแล ป้าสีตามมาด้วยความตกใจ ช่วยนวดขา อิศรานวดมืออย่างลุกลนเป็นห่วง อิศราก็เจ็บแขนแปลบขึ้นมา หันมาดูพบว่าผ้าพันแผลมีเลือดซึมด้วยแผลปริแตก
“ขวัญ ขวัญเป็นไงบ้างลูก”
เจริญขวัญหน้าซีดเหงื่อแตกหายใจหอบ
อิศราไม่สนใจตัวเองสักน้อย ใจห่วงแต่เจริญขวัญ ชายหนุ่มละล้าละลัง แล้ววิ่งออกห้องไป
ชาลินียืนเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ตรงโถงหน้าบันได มองมือถือในมือตัวเองขำๆ
“โทร.หาหมอที่ไหนดีน๊า”
อิศราวิ่งลงบันไดมา “ชา โทร.ตามหมอได้หรือยัง”
“หมอไหนดีล่ะ นึกไม่ออก”
อิศราฉุน “ช้าอยู่ได้ เดี๋ยวตายกันพอดี”
ชาลินีแหวใส่ “เอ๊ะ สั่งแล้วจะให้ทันใจได้ยังไง...แค่ตกบันได”
อิศรานึกได้ “อาหมอไพโรจน์ไง”
“จะอยู่เร้อ”
ท่านชายเดินเข้ามา “โทร.ไปเถอะ อยู่แน่”
ชาลินีชะงัก วางหน้าไม่ถูก แต่รีบกดมือถือ
“ฮัลโล อาหมอไพโรจน์เหรอคะ ชาเอง โทร.จากบ้านคุณยาย มีคนเจ็บค่ะ อาหมอสะดวกมาไหมคะ ขอบคุณค่ะ” ชาลินีวางสาย ซ่อนสีหน้าจากท่านชาย บอกอิศราทำเป็นไม่รู้ร้อนนัก “เดี๋ยวมา”
อิศราวิ่งกลับขึ้นไป
ชาลินีหันกลับมาทางท่านชาย เห็นท่านชายยืนเอามือไขว้หลัง หน้าเคร่งขรึมเกือบกึ่งดุ
เท้าของท่านชายค่อยๆ ก้าวเดินออกไปอย่างเนิบช้า ตรงไปยังตีนบันได ราวกับต้องปฏิบัติภารกิจประจำ!
เจริญขวัญหลับอยู่บนเตียง ดวงแก้วคอยเช็ดหน้าให้ สีนวดเท้าให้เลือดลมแล่นอยู่
“เท้าเย็นเฉียบเลยค่ะคุณแก้ว”
“ช่วยนวดๆ ไปก่อนนะ ให้เลือดลมมันวิ่ง ...ขวัญลูก โธ่”
อิศราวิ่งกลับเข้ามา “ขวัญเป็นไงบ้างครับ”
ดวงแก้วกลุ้มใจส่ายหน้า “หมอล่ะคะ”
“ชาลินีโทร.ตามแล้วครับ นี่ก็รอหมอกันอยู่ข้างล่าง ท่านชายกับชา”
ดวงแก้วสะดุ้ง ผวาตัว “คะ...ท่าน...ท่านชาย มาเหรอคะ”
“ครับ”
ดวงแก้วคิด ร้อนรุ่มไปหมด ผลุนผลันวิ่งออกไป
อิศรามองตามสีหน้าฉงน มาทรุดนั่งแทนที่ เช็ดหน้าให้เจริญขวัญ แล้วนวดมือให้เจริญขวัญอย่างเป็นห่วง
ท่านชายก้าวขึ้นบันไดมาทีละขั้น
ดวงแก้วเดินเร็วรี่ ลงมา เจอท่านชายตรงที่พักบันไดเวียนก็ผวาไปยืนตรงหน้า มือไม้สั่น เข่าอ่อน
“ท่านชาย กรุณา...อย่า...อย่าเข้าดูเลย อย่าเข้าไปใกล้ขวัญเลยนะคะ”
ท่านชายชะงัก มองสบตาที่หวาดหวั่นกลัวจับใจของดวงแก้ว ดวงตาท่านชายหม่นเศร้า
“ฉันจะดูเขาเพียงนิดเดียว รับรองว่า...เท่านั้น”
ท่านชายขยับเดิน ดวงแก้วปราดอ้อมมายืนขวางหน้า น้ำเสียงดวงแก้วกราดเกรี้ยวขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความเป็นแม่
“ไม่ได้นะคะ ดิฉันยอมไม่ได้”
ท่านชายยืดกายตรง เต็มอำนาจ ยิ้มเยาะหยัน
“ถ้า...” ท่านสบตาดวงแก้วเต็มตา “จะเป็นเช่นนั้นจริง คิดว่าจะกันฉันไว้ได้รึ”
ท่านชายขยับจะเดินอีก ดวงแก้วทรุดกายลงกับพื้น พนมมืออ้อนวอน
“ได้โปรดกรุณาเถอะค่ะ ดิฉันมีลูกคนเดียว”
ใบหน้าท่านชายนิ่งขรึมดูชาเย็น “คนที่มีลูกคนเดียวของใครน่ะ ตายไม่ได้งั้นหรือ”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ขอ ขอให้ดิฉันตายก่อนลูกเถอะค่ะ”
“มาขอฉันทำไม ใครจะเป็นผู้กำหนดได้”
ดวงแก้วตกใจ ผวาสั่น ท่านชายเดินผ่านไปเลยโดยไม่สนใจ
ดวงแก้วนั่งพับกับพื้น ตะลึงตะไลอยู่อย่างนั้น
เจริญขวัญนอนอยู่บนเตียง ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น หันมาทางอิศราที่นั่งหันหลังให้ประตู เจริญขวัญหรี่ตามองสะลึมสะลือ
อิศราดีใจ “ขวัญ เป็นยังไงบ้าง”
ท่านชายก้าวผ่านกรอบประตูเข้ามาช้าๆ
เจริญขวัญมองผ่านอิศรามาที่ยังด้านหลัง แลเห็นร่างท่านชายแม้ดูพร่าเลือน แต่กลับมีรัศมีสว่างล้อมรอบกาย ท่านชายขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เจริญขวัญหรี่ตามองจ้องให้แน่ใจ ไม่ผิดจากที่เห็น ร่างท่านชายล้อมรอบกายด้วยแสงรัศมีกระจ่าง เจริญขวัญมองแล้วหลับตาลง
อิศรา และสี มองไม่เห็นรัศมีนั้น
ดวงแก้วนั่งตะลึงตะไลหมดแรงอยู่นานสองนาน ตรงระเบียงบันได สุดท้ายลุกขึ้น
ระหว่างนี้ชาลินีและหมอไพโรจน์เดินขึ้นบันไดมา สีหน้าดวงแก้วหมองหม่นเหมือนแม่จะเสียลูก ตะลึง มึนงง
เสียงสองคนคุยกันดังขึ้น “อยู่ๆ เขาก็ล้มตกบันได แล้วก็นิ่งไปน่ะค่ะอาหมอ”
“อ้าว ทำไมมายืนตรงนี้”
ดวงแก้วหันขวับไปที่ชาลินี อย่างลืมตัว จับมือชาลินีแน่น
“คุณชาลินี ช่วยยายขวัญด้วย”
ชาลินีงงปนขำ มองดวงแก้วแค่คนที่เพ้อไปเพราะห่วงลูก
“นี่ไงคะ หมอมาแล้วนี่ไง”
“ห้องไหนน่ะชา”
“เลยไปอีกห้องหนึ่งนั่นน่ะค่ะ”
หมอไพโรจน์รีบเดินไป
ดวงแก้วรู้สึกตัวรีบตามไปพร่ำขอร้องหมอ ชาลินีรำคาญ ตามหลังไปเป็นคนสุดท้าย
อ่านต่อหน้า 4
เงา ตอนที่ 13 (ต่อ)
เจริญขวัญตกอยู่ในอาการสะลึมสะลือ ท่านชายขยับเข้ามาใกล้เตียงจากอีกฟากของอิศรา มองเจริญขวัญอย่างมีเมตตา
เจริญขวัญรำพึงคล้ายละเมอ “งาม...งามเหลือเกิน รัศมีโชติช่วง”
อิศรากุมมือเจริญขวัญมั่น “ขวัญ ว่าไงนะ”
ท่านชายยิ้มละไม ก้มลงลูบหัวเจริญขวัญเบาๆ อย่างผู้ใหญ่ใจดี
อิศรามองเข้าใจว่าท่านชายมีเมตตา
“ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร” ท่านชายปลอบ
มือของท่านชาย มีแสงอ่อนนุ่มคล้ายสายใยนุ่นบางเบา เคลื่อนเข้าหาใบหน้าเจริญขวัญ เจริญขวัญคลายคิ้วที่ขมวด รู้สึกสบายขึ้น หายใจโล่งขึ้น และสงบลง
หมอไพโรจน์ ก้าวเร็วเข้ามา แล้วชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นท่านชาย ไพโรจน์เดินเข้ามา โดยไม่ยอมสบตาท่านชายนัก เพราะยังเคลือบแคลง และไม่ค่อยพอใจจากครั้งสุดท้ายที่พบกันในร้านไวน์ หมอเอาเครื่องมือออกจากกระเป๋า
อิศราลุกออก “อาหมอ เชิญครับ”
ดวงแก้วเข้ามาในห้อง ถลามาที่เตียง ชาลินีตามมา ชะงัก หงุดหงิดขึ้นมาอีก เมื่อเห็นมือท่านชายยังแตะศีรษะเจริญขวัญ จึงยืนที่กรอบประตูไม่เข้ามา
“ขวัญ” ดวงแก้วเงยหน้ามองท่านชาย อย่างระแวดระวัง
หมอบอกกับทุกคน “หมอขอตรวจเจริญขวัญก่อนนะ เชิญ..ข้างนอกกันก่อนแล้วกัน”
อิศรา สี เดินออกไป ส่วนชาลินียังกอดอกยืนจับสังเกตดูอาการของท่านชายอย่างไม่พอใจ
ท่านชายมองเจริญขวัญครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเดินเลี่ยงออกมา เจริญขวัญเหมือนคนละเมอ ยกมือ
“อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไป”
ดวงแก้วรวบมือเจริญขวัญ “ลูก...ไม่เป็นไรนะลูก แม่อยู่นี่”
ท่านชายเดินผ่านชาลินีออกประตูไปเลย ชาลินีหน้านิ่ง แต่รอบดวงตาร้อนผ่าว เพลิงริษยาเต้นเร่าๆ
ในระหว่างที่หมอไพโรจน์ตรวจเจริญขวัญ ดวงแก้วอยู่ด้วยไม่ยอมห่าง
อิศรายืนรออยู่ ใจไม่อยู่กับตัว ท่านชายเดินมาหาทางเบื้องหลัง
“จำไว้นะอิศรา บางที เมื่อเธอรู้ค่าของอะไรสักอย่างหนึ่งอย่างจริงใจ เธออาจจะ...ดีขึ้น...เราจะได้ไม่ต้องพบกัน”
อิศราหันมองท่านชาย ได้ยินคำท้ายไม่ถนัดนัก พอจะถามกลับ ก็เห็นชาลินีเดินลงบันไดมา จึงลืมเรื่องคำพูดท่านชาย ก้าวไปหาชาลินี
“ขวัญตกบันไดลงไปได้ยังไง”
“จะไปรู้เหรอ ฉันบอกแล้วไง ฉัน เดินออกมาก็เห็นเขาตกบันไดลงไปแน่นิ่งแล้ว”
ท่านชายยืนอยู่ด้านหลัง ได้ยินคำนั้นสีหน้าดุดันวาววับ โกรธวูบขึ้นมา
สักครู่ใหญ่ หมอไพโรจน์เดินลงบันไดมา
“อาหมอ น้องขวัญเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นไรแล้ว ขวัญเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว แต่นี่คง..ตกใจอะไรสักอย่าง ถึงได้เป็นลมตกบันไดไป”
อิศราตกใจ ไม่เคยรับรู้ “ว่าไงนะครับ ขวัญเป็นโรคหัวใจ”
“อ้าว นายอิศ อยู่บ้านเดียวกันไม่รู้เหรอ ขวัญเขาต้องกินยาเป็นประจำ”
อิศราตะลึงงัน ทรุดนั่งที่เท้าแขนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง
“เป็นอันตรายมากไหมครับ”
“เห็นว่าเป็นลิ้นหัวใจรั่ว แต่อาว่า น่าจะไปหาอาให้ตรวจละเอียด หน่อยนะ”
อิศราอึ้ง หมอมองแขนอิศรา
“อ้าว นั่นแขนไปโดนอะไร”
อิศรามองแขน เลือดซึมติดแขนเสื้อออกมา ยกมือแตะ
อิศราอึ้งๆ ไม่ได้ห่วงตัวเองเลย “วันก่อนผมโดนเย็บแผลครับสงสัยแผลจะปริ”
“ไหน อาดูหน่อย”
อิศราถอดเลื้อให้หมอไพโรจน์ดูแขน ท่าทีงงงันราวกับตัวเขาเป็นหุ่นยนต์
“สงสัยแผลปริตอนอุ้มน้องล่ะสิ” ชาลินียิ้ม เหลือบมองท่านชาย “รักแท้จริงๆ นะเนี่ย”
ท่านชายหันมามองอิศราอย่างมีเมตตา
เหมือนพูดกับตัวเองด้วยประกาศิต “เธอ...ได้เลือกแล้ว อิศรา”
อิศรานั่งให้หมอไพโรจน์แกะผ้าพันแผล ดูแผลให้ ท่านชายมองอย่างเมตตา
ดวงแก้วประคองเจริญขวัญให้จิบนํ้า แล้วให้ลงนอน
“หนูยังใจหวิวๆ อยู่ไหมลูก”
เจริญขวัญส่ายหน้า พลางจับมือแม่ กระซิบน้ำเสียงอิดโรย
“แม่คะ เมื่อกี้ ขวัญเห็นอีกแล้ว ท่านชาย...มีรัศมีโชติช่วงงามมาก”
ดวงแก้วอึ้ง ตอกยํ้าความเชื่อมั่นในใจตน ว่าท่านชายพิเศษไม่เหมือนใครเป็นแน่
“ท่าน....เป็นใคร คะแม่”
ดวงแก้วอึ้งไปสักครู่หนึ่ง ตัดสินใจยิ้ม
“หนู ฝันไปน่ะลูก”
“ไม่ได้ฝันค่ะ หนูเห็นจริงๆ สูง สง่า สวยเหลือเกิน สวยมากแต่...ดวงตาของท่าน เศร้าเหลือเกิน”
ดวงแก้วย้อนแย้ง “ตอนนั้นหนูเป็นลมหมดสติ หนูจะเห็นได้ยังไง”
“แต่แม่คะ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ นอนเถอะลูก”
ดวงแก้วตัดความเสีย ด้วยการคลี่ผ้าห่มคลุมห่มให้เจริญขวัญหลับตาลง
ดวงแก้วนอนตะแคงโอบกอดลูก มองหน้าลูกนํ้าตาคลอ ค่อยๆ ลูบใบหน้าสวยของธิดาอย่างนุ่มนวล แต่กลับหวนนึกถึงคำพูดท่านชายที่นิ่งขรึม ดูชาเย็น
“คนที่มีลูกคนเดียวของใครน่ะ ตายไม่ได้งั้นหรือ”
ดวงแก้วมองลูกอย่างแสนรัก นํ้าตาไหลเงียบๆ บอกตัวเองในใจอย่างปล่อยปลง
“ถ้าสุดกำลังแม่จะยื้อแย่งตัว ก็ต้อง...ตามบุญตามกรรม”
ดวงแก้วนํ้าตาไหลริน โอบกอดลูกสาวไว้เต็มรัก
หมอไพโรจน์อยู่ดูอาการเจริญขวัญจนถึงตอนค่ำ เดินออกมาหยุดที่หน้าประตู สวมรองเท้าที่ถอดก่อนเข้าบ้าน เสียงท่านชายวสวัตดังมาก่อนตัว
“หมอคิดว่า คุณเจริญขวัญ เป็นโรคหัวใจหรือ”
หมอไพโรจน์ถึงกับสะดุ้ง หันไป เห็นท่านชายก้าวออกมาจากกรอบประตู
“ขอโทษ ไม่คิดว่าจะทำให้หมอตกใจ”
“เปล่าครับ เอ้อ เรื่องคุณเจริญขวัญ ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นลิ้นหัวใจรั่วหรือหัวใจโตกันแน่ ต้องขอตรวจให้ละเอียดอีกที แต่ว่า…”
“แต่อะไรหมอ”
“แต่ผมว่าเธอตกใจจนเป็นลมมากกว่า จนถึงกับเพ้อด้วยทั้งๆ ที่ไม่น่าเพ้อ เธอเป็นลมตกบันไดนี้ใช่ไหมครับ ...” หมอมองออกไปดูรอบบันไดหน้าตึก “ไม่รู้ว่าเธอเห็นอะไร ถึงตกใจ”
ท่านชายยิ้มเยาะ “หมอคงไม่ตู่ ว่าเธอเห็น ผี หรอกนะ เพราะตามทฤษฎีของหมอ ผี...” พญามารพูดเสียงกลั้วหัวเราะ มองมาตาคมปลาบ “คือ ศพที่จับต้องได้เท่านั้น”
หมอไพโรจน์หน้าตึง ไม่พอใจ ยิ่งเคยคิดว่าถูกดูถูก
“ถ้าผี ไม่ใช่ศพ แล้วจะคืออะไรล่ะครับ”
ท่านชายยิ้ม แกล้งแหย่ “คือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ด้วย” ท่านชายยกมือขึ้น “มือ สิหมอ”
หมอไพโรจน์แค่นหัวเราะ ยอกย้อนว่า “ท่านชายพูดเหมือนรู้จัก ผี ดี”
ท่านชายหัวเราะ “จะเรียกว่า ฉันจบจากเทววิทยา ตรงข้ามกับวิชาที่หมอเรียนมาก็ได้”
“มิน่า ท่านชายถึงได้พยายามสะกดจิตคน หรือ การแสดงที่น่ากลัวนั่น เพื่อทำให้ใครๆ เชื่อ ว่า ผีมีจริง”
ท่านชายยิ้มบางเฉียบ “ฉันคิดไม่ผิด ว่าหมอ ฉลาด”
“แต่ยังไง ผมก็ไม่เชื่อว่าผีมีจริง” หมอไพโรจน์หัวเราะ “ถ้ามี ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่า ผีหน้าตาเป็นยังไง”
ท่านชายยิ้ม ยืดกายตรงอย่างหยิ่ง ทะนง และทรงอำนาจ มองหมอด้วยหางตา
“แล้วหมอ จะได้เห็น ฉันสัญญา”
น้ำเสียงเสียดสีปนท้าทายนั้น ทำให้หมอไพโรจน์ชะงัก มองท่านชายด้วยสีหน้าเคร่ง เหมือนจะไม่ถูกชะตากับท่านชายมากขึ้นหน่อยๆ
ท่านชายมองอย่างคนที่อยากให้อีกคนได้รับรู้เรื่องจริงที่ยากพิสูจน์ แต่บอกได้ไม่หมด ทั้งสองที่มองกันนิ่งนาน
ชาลินีเดินออกมาทำให้สองชายขยับตัว
“ท่านชาย จะกลับแล้วเหรอคะ”
ท่านชายจงชัง จนแทบไม่อยากมองหน้า
“เกรงว่าถ้าอยู่ต่อไป เดี๋ยวจะมีคน เป็นลม” ท่านชายเน้นคำตอนท้าย “ตกบันได ไปอีกคน”
พร้อมกันนั้น ท่านชายปรายมองชาลินี ด้วยรู้ว่า ชาลินีมีส่วนผลักเจริญขวัญด้วย แต่ไม่อาจพูดตรง
ชาลินีชะงักนิด แล้ว เสหัวเราะเสียงแปร่งปร่า
“แหม ใครจะเป็นลมเป็นแล้งเหมือนเด็กคนนั้นล่ะคะ ก็...” หล่อนเฉไฉเก่งเป็นที่หนึ่ง “อาหมอบอกอยู่แล้วว่าเขา เป็นโรคหัวใจ”
ท่านชายปรายยิ้มตาเข้มรู้ทัน “งั้นคุณเจริญขวัญคงโชคยังดี ที่เป็นลมตรงหน้าเธอ...ฉันหมายถึง..เธอถึงได้ร้องให้คนมาช่วยได้” พญามารก้มหัวนิดๆ เป็นเชิงบอกลา “ไปล่ะหมอ ชาลินี”
ประสาวัวสันหลังหวะ ชาลินียิ้มไม่สนิท ทำตาแข็งสบตาท่านชาย โกหกหน้าตาย มือที่อยู่ข้างตัวสั่นเจ้าหล่อนกำมือแน่นอย่างคุมสติ
ท่านชายปรายตามอง ก่อนเดินออกไป ชาลินีหงุดหงิดท่าทีห่างเหินเฉยชานั้น
ฝ่ายดวงแก้วออกจากห้องนอนเจริญขวัญ เดินไปทางหนึ่ง อิศราเดินขึ้นบันไดมาช้าๆ สีหน้าหมอง เป็นห่วงเจริญขวัญ ปนความเศร้าในหัวใจ ที่ได้รู้ว่าเจริญขวัญป่วยโรคหัวใจ พอเดินไปที่หน้าห้องของเจริญขวัญ เขาค่อยๆ เปิดประตู แง้มดู พบว่าเจริญขวัญ หลับใบหน้าซีดขาวอยู่บนเตียง
สีหน้าอิศราหมองจัด ห่วงใยเจริญขวัญอย่างชัดแจ้ง อิศรามองอยู่สักครู่แล้วทอดถอนหายใจ ปิดประตูเบาๆ
เจริญขวัญนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
เจริญขวัญหลับฝันไปว่า ตนเดินมาในไร่ แล้วชะงักมอง เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ ท่าทางดูเศร้าๆ เจริญขวัญเดินมาใกล้
“ท่านชาย”
ท่านชายหมุนตัวมา ดวงหน้าหล่อ สง่างามนั้น ตาแววตาเศร้านัก
เจริญขวัญรู้สึกเศร้าตาม เดินเข้าหาช้าๆ ท่านชายก้มหน้า เจริญขวัญค่อยๆ ยื่นมือไปแตะแก้ม ท่านชายหลับตา เอียงหน้ารับสัมผัสจากมือของเจริญขวัญอย่างซาบซึ้งและโศกาอาดูร
เจริญขวัญเศร้าตามอย่างบอกไม่ถูก ด้วยความรู้สึกอบอุ่นลึกซึ้งโดยประหลาด จนทำให้เจริญขวัญน้ำตาคลอ คราวออกมาเสียงสั่นสะท้าน
“ท่านชาย”
มือของท่านชาย ยกขึ้นช้าๆ แตะประกบมือเจริญขวัญที่แตะแก้มอยู่นั้น ดวงตาท่านชายมองมา ทอประกายรักปนเศร้า ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงนุ่มว่า
“หากเธอและฉันอยู่ในโลกเดียวกัน ฉันคงจะไม่ยอมเสียเธอไป จะไม่ยอมให้ใคร ครองหัวใจของเธอได้...แต่นี่...”
เจริญขวัญรับฟังอย่างเจ็บปวดใจ “ดิฉันจะทำอย่างไรดี...ดิฉันต้องทำยังไง”
ท่านชายยิ้ม ยกสองมือประคองแก้มเจริญขวัญ ส่ายหน้าน้อยๆ
“เราทำอะไรไม่ได้ เรา...ต่างหลีกหนี วิบาก และ กรรม ไม่ได้”
เจริญขวัญเงยหน้ามองท่านชาย
“แต่ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน จะกี่ชาติ กี่ภพ...เราต้องได้พบกันอีก ฉันจะรอวันนั้น”
เจริญขวัญมองจ้อง เห็นท่านชายยิ้มเศร้า
จู่ๆ ท่านชายเคลื่อนตัวออกห่างจากเจริญขวัญไป เจริญขวัญมองตามโหยหา น้ำตารินรดแก้มนวล
ใบหน้าเจริญขวัญที่หลับอยู่ มีหยาดน้ำตาร่วงริน แล้วสะดุ้งตื่น ดวงแก้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ ผวามาหา จ้องใบหน้าซีดเซียวของลูก ที่ยังดูอ่อนเพลียพลางถามว่า
“ขวัญ เป็นอะไรลูก”
“เปล่าค่ะแม่”
“เอ๊ะ หนูร้องไห้เหรอนั่น”
เจริญขวัญงง ยกมือแตะน้ำตา
“ฝันร้ายเหรอลูก”
เจริญขวัญนิ่งนึก “ฝันอะไรขวัญก็จำไม่ได้ แต่...รู้สึกเศร้ายังไงก็ไม่รู้ค่ะแม่”
“งั้นนอนเถอะลูก แม่จะคอยดูแลหนูเอง”
ดวงแก้วห่มผ้าให้เจริญขวัญที่หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย
ในวันถัดมา อรุณพูดมือถืออยู่ในห้องพัก ปลายสายเป็นดวงแก้วที่โทรมาจากบ้านคุณหญิงอุ่น สีหน้าท่าทางเด็กหนุ่มตกใจมากเมื่อฟังความจบ
“อะไรนะครับ ขวัญไม่สบาย เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
ดวงแก้วพูดสายกับอรุณอยู่มุมหนึ่งในบ้าน สีหน้าระทม ห่วงลูกเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรมากแล้วล่ะจ้ะ นี่คุณอิศรากำลังจะพาไปหาหมอเช็คให้ละเอียดอีกที”
อรุณอึดอัดใจและเป็นห่วงเจริญขวัญมาก
ระหว่างนี้ อิศราประคองเจริญขวัญลงบันไดมาช้าๆ ดวงแก้วหันเห็น
“เท่านี้ก่อนนะจ้ะพ่ออรุณ” ดวงแก้ววางสายหันไปหาสองคน
“เอ้อ”
อรุณเลยถามอะไรไม่ทัน เด็กหนุ่มกังวลมาก
อิศราประคองเจริญขวัญเดินมา
“ค่อยๆ เดินนะจ๊ะขวัญ”
“ขวัญไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ จริงๆ” เด็กสาวบอก ท่าทางเกรงใจและขัดเขิน
“ไม่เอา เดี๋ยวหกล้มไปอีก”
ดวงแก้วมองอาการประคับประคองอย่างห่วงใยของอิศรา และสีหน้าขัดเขินของเจริญขวัญอย่างเข้าใจปนกังวล
แต่ร่องรอยของความกังวลดูจะมากกว่า
ที่โรงพยาบาลอีกไม่นานต่อมา หมอไพโรจน์ลงนั่งพร้อมวางแฟ้มคนไข้บนโต๊ะ ดวงแก้วกับเจริญขวัญนั่งอยู่ตรงหน้า ส่วนอิศรายืนกังวลไม่ห่างจากโต๊ะหมอ
“ทำไมปล่อยเรื่องโรคหัวใจมานานขนาดนี้ครับ น่าจะตัดสินใจผ่าตัดตั้งนานแล้วนะ”
“เมื่อตอนขวัญยังเล็ก แกขี้โรคค่ะ พอโตมา ฐานะเราก็...เอ้อ...”
เจริญขวัญชิงพูดกลัวแม่กลุ้ม “ขวัญไม่อยากผ่าตัดเองล่ะค่ะ ขวัญกลัวแล้วขวัญก็ทานยามาตลอด”
“คนป่วยมักเป็นแบบนี้ กลัวผ่าตัด กลัวเจ็บ แล้วไม่กลัวเหรอว่า ปล่อยไว้ มันจะอันตรายไปมากกว่านี้”
สีหน้าดวงแก้วกังวลมาก
ไม่น้อยไปกว่าอิศราที่โพล่งถามขึ้น “อาหมอครับ อาหมอจะรักษาขวัญได้ใช่ไหมครับ”
ทุกคนมองจ้องหมอไพโรจน์ ที่นั่งขรึม เป็นตาเดียวกัน
หมอไพโรจน์มองทุกคน คลี่ยิ้มออกมาแล้วบอกว่า “แน่นอน”
ทุกคนโล่งใจ ดวงแก้วและอิศราดีใจมาก
“แต่คนป่วย ต้องไม่ดื้อกับหมอนะ”
เจริญขวัญยิ้ม ไม่ค่อยสบายใจ
“ระหว่างนี้ทานยา แล้วก็พยายามรักษาตัวให้แข็งแรง คอยมาตรวจเช็ค แล้วเราจะได้นัดวันผ่าตัด”
ทุกคนดูมีความหวัง แต่เจริญขวัญกลับหวั่นกลัวลึกๆ อิศราโล่งใจ และยิ่งสงสารเจริญขวัญ
ถัดมา หมอไพโรจน์เปิดประตูห้องเดินนำออกมาส่ง ดวงแก้ว กับ เจริญขวัญ ยกมือไหว้หมอ
“พักรักษาตัวเองให้ดี แล้วก็ทำใจให้สบายนะ”
“ค่ะ”
ดวงแก้ว ประคองเจริญขวัญเดินออกไปก่อน อิศราออกมาหยุดคุยกับหมอไพโรจน์ที่หน้าห้อง
“อาหมอครับ ถ้าผ่าตัดแล้ว ขวัญจะปลอดภัย แล้วก็หายขาดเลยใช่ไหมครับ”
“ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเสี่ยง ผ่าตัดแล้วก็ต้องรักษาตัวให้ดีสักระยะ ไม่ต้องห่วง อาจะขอให้เพื่อนที่มือหนึ่งทางนี้ มาผ่าให้อาจะดูแลให้ดีที่สุด”
อิศราไหว้ลาและขอบคุณ “ขอบคุณครับ ผมฝากด้วยนะครับ”
แม้จะสบายใจขึ้น แต่อิศราก็ยังดูกังวลไม่คลาย
กลับมาบ้านเจริญขวัญนั่งอยู่ตรงระเบียง สักครู่ป้าสีเอาซุปมาวางให้
“ทานเยอะๆ นะคะ คุณขวัญ จะได้หายเร็วๆ”
“ขอบคุณค่ะ”
สีเดินจากไป เจริญขวัญหันมาหยิบซองยา แกะยาอ่านดูก่อนกิน แล้วดื่มน้ำตาม อิศราเดินมาหยุดมองใกล้ๆ เจริญขวัญวางแก้ว จะหยิบช้อนตักซุป
อิศรามาหยุดข้างๆ จุ๊ปาก เจริญขวัญชะงัก อิศรายิ้ม ลากเก้าอี้มาใกล้ เขาดึงกระดาษทิชชู่ มาสอดที่อกเสื้อทำเป็นผ้ากันเปื้อนให้ เจริญขวัญมองตาโตประหลาดใจ
อิศราทำหน้าเฉย หยิบช้อนตักซุปไปจ่อที่ปากของเจริญขวัญ
“เอ้า...อ้ำ”
เจริญขวัญเขิน “เอ้อ...”
“ซิ...พี่ ป้อนคุณย่าเกือบทุกมื้อเลยนะ..รับรองไม่มีหกอ้าปากสิจ๊ะ”
เจริญขวัญเสียงอ่อย “ขวัญทานเองก็ได้”
“อาหมอบอกว่าไง คนป่วยอย่าดื้อ...เอ้า อ้ำเร็ว คนดีของพี่”
เจริญขวัญหน้าแดง อ้าปาก อิศราบรรจงป้อน มองเจริญขวัญทานซุปอย่างมีความสุข
เย็นลงแล้ว ดวงแก้วอยู่ที่ครัวคุยสายกับอรุณอยู่ “ไปหาหมอแล้ว หมอเขาก็อยากให้ผ่าตัดจ้ะ”
อรุณรับฟังอย่างตกใจ “เหรอครับ” จู่ๆ เขานึกกลุ้มใจ ถอนใจเฮือกใหญ่ “ผม อยากไปเยี่ยมขวัญจัง
เลยครับ”
ดวงแก้วไม่รู้อะไร “ก็มาสิจ๊ะ พ่อรุณ”
อรุณว้าวุ่นใจ เครียดหนัก กลัดกลุ้ม กังวลไปหมดสิ้น
อีกฟาก คุณหญิงเพ็ญ เดินมาออกมาจากล็อบบี้โรงแรมหรู พร้อมกับเพื่อนคุณหญิง 1
“แหม เพชรนี่น้ำง๊ามงามนะคะ ดีจังได้ราคาถูก ขอบคุณพี่หญิงพามาซื้อ”
“ก็ต้องขอบคุณคุณหญิงเพ็ญด้วย มาช่วยอุดหนุนร้านลูกสาวพี่”
สองคนเดินกันต่อมา คุณหญิงชะงักเมื่อมองตรงไป
เห็นนายพลบัญชาเดินเข้าประตูโรงแรมมา ท่านนายพลมากับสาวสวยนางหนึ่งที่จูงเด็กชายราว 5 คนหนึ่ง มาด้วยกัน
“เอ๊ะ นั่น ท่านนายพลนี่คะ มากับใครคะ เอ๊ะ ไม่ใช่หนูชาลินี..หรือว่า...” คุณหญิง 1 ตกใจ มองคุณหญิงเพ็ญที่หน้าตึงอย่างแค้นเคือง
นายพลบัญชาไม่ทันเห็นบ้านใหญ่หันมาทางเมียน้อยและลูก “เขาว่าบุฟเฟต์ที่นี่อร่อย มีขนมเยอะแยะเลย”
เมียน้อยบอกกับลูก “คุณพ่อพามาทานขนม หนูต้องชอบแน่ๆเลยใช่มั้ยลูก”
นายพลมองลูกหัวเราะเบาๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมา แล้วชะงัก
คุณหญิงเพ็ญเดินปรี่เข้ามาหา กัดปากแน่น น้ำตาคลอ
“คุณหญิง”
คุณหญิงเพ็ญจ้องสามีนายพลอย่างเจ็บใจ
คุณหญิงเพ็ญหอบความโกรธแค้นกลับมาที่บ้าน สาวใช้รีรอรับใช้อยู่อย่างเกรงๆ ชาลินีนั่งดื่มกาแฟอยู่ หันมองมาเห็น
“กลับมาแล้วเหรอคะแม่ โกรธใครมาคะ”
“จะใครล่ะ เมื่อกี้แม่ไปโรงแรมของคุณสมทรง รู้ไหมแม่เจอใคร”
“อุ๊ย...อย่างนี้ พอจะเดาได้ค่ะ”
นายพลบัญชาเดินปึงปังเข้ามาในจังหวะนี้
คุณหญิงเพ็ญแหวใส่ทันควัน “ทำไมคุณต้องทำกับชั้นแบบนี้”
“ผมต้องถามคุณมากกว่า ไล่เขายังกะหมูกะหมา ดูสิ แทนที่ผมจะได้กินขาวดีๆ ผมต้องพาเขาไปกินอะไรง่ายๆ แทน”
คุณหญิงเพ็ญย้อนน้ำเสียงเจ็บปวดและขมขื่น “กล้าพูดนะ แล้วมันเรื่องอะไร คุณต้องพาอีนั่นกับ...ลูก ไปกินข้าวโรงแรมเพื่อนชั้นด้วย”
ชาลินีเห็นท่าไม่ดี เดินชิ่งออกไปทันที
“ผมจะไปไหนมาไหน มันเรื่องของผมนะ เพียงแต่วันนี้ มันซวย!”
ชาลินีเดินออกมาพร้อมแก้วกาแฟ หันมองพ่อแม่ทะเลาะกัน อย่างด้านชา
คุณหญิงเพ็ญโกรธขึ้นมาอีก น้ำตาคลอหน่วย
“ซวย ฉันเหรอที่เป็นตัวซวย หรือว่า ฉัน มันดวงซวย ที่แต่งงานกับคุณ!”
ชาลินีส่ายหน้าเอือมๆ แล้วเดินออกไปเลย
ด้านเจริญขวัญนอนหลับอยู่บนเตียงสักพักแล้ว อิศราเดินเข้ามาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งข้างเตียง มองเจริญขวัญ ทั้งรัก และ ห่วงใย
เจริญขวัญ ถอนหายใจ คิ้วขมวด
อิศราสงสาร จนอดไม่ได้ ค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะหน้าผากลูบศีรษะเบาๆ เจริญขวัญสะดุ้ง ลืมตามองเขา
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตื่น พอดี พี่เข้ามาเยี่ยม”
“แม่ล่ะคะ”
“ไม่ทราบสิ พี่เข้ามาก็เห็นขวัญนอนอยู่คนเดียว” น้ำเสียงอิศราอ่อนโยน ฟังดูอบอุ่นกว่าเคย “ขวัญเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ”
“แน่นะ ถ้ารู้สึกอะไรไม่ดี ต้องรีบบอกนะ”
เจริญขวัญยิ้ม “ขอบคุณค่ะ พี่อิศ”
อิศรามองเจริญขวัญ เห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์นั้น สักครู่หนึ่งมืออิศราช้อนมือเจริญขวัญขึ้นมากุม เจริญขวัญขัดเขิน
“เห็นขวัญป่วยแบบนี้ มันทำให้พี่ รู้ใจตัวเองมากขึ้น”
เจริญขวัญงง อิศราลูบมือเจริญขวัญ
“ขวัญ...ขวัญคิดว่า จะแต่งงานกับคนอย่างพี่ ได้ไหม”
เจริญขวัญตะลึง เห็นอิศรามองมาอย่างแน่วนิ่ง สีหน้าจริงจัง ตาคมกริบจ้องลึกส่งความรักเข้าไปในดวงตาเจริญขวัญ รอฟังคำตอบ
อ่านต่อตอนที่ 14