เงาใจ ตอนที่ 3
งานแต่งงานระหว่าง วาทิตกับเมทินี จัดขึ้นที่ห้องโถงชั้นล่างเรือนหลังใหญ่บ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ โดยในห้องแต่งตัวของเจ้าสาวบนชั้น 2 เวลานี้ ทิปปี้กำลังช่วยเมทินีแต่งตัวอยู่ เมทินีสวยงามมากเป็นพิเศษ ในชุดไทยจักกรีสีทอง แต่ใบหน้าเธอกลับหม่นเศร้า
“โห...แกสวยมากเลยนะ สมกับเป็นเจ้าสาวพันล้านเลย”
เมทินีท่าทางเนือยๆ ดูไม่มีความสุข จนทิปปี้รู้สึกผิดที่พูดออกไป
“ขอโทษนะเม คือฉันแค่จะบอกว่าแกสวยมาก”
“ฉันอยากให้ทุกอย่างนี่มันเป็นแค่ความฝันจังเลยทิปปี้”
เมทินีพูดเสียงลอยๆ ทิปปี้รีบเข้าไปกุมมือเพื่อนด้วยความเห็นใจ
“ฉันเข้าใจแกนะ เป็นฉันก็คงลำบากใจอ่ะ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันก็อยู่ที่นี่เวลาแกไม่สบายใจก็มาบ้านพักในไร่ฉันได้ตลอดนะ ฉันไม่มีวันทิ้งแก”
“ขอบใจนะ”
สองสาวกอดกันด้วยความเห็นใจกัน
มีเสียงเคาะประตู พ่อเลี้ยงกับวาทิตในชุดสูทสีขาวครีมมาดหล่อเหลาเดินเข้ามา วาทิตพอเห็นเมทินีก็ตกตะลึงในความสวย
พ่อเลี้ยงวิทย์เองชื่นชมว่าที่สะใภ้ไม่น้อย ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พร้อมหรือยังหนูเม”
“พร้อมแล้วค่ะพ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงวิทย์ท้วง “อะไรกัน ยังจะเรียกพ่อเลี้ยงอีก นับจากนี้ไปต้องเรียกว่าพ่อแล้วนะ”
“ค่ะพ่อเลี้ยง” พ่อเลี้ยงมองหน้าดุแกมเอ็นดู “เอ่อ...คุณพ่อ”
พ่อเลี้ยงยิ้มดีใจหันมาหาลูกชาย “เป็นไงวาทิตของพ่อวันนี้หล่อไหม”
เมทินีมองวาทิตแล้วพยักหน้าให้ แต่ทิปปี้เดินมาจ้องหน้าวาทิต
“ถ้ารู้ว่าจะหล่อได้ขนาดนี้ฉันหว่านเสน่ห์เธอไปนานแล้ว”
“เสียใจ ยังไงฉันก็ชอบเมทินี”
“โอเค...จบข่าว”
ทุกคนหัวเราะขำทิปปี้ มีแต่เมทินีที่ยิ้มเจื่อนๆ ดูไม่มีความสุข
“ไป จะได้ฤกษ์แล้ว” พ่อเลี้ยงจับมือวาทิตให้มาจับมือเมทินี “พาเจ้าสาวของลูกลงไปสิ”
วาทิตยิ้มกว้างดีใจ สองคนพากันเดินไป พ่อเลี้ยงวิทย์กับทิปปี้เดินตาม
พิธีรดน้ำสังข์จัดขึ้นภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์
วาทิตกับเมทินีปรากฏตัวออกมาในงานแต่งงานด้วยความหล่อสวยแบบสุดๆ ทำเอาทุกคนตะลึงฮือฮากันทั้งงานถึงกับปรบมือให้
เอื้องคำยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่กับจั่นเป็งอีกมุม จั่นเป็งนั้นพอเห็นเมทินีสวยงามอ่อนหวานก็ชอบ
“คุณเมนี่สวยมากเลยนะป้า”
เอื้องคำค้อนควัก ตั้งป้อมรังเกียจ “ฮึ สวย แต่ข้าเสียความรู้สึกว่ะ คบกับพี่แต่มาแต่งกับน้องเพราะเงิน”
“ป้า เดี๋ยวเค้าก็จะมาเป็นเจ้านายพวกเราแล้ว ทำใจให้ชอบเธอเถอะ”
เอื้องคำค้อนจั่นเป็งพูดประชดประชัน “เอ็งต้องไปยืนเตรียมที่ตั่งบ่าวสาวไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวนายใหม่เอ็งจะโกรธเอานะไปสิ”
จั่นเป็งเห็นเอื้องคำอารมณ์ไม่ดีก็รีบไป เอื้องคำมองเมทินีด้วยความไม่ชอบขี้หน้า ถอนใจเครียด
กิจจากับกินรีอยู่อีกมุมหนึ่งของงาน กระซิบกระซาบกับกินนรี “เห็นแล้วมันเจ็บใจ นรีน่ะไม่ได้อย่างใจพ่อเลย” เห็นกินรีคอยมองไปทางประตูเหมือนไม่สนใจ กิจจาก็เม้ง “ฟังพ่อพูดหรือเปล่า”
กินรีสะดุ้ง “เอ่อ...ค่ะ”
“อย่าลืมนะ ทำให้มันเลิกกันให้เร็วที่สุด จำไว้”
“ค่ะพ่อ”
กินรีพยักหน้ารับแบบขอไปที ดูเหมือนไม่ได้สนใจอะไรนัก สายตายังคงมองหาอังกูรอยู่
กิจจาถอนใจเซ็งมองกินรีไปด้วยความขัดใจ
อังกูรมาถึงงาน แต่เดินเลี่ยงมายืนทำใจอยู่ที่มุมหนึ่ง กินรีเดินตามมา
“ทำไมมายืนตรงนี้ล่ะคะ”
อังกูรหงุดหงิดใส่ “แล้วเธอมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“นรีก็แค่ถามน่ะคะ เห็นคุณกูรเดินออกมาจากงาน”
“เธอกำลังจุ้นจ้านกับฉันนะ”
“ขอโทษค่ะ นรีก็แค่จะแสดงความเห็นใจคุณกูรเรื่องเอ่อ....เรื่องงานแต่งงานวันนี้”
คำพูดของกินนรีเหมือนฟ้าผ่ากลางใจอังกูรเขาจ้องหน้าเธอเขม็ง
“ฉันไม่ต้องการความเห็นใจจากเธอ อย่ามายุ่งกับฉันอีก”
อังกูรมองกินรีด้วยสายตาไม่พอใจอย่างแรงก่อนเดินหนีไป กินรีมองตามแล้วถอนใจเครียด
เสียงกิจจาดังขึ้น “นรี”
กินรีสะดุ้งหันไปตามเสียงเรียกของกิจจา
“พ่อไม่ชอบให้ลูกสนใจอย่างอื่น ที่ไม่อยู่ในแผนของพ่อนะ”
พอพูดจบกิจจาก็เดินกลับเข้าด้านในกินรีจำใจต้องเดินตามเข้าไป
พ่อเลี้ยงวิทย์มีสีหน้าโกรธขึ้งดุดันขณะก้าวเข้ามา มองอังกูรยืนถือแก้วเหล้าท่าทางเมามาก มีเอื้องคำยืนอยู่ไม่ห่าง
“อังกูร แกใส่ชุดบ้าๆ แบบนี้เข้ามาในงานน้องได้ยังไง...หา”
อังกูรมองเอื้องคำหัวเราะหยัน “อ๋อ...คุณแม่บ้านล่ะซิ ได้หน้าไปกี่ศอกล่ะ”
เอื้องคำตำหนิ “งานแต่งคุณวาทิตทั้งที คุณกูรใส่ชุดดำมันไม่เหมาะโบราณเค้าถือค่ะ”
“งั้นเหรอ...แต่ฉันไม่ได้เป็นคนโบราณนี่คุณเอื้องคำ”
พ่อเลี้ยงวิทย์โกรธ “ฉันขอสั่งแกเป็นคำขาด ถ้าแกไม่เปลี่ยนชุด แกก็ไม่ต้องเข้ามาในงาน”
“ถ้าเป็นคำสั่งผมก็ต้องไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้ครับแหม...คุณลุงไม่ต้องถึงสั่งเป็นคำขาดหรอกครับ”
อังกูรหัวเราะไป สวนกับทิปปี้ที่เข้ามา ทิปปี้มองอังกูรเหลียวหลัง
“บ่าว-สาวได้เวลาหลั่งน้ำพุทธมนต์แล้วค่ะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ถอนใจ “ขอบใจทิปปี้” พ่อเลี้ยงเดินกลับเข้าไปบริเวณพิธีรดน้ำสังข์
ทิปปี้ถามทันที “มีอะไรกันเหรอป้า”
“ก็คุณอังกูรซิคะ แต่งสูทสีดำเข้ามาในงานแถมเมามากด้วย”
“นึกแล้วต้องเป็นแบบนี้ คนอกหักย่อมทำอะไรเพี้ยนๆ เสมอ” ทิปปี้ว่า
งานแต่งดำเนินไปตามพิธี วงดนตรีบรรเลงเพลงคลอสร้างบรรยากาศในงานอยู่ แขกชายหญิงอยู่ในอิริยาบถต่างๆ วาทิตในสูทสีขาวครีมใส่แว่นสดใสยืนคุยกับแขกในงาน โดยมีเมทินียืนคุยสีหน้านิ่งๆ กับเพื่อน 2-3 คน
ไมตรีกับมณีมองอยู่มุมหนึ่ง
“ผมสงสารพี่เมจังเลยแม่ พี่เมคงอึดอัดมากนะครับ”
“ถ้าเจ้าบ่าวเป็นคนที่เมอยากใช้ชีวิตด้วย เมคงจะมีความสุขมากกว่านี้”
“เพราะผมคนเดียว” ไมตรีโทษตัวเอง
“เอาน่า...ยังไงพี่เขาก็ตัดสินใจไปแล้ว หน้าที่ของไมกับแม่คือยืนเคียงข้างพี่เขานะ”
ทิปปี้เข้ามาหาเมทินีจนใกล้แล้วกระซิบ
“แกรู้ตัวหรือเปล่าเม ว่าแกกำลังจะได้ครองตำแหน่งเจ้าสาวที่หน้าบึ้งที่สุดในโลก ฝืนยิ้มบ้างก็ได้ ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันแต่งงานของแกแล้วนะ ไปได้แล้ว”
เมทินีงง “แกจะให้ฉันไปไหน”
“อ้าว...ก็ขึ้นตั่งไง โน่นพระเอกของแกรอแล้ว”
เมทินีหันไปมองเห็นวาทิตยิ้มให้พร้อมเดินมาหา วาทิตยื่นแขนรอ เมทินีคล้องแล้วเดินไปด้วยกัน
ทุกคนมองบ่าว สาว ที่พากันเดินไปอย่างชื่นชม แล้วทุกคนตาม
วาทิตกับเมทินีนั่งเคียงคู่อยู่ที่ตั่ง ดูสวยหล่อสมกัน เอื้องคำกำลังโปรยดอกกุหลาบใส่ขันน้ำมนต์ ไม่ไกลจากที่ทั้งสองนั่งเคียงกัน
“วันนี้ผมมีความสุขที่สุดเลยรู้ไหม ขอบคุณนะเมที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตผม ผมสัญญาจะดูแลเมให้ดีที่สุด ผมรักเมนะคะ”
วาทิตกระซิบบอกเมทินี เมทินีได้แต่ยิ้มรับ
พ่อเลี้ยงวิทย์เข้ามาหลั่งนำพระพุทธมนต์เป็นคนแรก ตามติดๆ มาด้วยมณี กิจจา และแขกผู้ใหญ่อีก 2-3 คน มีจั่นเป็งกับหนานทำหน้าที่คอยเอาสังข์เติมน้ำมนต์แล้วใส่พานให้แขก
จังหวะนี้ อังกูรในชุดสีดำเดินมาที่ตั่งด้วยสีหน้าแววตาเอาเรื่อง จั่นเป็งยื่นพานน้ำสังข์ให้ แต่อังกูรไม่รับ จั่นเป็งกับหนานมองหน้ากันงง
อังกูรเดินมือเปล่ามาถึงวาทิตกับเมทินีที่ก้มหน้าอยู่ ทั้งสองเห็นไม่มีการรดน้ำเลยเงยหน้าขึ้น
“ฉันขอให้นายกับเมเลิกร้างกันเร็วๆ หรือจะตายวันตายพรุ่งก็ยิ่งดีและฉันจะเอาเมของฉันคืน”
โดยที่ไม่มีใครคาดคิด อังกูรกระชากมงคลออกจากหัวของวาทิตและเมทินี แล้วโยนทิ้งไปที่พื้นพร้อมกับเหยียบซ้ำ
“พี่กูร ทำไมทำแบบนี้”
วาทิตโกรธมากกว่าตกใจรีบลุกขึ้น แต่อังกูรไม่สน พังโต๊ะที่รองมือเจ้าบ่าวเจ้าสาว แขกเหรื่อตกใจร้องวี้ดว้ายกันวุ่นวาย มณีกับไมตรีที่ยืนอยู่ก็ตกใจมาก
“ไอ้กูร! ไอ้สารเลว” วาทิตโกรธจนตัวสั่น
“แกต่างหากไอ้สารเลว แกแย่งคนรักของฉัน ถ้าไม่ใช่วิธีการสกปรกมีเหรอคนพิการอย่างแกจะได้เมไป”
วาทิตโกรธสุดขีดเข้าผลักอังกูร แต่อังกูรแข็งแรงกว่าจึงผลักวาทิตล้มลง แล้วจะเข้าไปซ้ำ แต่เมทินีวิ่งเข้ามาขวาง
“พี่กูร...พอเถอะค่ะ”
อังกูรชะงักค้าง นิ่งงันไป รู้สึกเจ็บปวดที่เห็นเมทินีมาปกป้องวาทิต
“เม เข้าข้างมันเหรอ”
“แต่ที่พี่กูรทำมันก็เกินไปนะ” เมทินีเสียงขุ่น
“น้อยไปด้วยซ้ำ พี่อยากฆ่ามัน”
อังกูรจะพุ่งเข้าไปทำร้ายวาทิต พ่อเลี้ยงวิทย์ปราดเข้าขวางด้วยสีหน้าโกรธจัด อังกูรพยายามจะเข้าไปซ้ำ พ่อเลี้ยงบันดาลโทสะตบหน้าเขาเต็มแรง ทุกคนตกใจ
ร่างอังกูรเซล้มลง แล้วนึกเจ็บใจร้องไห้ออกมาด้วยคับแค้น เขาระเบิดออกมา “ครั้งที่สองแล้วนี่คุณลุงตบหน้าผม ตบอีกหรือจะฆ่าผมก็ได้ เพราะคุณลุงทำได้ทุกอย่างถ้าอยากทำ”
“นี่แกเมาจนบ้าไปแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้เมา ผมไม่ได้บ้า ก็คุณลุงต้องการให้ผมมาแสดงความยินดีกับบ่าวสาว ผมก็มาแล้วไง”
“ฉันให้แกมาแสดงความยินดี ไม่ใช่ให้แกมาทำลายออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้ ไอ้ชาติพาอังกูรออกไป ไม่ได้ยินหรือไงฉันบอกให้พาอังกูรออกไป”
ชาติรีบเข้ามาพาตัวอังกูรที่ร้องโวยวายออกไป
“ไอ้ชาติปล่อยกู กูไม่ไป กูจะอยู่ดูหน้าไอ้คนที่มันแย่งแฟนกู”
อังกูรโวยวายไม่หยุด พยายามจะขืนแต่ด้วยความเมาเลยสู้แรงชาติไม่ได้
แต่อังกูรก็เตะข้าวของที่วางไว้ล้มระเนระนาดไปเป็นการระบายอารมณ์
มณี กับไมตรีจูงแขนกันวิ่งเข้ามาหาเมทินี ทิปปี้อยู่ข้างเมทินีที่ประคองวาทิตอยู่ วิทย์ เอื้องคำ จั่นเป็งเข้ามาดูด้วยความตกใจ เมื่อเห็นวาทิตหอบไม่หยุด
“วาทิตเป็นยังไงบ้าง”
วาทิตหอบแรงขึ้น “ผมไม่เป็นอะไรเม”
พ่อเลี้ยงวิทย์ร้อนใจ “วาทิตไหวไหมลูก จะไปหาหมอมั้ย”
วาทิตส่ายหน้า “ไม่ต้องครับ งานแต่งของผมกับเมผมจะล้มไม่ได้” เขาหอบหนัก “ยา....ขอยา”
กินรีรีบเข้ามาเอายาใส่ที่ปากแล้วพ่น ทุกคนมีสีหน้าเป็นห่วง แขกบางกลุ่มซุบซิบมอง ครู่หนึ่งวาทิตเริ่มดีขึ้น
เมทินีมองพ่อเลี้ยงวิทย์ ที่มองมาด้วยแววตาขอร้อง เมทินีสงสารพยักหน้าประคองวาทิตยืน ทุกคนปรบมือ
“เอื้องคำไม่ต้องห่วงฉัน หนาน จั่นเป็ง ช่วยกันดูแลจัดการให้เรียบร้อย”
พ่อเลี้ยงวิทย์ก้าวไปบนเวทีเล็กๆ พูดกับไมโครโฟน
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น บัดนี้ไม่มีอะไรแล้วครับ ขอเชิญทุกท่านเข้าสู่พิธีของงานต่อครับ”
แขกหญิง ชายปรบมือ ดนตรีขึ้นเพลง
บรรยากาศของงานฉลองแต่งงานดำเนินไปอย่างชื่นมื่น วาทิตกับเมทินีเปิดฟลอร์เต้นรำ นักข่าวรุมถ่ายรูป
จากนั้นบ่าวสาวยืนเด่นอยู่บนเวที แลกแหวนกัน ทุกคนในงานปรบมือ
วาทิตพูดผ่านไมค์ใบหน้ายิ้มแย้ม “ผมสัญญาว่าจะดูแลเมอย่างดีตลอดชีวิตครับ”
วาทิตกับเมทินีกอดกันให้ช่างภาพถ่ายรูป แล้วเดินลงจากเวทีเดินทักทายถ่ายรูปกับแขกในงาน
กินรีนั้นเป็นห่วงอังกูร ออกจากงานเดินมาด้อมๆ มองๆ ที่หน้าบ้านพักของเขา ชาติเปิดประตูเดินออกมาจากบ้านเจอกินรีก็แปลกใจ แต่ก็ยิ้มเจ้าชู้ให้
“คุณนรีมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“เอ่อ...ตอนเกิดเรื่องฉันเห็นคุณกูรดูเมาๆ เลยมาดูคุณกูรเป็นไงบ้าง มีอะไรให้ช่วยไหม”
ชาติงง “คุณนรีห่วงคุณกูรเหรอ”
กินรีกลบเกลื่อนกลัวจับได้ “เอ่อ...เปล่า...คือ...พ่อเลี้ยงให้ฉันมาดู”
ชาติแค้นใจแทนนาย “ฮึ...พ่อเลี้ยงตบหัวแล้วให้คุณนรีมาลูบหลังงั้นสิ”
“เอาเถอะน่ะ จะถามอะไรนักหนา ตกลงคุณกูรเป็นไงมั่ง”
“ก็ยังนั่งอารมณ์เสียอยู่ในห้องนั่งเล่นน่ะครับ นี่ก็ให้ผมไปซื้อเหล้าเพิ่ม ไหนๆ คุณนรีก็มาแล้วนั่งรถเล่นไปซื้อเหล้ากับผมไหมครับ”
พอพูดจบชาติก็ยิ้มเจ้าชู้ให้ ถูกกินรีดุ “ไม่...ฉันไม่ไป”
กินรีจะเดินไปแต่ชาติดึงมือไว้
“นี่อย่ามาทำทะลึ่งกับฉันนะ”
กินรีสะบัดมือหนีพร้อมกับว่าเสียงเขียว แต่ชาติยังยิ้มให้
“ผมไม่ได้ทะลึ่งผมเอาจริง งั้นเดี๋ยวผมซื้อเหล้าเสร็จแล้วเราออกไปเดินเล่นในคูเมืองนะครับ”
ชาติจ้องหน้ายิ้มเดินเข้ามาหา กินรีถอยห่างด้วยความไม่พอใจ
“หลีกไป ฉันจะเข้าไปดูคุณกูร” ชาติยังนิ่ง ไม่ยอมถอย “ฉันบอกให้ถอยไป หรืออยากให้ฉันไปฟ้องพ่อเลี้ยง”
พอกินรีพูดถึงพ่อเลี้ยง ชาติก็หยุด กินรีเดินเข้าในบ้านไป ชาติมองตามยิ้มๆ อยากได้..จะเอา
“สวย ดุ แบบนี้สิที่อยากได้”
กินรีเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น เห็นอังกูรนั่งซึมอยู่ที่โซฟาท่าทางเมาๆ
“กูบอกให้ไปซื้อเหล้าไงไอ้ชาติ” อังกูรพูดไม่ได้หันมามอง
“คุณกูรจะกินให้มันได้อะไรขึ้นมาคะเหล้าน่ะ”
อังกูรหันมาเห็นว่าเป็นกินรีก็หงุดหงิด “แล้วเธอมาเกี่ยวอะไรด้วย นี่เธอกำลังจุ้นจ้านกับฉันนะ”
“ขอโทษค่ะ นรีก็แค่จะแสดงความเห็นใจคุณกูรเรื่องเอ่อ....เรื่องงานแต่งงานวันนี้”
คำพูดของกินรีเหมือนฟ้าผ่ากลางใจอังกูร เขาจ้องหน้ากินรีเขม็ง
“ฉันไม่ต้องการความเห็นใจจากเธอ อย่ามายุ่งกับฉันอีก ออกไป ฉันบอกให้ออกไป”
ตอนท้ายอังกูรตวาด กินรีมองด้วยสายตาเจ็บปวดที่โดนปฏิเสธความหวังดี
“คุณจะด่าว่าฉันยังไงก็ได้คุณกูร ฉันยอมให้คุณด่าเพราะคุณเสียใจที่ผิดหวัง ดีกว่าฉันเสียใจถ้าคุณสมหวัง”
กินรีพูดบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปเงียบๆ
อังกูรกำกระดาษเช็คในมือแน่น ขณะที่เขายืนนิ่งอยู่ตรงหน้ารูปของพ่อและแม่ที่ติดประดับผนังห้องโถงบ้านอยู่ ใบหน้าอังกูรเครียดเคร่ง แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นใจ
“พ่อกับแม่ได้ยินไหมว่าคุณลุงเขาบอกว่าผมเป็นสมาชิกวุฒิธรรม เขาบอกว่าผมเป็นหลานของเขา แต่พ่อกับแม่เห็นไหมว่าเขาทำกับผมยังไง” เขาชูมือกำเช็คให้รูปพ่อแม่ดู “เขาเอาเงินห้าล้านมาให้ผมตอนที่ผมไม่ต้องการ เพราะอะไร เพราะเค้ารู้ว่าเงินนี่มันซื้อผมได้ เงินนี่มันบังคับให้ผมขายความรักของผมได้ไง”
ยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ทำไม ทำไมพ่อถึงไม่เกิดมาเป็นลูกคุณย่าใหญ่ ทำไมพ่อต้องเป็นลูกเมียน้อยที่ได้สมบัติน้อยกว่าเค้า ทำไมพ่อกับแม่ถึงทำธุรกิจล้มเหลว ทำไมไม่ทำให้มันร่ำรวยเหมือนคุณลุง รู้ไหมคนที่ต้องมารับกรรมมันคือผม” สุดท้ายอังกูรทรุดตัวลงนั่ง “มันคือผม ผมเป็นสูญเสียทุกอย่าง แม้แต่คนรักของผมลุงก็เอาไปประเคนให้ไอ้เด็กเก็บมาเลี้ยง พ่อกับแม่รู้ไหม ผมไม่เหลืออะไรแล้ว”
บรรยากาศในห้องโถงเต็มไปด้วยความวังเวงเงียบเหงา
ทั้งห้องมีแค่อังกูรกับรูปพ่อและแม่
ที่เรือนใหญ่ เตียงนอนสองเตียงขนาดใหญ่ในห้องนอนของวาทิต มีดอกไม้โรยอยู่บนเตียง
ส่วนที่โซฟามุมหนึ่งของห้อง พ่อเลี้ยงวิทย์กับมณี นั่งที่โซฟาในห้องนอนนั้น มีวาทิตกับเมทินีนั่งที่พื้น
“อยู่กันไปดูแลกันไปนะลูก หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน วาทิตก็ต้องรู้จักระงับสติอารมณ์นะลูก เราเป็นหัวหน้าครอบครัวมีคนที่ต้องดูแลแล้วจะใช้แต่อารมณ์เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ หนูเม พ่อฝากพี่เขาด้วยนะลูกมีอะไรก็หันหน้าเข้าพูดคุยกันนะลูกนะ”
“อยู่กันด้วยความเข้าอกเข้าใจนะลูกนะ” มณีอวยพรวาทิต แล้วหันไปหาลูกสาว “ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ตอนนี้เมไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว ดูแลวาทิตให้เหมือนกับดูแลตัวเองนะลูก”
ทั้งคู่ก้มลงกราบทั้งพ่อเลี้ยงวิทย์และมณี แล้ววิทย์กับมณีก็พยักหน้าให้กันแล้วลุกออกไป
ก่อนออกจากห้องเมทินีแอบจับมือแม่ไว้แน่น มณีมองลูกด้วยความรักและความสงสารจับใจ มณีลูบมือเมทินีอย่างจะให้กำลังใจ
“เข้มแข็งไว้นะลูก”
มณีบอกก่อนจะเดินตามพ่อเลี้ยงวิทย์ออกจากห้องนอนไป
ทางฝ่ายอังกูรออกมายืนอยู่หน้าบ้าน มองไปทางบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ด้วยความเจ็บปวด ชาติยืนด้วยท่าทีนอบน้อมอยู่ไม่ห่าง
“คนที่ควรอยู่ในห้องนอนกับเมตอนนี้ ควรเป็นฉันไม่ใช่ไอ้วาทิต”
“คุณกูรจะกลัวอะไร อาการของคุณวาทิตยังไงก็ทำอะไรคุณเมไม่ได้”
ชาติบอกหวังจะปลอบใจนาย แต่อังกูรหันขวับมามองตาขวาง
“ถึงมันทำอะไรไม่ได้ฉันก็ไม่ชอบ”
“ผมไม่เข้าใจคุณกูรว่าจะมาทนเจ็บทำไม ผมจะฆ่าให้ก็ไม่เอา ตกลงคุณกูรคิดจะทำอะไรครับ”
“ฉันจะเอาทุกอย่างที่ไอ้วุฒิธรรมตัวปลอมอย่างวาทิตมันได้ไปคืนมาให้หมด”
ชาติฉงน “คืนมาให้หมด นี่คุณกูรหมายถึง”
“ทั้งเม และ สมบัติของคุณลุงทุกบาททุกสตางค์”
ชาติยิ้มกระหยิ่ม “นี่คุณกูรจะกลายเป็นเศรษฐีพันล้านเหรอครับ มีอะไรให้ผมช่วยบอกได้เลยนะครับ ไอ้ชาติคนนี้ขอเป็นทาสคุณกูรตลอดไป”
ชาติดีใจที่อังกูรจะคิดเอาสมบัติของพ่อเลี้ยงมาครอง เพราะยังไงคนสนิทอย่างเขาก็ต้องได้บ้างล่ะน่า
อังกูรหันกลับไปมองบ้านด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเป็นที่สุด
ส่วนในห้องนอนบ่าวสาว ซึ่งเป็นห้องนอนวาทิตเดิมวาทิตกับเมทินีนั่งที่โซฟา วาทิตขยับเข้าหา เมทินีรีบขยับหนีด้วยสัญชาติญาณ
“ไม่ต้องกลัวหรอก สุขภาพของผมมันทำอะไรเมไม่ได้อยู่แล้ว”
“เอ่อ...ฉัน...ฉันยังไม่คุ้นกับการอยู่สองคนกับเธอน่ะ”
วาทิตยิ้ม “ผมเข้าใจ เมจะอาบน้ำก่อนไหมคะ”
“เธอก่อนแล้วกัน”
วาทิตยิ้มแล้วเดินไปในห้องน้ำ เมทินีมองตาม วาทิตยืนถอดคอนแทคเลนส์หน้ากระจกห้องน้ำ แล้วเดินมาปิดประตู เมทินีถอนหายใจโล่งอก
เมทินีนั่งฟังเสียงฝักบัวด้วยใจตุ้มๆต่อม พอเสียงฝักบัวเงียบไป เมทินีก็ใจเต้นรัวด้วยความกลัวอีกรอบ
เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก เมทินีนั่งตัวแข็งอยู่ที่เตียงไม่กล้าหันไปดู กลัวว่าวาทิตจะโป๊ออกมา
วาทิตเดินมายืนข้างๆ เมทินี “เมก็ไปอาบน้ำได้แล้วนะ”
เมทินีมองไป ก็เห็นวาทิตใส่แว่นตาและชุดนอนเรียบร้อยแล้ว เธอรีบลุกเข้าห้องน้ำไป
อาบเสร็จเมทินีค่อยๆ เปิดประตูห้องน้ำออกมา พอเห็นวาทิตนอนหลับอยู่บนเตียงก็สบายใจขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ค่อยๆ ย่องมาที่อีกด้านหนึ่งของเตียงแล้วล้มลงนอน แต่พอจะหลับตาก็ได้ยินเสียงวาทิตขยับตัวพลิกมาหา เมทินีเริ่มกังวล
“เธอจะทำอะไรอ่ะวาทิต ก็...ก็ไหนเธอว่าเธอ...เธอทำอะไรไม่ได้ไง”
วาทิตโน้มหน้ามาหาเมทินีหลับตาปี๋ วาทิตก้มลงแล้วจูบหน้าผากเมทินีเบาๆ
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะเม”
เมทินีลืมตาเห็นวาทิตยิ้ม แล้วพลิกตัวกลับไปนอนอย่างเก่า เมทินีพลิกตัวหันไปก็เห็นวาทิตนอนมองอยู่พลางยิ้มให้ เมทินียิ้มตอบ
คืนเดียวกัน พ่อเลี้ยงวิทย์อยู่ในห้องทำงานที่บ้าน ยืนดูรูปที่ชั้นวางโชว์ของ มีกรอบรูปหลายอันวางอยู่ พ่อเลี้ยงหยิบมาหนึ่งกรอบ ภาพในกรอบคือรูปของ พ่อแม่อังกูรและอังกูรวัยเด็ก ที่ถ่ายร่วมกับพ่อเลี้ยง
ชายชรามองภาพน้ำตาซึม
“พีระ พี่จะทำไงดีพี่รักกูรเขานะ แต่หลานไม่พยามเข้าใจพี่เลย”
พ่อเลี้ยงวิทย์เอารูปไปตั้งที่เดิมปิดไฟแล้วเดินออกจากห้องไป
อ่านต่อหน้า 2
เงาใจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
เช้าวันนี้ บุษบันกำลังเดินดูความเรียบร้อยในตลาด เห็นคนมาซื้อของเดินดูดถุงโอเลี้ยงหมดแล้วโยนทิ้งไปที่พื้น บุษบันวิ่งไปดักหน้าทันที
“เก็บเดี๋ยวนี้เลยไม่งั้นฉันไม่ให้มาจ่ายตลาดที่นี่จริงๆ ด้วย”
คนทิ้งรีบเก็บของไปทิ้งถัง แล้วเดินไป บุษบันมองตามตาขวางไม่พอใจ
รถกระบะของอนุวัตรแล่นมาจอดพร้อมเข่งใส่ผัก อนุวัตรลงรถมายิ้มแฉ่งให้ แต่บุษบันชะเง้อมองหารุทร
“ทำไมเป็นเธอล่ะ”
“อ๊ะๆๆ ที่แกล้งโทร.ไปบอกว่ารถเสียไปรับผักไม่ได้นี่ หวังจะให้ไอ้รุทรมันเป็นคนมาส่งผักล่ะสิ แต่เสียใจนะเจ๊ พอดีวันนี้ผมมีธุระที่อำเภอเลยขอมาส่งแทน...ได้ปะ”
พูดจบอนุวัตรก็ยิ้มกวนๆ บุษบันยิ้มหวานให้แต่ด่าเน้นคำ “สาระแน”
“โอ๊ย...เจ็บจี๊ด” อนุวัตรแกล้งงอน “ได้งั้นผมกลับ”
บุษบันอึ้ง “อ้าว แล้วผักฉันล่ะ”
“ก็เก็บ รอไอ้รุทรว่างแล้วให้มาส่งนะ”
บุษบันดีใจตะเพิดส่ง “จริงเหรอ ดีๆ งั้นรีบกลับไปเลย”
อนุวัตรฉุน “เฮ้ยเจ๊ จะบ้าเหรอ ขับไปขับมาพอดีผักเหี่ยวหมด แต่เจ๊คงชินแล้วแหละเนอะ อะไรที่มันเหี่ยวๆน่ะ”
“ใช่ ฉันเห็นในกระจกทุกวันแหละ เย้ย...นี่แกหลอกด่าว่าฉันแก่เหรอ ไอ้บ้า ไอ้คนปากเสีย”
บุษบันไล่ตีอนุวัตรพัลวัน อนุวัตรวิ่งหนีไม่ทันดูไปชนเอาแผงหนังสือจนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นร่วงลงพื้น
“แผงหนังสือฉัน! ตายแล้ว เสียหายหมดเลย ไอ้อนุวัตร จ่ายมาเลย ค่าเสียหาย”
“โธ่เจ๊ เค็มไปไหม แค่หนังสือตกก็เก็บสิ เอะอะเก็บเงินตลอด”
อนุวัตรนั่งลงจะเก็บหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ตกพื้นแล้วต้องชะงัก เห็นรูปงานแต่งงานของวาทิตกับเมทินีและพาดหัวบนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น “เสียงเชียงใหม่”
อนุวัตรหยิบหนังสือพิมพ์มาขยี้ตาเพ่งดู
บุษบันตีไหล่อนุวัตร “ว่าไง จะเก็บหรือจะจ่าย”
“แผงหนังสือของเจ๊เหรอ”
บุษบันกระแทกเสียง “เออ น่ะสิ”
“ผมเหมาหมดนี่ก็แล้วกัน”
อนุวัตรหยิบหนังสือพิมพ์ทั้งปึกมาถือแล้วส่งเงินให้บุษบัน 1,000 บาท แล้วรีบวิ่งหอบหนังสือไปขึ้นรถขับออกไปเลย
“อะไรของมัน ให้ตั้ง 1,000 หน้าลิงแล้วยังโง่อีก อิอิอิ” บุษบันงงแล้วนึกได้ “อ้าว แล้วผักฉันล่ะไอ้อนุวัตร กลับมาก่อน วันนี้ฉันก็ไม่มีของขายน่ะสิ”
ไม่ทันแล้ว อนุวัตรขับรถกระบะที่ยังบรรทุกเข่งผักออกไปอย่างเร็ว
สองหนุ่มอยู่ในห้องทำงานอนุวัตรที่โครงการหลวง รุทรถือหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นอยู่ในมือ
อนุวัตรถามด้วยความคาใจ “ตกลงนี่มันคืออะไรวะ อธิบายด่วนแกไปแต่งงานตอนไหนวะ”
“ไม่ใช่ฉัน”
“ไม่ใช่แล้วทำไมเหมือนแกยังกับแกะ ถ้าแกใส่แว่นนะใช่เลย”
รุทรยังยืนนิ่งจ้องที่รูปตาไม่กระพริบ รู้สึกแปลกใจมาก
“เป็นไงอึ้งเลยใช่ไหม”
“ใช่ ทั้งผู้ชายคนนี้แล้วก็ผู้หญิงคนนี้”
รุทรนึกถึงตอนที่เขาเจอกับเมทินี ทั้งในงานพืชสวนโลกและในกาดดอกไม้พร้อมกับอังกูร
“ผู้หญิงเหรอ” อนุวัตรยื่นหน้ามาดูอีกที แล้วผลักไหล่หยอก “เจ้าชู้ใช้ได้นะไอ้รุทร ขนาดฉันยังอึ้งลืมดูผู้หญิงเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่คุ้นๆ ว่าเคยเห็นมาก่อน”
“เรื่องผู้หญิงช่างเถอะ แต่ไอ้ผู้ชายนี่น่าสนใจกว่า ทำไมมันหน้าเหมือนแกจังวะ ถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากจากแกไปนี่ฉันเชื่อเลยนะ”
“นิยายไปแล้ว คนหน้าเหมือนมีถมเถไป พวกดารา นักการเมืองก็มี”
“นิยายที่ไหน บางทีอาจจะเป็นแม่หรือพ่อแกที่มีพี่น้องฝาแฝด แล้วพอมีลูกออกมาก็เลยหน้าเหมือนกันไง แกลองนึกดูดีๆ สิว่ามีญาติที่ไหนอีกหรือเปล่า”
“นอกจากน้ารุ้งที่เป็นแม่แท้ๆ ของรินแล้ว แม่ก็ไม่เคยเล่าถึงคนอื่นเลย”
“งั้นก็คงถึงเวลาที่แม่แรมจะเล่าได้แล้วละ” อนุวัตรว่า
รุทรนิ่งคิดตามแล้วดูรูปในหนังสือพิมพ์อีกที
แรมมองหนังสือพิมพ์ด้วยสีหน้านิ่ง แล้ววางลงบนโต๊ะเล็กในห้องนั่งเล่น
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกลูก”
รุทรกับอนุวัตรนั่งอยู่ด้วย
“วาทิตเป็นน้องชายฝาแฝดของลูก” แรมบอก
“น้องชาย...ฝาแฝด” รุทรทวนคำแบบงงๆ
“พ่อกับแม่เคยทำงานที่ไร้ส้มธนาธรของพ่อเลี้ยงวิทย์ พ่อเค้าเป็นหัวหน้าคนงาน แม่เป็นแม่ครัว หลังจากที่เราตัดสินใจแต่งงานกัน พ่อก็ลาออกไปทำงานที่ตะวันออกกลาง พอเก็บเงินจะทำทุนเปิดร้านข้าวแกงได้ ก็ชวนให้แม่ลาออกไปตั้งตัวด้วยกัน”
แรมตัดสินใจเล่าเรื่องราวหนหลังให้รุทรฟัง มีอนุวัตรอยู่ฟังด้วย
วันนั้นในอดีต แรมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานของพ่อเลี้ยงวิทย์
“ตอนสุพจน์มาลาออกฉันก็ใจหายนะ นี่แรมก็จะไปอีกคนแล้วเหรอ”
“เราก็อยากอยู่ช่วยพ่อเลี้ยงนะคะ แต่พี่พจน์เขาก็อยากสร้างครอบครัวของตัวเองเร็วๆ โอกาสมันมาแล้วก็เลยรีบคว้าเอาไว้”
“เอาเถอะ ฉันเข้าใจ เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกัน อยู่กันมาตั้งนาน”
พ่อเลี้ยงวิทย์หยิบซองสีน้ำตาลใส่เงินส่งให้ แรมรับมางงๆ เปิดออกดูเห็นว่าเป็นเงินจำนวนมากก็ตกใจ
“อุ๊ย เงินอะไรกันคะพ่อเลี้ยง ตั้งเยอะแยะ”
“เงินขวัญถุง ตอนสุพจน์มาลาออกเขาก็ไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้ฉันขอให้แรมรับไว้นะ อย่าให้ฉันเสียน้ำใจเลย”
แรมไหว้ “ขอบคุณมากค่ะพ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงวิทย์กับแรมยิ้มให้กัน
แรมกำลังเล่าความจริงให้รุทรกับอนุวัตรฟังต่อ
“แต่โชคร้าย หลังจากเปิดร้านได้ไม่นาน พ่อก็ไม่สบายหมอตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย และจากนั้นอีกไม่นาน” แรมร้องไห้เมื่อ หวนนึกถึงเรื่องคราวนั้น
พยาบาลเอาผ้าคลุมหน้าสุพจน์ที่นอนอยู่บนเตียง
แรมยืนมองร้องไห้มือลูบท้องตัวเองด้วยความเศร้า
รุทร และอนุวัตร ตั้งใจฟัง
“ตอนที่พ่อเสียแม่ตั้งท้องสามเดือนเห็นจะได้ เงินขวัญถุงแสนนึงที่พ่อเลี้ยงวิทย์ให้มาก็ร่อยหรอไปเรื่อยๆเพราะแม่ก็ทำงานอะไรไม่สะดวก แม่มารู้ก็ตอนคลอดนั่นแหละว่ามีลูกแฝด
“คือผมกับ...วาทิต” รุทรถาม
“ใช่ แต่น้องของลูกออกมาไม่ปกติ”
เหตุการณ์หลังคลอด แรมนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง มีหมอยืนอยู่ข้างๆ เตียง
“คุณได้ลูกแฝดผู้ชายนะครับ”
“ลูกแฝดเหรอคะ แล้วแกเป็นไงบ้างคะคุณหมอ แข็งแรงดีใช่มั้ยคะ”
หมออ้ำอึ้งไปนิดนึง
“คนพี่แข็งแรงดีครับ แต่คนน้อง...”
วันเดียวกันภายในห้องคลอดของโรงพยาบาล พ่อเลี้ยงอุ้มเด็กทารกซึ่งห่อด้วยผ้าขาวแนบอกด้วยความรัก
ภรรยาของพ่อเลี้ยงวิทย์นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียง หมอและพยาบาลยืนมองด้วยความเศร้าใจ
พ่อเลี้ยงวิทย์น้ำตาไหลด้วยความเสียใจอย่างมี่สุด ที่ต้องสูญเสียสิ่งที่รักและสำคัญที่สุดในชีวิต พ่อเลี้ยงอุ้มเด็กมาวางไว้กับศพภรรยาที่เตียง จูบหน้าผากเมียและลูกร้อง ค่อยๆ เอาผ้าขาวคลุมหน้าเมีย และยืนร้องไห้อย่างหนัก
หมอเดินเข้ามาใกล้พ่อเลี้ยงจะปลอบ แต่พ่อเลี้ยงวิทย์ยกมือห้ามเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าอย่าเพิ่งมายุ่งกับตนตอนนี้
พ่อเลี้ยงค่อยๆ เดินออกมาจากห้องคลอด อย่างคนสิ้นหวังในชีวิต
ขณะที่แรมยืนเศร้าอยู่หน้าห้องเด็กเล็ก แฝดน้องคนเล็กยังอยู่ในตู้อบ พ่อเลี้ยงวิทย์เดินผ่านมาเหมือนคนสิ้นหวังสูญเสียทุกอย่างในชีวิต แรมเห็นพ่อเลี้ยงจึงทัก
“พ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงวิทย์หยุดชะงักทันที หันมาหาแรม รับไหว้
“แรม มีอะไรหรือเปล่าสีหน้าไม่ดีเลย”
“ฉันมาคลอดลูกค่ะ ได้ลูกแฝด คนพี่แข็งแรงดีแต่หมอบอกว่าคนเล็กเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด จะต้องมีค่ารักษาไปตลอดชีวิตของเค้า ฉันมองหาทางไม่เจอเลยว่าจะเลี้ยงเขาได้ยังไง กรรมแท้ๆ ลูกเอ๊ย”
พ่อเลี้ยงวิทย์มองดูเด็กที่อยู่ในตู้อบแล้วก็นึกถึงลูกของตัวเองที่เพิ่งเสียชีวิตไป
“ถ้าแรมไม่ขัดข้องฉันขอรับดูแลเด็กคนนี้เอง”
แรมซึ้งน้ำใจ “พ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้ม “ฉันจะรักจะดูแลเหมือนลูกแท้ๆ ของฉันเลย ฉันสัญญา”
แรมหันไปมองตู้อบแล้วร้องไห้ “ลูกแม่ ลูกมีคนมาต่อชีวิตให้แล้วนะลูก”
แรมมองลูกน้อยคนน้องในตู้อบด้วยความรักและอาลัย พ่อเลี้ยงวิทย์เองก็มองดูเด็กน้อยด้วยความรักและความสงสาร และต่อมาผูกพันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
รุทร และ อนุวัตร กำลังคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสนใจ
“ตลอดเวลาทางพ่อเลี้ยงก็จะคอยส่งข่าวให้แม่รู้อยู่เสมอๆ”
“แต่แม่ก็น่าจะเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังบ้าง” รุทรตัดพ้อ
“แม่ขอโทษ แม่ไม่รู้จะบอกรุทรยังไง รุทรอย่าโกรธแม่เลยนะ”
“รุทร เห็นใจแม่เค้านะ”
“ผมไม่โกรธแม่หรอก เป็นฉันก็คงลำบากที่จะบอก”
รุทรได้ฟังที่อนุวัตรท้วงก็พยักหน้าเข้าใจ จับมือแรมมากุม
“ถ้าน้องอยู่กับเราเค้าก็จะลำบาก” เขาสวมกอดแม่ “แม่ทำดีที่สุดแล้ว ผมเข้าใจ”
แรมยิ้ม “ขอบใจนะลูก”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปเยี่ยมน้องกันไหมแม่ ไปกันพรุ่งนี้เลย ให้รินมันลาเรียนไปด้วย อย่างน้อยน้องจะได้รู้ว่าเขายังพวกเราเป็นญาติแท้ๆ”
แรมส่ายหน้าเศร้าๆ “อย่าดีกว่า”
“ทำไมล่ะแม่”
อนุวัตรก็งง “นั่นสิแม่ อันนี้ผมเห็นด้วยกับไอ้รุทรมันนะ”
“รุทร วัตร คิดดูให้ดีนะว่าถ้าพวกเราไปหาน้อง มันจะทำให้ดีขึ้นหรือแย่ลง เราเฝ้าดูน้องแบบห่างๆ แบบนี้ก็ดีแล้ว อย่าให้น้องต้องพะวักพะวนกับการรู้ว่ามีเราอยู่เลย แบบนี้ดีแล้วนะลูก”
“นี่ผมจะไม่ได้เจอน้องแท้ๆ ของตัวเองทั้งชีวิตเลยเหรอครับ” รุทรครวญ
อนุวัตรตบบ่าปลอบใจเพื่อน
แรมหยิบหนังสือพิมพ์มาดูอีกที “แค่ได้รู้ว่าน้องเขามีความสุข ได้แต่งงานกับคนที่ดี แค่นี้แม่ก็ดีใจกับน้องเค้าแล้ว”
“คนที่ดี แม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ด้วยเหรอ” รุทรแปลกใจ
“ก็คนที่มาขอซื้อดอกไม้ของเราวันนั้นไง เขาพูดจาดีนะท่าทางคงนิสัยดีด้วย”
“งั้นเหรอครับ”
รุทรแม้จะเออออตามแม่ แต่ยิ่งมองภาพของเมทินีก็ยิ่งกังวลสงสัย ไม่คิดว่าจะดีอย่างที่แรมว่า
อีกฟากเมทินีนั่งอยู่บนเตียงนอน ดูชุดเจ้าสาวที่แขวนเอาไว้หน้าตู้เสื้อผ้า สีหน้าใช้ความคิด
เมทินีนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนสมัยมัธยม เวลานั้นเธอกับทิปปี้ในชุดนักเรียนเดินคุยกันมา พอมาถึงหน้าเว็ดดิ้งสตูดิโอที่มีหุ่นใส่ชุดเจ้าสาวโชว์อยู่ ทิปปี้ก็หยุดดูด้วยความสนใจ
“แกเคยได้ยินหรือป่าวเม ที่เขาพูดกันว่าชุดที่ผู้หญิงใส่แล้วสวยที่สุดคือชุดเจ้าสาว”
“เคย แต่ฉันว่าใส่ชุดอะไรสวยแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับคนที่แกแต่งด้วยหรอก ชุดน่ะใส่แค่แป๊บเดียวก็ต้องถอด แต่คนน่ะแกต้องอยู่ด้วยไปจนตาย”
“ซีเรียสไปป่าวแก ของฉันนะใครก็ได้ขอให้ได้แต่งเถอะ”
“สำหรับฉัน ฉันจะแต่งงานกับคนที่ฉันรักเท่านั้น” เมทินีพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
คิดเรื่องนี้แล้ว เมทินีถอนหายใจลึก วาทิตเดินเข้ามาจับไหล่ เมทินีถึงกับสะดุ้ง
“นั่งคิดอะไรอยู่เหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก เธอมีอะไรเหรอ”
“ไปเที่ยวข้างนอกไหม ผมกลัวเมเบื่อน่ะ”
“เธอหมายถึงนอกบ้านหรือนอกไร่”
“เข้าเมืองเดินเล่นเลยดีกว่า”
เมทินีกังวล “จะดีเหรอ เดี๋ยวเธอไม่สบาย”
วาทิตหยิบกระเป๋ายามาเปิดให้ดู “นี่ไงผมให้นรีเตรียมไว้แล้ว ยาพ่น ยาอม เบอร์หมอ ป้ายห้อยคอก็มีนะเผื่อหลงกัน”
วาทิตแกล้งชูป้ายแล้วยิ้มทำท่าน่ารัก เมทินีเห็นแล้วขำ
“ทำเป็นเด็กไปได้ ที่ฉันห่วงน่ะกลัวคุณพ่อจะว่า”
“ไม่หรอก ผมบอกคุณพ่อแล้ว ไปนะคะเม ผมอยากควงแฟนของผมอวดชาวโลก”
เมทินีอมยิ้มในความเป็นเด็กของวาทิตแล้วพยักหน้ารับ เมทินีหยิบกระเป๋ายาใส่ในกระเป๋าถือของเธอแล้วยิ้มให้กัน
“ตั้งแต่เด็กๆ เธอกับฉันไม่เคยไปไหนมาไหนกันสองต่อสองเลย ถือว่านี่เป็นเดทแรกของเราแล้วกัน”
วาทิตขับรถมากับเมทินี รถแล่นมาตามถนนในเชียงใหม่ วาทิตมีสีหน้าสุขใจมาก ทั้งสองแวะไหว้พระด้วยกันเป็นอันดับแรก จากนั้นพากันมาที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ดูแพนด้า กินไอติม และพายเรือเล่น
สองคนไปเที่ยวน้ำตก วาทิตปีนขึ้นมากับเมทินี แล้วเหนื่อยจนหอบต้องนั่งพัก เมทินีรีบเปิดกล่องยาเลือกยากไม่ถูก วาทิตหอบไปขำไป แล้วหยิบยาพ่นมา สองคนขำ
สองคนตระเวนเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในเชียงใหม่ต่อ เวลานี้อยู่ที่ปางช้าง ทั้งสองขี่ช้างด้วยกันโยกเยกไปมาน่าสนุก
จนบ่ายคล้อยสองคนอยู่ที่ถนนคนเดิน วาทิตกับเมทินีเดินเล่นดูข้าวของด้วยกัน จนมาถึงมุมหนึ่ง เห็นคุณตาคุณยายคู่หนึ่ง คุณตานั่งเล่นซอ คุณยายรำ มีคนมุงดูประปราย วาทิตดึงให้เมทินีหยุดดู
“น่ารักดีนะ”
เมทินียิ้ม “ใช่”
“ตอนแก่ๆ ผมเล่นดนตรีแล้วเมรำแบบนี้นะ”
“บ้าเหรอ ฉันรำเป็นที่ไหน”
“ไม่เป็นไร แค่มีเมอยู่ด้วยในตอนที่เราแก่ไปด้วยกันผมก็พอใจแล้ว”
วาทิตยิ้มชื่นมีความหมายลึกซึ้ง แต่เมทินียิ้มรับเจื่อนๆ แล้วทั้งคู่ก็หันไปดูคุณตาคุณยายต่อ
ถัดจากนั้น วาทิตกับเมทินีเดินกินขนมมาด้วยกันตามมุมต่างๆ ในถนนคนเดินสีหน้าเบิกบาน โดยเฉพาะวาทิต
ทั้งคู่เดินมาอีกมุมหนึ่ง เจอกลุ่มเด็กนักเรียนประถมปลาย เล่นดนตรีพื้นเมืองมีคนดูเต็ม วาทิตหยุดยืนดูอีก
“เธอนี่ชอบดนตรีจริงๆ เลยนะ”
“ผมรู้จักเด็กกลุ่มนี้”
เมทินีแปลกใจ “จริงเหรอ”
เด็กๆ เล่นดนตรีจบ ทุกคนปรบมือให้ มีคนเอาสตางค์ไปใส่หมวกของคุณครูที่ยืนอยู่ ครูขอบคุณ เด็กๆ พอไหว้ทุกคนที่ให้ตังค์เสร็จก็วิ่งมาหาวาทิต ครูก็ตามเข้ามาไหว้
“คุณวาทิต ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่”
“วันนี้ผมแข็งแรงขึ้นก็เลยมาเดินเล่นครับ ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณครูกับน้องๆ เหมือนกัน”
“ก็เพราะคุณวาทิตที่บริจาคเครื่องดนตรีให้โรงเรียนเรา พวกเด็กๆ เลยมีโอกาสมาแสดงและหาเงินเป็นทุนอาหารกลางวันให้เด็กนักเรียน”
เมทินีได้ฟังแล้วก็อดชื่นชม และทึ่งไม่ได้
“ได้ฟังแบบนี้ผมก็ดีใจมากครับ”
“ก่อนปิดเทอมที่โรงเรียนเราจะมีกีฬาสี ชมรมดนตรีก็จะขึ้นแสดงด้วย คุณวาทิตไปดูสิครับ”
“ดีเหมือนกันนะครับ ตั้งแต่ผมไปคราวที่แล้วก็ยังไม่ได้ไปดูโรงเรียนอีกเลย ยังไงผมไปแน่นอนครับ” วาริตรับคำ
“ไว้ผมจะส่งจดหมายเชิญไปที่บ้านคุณวาทิตอีกครั้งนะครับ”
วาทิตกับครูยิ้มให้กัน
อีกมุมบนถนนคนเดิน เห็นวาทิตกับเมทินีเดินคุยกันมาเรื่อยๆ
“ไม่ยักรู้ว่าเธอบริจาคเครื่องดนตรีให้โรงเรียนในถิ่นทุรกันดารด้วย แล้วไปรู้จักโรงเรียนนี้ได้ไงล่ะ”
“เฟซบุ๊คไง ผมจำไม่ได้ว่าใครแชร์มาว่าโรงเรียนนี้ขาดเครื่องดนตรีพื้นเมือง”
“พอเธอรู้ก็เลยสั่งให้หนึ่งชุด”
วาทิตพยักหน้ารับ “ผมพอจะดูดีขึ้นมาบ้างไหม”
เมทินียิ้มขำ “นิดนึง”
วาทิตอ้อน “นิดเดียวเองเหรอ”
เมทินีพยักหน้ารับขำๆ วาทิตตัดสินใจจับมือเมทินี อีกฝ่ายเริ่มเขินอยากจะดึงมือออก
“วาทิต คือ เอ่อ...”
“ผมรู้ว่าเมไม่ได้รักผมเลย”
เมทินีอึดอัด “เอ่อ...วาทิต ทำไมกลับมาคุยเรื่องนี้ล่ะ”
“ผมแค่อยากจะบอกว่าผมเข้าใจความรู้สึกของเม วันนี้แม้เมจะยังไม่รักผม ผมก็จะขอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเมไปก่อน ผมไม่อยากบังคับเมให้ต้องมารักผม”
เมทินีค่อยยิ้มออกโล่งใจ
“แต่ผมไม่ยอมเป็นเพื่อนไปตลอดหรอกนะ เพราะระหว่างนี้ผมจะเอาใจเมจนกว่าเมจะรักผมเกินเพื่อน”
วาทิตยื่นมือมาจับแบบเช็คแฮนด์กัน เมทินีจับตอบ วาทิตยิ้มมีความสุข
รถของวาทิตจอดอยู่หน้าร้านอาหาร The Duke Pizza ส่วนในร้าน อาหารยกมาเสิร์ฟเป็นอาหารฝรั่งหมด
“ร้านนี้ผมชอบมาก”
“เธอคงจะชอบอาหารฝรั่งมากสินะ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ฉันเห็นเธอกินของพวกนี้”
วาทิตดีใจ “เมสนใจผมด้วยเหรอ”
“เขารู้กันทั้งโรงเรียนนั่นแหละ เพราะเธอน่ะคุณหนูอยู่คนเดียว”
วาทิตยิ้มรับเจื่อนๆ
“ผมไม่ได้หัวสูงนะ แต่ผมทานอาหารรสจัดไม่ได้ ตอนเด็กๆ คุณพ่อเลยให้ป้าเอื้องคำหัดทำอาหารฝรั่ง ผมก็เลยติดชนิดที่เรียกว่ากินได้หมดทุกอย่าง เมล่ะชอบไหมคะ”
“เอ่อ...ฉันกินของพวกนี้ไม่ค่อยเป็นหรอก กินเป็นแต่อาหารเมืองของบ้านเรา”
วาทิตหน้าเสีย “อ้าวเหรอ ผมขอโทษนะเม งั้นเดี๋ยวเราไปกินร้านต๋องเต็มโต๊ะกันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันลองดูอะไรใหม่ๆ บ้างก็ดีนะ เพราะไงฉันก็เปลี่ยนชีวิตฉันแล้ว”
เมทินีพูดไปก็นึกถึงชีวิตตัวเองที่คงไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม
“ไม่ต้องห่วงนะเม ผมจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเมตลอดไป”
ตรงจุดชมวิวแสนสวยบนเนินเขาสูงยามเย็น สีหน้ารุทรที่ยืนอยู่บริเวณนั้น เหมือนใช้ความคิดหนัก ในมือมีกล้อง และเปิดดูรูปเมทินีอยู่ สักครู่อนุวัตรเดินเข้ามายืนข้างๆ
“ใครวะ คุ้นๆเหมือนเคยเห็น เฮ้ย...นี่มันอะไรกัน แล้วทำไมแกมีรูปเมียน้องแกวะ” อนุวัตรนึกได้ “เดี๋ยว...งั้นรูปผู้หญิงที่แกแอบดูคืนนั้นแต่ไม่ให้ฉันดูก็คือคนนี้”
“ฉันเจอเขาสองครั้ง เห็นน่ารักดีก็เลยแอบถ่ายรูปไว้ แต่พอฉันเคยเจอว่าเขาอยู่กับแฟนก็เลยไม่ได้สนใจอีก”
อนุวัตรเซ็งแทน “แบบนี้มันยิ่งกว่าอกหักอีกนะเนี่ยแอบรักเมียน้อง มันก็น่ากลุ้มหรอกว่ะ”
“ไอ้บ้า ฉันไม่ได้กลุ้มเรื่องนั้นโว้ย ฉันสงสัยว่าที่ฉันเจอเขาน่าจะเป็นแฟนกับผู้ชายอีกคนนึงแต่ทำไมถึงมาแต่งงานกับ...”
รุทรยังเอ่ยปากเรียกวาทิตว่าน้องไม่สนิทปาก
“กับน้องชายฝาแฝดของแก” อนุวัตรบอกแทน
“เออ..นั่นแหละ แกว่ามันไม่แปลกเหรอเป็นแฟนกับอีกคนนึงแต่มาแต่งงานกับอีกคนนึง”
“เลิกกับแฟนเก่าแล้วมั้ง”
“จะบ้าเหรอ ยังกอดยังส่งดอกไม้ด้วยกันไม่กี่วันนี้เอง ปุบปับก็มาแต่งงานกับน้องฉัน เป็นไปไม่ได้ นอกจากว่า...”
“นางจะคบสองคนแต่แรก...” รุทรพยักหน้ารับ “อั๊ยยะ! ผู้หญิงคนนี้เจ้าชู้นะเนี่ย รักคนได้ตั้งสองคนในเวลาเดียวกัน”
“หรือไม่ก็รักคนเดียว แต่หลอกอีกคน”
“เฮ้ย ไอ้รุทร แรงไปหรือเปล่า”
“ฉันอยากเห็นกับตาว่ะว่าวาทิตกับ...เมียเขารักกันดีหรือเปล่า”
“สายเลือดมันแรงจังว่ะ แค่รู้ว่าเป็นน้องก็ห่วงซะแล้ว ว่าแต่แกจะเข้าไปที่ไร่ยังไงล่ะ”
ทั้งคู่นิ่งไป คิดไม่ตกเหมือนกัน
ทางด้านอังกูรนั่งกินเหล้าเมามายอยู่ที่สระว่ายน้ำบ้านพ่อเลี้ยง พยามกดโทรศัพท์หาเมทินี แต่เป็นเสียงข้อความติดต่อไม่ได้ ชาติเดินเข้ามาหา
“จั่นเป็งบอกว่าคุณเมออกไปข้างนอกกับคุณวาทิตตั้งแต่สายๆ แล้วครับ”
“ไปไหน”
“ไปเที่ยวในเมืองครับ”
“งั้นแกมานั่งกินเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
ชาติเปรี้ยวปาก “จะดีเหรอคุณกูร พ่อเลี้ยงแกยิ่งเข้มงวดเรื่องห้ามกินเหล้า เล่นการพนันในไร่”
“ฮึ...จะมาทำเป็นรักษากฎอะไรตอนนี้ ปกติแกก็แหกทุกกฎที่คุณลุงตั้งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แต่นั่นคือผมแอบทำ ไม่ใช่มานั่งโจ๋งครึ่มที่บ้านพ่อเลี้ยงแบบนี้ ถ้าแกมาเห็นคุณกูรจะช่วยผมไหม”
“โธ่เว้ย ไปไหนก็ไปเลย ไอ้ขี้ขลาด” อังกูรพาล
พอชาติเดินจากไป กินรีที่ซุ่มดูอยู่นาน ก็เดินออกมาหา
“คุณกูรดื่มแต่วันเลย มีอะไรตกถึงท้องบ้างหรือยังเนี่ย เดี๋ยวจะท้องไส้พังเอาได้นะคะ”
กินรีถามด้วยความเป็นห่วง อังกูรไม่พูดอะไรยกเหล้าขึ้นดื่มต่อ
“นรีไม่อยากให้คุณกูรมองอะไรแค่จุดเดียว เพราะมันจะเห็นอะไรที่ซ้ำๆไม่ต่างไปจากเดิม ลองมองไกลจากที่เก่าดูมั่งสิคะ อาจจะเห็นอะไรดีดีที่รออยู่ก็ได้”
“นรี เธอคิดว่าเธอเป็นใครถึงมาพล่ามบ้าบออยู่ได้”
“เอ่อ...นรีแค่เป็นห่วง”
“อย่ามาห่วงอะไรฉันเลย ฉันรำคาญ....ไปสิ”
กินรีเสียใจจะเดินไป ระหว่างนั้นอังกูรมองไปไกลๆ เห็นรถของวาทิตแล่นเข้ามา
อังกูรรีบลุกไปดู เห็นวาทิตกับเมทินี เดินลงมาด้วยกันช่วยกันถือของมีความสุขเข้าบ้านไป
อังกูรโมโหมากกำแก้วแตกคามือแล้วปล่อยตกแบบไร้ความรู้สึก
“ตายแล้วคุณกูร” กินรีพยามดึงมานั่งจะดูแผลให้ “คุณกูร มานั่งเถอะค่ะ นรีทำแผลให้”
อังกูรเพิ่งดูมือตัวเองพบว่าเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน กินรีมองอังกูรแล้วยิ่งสงสาร
อ่านต่อหน้า 3
เงาใจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
หลังมื้อค่ำคืนนั้น วาทิตนั่งอยู่ที่เปียโนในห้องโถง ท่าทางขึงขัง มีเมทินีนั่งอยู่ข้างๆ
“เพลงนี้ผมแต่งให้เมคนเดียวเลยนะ ชื่อว่าเพลง...รอรัก”
วาทิตเล่นเปียโนพร้อมกับร้องเพลงที่แต่งเองไปด้วย เมทินีฟังด้วยความเพลิดเพลินจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
“เม ยิ้มแสดงว่าชอบเพลงของผม”
“ก็เพราะดี”
“เม อยากลองเล่นเปียโนไหม ผมสอนให้”
“ไม่ละ เคยเรียนตอนเด็กๆ แล้ว”
“จริงดิ แล้วทำไมเล่นต่อล่ะ ไม่ชอบเหรอ”
เมทินีชะงักเศร้าไปเมื่อนึกถึงความหลัง “หลังจากพ่อเสีย ฐานะทางบ้านก็แย่ลง แม่ต้องทำงานคนเดียวเพื่อเลี้ยงฉันกับไม ฉันอยากช่วยแม่ประหยัดเงินเลยคิดว่าเลิกเรียนดีกว่า”
“ถ้างั้นเมลองเรียนอีกครั้งนะ ผมจะสอนเอง”
“โอ๊ย...ไม่เอาแล้ว ฉันลืมไปหมดแล้วมั้ง มือไม้ก็แข็งแล้วด้วย จะพรมนิ้วอะไรก็คงไม่ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไร เมก็ค่อยๆ รื้อฟื้นมันกลับมาสิ นะๆ เราเล่นด้วยกัน”
วาทิตยิ้มให้ เริ่มใช้มีข้างหนึ่งกดตามตัวโน้ต แล้วพยักหน้าให้เมดูโน้ต เมทินีดูแล้วกดตามแต่เสียงเพลงแปร่ง ทั้งสองหัวเราะขำ แล้วเล่นต่อ แต่เมทินีเล่นผิดอยู่เรื่อย วาทิตยิ้มมีความสุข
สองคนไม่รู้ว่าอังกูรซึ่งมือมีผ้าพันแผลอยู่เดินมาจดสายตามองดูด้วยความแค้น
อีกฟากหนึ่ง ทุกคนอยู่ในห้องนั่งเล่นกันพร้อมหน้า วารินดูหนังสือพิมพ์ ยิ้มกว้างดีใจ
“นี่รินมีพี่ชายอีกคนจริงๆ เหรอแม่”
“ก็จริงน่ะสิ”
วารินกรี๊ด “อ๊าย... ตื่นเต้น”
อนุวัตรค่อน “จะตื่นเต้นไปทำไม แม่แรมบอกแล้วนี่ว่าต่างคนต่างอยู่ยังไงก็ไม่เจอกัน”
“ยังไงก็ตื่นเต้นแหละน่า อยู่ๆ มีพี่เพิ่มอีกคน แถมยังได้พี่สะใภ้อีก คนนี้รินเล็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่พี่เขามาซื้อดอกเสี้ยน สมน้ำหน้าพี่รุทรอยากเล่นตัวเลยอดเลย”
รุทรนั่งเหม่อไม่ทันได้ฟัง วารินเริ่มสังเกต
“พี่รุทร ไม่ได้ยินที่รินพูดเหรอ”
“เอ่อ...ได้ยินสิ พี่ก็ว่างั้น” รุทรบอกกับแม่ “ผมไปนอนก่อนนะ”
รุทรพูดจบก็ลุกขึ้นไปเลย เล่นเอาแรม อนุวัตร และวารินงงกันไปทั้งแถบ
“พี่รุทรเป็นอะไรอ่ะแม่ พี่วัตร”
แรมรู้สึกเศร้าไปนิด อนุวัตรสะกิดเตือนสติให้วารินเงียบ วารินงงๆ
มองผ่านหน้าต่างเข้าไป เห็นแรมนั่งเศร้าอยู่ลำพังในโถงบ้าน
อนุวัตรกับวารินยืนคุยกันสองคนอยู่ด้านนอก
“ไอ้รุทรมันอยากเจอน้อง แต่ไม่อยากขัดใจแม่ ส่วนแม่ก็คงรู้สึกผิดที่ห้ามไม่ให้พี่น้องเจอกัน”
“ขนาดรินเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง รินยังอยากเจอเลย เฮ้อ...นี่ถ้าแม่พอมีฐานะ พี่น้องคงไม่พลัดพรากกันเนอะ”
“เราจะบังคับทุกอย่างให้เป็นอย่างใจเราไม่ได้หรอก โดยเฉพาะโชคชะตา”
วารินงง “พี่วัตร! หัวลิงอย่างพี่ยอมจำนนกับโชคชะตาง่ายๆ แบบนี้เหรอ”
อนุวัตรเซ็ง “โห...ริน ด่าพี่ทำไมอ่ะ”
“ก็จริงไหมล่ะ หัวลิงที่รินพูดหมายถึงความว่องไวในการใช้สมอง คิดดูสิปกติพี่วัตรเป็นคนหล่อ...ฉลาด แสนซน ปนน่ารัก พี่ต้องมีแผนดีๆ มาช่วยพี่รุทร ไม่ใช่แบบนี้ พี่วัตรสุดหล่อไม่ใช่แบบนี้”
อนุวัตรยิ้มเขินตีแขนริน “บ้าอ่ะ น้องริน พูดข้อดีพี่ซะครบเลย”
“รินพูดความจริง แต่ถ้าพี่วัตรช่วยพี่รุทรเรื่องนี้ไม่ได้ คุณสมบัติที่รินพูดทั้งหมด ถือว่ารินดูผิด”
อนุวัตรตกใจ “เอ้า สรุปง่ายไปไหม”
วารินยักคิ้วกวน อนุวัตรเกาหัวแกรกๆ ทำนองว่ามาเป็นธุระของตูได้ไงฟระ?
คืนนั้นรุทรนั่งที่ม้าหินเหม่อมองไปที่ทุ่งดอกเสี้ยน อนุวัตรเดินเข้ามา
“ยังคิดเรื่องที่จะไปเจอน้องชายแกอยู่เหรอวะ”
รุทรถอนใจ “ถ้าเป็นแกทั้งชีวิตแกคิดว่าครอบครัวของแกมีแค่แม่หนึ่งคน แล้วก็น้องสาวที่เป็นลูกน้าอีกหนึ่ง แต่จู่ๆแกก็มีญาติเพิ่มขึ้น แล้วแถมญาติคนนั้นก็ยังเป็นน้องชายฝาแฝดของแกอีก แกจะอยากเจอไหม”
“ไอ้รุทร ฉันเข้าใจแกว่ะ แต่แกต้องคิดให้รอบคอบนะเว้ย ที่แม่แรมพูดก็ถูก ถ้าแกไปเจอแล้วมันจะทำให้อะไรมันดีขึ้นหรือแย่ลง คนที่รับผลคือน้องชายของแกที่เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้เหมือนกับแกนะ”
“ตกลงแกก็จะบอกเหมือนทุกคน คือฉันไม่ควรเจอน้องฉันไปตลอดชีวิตใช่ไหม”
“เปล่า สำหรับฉันคิดให้รอบคอบคือวางแผนให้รอบคอบต่างหาก”
“แผนเหรอ? แกมีแผนอะไรวะ” รุทรงงๆ
“แผนฉันน่ะเด็ด แต่ก่อนอื่นฉันต้องหลอกล่อตัวช่วยมาให้แกก่อน”
“อะไรของแกวะไอ้วัตร ยิ่งฟังยิ่งงง”
อนุวัตรชักรำคาญ “ไม่เคยดูละครหรือไงวะ จะให้เท่ๆ เขาก็พูดให้งงๆ แบบนี้แหละ”
รุทรหมั่นไส้ตบไหล่อนุวัตรแล้วบีบค้างไว้ จนอนุวัตรร้องกรี๊ด
“ตกลงจะบอกได้หรือยัง”
อนุวัตรที่ไหล่เอียงหยิบโทรศัพท์มากดรายชื่อแล้วส่งให้ รุทรรับไปดูแล้วแปลกใจ
“เจ๊บุษบันเนี่ยนะ”
เช้าวันถัดมา บุษบันร้องหน้าตื่นตกใจ เมื่อได้ฟัง
“อะไรนะ รุทรจะให้บุษถ่อไปรับส้มที่ไร่ธนาธรมาขายที่นี่น่ะเหรอ”
บุษบันยืนคุยอยู่กับรุทร และ อนุวัตรบริเวณแปลงดอกเสี้ยน ตรงถนนหน้าบ้านรุทร เห็นรถของบุษบันจอดอยู่
“เอ่อ...ครับ คือผมเห็นว่าส้มที่นั่นเขาดังมาก ถ้าบุษไปเอามาขายต้องได้กำไรแน่ๆ”
“บุษไม่อยากจะเชื่อเลยว่ารุทรจะคิดเรื่องโง่ๆ ได้” อนุวัตรที่ยืนด้วยสะดุ้ง “รุทรฟังนะ ถึงบุษจะสวยและรวยมาก แต่บุษไม่โง่นะ จะบ้าเหรอให้ไปรับส้มที่เชียงใหม่มาขายแม่ฮ่องสอน ค่าขนส่ง ค่าแรง เวลาสำหรับเดินทางย้อนไปย้อนมา มันผิดหลัก Logistic เพราะการขนส่งมีไว้เพื่อทุ่นเวลา เพราะการทุ่นเวลาคือการทุ่นต้นทุนให้คนค้าขาย”
รุทรกับอนุวัตรยืนอ้าปากค้างเหวอไป ไม่คิดว่าบุษบันจะฉลาด
“โห...เจ๊...มีสมองกับเค้าด้วยเหรอเนี่ย”
“ก็แน่ล่ะสิยะ ไม่งั้นจะคุมตลาดทั้งตลาดได้ไง เรื่องพวกนี้เถ้าแก่เค้าสอนบุษไว้หมดแล้ว เขาถึงตายตาหลับทิ้งมรดกไว้ให้บุษใช้ไง”
อนุวัตรกระซิบกับรุทร “ผิดแผนแบบนี้ถอยไปตั้งหลักก่อนเถอะว่ะ”
“ถามจริงๆ เถอะ นี่วางแผนอะไรกันอยู่หรือเปล่า”
บุษบันจ้องคาดคั้น อนุวัตรรีบส่ายหน้าปฏิเสธแต่รุทรตัดสินใจยอมรับ
“ใช่ ผมมีแผน”
อนุวัตรตกใจ “เฮ้ย ไอ้รุทร”
“ผมก็แค่ มีแผนอยากจะนั่งรถเที่ยวไปกับบุษ เรารู้จักกันมาตั้งนาน ยังไม่เคยนั่งรถไปเที่ยวไหนกันเลย แต่ไหนๆ จะไปเที่ยวแล้ว ผมก็อยากให้บุษได้ประโยชน์ก็เลยให้ไปติดต่อธุรกิจซะเลย แต่ผมมันคิดน้อยไปเอง ขอโทษที่เอาเรื่องโง่ๆ มาแนะนำนะครับ”
รุทรมาแนวนี้บุษบันถึงกับเหวอไป รุทรยังเล่นต่อทำเป็นน้อยใจจะเดินไป บุษบันทนไม่ไหวรีบไปจับมือรุทรไว้
“โถ...อย่าใจน้อยสิ บอกความในใจกับบุษแต่แรกก็สิ้นเรื่อง เป็นอันว่าบุษไปกะตัวเองนะ”
รุทรได้ยินก็ดีใจ แอบหันมายิ้มกับเพื่อน อนุวัตรยกนิ้วให้ว่าสำเร็จ
“แต่บุษมีข้อแม้หนึ่งข้อง”
รุทรใจไม่ดี “เอ่อ...อะไรเหรอ”
“คือบุษอยากไปดูทะเลหมอกกับรุทร หลังจากงานนี้เราหาเวลาไปด้วยกันนะ”
บุษบันไม่สนคำตอบ แต่กรี๊ดดีใจโผเข้ากอดรุทรอย่างมีความสุข
มณีกำลังจัดดอกไม้อยู่ที่หน้าร้าน ไมตรีเพิ่งกลับจากเรียน
“สวัสดีครับแม่”
“อ้าว...วันนี้ทำไมกลับเร็วล่ะไม”
“อาจารย์มีประชุมครับ พี่เมล่ะแม่” ไมตรีเผลอแล้วนึกได้ “ลืมทุกทีเลยว่าพี่เมไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
ไมตรีพูดเศร้านิดๆ
“ใครว่าพี่ไม่อยู่” เมทินีส่งเสียงก่อนจะเข้ามาในร้าน
“พี่เม” ไมตรีร้องเรียกแล้วเข้าไปกอดด้วยความคิดถึง
ต่อมา เมทินี มณี และไมตรีช่วยกันเก็บดอกไม้ในแปลงหลังบ้าน มีคนงานช่วยเก็บอยู่สองสามคนแล้ว
“คิดถึงสวนดอกไม้จังเลย”
“โห...คนไม่คิดถึงไปคิดถึงดอกไม้” ไมตรีทำเป็นน้อยใจ
“ก็คนเห็นๆ อยู่ว่าสบายดี ไมดูแลแม่ดีๆ นะ พี่คงมาไม่ได้บ่อยนัก”
“พี่เมไม่ต้องห่วงเลย ไมจะดูแลแม่ยิ่งกว่าชีวิตของไมอีก”
ไมตรีเข้าไปกอดมณี มณียิ้มน้ำตารื้น
“แล้วเมเป็นยังไงบ้างลูก”
“สบายดีค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ดูเมสดใสกว่าวันแต่งงานอีกนะ”
“วาทิตเขาเข้าใจความรู้สึกเม เราเลยตกลงเป็นเพื่อนกันไปก่อน”
“จริงๆ พี่วาทิตก็ดีนะ ตอนแรกผมยังกลัวว่าเค้าจะเอาแต่ใจจนพี่เมทนไม่ได้” ไมตรีเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อพี่เขย
“พี่ก็คิดไม่ถึงนะ แต่ก็ดีแล้ว พี่ก็ไม่อึดอัดคิดซะว่าไปอยู่บ้านเพื่อนมีทั้งทิปปี้กับวาทิตมาค้างด้วย”
“แม่ดีใจที่เมมีความสุข ถึงอย่างนั้นเมก็ต้องดีกับวาทิตให้มากๆ สมกับที่เค้าและพ่อเลี้ยงมีบุญคุณกับเรานะ”
“ค่ะแม่ เมจะไม่ทำให้พวกเค้าต้องผิดหวังในตัวเมแน่นอน”
“โล่งอก ถ้าพี่เมมีความสุขแบบนี้ไมก็สบายใจขึ้น” ไมตรียิ้ม
“แล้วนี่เมมาที่นี่วาทิตเขาไม่ว่าเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ วันนี้วาทิตเค้ามีนัดตรวจที่โรงพยาบาล เลยให้เมมาหาแม่ เดี๋ยวพอตรวจเสร็จก็มารับ”
“แปลกดีแฮะ พี่เมเป็นภรรยาแต่สามีไม่ให้ไปตรวจสุขภาพด้วย ทำเหมือนมีอะไรที่ไม่อยากให้พี่เมรู้”
เมทินีหยักไหล่เป็นเชิงบอกไม่รู้เหมือนกัน
แต่ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่
วาทิตนั่งอยู่ตรงหน้าหมอเจ้าของไข้ภายในทำงาน
“ผลตรวจล่าสุดอาการของคุณวาทิตดีขึ้นมากจนน่าแปลกใจเชียวแหละ”
“แบบนี้แสดงว่าผมมีโอกาสที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติมั้ยครับหมอ”
“หมอยังไม่อยากให้ทำอะไรที่มันกระทบเรื่องหัวใจนะ ถึงจะดีขึ้นยังไงมันก็ไม่มีทางหายเป็นปกติได้”
“แล้วเรื่องนั้นล่ะครับหมอ ผมทำได้มั้ย”
“เรื่องการมีเพศสัมพันธ์หมอขอไว้ก่อนดีกว่า มันเสี่ยงกับอาการหัวใจวายมาก”
วาทิตรับฟังด้วยความรู้สึกผิดหวัง
ขณะที่มณีกำลังจัดดอกไม้อยู่กับเด็กลูกจ้าง วาทิตเดินเข้ามา โดยพยายามเลี่ยงๆ ดอกไม้ เพราะแพ้
“สวัสดีครับคุณแม่”
“เป็นไงเห็นว่าไปหาหมอ” มณีไถ่ถาม
“ก็ดีขึ้นครับ”
“แม่ดีใจด้วยนะ ขอให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ นะ”
“ขอบคุณครับ แล้วเมล่ะครับ”
“อยู่ในสวนกับไมแน่ะ บอกไม่เห็นดอกไม้หลายวัน เค้าคิดถึง เลยช่วยไมดูแลสวนให้หายคิดถึงซะหน่อย ไปหาเค้าสิ อุ๊ย...ไม่ได้ แม่ลืมไปว่าวาทิตแพ้ดอกไม้ แม่ไปตามให้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะอยู่ห่างๆ ขอผมไปเองนะครับ”
มณีพยักหน้ารับ วาทิตเดินออกไป
วาทิตเดินมาถึงสวนดอกไม้หลังบ้าน เขาเห็นเมทินีกับไมตรีช่วยกันรดน้ำต้นไม้มีความสุข วาทิตมองแล้วยิ้มพลอยมีความสุขไปด้วย
วาทิตเดินตามไปเรื่อยๆ สุดท้ายตัดสินใจมองดอกไม้แล้วตัดสินใจจะเดินลงไปใกล้แปลง แต่พอก้าวเท้าไปได้นิดหน่อย อาการแพ้ก็กำเริบ หอบหายใจไม่ออก เมทินีกับไมตรียังไม่เห็น ทำงานกันอยู่
วาทิต ตัดสินใจเดินต่อแล้วในที่สุดก็หายใจไม่ออก
“ม..มะ...เม”
วาทิตไม่รู้จะทำไงจะเดินออกก็ไม่ไหวสุดท้ายล้มลงชนกระถางต้นไม้ล้ม
เมทินีกับไมตรีได้ยินเสียงก็หันไป
“วาทิต”
เมทินีตกใจมากรีบวิ่งไปดู เห็นวาทิตนอนหอบ ไวเท่าความคิดรีบหยิบยาพ่นมาพ่น
“ไม ช่วยพี่พาวาทิตไปไกลๆ ดอกไม้หน่อย”
สองพี่น้องช่วยกันพาวาทิตไปนั่งพักห่างจากดอกไม้ วาทิตพ่นยาจนอาการดีขึ้นก็ยิ้มให้เมทินี
เมทินีค้อน “นี่...รู้ว่าแพ้ดอกไม้แล้วเดินเข้ามาทำไม”
“ผมเห็นเมมีความสุขที่ได้อยู่กับดอกไม้เลยอยากดูใกล้ๆ”
ไมตรีร้องแซว “ฮิ้ว..... โรแมนติกสุดๆ”
“ไม่ตลกนะวาทิต คราวหน้าอย่าทำอย่างนี้อีก”
“ผมจะทำให้ดีกว่านี้”
“ยังจะพูดเล่นอีก”
วาทิตยิ้มให้เมทินี ไมตรีเห็นแล้วขำ
คืนนี้ เมทินีนอนหลับอยู่บนเตียง วาทิตเอาผ้าห่มมาห่มให้แล้วจูบที่หน้าผากเมทินีเบาๆ จากนั้นเดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน แล้วลงมือออกแบบแปลงดอกไม้ต่อ บนโต๊ะมีหนังสือเกี่ยวกับแปลงดอกไม้สองสามเล่ม
เช้าวันนี้ รถของรุทรแล่นเข้ามาจอดที่หน้าสำนักงานไร่ส้ม บุษบัน อนุวัตร รุทรใส่หมวกไหมพรมสวมแว่นดำพรางตัว ลงจากรถ เอื้องคำเดินเข้ามาต้อนรับ
“แม่เลี้ยงบุษบันใช่มั้ยคะ พ่อเลี้ยงกำลังรออยู่เลยค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”
“ไปช่วยบุษเจรจานะคะรุทร เป็นผู้หญิงยิงเรือเดี๋ยวเขาจะเอาเปรียบ” บุษบันกอดแขนอ้อน
อนุวัตรมองเหล่ “อย่างเจ๊ใครเอาเปรียบได้ก็เทพแล้ว กลัวเจ๊จะไปเอาเปรียบเขาสิไม่ว่า”
บุษบันฉุนกึก “นี่ ไม่ต้องมีส่วนร่วมไปทุกเรื่องก็ได้นะไอ้หน้าลิง ไปค่ะรุทรเสียเวลา”
รุทรมองหน้าอนุวัตรขอความช่วยเหลือ อนุวัตรจัดให้
“โอ๊ย ปวดท้อง ไอ้รุทรช่วยที ไม่รู้ไส้ติ่งหรือเปล่า หรือว่าไส้ตันจะแตก”
อนุวัตรทำเป็นปวดท้องจนตัวงออย่างสมบทบาท
บุษบันจ้องตาคว่ำ “เอ๊า...มาปวดอะไรตอนนี้ล่ะเนี่ย ไม่รู้กาลเทศะจริงๆ เลย”
“โห...เจ๊ คนปวดท้องไม่สบายนะ มีน้ำใจหน่อยสิ”
“นั่นแหล่ะย่ะ ฉันถือว่าป่วยแบบไร้จรรยาบรรณ”
อนุวัตรฉุนเผลอยืดตัวจะอ้าปากเถียง รุทรรีบขยิบตาเตือน อนุวัตรตัวงอร้องโอดโอยต่อ
“เดี๋ยวผมอยู่ดูไอ้วัตรมันก็แล้วกันนะครับ คุณบุษเข้าไปคุยงานดีกว่าเดี๋ยว พ่อเลี้ยงจะรอนาน”
“มารจริงๆ เลยไอ้หน้าลิงนี่ ฉันจะเปิดตัวรุทรสักหน่อย เซ็งสุดๆ”
บุษบันบ่นบ้าแล้วก็เดินเข้าไปในสำนักงานกับเอื้องคำ
กินรีถือถาดยารอบบ่ายลงมาจากห้องนอนวาทิตข้างบน อังกูยืนรออยู่ที่ห้องรับแขก
“นรีเห็นเมหรือเปล่า”
“อยู่ในห้องกับคุณวาทิตค่ะ”
“อยู่ในห้องกับวาทิต ทำอะไร” อังกูรลืมตัวถามเสียงดัง
“เขาสามีภรรยากันจะทำอะไรก็ไม่ทราบสิคะ”
กินรีหมั่นไส้ ตั้งใจประชดให้อังกูรเจ็บ แต่แล้วก็นึกสงสาร
“ปกติพอทานยาตอนเที่ยงแล้วคุณวาทิตต้องนอนพักสองสามชั่วโมง เมก็คงต้องอยู่ดูจนกว่าจะตื่นนั่นแหละค่ะ”
“แสดงว่าไอ้...เอ่อ..วาทิตนอนแล้วสิ”
อังกูรแอบยิ้มดีใจ
อีกฟาก แถวใกล้ๆ สำนักงานไร่ส้มธนาธร อนุวัตรเจอเข้ากับจั่นเป็งที่มาเก็บขยะ จั่นเป็งพยายามจะมองหน้ารุทรแต่รุทรก็หลบหน้าหลบตาตลอดเช่นกัน
“มาพบใครหรือเปล่าคะคุณ”
อนุวัตรตอบแทนว่า “ผมมากับป้าครับแกกำลังคุยเรื่องซื้อส้มอยู่”
“อ๋อ แขกพ่อเลี้ยง มีอะไรให้จั่นเป็งช่วยไหมคะ”
“วาทิตไม่อยู่เหรอครับ ผมเคยเรียนมัธยมด้วยกันน่ะครับ อยากทักทายหน่อย” อนุวัตร
จั่นเป็งดูเวลา “ตอนนี้คุณวาทิตคงทานยาแล้วนอนพักอยู่ข้างบนน่ะค่ะ”
จั่นเป็งบอกแล้วก็เดินไป รุทรกับอนุวัตรมองหน้ากันเซ็งๆ
อังกูรยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านพ่อเลี้ยง กดเบอร์โทรศัพท์แล้วยกแนบหูรอสาย
“เม...”
เมทินีอยู่ในห้องนอน กำลังคุยโทรศัพท์กับอังกูร
“ค่ะพี่กูร เมไปได้แป๊บเดียวนะคะ วาทิตหลับอยู่ เดี๋ยวตื่นมาไม่เจอเมแล้วจะเป็นปัญหาค่ะเดี๋ยวเจอกัน”
เมทินีวางสาย เดินมาดูวาทิตอีกทีแล้วจึงเดินออกไป
อังกูรเก็บโทรศัพท์แล้วยิ้มจะเดินไป แต่รู้สึกแปลกๆ เลยหันไปมองที่ด้านข้าง เห็นกินรียืนอยู่ กินรีเดินมาหาอังกูร
“คุณกูรจะแอบพบกับเมเหรอคะ”
อังกูรหน้าตึง “ทำไม”
“เอ่อ...เมแต่งงานแล้วนะคะ”
อังกูรฉุน “แล้วไง เป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอ”
กินรีประชดในเนื้อเสียง “เพื่อน”
อังกูรโกรธ “ฉันบอกแล้วใช่ไหมอย่ามายุ่งกันฉัน เธอฟังภาษาคนไม่ออกหรือไง”
“แต่คุณกำลังทำในสิ่งที่ไม่สมควร” กินรีย้อนแย้ง
“เธอต่างหากล่ะที่กำลังทำ สาระแน จำไว้นะอย่าทำตัวสอดรู้สอดเห็นจะดีที่สุด และไม่ต้องไปบอกใคร รู้ไหม”
อังกูรพูดจบก็เดินไปไม่สนใจ กินรีอยากจะเดินตามไปแต่ก็ไม่กล้า รู้สึกเจ็บใจตัวเอง
ทางด้านรุทรเดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอเจอคนงานก็รีบหลบๆ
ฝ่ายเมทินียืนรออังกูรอยู่ที่บริเวณไร่ส้ม อังกูรเดินเข้ามาจากด้านหลังแล้วเข้ามากอดเมทินี
“พี่กูร ทำอะไรน่าเกลียดแบบนี้” เมทินีปัดป้อง
ระหว่างนี้ รุทรเดินเรื่อยๆ มาตามทางที่เมทินีกับอังกูรอยู่ จนได้ยินเสียงดังกล่าวจึงรีบย่องตามเสียงไป
สองคนคุยกันอยู่ตรงมุมสวยของไร่ส้ม เมทินีพยายามปัดป้องเอามืออังกูรออก
“พี่ทนเห็นเมอยู่กับไอ้วาทิตไม่ไหวแล้ว เห็นใจพี่เถอะเม”
“แต่เมแต่งงานกับวาทิตแล้ว พี่กูรเข้าใจหน่อยสิ”
รุทรเดินมาในมุมที่เห็นพอดี รุทรโกรธมากอยากจะออกไปเอาเรื่องแต่ก็ทำไม่ได้
“เมอย่าบอกนะว่าเมรักไอ้วาทิตไปแล้ว”
“เปล่า เมไม่ได้รักวาทิต”
รุทรได้ยินคำนั้น เขากำหมัดแน่นอย่างเจ็บใจ
“งั้นเมจะแคร์อะไร” อังกูรจะกอดหอมเมทินีอีก
“พี่กูรปล่อย เดี๋ยวใครมาเห็นเมจะเสีย”
เมทินีดึงมือออกจากการเกาะกุมของอังกูร
ชาติเข้ามาเห็นมีคนแอบดูอังกูรกับเมทินีก็ร้องถามเสียงดัง
“เฮ้ย ใครวะ”
อ่านต่อหน้า 4
เงาใจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
รุทรตกใจมาก คิดไม่ออกว่าจะหนีไปทางไหนดี ชาติเดินตรงดิ่งเข้ามาหา ทั้งสองจ้องหน้ากัน
“ว่าไง ฉันถามมาทำอะไรแถวนี้”
อังกูรเดินจ้ำเข้ามาหา เมทินีเดินตามมาด้วย พอรุทรเห็นทั้งสองก็รีบก้มหน้าหลบตา
“มีอะไร”
“ก็ไอ้นี่สิครับ ผมเห็นมายืนเก้ๆ กังๆ แถวนี้ จะว่ามาทำแปลงดอกไม้แต่วันนี้ของก็ยังไม่มาส่ง เลยสงสัยว่าจะแอบมาหาที่นอน” ชาติหันกลับไปดุ “ว่าไง ถามไม่ได้ยินเหรอไง”
รุทรยังทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก้มหน้าส่ายหัวหงึกๆ อีก
“สงสัยเป็นคนงานต่างด้าวที่ยังพูดภาษาไทยไม่ได้นะคะพี่กูร ปล่อยเขาไปเถอะ”
“ต่างด้าวเหรอ”
อังกูรพยามจ้องหน้า แต่รุทรก็ไม่ยอมสบตา แกล้งทำเป็นยืนก้มหน้าสำนึกผิด อังกูรยื่นมือมาดึงหมวกรุทรออก จนรุทรตกใจเพราะยังไม่ได้ตั้งตัว แล้วอังกูรจะดึงผ้าปิดพันคอที่ปิดหน้า คล้ายที่พวกคนงานชอบคาดหน้าเวลาร้อน
รุทรคิดปราดเดียวตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งทันที พูดไม่ชัดแบบคนกะเหรี่ยง
“ขอโท๊ะคะนาย โผมจะมะอู้อีกและ”
พูดจบก็เอามือจับผ้าปิดหน้าลุกขึ้น แล้วก้มหน้าวิ่งหนีไปเลย
“เฮ้ย...วะไอ้นี่ มารยาทไม่มีเลย” ชาติตะโกนตามหลัง
“ไม่มีมารยาท หรือมันไม่ใช่คนงานของเรา” อังกูรว่าอย่างคาใจ
“อะไรนะครับ”
ชาติอึ้งไปชั่วขณะ จนได้สติก็รีบวิ่งตามไป เมทินีเองก็ตกใจ
“พี่กูรคิดว่าคนนอกแอบเข้ามาในไร่เหรอคะ แล้วเขาจะเข้ามาทำอะไร”
“พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันต้องการอะไร”
รุทรวิ่งมาแล้วหันกลับไปดู ก็เห็นชาติวิ่งตามมา รุทรมองซ้ายมองขวาแล้วตัดสินใจวิ่งไปหลบตรงต้นไม้ใหญ่
ชาติวิ่งมาหยุดแล้วมองไปรอบๆ รุทรลุ้นสุดตัวกลัวชาติหาเจอ
ที่ห้องทำงานพ่อเลี้ยงวิทย์ ในสำนักงานไร่ส้มธนาธร พ่อเลี้ยงนั่งเจรจาธุรกิจอยู่กับบุษบัน มีทิปปี้คอยนั่งจดการพูดคุยกัน
“บุษต้องขอบคุณพ่อเลี้ยงนะคะ ที่ไว้วางใจให้บุษได้มีโอกาสทำธุรกิจกับพ่อเลี้ยง”
“ด้วยความยินดีครับ”
บุษบันหันมาบอกกับทิปปี้เป็นเชิงสั่ง “เธอจดรายละเอียดไว้หมดแล้วใช่ไหม ส่งเมล์ให้ฉันด้วย”
ทิปปี้อึ้งไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่คราวโน้น “อะไรนะ ฉันทำงานให้ไร่นี้นะ ไม่ใช่ลูกน้องคุณ”
“ก็ช่วยหน่อยไม่ได้เหรอ”
พ่อเลี้ยงตัดบท “เอาน่าทิปปี้ ยังไงก็ต้องทำบันทึกรายละเอียดอยู่แล้ว ก็ส่งให้คุณบุษเขาหนึ่งชุดนะ”
ทิปปี้จำต้องรับคำ “ค่ะพ่อเลี้ยง”
ทิปปี้แอบค้อนให้บุษบัน อีกฝ่ายยิ้มเยาะสะใจ
“งั้นบุษไปก่อนนะคะพ่อเลี้ยง เดี๋ยวแฟนบุษจะรอนาน”
“ทิปปี้ ไปส่งคุณบุษด้วยนะ”
ทิปปี้กับบุษบันแอบมองเขม่นใส่กัน
ด้านอนุวัตรยืนเครียด กระวนกระวายรอรุทรอยู่ที่รถ
“เฮ้อ ไอ้รุทรไปไหนของมันวะเนี่ย”
ระหว่างนั้นอนุวัตรเห็นทิปปี้เดินมาส่งบุษบัน พอทิปปี้กับอนุวัตรเจอกันก็อ้าปากค้าง
“เอ๊ะ....คุณ” / “เอ้าคุณ”
บุษบันงง “รู้จักกันแล้วเหรอ”
“ใช่ ที่งานพืชสวนโลก” ทิปปี้นึกได้ “ต๊าย...เนี่ยเหรอแฟนคุณที่อุตส่าห์ยอมตามใจมาตั้งไกลข้ามภูเขาเป็นลูกๆมารับส้มไปขาย”
บุษบันฉุน “บ้าเหรอ แฟนฉันจะหน้าตาเหมือนลิงได้ไง ดีกว่านี้เยอะย่ะ”
“นั่นสิ ถ้าได้หน้าอย่างคนนี้ฉันว่าคุณคงเสียใจไปตลอดชีวิต”
อนุวัตรสะดุ้ง “เฮ้ย...นี่เป็นอะไรกันมาสามัคคีชมความหล่อผมอยู่ได้”
ทิปปี้ กะบุษบันประสานเสียง “สามัคคี เชอะ”
สองสาวมองหน้ากันแล้วเชิดใส่กัน อนุวัตรเห็นอาการสองสาวแล้วเกาหัว
ฝ่ายทางชาติเดินวนหารุทรแต่ไม่เจอ เลยวิ่งไปทางหนึ่ง รุทรเห็นชาติวิ่งไปสักระยะ จึงค่อยๆ วิ่งหลบไปอีกทาง ชาติวิ่งมาได้สักระยะ หยุดมองรอบๆ ไม่เห็นใครก็หงุดหงิด วิ่งกลับไปตรงต้นไม้ แล้วเดินวนหาไม่เจอ ชาติเจ็บใจที่ปล่อยหลุดมือไป แล้วนึกอะไรบางอย่างได้เลยหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.
“ไอ้จ่าง ไอ้สิงห์ รีบไปดูที่ประตูใหญ่ทางเข้าไร่ ถ้าเห็นใครแปลกๆ กักตัวไว้”
อนุวัตร ทิปปี้ บุษบันยังยืนคุยกันอยู่ที่รถ ตรงหน้าสำนักงาน
“อ๋อ ตกลงที่ไปจัดดอกไม้คือช่วยเพื่อน แต่งานประจำของคุณก็คือดูแลสำนักงานของไร่ธนาธร”
“ใช่ หรือเรียกอีกอย่างว่าผู้ช่วยพ่อเลี้ยงวิทย์” ทิปปี้ว่า
“ฮึ...ก็แค่ลูกจ้าง”
ทิปปี้หันมาเฉ่งอนุวัตร “นี่คุณหน้าลิง เสร็จธุระพวกคุณแล้วก็ลากป้าคนนี้กลับไปผูกที่บ้านด้วยสิ ท่าทางจะหิวอาหารเม็ดแล้ว”
“นี่...มาด่าว่าฉันเป็นหมาเหรอ...งานนี้มีตบ”
บุษบันยัวะเงื้อมือจะปรี่เข้าไปตบทิปปี้ แต่ทิปปี้ชี้หน้าไม่กลัว
“เข้ามาสิ ฉันจะแจ้งตำรวจให้มาจับ หาเงินค่าทำขวัญสักห้าหกพัน”
“คิดว่าฉันกลัวเหรอ จ่ายหมื่นก็ยอม”
บุษบันกับทิปปี้จะตบกันให้ได้ อนุวัตรคอยห้าม ระหว่างนั้นรุทรวิ่งมาจากอีกฝั่ง เห็นเหตุการณ์ชุลมุนต้องเบรกเอี๊ยดหลบตรงต้นไม้ อนุวัตรมองไปเห็นพอดี รุทรทำท่าวิ่งหนี แล้วโบกมือชี้ให้ออกไปจากไร่เร็วๆ
อนุวัตรมองรุทรแล้วงง เลยหยุดห้ามสองสาว
“อะไรวะ”
จังหวะนั้นมือของบุษบันและทิปปี้ตบผัวะเข้าหน้าอนุวัตรคนละข้างพอดี
“เฮ้ย...ตบผมทำไม”
บุษบัน กะ ทิปปี้ ร้องพร้อมกัน “ยืนขวางทำไม”
สองสาวยื้อยุดกันต่อ รุทรรีบวิ่งมาอีกทางแอบขึ้นรถไป แล้วเอามือออกนอกหน้าต่างดึงอนุวัตรมาใกล้ๆ
“รีบหนีเร็ว ฉันโดนล่าตัว”
อนุวัตรตกใจ “ห๊า อะไรนะ”
บุษบันกับทิปปี้หยุดศึกตามเสียงหันมามองจ้อง อนุวัตรรีบทำกลบเกลื่อน รุทรหลบได้ทันโดยทิปปี้ไม่เห็น
อนุวัตรเข้าไปดึงบุษบัน “ไปกลับไร่”
“อะไรเนี่ย มาดึงฉันทำไม แล้วรุ...” บุษบันพูดไม่ทันจบโดนอนุวัตรเอามือปิดปาก
“กลับไปเถอะน่า” อนุวัตรกัดทิปปี้ทิ้งทวน “ไปแล้วนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ว่างๆ เอาส้มขัดผิวบ้างนะ
กรดวิตามินซีจะช่วยให้ขาวขึ้น”
ทิปปี้อึ้งงง อนุวัตรเอาตัวบุษบันขึ้นรถ แล้วรีบขึ้นตามไปส่งสัญญาณมือว่าอย่าเพิ่งพูด
อนุวัตรขับรถออกไปอย่างเร็ว ทิปปี้ยังยืนงง
“อะไรของพวกนี้เนี่ย” ทิปปี้เพิ่งนึกได้
“อ๊าย...เดี๋ยวก่อน กลับมาเคลียร์เรื่องผิวฉันก่อน”
บริเวณทางด้านเข้าไร่ แลเห็นคนงานสองคนขี่จักรยานยนต์มายืนตรงประตู มีนักท่องเที่ยวเยอะแยะเต็มไปหมด กำลังซื้อส้มก็มี สองคนมองคนแล้วเกาหัวงง
“คนไหนวะที่แปลกๆ”
คนงาน 1 เหลียวหา ก่อนจะมองหน้าเพื่อนอีกคน ทั้งคู่มองหน้ากัน ไม่รู้จะเอาไง
ในรถของบุษบัน ที่อนุวัตรกำลังขับรถมาตามทาง
“นี่ แล้วรุทรล่ะ กลับไปรับรุทรก่อน”
รุทรโผล่มาจากด้านหลัง “ผมมาแล้วครับ”
“อ้าว...หายไปไหนมา แล้วมาได้ไง มาเมื่อไหร่” บุษบันงง
รุทรจะอ้าปากตอบ แต่อนุวัตรที่ขับรถอยู่เห็นคนงานสองคนที่ตรงทางเข้าไร่ เดินมองดูคนก็นึกสังหรณ์ใจ
“ไอ้รุทรหลบก่อนเร็ว”
รุทรรีบหลบอนุวัตรเอนเบาะขึ้นเพื่อบังให้รุทร
บุษบันงงใหญ่ “นี่เล่นอะไรกัน”
“เจ๊...หุบปากแป๊บ”
บุษบันจะอ้าปากด่า แต่อนุวัตรถูกคนงานโบกมือให้ชะลอ
“มีอะไร”
คนงาน 2 บอก ด้วยท่าทีเกรงใจ “เอ่อ...ขอตรวจรถได้ไหมครับนาย”
อนุวัตรโวยวายเวอร์ “จะบ้าเหรอ ฉันเป็นแขกของพ่อเลี้ยงนะ มาสั่งส้มไปขายนะเว้ย อยากมีเรื่องหรือไง รู้ไหมว่ากูลูกใคร”
คนงานสองคนมองหน้ากันแล้วส่ายหน้าไม่รู้จัก
“ดี ถ้าไม่รู้จักก็ไปสืบหามาให้ได้ แล้วค่อยมาค้นรถ”
ขณะที่สองคนงานกำลังงงนั้น อนุวัตรฉวยโอกาสขับรถออกไปเฉยเลย คนงานห้ามไม่ทัน ได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ สักพักเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คนงาน 1 กดรับ
“เอ่อ ไม่มีอะไรผิดปกตินี่พี่ชาติ ไม่เห็นมีใครออกไปนะพี่”
ชาติกดวางสาย หันมารายงานอังกูร
“ไอ้สิงห์บอกว่าไม่มีคนออกไปจากไร่ครับ”
อังกูรยืนนิ่งคิด
“คงเป็นคนงานต่างด้าวในไร่ที่จะแอบมาอู้จริงๆก็ได้” เมทินีว่า
“ก็อาจจะใช่”
“เมขอตัวนะคะ”
เมทินีจะเดินไปแต่อังกูรจับมือไว้ “เดี๋ยวเม พี่ยังคุยกับเมไม่เสร็จ”
“เมมานานไปแล้ว ขอโทษค่ะพี่กูร”
เมทินีแกะมืออังกูรออกแล้วเดินไป อังกูรเจ็บใจหันมาลงที่ชาติ
“เพราะแกกับไอ้คนงานที่เข้ามาขัดจังหวะ โธ่ เว้ย”
อังกูรอารมณ์เสียผลักชาติแล้วเดินไป ชาติส่ายหัวเซ็งทำดีไม่ได้ดี
“ไอ้บ้านั่นมันใครวะ ทำกูซวย”
กินรีมีสีหน้าตกใจ ที่วาทิตตื่นนอนก่อนเวลา แล้วมาทำหน้าใสซื่อถามหาเมทินีกับตน
“อะไรนะคะคุณวาทิตไม่รู้เหรอว่าเมหายไปไหน ก็เค้าพาคุณวาทิตไปนอนกลางไม่ใช่เหรอ”
“เมคงเห็นผมหลับแล้วเบื่อๆ เลยไปเดินเล่นหรือเปล่า”
“แล้วไม่คิดเหรอคะว่าไปเดินเล่นหาใคร” กินรีประชด
วาทิตงง “เธอพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ”
“ฟังนะคะ ปกติคุณวาทิตจะนอนหนึ่งถึงสองชั่วโมง เมคงไม่คิดว่าวันนี้จะตื่นเร็ว ก็เลยอาจจะแอบแว่บไปหาพี่กูรหรือเปล่า”
วาทิตรีบหยิบโทรศัพท์มาจะกดโทร.ออก ระหว่างนั้นเมทินีเดินเข้ามาพอดี
“ตื่นแล้วเหรอวาทิต”
พอวาทิตเห็นเมทินีก็ดีใจไม่สนใจกินนรีรีบวิ่งไปหาเมทินี
“เม...หายไปไหนมา ผมตามหาตั้งนาน”
“เอ่อ...ฉันไปเดินเล่นแถวๆ นี้”
“เห็นไหมนรี ไม่ได้มีอะไรอย่างที่เธอคิดสักหน่อย”
“ก็ดีค่ะ แต่คุณวาทิตก็อย่าไว้ใจใครง่ายๆ นะคะ”
กินรีมองเมทินีเหยียดๆ ก่อนจะเดินหนีไป เมทินีมองตามงงๆ
“เธอกับนรีคุยอะไรกัน”
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจเลย แต่ต่อไปเมอย่าทิ้งผมไปไหนอีกนะคะ ผมกลัว” วาทิตอ้อน
“กลัวอะไร”
“กลัวเมไปหาพี่กูรค่ะ”
เมทินีได้ยินก็เข้าใจทันที เลยยิ้มปลอบ
“ไม่ต้องห่วงนะวาทิต ต่อจากนี้ไปฉันจะไม่ทำอะไรให้เธอเครียดหรือต้องมากังวลกับฉันอีก”
วาทิตยิ้มจับมือเมทินีด้วยความดีใจ
กินรีกำลังเตรียมยาหลังอาหารอยู่ในครัว เมทินียกถาดอาหารกลางวันที่วาทิตทานเสร็จมาวาง
“ยาหลังอาหารเสร็จแล้วใช่ไหม”
กินรีไม่ตอบแต่จ้องหน้าเมทินี ย้อนถามเสียงเรียบนิ่ง “เธอแอบไปหาคุณกูรมาใช่ไหม”
เมทินีชะงักไปนิด “ทำไมฉันต้องแอบ ฉันกับพี่กูรยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ก็คุยกันได้ไม่ใช่เหรอ”
กินรียิ้มหยัน “เธอนี่มันหน้าด้านจังเลยนะ”
“นรี เธอมาด่าฉันทำไม”
กินรีเก็บขวดยาเข้าตู้ตามปกติ เหมือนไม่ได้มีอารมณ์อะไรมาก
กินรีเสียงเรียบ “จำไว้นะ เธอแต่งงานแล้ว สามีของเธอคือคุณวาทิต จะทำอะไรใช้หัวคิดบ้าง”
กินรีเก็บยาเสร็จจะเดินไป แต่เมทินีพูดไล่หลัง “ขอบคุณมากที่เตือน”
กินรีชะงักหยุดหันกลับมา
“ไม่ต้องห่วงหรอกฉันรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
“ก็ดี พูดออกมาแล้วก็ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน”
กินรียิ้มมุมปากแล้วเดินไป เมทินีถอนใจเซ็ง อะไรกันนักกันหนานะคนบ้านนี้
ในรถที่แล่นมาตามทางในไร่ บุษบันยังนั่งงง เพราะอนุวัตรเอาแต่ขับรถเงียบๆ ส่วนรุทรก็นั่งด้านหลังเงียบ เช่นกัน จนสุดท้ายบุษบันทนอึดอัดไม่ไหว
“นี่...ตกลงเป็นอะไรกัน ทำไมนั่งเงียบแบบนี้ล่ะ”
“ก็เจ๊จะให้พูดอะไรล่ะ”
“ก็ที่ฉันถามไง” บุษบันหันมาทางรุทร “ว่าไงคะรุทร ตกลงหายไปไหนมา แล้วทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ พอกลับมาก็นั่งซึมเงียบ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ที่ผมหายก็ไปเดินเล่น”
บุษบันจ้องหน้า “แต่รุทรดูแปลกๆ ไปนะ ไปปิ๊งผู้หญิงที่ไหนมาหรือเปล่า”
รุทรรำคาญเลยไม่ตอบ อนุวัตรเลยตอบแทน “โธ่...เจ๊ คิดอะไรที่เป็นสาระบ้างได้ไหม”
“รุทรนี่แหละสาระชีวิตของฉัน” บุษบันหันมาเซ้าซี้รุทรต่อ “ว่าไงคะรุทรขา ไม่ได้ไปปิ๊งใครมาใช่ไหม”
“ครับ”
บุษบันยิ้มหน้าบาน ดีใจจนอนุวัตรหมั่นไส้
“แหม...เริงร่าท้าคลื่นขึ้นมาเชียวนะ ถามจริงๆ เหอะเจ๊ ใจคอจะไม่มองคนอื่นบ้างเหรอ เห็นตื้อแต่ไอ้รุทร”
“ไม่! ชาตินี้ฉันขอรุทรเป็นคนสุดท้าย”
บุษบันหันไปยิ้มหวานให้รุทร แต่รุทรไม่สนใจมองไปนอกหน้าต่างคิดเรื่องที่เจอมา อนุวัตรหันมองบุษบันแอบทำปากแหวะ แล้วมองกระจกมองหลัง เห็นรุทรนั่งเหม่อมองออกไป
อนุวัตรขมวดคิ้วสงสัยทันที
ในเวลาต่อมา บุษบันโบกมือส่งจูบให้กับรุทร แล้วขึ้นรถขับออกไป อนุวัตรพอเห็นบุษบันไปแล้วก็เดินมาหารุทร
“แกไปเจออะไรมา”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“ไอ้รุทร แกอย่ามางึมงำแบบนี้ ตกลงว่าไงเจอน้องแกไหม”
รุทรส่ายหน้า อนุวัตรยิ่งงง
“นี่แกอย่าบอกนะว่าที่แกซึมเป็นหมาเหงา เพราะไม่ได้เห็นหน้าน้องไอ้บ้า..ทำเป็นเด็กไปได้”
“มันไม่ใช่แค่ฉันไม่เจอน้องน่ะสิ มันมากกว่านั้นเว้ย”
อนุวัตรยิ่งงงหนักไปใหญ่ตามความคิดรุทรไม่ทัน
ด้านบุษบันเดินนวยนาดเข้ามาในตลาด หยุดยืนที่กลางตลาดแล้วตะโกนลั่น
“นี่ทุกคนฟังทางนี้ฉันมีข่าวดีมาบอก”
บรรดาพ่อค้าแม่ขายพากันวางมือจากการจัดของ หันพรึบมารอฟัง
“ข่าวดีอะไรจ๊ะ อย่าบอกนะว่าแม่บุษจะลดราคาค่าเช่าแผง”
แม่ค้า 1 เดานำร่อง คนอื่นๆ เฮดีใจ
“อย่าพูดจาไม่เป็นมงคลแบบนั้นสิป้า คนอย่างบุษบันไม่มีทางลดค่าแผง มีแต่จะขึ้น ป้าพูดแบบนี้ฉันถือว่าป้ากำลังลบหลู่ความเค็มของฉันนะ”
“แล้วมันข่าวดีอะไรล่ะ หรือว่าแม่บุษจะแต่งงาน”
แม่ค้า 2 เดามั่วแต่ก็ทำเอาบุษบันอายม้วนต้วนเพราะคิดไปถึงรุทรโน่น
“ป้านี่ค่อยพูดจาน่าฟังหน่อย คงอีกไม่นานหรอกแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่แล้วค่าแผงก็เท่าเดิมด้วย..ข่าวดีของฉันก็คือฉันกำลังจะรับส้มจากไร่ส้มธนาธรมาให้พวกเราขายกันส้มลูกใหญ่ๆ สวยๆ หวานๆ ทุกลูก”
“แล้วส้มที่รับมาจากที่อื่นล่ะหนูบุษ” พ่อค้าอีกคนถาม
“ก็ไม่เห็นจะยากเลย ลุงก็ขายส้มของฉันเอ๊ย ที่ฉันอุตส่าห์ไปรับมาให้ให้หมดก่อนแล้วค่อยเอาส้มจากที่อื่นออกมาขาย เตรียมจัดแผงรอเลยนะ ขอย้ำว่าทุกแผงนะ ใครที่ขายหมูขายไก่ก็หาที่ว่างไว้ลงส้มด้วย ถ้าใครมีปัญหาก็ไม่ต้องขาย”
“ไม่ต้องขายส้มเหรอจ๊ะ” แม่ค้า 1 ถามด้วยความดีใจ
“ไม่ต้องขายของที่นี่จ้ะ อ้อ ไหนๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้วฉันขอเก็บค่าเช่าแผงเลยแล้วกัน”
บุษบันบอกแล้วก้มหน้าหาบัญชีในกระเป๋าหิ้ว พอเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่าพ่อค้าแม่ขายหายเกลี้ยง
บุษบันทำหน้าเซ็งๆ ปากบ่นขมุบขมิบตามประสา
ภาพบนจอโน้ตบุ๊คที่โต๊ะริมระเบียงบ้านท้ายไร่ เป็นรูปที่รุทรเคยแอบถ่ายเมทินีไว้
อนุวัตรดูรูปแล้วมองหน้ารุทร “นี่แกยังไม่ตัดใจอีกเหรอวะ เมียน้องแกนะโว้ย”
“ฉันแค่เคยชอบ เพราะเขาน่ารักดีแต่ไม่ได้คิดอะไรขนาดที่แกว่าหรอก แต่ที่ฉันคิดน่ะเรื่องแฟนเขาว่ะ”
“เอ้า...ไปชอบแฟนเขาอีกเหรอตะเอง”
รุทรตบหัวอนุวัตร “ทะลึ่ง ฉันหมายถึงความสัมพันธ์ของเมียน้องกับแฟนเค้าเว้ย”
“แฟนที่ว่าเป็นหลานของพ่อเลี้ยงวิทย์น่ะเหรอ” อนุวัตรนึกได้ “เฮ้ย...นี่แกไปเห็นอะไรมา”
“ฉันก็เห็นว่าเค้าสองคนพลอดรักกันอยู่ในไร่น่ะสิ”
“อุ๊ต๊ะ! นั่นไง อย่างที่ฉันเคยบอก นางเจ้าชู้ รักได้สองคน”
“ไม่ใช่หรอก จากที่ฉันได้ยินยัยนั่นยังรักแฟนเก่า ไม่ใช่น้องฉัน”
“เฮ้ย ไอ้รุทรพูดซี้ซั้วน่า เขาอาจจะรักน้องแกมากกว่าแฟนเก่าก็ได้ ถึงยอมแต่งกับน้องแก” อนุวัตรมองโลกสวย
“น้องฉันสุขภาพไม่ดีแต่รวย แกคิดว่าผู้หญิงแบบไหนจะมาแต่งงานด้วย”
“ก็จริงว่ะ แล้วทำไมแฟนเขายอมวะ หรือเห็นแก่ญาติตัวเอง”
“เห็นแก่ญาติหรือเห็นแก่ตัว จนยอมปล่อยแฟนมาล่าสมบัติ”
อนุวัตรสยอง “ไอ้หยา...นี่พ่อเลี้ยงกับน้องแกกำลังโดนหลอกเหรอ”
“แกคิดเป็นแบบอื่นได้ไหมล่ะ” รุทรถอนใจ “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมผู้หญิงพวกนี้ถึงยอมเป็นทาสของเงิน”
“เฮ้ย ใจเย็นๆ ไอ้รุทร มันก็แค่แพรแฟนเก่าของแกกับยัยคนนี้เท่านั้น อ้อ...รวมเจ๊บุษตอนที่ยอมแต่งกับเถ้าแก่เจ้าของตลาดไปอีกคน”
“ฉันควรจะทำไงดีวะวัตร ถึงจะช่วยน้องฉันได้”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพราะแกจะปรากฏตัวให้น้องแกรู้ไม่ได้”
“แล้วจะให้ฉันเฉยนั่งดูน้องถูกสวมเขาแบบนี้เหรอ”
“ไอ้รุทร เรื่องนี้มันเป็นชีวิตของน้องแก เขาต้องเรียนรู้ที่จะสร้างภูมิต้านทานเอง เหมือนที่แกเคยเจอจากแพรไง ที่แกทำได้ตอนนี้คือเอาใจช่วยน้องแก ส่วนเรื่องห่วงน่ะ แกมาห่วงดีกว่าว่าจะรายงานเรื่องที่เราไปวันนี้กับแม่แรมและรินยังไง”
รุทรนึกได้ก็เครียดกับเรื่องแม่และวารินอีก
ทุกคนทานมื้อค่ำด้วยกัน แรมกับวารินมีสีหน้าดีใจเมื่อรุทรเล่าจบ มีอนุวัตรคอยพยักพเยิดเสริม
“วาทิตเขามีความสุขมากเลยเหรอ รุทรกับวัตรเห็นกับตาเลยใช่ไหม”
รุทรอึกอัก “เอ่อ ครับ”
พอโกหกไปรุทรก็รู้สึกผิดหันไปมองอนุวัตรๆก็พยักหน้านิดๆเป็นเชิงให้กำลังใจว่าทำดีที่สุดแล้ว
แรมยิ้มสบายใจ “ถึงแม้แม่จะไม่กล้าสู้หน้าเค้า แต่แค่ได้รู้ว่าเขาได้แต่งงานกับคนที่เขารักแล้วมีความสุข หัวอกแม่ก็มีความสุขไปด้วย”
“รินก็ดีใจด้วยเหมือนกัน แบบนี้แสดงว่าอายุพี่วาทิตคงยืนยาวแน่ๆ ใช่ไหมคะแม่”
“ใช่สิ” นึกขอบคุณพ่อเลี้ยงวิทย์ “ก็นับว่าโชคดีมากนะ นอกจากพ่อเลี้ยงวิทย์จะรับเป็นลูกแล้วแก
ยังดูแลทำทุกอย่างเพื่อวาทิตอย่างที่รับปากกับแม่ไว้จริงๆ ต่อจากนี้คงไม่มีเรื่องร้ายๆ ในชีวิตวาทิตอีกแล้ว”
รุทรกับอนุวัตรลอบมองหน้ากันด้วยความกังวล กลัวสิ่งที่แรมวาดหวังจะไม่สมดังหวัง
เสียงเปียโนดังมาจากห้องนั่งเล่นบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ เมทินีกับวาทิตเล่นเปียโนด้วยกันจบเพลง วาทิตยิ้มดีใจ
“วันนี้เมเล่นดีขึ้นนะคะ”
“แต่ก็ยังไม่คล่องหรอก”
“ผมว่าฝึกอีกไม่นานเมจะเก่งกว่าผมแน่ๆ เลยค่ะ”
“ฉันเนี่ยนะจะเก่งกว่าเธอที่เล่นมาตั้งแต่เด็ก”
“อย่างเมเขาเรียกพรสวรรค์ค่ะ ทิตน่ะพรแสวง”
เมทินียิ้มรับแล้วหาวนอน
“ถ้าเมง่วงก็ไปนอนก่อนเลยนะคะ”
“แล้วเธอล่ะ”
“เดี๋ยวทิตเล่นเปียโนอีกสักแป๊บแล้วจะตามไปค่ะ”
“งั้นฉันนอนฟังเธอเล่นเปียโนที่โซฟานี่ดีกว่า”
“เมเอาจริงเหรอ”
“จริงสิ เธอเล่นไปฉันจะฟังเพลินดี”
เมทินีบอกแล้วก็เดินไปเอนตัวนอนที่โซฟาใกล้ๆ กัน วาทิตหยักไหล่แล้วเริ่มเล่นเปียโนไปด้วยยิ้มให้เมทินีไปด้วย
วาทิตเล่นเปียโน ให้เมทินีที่นั่งเอนหลังบนโซฟาฟังอย่างตั้งใจ เขาบรรเลงจนจบเพลง หันไปอีกทีก็เห็นเมทินีนอนหลับไปแล้ว วาทิตยิ้มเอ็นดู
วาทิตอุ้มร่างเมทินีที่ยังคงหลับอยู่วางลงบนเตียง เมทินีขยับตัวนิดหน่อย แต่ก็ยังหลับต่อ
วาทิตจับให้เมทินีนอนดีๆ แล้วห่มผ้าให้ ยืนมองเมทินีที่หลับอยู่แล้วก้มลงหอมหน้าผาก
“ผมรักเมนะ”
วาทิตปิดไฟทั้งห้องจาก Bedside control แล้วลงนั่ง กำลังจะนอนแล้วนึกอะไรได้ หันไปมองเมทินีที่หลับอีกครั้งแล้วอมยิ้มเหมือนมีแผน ลุกขึ้นย่องออกจากห้องไป
ขณะที่ทิปปี้กำลังหลับสบายแล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจนทิปปี้ตกใจกลิ้งตกเตียง พอได้สติก็งัวเงียตะกายเตียงขึ้นมาควานหาโทรศัพท์ทั้งๆที่ตายังไม่ลืมเต็มตา
ทิปปี้เสียงอ่อนระโหยโรยแรงมาก “สวัสดีค่ะ ใครคะเนี่ยโทร.มาตอนนี้” ทิปปี้ตาโตดูหน้าจอแล้วตกใจ
“วาทิตเหรอ แล้วโทร.มาทำไมป่านนี้...ตอนนี้เนี่ยนะ”
ทิปปี้มาถึงแปลงดอกไม้แล้ว กำลังดูแบบแปลนจากไฟตั้งพื้นที่ส่องบนแบบ
“เธอจะบ้าเหรอ ให้เสร็จภายในคืนนี้”
“ก็ฉันอยากจะเซอร์ไพร้ส์เมเขา เธอช่วยฉันหน่อยนะ”
“เธอกับฉันสองคน? ดอกไม้ทั้งแปลง? โห...ไม่รวมศาลาชมวิวด้วยล่ะ” ทิปปี้แดกดัน
วาทิตดีใจ “เธอทำได้เหรอ”
“นี่ ฉันประชด ฉันหมายถึงว่าแค่แปลงดอกไม้เนี่ยเธอกับฉันสองคนจะทำเสร็จได้ไงในคืนเดียว” สาวผิวหมึกบ่นพึมพำ “แล้วเธอก็ไม่แข็งแรงด้วย สงสัยฉันขุดดินกล้ามขึ้นเป็นนักยกน้ำหนักแน่ๆ”
เสียงเอื้องคำดังเข้ามา “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะคุณทิปปี้”
ทิปปี้กับวาทิตหันไปตามเสียงก็เห็นเอื้องคำ หนาน และ จั่นเป็ง เข็นรถอุปกรณ์มาถึงพอดี
“พวกเรามาช่วยแล้วครับ รับรองเสร็จทันเวลาแน่” หนานบอก
จั่นเป็งแซวขำๆ “กล้ามคุณทิปปี้จะเหลือแค่นักวอลเลย์บอลทีมชาติเท่านั้นแหละค่ะ”
“ตอนนี้มีผู้ช่วยแล้วโอเคไหม”
วาทิตยกมือแล้วตีมือกับทิปปี้ เป็นอันว่าตกลง
เอื้องคำ จั่นเป็ง และหนาน เข็นรถอุปกรณ์ไปเตรียมทำงาน จั่นเป็งมากระซิบเอื้องคำ
“ป้า ไหนว่าไม่ชอบคุณเมแล้วมาช่วยทำไม”
“ข้าช่วยคุณวาทิตเว้ย อะไรที่เป็นความสุขของคุณวาทิตข้าทำทั้งนั้นแหละ”
“โห...ถ้ามีรางวัลแม่นมดีเด่นนี่ป้าได้ชัวร์” หนานค่อน
“รางวัลอะไรไม่อยากได้ทั้งนั้นล่ะ ขออย่างเดียวคุณเมอย่าทำร้ายคุณวาทิตแล้วกัน ไม่งั้นข้าเอาตาย”
หนานกับจั่นเป็งได้ยินคำประกาศก็ถึงกับหนาวเลยทีเดียว
ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างขันแข็ง เอื้องคำเข็นรถที่มีกระถางดอกไม้มา จั่นเป็งกับหนานช่วยกันพรวนดินแล้วส่งตาหวานให้กัน
วาทิตดูแปลนแล้วลงไปช่วยพรวนดิน ทิปปี้กับเอื้องคำช่วยกันเอาดอกไม้ลงดิน
ทุกคนทำงานแข่งเวลา จนถึงตอนเช้าตรู่ พระอาทิตย์ขึ้นเหนือภูเขาลิบตา สภาพแต่ละคนเนื้อตัวมอมแมมยืนมองผลงานตรงหน้าอย่างมีความสุขและหาวไปด้วยกันทั้งแถบ
รุ่งเช้าเมทินีลืมตาตื่นแล้วมองไปที่นอนข้างๆแล้วต้องลุกดูด้วยความแปลกใจ เอามือลูบดูก็เห็นที่นอนเรียบ วาทิตในชุดใหม่เปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหาร ยกมาตั้งที่เตียง
“ทิตไปทำอาหารเช้าให้เมมา”
เมทินีมองอาหารแล้วมองวาทิตด้วยสายตาสงสัย
“เมื่อคืนเธอไม่ได้นอนที่นี่เหรอ ที่นอนมันเรียบมาก”
วาทิตยิ้มดีใจ “หึงกลัวทิตไปนอนที่อื่นเหรอคะ”
เมทินีค้อน “เปล่า...ก็แค่สงสัย”
“ทานอาหารก่อนสิ แล้วทิตจะเฉลยว่าเมื่อคืนนอนที่ไหน”
เมทินีมองงงๆ “ดูลึกลับแปลกๆ นะ”
วาทิตหยักไหล่ ยิ้มให้ เมทินีส่ายหน้าขำๆ แล้วลงมือจะทานอาหาร แต่พอเห็นอาหารก็งง
เมทินีแล้วดูอาหาร “อะไรอ่ะ”
“ผักโขมอบชีส ซุปหัวหอม ขนมปังไข่ดาวทิตทำเองเลยนะ”
“อาหารฝรั่งอีกแล้วเหรอ ไม่มีอะไรไทยๆ เหรอ” เมทินีบ่น
“ถ้าเมไม่ชอบเดี๋ยวทิตไปดูให้ว่ามีอะไร โจ๊กไหมคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันกินได้”
“แต่เมไม่ชอบนี่คะ”
“ลองดูก็ไม่เสียหาย”
เมทินียิ้มให้แล้วลงมือกิน วาทิตมองลุ้น เมทินีพยักหน้าให้
“อร่อยดีนะ”
วาทิตดีใจยิ้มแฉ่งมีกำลังใจ
วาทิตเดินจูงมือเมทินีที่มีผ้าปิดตา มาตรงแปลงดอกไม้ที่ทุกคนช่วยกันเนรมิต
“วาทิตตกลงเธอจะให้ฉันดูอะไร แล้วมันอีกไกลไหม”
วาทิตค่อยๆปล่อยมือออก เมทินีมองเปิดผ้าไปแล้วก็ตกใจอึ้ง
ในสายตาของเมทินี เห็นแปลงดอกไม้ที่สวยงามมาก
“อะไรกันเนี่ย ก็เมื่อวานมันยัง...”
“ผมทำทั้งคืนเลยนะ ไม่ใช่สิทิปปี้ เอื้องคำ หนาน จั่นเป็ง ทุกคนมาช่วยกันหมดตอนนี้ยังสลบไม่ตื่นกันเลยมั้ง”
“วาทิต...” เมทินีพูดอะไรไม่ออก
“ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนที่ดีพอที่เมจะรัก แต่ผมก็อยากทำทุกอย่างที่เมชอบให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพราะผมรักเม”
“ขอบคุณนะวาทิต”
เมทินีเดินชมดอกไม้มีความสุข วาทิตเองก็มีความสุขที่เห็นเมทินีมีความสุข
ขณะที่อังกูรเดินเข้ามาในห้องอาหาร เห็นกินรีทานอาหารเช้าอยู่คนเดียว กินรีพอเห็นอังกูรก็ดีใจ
“คุณกูรมาทานข้าวเช้าที่นี่เหรอคะ เชิญค่ะ เดี๋ยวนรีจัดให้”
กินรีลุกจากโต๊ะจะไปเอาอาหารแต่อังกูรพูดขึ้นก่อน “เมล่ะ ลงมาหรือยัง”
กินรีจ๋อยทันที “ทานแล้วค่ะ คุณวาทิตทำอาหารให้แต่เช้าไปเสิร์ฟถึงเตียงนอน เห็นว่าทานหมดเกลี้ยงเลยนะคะ”
อังกูรได้ยินก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที “แล้วเมไปไหน”
“นรีเห็นคุณวาทิตประคองกอดไปข้างนอกแต่เช้า พวกในครัวบอกว่าเมื่อคืนคุณวาทิตทำแปลงดอกไม้ทั้งคืน เช้านี้คงอยากโชว์ผลงานให้ภรรยาสุดที่รักดูมั้งคะ”
อังกูรได้ฟังก็ไม่พอใจเดินออกไป กินรีมองตามแล้วยิ้มพอใจ
“จะตื้อได้อีกนานแค่ไหนเชียว”
อังกูรเดินอารมณ์เสียมาตามทาง แล้วเห็นพ่อเลี้ยงวิทย์คุยกับเอื้องคำอยู่ในห้องนั่งเล่น เลยหันหลังจะเดินกลับ แต่ต้องชะงักเพราะได้ยินอะไรบางอย่าง
“หนูเมอยู่ที่ไหน”
เอื้องคำหาว “อยู่แปลงดอกไม้กับคุณวาทิตค่ะ”
พ่อเลี้ยงตกใจ “นี่อย่าบอกนะว่าวาทิตออกแรงทำแปลงดอกไม้”
“แปลงดอกไม้เสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ คุณวาทิตเกณฑ์คุณทิปปี้กับพวกเราไปช่วยทั้งคืน ตอนนี้คงกำลังอวดน่าดู”
“เหรอ...แหม..ไอ้ลูกชายฉัน โรแมนติกใช้ได้เลยนะเนี่ย ฉันควรจะขัดจังหวะดีไหม”
“พ่อเลี้ยงมีธุระด่วนไหมล่ะคะ”
“ก็ไม่ด่วนมาก แต่มันก็สำคัญ”
อังกูรแอบอยู่มุมหนึ่งขมวดคิ้วสงสัยกับสิ่งที่ได้ยิน
พ่อเลี้ยงหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลมาเปิดแล้วหยิบเอกสารออกมาเป็นสำเนาโฉนดที่ดิน นั่งดูอยู่สักพักวาทิตกับเมทินีก็เดินเข้ามา พ่อเลี้ยงยิ้มรับเมื่อเห็นคนทั้งคู่
“นั่งก่อนซิลูก”
วาทิตกับเมทินีนั่งลงตรงหน้า พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้มเอ็นดูทั้งสองคน เอ่ยปากแซวลูกชาย
“ว่ายังไงลูกชาย ทำแปลงดอกไม้เอาใจหนูเมทั้งคืนเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรเลยครับคุณพ่อ อีกอย่างผมไม่ได้ทำคนเดียว มีหลายๆคนมาช่วยด้วย”
“แล้วหนูเมล่ะชอบแปลงดอกไม้ที่วาทิตทำให้ไหม”
เมทินียิ้มให้วาทิต “ชอบค่ะ แต่คุณพ่อจะตำหนิเมก็ได้นะค่ะที่เมทำให้วาทิตต้องอดหลับอดนอน”
วาทิตพูดสวนขึ้น “คุณพ่อไม่ตำหนิเมหรอกค่ะ เพราะผมเป็นคนอยากทำให้เมเอง” พลางหันมาพูดกับพ่อเลี้ยงด้วยสายตาขอร้อง “ใช่ไหมครับคุณพ่อ”
พ่อเลี้ยงยิ้ม “พ่อไม่ตำหนิหนูเมหรอก ถ้าวาทิตทำอะไรแล้วมีความสุข สุขภาพของเขาจะไม่แย่หรอก”
วาทิตยิ้มร่าให้เมทินี เมทินียิ้มตอบ
วาทิตนึกได้ “จริงซิ คุณพ่อเรียกผมกับเมมาพบมีอะไรหรือครับ”
พ่อเลี้ยงวิทย์ยิ้มให้ทั้งสองก่อนจะยื่นโฉนดที่ดินส่งให้ วาทิตกับเมทินีมองหน้ากันงงๆ
“โฉนดไร่ชา มีคนเขามาเสนอขายตั้งนานแล้ว พ่อเลยซื้อเป็นของขวัญแต่งงานให้กับเราสองคน”
วาทิตกับเมทินีไหว้ขอบคุณพ่อเลี้ยง วาทิตรับโฉนดมาไว้มองเมทินีแล้วยิ้มอย่างมีความสุข เมทินีก็ยิ้มตอบเจื่อนๆ
“ตอนนี้ธุรกิจของเราต้องขยายไปมาก พ่ออยากจะให้หนูเมมาช่วยงานของวาทิต”
เมทินียิ้มให้กับวาทิตที่มองมา ก่อนตอบพ่อเลี้ยงวิทย์อย่างเต็มใจ
“ได้ค่ะ ถ้าคุณพ่ออยากให้เมช่วยงานอะไร เมเต็มใจ”
พ่อเลี้ยงวิทย์พอใจ “ดีมาก เพราะอีกหน่อยทุกอย่างที่เป็นของวาทิตก็จะเป็นของหนู”
“เอ่อ...เมไม่ได้คิดอยากได้อะไรของวาทิตนะคะ แค่ที่คุณพ่อช่วยครอบครัวเมมันก็มากเกินพอแล้ว”
พ่อเลี้ยงยิ้มปลื้ม “แต่เมก็ช่วยพ่อกับวาทิตมาก บอกตรงๆตั้งแต่เมรับปากจะแต่งงาน วาทิตแข็งแรงและมีความสุขมาก พ่อเลยอยากจะฝากให้เมดูแลวาทิตในทุกๆ เรื่อง ช่วยพ่อหน่อยนะ”
วิทย์ยิ้มมีความสุข แต่เมทินีรู้สึกอึดอัด
วาทิตมองเมทินีส่งยิ้มหวานให้ และหันมายิ้มให้พ่อเลี้ยงซึ่งมองคนทั้งคู่อย่างเอ็นดู
สามคนไม่รู้ว่า อังกูรยืนแอบฟังอยู่ด้วยความเจ็บใจ
อ่านต่อตอนที่ 4