เงาใจ ตอนที่ 5
หลังแปลงโฉมเป็นวาทิตเสร็จ รุทรออกมาตรวจดูแปลงผัก โดยมีอนุวัตรยืนอยู่อีกมุม ระหว่างนี้บุษบันขับรถเข้ามาจอด เจ้าหล่อนลงจากรถเดินตรงเข้ามาหา เห็นรุทรจากข้างหลังแต่จำไม่ได้
“นี่เธอ เห็นรุทรบ้างมั้ย”
รุทรหันมา ในรูปลักษณ์หล่อเนี้ยบสไตล์วาทิต หนวดเคราครึ้มถูกโกนจนเกลี้ยงเกลา บุษบาเห็นก็อึ้งตะลึงตะไลในความหล่อ เจ๊อ้าปากหวอ กลืนน้ำลายเอื๊อก
“รุทรของบุษไปทำอะไรมาคะ หล่อจนบุษเกือบจำไม่ได้ เอาไปเลยสามคำ หล่อ ใส ปิ๊ง ได้ใจบุษไปเต็มๆเลยค่ะ”
บุษบันกรี๊ดกร๊าดด้วยความชอบใจ แล้วรีบไปเกาะแขนรุทร
รุทรในคราบวาทิตพยามแกะออก “คุณบุษบันมีธุระอะไรเหรอครับ”
“แหม...จะเรื่องอะไร ก็ที่รุทรสัญญาว่าจะพาบุษไปปิกนิกแล้วก็นอนดูดาวด้วยกันบนเขาไง บุษรับส้มธนาธรมาขายตั้งนานแล้ว รุทรยังไม่ทำตามสัญญาเลยนะ”
รุทรเริ่มอึดอัดจะเอาไงดี
“ขอผลัดอีกสักระยะได้ไหม พอดีช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง”
บุษบันหน้างอ กระเง้ากระงอดใส่ “อ้าว รุทรจะเบี้ยวบุษเหรอ ไม่ได้นะ บุษลงทุนไปเยอะบุษไม่ยอมจริงๆ”
เสียงอนุวัตรดังขึ้น “ไอ้รุทรไม่ว่างให้ผมไปแทนได้ไหมเจ๊”
อนุวัตรเดินเข้ามามาดอย่างเท่ แต่บุษบันเห็นแล้วแหวะใส่
“ไปนอนดูดาวนะ ไม่ได้ไปเก็บมะพร้าว จะได้เอานายไป”
อนุวัตรเซ็ง “โหเจ๊ พูดแบบนี้ใช่ไหม ได้ ต่อไปถ้าเจ๊ชวนไปไหนเค้าไม่ไปกะตัวเองแล้ว”
“อ๊ะ กล้าพูด ฉันไม่มีวันง้อนายหรอกย่ะ” บุษบันไม่สน หันมาหารุทร “ก็ได้ค่ะ พอดีบุษก็ต้องไปธุระที่กรุงเทพฯ ระยะนึง เดี๋ยวกลับมาแล้วบุษจะมาทวง ห้ามเบี้ยวเด็ดขาดเลยนะ”
บุษบันส่งตาหวานแล้วเดินขึ้นรถขับออกไป
“ถามจริงๆ ถ้าแกว่าง จะไปกับเจ๊เขาเหรอวะ” อนุวัตรถามขึ้นทันที
รุทรถอนใจ “ก็คงไปแหละ แต่ต้องไปกันหมดบ้าน”
“เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย”
รุทรได้ยินไม่ถนัด “แกว่าอะไรนะ”
อนุวัตรได้สติ “เอ่อ เปล่าไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ฉันไปทำงานดีกว่าสายแล้ว”
อนุวัตรเดินเลี่ยงออกไปอีกคน รุทรมองตามไปงงๆ กับท่าทีของเพื่อนซี้ แต่ไม่ติดใจอะไร
รุทรกลับเข้ามาในบ้านท้ายไร่ เขานั่งอยู่ที่ข้างเตียงมองหน้าวาทิต แรมกับอนุวัตรมองอยู่ห่างออกมา
“พี่กำลังจะเข้าไปที่ไร่ในฐานะของนายนะวาทิต พี่จะพยายามหาให้ได้ว่าความจริงมันเป็นยังไง เอาใจช่วยพี่ด้วยนะ แล้วนายก็ตื่นมาเร็วๆ ตื่นมาเล่นเป็นตัวเอง ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นเงาของนายนานนัก”
รุทรกุมมือวาทิตแน่น
แรมที่นั่งมองสองพี่น้องคุยกันก็รู้สึกเศร้าร้องไห้ อนุวัตรที่เห็นก็สงสาร
“รุทร แม่เป็นห่วง ลูกยังมีเวลาที่จะเปลี่ยนใจนะ”
“ผมเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วครับ นอกจากเดินหน้าหาความจริง”
“แต่แม่กลัวว่ารุทรจะมีอันตราย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับแม่ ผมก็จะเป็นผู้ช่วยมันอีกที ถ้าไอ้รุทรมีอันตราย ผมไม่ทิ้งมันแน่” อนุวัตรบอก
แรมพยักหน้ารับรู้สิ่งที่อนุวัตรพูด แต่ก็ไม่วายเป็นห่วง
“ผมจะระวังตัวครับ” รุทรเข้ามากอดแม่ปลอบ “ผมสัญญาว่าผมจะกลับมากอดแม่และดูแลแม่ตลอดไป”
“แม่ก็ขอให้รุทรปลอดภัยนะลูก”
สองแม่ลูกกอดปลอบกัน มีวาทิตนอนหลับอยู่ที่เตียง
อีกฟากภายในห้องนั่งเล่นบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ เมทินีกำลังนั่งจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่ โดยมีทิปปี้เป็นผู้ช่วย
“ยังคิดเรื่องวาทิตอีกใช่ไหม”
เมทินีพยักหน้ารับ “ไปรักษาตั้งนานแล้ว อยากรู้ว่าอาการเป็นไงบ้าง”
“ก็ถามพ่อเลี้ยงสิ”
“หลังๆ มานี่คุณพ่อไปอยู่กรุงเทพฯ ซะเยอะ กลับมาก็ทำธุระนิดหน่อยแล้วก็เข้ากรุงเทพฯ ฉันเลยไม่กล้ารบกวน อีกอย่างฉันรู้สึกว่าคุณพ่อไม่ค่อยอยากคุยกับฉัน”
“เฮ้อ แล้วเมื่อไหร่เราจะได้รู้ข่าวคราววาทิตละเนี่ย”
ระหว่างนั้นกินรีเดินถือกระเป๋าผ่านมา พอเห็นสองสาวก็มองเชิด อย่างไม่ชอบหน้า แล้วเดินเข้าบ้านไป
เมทินีกับทิปปี้มองท่าทีนั้นอย่างแปลกใจ
“ทำไมนรีกลับมาแล้วล่ะ หรือว่า...”
เมทินีนึกบางอย่างได้ จึงรีบตามไป ทิปปี้ตามไปด้วย
ตรงโถงหน้าบันไดขึ้นชั้นสอง เอื้องคำกับจั่นเป็งอยู่บริเวณนั้น สองคนตื่นเต้นดีใจที่รู้ข่าวจากกินรี
“นี่พ่อเลี้ยงโทร.ตามคุณนรีเพราะคุณวาทิตจะกลับมาเหรอคะ”
เมทินีกับทิปปี้เดินตามมาทันได้ยินพอดี
เมทินีออกอาการดีใจ “วาทิตจะกลับมาแล้วเหรอ เมื่อไหร่น่ะนรี”
กินรี เอื้องคำ และจั่นเป็ง หันไปตามเสียงด้วยสีหน้าไม่ชอบเมทินี
“พรุ่งนี้ไง” กินรีนึกได้ “อะไร ขนาดลูกสะใภ้คุณลุงไม่ได้บอกเหรอ”
เมทินีหน้าเสียไป กินรีสะบัดหน้าเชิดเดินไป
“หวังว่าคุณคงไม่ทำร้ายคุณวาทิตของพวกเราอีกนะคะ” เอื้องคำพูดแดกดัน แล้วหันมาทางจั่นเป็ง “เดี๋ยวเอ็งไปตามพวกที่โรงอาหารมาสักสองคนนะ ข้าจะทำความสะอาดบ้านอย่างละเอียดทั้งหมด
“ได้จ้ะป้า รับรองฉันจะทำแบบไม่ให้มีฝุ่นให้คุณวาทิตต้องจามสักแอะ”
เอื้องคำกับจันเป็งพากันเดินไปไม่สนใจเมทินี ทิปปี้สงสาร จับมือปลอบ
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยววาทิตก็กลับมาแล้ว ฉันเชื่อว่าถ้าวาทิตเข้าใจคนอื่นๆ ก็จะเข้าใจแกไปด้วย”
ทิปปี้เองก็ไม่รู้จะพูดยังไงได้แต่กอดเพื่อนปลอบใจ
“เราไปจัดดอกไม้ไว้รอต้อนรับวาทิตกันเถอะนะ”
ชาติมารายงานอังกูรที่นั่งอยู่ในห้องโถงบ้านพัก เรื่องวาทิตกำลังจะกลับมา
“นี่แสดงว่าไอ้วาทิตมันยังไม่ตายจริงๆ”
“แล้วถ้ามันพูดเรื่องคืนนั้นล่ะครับจะทำยังไง”
“ถ้าพูดมันก็คงพูดไปแล้ว ยังไงมึงก็ระวังตัวไว้ด้วยแล้วกัน ไม่รู้ว่าไอ้แก่มันมีแผนตลบหลังอะไรไว้หรือเปล่า”
อังกูรเตือนทั้งชาติแล้วก็ตัวเอง
ตกตอนค่ำ เมทินียกแจกันดอกไม้มาตั้งในห้องรับแขก อังกูรเดินเข้ามา เมทินีเห็นก็ชะงักพยามรักษาระยะห่าง
“คนงานในไร่พูดกันว่าวาทิตจะกลับพรุ่งนี้”
“ค่ะ”
“เมคิดยังไงที่คุณลุงไม่บอกเราสองคน” อังกูรพยายามหาพวก
“เมไม่คิดอะไรหรอก”
“แต่พี่คิด คุณลุงทำแบบนี้เท่ากับไม่เห็นหัวเราสองคน”
เมทินีตัดบท “เมขอตัวไปนอนนะคะ”
เมทินีจะเดินไปแต่อังกูรมาขวาง
“เมจะหนีความจริงไปไหน พี่รู้ว่าเมไม่มีความสุข เมหย่ากับวาทิตเถอะนะพี่จะดูแลเมเอง”
เมทินีฉุนนิดๆ “พี่กูรอย่าพูดในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้เลย คุณพ่อกับวาทิตมีบุญคุณกับครอบครัวเม ยังไงเมก็ทิ้งวาทิตไม่ได้ แล้วยิ่งมาเกิดเรื่องแบบนี้กับวาทิตอีก จะให้เมทิ้งไปได้ยังไงค่ะ”
อังกูรโกรธ “บุญคุณบ้าบออะไร คุณลุงเขาแค่ซื้อเมมาเป็นของเล่นให้ไอ้วาทิตเท่านั้น”
“พี่กูรไม่ว่าใครจะเห็นเมเป็นอะไร เมก็จะทำหน้าที่ของเมให้ดีที่สุด”
เมทินีจะเดินไปนอน แต่อังกูรกระชากแขนไว้ด้วยความโกรธปนหวง
“เพราะเงินของมันใช่ไหมที่ทำให้เมทิ้งมันไม่ได้”
“ใช่ ถ้าไม่มีเงินของคุณพ่อกับวาทิต ไมต้องเสียอนาคต เมขอตัวนะคะ”
เมทินีแกะมืออังกูรออกแล้วเดินขึ้นบันไดไป อังกูรมองตามด้วยความโมโห หันไปเห็นแจกันดอกไม้ก็ปัดตกพื้นแตกกระจาย แล้วเดินเหยียบดอกไม้ออกไปจากห้อง
รถตู้คันหรูของพ่อเลี้ยงวิทย์จอดลงหน้าบ้านในตอนเช้าวันนี้ รุทรกำลังนั่งทำใจเพื่อพบกับทุกคน
“พร้อมมั้ยรุทร ไม่ใช่สิ...วาทิต”
รุทรสวมแว่นตา อยู่ในคราบวาทิตทุกกระเบียดถอนหายใจลึกสุดใจ “พร้อมครับ...คุณพ่อ”
พ่อเลี้ยงพยักหน้ากับรุทรเป็นเชิงว่าเริ่มงานได้
รุทรในคราบของวาทิตก้าวลงจากรถไปยืนข้างล่าง มองตัวบ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงผู้มั่งคั่งด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ถัดมา รุทรกับพ่อเลี้ยงวิทย์เดินเข้ามาในโถงบ้าน รุทรมองไปรอบๆ บ้านอย่างสังเกตรายละเอียด เอื้องคำ จั่นเป็ง และหนาน รีบวิ่งกระวีกระวาดมา มีกินรีตามมาติดๆ พอเห็นรุทรในคราบวาทิตทุกคนก็ยิ้มดีใจ เอื้องคำรีบเข้าไปจับไม้จับมือ
“คุณวาทิตของป้า ดูสดใสแบบนี้แสดงว่าหายเป็นปกติแล้วใช่ไหมคะ”
“เอ่อ...ครับ”
ทุกคนมองหน้ากันงงๆ กับท่าทีรุทรที่คิดว่าเป็นวาทิต
“อุ๊ย...คุณวาทิตพูดครับกับป้าเอื้องคำด้วย น่ารักจังค่ะ”
รุทรยิ้มรับเจื่อนๆ รู้ว่าพลาดไปแล้ว พ่อเลี้ยงวิทย์เริ่มหายใจไม่สะดวก ลุ้นไปด้วย
“น้องจั่นเป็งจ๋า ทำไมวอนให้คุณวาทิตอารมณ์เสียตั้งแต่ก้าวแรกเลย” หนานแซว
“ขอโทษค่ะคุณวาทิต จั่นเป็งไม่ได้ตั้งใจจะลามปาม”
“ไม่เป็นไร...ช่างมันเถอะ”
ระหว่างนั้นเมทินีกับทิปปี้ก็เดินออกมา พอเจอกันจังๆ รุทรกับเมทินีจ้องหน้ากัน
“วาทิต”
เมื่อเห็นเมทินีรุทรก็รู้สึกรังเกียจ แต่ก็เริ่มเล่นละครทันทีโดยการยิ้มให้ เมทินีเห็นรุทรยิ้มก็ดีใจหันไปยิ้มกับทิปปี้ ที่รีบดันให้เมทินีเข้าไปใกล้วาทิต
“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้ไปดูแลเธอเลย”
“ตอนนี้วาทิตก็กลับมาให้เมดูแลแล้วไง” เขายิ้มบางๆ แล้วอึ้งไปชั่วขณะ “คะ”
เมทินีนึกสงสัยในท่าทางและคำพูดของวาทิต
“รู้ไหมว่าตอนเธอไม่อยู่อ่ะ เมเขาไม่สบายใจเลยนะ”
รุทรตอบกวนๆ
“เหรอ วาทิตก็คิดถึงเมเหมือนกันนะคะ”
รุทรพูดจบก็ดึงเมทินีมากอด เมทินีไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งตกใจเพราะคนอยู่กันเยอะ จึงพยามผลักออก แต่รุทรไม่ปล่อย ทิปปี้ยิ้มปลื้มพูดขำๆ
“อุ๊ย ท่าทางวาทิตจะคิดถึงแกมากจริงๆ นะเม”
เอื้องคำมองด้วยความไม่พอใจ เพราะไม่อยากให้รุทรอยู่ใกล้เมทินีอีกแล้ว
อีกมุม อังกูรที่เดินเข้ามาทางหลังบ้านปรากฏตัวขึ้น เอื้องคำ หนาน จั่นเป็ง รีบสะกิดกันให้ดูเพราะกลัวว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น
อังกูรวางเชิงพยายามเช็คท่าทีวาทิต ว่าจำเรื่องราวที่เคยมีเรื่องกันได้ไหม
“กลับมาแล้วเหรอวาทิต”
สายตาอังกูรเป็นประกายวาบ เมื่อเห็นว่ารุทรในคราบวาทิตยังโอบเมทินีอยู่ พริบตานั้นอังกูรยิ้มให้รุทร
“ดีใจด้วยนะที่นายหายเป็นปกติ”
“ขอบคุณครับพี่กูรที่เป็นห่วง”
อังกูรแปลกใจ “นี่นายไม่โกรธพี่แล้วเหรอ”
“ผมจะโกรธพี่เรื่องอะไร”
อังกูรและทุกคนแปลกใจกับท่าทีของรุทรตามจริตใครมัน รุทรตีหน้าซื่อได้เนียนมาก พ่อเลี้ยงวิทย์ที่มองทุกเหตุการณ์อยู่ ดีใจที่เข้าแผน
“หมอบอกว่าตอนที่วาทิตล้มหัวอาจฟาดพื้น สมองคงจะกระทบกระเทือนเลยทำให้ความทรงจำบางส่วนหายไป อาจจะจำเรื่องราวเก่าๆ ได้ไม่ปะติดปะต่อ”
อังกูรเหลียวไปมองผู้เป็นลุง พ่อเลี้ยงวิทย์พยักหน้ารับรองให้อังกูรรู้ว่ามีแค่นี้จริงๆ
“อ๋อ...ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”
รุทรยิ้มให้อังกูรแล้วจูงมือเมทินีเดินไป เอื้องคำ จั่นเป็ง และหนานช่วยกันยกกระเป๋าเดินตามไป
อังกูรมองตามด้วยแววตาสงสัย
พ่อเลี้ยงวิทย์เดินเข้ามาในห้องทำงาน ลงนั่งที่โต๊ะ แล้วเริ่มดูแฟ้มเอกสารที่วางไว้ สักครู่อังกูรเคาะประตูเข้ามา
“มีอะไรเหรอกูร”
“เอ่อ...เรื่องวาทิตน่ะครับ ที่คุณลุงว่าความทรงจำบางส่วนหายไปคืออะไรครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์เตรียมคำตอบไว้แล้ว “คือ น้องยังพอจำได้ว่าใครเป็นใคร แต่เหตุการณ์บางเหตุการณ์เค้าก็จะจำไม่ได้”
อังกูรโล่งใจ “จริงเหรอครับ” เขาแกล้งทำพูดดี “แต่ถ้าวาทิตจำได้คงจะดี จะได้รู้ว่าใครเป็นคนที่ทำร้ายเขาในวันนั้น”
พ่อเลี้ยงวิทย์พยายามจับสังเกตอาการและท่าทางของหลานชาย แต่อังกูรทำเป็นปกติ
“แต่ลุงเชื่อว่าสักวันหนึ่ง วาทิตจะต้องจำได้ เอาเถอะ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ลุงอยากให้เราทุกคนมาเริ่มต้นกันใหม่ นะอังกูร”
อังกูรเสแสร้งแกล้งยิ้มคล้อยตาม ทั้งที่ใจเดือดปุดในสีหน้านิ่งสนิทนั้น
อังกูรออกมาจากห้องทำงานพ่อเลี้ยง ปิดประตูลงแล้วยิ้มร้ายออกมา
“เดินหน้าไปด้วยกัน ฮึ ฉันจะพาพวกแกเดินไปส่งถึงนรกเลย”
ประตูห้องนอนวาทิตถูกเปิดออก แลเห็นเอื้องคำจูงรุทรเดินเข้ามาในนั้น มีเมทินี และจั่นเป็งถือกระเป๋าเสื้อผ้าของรุทรเดินตามเข้ามา เอื้องคำพารุทรที่เข้าใจว่าเป็นวาทิตไปนั่งที่เตียง เมทินีเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณมากค่ะป้า เดี๋ยวเมดูแลต่อก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ไว้ใจคุณ”
เมทินีจ๋อยที่โดนเอื้องคำว่าตรงๆ
“คุณวาทิตคะ ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรเรียกป้า คุณนรี หรือจั่นเป็งนะคะ คนใกล้ตัวก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกคนเสมอไป”
เมทินีอึดอัดที่โดนหัวหน้าแม่บ้านเหน็บอีกดอก แต่ก็พยายามนิ่งไว้
รุทรเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกป้า ผม...เอ่อ ฉันดูแลตัวเองได้ มีอะไรก็ไปทำกันเถอะ”
เอื้องคำอิดออด ยังไม่อยากไป “แต่ป้าว่าป้าอยู่เป็นเพื่อนดีกว่านะคะ”
“ทำไมล่ะ ผมมีเมียผมอยู่ด้วยนี่”
เมทินีสะดุ้ง รู้สึกขัดหูกับคำเรียกของรุทรทันที
เอื้องคำเองก็งง นิ่งไปเหมือนกันกับคำของวาทิต แต่ยังไม่ค่อยอยากจะวางใจทิ้งวาทิตไว้กับเมทินี แต่รุทรก็พยักหน้าให้ออกไป เอื้องคำกับจั่นเป็งเลยยอมเดินออกไป
รุทรหันมายิ้มแต่มันเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเจ้าชู้ จนเมทินีรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยิ้มตอบ
สองคนเดินออกมาจากห้องแล้วยืนรีรอไม่อยากไป
จั่นเป็งทักขึ้น “มีอะไรอ่ะป้า”
“บอกตรงๆ ข้าไม่อยากทิ้งคุณวาทิตไว้กับคุณเมเลย”
“คุณเมเขาคงไม่ทำอะไรคุณวาทิตหรอกมั้งป้า”
“ไม่รู้สิแต่ก็กลัวไปก่อน” เอื้องคำกังวลไม่คลาย
“แล้วเราจะเฝ้าคุณวาทิต 24 ชั่วโมงโดยไม่ทำงานทำการกันเหรอป้า”
เอื้องคำเครียด “โอ๊ย จะเอาไงดีวะเนี่ย”
“ป้า ถึงตอนนี้ฉันจะไม่ชอบคุณเมเหมือนกันที่ทำให้พี่น้องแตกคอ แต่ฉันว่าคุณเมก็คงไม่ทำร้ายคุณวาทิตหรอก ไปทำงานกันเถอะ”
เอื้องคำยังไม่อยากไป แต่สุดท้ายจั่นเป็งลากลงไปจนได้
ด้านพ่อเลี้ยงวิทย์ส่งถุงยาชุดใหม่ให้กินรี พร้อมกับกำชับ
“หมอชุดใหม่ที่รักษาวาทิตสั่งเปลี่ยนยาใหม่ทั้งหมด นรีเอายาเก่าทิ้งแล้วจัดยาใหม่ตั้งแต่วันนี้เลยนะ”
“ค่ะคุณลุง”
กินรีเปิดถุงหยิบยาออกมาวาง ทั้งแบบกระปุกและแบบซอง แล้วก็นึกสงสัย
“เอ๊ะ ยานี่ไม่เหมือนชุดเก่าเลยสักตัวนะคะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์พยามกลบเกลื่อนให้เนียน “เอ่อ หลายตัวช่วยเรื่องความจำ ส่วนพวกโรคหัวใจก็เปลี่ยนยี่ห้อเลย”
กินรียิ้มบางๆ “โอเคค่ะ นรีเข้าใจแล้ว”
พ่อเลี้ยงลุกเดินออกไป แต่ไม่วายแอบดูที่ประตู เห็นกินรีอ่านยาแต่ละตัว แต่ท่าทางก็ไม่ได้ติดใจอะไร เก็บยาเข้าตู้
พ่อเลี้ยงวิทย์ถอนใจโล่งอกไปอีกเปลาะ
อ่านต่อหน้า 2
เงาใจ ตอนที่ 5 (ต่อ)
รุทรกับเมทินีอยู่ในห้องนอนสองต่อสอง ด้วยความรู้สึกแปลกๆ เหมือนคนไม่คุ้นกันทั้งคู่ สุดท้ายเมทินีเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“เอ่อ...เธออยากจะนอนพักไหม เดินทางมาเหนื่อยๆ นี่”
“ก็ดีนะ เดี๋ยวผมอาบน้ำก่อนแล้วกัน”
เมทินีพยักหน้ารับ “ได้สิ ตามสบายเลย”
รุทรลุกเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เมทินีจะห้ามก็ไม่ทัน รุทรเปิดด้านที่เป็นเสื้อผ้าของเมทินีก็อึ้งไป
“ของเธออยู่ฝั่งโน้น”
รุทรกลบเกลื่อน “ผมลืมไป”
รุทรเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าอีกฝั่ง เห็นผ้าเช็ดตัวก็หยิบมา แล้วลงมือถอดเสื้อเลย เมทินีเห็นก็ตกใจ
“เธอจะทำอะไรน่ะวาทิต”
รุทรงง “ก็ถอดเสื้อผ้าสิ ไม่งั้นจะอาบน้ำได้ไง”
“ปกติเธอจะเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ”
รุทรพันผ้าเช็ดตัวแล้วเริ่มถอดกางเกง เมทินีตาโตตกใจรีบทำหันหน้าหนีไปมองอย่างอื่น
“เป็นสามีภรรยากัน เราต้องอายกันด้วยเหรอ”
รุทรเดินเข้ามาหาเมทินี ยิ้มเจ้าชู้ใส่
“ที่จริงเราอาบด้วยกันก็ได้นะ”
เมทินีตกใจเผลอหันมาเจอรุทรนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวรีบปิดตา “บ้าเหรอ เชิญเธอตามสบายเถอะ ฉันขอไปหาทิปปี้นะ”
เมทินีเขินเดินก้มหน้าจะออกไปจากห้อง แต่เพราะไม่ดูทางเลยชนโน่นชนนี่ แถมมีหกล้มแต่ก็ตะกายลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไปท่าทีน่าขัน
รุทรยิ่งแค้น “ฮึ ตอนเธอไปหาผู้ชายไปให้เขากอดถึงในบ้าน จนมีเรื่องไม่อายบ้างหรือไง มารยาชัดๆ”
รุทรโยนกางเกงลงบนเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
พอทิปปี้ซึ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานได้ฟัง ก็หัวเราะขำกลิ้งเป็นที่สนุกสนาน ส่วนเมทินีนั่งหน้างอโกรธเพื่อน
“ฉันนึกภาพตอนแกอาย เดินชนโน่นชนนี่ คงตลกพิลึก”
“เป็นแกจะอายไหมล่ะ”
ทิปปี้ทำหน้าล้อ “ไม่อาย ว่าไปวาทิตมันก็หล่อน่ามองนะ”
“บ้าเหรอ เพื่อนกันนะ” เมทินีนึกบางอย่างได้ “เออ แต่ปกติวาทิตเป็นคนสุภาพ ไม่เคยมากอดหรือถอดเสื้อผ้าต่อหน้าฉันเลยนะแก”
ทิปปี้เชื่อที่พ่อเลี้ยงบอกสนิทใจ “ก็ความจำบางอย่างเค้าหายไป เลยอาจจะทำอะไรแปลกๆ ไปบ้างสิ”
“แกจะบอกว่าฉันคิดมากไปเอง”
ทิปปี้เหน็บ “ถูกต้องค่ะมาดาม”
“ก็คงจะจริง” แล้วพอเธอมองไปนอกหน้าต่างก็แปลกใจ “แต่เอ๊ะ”
เมทินีลุกไปที่หน้าต่าง ทิปปี้รีบลุกตามไปดู
สองสาว เห็นรถกระบะของพ่อเลี้ยงวิทย์แล่นมาจอดด้านหน้าสำนักงาน พ่อเลี้ยงกับรุทรลงมาจากรถ โดยพ่อเลี้ยงวิทย์ยืนชี้ พร้อมกับทำท่าเหมือนอธิบายที่ต่างๆ ให้รุทรดูตาม แล้วสองคนก็ขึ้นรถขับไปด้วยกัน
ทิปปี้มองแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก
“มีอะไรเหรอ”
“ปกติบ่ายๆ แบบนี้คุณพ่อก็รู้ว่าวาทิตจะต้องนอนพักนี่ แล้วทำพามาข้างนอกล่ะ”
“ก็คงพามาดูไร่ฟื้นความจำมั้ง” ทิปปี้นึกออก “หรือที่กรุงเทพฯ รักษาดี วาทิตแข็งแรงขึ้นไม่ต้องนอนพักกลางวันเหมือนก่อนแล้ว”
เมทินีนิ่งคิด ยังรู้สึกแปลกๆ ในใจโดยประหลาด
ในเวลาต่อมา พ่อเลี้ยงวิทย์ขับรถมาจอดที่มุมสวยของสวนส้ม ก้าวนำลงมา แล้วชี้อธิบายอาณาจักรธนาธรให้รุทรฟัง
“พื้นที่ๆ ดีสำหรับปลูกส้มจะเป็นที่ดอนหรือที่ลุ่มก็ได้ แต่ต้องไม่มีน้ำท่วมขัง ความลาดเอียงไม่ควรเกิน 12%...” พ่อเลี้ยงอธิบายไปเรื่อยๆ รุทรตั้งใจฟัง
บริเวณโรงเรือนเก็บพันธุ์ส้มเตรียมลงดิน ต้นส้มในถุงดำเล็กๆ วางเรียงราย พ่อเลี้ยงวิทย์เดินอธิบายมีรุทรเดินตามฟัง พ่อเลี้ยงหยิบต้นส้มมาให้รุทรดู
“ที่สำคัญเราต้องคัดเลือกต้นที่ไม่มีโรค กรีนนิ่ง ทริสเทซ่า และโรครากเน่า โคนเน่า...”
ถัดมาสองคนอยู่ที่ส่วนบริษัทขนส่ง แลเห็นรถบรรทุกจอดเรียงรายอยู่หน้าโกดัง มีการขนส่งของหลายอย่างไม่เฉพาะส้ม
“ตอนแรกเราก็เปิดส่งสินค้าของเรา แต่ต่อมาก็ขยายรับขนส่งสินค้าทุกอย่างภายในประเทศ มีทั้งแบบเหมาคันและแบบชิ้นตามปริมาณสินค้า”
รุทรพยักหน้ารับรู้
“ที่ลุงพาดูทั้งหมดก็เป็นข้อมูลคร่าวๆไปก่อน เพื่อกันไม่ให้คนสงสัยในช่วงที่ลุงต้องไปดูแลเรื่องการโอนไร่ชาน้ำค้าง”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะระวังตัว”
สองคนเดินไปขึ้นรถ แล้วขับออกไป
ระหว่างนี้อังกูรเดินออกมาจากที่ซ่อนพร้อมกับชาติจากมุมหนึ่ง อังกูรมองตามรถของลุงไปอย่างใช้ความคิด
ถัดมา อังกูรเปิดประตูเข้ามาในบ้านพัก มีชาติเดินตามมา
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะรอดตายอีกครั้ง ดูจากวันที่เกิดเรื่อง อาการมันแย่กว่าทุกครั้ง แต่วันนี้ที่เห็นเหมือนไม่เคยป่วยเลย” ชาติบ่น
“ถึงภายนอกมันจะดูดี แต่สมองมันจำอะไรไม่ค่อยได้” อังกูรว่า
“มิน่า พ่อเลี้ยงต้องพาสำรวจไร่”
“แต่ไม่ว่ามันจะสมองเสื่อมหรือเป็นบ้าเสียสติ มันก็ต้องคืนเมและทรัพย์สินของวุฒิธรรมให้กับฉัน”
แววตาอังกูรเป็นประกายวาววาบ
ขณะที่เมทินีนั่งเล่นอยู่ตรงระเบียงบ้านเบื้องหน้าเป็นอาณาเขตไร่ส้มธนาธรสุดลูกตา รุทรในคราบวาทิตเดินเข้ามาหา
“กลับมาแล้วเหรอ จะนอนกลางวันเลยไหม”
“ไม่ดีกว่า วันนี้ผมไม่ง่วง”
“ปกติเธอต้องนอนนะ นี่มันเลยเวลามามากแล้วด้วย”
รุทรคิดตามที่เมทินีพูดทันที
เขานึกถึงตอนเห็นว่าอังกูรกับเมทินีแอบมาพบกันที่แปลงดอกไม้ รุทรคิดดังนั้นแล้วมองจ้องหน้าเมทินีแล้วยิ้มกวนๆ
“เมถามเพราะเป็นห่วง หรือคิดจะทำอะไรระหว่างที่ผมนอน”
เมทินีงง “เธอพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ”
“เอาเป็นว่าต่อไปนี้ผมจะไม่นอนตอนบ่าย”
เมทินีแลกใจ “ทำไมล่ะ”
“ผมจะเฝ้าเมียไง กลัวไปแอบนัดพบคนอื่น”
เมทินีหน้าเสีย รู้สึกผิด “เธอจำเหตุการณ์วันนั้นได้แล้วใช่ไหม”
รุทรทำไก๋ “เหตุการณ์วันไหนเหรอ”
“ก็วันที่ทำให้เธอทะเลาะกับพี่กูรเพราะฉันไง แต่ฉันอยากจะบอกว่าฉันไม่ได้มีอะไรจริงๆ นะ ฉันแค่ไปเยี่ยมพี่กูรเพราะคิดว่าเค้าป่วย”
รุทรจ้องหน้านิ่ง “แล้วไง”
“แล้วเธอก็มาเห็นแล้วเข้าใจผิดไง” เมทินีถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม “ฉันขอโทษนะวาทิต”
รุทรจ้องหน้าเมทินีครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา “ผมจำไม่ได้”
เมทินีคาใจ “แต่เมื่อกี้ที่เธอพูดว่า กลัวฉันไปแอบนัดพบคนอื่นล่ะ”
รุทรตัดบท “ผมก็พูดไปตามประสาคนหวงเมียเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงอะไรเลย เมไม่ต้องคิดมากหรอก”
ว่าพลางรุทรลงนั่งข้างๆ แล้วแกล้งเบียดเมทินี จนเมทินีต้องกระเถิบออก แต่รุทรกระเถิบเข้าไปชิดอีกแล้วโอบไหล่กอดเมทินีแน่น
“เอ่อ...วาทิต...”
“ทำไมล่ะ ผมกอดไม่ได้เหรอ”
“เอ่อ...แต่ว่าเธอไม่เคย...”
รุทรไม่สนใจฟังเมทินี “วิวสวยดีนะ”
พูดจบรุทรเฉไฉชี้ให้เมทินีดูวิว พอเมทินีดูตาม รุทรก็แอบมองด้วยแววตาชิงชัง
เอื้องคำ จั่นเป็ง กำลังจัดตั้งโต๊ะอาหารมื้อเช้า กินรีเอายาของวาทิตมาจัดเตรียม สักครู่รุทรเดินเข้ามากับเมทินี เอื้องคำพอเห็นก็ไม่อยากจะคุยกับเมทินี
“วันนี้ป้าลงมือทำอาหารที่คุณวาทิตชอบทั้งนั้นเลยนะคะ”
รุทรพอเห็นอาหารก็อึ้งๆ เพราะเป็นเมนูอาหารฝรั่งหมด
“อาหารฝรั่งเหรอ”
จั่นเป็งนำเสนอ “ใช่ค่ะ สลัดซีซาร์ กับ สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าไงคะ”
รุทรยิ้มเจื่อนๆ ขณะลงนั่งที่โต๊ะ เมทินีกับกินรีนั่งตาม ระหว่างนั้นอังกูรมาพอดี ยิ้มทักรุทรโดยเฉพาะ
“วันนี้น้องชายกลับบ้านวันแรก พี่ขอมาทานข้าวด้วยนะ
กินรีพอเห็นอังกูรก็ยิ้มดีใจ แต่เอื้องคำกับจั่นเป็งสะกิดกันใจไม่ดี ส่วนเมทินีก็ลุ้นว่าสองคนจะทะเลาะกันไหม
“ได้สิพี่กูร คนเยอะๆ สนุกดี” รุทรว่า
อังกูรลงนั่งข้างๆ กินรี ตรงข้ามกับเมทินี อังกูรยิ้มทักเมทินีแต่เมทินีหลบตา รุทรแอบสังเกตทั้งคู่
กินรีเอ่ยขึ้น “จั่นเป็ง จัดอีกที่สิยืนนิ่งอยู่ได้”
“เอ่อ ป้าขอโทษนะคะคุณกูร ป้าไม่ทราบว่าคุณกูรจะมา เลยทำแค่สามที่ เพราะพ่อเลี้ยงบอกแล้วว่าจะไม่อยู่สองสามวัน”
เอื้องคำรู้สึกผิดสุดๆ อังกูรยิ้มแล้วทำท่าจะลุก กินรีรีบดึงแขนไว้
“คุณกูรทานของนรีก็ได้ค่ะ เดี๋ยวนรีไปทอดไข่เจียวทาน”
รุทรเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอกนรี” เขาหันไปทางอังกูร “เดี๋ยวพี่กูรมานั่งที่ผมก็ได้ครับ ผมสละให้”
อังกูรงง “แล้วนายล่ะ ไม่กินเหรอ”
รุทรหันไปทางเอื้องคำกับจั่นเป็ง “ที่โรงครัววันนี้ทำอะไรให้คนงาน”
จั่นเป็งบอกเป็นภาษาเหนือ “ก็มีน้ำพริกอี่ฮวก ห่อนึ่งปลา แกงผักเฮือดเจ้า”
“ที่จริงวันนี้ผมก็ดีใจนะที่มื้อแรกจะได้ทานข้าวกับพี่ชาย แต่ในเมื่ออาหารไม่พอเดี๋ยวผมกับเมขอสละไปทานที่โรงครัวแล้วกัน เชิญพี่กูรกับนรีตามสบาย ของเราสองพี่น้องไว้มื้อหน้านะครับ”
รุทรลุกขึ้นแล้วจูงเมทินีให้ลุกตาม แล้วรุทรก็เดินไปตบไหล่อังกูรให้ดูสนิทสนมก่อนพากันไป
“เอาไงดีล่ะป้า”
“ก็ตามไปดูสิ คุณวาทิตไม่เคยกินข้าวกับคนงาน อาหารรสจัดๆแบบนั้นจะกินได้หรือเปล่าก็ไม่รู้” เอื้องคำขอตัวกับอังกูรและกินรี “ขอโทษนะคะ”
เอื้องคำกับจั่นเป็งรีบพากันวิ่งออกไป
กินรีลอบยิ้มดีใจที่จะได้อยู่กับอังกูรสองต่อสอง แต่อังกูรนั่งนิ่งหงุดหงิดไม่พ่อใจ
รุทรกับเมทินีเดินมาที่รถด้วยกัน โดยรุทรพยามจับสังเกตกาอาการของเมทินีตลอด จนทั้งคู่เดินมาถึงที่รถ รุทรเห็นเมทินีดูนิ่งมากจนอดสงสัยไม่ได้
“เมไม่โกรธผมใช่ไหมที่ผมชวนไปกินที่โรงอาหาร”
“ไม่นี่ ทำไมเหรอ”
รุทรแอบเหน็บ “บางทีเมอาจจะอยากนั่งกินข้าวกับพี่กูร”
เมทินีฉุนนิดๆ “วาทิต เธอเลิกคิดเรื่องนั้นได้เลยนะ ฉันจะระวังตัวไม่ให้เรื่องเก่าๆ มันเกิดขึ้นอีก”
“ผมจะคอยดู”
รุทรพูดจบก็ยิ้มแล้วขึ้นรถ เมทินีงงกับท่าทางแปลกๆ ของเขา แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมากขึ้นรถไปด้วยกัน
ที่โรงอาหารไร่ คนงานกลุ่มหนึ่งใช้มือปั้นข้าวเหนียวจิ้มน้ำพริกใส่ปาก แล้วหยิบผักกินตามแบบคนเหนือ
เอื้องคำกับจั่นเป็งยืนช่วยกันตักแกงให้คนงาน แล้วแอบดูโต๊ะรุทร เมทินี ด้วยความงวยงง พลางสะกิดกันดู สองคนเห็นรุทรทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แถมใช้มือปั้นข้าวเหนียวจิ้มน้ำพริกแบบคนเหนืออย่างคล่องแคล่ว
จั่นเป็งแปลกใจเอามากๆ “ปกติคุณวาทิตแกไม่ชอบใช้มือทานอาหารไม่ใช่เหรอป้า ขนาดข้าวเหนียวยังใช้ช้อนตักตลอด แล้วนี่ทำไมใช้มือ”
เอื้องคำมองดูอย่างจับสังเกต “เอ็งคุมพวกล้างจานช้อนไม่ดีหรือเปล่า คุณวาทิตถึงไม่ใช้”
จั่นเป็งค้อน “แหม...ป้าก็ดูช้อนตักแกงในถาดสิสะอาดไหมล่ะ”
เอื้องคำตัดบท “แกอาจจะอยากกินแบบคนงานก็ได้มั้ง”
“นี่ก็อีก ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ ไม่เคยเห็นคุณวาทิตจะลงมาทานข้าวที่นี่เลย ป้าเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็กเคยเห็นแกกินข้าวกับคนงานหรือเปล่า”
“โอ๊ย อีนี่ เรื่องมากจริง ทำงานไปเถอะ”
“ป้านี่เม้าท์ไม่มันเลย ไว้รอพี่หนานกลับมาฉันค่อยเม้าท์ก็ได้”
เอื้องคำไม่พูดเปล่าดึงจั่นเป็งเป็นเชิงเตือนสติให้ตักอาหารด้วย
รุทรกับเมทินีนั่งกินข้าวกันสองคนที่โต๊ะยาว เพราะคนงานไม่กล้ามานั่งโต๊ะด้วย เมทินีเองก็นั่งดูวาทิตกินด้วยความแปลกใจ
“ไม่กินเหรอเม”
“ดูเธอชอบอาหารที่นี่มากนะ”
“ก็อร่อยดีนะ ทำไมเหรอ”
“ตั้งแต่ฉันแต่งงานเข้ามาที่นี่ ฉันเห็นเธอกินอาหารไทยหรืออาหารเหนือนับครั้งได้เลย ขนาดวันที่เราออกไปข้างนอกด้วยกัน เธอยังพาฉันทานอาหารอิตาเลี่ยนเลย”
รุทรชะงัก หาเหตุผล “เอ่อ...ก็..คืองี้ เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่เมรู้ไหมการที่ไปอยู่กรุงเทพฯ นานๆ มันคิดถึงอาหารบ้านเรานะ ตอนนี้ผมคิดว่าอาหารบ้านเรานี่ละเจ๋งสุดๆ ว่าแต่เมเถอะ จะเสียใจไหมถ้าต่อไปผมอาจจะพาเมกินอาหารข้างทางแทนอาหารฝรั่งหรูๆ”
“ก็ดีสิ บอกตรงๆ ฉันเบื่ออาหารที่เธอชอบกินมาก อาหารหมู่เฮาจาวเหนือแบบนี้ล่ะของโปรดฉันเลย”
เมทินียิ้มดีใจ เอาเข้าเหนียวจิ้มน้ำพริกกินอย่างอร่อยด้วย รุทรมองอย่างจับสังเกตจนเมทินีรู้ตัว
“มีอะไรเหรอ”
“เปล่า กินต่อเถอะ”
รุทรกับเมทินีกินต่อ แล้วจู่ๆ รุทรก็หยุดกินมองไปรอบๆ เมทินีมองตามงงๆว่ารุทรมองอะไร
“โต๊ะอื่นดูแน่นๆ นะ”
เมทินีมองตามรุทร ก็เห็นว่าหลายโต๊ะคนงานไปนั่งเบียดกัน ห่างๆ โต๊ะรุทรกับเธอ
“คนงานคงเกรงใจไม่กล้ามานั่งกับเราสองคน”
มีคนงานถือถาดอาหารมา สองสามคนมองหาที่นั่ง โดยพยามเดินให้ห่างโต๊ะรุทรกับเมทินี
รุทรเรียก “มานั่งด้วยกันสิ” พวกคนงานลังเล “มาเถอะน่า ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”
คนงานพยักหน้าให้กัน แล้วลงนั่งอย่างเกร็งๆ รุทรเลยยิ้มให้
“ตามสบาย คิดซะว่าคนบ้านเดียวกันกินข้าวด้วยกัน”
คนงานรู้สึกดีขึ้น ยิ้มให้กันแล้วกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย เมทินีกินไปแล้วมองท่าทีรุทรที่คุยทักทายกับคนงานแล้วแอบยิ้ม สบายใจ
ด้านกินรีกินอาหารไปคุยไปอย่างมีความสุข ที่ได้อยู่กับอังกูรสองต่อสอง
“ที่จริงอาหารพวกนี้นรีก็ทำเป็นนะคะ ตอนเรียนพยาบาลที่กรุงเทพฯ นรีแอบไปเรียนทำอาหารด้วย ไว้มีโอกาสนรีทำให้คุณกูรทานนะคะ”
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจ” อังกูรกินอาหารไม่อร่อยก็เลยวางช้อน
“อิ่มแล้วเหรอคะ”
อังกูรพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นจะกลับ กินรีรีบลุกตาม พยายามเอาอกเอาใจ
“ของหวานผลไม้หรือกาแฟไหมคะ เดี๋ยวนรีเตรียมให้”
“ไม่ละ ฉันจะกลับ”
“เอ่อ...เดี๋ยวสิคะคุณกูร”
อังกูรเดินออกไปไม่ได้สนใจกินรี
“ฮึ...ที่แท้ก็หาเรื่องจะมาหาเม”
กินรีคิดแล้วโมโห ทรุดตัวลงนั่งมองจานอาหารอังกูรที่กินไปนิดเดียว ด้วยความไม่พอใจ
ไม่นานต่อมา อังกูรขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอด แล้วลงมายืนดูข้างโรงอาหารไร่ เห็นรุทร กับเมทินี นั่งกินข้าวร่วมกับคนงาน แถมมีพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนาน
อังกูรดูแล้วงง ไม่อยากเชื่อสายตา
ชาติกินอาหารเสร็จ เดินเอาจานมาเทเศษอาหาร แล้วเอาถาดกับจานไปวางที่ภาชนะใส่เพื่อนำไปล้าง ชาติเห็นอังกูรยืนซุ่มอยู่ จึงเดินไปหา
“นี่ไอ้วาทิตมันคุยอะไรกับคนงาน”
“ไม่ทราบครับ แต่มันคุยกันสนุกสนานมาก อย่างกับเป็นคนละคน ผมว่ามันคงบ้าอย่างที่คุณกูรว่าแน่ๆเลยครับ”
ชาติหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลก แต่อังกูรจดสายตามองจ้องที่รุทรด้วยสีหน้าฉงนฉงาย ว่าทำไมรุทรเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
“มันกำลังทำอะไรของมัน”
อ่านต่อหน้า 3
เงาใจ ตอนที่ 5 (ต่อ)
คืนนั้น เมทินียืนเป่าผมหรือหวีผมอยู่ที่หน้ากระจกในห้องน้ำ ช่วงที่วางหวีก็มองเห็นมุมหนึ่งบนอ่างล้างหน้าที่มีพวกอุปกรณ์คอนแท็คเลนส์ของรุทร เธอพบว่าทุกอย่างยังอยู่ในกล่อง
เมทินีหยิบตลับใส่เลนส์ออกจากกล่องมาเปิดเอาน้ำเกลือใส่ไว้ให้ แล้วจัดวางให้เรียบร้อย
รุทรในชุดนอน เดินสำรวจห้องแล้วไปหยุดยืนที่รูปแต่งงานวาทิตที่ติดหรือตั้งอยู่ในห้อง
“ชีวิตนายมันสบายแบบนี้นี่เอง ผู้หญิงคนนั้นถึงยอมแต่งงานด้วย”
รุทรเดินมาที่เปียโนในห้องนอนแล้วนั่งลงกดเล่นๆ นิดๆ หน่อย ระหว่างนั้นเมทินีเปิดประตูห้องน้ำออกมา รุทรรีบหยุดเล่น
“ฉันนึกว่าเธอนอนไปแล้วซะอีก”
“ก็ผมรอนอนพร้อมเมไง”
“แต่ฉันยังไม่ง่วง” เมทินีเดินมานั่งด้วย “เล่นเปียโนให้ฟังหน่อยสิ”
รุทรอึ้งไป “เล่นเปียโน เอ่อ...”
ภาพเหตุการณ์ตอนที่รุทรฝึกเล่นเปียโน แต่เล่นไม่เป็นสักทีจนครูปวดหัวผุดขึ้นมา
รุทรเลยแกล้งตีหน้าเศร้า “ขอโทษนะ ผม...ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว”
เมทินีอึ้งนิ่งงันไป รุทรเริ่มหลบตาเพราะไม่มั่นใจ สุดท้ายเมทินีลุกเดินไปที่โต๊ะหยิบโน้ตเดินกลับมากาง
“นี่ไง บางทีนี่อาจจะช่วยให้เธอจำได้”
รุทรจ้องมองโน้ต “เพลงอะไร”
เมทินีงง “จำไม่ได้จริงๆ เหรอ” รุทรส่ายหน้า “คลับคล้ายคลับคลาบ้างไหม”
“ชื่อไม่คุ้นเลย ใครร้อง”
เมทินีแปลกใจ “แปลกนะ เธอเองก็จำหลายๆอย่างได้ จำคนในบ้านได้ แต่ทำไมลืมเพลงนี้”
“แล้วทำไมผมต้องจำเพลงนี้ได้ล่ะ”
“เพลงนี้เธอแต่งให้ฉัน”
“ผมแต่งเพลงนี้”
เมทินีพยักหน้ารับ รุทรกลืนน้ำลาย อึดอัดสุดๆ ไม่รู้จะบอกยังไงเหมือนกัน เลยแกล้งหาวนอน
“ง่วงเหรอ ยังไม่ดึกเลย”
รุทรอ้างว่า “ผมคงเพลียจากการเดินทางด้วย”
“จริงสิ ฉันลืมไปเลย งั้นไปนอนเถอะ”
รุทรกับเมทินีอยู่บนเตียงตัวเองเรียบร้อยแล้ว เมทินีหันมาทางรุทร
“วันนี้เธอทำเซอร์ไพร้ส์มากเลยรู้มั้ยวาทิต”
“ผมเซอร์ไพร้ส์เมเหรอ”
“ไม่ใช่แค่ฉันหรอก คนทั้งบ้านเลยแหละ ปกติเธอเคยคลุกคลีกับคนงานซะเมื่อไหร่ล่ะ แค่เดินผ่านคนงานก็กลัวกันลนแล้ว”
รุทรยักไหล่ “นี่ผมดุขนาดนั้นเลยเหรอ”
เมทินีชมจากใจ “แต่ที่เธอเป็นแบบวันนี้ก็ดีนะ ดูผ่อนคลายดี”
“ถ้าเมชอบ ผมจะเป็นแบบนี้ทุกวันเลย” รุทรทำน้ำเสียงและสีหน้ากรุ้มกริ่ม
“จะมาเป็นเพราะฉันชอบทำไม เธอเป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้นแหละดีแล้ว”
เมทินีเขินอาย หน้าแดงไม่รู้ตัว
“ง่วงนอนจัง”
รุทรหาวขึ้นมา แล้วก็เดินไปนอนด้านขวาของเตียงโดยไม่รู้ว่าเป็นคนละด้านกันกับที่วาทิตเคยนอน รุทรถอดแว่นวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง เมทินีเตรียมขึ้นเตียงนอนแล้วนึกได้
“ปกติเธอนอนเตียงซ้าย...คือ...ฉันนอนเตียงขวา”
“เอ่อ...ขอโทษ ผมลืมอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรนะ ฉันย้ายก็ได้”
“ไม่ต้องหรอกผมเอง”
รุทรบอกยิ้มๆ แล้วกลิ้งตัวมาทับตัวเมทินีอย่างจงใจ เมทินีมองรุทรด้วยความตกใจ ร้องโวยวาย
“เธอจะทำอะไรของเธอน่ะวาทิต”
“ก็ผมจะไปนอนฝั่งนี้ไง หรือจะให้ผมนอนตรงนี้”
“เธอจะบ้าเหรอ”
เมทินีพลิกตัวหนี จนทำให้ร่างรุทรกลิ้งตกเตียงไป เขาร้องโอดโอย
“โอ๊ย ผมเจ็บนะ”
“ก็เธอทำพิเรนท์ของเธอเองนิ” เมทินีหันหนี
รุทรค่อยๆ คลานขึ้นเตียงมานอนที่ตน คิดแค้นในใจ
“ถ้าเป็นนายอังกูรชู้รักเธอ เธอคงตัวอ่อนปวกเปียกไปแล้ว”
สีหน้ารุทรขยะแขยงเมทินีสุดจะประมาณ
อีกฟาก กลางดึกรอบบริเวณด้านหน้าบ้านมณีเงียบสงัด แลเห็นรถกระบะเก่าๆ ของมณีจอดอยู่
สักครู่หนึ่งชาติขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดห่างบ้านไปหน่อย ชาติเอาหมวกหรุบลงปิดหน้า ถือกล่องเครื่องมือ แลซ้ายดูขวา เมื่อเห็นว่าปลอดคนแน่ก็ปีนรั้วเข้าบ้านไป ตรงไปที่รถกระบะที่จอดอยู่
ชาติเปิดกล่องเครื่องมือ หยิบไฟฉายแล้วมุดไปใต้ท้องรถจัดการบางอย่างกับรถคันนั้น
ฝ่ายรุทรกับเมทินีนอนด้วยกันบนเตียง รุทรนั้นนอนไม่หลับด้วยไม่ชิน พลิกตัวกลับมาทางเมทินี เขาค่อยๆลืมตามองเมทินีว่าหลับหรือยัง เมื่อแน่ใจว่าเมทินีหลับแล้ว จึงผงกหัวขึ้นจ้องหน้าเมทินี คิดแค้นเธอในใจ
“เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากนะเมทินี แต่ทำไมจิตใจของเธอถึงได้ร้ายนักนะ”
ทว่ารุทรกลับเผลอหลงใหลไปกับใบหน้าสวยหวานของเมทินี เขาค่อยๆ โน้มหน้าตัวเองลงไปเกือบจะชิดหน้าเมทินี จู่ๆ เมทินีเบิกตาโพลงขึ้นมา รุทรตกใจ รีบหลับตาปี๋ แกล้งละเมอ ร้องรำลิเก
“โอ้จัน เอ๊ย จันทโครพ จะเปิดผอบเพื่อพบนางโมรา” พอท่อนต่อมาเขารำและดัดเสียงร้องลิเกเป็นเสียงผู้หญิง “ตัวน้องมีนามว่าโมรา จริตศรี อยู่ในผอบมาแรมนานมันทรมานสิ้นดี”
เมทินีมองดูรุทรที่เธอคิดว่าเป็นวาทิตงงๆ
“วาทิต วาทิต เธอเป็นอะไร”
รุทรแกล้งทำเป็นได้สติตกใจตื่น
“อ้าว เม ทำไมผมมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอว่า มาร้องรำลิเกอะไรเอากลางดึกอย่างนี้”
“สงสัยผมจะละเมอไปน่ะเม ตอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเขาชอบเปิดลิเกให้ดูนะ เลยติดมา ผมว่าเรามานอนกันเถอะนะดึกมากแล้ว”
รุทรแถไปน้ำขุ่นๆ แล้วกลบเกลื่อนทำเป็นรีบนอนทันที เมทินีมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ ก่อนจะล้มตัวลงนอนตาม
ตอนเช้า เมทินีเดินนำรุทรออกมาจากห้องนอน เพื่อลงไปทานอาหารเช้าด้วยกัน รุทรเดินออกมาโดยไม่ได้ใส่แว่นตา เมทินีมองด้วยความสงสัย จนรุทรรู้สึกได้มองเมทินีกลับ
“มีอะไรหรือเปล่าเม เห็นจ้องหน้าผมอยู่นานแล้ว”
เมทินีส่ายหัวก่อนพูดต่อ “เธอเดินนำฉันไปก่อนซิ”
รุทรในคราบวาทิตพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำออกไป เมทินีรีบเรียก
“เดี๋ยวก่อนวาทิต”
รุทรหันมามองเมทินีงงๆ
เมทินีเพ่งมองด้วยท่าทีสงสัย “เธอมองเห็นด้วยเหรอ”
“เห็นซิ ทำไมล่ะ”
“ก็เธอนะสายตาสั้นมาก ต้องใส่แว่นตลอด แล้วไม่ใส่แบบนี้จะมองเห็นได้ยังไง”
รุทรตกใจคิดหาข้ออ้าง “เออ…อ๋อ เม ผมใส่คอนแทคเลนส์แทนน่ะ”
เมทินีสงสัย “ใส่คอนแทคเลนส์งั้นเหรอ”
“จริงๆ”
รุทรยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าเมทินี เมทินีตกใจจะถอยหนี รุทรรีบโอบเอวเมทินีเอาไว้และดึงเข้าหาตัว จ่อหน้าใกล้กว่าเดิม
“ตอนนี้ผมใส่คอนแทคเลนส์แล้ว และมองเห็นได้ชัดมาก ยิ่งหน้าเมผมยิ่งเห็นชัดเลยแหละ”
รุทรยิ้มกรุ้มกริ่ม เมทินีรีบหลบหน้าหนีรุทรยอมปล่อยมือ เมทินีมองรุทรอย่างสงสัย รีบเดินหนีไป รุทรมองตามโล่งใจ
ตอนเช้าวันเดียวกัน อังกูรตื่นนอนแล้ว เวลานี้เขาส่งเงินให้ชาติ
“แกไม่ได้ทำอะไรรุนแรงนะ”
“ไม่หรอกครับ แค่ทำให้รถสตาร์ตไม่ติดเท่านั้น รับรองยังไงต้องโทร.เรียกคุณเมแน่ๆ เพราะเช้าขนาดนั้นจะหาคนช่วยทันได้ยังไง”
“ดี ขอบใจแกมาก”
“งั้นผมขอไปวัดดวงหน่อยนะครับ”
“จะไปไหนก็เรื่องของแก”
ชาติเดินออกไป อังกูรยิ้มร้าย
“ไอ้วาทิต ฉันจะเริ่มเขย่าขวัญแกแล้ว เตรียมรับมือให้ดีล่ะ”
ด้านเมทินี กำลังดูดอกไม้เตรียมจะตัดแต่งกิ่ง อังกูรเดินเข้ามาหา พอเมทินีเห็นก็สะดุ้ง อังกูรเดินยิ้มเข้ามา เมทินีจะเดินหนี อังกูรตีหน้าเศร้า พูดดีๆ ด้วย เหมือนคนสำนึกผิด อยากให้เมทินีเชื่อใจ
“ถ้าเมจะหนีพี่ก็ได้นะ แต่พี่อยากจะให้เมฟังสิ่งที่พี่จะพูดสักหน่อย”
เมทินีหยุดยืนฟัง
“พี่มานั่งคิดทั้งคืนแล้ว สิ่งที่พี่ทำลงไปมันไม่ดีเลย พี่เสียใจที่ทำร้ายคนที่พี่รักถึงสองคนทั้งเมทั้งวาทิต”
“เรื่องในอดีตให้มันจบไปเถอะค่ะ”
“ไม่ได้หรอก พี่ต้องแก้ไขให้มันดีขึ้น”
เมทินีฉงน “พี่กูรจะแก้ไขยังไง”
อังกูรจับมือเมทินี มองหน้าเมทินีทำท่าจะร้องไห้
“พี่จะตัดใจจากเม ต่อจากนี้ไปพี่จะเป็นพี่ชายที่ดีของเม”
เมทินียิ้ม ซาบซึ้ง หลงเชื่อนสนิทใจ “เมดีใจที่ได้ยินอย่างนี้นะคะ”
“ขอบคุณนะเม”
“จริงๆพี่กูรก็เหมือนกับเป็นพี่ชายของเมด้วยซ้ำ ทั้งแม่แล้วก็ไมชอบพี่กูรมาก เมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่พี่กูรดีกับเมมาตลอด”
ด้วยความดีใจ เมทินียิ้มอย่างเป็นมิตรกับอังกูร
ไม่นานต่อมา รุทรนั่งอยู่ในห้องรับแขก รับฟังเรื่องเดียวกับที่อังกูรบอกเมทินีไปแล้ว จนจบลง
“เพราะฉะนั้นพี่เลยคิดว่าพี่ขอถอยออกมาดีกว่า และพี่ก็คุยเรื่องนี้กับเมแล้วเมื่อเช้า”
เมทินีได้ฟังอีกรอบก็ชื่นชมอังกูร รุทรแอบลอบสังเกตอาการ
“วาทิต เธอว่าไง”
รุทรยิ้มกลบเกลื่อน “ผมดีใจมากครับพี่กูร เมล่ะดีใจไหม”
เมทินียิ้มกว้างดีใจ
“รู้ไหม ความรู้สึกแบบนี้มันดีกว่าตอนเราทะเลาะกันอีกนะวาทิต” อังกูรนึกขึ้นได้ “จริงสิ นายคงจำอะไรไม่ได้ แต่พี่ว่าดีนะที่นายจำไม่ได้”
อังกูรยิ้มแล้วยื่นมือมารอ รุทรจับมือเช็คแฮนด์เพื่อมิตรภาพ
เมทินียิ้มย่อง “รู้ไหม วันนี้เมว่าเมมีความสุขที่สุดเลยนะ”
เมทินียิ้มให้ทั้งสองหนุ่มอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ของเมทินีดังขึ้น เธอกดรับสาย
“แม่คะ ว่าไง อ้าวเหรอ งั้นเมไปเดี๋ยวนี้”
เมทินีกดวางสายไป อังกูรแกล้งถาม “มีอะไรเหรอเม”
“แม่บอกว่ารถเสียน่ะค่ะ ไมกับแม่เลยไปส่งดอกไม้ไม่ได้ เมคงต้องไปช่วย”
อังกูรอาสา “พี่ไปด้วยนะ”
“ผมไปด้วย” รุทรบอก
อังกูรท้วง “เฮ้ย วาทิต แต่นายแพ้ดอกไม้นะ ไปช่วยไม่ได้หรอก”
เมทินียิ้มบอกกับวาทิต “ไม่เป็นไรหรอก เธออยู่นี่ล่ะ” แล้วหันไปทางอังกูร “ไปค่ะพี่กูร”
อังกูรกับเมทินีเดินออกไป รุทรเหวอจะเอาไงดี อังกูรลอบยิ้มสมใจ
ที่โรงครัว เอื้องคำรู้สึกตกใจและดีใจเมื่อฟังข่าวดีรับอรุณจากจั่นเป็ง
“จริงเหรอ เอ็งแน่ใจนะจั่นเป็ง”
“แน่นอนที่สุด ฉันนี่เห็นกับสองตาเลยนะป้า คุณวาทิตกับคุณกูรจับมือกัน”
เอื้องคำโล่งอก “เฮ้อ...ในที่สุดพี่น้องก็กลับมาเข้าใจกัน”
“ต่อไปไร่ของเราก็คงสงบสุขกันซะทีนะ”
เอื้องคำ และจั่นเป็งยิ้มมีความหวัง
“ไป งั้นไปตั้งโต๊ะเช้ากันเถอะ”
“แต่จัดสองที่พอนะป้า คุณอังกูรกับคุณเมออกไปด้วยกันแต่เช้าแล้ว เห็นว่าจะไปส่งดอกไม้ที่กาด”
เอื้องคำงง “ไปกันสองคนเหรอ”
จั่นเป็งพยักหน้า เอื้องคำแปลกใจไม่หาย
ด้านกินรีกำลังเตรียมยาให้วาทิตอยู่ พอรู้เรื่องจากรุทรก็มีสีหน้าหงุดหงิดทันที
“ไปกันสองคน? แล้วคุณวาทิตก็ปล่อยให้ไปเหรอคะ”
“ฉันไม่รู้จะทำยังไง จะไปด้วยก็ดันติดเรื่องแพ้ดอกไม้” รุทรบ่นกับตัวเอง “เป็นโรคอื่นก็ไม่ได้”
“คุณกำลังปล่อยเสือเข้าป่า” กินรีว่า
“แต่เมื่อเช้าฉันกับพี่กูรปรับความเข้าใจกันแล้ว เค้าคงไม่ทำอะไรไม่ดีมั้ง” รุทรบอก
“รายคุณกูรน่ะนรีเชื่อค่ะ แต่เมทินี...” กินรีนึกได้ว่าควรหยุด เพราะยังไงเมทินีก็เป็นเมียเจ้านาย
“เม ทำไม”
“คุณวาทิตคะ ไอ้ที่มันวุ่นวายทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะเมทินีเองก็ไม่ปล่อยคุณกูรด้วย ถ้าไม่รีบตัดไฟแต่ต้นลม รับรองเมทีนีต้องสวมเขาให้คุณแน่”
รุทรนิ่งคิดตาม สีหน้าเครียด
หลังมื้อเช้ารุทรนั่งพักผ่อนอยู่ในห้องรับแขกคนเดียว ในหัวครุ่นคิดติดใจคำพูดกินรี
“คุณวาทิตคะ ไอ้ที่มันวุ่นวายทุกวันนี้ส่วนหนึ่ง ก็เพราะเมทินีเองก็ไม่ปล่อยคุณกูรด้วย ถ้าไม่รีบตัดไฟแต่ต้นลม รับรองเมทีนีต้องสวมเขาให้คุณแน่”
รุทรเริ่มกังวล หยิบมือถือมากดโทร. แต่พบว่าโทรศัพท์ของเมทินีลืมวางไว้ในห้องรับแขกนี่เอง รุทรกดตัดสายแล้วกดใหม่อีกครั้ง
อังกูรส่งดอกไม้เสร็จแล้ว เข็นรถกลับมาเก็บ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของเขาสั่นมีสายเข้า อังกูรหยิบมาดูแล้วยิ้ม เมื่อหน้าจอเห็นชื่อวาทิต เขาไม่กดรับและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าไป สักครู่เมทินีกับไมตรีเข็นรถมาด้วยกัน
“ดีนะพี่กูรมาช่วย ไม่งั้นพวกเราสายโดนแม่ค้าสามัคคีชุมนุมด่าเราแน่”
“ไปขึ้นรถ เดี๋ยวพี่ไปส่งไมที่มหาวิทยาลัย”
ไมตรีเกรงใจ “ไม่ต้องครับพี่กูรผมเกรงใจ”
“นั่นสิคะ พี่กูรต้องกลับไปทำงานไม่ใช่เหรอ”
“ไอ้ชาติมันดูแทนอยู่แล้ว เมไม่ต้องเกรงใจหรอก”
เมทินีท้วงอีก “แต่เมอยากกลับไร่ด้วยค่ะ”
“ทำไม...วาทิตเหรอ”
เมทินีพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ ไม่รู้รอกินข้าวหรือเปล่า”
วูบแรกอังกูรรู้สึกไม่พอใจ แต่พยามเก็บอาการ
“เอางี้ งั้นพี่ซิ่งไปส่งไมแค่นี้คงไม่เป็นไรมั้ง แล้วเราค่อยกลับไร่นะ”
อังกูรพูดเป็นเชิงบังคับ เมทินีเลยต้องจำยอม หันไปพยักหน้ากับไมตรีเป็นเชิงว่าไปเถอะ
เมทินีกับไมตรีขึ้นรถไป อังกูรลอบยิ้มสมใจ แล้ววิ่งไปขึ้นอีกด้าน ขับรถออกไป
อ่านต่อหน้า 4
เงาใจ ตอนที่ 5 (ต่อ)
รถอังกูรแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกคณะเกษตรฯ ภายในมหาวิทยาลัยแม่โจ้ พอรถจอดสนิทไมตรีจึงถามขึ้นว่า
“แล้วพรุ่งนี้พี่กูรกับพี่เมจะมาช่วยไมหรือเปล่า”
“มาสิ พี่จะมาจนกว่ารถจะซ่อมเสร็จ” อังกูรรีบรับปาก
“ไม่ต้องก็ได้มั้งคะ เกรงใจพี่กูร”
“เม...เมื่อก่อนพี่ก็ทำแบบนี้นะ” อังกูรตัดพ้อในที
เมทินีจำใจ “ก็ได้ค่ะ”
“สุดยอดไปเลย งั้นไมไปเรียนนะครับ”
ไมตรียิ้มร่า ไหว้ลาแล้วลงจากรถแล้วเดินเข้าตึกคณะเกษตรฯไป
อังกูรจะขับรถออก แล้วเบรกกึกทันทีจนเมทินีแปลกใจ
“มีอะไรเหรอพี่กูร”
“ตายละพี่ลืมไปเลย วันนี้พี่ว่าจะไปเยี่ยมตัวแทนจำหน่ายส้มของเรา”
“งั้นไม่เป็นไร เมกลับไร่เองก็ได้”
“ไม่ได้หรอก พี่จะให้เมนั่งรถกลับไปคนเดียวได้ไงตั้งไกล แล้วทางไปไร่มันก็เปลี่ยวด้วย พี่ไม่ยอม เมไปกับพี่นะ ไม่นานหรอก”
“อืม...ก็ได้” เมทินีเปิดกระเป๋าถือหาโทรศัพท์ “เอ๊ะ...โทรศัพท์เมไปไหน” เธอนึกขึ้นได้ “ตายแล้ว สงสัยวางไว้ที่ห้องรับแขก”
อังกูรดักคอ “จะโทร.บอกวาทิตใช่ไหม พี่โทร.ให้นะ”
เมทินีจำใจพยักหน้ารับ อังกูรลอบยิ้มดีใจ ขณะออกรถไป
เวลาเดียวกัน ที่ห้องรับแขกบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ รุทรคุยโทรศัพท์อยู่ในนั้น
“งั้นผมไปรับเมก็ได้ จะได้ไม่เป็นภาระของพี่กูร...” เขานิ่งฟัง “ได้ครับ ถ้าพี่กูรรับปากว่าไปไม่นานงั้นก็โอเค”
รุทรกดวางสายด้วยความรู้สึกลังเล
“ถ้ามีอะไรตุกติกฉันจัดการเธอแน่ เมทินี”
รถของอังกูรแล่นมาตามทางของถนนสายเปลี่ยว อังกูรขับรถมาอย่างมีความสุข เมทินีมองสองข้างทางด้วยท่าทีหวั่นกลัว
“ตัวแทนจำหน่ายส้มของเราเขาไม่ได้อยู่ในเมืองเหรอคะ”
“นั่นบริษัทเค้า แต่เขามีบ้านอยู่แถวนี้ เห็นว่าในเมืองมันวุ่นวาย”
อังกูรเปิดเพลงรักโรแมนติก ท่าทางอารมณ์ดีมาก
“รู้ไหม เวลาพี่มาเยี่ยมลูกค้าคนนี้ พี่ชอบขับรถไปเปิดเพลงเพราะๆ ฟัง บรรยากาศมันดีนะ”
เมทินียิ้มรับเจื่อนๆ “อีกไกลไหมคะ”
“ถึงพอดี”
รถอังกูรเลี้ยวเข้าถนนแยกเส้นหนึ่ง ยิ่งดูเปลี่ยวหนักกว่าเดิม เมทินีเริ่มใจไม่ดีมากขึ้น กระทั่งอังกูรขับรถมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ดูสวยมาก เมทินีมองสังเกตโดยรอบอีกทีเพื่อความปลอดภัย
ถัดมาไม่นาน ตรงมุมพักผ่อนบรรยากาศสวยงามร่มรื่น ของบ้านพี่กุ้ง ลูกค้าสวนส้ม แลเห็นอังกูร เมทินี นั่งคุยกับพี่กุ้งอยู่
“แหมๆ ไม่ค่อยยอมมาเยี่ยมกันเลยนะคุณอังกูร” กุ้งสัพยอกอย่างมักคุ้นกัน
“งานมันยุ่งน่ะครับพี่กุ้ง”
กุ้งยิ้ม “เข้าใจค่ะ ขนาดพี่ขอเพิ่มโควต้ายังไม่ยอมให้พี่เลย”
“ช่วงนี้คุณลุงยุ่งน่ะครับ แต่ผมส่งเรื่องให้แล้วยังไงไม่ลืมแน่ครับ”
“ขอบคุณค่ะ ไหนๆ มาแล้วก็ให้เกียรติทานอาหารกลางวันสักมื้อแล้วกัน” กุ้งหันไปยิ้มกับเมทินีอย่างเป็นมิตร “คุณด้วยนะคะ”
“เอ่อ...ก็ได้ค่ะ” เมทินียิ้มตอบ
กุ้งชอบใจ “แหม...แฟนคุณกูรนี่น่ารักนะคะ”
เมทินีรีบบอก “เอ่อ...ไม่ใช่นะคะ คือเมเป็นน้องสะใภ้พี่กูร แต่วันนี้เรามาทำธุระด้วยกันน่ะค่ะ”
กุ้งตกใจ “อุ๊ย ขอโทษนะคะแต่ยังไงพี่ก็ยินดีที่ได้รู้จักคุณเมนะคะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่ไปเตรียมอาหารให้นะคะ”
กุ้งยิ้มเอ็นดู แล้วลุกไปพร้อมกับคนรับใช้
“ขอบคุณมากนะเม รู้ไหมลูกค้ารายนี้น่ะเป็นรายใหญ่ของเลย เราต้องเอาใจเขาไว้มากๆ นะ”
เมทินีกังวลนิดๆ “แล้วเราจะต้องอยู่กันนานไหมคะ”
“ไม่มั้ง”
เมทินีถอนใจเบาๆ ขณะพยักหน้ารับ
ฝ่ายรุทรในคราบวาทิตเดินดูหนังสือในห้องนั่งเล่นด้วยความเบื่อหน่าย เอื้องคำเดินยิ้มถือขนมมาการองมาให้
“เมื่อวานทำของโปรดก็ไม่ได้กิน วันนี้ป้าเลยทำมาการองที่คุณวาทิตชอบสุดๆ มาชดเชยค่ะ”
รุทรหยิบกินหนึ่งชิ้น “โห หวานมาก”
“เป็นไง พอได้กินรสหวานที่ชอบ จำได้สนิทใจแล้วใช่ไหมคะ”
รุทรพยักหน้ายิ้มแหยๆ จำต้องกลืนเข้าปาก เอื้องคำคิดว่ารุทรชอบก็หัวเราะขำรุทรต้องขำเอาใจตามมารยาท
“กลางวันนี้ป้าทำโกลาชเนื้อนะคะ”
รุทรงง “อ..อะ..อะไรนะครับ”
“โกลาชเนื้อไงคะ คุณวาทิตน่ะเป็นคนไปหาสูตรมาสอนป้าเอง เห็นว่าเป็นอาหารเยอรมันอะไรนี่ล่ะค่ะ”
“ขอเป็นจิ๊นฮุ่มแทนแล้วกัน” เอื้องคำงงรุทรรีบแก้ “เอ่อ...คือผมเบื่ออาหารฝรั่งแล้ว”
เอื้องคำยิ้ม “ก็ดีค่ะ หันมากินของบ้านเราป้าจะได้ทำสะดวกมือหน่อย ไม่งั้นต้องเปิดตำราคุณวาทิตกันวุ่นเลย รอไม่นานนะคะทานขนมรองท้องไปก่อน”
เอื้องคำยิ้มชอบใจแล้วเดินออกไป รุทรถอนใจเซ็ง เดินไปหยุดตรงรูปวาทิตที่ติดในห้อง
“มีแต่กินๆ นอนๆขังตัวอยู่ในบ้าน...เฮ้อ นายนี่มันเกิดมาโชคดีหรือโชคร้ายวะเนี่ย”
กินรีเดินเข้ามาแล้ววางยาก่อนอาหาร
“นี่เมยังไม่กลับอีกเหรอคะ”
รุทรเดินไปกินยา
“เห็นว่าต้องไปเยี่ยมบ้านลูกค้ากับพี่กูรต่อ”
กินรีหมั่นไส้ขึ้นมาทันที “ฮึ...คุณวาทิตอยากได้ความจริงไหมล่ะคะ”
รุทรเองก็สนใจขึ้นมาทันทีเช่นกัน
มุมหนึ่งในสวมส้ม คนงานกำลังทำงานคัดส้มตามไซส์ท่าทีขะมักเขม้น รุทรกับกินรีเดินเข้ามาบริเวณนั้น
“หัวหน้าพวกเธอล่ะ”
คนงานชี้ไป กินรีมองตามไปเห็นชาตินอนหลับในเปลญวนสบายอารมณ์ รุทรกับกินรีเดินเข้าไปหา
“นายชาติ” ชาตินิ่งกินรีเรียกดังขึ้น “นายชาติ”
ชาติงัวเงียตื่น พอเห็นเป็นรุทรกับกินรีก็ไม่ได้สะทกสะท้าน แถมยังลุกขึ้นด้วยอาการขัดใจ
“มีอะไรกันครับ”
รุทรถาม “พี่กูรล่ะ”
“อยู่ที่สำนักงานมั้งครับ” ชาติหลุดปาก
“เขาบอกฉันว่าต้องไปพบลูกค้าคนสำคัญ”
ชาติรู้ทันทีว่าโดนหลอกถาม “เอ่อ...งั้นก็คงใช่”
กินรีจ้องหน้า “ตกลงเธอรู้หรือไม่รู้กันแน่”
ชาติมองหน้ารุทรกับกินรีอย่างไม่ไว้ใจและไม่พอใจ
“ผมเป็นหัวหน้าคนงานนะครับ จะไปรู้เรื่องงานผู้จัดการไร่ได้ไง”
กินรีท้วง “แต่เธอเป็นคนสนิทคุณกูร”
ชาติยิ้มกรุ้มกริ่มกวนๆ ตีฝีปาก “แต่ผมไม่ได้สนิทกับคุณนรีนี่ครับ เอาไว้เราสนิทแนบแน่นกันเมื่อไหร่ ผมจะบอกทุกเรื่องดีไหม”
กินรีถอยห่างทันที รุทรเดินเข้ามาจ้องหน้าด้วยแววตาจริงจัง
“ฉันต้องการรู้ว่าพี่กูรไปพบลูกค้าจริงหรือเปล่า ตอบมาอย่ากวน”
ชาติจ้องหน้ารุทรโดยไม่หวั่นเกรง “ไว้คุณกูรกลับมาผมจะถามให้...นะครับ”
จากนั้นชาติก็เดินหนีไปสมทบคนงาน ทำเป็นโวยวายที่คนงานทำงานช้าไม่สนใจรุทรกับกินรี
“ดูสิเลยไม่ได้คำตอบ”
“ใครว่าไม่ได้ล่ะ”
กินรีหันขวับมองรุทรด้วยสีหน้าแปลกใจ ว่ารุทรได้คำตอบอะไร
อีกฟากหนึ่ง บริเวณหน้าห้องเรียนคณะเกษตรฯ เห็นนักศึกษาปี 1 กรูกันออกมาจากห้องเรียนห้องหนึ่ง ไมตรีเดินออกมาจากประตูด้านหลังห้อง วาริน แต และฝ้ายเดินออกมาจากประตูด้านหน้า แล้วมาเจอกัน
ไมตรีกับวารินประจันหน้ากัน วารินจะอ้าปากทัก แต่ไมตรีนิ่งเดินผ่านไป วารินเลยเซ็ง
“ฉันว่าไมตรีนี่เยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ” ฝ้ายว่า
แตเย้า “ไม่ปลื้มแล้วเหรอ ไหนเมื่อก่อนบอกหล่อดี”
“หล่อแต่เยอะก็ไม่ไหว”
“เอาน่า ช่างเถอะ อุ๊ย จะเที่ยงสิบห้าแล้ว สงสัยกินข้าวไม่ทันแน่เลยอ่ะ อาจารย์นะอาจารย์ รู้ว่าปีหนึ่งต้องซ้อมเชียร์ตอนกลางวัน ก็ชอบปล่อยช้า” วารินบ่น
“ไม่ต้องกลัวจ้ะสาวๆ ฉันแอบเอาขนมมาเตรียมไว้แล้ว” แตบอก
“สุดยอด ใส่กล่องแบบนี้ดีมาก เป็นถุงเสียงดัง งั้นเราจองด้านหลังเลยนะ” วารินสรุป
แตชูขนมจากกระเป๋าถือ สามสาวหัวเราะกิ๊กกั๊กแล้วรีบเดินอารมณ์ดีไปด้วยกัน
ภายในห้องซ้อมเชียร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ตอนนี้ รุ่นพี่ปี 2 ยืนเป่านกหวีด จากสั้นๆๆๆ แล้วยาวขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนี้ เห็นนักศึกษาปี 1 ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปในห้อง
ไมตรีวิ่งมาจากประตูอีกด้านมาที่ด้านหลังห้อง เช่นเดียวกับวาริน แต ฝ้าย ก็วิ่งมาจากอีกด้าน แล้วมานั่งใกล้กันในแถวหลังก่อนเสียงนกหวีดยาวที่สุดจะจบลง
นักศึกษาปี 1 พร้อมกันในหอประชุม ทุกคนนั่งหลังตรงกันหมด
ส่วนที่ด้านหน้า พี่ปี 2 คนหนึ่งเดินมาด้านหน้า
“ดีมาก วันนี้ทำเวลากันได้ดี”
ไมตรีกับวาริน ที่ดันมานั่งข้างกัน วารินแอบมองไมตรีตลอดเวลา แต่ไมตรีไม่มองมา วารินแอบเบ้ปากใส่
“เอาล่ะ เพลงแรกเราจะร้องเพลง...” พี่ปี 2 เอ่ยชื่อเพลงของสถาบัน นักศึกษาทุกคนเริ่มร้องเพลง
ไมตรีกับวารินร้องไปด้วย แต่สามสาวจอมแก่นส่งสัญญาณให้กันว่ามีพี่ปี 2 เดินใกล้ๆ จนสักพักเมื่อรุ่นพี่เดินไป แตหยิบกล่องขนมมาเปิดแล้วส่งให้ฝ้ายกับวาริน
ไมตรีแอบมองไปด้วยร้องไปด้วย แล้วรู้สึกหิว แต่พอวารินมองมาเขาก็ทำนิ่งฟอร์มสุดๆ
สามสาวเคี้ยวคำเล็กๆ ไปด้วยร้องไปด้วย
จู่ๆ เสียงท้องร้อง วารินชะงักมองหน้าไมตรี แต่ไมตรีหลบตาแทบบ้าที่ท้องเจ้ากรรมมาฉีกหน้าเอายามนี้ แต่ก็ฝืนร้องต่อ แต่สักพักท้องก็ร้องอีก
วารินแอบแบมือขอขนมจากแต แตมองค้อนแล้วส่งผ่านฝ้ายไปให้วาริน
จังหวะนี้วารินเห็นรุ่นพี่เดินมาก็รีบซ่อน พอรุ่นพี่ผ่านไป วารินก็ส่งกล่องขนมใส่มือไมตรี ไมตรีตกใจกลัวไม่รับดันกลับ วารินดันไปอีก สองคนดันกันไปดันกันมา ปากร้องเพลงไป แต่มองหน้ากันดันถุงขนมยุกยิกอยู่อย่างนั้น
รุ่นพี่คนหนึ่งเห็นหัวของสองคนยุกยิกๆ ก็ยกมือให้หยุดทันที
เสียงนักศึกษาทั้งหมดหยุด ไมตรีวารินไม่ทันมองดันร้องต่อ จนได้สติหยุดตาม ในจังหวะที่กล่องขนมหล่นพื้นพอดี
รุ่นพี่เดินมาจ้องหน้าทั้งสองคน วารินกับไมตรีหน้าเสียเพราะเห็นหลักฐานคาตา แตกับฝ้ายรีบกลืนขนมนั่งนิ่งเอาตัวรอด
ไม่นานหลังจากนั้น สองคนถูกลงโทษให้วิ่งรอบสนาม ไมตรีวิ่งนำอยู่ โดยมีวารินวิ่งตามมา หอบไปด้วย
“นี่รอด้วยสิ”
ไมตรีนิ่งไม่พูด
“โกรธฉันเหรอ ฉันขอโทษ ฉันหวังดีอยากจะให้นายกินอะไรสักหน่อยก็แค่นั้น
ไมตรียังนิ่งไม่พูดแต่วิ่งเร่งฝีเท้ามากขึ้น
“ไมตรี รอด้วย”
วารินเร่งฝีเท้าตาม ไมตรียิ่งวิ่งห่าง
วารินหอบหนักขึ้น “นี่...พี่เค้าให้วิ่งด้วยกันมีอะไรจะได้ช่วยกันนะ”
ไมตรีไม่สนวิ่งไปอีก สักครู่เขาปาดเหงื่อ รู้สึกได้ว่าวิ่งอยู่คนเดียวเลยหยุดหันไป แล้วก็ต้องตกใจที่เห็นวารินล้มแน่นิ่งอยู่ที่พื้นสนาม
“วาริน”
ไมตรีรีบวิ่งไปดู แล้วเขย่าตัวเรียกสติ
“วาริน...วาริน”
ไมตรีตัดสินใจอุ้มวารินมาส่งที่ห้องพยาบาล เวลานี้อาจารย์ที่ปรึกษากิจกรรมเชียร์กำลังมองหน้าพวกรุ่นพี่ดุๆ เป็นเชิงตำหนิอยู่หน้าห้อง รุ่นพี่ยืนหงอกันทั้งแถบ
“รู้ล่ะว่าการเชียร์เพื่อสร้างความสามัคคี แต่ให้มันเอาแต่พอดีเถอะ อย่าถึงกับให้รุ่นน้องต้องรีบจนข้าวปลาไม่ได้กินเลย มันจะดูพวกคุณเป็นรุ่นพี่โง่ๆ บ้าอำนาจ”
ระหว่างนี้ไมตรีเดินถือกล่องข้าวผ่านอาจารย์และรุ่นพี่เข้าไปด้านใน
ยินเสียงอาจารย์เบาลง ขณะไมตรีมาถึงเตียงในสุด โดยหลังฉากกั้นเห็นวารินนอนอยู่ มีอาจารย์พยาบาลเอายาดมให้วารินดม ไมตรีเดินเข้ามาแล้ววางกล่องข้าว
“ผมฝากให้เพื่อนด้วยนะครับ”
“อ้าว ไม่รอเพื่อนฟื้นเหรอ”
“ผมก็หิวเหมือนกันน่ะครับ” ไมตรีว่า
พยาบาลยิ้มให้ ไมตรีเดินไป สักพักแตกับฝ้ายก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“เป็นไงบ้างคะอาจารย์” แตถามหน้าตื่น
“คงไม่ได้ทานข้าวน่ะ แต่เพื่อนพวกคุณซื้อมาให้แล้ว”
แตกับฝ้ายมองหน้ากันงงว่าใครกัน
วารินทานข้าวข้าวกล่องข้าวจนหมด แล้วทิ้งลงถังขยะ ขยับนั่งบนเตียงในห้องพยาบาล พลางยกน้ำดื่มตาม มีแตกับฝ้ายนั่งเป็นเพื่อน
“สงสัยฉันขอถอนคำพูดที่เคยว่าไมตรีเยอะแล้วล่ะ เพราะยังไงเวลารินมีเรื่องไมตรีก็ช่วยแกทุกทีเลย” ฝ้ายว่า
“นั่นดิ เสียดายนะถ้าตอนเจอกันครั้งแรกไม่ทะเลาะกัน ป่านนี้พวกเราได้เพื่อนดีๆ เพิ่มอีกคนแล้วเนอะ”
วารินนิ่งคิดตามคำพูดแต
“แกว่ามันสายไปเหรอ ที่พวกเราจะเป็นเพื่อนกับไมตรี”
ฝ้ายประชด “ไม่สายมั้งแก ครั้งแรกเจอกันทำเขาขายของไม่ได้”
แตเสริม “ครั้งที่สองเล่นซะเกือบติดคุก บ้านเขาต้องเสียเงินเยอะแยะ”
“ครั้งล่าสุดโดนไล่ออกจากห้องเชียร์ไปวิ่ง แต่แกก็เป็นลมจนต้องแบกแกจากสนามกีฬากลางมาที่ตึกพยาบาล” ฝ้ายว่า
วารินจ๋อยสนิท “โห...ฟังดูแล้วฉันก็ไม่น่าเป็นเพื่อนเขาจริงๆ อ่ะเนอะ”
สองสาวประสานเสียงพร้อมกัน “ใช่”
วารินเครียด คิดหนักว่าจะเอาไงดีต่อกับชีวิต
ทางด้านกุ้งพาอังกูรพาเดินชมบ้านและรีสอร์ต พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
เมทินีแอบกังวลนึกถึงวาทิตที่คอยอยู่ที่บ้าน อังกูรเห็นสีหน้านั้น ก็รู้ทันที เขาขอให้กุ้งพาเดินดูมุมนู้นมุมนี้เพื่อดึงความสนใจ
รุทรนั่งกินข้าวกลางวันกับกินรีอยู่ในห้องอาหาร กินรีรู้สึกเซ็งกินไม่ลง
“เยี่ยมลูกค้าอะไรกันใช้เวลาเป็นครึ่งค่อนวันแบบนี้”
กินรีบ่นอย่างหงุดหงิดจนรุทรสงสัย
“เธออารมณ์เสียเรื่องอะไรน่ะนรี”
“แล้วคุณวาทิตไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ ที่เมหายไปกับคุณกูรแบบนี้”
“ถ้าพี่กูรกับเมบอกว่าไม่มีอะไร มันก็คงไม่มีอะไรหรอก”
รุทรสรุปตัดบทแต่ในใจนั้นก็ไม่ได้เชื่อตามที่พูดไปสักเท่าไหร่เหมือนกัน
ฝ่ายกุ้งพาอังกูรกับเมทินีเดินเข้ามาดูห้องพักในรีสอร์ต
“เดี๋ยวคุณอังกูรกับคุณเมเดินชมรีสอร์ตกันไปก่อนนะคะ พี่ขอตัวไปเตรียมอาการกลางวันก่อน”
กุ้งเดินออกไป อังกูรกับเมทินีเดินเข้าไปดูห้องพักของรีสอร์ต เมทินีมองห้องพักอย่างชื่นชอบในการตกแต่ง
อังกูรมองเมทินีแล้วยิ้มมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน และคิดแผนแกล้งวาทิตขึ้นมาได้
เมทินีเดินเข้าไปในห้อง อังกูรเดินตามและกดโทรศัพท์มือถือหาวาทิต แต่ไม่พูด เขาเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เพื่อให้รุทรที่เข้าใจว่าเป็นวาทิตได้ยินเพียงแค่เสียง
ทางด้านรุทรรับสายอังกูร
“ฮัลโหล ครับพี่กูร...พี่กูร”
รุทรรับสาย แต่อังกูรไม่พูดอะไร จึงรอฟังการสนทนาของอังกูรกับเมทินี รุทรขบกรามแน่นด้วยความโกรธ
ฟากอังกูรกับเมทินีอยู่ด้วยกันในห้องพักรีสอร์ตของกุ้ง
“ห้องนอนที่นี่สวยจังเลยนะคะพี่กูร”
“พี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละ เมชอบไหมล่ะ”
“ชอบซิคะ” เมทินีเดินมานั่งที่เตียง เด้งตัวไปมาบนเตียง
เมทินียิ้ม สีหน้านึกสนุก “เตียงที่นี่นุ่มจังเลยนะคะพี่กูร”
อังกูรมองเมทินีแล้วยิ้ม แกล้งเดินมานั่งทับมือของเมทินี
เมทินีร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บ “อุ๊ย พี่กูรเมเจ็บ”
อังกูรถามเสียงนุ่ม “เจ็บมากไหมเม”
“เจ็บซิคะพี่กูร”
“สงสัยตัวพี่คงหนักไป”
อังกูรจับมือเมทินีขึ้นมานวดเบาๆ แต่เมทินียิ่งเจ็บ
“อุ้ย พี่กูรเมเจ็บค่ะ อุ้ย เบาๆ หน่อยซิคะพี่กูร”
“โอเคจ้ะเม พี่จะทำเบาๆ นะ”
รุทรได้ยินทุกอย่าง เขาโกรธมาก กดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ทิ้ง สีหน้า แววตา และท่าทางโกรธขึ้งถึงขีดสุด
กุ้งเดินยิ้มแย้มมาหาอังกูรกับเมทินี
“เป็นยังไงบ้างค่ะทั้งสองคน ห้องพักในรีสอร์ตของพี่สวยไหม”
กุ้งเห็นอังกูรประคองมือเมทินี ก็ตกใจ
“อ้าว มือคุณเมไปโดนอะไรมาค่ะ”
“ความผิดของผมเองน่ะครับ นั่งไม่ระวังดันไปนั่งทับมือเม”
“เมไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ”
“เดี๋ยวพี่หายามาทาให้นะคะ แล้วเดี๋ยวไปทานอาหารกลางวันเถอะค่ะ พี่จัดไว้เรียบร้อยแล้ว และจะได้เดินเที่ยวกันต่อ เชิญค่ะ”
กุ้งกับเมทินีเดินคุยกันออกไป อังกูรมองตาม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วยิ้มร้ายสะใจ
อ่านต่อตอนที่ 6