xs
xsm
sm
md
lg

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 3

ทิวัตถ์เดินกะเผลกเข้ามาในห้องนอน ก่อนจะหยิบยาทาแก้ปวดขึ้นมา แต่กลับนึกเป็นห่วงลิลิน ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกมาด้วยกัน เขารีบหยิบมือถือขึ้นมา

ขณะที่สิตาเดินหาทิวัตถ์จนทั่วผับ เมื่อไม่พบ ก็หันมาคาดคั้น แกมบังคับศักดิ์สิทธิ์
“ไปหาวินมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
ศักดิ์สิทธิ์ทั้งกลัว ทั้งตกใจรีบวิ่งออกไปทันที พร้อมๆ กับที่ทิวัตถ์โทร. เข้ามาพอดี
“คุณพระ พระเอกมาตอนจบจริงๆ นี่แกจะโทร.มาบอกว่าแกกำลังจะมารับกิ๊กเก่ากลับไปใช่มั้ย?”
ทิวัตถ์พยายามทำน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่ให้อีกฝ่ายจับได้
“ฉันจะโทรมาถามว่า เอ่อ แม่นักร้องใหม่ของแกปลอดภัยใช่มั้ย? ก็แกเป็นคนบอกเองว่าสิตาอยู่ที่นั่น แกก็รู้ว่าสิตาเป็นคนยังไง ฉันก็กลัวว่าเธอจะทำให้แหล่งรายได้ของแกเป็นอะไรไง”
“ไม่รู้เว้ย ตอนนี้อาจจะยังไม่กลับ หรือว่ากลับมาแล้วอยู่บนห้องก็ได้ แต่ถ้าแกเป็นห่วงคุณลินจริงๆ แกก็ควรรีบมาแล้วก็เอากิ๊กเก่าแกกลับไปซะ”
ทิวัตถ์รีบปฏิเสธอย่างร้อนตัว
“อะไร ห่วงอะไร? ฉันก็แค่ถามไปอย่างนั้นแหละ แค่นี้นะ”
แล้วก็รีบวางสายไปทันที ทำเอาศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้าอย่างงงๆ

ทางด้านลิลินหลังจากกลับเข้ามาในห้องพัก ก็รีบเปิดกล่องไม้ในความทรงจำ แล้วหยิบรูปที่พ่อถ่ายคู่กับเธอสมัยยังเป็นเด็ก ทั้งคู่ยิ้มและหัวเราะกันอย่างมีความสุข
เธอค่อยๆ ลดรูปในมือลง ก่อนจะเห็นแววตาที่เคียดแค้น
“หนูจะทำให้พวกนั้นตกนรกทั้งเป็นเหมือนพวกเรา”
จากนั้นก็นึกถึงภาพตอนที่ศัลย์มีจังหวะจะยิงทิวัตถ์ แต่เขากลับชะงักมือจนทำให้อีกฝ่ายตอบโต้ได้
“ทำไมมันไม่ยิงเขา?”

ทิวัตถ์ค่อยๆ ย่องลงมาจากห้องนอน จะเดินเข้าไปทางหลังบ้าน จู่ๆ เสียงของศุภารมย์ก็ดังขึ้น
“วิน ไปทำอะไรมา?”
ทิวัตถ์หันกลับมาหน้าเจื่อนๆ แล้วรีบตอบเลี่ยงๆ
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่สะดุดนิดหน่อย ไม่เป็นไรมากหรอกครับ เอ่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ท่าทางพ่อเรามีเรื่องอะไรจะคุยด้วย เข้าไปหาพ่อก่อนซิ”
ทิวัตถ์จำใจต้องเดินไป ศุภารมย์มองตามอย่างสงสัยว่าเมื่อคืนเขาไปทำอะไรมา ?

ทรงพลกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่ห้องรับแขก ระหว่างนั้นทิวัตถ์เดินกะเผลกเข้ามา
“พ่ออยากคุยกับผมเรื่องอะไรเหรอครับ?”
ทรงพลยังไม่ทันตอบ ศุภารมย์ที่เดินตามเข้ามา ก็ชิงพูดแทน
“พ่อเราอยากให้หานักออกแบบภูมิทัศน์คนใหม่”
ทิวัตถ์ทำหน้าแปลกใจ “ทำไมเหรอครับ?”
“พ่อเห็นว่านายวิทยาอะไรนั่นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านลีลาวดีก็จริง แต่ผู้รับเหมาคนอื่น พ่อว่าฝีมือก็คงไม่แตกต่างกันมากมั้ง”
ทรงพลพูดพลางหันไปหยิบแฟ้มก่อนจะส่งให้
“นี่เป็นรายชื่อนักออกแบบภูมิทัศน์ที่พ่อเลือกมาให้แล้ว ลองดูแล้วกัน”
ทิวัตถ์พลิกแฟ้มดูแบบผ่านๆ ก่อนจะดันกลับไปให้ทรงพล
“วิน พ่อไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นนายวิทยาเท่านั้น? ”
ทิวัตถ์ย้อนกลับ “ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงไม่อยากได้เขา”
ทรงพลกับศุภารมย์ถึงชะงักไป ทิวัตถ์นิ่งครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียดๆ
“โครงการนี้พ่อบอกให้ผมรับผิดชอบ แต่ถ้าพ่อยังเข้ามาดูทุกขั้นตอนอย่างนี้ แล้วผมจะบอกคนที่ร่วมงานกับผมยังไง?”
ศุภารมย์รีบแทรกขึ้นเพราะไม่อยากให้พ่อ-ลูกทะเลาะกัน “พ่อเขาแค่กลัววินเหนื่อยน่ะ”
ทิวัตถ์พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ “ผมขอตัวครับ”
พูดจบก็รีบเดินเลี่ยงออกไป ศุภารมย์รีบหันมาปรามทรงพล
“คุณคะ อย่าทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะ”
“คุณยังว่าเรื่องบุญช่วยเป็นเรื่องเล็กอีกเหรอ?”
ศุภารมย์พุดกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เชื่อฉันซิคะ”
“แล้วนี่คุณจะไปไหน?”
“คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันต้องประชุมสมาคมแม่บ้านของจังหวัด”
ทรงพลพยักหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ “ถ้าอย่างนั้นผมไปรอที่รถนะ”
พอทรงพลเดินออกไป ศุภารมย์ก็รีบหยิบมือถือขึ้นมากด
“ฉันกำลังจะออกไปแล้ว”

จากนั้นก็รีบวางสาย สีหน้าเคร่งเครียด

สายวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ลิลินเปิดประตูออกจากห้องพัก ก็เจอศักดิ์สิทธิ์เข้าพอดี

“สวัสดีค่ะคุณศักดิ์สิทธิ์ เอ่อ เรื่องเมื่อคืนขอบคุณมากนะคะ”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มให้ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่คุณลินไปทำอะไรที่วัดเหรอครับ?”
ลิลินแปลกใจว่าศักดิ์สิทธิ์รู้ได้ยังไง
“อ๋อ ผมถามคนขับรถน่ะครับ คงไม่โกรธนะครับที่ผมจะต้องเป็นห่วงสวัสดิภาพของพนักงานของผม
ทุกคน”
“ไม่หรอกค่ะ คือเมื่อวานฉันไปไหว้พระ อยากฝากเนื้อฝากตัวที่ต้องมาทำงานในจังหวัดนี้ แต่เพิ่งนึกได้ว่าลืมมือถือเอาไว้น่ะค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “อ๋อ นี่ดีนะครับที่คุณลินไม่ไปเจอคนร้าย มีข่าวว่าเมื่อคืนมีการฆ่ากันตายที่วัดที่คุณลินไปเมื่อคืนน่ะครับ”
ลิลินใจหายวาบ นึกถึงบุญช่วยขึ้นมาทันที แต่พยายามทำเป็นปกติ
“เหรอคะ โชคดีจัง สงสัยเป็นเพราะที่ฉันไปขอพรพระท่านเมื่อวานแน่ๆ ที่ทำให้ฉันแคล้วคลาด”
จากนั้นก็รีบเดินเลี่ยงออกมา พอลับหลังศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าของลิลินก็เปลี่ยนเป็นความกังวลขึ้นมาทันที
“ลุงช่วย”

วิทยาถือกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่จดเบอร์โทรศัพท์ไว้ พร้อมกับคุยมือถือไปด้วย
“ใช่ครับ ผมเคยโทรไปติดต่อเรื่องต้นลีลาวดีแล้ว”
พลางนำกระดาษที่ถือวางลงที่โต๊ะทำงาน
“อ๋อ โทษทีครับผมลืมแจ้งชื่อ ใช่ครับ ผมชื่อวิทยา สัจธรรมครับ”
พลันลูกน้องก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา วิทยารีบวางสาย
“เดี๋ยวผมติดต่อกลับไปใหม่นะครับ”
ลูกน้องรีบระล่ำระลักบอก “แย่แล้วพี่ ลุงช่วย ลุงช่วย”

ลิลินเดินเข้ามาบริเวณริมน้ำที่เคยเจอบุญช่วยนั่งอยู่ พลางได้ยินเสียงชาวบ้านคุยกันเรื่องศพ เธอรีบเดินตาม ก่อนจะแหวกกลุ่มชาวบ้านที่ยืนมุงอยู่เข้าไป
ภาพที่เห็นคือชาวบ้านกำลังช่วยกันห่อศพ แต่ที่ทำให้เธอถึงกับตกใจจนตาค้าง ก็เมื่อเห็นใบหน้าภายใต้ผ้าห่อศพ คือบุญช่วย
ลิลินยืนตะลึงงัน ทำอะไรไม่ถูก เมื่อรู้ว่ากุญแจดอกนี้ไม่สามารถนำมาไขปริศนาต่างๆ ให้เธอได้อีกแล้ว
เสียงชาวบ้านคุยกันต่อเนื่อง
“นี่ๆ เมื่อคืนฉันได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน แล้วก็เสียงตกน้ำด้วยนะ”
“จะบ้าหรือไง ใครจะไปทะเลาะกับคนบ้า แกอาจจะเมาตกน้ำไปเองก็ได้”
ลิลินสะดุดหูขึ้นมาทันที ขณะที่อีกด้านตำรวจกำลังเก็บหลักฐานและกำลังจะยกศพบุญช่วยขึ้น เธอรีบพุ่งเข้าไปทันที
“จะเอาศพลุงช่วยไปไว้ไหนเหรอคะ?”
“ต้องเอาไปชันสูตรก่อน เพราะไม่ใช่การตายแบบปกติ”
ขาดคำก็ยกศพบุญช่วยไปขึ้นรถ พร้อมๆ กับที่วิทยาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา พอเห็นศพบุญช่วยก็ถึงกับช็อก“ลุง ลุงช่วย”
ลิลินเห็นวิทยา ก็ค่อยๆปลีกตัวออกไป เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายสงสัยว่าเธอมาทำไม

วิทยายืนเศร้าอยู่ริมน้ำตามลำพัง ครู่หนึ่งลิลินก็เดินเข้า
“ฉันรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เสียใจด้วยนะคะ”
วิทยาพยายามสะกดน้ำตาเอาไว้
“คุณคงจะสงสัยว่า แค่คนบ้าคนนึงตาย ทำไมผมต้องเสียใจขนาดนี้?”
ลิลินยิ้มเศร้า “ไม่หรอกค่ะ ฉันรู้ว่าลุงช่วยแกเป็นคนดี”
วิทยามองออกไปเบื้องหน้า พยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด
“ถ้าไม่มีลุงช่วย ก็คงไม่มีผมในวันนี้ ลุงช่วยแกเอาผมมาเลี้ยงหลังจากที่ผมเสียทั้งพ่อกับแม่ไปเพราะอุบัติเหตุ แกเหมือนกับพ่อผม คุณรู้มั้ยผมกำลังคิดอะไร? ผมคิดมานานแล้วว่า ถ้าแกหายดีเมื่อไหร่ ผมอยากเรียกแกว่าพ่อ แต่ตอนนี้....”
“ถึงคุณไม่เรียก แต่ฉันว่าลุงช่วยแกก็คงจะรู้”
ลิลินเห็นความซึมเศร้าของวิทยา จึงเก็บงำคำถามเอาไว้ เพราะยังไม่ใช่เวลาที่เธอควรจะถาม

ศุภารมย์ยืนอยู่ริมน้ำ พลางทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า ระหว่างนั้นเสียงมือถือของเธอดังขึ้น พอเห็นเป็นทรงพล เธอก็ทำเฉย
“จะไม่รับเหรอ?”
“ฉันไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีอะไรให้ฉันดู?”
ศัลย์ในชุดลำลองหยิบรูปถ่ายออกมา
“ที่จริงให้ผมส่งให้ทางโทรศัพท์ก็ได้นี่”
“ฉันอยากปลอดภัยไว้ก่อน”
พูดพลางเอื้อมมือไปรับรูปมา ครั้นเห็นรูปก็ตกใจ
“ต้องฆ่ากันเลยเหรอ?”
“มันเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ผมขี้เกียจคอยตามล้างตามเช็ดทีหลัง”
“เอาเป็นว่า ฉันไม่เคยรับรู้เรื่องนี้ก็แล้วกัน”
ศุภารมย์พูดพร้อมกับจุดเผารูปใบนั้นก่อนจะโยนทิ้งแล้วมองมันมอดไหม้จนหมด
“แต่ผมว่า เรื่องนี้คุณคงจะอยากรู้ เมื่อคืนผมเจอผู้หญิงคนนึงกับคุณวิน”
ศุภารมย์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
“อะไรนะ วินเข้าไปเกี่ยวข้องได้ยังไง?”

“เรื่องนั้นคุณต่ายคงต้องเป็นคนไปถามคุณวินเอง”

ทิวัตถ์เดินกะเผลกลงมาจากบนบ้านกำลังจะเดินเข้ามาที่ห้องรับแขก อีกมุมหนึ่งวาสนาพาวรรณิตเดินเข้ามา

“นังจวน มีใครอยู่มั้ย?”
ทิวัตถ์จำได้ว่าเป็นเสียงของวาสนาก็รีบฉากหลบ แล้วเดินเลี่ยงออกไปทันที
ป้าจวนรีบวิ่งเข้ามา “คุณท่านทั้งสองไม่อยู่ค่ะ”
วาสนาแอบยิ้มเพราะรู้อยู่แล้ว “แล้วพ่อวินล่ะ”
ป้าจวนทำหน้าไม่ถูกเพราะรู้ว่าทรงพลกับศุภารมย์ไม่อยากให้ทิวัตถ์เจอกับวรรณิต
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
“ไม่ทราบก็ต้องทำให้ทราบซิ ไปตามพ่อวินมาให้ฉันหน่อย”
ป้าจวนจำต้องเดินออกไปอย่างลำบากใจ วาสนาจิกตาร้ายอย่างมีแผน

ทิวัตถ์เดินมาทางหลังบ้าน หวังจะหาทางหนี บังเอิญเจอกับอนันยชพอดี ฝ่ายหลังพอรู้ว่าวาสนาพาวรรณิตมา ก็ยิ้มดีใจ
“งั้นแกออกหลังบ้านไปเลย เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

วาสนากับวรรณิตรอทิวัตถ์อยู่ในห้องรับแขกอย่างกระวนกระวายใจ ครู่หนึ่งอนันยชก็โผล่หน้าเข้ามา
“มากันแต่เช้าเลยนะครับ เหมือนจะรู้ว่าคุณแม่ไม่อยู่”
วาสนาแกล้งทำหน้าซื่อ
“โอ๊ย ใครจะไปรู้ ใช่มั้ยแม่ณิต นี่ยายกะว่าจะพาแม่ณิตเขามาหาแม่ต่ายนะเนี่ย จริงจริ๊ง ไม่ได้โกหกแม้แต่คำเดียว”
อนันยชแอบส่ายหน้า ก่อนจะหันไปถามป้าจวน
“ยายจวน เช้านี้เราทำอะไรกินครับ”
“ข้าวต้มกุ้งค่ะ”
วาสนาตาโต
“เหรอ แล้วใช้กุ้งอะไร? อ้ะๆ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ยายว่าเราไปกินซะหน่อยก็ดีเหมือนกันนะ เดี๋ยวจะเสียน้ำใจคนทำ”
พูดพลางรีบเดินนำออกไป อนันยชหันไปพยักเพยิดกับป้าจวน ก่อนจะหันมาทางวรรณิต
“เชิญครับ”
วรรณิตยิ้มรับ ก่อนจะเดินออกไป อนันยชมองตามด้วยแววตาที่แฝงเลศนัย

ทิวัตถ์ค่อยๆ เดินย่องออกมาที่รถอย่างระวังไม่ให้วาสนาเห็น ระหว่างนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น
“ว่าไงคุณคฑา เอ่อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วกัน แต่คุณช่วยหารูปแล้วก็ประวัติและผลงานของคุณวิทยา
สัจธรรม วางไว้บนโต๊ะให้ผมแล้วกัน”
พูดจบก็รีบวางสาย พลางก้มมองสภาพตัวเองที่อยู่ในชุดลำลองก่อนจะครุ่นคิด
“แล้วเราจะไปอยู่ไหนเนี่ย?”

ฟากสิตาก็มาตามหาทิวัตถ์ที่บริษัท คฑาวุธรีบหน้าไว้ พลางรีบบอกว่าทิวัตถ์ไม่อยู่ อีกฝ่ายกรีดร้องอย่าง
ขัดใจ ก่อนจะยิ้มออก เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

ศักดิ์สิทธิ์เรียกปกติเข้ามาตำหนิในห้องทำงาน โทษฐานที่ยังหาเชฟคนใหม่ไม่ได้
“คุณรู้มั้ยว่าเราต้องเสียรายได้ไปเท่าไหร่? ผมจะให้เวลาคุณอีก 3 วัน ถ้ายังหาไม่ได้ ผมจะลดตำแหน่งคุณ”
ปกติตกใจ แล้วก็รีบโพล่งออกมาทันที
“แหม พอดีผมได้ข่าวมาว่า ในตัวเมืองมีร้านอาหารอยู่ร้านนึง อยู่ๆ ก็ขายดีขึ้นมา ผมว่าร้านนั้นต้องมีพ่อครัวที่สุดยอดแน่ๆ เลยครับคุณหนู”
ศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วงงๆ “ทำไม คุณต้องการจะบอกอะไร?”
ปกติยิ้มอย่างมีเลศนัย

หลังจากอิ่มจากข้าวต้มกุ้ง วรรณิตก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้วาสนาอยู่กับอนันยชตามลำพัง
“ตกลงว่าพ่อวินยังไม่ตื่นจริงๆ เหรอ?”
“ครับ เมื่อคืนคงจะกลับดึก”
วาสนายิ้มเยาะ “ถ้ากลับดึกน่ะไม่เป็นไร แต่อย่าเจอคนกลับกลอกก็แล้ว ถึงฉันจะไม่ได้จบปริญญงปริญญาอะไรก็พอจะมองออกว่าอันไหนจริงอันโกหก”
อนันยชาสวนกลับนิ่งๆ
“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ ยายเคยได้ยินคำนี้มั้ยครับ ปริญญาแค่บอกว่าเราผ่านอะไรมา แต่กริยาบอกว่าเราขาดอะไรไป”
วาสนาถึงกับสะอึก อนันยชเหลือบมองชามข้าวต้มแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“คุณยายจะรับอีกมั้ยครับ?”
“พูดซะขนาดนี้ คงจะกินลงหรอกนะพ่อวัน”
“ถ้างั้นให้ยายจวนใส่ถุงเอากลับบ้านมั้ยครับ?”
วาสนากลืนน้ำลายเอื๊อก “ได้ด้วยเหรอ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ตามสบาย”
จากนั้นก็รีบหันไปสั่งป้าจวนให้ตักข้าวต้มใส่ถุง วาสนาเช็ดปากแล้วรีบลุก
“ฉันไปด้วยดีกว่า กลัวนังจวนมันแอบจิ๊กกุ้งไป”

ป้าจวนมองตาเขียว ก่อนจะเดินนำวาสนาไป อนันยชหันมองไปทางประตูที่วรรณิตเพิ่งเดินออกไป

พอวรรณิตออกมาจากห้องน้ำ ก็ต้องตกใจที่เห็นอนันยชยืนอยู่หน้าห้อง

“อุ๊ย คุณวัน มีอะไรคะ?”
อนันยชยิ้มเจ้าเล่ห์
“ผมว่าเรารีบไปกันดีกว่าครับ เมื่อกี๊แม่ผมโทร. มาบอกว่าท่านใกล้ถึงบ้านแล้ว ถ้าเกิดท่านเห็นณิตอยู่นี่ ผมกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่”
วรรณิตตกใจ กำลังจะเดินออกไปแต่แล้วก็นึกถึงวาสนาได้
“แล้วยายล่ะคะ”
อนันยชรีบพูดปดว่าฝ่ายนั้นจะอยู่รอเจอศุภารมย์ ครั้นวรรณิตจะขอไปบอกก่อน เขาก็รีบปั้นเรื่องต่อ
“คุณณิต ถ้าคุณณิตเดินเข้าไป คุณยายจะต้องว่าผมแน่ๆ ยายแกสั่งให้ผมรีบพาคุณณิตออกไปทันที แต่ถ้าคุณณิตไม่เชื่อ ก็เข้าไปถามยายแกดูก็ได้ครับ”
วรรณิตลังเลก่อนจะตัดสินใจ “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะค่ะ”
อนันยชแอบยิ้มร้าย

ทิวัตถ์ตัดสินใจมาหาศักดิ์สิทธิ์ที่โรงแรม ปกติรีบรายงานว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่
“จะให้ผมโทร. แจ้งคุณหนูให้มั้ยครับ?”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเดินเล่นแถวนี้รอแล้วกัน”
ปกติรีบบอก “ไม่ได้เลยครับ เดี๋ยวคุณหนูจะหาว่าผมบกพร่องต่อหน้าที่ ถ้ายังไงจะให้ผมโทร.
เรียกคุณลิลินลงมาร้องเพลงให้ฟังระหว่างรอมั้ยครับ นี่พิเศษเพื่อคุณวินเลยนะครับ รู้มั้ยครับคุณวิน นี่ขนาดโปรโมทไม่เท่าไหร่นะครับ ตอนนี้แขกมาที่นี่ก็เรียกหาแต่คุณลินเท่านั้น ผมว่าคุณลินจะต้องมีพรสวรรค์ที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขแน่ๆ เลยครับ”
“ไม่ใช่ทุกคนหรอก”
ทิวัตถ์อารมณ์เสียขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงลิลิน

ทิวัตถ์เดินกระเผลกๆ มาตามทาง พลางหันไปเห็นโปสเตอร์รูปของลิลินติดอยู่
“ผ่านผู้ชายมาซะขนาดนั้น ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าทำยังไงผู้ชายถึงจะชอบ”
พลันสายตาก็เหลือบเห็นเธอเดินอยู่ในสวน เขาถึงกับหน้าตึง ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที

ขณะที่ลิลินก็เดินครุ่นคิดมาตลอดทาง ก่อนที่หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในสวน
“จมน้ำตายงั้นเหรอ?”

เธอนั่งนิ่งเหมือนคนกำลังใช้สมาธิคิดบางอย่างอยู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ด้วยสีหน้าเหมือนลังเล
 
อ่านต่อหน้า 2

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 3 (ต่อ)

ปรมัตถ์ยืนกระสับกระส่ายรออยู่ ครู่หนึ่งเพื่อนก็เดินเข้ามาพร้อมซองกระดาษ

“ครั้งสุดท้ายนะ แกจะเอาไปทำไรวะ?”
เขาปรี่เข้าไปคว้าซองมาด้วยอารามดีใจ พร้อมๆ กับเสียงมือถือดังขึ้น เขารีบหยิบขึ้นมาดูชื่อหน้าจอก่อนจะหันมาบอกกับเพื่อน
“ขอบใจมาก”
จากนั้นก็รีบเดินเลี่ยงออกมาในมุมปลอดคนก่อนจะกดรับสาย
“ลิน มัตกำลังจะโทรหาลินอยู่พอดี. มัตได้ข้อมูลของบุญช่วยมาแล้ว”
ลิลินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเศร้า
“มันคงไม่มีประโยชน์แล้ว เขาตายแล้ว”
ปรมัตถ์ตกใจ “ เมื่อไหร่?”
“เมื่อคืน”
“แล้วลินจะทำยังไงต่อไป?”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ ลุงช่วยเป็นกุญแจดอกเดียวที่ลินมี”
ลิลินถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ทิวัตถ์เดินเข้ามาคลาดกับที่เธอพูดเรื่องบุญช่วยไปเพียงนิดเดียว
“มัต ลินรู้ว่ามัตจะพูดอะไร”
“แต่ลินไม่รู้ว่ามัตห่วงลินแค่ไหน ? ไฟแค้นไม่เคยเผาใครนอกจากตัวเราเองนะ”
“มัตยังรักลินอยู่หรือเปล่า?”
ทิวัตถ์ที่พยายามเงี่ยหูแอบฟัง ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งแน่ใจว่าลิลินกำลังออดอ้อนคนที่อยู่ปลายสาย
“ลินถามทำไม? ลินก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนะ”
“ถ้าอย่างนั้น มัตอย่าพูดเรื่องนี้อีก”
ลิลินพูดจบก็กดตัดสายทิ้ง แววตาเศร้าหมอง ทิวัตถ์ได้ยินก็ยิ่งเข้าใจผิด
“หึ รถไฟชนกันละซิ”

ปรมัตถ์หยิบกระดาษขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นที่อยู่ของบุญช่วย
“อำเภอกุมภีร์? “
แววตาของเขาวาบขึ้นมาด้วยความหวัง ถ้าไปตามที่อยู่นี้ ก็จะเจอลิลิน

ลิลินมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมา แววตาที่หม่นเศร้าเมื่อครู่ กลับกร้าวแกร่งขึ้น ด้วยความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเลือกทำ
จังหวะนั้นเสียงของทิวัตถ์ก็ดังขึ้น
“คุณน่าจะเปลี่ยนจากนักร้องไปเป็นผู้บริหารนะ”
ลิลินหันมาก็ตกใจเมื่อเห็นทิวัตถ์เดินเข้ามา เพราะไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินที่เธอคุยกับปรมัตถ์เรื่องบุญช่วยหรือเปล่า?
“คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทิวัตถ์ยิ้มเยาะ “ก็มาทันพอที่จะเห็นคุณบริหารผู้ชาย”
“แต่ผู้ชายบางคนก็บริหารไม่ได้ เพราะในใจเขามีแต่สิ่งปฏิกูล”
พูดจบก็จะเดินออกไป แต่กลับถูกทิวัตถ์จับเอาไว้
“จะไปไหน?”
“ปล่อย”
“ทำไม คุณจะเรียกตำรวจเมื่อคืนมายิงผมหรือไง?”
ลิลินได้ยินที่ทิวัตถ์พูด ก็นึกสงสัยขึ้นมาทันที
“ตำรวจเหรอ?”
“คุณไม่ต้องมาทำหน้าซื่อตาใสแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ฉลาดนี่ ที่รู้จักสร้างเครือข่าย ไอ้หนุ่มบ้านทุ่ง ตำรวจ แล้วไหนจะคนที่อยู่ที่กรุงเทพฯอีก ต่อไปคุณจะเอาอาชีพอะไรล่ะ?”
ลิลินจ้องหน้าทิวัตถ์เหมือนต้องการจะมองหน้าคนที่ทำร้ายเธอกับพ่อให้เต็มตาอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังจะเดินออกไป แต่ทิวัตถ์คว้ามือเอาไว้อีก
“จะไปไหน? ฉันยังไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น”
“ที่ฉันเดินหนีไม่ใช่เพราะฉันทนคำดูถูกเหยียดหยามจากคุณไม่ได้ แต่ฉันไม่อยากเห็นคนที่... “
เธอชะงักคำพูดไว้ ก่อนจะมองหน้าทิวัตถ์ด้วยความแค้นที่ฉายชัดอยู่ในแววตา
“ทำไม คนที่อะไร?”
ทันใดนั้นเสียงสิตาก็ดังแทรกขึ้นมา “วิน”
ทิวัตถ์รีบปล่อยมือลิลินทันที สิตาไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้ามาเงื้อมือจะตบลิลิน แต่อีกฝ่ายตั้งหลักอยู่แล้ว จึงก้มหลบทัน ก่อนจะโต้ตอบด้วยการจับแขนสิตาไพล่หลังแล้วผลักออกไปจนล้มลง
“แก แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร?”
ลิลินเบ้ปาก “จะเป็นใครฉันไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คุณเป็นคนเหมือนกับฉัน แล้วฉันก็เป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครมารังแก”
“นังหน้าด้าน”
ทิวัตถ์พยายามปราม “ตา ฟังผมก่อน”
“จะให้ตาฟังอะไรคะ มันคิดจะแย่งวินไปจากตาแล้วยังจะให้ตาฟังอะไรอีก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงต้องเข้าใจเสียใหม่ ฉันไม่เคยแย่งใคร เพราะเขาเป็นฝ่ายมาหาฉันเอง”

สิตากรีดร้องลั่น พลางลุกขึ้นจะปรี่เข้าหาลิลินอีก จนทิวัตถ์ต้องรีบดึงเอาไว้ ก่อนที่จะอุ้มตัวออกไป ลิลินมองตามอย่างเหนื่อยหน่าย

ทิวัตถ์ลากสิตาออกมามุมหนึ่ง ก่อนจะปล่อยลง

“ตา คุณเป็นบ้าอะไรของคุณ?”
“ตาต้องเป็นคนถามวินมากกว่า วินเป็นบ้าอะไรถึงได้ลงไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงชั้นต่ำอย่างนั้น วินเป็นอะไร?”
สิตาโวยวาย พลางทุบตีทิวัตถ์ไม่ยั้งมือ อีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ปัดป้อง
“ถ้าคุณคิดว่าผมมีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น คุณก็กำลังดูถูกผม แล้วคุณก็กำลังดูถูกความรู้สึกดีๆ ที่ผมเคยมีให้กับคุณ”
พูดจบก็หันหลังจะเดินจากไป สิตารีบโผเข้ากอดทางด้านหลัง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก
“ตาขอโทษ วิน เรากลับมารักกันอีกครั้งได้มั้ย?”
ทิวัตถ์นิ่งไปเหมือนกำลังสำรวจหัวใจตนเอง พลางยกมือขึ้นมาจับมือของสิตาที่อยู่บนตัวเขา เธอยิ้มดีใจคิดว่าเขาจะกลับมาหา แต่แล้วเขากลับดึงมือของเธอออก แล้วเดินจากไปอย่างเจ็บปวด
พอเดินพ้นออกมา ทิวัตถ์ก็ย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ครั้งที่อยู่ที่ชิคาโก เมื่อ 3 ปีที่แล้ว

ทิวัตถ์เดินจูงมือสิตาที่ใช้ผ้าปิดตาเดินเข้ามาในอพาร์ตเม้นต์
“ยืนตรงนี้นะ”
เขาพาเธอมายืนอยู่กลางห้องก่อนจะปลดผ้าที่ปิดตาออก ทันทีที่สิตาเห็นภาพเบื้องหน้าก็ตกตะลึง
เพราะภายในห้องเต็มไปด้วยดอกไม้และไฟเม็ดถั่ว
“อะไรเนี่ยวิน?”
“ตาอย่าโกรธวินนะ วินอยากจะพาตาไปร้านอาหารดีๆ แต่เราก็ต้องเก็บเงินเอาไว้เป็นค่าเช่าอพาร์ตเม้นต์แต่วินสัญญานะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราเรียนจบแล้วกลับเมืองไทย วินจะรีบไปขอตาทันที”
พูดพลางลงคุกเข่า แล้วหยิบแหวนออกมา “แต่งงานกับวินนะ”
สิตาโผเข้ากอดทิวัตถ์ด้วยน้ำตาที่เปี่ยมสุข
“แต่ง ตาแต่ง”
ทิวัตถ์ยิ้มดีใจ “จริงเหรอตา? วินรักตานะ”
“ตาก็รักวินนะ”
ทั้งคู่กอดกันอย่างมีความสุข



ทิวัตถ์เดินกลับมาที่ห้องพร้อมกับคุยโทรศัพท์กับสิตา
“ตอนนี้ผมก็อยู่ร้านซิ แล้วคุณละจะเลิกงานเมื่อไหร่? แต่คืนนี้ท่าทางผมจะกลับนะ ได้ ผมรักคุณนะ”
เขากดวางสายก่อนจะมองช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือแล้วยิ้ม ขณะที่เดินมาถึงหน้าห้องอพาร์ตเม้นต์ของตัวเองพอดี
ระหว่างที่เขากำลังจะเปิดประตูห้อง ก็ได้ยินเสียงสิตาดังมาจากในห้องเป็นภาษาอังกฤษ
“เรียบร้อย ทางสะดวก ไว้เจอกัน”
แล้วเขาก็ต้องใจหายวาบยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายที่เป็นฝรั่งดังขึ้นตามมา
“ได้โปรด ผมยังอยากสนุกกับคุณคืนนี้ทั้งคืน”
ทิวัตถ์ค่อยๆ เอื้อมมือไปใส่กุญแจก่อนจะบิดลูกบิดด้วยมืออันสั่นเทา ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เห็นสิตาที่นุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่กับชายชาวฝรั่ง
“ฉันก็ไม่อยากให้คุณกลับเหมือนกัน แต่ไว้สนุกกันวันหลังนะ”
“ตา”
ทั้งคู่หันมาเห็นทิวัตถ์ยืนอยู่ ก็ตกใจ
“วิน”
ทิวัตถ์มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่แตกสลาย

ทิวัตถ์กำลังนั่งดื่มเหล้าที่เคาน์เตอร์บาร์ภายในผับที่ยังไม่เปิดให้บริการตามลำพัง ก่อนจะกระแทกแก้วลงกับโต๊ะอย่างแรงด้วยความโกรธ
ลิลินที่เดินเข้ามาในผับเพื่อที่จะซ้อมร้องเพลงกับวง เห็นทิวัตถ์นั่งอยู่ ก็เดินเข้ามาพูดเยาะ
“คุณหนูอารมณ์ร้ายเขาไม่ให้อภัยหรือไง? คุณชายจอมมโนเลยต้องมานั่งดื่มแต่หัววัน”
ทิวัตถ์เห็นลิลินก็ยิ่งเกลียดเพราะความฝังใจที่ตัวเองเกลียดผู้หญิงเจ้าชู้ ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเดินเลี่ยงไป
“จะรีบไปไหน?”
“ฉันนัดซ้อมกับวงเอาไว้ ถ้าพวกเขายังไม่มา แล้วฉันจะอยู่ทำไม?”
ทิวัตถ์รีบลุกเข้าไปขวาง
“แต่ผมว่า ที่ไม่อยู่ เพราะแถวนี้ไม่มีผู้ชายมากกว่า”
ลิลินตอกกลับทันควัน
“ถ้าผู้ชายของคุณหมายถึงคนที่ให้เกียรติผู้หญิงล่ะก็ใช่ แถวนี้ฉันไม่เห็นมีผู้ชายเลยซักคน”
“ผู้หญิงอย่างคุณคิดจะเรียกร้องหาเกียรติเหรอ? ช่วยไปส่องกระจกแล้วบอกทีว่าการกระทำของคุณมันมีเกียรติอะไรที่จะเรียกร้องจากคนอื่น”
พูดพลางบีบแขนลิลินด้วยความโกรธ เพราะฝังใจกับเรื่องของสิตา
“ปล่อยฉันนะ คุณมันบ้าไปแล้ว”
“เอาซิ ผมรู้ว่าคุณรับได้ทุกรูปแบบ เก่งนี่ที่รู้ว่าผมชอบผู้หญิงดีดดิ้น”
ลิลินใช้อีกมือตบหน้าของทิวัตถ์ จนหน้าหัน ก่อนที่เขาจะหันกลับมา แล้วจับเธอปล้ำทันที
“นี่ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ จะบ้าไปแล้วหรือไง?”
“ใช่ ทำไม ผู้หญิงเจ้าชู้อย่างคุณมันไม่เลือกอยู่แล้วนี่”
ลิลินจะตบทิวัตถ์อีก แต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้ามือเอาไว้ พร้อมกับจะคว้าตัวเข้ามาจูบ บังเอิญนักดนตรีเข้ามาขัดจังหวะ เขาก็เลยชะงัก ลิลินฉวยจังหวะตบหน้าอีกฉาดใหญ่ ก่อนจะเดินออกไปผ่านหน้ากลุ่มนักดนตรี
“ฝากบอกคุณศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะคะว่าวันนี้ฉันขอลา”

ทิวัตถ์นิ่งไปเหมือนได้สติกลับมา

ลิลินเปิดประตูเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะรีบเปิดน้ำแล้วถูปากตัวเองอย่างรังเกียจ

“พ่อ หนูขยะแขยงพวกนั้น พ่อช่วยหนูด้วย หนูจะแก้แค้นคนที่ทำกับพ่อได้ยังไง?”

ศักดิ์สิทธิ์เข้ามาชิมอาหารที่ร้านที่ปกติแนะนำ แล้วก็พบว่ารสชาติอร่อยถูกปากทุกจาน เขามองไปทางหลังร้าน พลางยิ้มอย่างมีแผน ก่อนจะเดินทะลุไปถึงด้านหลังครัว ที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกันอยู่ พลางตะโกนเรียกร้องความสนใจ
“ที่นี้ใครคือเซฟใหญ่?”
ทุกคนหันมองเป็นตาเดียวก่อนจะเห็นพนักงานภายในครัวคนหนึ่งเข้ามา
“เข้ามาได้ยังไงเนี่ย? ที่นี่ห้ามคนภายนอกเข้านะคุณ”
“ฉันต้องการพบคนที่เป็นหัวหน้าพ่อครัวที่นี่”
จากนั้นก็ปดไปว่าเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัด จะมาตรวจความสะอาดของร้าน พอได้จังหวะก็รีบรุกต่อ
“ตกลงจะบอกผมได้หรือยังว่าใครคือหัวหน้าที่นี่? ”
“ฉันเอง”
ศักดิ์สิทธิ์หันมองไปก่อนจะตกใจเมื่อเห็นเป็นวิชนี เธอเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“เฮ้ย! เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
พ่อครัวร่างใหญ่กำยำ เดินเข้ามาถามพร้อมปังตอที่ถืออยู่ในมือ ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับต้องถอยหลังแบบแหยงๆ
“นี่ บอกให้ไปตามหัวหน้าพ่อครัวมาไง รีบไปตามมาซิ อย่าลืมฝากบอกไปว่าผู้บริหารโรงแรมรอยัลเพิร์ล ต้องการเข้าพบด่วน เข้าใจไหม?”
พ่อครัวร่างใหญ่รีบบอก
“วิชนีนี่แหละเป็นเชฟใหญ่ของที่นี่”
วิชนียืนกอดอกทำหน้าตายียวน ศักดิ์สิทธิ์เห็นทุกคนยืนยันว่าเซฟใหญ่คือวิชนีก็ถึงกับอึ้ง
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ ยัยหัวดื้อนี่เนี่ยนะจะหัวหน้าพ่อครัวที่นี่”
วิชนียิ้มเยาะ “เรื่องนั้นฉันต้องขอบใจนาย เพราะที่นี่มันดีกว่าโรงแรมของนายทุกอย่าง นาย
บ้าอำนาจ”
“ไม่จริง”
“เรื่องที่ฉันพูดทุกอย่างเป็นความจริง แต่ไอ้ที่ไม่จริง ก็คือเรื่องที่นายไม่ใช่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข”
ศักดิ์สิทธิ์หันมองไปรอบตัว เห็นพนักงานภายในครัวกำลังจ้องมาที่เขา ก็ถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก

ศักดิ์สิทธิ์วิ่งหนีออกมาหน้าร้าน แล้วก็เจอกับอนันยชที่พาวรรณิตมาทานอาหาร แต่ยังไม่ทันได้ทักทายกัน
ก็ได้ยินเสียงพนักงานวิ่งไล่ออกมาจากหลังร้าน
“เฮ้ย อยู่นั่น จับมันไว้”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปเห็นกลุ่มพนักงานวิ่งกันออกมา ก็รีบเผ่นทันที
อนันยชแอบทำหน้าเครียด เพราะไม่คิดว่าจะเจอศักดิ์สิทธิ์ที่นี่
“ใครเหรอคะ?”
“เพื่อนน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ เราทานข้าวกันต่อดีกว่า ปลาสามรสครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
อนันยชลอบมองวรรณิตอย่างหลงใหล ตั้งแต่ใบหน้า ไล่ลงมาที่คอ ก่อนจะไล่สายตาลงต่ำมาที่เนินอก
พลางคิดถึงภาพอดีตตอนที่อยู่กับศุภิสรา

ขณะที่อนันยชในวัย 15 ปี นอนเล่นเกมบอยอยู่บนเตียง ที่ข้อเท้ามีผ้าพันแผลพันอยู่ ครู่หนึ่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาวางเกมลง ก่อนจะค่อยๆ กะเผลกไปเปิดประตู แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นศุภิสรายืนถือถาดอาหารอยู่
หน้าห้อง
“น้ารู้ว่าวันขาเจ็บอย่างนี้ คงจะลงไปกินข้าวไม่ค่อยสะดวก”
อนันยชอึกอัก “ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมบอกยายจวนให้เอาข้าวขึ้นมาให้แล้ว”
“แต่น้าอยากให้วันชิมของน้า ไม่ใช่ซิ น้าอยากให้วันชิมปลาสามรสฝีมือน้าดู”

พูดพลางเดินรุกเข้าหา เด็กหนุ่มเดินถอยหลัง จนทั้งคู่เดินเข้ามาในห้อง

ศุภิสราตักปลาสามรสจะป้อนให้กับอนันยช พลางส่งสายตายั่วยวนอีกฝ่ายอ้าปากตามเหมือนต้องมนต์ “รู้มั้ย? ทำไมน้าถึงชอบปลาสามรส เพราะมันเหมือนกับการมีชีวิตนั่นแหละ มันจะต้องมีครบทุกรสถึงจะอร่อย”


เด็กหนุ่มแทบจะละลายเมื่อโดนศุภิสรารุกทั้งท่าทาง คำพูดและสายตา เสียงของศุภิสราดังก้องอยู่ในความทรงจำ
“ถึงจะอร่อย...ถึงจะอร่อย....ถึงจะอร่อย”

อนันยชมองริมฝีปากของวรรณิตที่กำลังตักปลาสามรสเข้าปากอย่างหลงใหล
“ดูซิเปื้อนหมดแล้ว”
พูดพลางเอื้อมมือไปจับใบหน้าของวรรณิตก่อนจะปาดปลายปากที่เปื้อน ทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับใบหน้า เธอก็ถึงกับตกใจ
“คุณวันอย่าทำอย่างนี้เลยค่ะ ถ้ายายรู้ ณิตต้องโดนคุณยายว่าแน่ๆ แล้วนี่ทำไมยายยังไม่มาอีกคะ?”
ขาดคำเสียงมือถือของวรรณิตก็สั่นขึ้น เธอรีบหยิบออกมาจากกระเป๋าก่อนจะมองเบอร์ แล้วรีบรับสาย
“จ้ะยาย ยายอยู่ไหนแล้ว?”
วาสนาเดินถือถุงข้าวต้มมาตามทางที่ร้อนระอุ
“อยู่ไหนอะไร แกนั่นแหละอยู่ไหน ฉันโทร. หาแกตั้งแต่เช้า ทำไมโทร.ไม่ติด”
“เอ่อ ณิตปิดเสียงไว้ค่ะ”
“แล้วนี่อยู่ไหน?”
วรรณิตทำหน้างง “ก็ยายให้ณิตออกมากับคุณวันไม่ใช่เหรอคะ?”
วาสนาได้ยินอย่างนั้นก็ปรี๊ดทันที
“นังโง่ โดนมันหลอกแล้ว ฉันไม่มีทางปล่อยละมั่งอย่างแกออกไปกับจิ้งจอกหรอก”

วรรณิตค่อยๆ วางสายลงก่อนจะมองหน้าอนันยช
“ทำไมคุณวันต้องทำอย่างนี้ คุณวันโกหกณิตทำไม?”
อนันยชนิ่งไป ก่อนจะยอมรับ
“ก็ได้ ผมยอมรับว่าผมโกหก เพราะผมอยากอยู่กับณิตแค่ 2 คน ให้โอกาสผมบ้างสิ”
พูดพลางเอื้อมมือไปจับมือของวรรณิต แต่อีกฝ่ายรีบชักมือออกก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป เขารีบคว้าแขนเอาไว้ พร้อมกับดึงตัวเข้ามา
“ปล่อย ปล่อยณิตนะ”
ขาดคำวรรริตก็ฟาดฝ่ามือใส่หน้าอนันยชจนหน้าหัน ก่อนจะรีบวิ่งออกไป อนันยชหันกลับมาด้วยแววตาที่โกรธจัด

พอวรรณิตกลับไปถึงบ้าน ก็โดนวาสนาต่อว่า และทุบตีไม่ยั้ง โทษฐานที่พาซื่อจนโดนอนันยชหลอกเอาได้
“โอ๊ย ณิตเจ็บนะยาย”
“เออ! ให้มันเจ็บไปเลยจะได้จำ โง่แบบนี้ไง ถึงได้เสียคนตั้งแต่เด็ก”
วรรณิตเหมือนแทงใจดำจังๆ “ยาย”
“ทำไม ฉันพูดผิดตรงไหน? อ๋อ ใช่ๆ แกไม่ได้เสียคน แต่แกได้คนต่างหาก”
วรรณิตเสียใจอย่างแรง ที่กำลังโดนเข้าใจผิด โดนดูถูกต่างๆนานา ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดตัวเอง จนถึงกับทนไม่ได้ ขึ้นเสียงใส่วาสนา
“ถ้าอย่างนั้นยายก็อย่าพาหนูไปซิ”
พูดพลางวิ่งร้องไห้ออกไป วาสนาตกใจ แต่ไม่วายตะโกนด่ากลับ
“เออ ดี โทษฉันเข้าไป นังบ้า เป็นเพราะแกนั่นเหละยังไม่สำนึกอีก ให้มันได้อย่างนี้สิ”

วาสนาหน้าเครียดใช้ความคิด ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อคิดแผนชั่วขึ้นมาในหัวได้
 
อ่านต่อหน้า 3

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 3 (ต่อ)

ที่โต๊ะอาหารที่บ้านของทิวัตถ์ ทุกคนนั่งทานข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงัน เพราะต่างจมอยู่ในความรู้สึกที่แตกต่างกัน

ทิวัตถ์สีหน้าเป็นกังวลคิดถึงแต่เรื่องลิลิน อนันยชแฝงความโกรธเรื่องวรรณิตเอาไว้ ขณะที่ที่ศุภารมย์ ทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีความรู้สึกอะไร ส่วนทรงพลดูเหมือนกำลังคิดตัดสินใจที่จะพูดอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนจะหันไปมอง
ศุภารมย์ แล้วก็พูดขึ้นเป็นคนแรก
“นี่คุณ เมื่อเช้าคุณวิลาวัลย์โทร. มาถามผมว่าคุณไม่ได้ไปประชุมเหรอ? แล้วคุณไปไหนมา?
ศุภารมย์นิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่อยากบอกเรื่องไปเจอศัลย์
“ตอนแรกว่าจะไม่บอกคุณ แต่คิดว่ายังไงคุณก็ต้องรู้อยู่ดี”
ทรงพลหน้าเครียดกลัวจะมีเรื่องอะไรอีก ศุภารมย์หันไปกวักมือเรียกป้าจวน อีกฝ่ายรีบหยิบกล่องกำมะหยี่หรูยื่นให้ ศุภารมย์แกะกล่องนั้น พลางหยิบเน็กไทออกมา ชูขึ้นให้ทรงพลดู
“ฉันแอบไปซื้อมาน่ะค่ะ แล้วคุณก็รู้จนได้”
อนันยชมองยิ้มๆ
“แหม ดูแม่รีบจังเลยนะครับ ยังเหลืออีกตั้งเป็นอาทิตย์ก่อนจะครบรอบแต่งงาน”
ศุภารมย์รีบหันไปมองทิวัตถ์ ที่ยังมีสีหน้าไม่ค่อยดีอยู่ จึงรีบพูดปรามอนันยช
“พอได้แล้ววัน วินเป็นไรหรือเปล่า?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า “เปล่าครับ”
ทรงพลมองทิวัตถ์ก่อนจะตัดสินใจถามขึ้น
“เห็นป้าจวนบอกว่าเมื่อเช้าป้าน้อยมาเหรอ?”
อนันยชอึ้งเหมือนกินปูนร้อนท้อง ทิวัตถ์ก็นิ่งไปเพราะไม่อยากพูดถึงอีก
“จะให้แม่เรียกป้าน้อยมาคุยให้เด็ดขาดมั้ย? วันหลังแกจะได้ไม่พาหนูวรรณิตมาอีก”
“ยายน้อยนี่ยังไงนะ ก็บอกแล้วว่าอย่าพามาอีก ไม่ฟังกันเลย”
อนันยชทำทีเป็นอารมณ์เสียแทน ก่อนจะหันไปขยิบตากับทิวัตถ์ อีกฝ่ายทำหน้านิ่ง ก่อนจะขอตัวเดินเลี่ยงไป
ศุภารมย์หันกลับมาถามอนันยชต่อ
“แล้วลูกล่ะ ได้เจอหนูณิตบ้างรึเปล่า?”

อนันยชหน้าเจื่อน
“ไม่นี่ครับ ผมก็เพิ่งนึกได้เหมือนกันว่าน้องๆ เขารอโทรศัพท์ผมอยู่ ขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบรีบลุกเดินออกไป ศุภารมย์มองตามอย่างเห็นพิรุธ
ครั้นตกดึกก็แอบไปดักรอลูกชายที่หน้าห้อง อนันยชเห็นสีหน้า และท่าทางของแม่ก็นึกรู้ว่าจะมาคุยเรื่องอะไร?
“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเลยแม่”
ศุภารมย์ถอนหายใจเฮือก “ก็รู้นี่ คำนี้แม่ต้องเป็นคนพูด”
“แม่ไม่ไว้ใจผมเหรอ?”
ผู้เป็นแม่หน้าเครียด “แม่ไม่อยากให้ลูกทำผิดอีก”
“ผิดเหรอ ? ผมหรือแม่กันแน่”
อนันยชหน้าตึง เหมือนโดนจี้ปมในอดีต
จากนั้นภาพเหตุการณ์ต่อจากตอนที่ศุภิสราป้อนปลาสามรส พลางส่งสายตานั่งยวน ก็ผุดขึ้นมาอีก พร้อมกับเสียงโวยวายของศุภารมย์
“ทำอะไรน่ะ?”
อนันยชลนลานทำตัวไม่ถูก ผิดกับศุภิสราที่ยิ้มเย็น เพราะตั้งใจอยากให้เห็นอยู่แล้ว
“ทำไม? ฉันเห็นว่าวันเขาขาเจ็บ ก็เลยเอาข้าวขึ้นมาป้อนให้ จริงมั้ยวัน?”
อนันยชรีบหลบตาวูบ
“หิวแล้วทำไมไม่บอกป้าจวนให้เอาขึ้นมาให้”
“รอป้าจวนอย่างนั้น ได้แห้งตายพอดี ดูซิ ท่าทางวันเขาจะชอบ กินใหญ่เลย”
ศุภารมย์ทนไม่ไหว เดินเข้าไปดึงจานจากมือศุภิสราก่อนจะยื่นให้กับอนันยช
“ออกมานี่”
พลางดึงศุภิสราขึ้น อีกฝ่ายโวยวายเสียงดัง
“โอ๊ย ทำอะไรของพี่เนี่ย?”
ศุภารมย์รีบดึงศุภิสราออกไปก่อนจะปิดประตู
“อะไรของพี่ ฉันจะขึ้นมาหาหลานไม่ได้หรือไง?”
อนันยชค่อยๆ แง้มประตูออกดู
“ฉันรู้นะว่าเธอจะทำอะไร?”
ศุภิสรายิ้มเหี้ยมๆ ให้ศุภารมย์ที่กำลังหวั่นใจ
“ก็คงจะทำ เหมือนที่พี่ทำกับผัวฉันนั่นแหละ แกหักหลังฉัน ฉันจะตอบแทนสิ่งที่พวกแกทำกับฉันให้
สาสม”
อนันยชที่แอบอยู่ที่ประตู ครุ่นคิดด้วยความสงสัย
“ตกลงมันเรื่องอะไรกันครับ? แม่กับน้าต้อยมีเรื่องอะไรกัน”
อนันยชหันกลับมาถามศุภารมย์ ที่ยืนนิ่งไป พยายามปิดบังความจริง
“ลูกไม่จำเป็นต้องรู้”
“ผมยังเคยคิดเล่นๆ ว่าคำพูดของน้าต้อยวันนั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้น้าต้อยตายหรือเปล่า?”
ขาดคำศุภารมย์ก็ตบหน้าอนันยชอย่างแรง
“แม่รู้ว่าลูกคิดอะไรกับน้าต้อย แล้วแม่จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ขึ้นอีก ห้ามยุ่งกับหนูวรรณิตเด็ดขาด”

ออกคำสั่งเสร็จก็เดินออกไป ทิ้งให้อนันยชก็ยืนขึ้งโกรธอยู่ตรงนั้น

งานศพของบุญช่วยถูกจัดขึ้นในวัดอย่าเรียบง่าย ชาวบ้านส่วนใหญ่จับกลุ่มคุยกันว่าชายชราเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุพลัดตกน้ำ มีบางส่วนเท่านั้นที่บอกว่าเป็นการฆาตกรรม
 
พอวิทยาเดินเข้ามาในศาลา ชาวบ้านที่จับกลุ่มคุยกัน ก็รีบสงบปากสงบคำ
วิทยาปรายตาไปก็เห็นลิลินเดินเข้ามา
“ไม่คิดว่าคุณจะมา”
“ลุงช่วยแกเหมือนญาติของฉัน ยังไงก็ต้องมาค่ะ”
วิทยาไม่ทันได้สงสัยกับคำพูดของลิลินเพราะอยู่ในอาการโศกเศร้า
“เชิญเคารพศพดีกว่าครับ”
จากนั้นก็พาดเธอเดินไปจุดธูปหน้าโลงศพบุญช่วย เธอนั่งนิ่งมองรูปหน้าโลงศพด้วยสายตาที่เศร้าสร้อยปะปนกับคำถามมากมายที่ค้างคาใจ
“ไม่ว่าลุงช่วยจะเคยทำอะไรเอาไว้กับพ่อป้อง หนูขออโหสิกรรมให้”
ลิลินตัดสินใจลองยั่งเชิงวิทยาถึงสาเหตุการเสียชีวิต
“ท่าทางชาวบ้านแถวนี้จะรักลุงช่วยนะคะ ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ฉันได้ยินมา ก็ไม่น่าจะจริง ฉันได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า ลุงช่วยแกถูกฆาตกรรมน่ะค่ะ”
“ฆาตกรรม ? ถึงแม้แกจะสติไม่ค่อยดี แต่แกก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไร ชาวบ้านแถวนี้ก็ใจดีกับแกทุกคน ผมขอตัวก่อนนะครับ”
วิทยาพูดตัดบท แล้วลุกเดินออกไปยืนอยู่ที่มุมหนึ่งมองรูปบุญช่วยที่หน้าโลงด้วยความเศร้า ลิลินมองตาม พลางย้อนนึกย้อนกลับไป ถึงงานศพของปองภพ ที่วิทยาเป็นฝ่ายพูดปลอบใจเธอ
“ลุงป้องเป็นคนดี อย่าร้องนะคนดี น้ำตาจะทำให้พ่อป้องเป็นห่วงหนูลีนะ”
เด็กหญิงพยายามสะกดกลั้นน้ำตา ก่อนจะถูกวิทยาดึงตัวไปที่หน้าโลงศพ พลางเอารูปปองภพไปตั้ง แล้วเดินกลับมาที่หน้าโลงศพข้างๆ ลิลิน
“ลุงป้องไม่ต้องห่วงหนูลีนะครับ ผมสัญญาว่าผมจะดูแลหนูลีเอง”
“พ่อป้องไม่ต้องห่วงหนูลี หนูลีจะเข้มแข็ง หนูลีจะเป็นคนดีอย่างที่พ่อป้องบอก หนูลีรักพ่อป้อง”
เด็กหญิงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ปล่อยโฮออกมา วิทยาต้องดึงตัวเข้ากอดปลอบใจ

ทางด้านทรงพลพอรู้เรื่องจากศุภารมย์ก็ตกใจ
“เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมคุณเพิ่งมาบอกผม”
ศุภารมย์หน้าเครียด
“ฉันไม่ได้บอกคุณเพื่อให้คุณมาคาดคั้นอะไรจากฉัน”
“แค่วินไปอยู่ที่นั่นก็แย่แล้ว นี่ยังมีผู้หญิงอะไรอีก”
“ใจเย็นค่ะ บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
ทรงพลสวนกลับ “คุณไม่ต้องบอกให้ผมใจเย็น แล้วถ้ามันมีอะไรล่ะ? ”
“มีหรือไม่มี ถ้าหาผู้หญิงคนนั้นเจอ เราก็จะรู้เอง”
ศุภารมย์พูดด้วยแววตาเยือกเย็น ผิดกับทรงพลที่แววตาเป็นกังวล

ลิลินตื่นเช้ามาใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้บุญช่วย จากนั้นก็เดินกลับเข้าไป บังเอิญเจอกับศักดิ์สิทธิ์เข้าพอดี เขารีบถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเห็นอีกฝ่ายลางานกระทันหัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีเจอคนที่มารยาททราม ปากจัด วันๆ ไม่ทำอะไร จ้องแต่จะคอยจับผิดคนอื่น”
ศักดิ์สิทธิ์นึกโกรธแทน
“ใครครับ? ใครบังอาจทำคุณลินแบบนั้น บอกผม เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”
ลิลินรีบตอบแบบเลี่ยงๆ พลางเปลี่ยนเรื่องมาถามถึงทิวัตถ์ ตั้งให้อีกฝ่ายคิดไปเองว่าอาจจะหมายถึงเขา
“คุณสิทธิ์กับคุณทิวัตถ์นี่ เป็นเพื่อนกันมานานหรือยังคะ?”
“อย่าเรียกว่านานเลยครับ เรียกว่านานมากดีกว่า ทำไมเหรอครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่เห็นว่าคุณศักดิ์สิทธิ์เป็นคนดีมีน้ำใจ มองโลกในแง่บวก ไม่ตัดสินคนจากภายนอก ดูแล้วตรงข้ามกับตานั่น เอ่อ คุณทิวัตถ์น่ะคะ ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะคบกันได้”

จากนั้นก็ขอตัวเดินเลี่ยงไป ศักดิ์สิทธิ์คิดถึงคำพูดของเธอ แล้วเผลอเข้าใจปว่าเธอแอบชอบเขา!!

ขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยกัน จู่ๆ ทรงพลก็ออกความเห็นว่าควรจะถามทิวัตถ์ไปตรงๆ เลยจะดีกว่า

ศุภารมย์รีบวางถ้วยกาแฟลง
“คุณคิดว่าวินจะบอกเราเหรอ? อีกอย่างเรายังไม่รู้เลยว่าวินรู้เรื่องการตายของบุญช่วยมากแค่ไหน? ถ้าไม่รู้บางทีคำถามของเรา อาจจะทำให้ วินเจอคำตอบที่หามาทั้งชีวิตก็ได้”
ทรงพลได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป เพราะรู้ว่าศุภารมย์หมายถึงเรื่องการตายของศุภิสรา พอเห็นทิวัตถ์เดินลง เขาก็แอบสังเกตท่าทีของลูกชายเงียบๆ แต่พอจะเข้าเรื่อง อนันยชก็เดินเข้ามาขัดอีก ผู้เป็นพ่อจึงเบี่ยงประเด็นไปถามถึงเรื่องสิตา
“เอ่อวิน พักนี้เรากับสิตาเป็นยังไง?”
ทิวัตถ์แปลกใจเมื่อได้ยินที่ทรงพลพูดถึงสิตา
“ทำไมอยู่ๆ พ่อถึงถามถึงเธอล่ะครับ?”
ศุภารมย์ชิงตอบแทน
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พอดีโครงการที่วินรับผิดชอบอยู่ตอนนี้ คิดว่าเสี่ยหาญก็คงอยากจะได้เหมือนกันทิวัตถ์ฝืนยิ้ม เพื่อให้ทุกคนสบายใจ
“ถ้าเรื่องสิตา คุณพ่อกับแม่ต่ายไม่ต้องห่วงครับ อดีตยังไงก็เป็นแค่อดีต”
“ถ้าอย่างนั้นก็เบาใจ แล้ววินไม่คิดจะมีใครอีกเหรอ?”
ศุภารมย์ถามเข้าเรื่องแบบเนียนๆ
“ทำไมครับ? หรือแม่ต่ายเบื่อที่จะดูแลผมแล้ว”
“ที่แม่ถามเพราะเห็นว่าช่วงนี้วินทำงานหนักเกินไป บางทีการมีใครสักคน อาจจะทำให้วินไม่ต้องเครียดอย่างนี้”
อนันยชรีบพูดล้อเรื่องวาสนากับวรรณิต แต่กลับโดนศุภารมย์เอ็ด เขาจึงรีบขอตัว แล้วเดินเลี่ยงอกไป
พร้อมๆ กับที่ทิวัตถ์หันกลับไปตอบแบบนิ่งๆ
“ตอนนี้ผมยังสนุกกับงานครับ ผมไปรอที่รถนะครับพ่อ”
ทรงพลกับศุภารมย์มองตามจนทิวัตถ์ลับสายตา
“ท่าทางจะเอาอะไรจากเจ้าวินไม่ได้จริงๆ แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”

เม็ดนุ่น ยอด สลวย เปรี้ยว แมว คนใช้ในบ้านทิวัตถ์ กำลังล้อมวงพูดถึงทิวัตถ์ กับอนันยชกันอย่างสนุกปาก พอป้าจวนโผล่หน้ามา วงก็แตกทันที
“ระวังเถอะ พูดเล่นมากๆ ถ้าคุณต่ายมาได้ยินล่ะก็ พวกแกจะได้กลับบ้านไปพูดเล่นทั้งวันแบบยายน้อยแน่”
คนอื่นนั่งเงียบ ยกเว้นสลวยที่อดปากไม่ได้
“เออป้า จริงหรือเปล่าที่คุณต่ายแกรักคุณวินมากกว่าคุณวันน่ะ”
“นังหลวย ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่านินทาเจ้านาย ไอ้ที่พวกแกได้ยินมาน่ะไม่จริงทั้งนั้น พวกแกน่ะไม่รู้อะไร คุณวันน่ะเป็นของคุณต่ายกับสามีเก่า ส่วนคุณวินน่ะเป็นลูกของคุณต้อย”
เปรี้ยวถามต่อ “คุณต้อยที่ถูกชู้ฆ่าน่ะเหรอป้า?”
ป้าจวนชะงักเสียวสันหลังวาบ รีบตัดบท
“พวกแกจะอยากรู้อะไรเนี่ย เป็นคนใช้อยากรู้อะไรเรื่องเจ้านาย รีบๆ กินแล้วก็รีบแยกย้ายทำงานซะ”
หญิงชรารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อพูดถึงศุภิสรา

ศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าใจว่าลิลินแอบชอบตัวเอง ก็กลับเข้ามาฉีดน้ำหอมจนฟุ้งไปทั้งตัว จนปกติที่เข้ามาคุยงานถึงกับแปลกใจ
“ปกติคุณหนูไม่ฉีดน้ำหอมนี่ครับ หรือว่าคุณหนูกำลังจะมีแฟน?”
ศักดิ์สิทธิ์รีบกลบเกลื่อน
“แฟนอะไร? เธอก็แค่บอกผมว่าผมเป็นคนดีมีน้ำใจ มองโลกในแง่บวก เธออาจจะไม่คิดอะไรกับผมก็ได้”
“ไม่คิดแล้วจะพูดเหรอครับ ถ้าพูดหญิงพูดซะขนาดนั้น ก็แสดงว่าชอบเราอยู่แล้วแหละครับ”
ปกติอกความเห็น ศักดิ์สิทธิ์แอบยิ้มสมใจ
“คุณว่าอย่างนั้นเหรอ?”
“แน่นอนครับ ใครเหรอครับ?”
ศักดิ์สิทธิ์ไม่ตอบ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องงานต่อ พลางวกเข้าเรื่องลิลิน
”แล้วคุณไปพูดอะไรกับคุณลิน? คุณลินถึงได้โกรธ ไม่ยอมร้องเพลงเมื่อคืน”
ปกติทำหน้างง “พูด ? ผมพูดอะไรเหรอครับ”
“ไม่รู้ ผมได้ยินคุณลินบอกว่าเมื่อวานเจอคนสติไม่ดี แล้วผมก็คิดว่าคนนั้นน่าจะเป็นคุณคนเดียว
ตอนนี้สิ่งที่จะดูดแขกให้กลับมาโรงแรมเราอีกครั้ง คือคุณลิน ในเมื่อตอนนี้คุณลินคือแม่เหล็กของโรงแรมเรา แล้ว
เมื่อวานคุณปล่อยให้คุณลินลาได้ยังไง? บอกเหตุผลมา ถ้าไม่ดี ผมจะหักเงินเดือนคุณ เท่ากับรายได้ที่เสียไปเมื่อวาน”
ปกติทำหน้าปูเลี่ยนๆ ก่อนที่จะนึกวิธีเอาตัวรอดขึ้นมาได้
“ที่จริงแล้ว มันเป็นความคิดของผมเองครับ คือคุณหนูลองคิดดูซิครับ ถ้าแขกมาแล้วเห็นคุณลินทุกวันไม่นานก็เบื่อ จริงมั้ยครับ? ผมก็เลยคิดว่าการให้คุณลินไม่ต้องโชว์ตัวบ่อย เพื่อที่จะให้แขกไม่เบื่อไงครับ”
ศักดิ์สิทธิ์คิดตาม

“ก็มีเหตุผลนะ ฉันคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว”

จากนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ก็รีบเดินไปคุยกับลิลิน ขณะที่เธอพักซ้อมกับวงพอดี เขาอ้ำๆ อึ้งๆ อยากจะถามเรื่องที่เธอแอบชอบเขา แต่ก็ไม่กล้าพุด เลยเสไปคุยเรื่องงาน

“ผมว่าผมจะทำวีทีอาร์โปรโมทโรงแรม คุณลินคิดว่าไงครับ?”
“ก็ดีค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มดีใจ “ขอบคุณนะครับที่คุณลินยอมเป็นพรีเซนเตอร์ให้”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่ทำไมคุณสิทธิ์ไม่โปรโมทอย่างอื่นล่ะคะ? ที่พักหรือว่าอาหารแบบที่โรงแรมอื่นเขาทำกัน”
“ไอ้ผมก็อยากจะทำอย่างนั้นแหละครับ เรื่องที่พักหรือความสวยงามเนี่ยไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าให้โปรโมทเรื่องอาหารเนี่ยห้ามเด็ดขาด คุณลินก็รู้ว่าตอนนี้ครัวเราปิดอยู่”
“ถ้าอย่างนั้น ลินว่าตอนนี้คุณสิทธิ์น่าจะคิดเรื่องเชฟมากกว่าเรื่องการโปรโมทนะคะ”
ลิลินยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์นั่งเครียด
“เชฟ แล้วจะหาจากไหนวะ?”

ทิวัตถ์นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน ก่อนที่จะเรียกคฑาวุธเข้ามาถามถึงประวัติของวิทยา ที่เขาสั่งให้วางไว้บนโต๊ะทำงาน แต่อีกฝ่ายกลับตอบว่า
“ผมเอามาวางแล้ว แล้วผมก็เอากลับไปแล้วครับ พอดีเห็นท่านประธานบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลง
นิดหน่อยน่ะครับ”
คฑาวุธท่าทางลำบากใจ จนทิวัตถ์สงสัย จนต้องรีบเข้าไปถามทรงพลถึงในห้องทำงาน
“ทำไมพ่อถึงเปลี่ยนจากต้นลีลาวดีเป็นต้นปาล์มครับ?”
ทรงพลชะงักก่อนจะเซ็นเอกสารต่อทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ต้นปาล์ม หาง่ายกว่า แล้วก็ถูกกว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นต้นปาล์ม บริษัทเราก็จะมีกำไรเพิ่มขึ้น”
ทิวัตถ์ทำหน้าไม่เชื่อ
“แต่ผมว่า ที่พ่อเปลี่ยนเพราะพ่อกลัวว่าผมจะทำงานไม่ได้เพราะไอ้โรคบ้าๆ ของผมใช่มั้ยครับ พ่อครับชีวิตผมจะก้าวต่อไปไม่ได้ ถ้าผมยังวิ่งหนีอดีตอยู่อย่างนี้”

ทิวัตถ์พูดด้วยสายตามุ่งมั่นจนทรงพลไม่กล้าที่ยื้อเอาไว้อีก เพราะเกรงอีกฝ่ายจะสงสัยมากขึ้น
 
อ่านต่อหน้า 4

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 3 (ต่อ)

ขณะที่อนันยชก็นึกแปลกใจที่จู่ๆ วาสนาก็โทร. เข้ามาหาเขา

“ยายน้อย ไม่คิดว่ายายจะอยากคุยกับผม”
“ที่จริงก็ไม่ค่อยอยากจะคุยเท่าไหร่หรอก แต่พอดีมันเป็นเรื่องที่เกิดจากเรา ยัยณิตมันมาเล่าให้ยายฟังหมดแล้วเรื่องที่พ่อวันทำรุ่มร่ามกับหล่อนเมื่อวันก่อน”
จากนั้นก็บังคับแกมขู่ให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับวรรณิต
“แล้วถ้าผมจะยุ่งล่ะ?”
“พ่อวันก็คงต้องเจอเรื่องยุ่งๆ ฟังยายให้ชัดๆ ยายจะไม่ยอมให้ยายณิตเป็นของใคร นอกจากพ่อวิน”
วาสนาย้ำชัดเจน ก่อนจะวางสายทันที อนันยชเจ็บใจที่ถูกกีดกัน แต่นั่นยิ่งเป็นแรงผลักให้เขาต้องการวรรณิตมากขึ้น
อีกด้านหนึ่งวรรณิตก็กำลังคุยมือถืออยู่ในสวนที่บ้าน ด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ตอนนี้ฉันยังไปไม่ได้ค่ะ ช่วงนี้ฝากพี่ดูแลแกไปก่อนนะคะ ส่วนเรื่องเงิน ฉันจะรีบเอาไปให้ เอ่อ แค่นี้ก่อนนะคะ”
วรรณิตเหลือบเห็นวาสนาเดินเข้ามา ก็รีบตัดบท วางสายทันที
“คุยกับใคร?”
“เอ่อ พี่ที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ แกโทรมาบอกว่าแม่เริ่มมีอาการตอบสนองแล้ว เอ่อ...”
วรรณิตกำลังจะเอ่ยเรื่องเงิน แต่วาสนากลับสวนขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ไม่ต้องเล่า ฉันไม่ได้อยากฟัง ถ้าแม่หล่อนตายเมื่อไหร่ค่อยบอกฉันก็พอ นอนเป็นผักอย่างนั้น สู้ตายไปซะยังจะดีกว่า อยู่อย่างนี้ก็เป็นภาระคนอื่นเขา”
วรรณิตไม่พอใจขึ้นมาทันที
“แต่ที่ณิตยอมทำตามที่ยายบอกอยู่ตอนนี้ ก็เพราะณิตต้องการเงินไปรักษาแม่ ถ้ายายยังพูดกับแม่ของณิตอย่างนี้อีก”
“ทำไม แกจะไปจากฉันหรือไง? อย่าลืมซิว่าแกก็อยากได้เงิน ถ้าแกไปจากฉัน น้ำหน้าอย่างแกจะหาเงินจากไหน?”
วรรณิตนิ่งไปเพราะถูกวาสนาดักไว้หมดทุกทาง อีกฝ่ายไม่อยากจะชักใบให้เรือเสียจึงเปลี่ยนเรื่อง
“พ่อวันเขาชอบแก”
วรรณิตตกใจ “แต่ณิตไม่ได้ชอบเขา”
“ฉันก็บอกพ่อวันไปแล้ว ว่าแกชอบพ่อวิน”
“แต่ณิตก็ไม่ได้ชอบคุณวินนะคะ”
“หยุดเลย แกจะพูดแบบนี้ไม่ได้” วาสนาเข้ามาพูดใกล้ๆ วรรณิตเพื่อหว่านล้อม “คิดถึงเป้าหมายเราไว้ให้ดีๆ สิ ถ้าแกอยากได้เงิน ก็ทำตามที่ฉันบอกก็พอ”

ทิวัตถ์โทร. นัดปลัดจะมาคุยเรื่องปรับภูมิทัศน์เทศบาล อีกฝ่ายจึงนัดให้มาคุยกันที่โรงแรม
รอยัลเพิร์ล เขาจึงมาบอกศักดิ์สทธิ์ ที่รับฟังอย่างลิงโลด
“อะไรนะท่านปลัดจะมากินอาหารโรงแรมฉัน? พระเจ้า เป็นเกียรติมากบอกเลย”
“แกก็ต้อนรับท่านดีๆ ล่ะ ท่านจะได้ประทับใจ เรื่องอาหารก็เลือกที่เป็น...”
พอทิวัตถ์พูดเรื่องอาหารทำให้ศักดิ์สิทธิ์นึกขึ้นได้
“เฮ้ย! เวรแล้วไง แกจำไม่ได้หรือไง? ว่าตอนนี้ครัวฉันปิดอยู่”
ทิวัตถ์เพิ่งนึกออก “แล้วแกจะทำยังไง?”
“แกก็นัดท่านไปคุยที่อื่นซิวะ”
“ไม่ได้ ฉันบอกแล้ว แต่ท่านก็ยังยืนยันที่จะมาที่โรงแรมแก”
ศักดิ์สิทธิ์หนาเครียด
“เฮ้ย อะไรวะ บุญมีแต่กรรมบังจริงๆ เลยกู หรือว่าท่านปลัดแกจะติดรสมือยายเฟื่องวะ แบบว่าแกเป็นคนหาของแปลกๆ ทานไรงี้”
“ถ้าคิดแบบนี้แล้วสบายใจก็เรื่องของแก แล้วก็ช่วยกลับไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ด้วยจะดีมาก”
ศักดิ์สิทธิ์เลิกคิ้ว “ทำไม ชุดนี้มันไม่ดีหรือไง?”
“มันไม่เกี่ยวกับชุดหรอก มันเกี่ยวกับไอ้น้ำหอมที่แกใส่เนี่ย แกฉีดหรืออาบกันแน่วะ?”
เมื่อทิวัตถ์พูดมาถึงตรงนี้ ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้โอกาสปรึกษาทันที
“เอ้า! แกไม่รู้อะไร น้ำหอมนี่แหละที่จะไปกระตุ้นความรู้สึกของผู้หญิง แกว่าพวกผู้หญิงที่อารมณ์ศิลปินนี่ ชอบอะไรมั่งวะ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้าผม อาหาร ดนตรี กีฬา”
“ศิลปินของแกนี่แบบไหน? พวกวาดรูปอะไรอย่างนั้นน่ะเหรอ “
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า
“นักดนตรี?”
“เกือบถูกแล้ว เกี่ยวกับเสียงเพลงเหมือนกัน”
ทิวัตถ์นึกเอะใจขึ้นมาทันที “นี่อย่าบอกนะว่าแก...”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าแบบเขินๆ
“เฮ้ยๆ แต่ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะ คุณลินต่างหาก แกคิดดูซิ เธอบอกว่าฉันเป็นคนดี มองโลกในแง่บวก”
ทิวัตถ์แอบยิ้มเหยียด “คิดไว้แล้ว ไอ้สิทธิ์ แกคิดดีแล้วเหรอที่จะคว้าผู้หญิงอย่างนั้นมาเป็นแฟน”
“ทำไมวะ คุณลินเขาไม่ดีตรงไหน?”
“ก็ทุกตรงนั่นแหละ แกจะเอาอะไร ทั้งฐานะการศึกษาก็ไม่ได้ แถมเป็นนักร้องที่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัว ขืนเป็นแฟนกัน รับรองว่าคนทั้งจังหวัดคงพูดเรื่องแกไปอีกสามปี”
ศักดิ์สิทธิ์คิดตามทิวัตถ์แล้วก็คล้อยตาม “จะว่าไปมันก็จริงของแก”
“ตอนนี้สิ่งที่แกต้องคิดก่อนเรื่องอื่นก็คือ แกจะหาเชฟจากไหนมาทำอาหารให้ท่านปลัดคืนนี้”

ศักดิ์สิทธิ์เครียด จนอยากจะเอาหัวโขกกำแพง

ฟากลิลิน ก็กำลังนั่งเขียนจดหมายยู่ในห้องพัก

“แม่ดาคะ ลุงช่วยเสียชีวิตแล้วค่ะ พยานคนสำคัญของลินได้หายวูบไปกับตา ลินช้าไปก้าวหนึ่งอีกแล้วค่ะ ลินจะทำยังไงดีคะ?
ลินขอโทษที่อ่อนแอ แต่มันจะไม่มีอีกแล้วค่ะ พ่อเคยบอกว่า ความอ่อนแอไม่เคยทำให้ใครประสบความสำเร็จ ไม่ว่าพวกนั้นจะใช้วิธีอะไร ลินจะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับพ่อให้ได้”
เธอค่อยๆ วางปากกาลง พร้อมกับแววตาแห่งความมุ่งมั่นที่กลับมาอีกครั้ง ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ภายในห้องดังขึ้น
“ลิลินพูดค่ะ มีคนมาพบฉันเหรอคะ?”

ลิลินเดินเข้ามาที่สระว่ายน้ำ พอเห็นว่าเป็นสิตา ก็มองด้วยสายตาเรียบเฉย
“มีธุระอะไรกับฉันคะ?”
“ฉันคิดว่าเธอก็น่าจะรู้นะว่าฉันมาเพราะเรื่องอะไร?”
ลิลินถอนหายใจอย่างระอา
“ถ้าคุณมาเพราะเรื่องคุณวิน ฉันคิดว่าคุณมาหาผิดคนแล้ว เพราะเขาเป็นฝ่ายเข้ามาหาฉันเอง”
“ตอนแรกฉันก็โกรธที่เห็นวินกับเธอ แต่พอคิดดูดีๆ แล้ว วินเขาคงหาที่ระบายชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น”
“ตกลงคุณอยากเจอฉันเรื่องอะไร? ถ้าเพื่อต้องการพูดให้ฉันรู้สึกแย่แค่นี้ ฉันขอตัว”
ลิลินพูดพร้อมกับหันหลังเดินกลับทันที
“อย่ามาเดินหนีฉันนะ” สิตาวิ่งไปกระชากแขน “ฉันบอกว่าอย่าเดินหนีฉัน พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ไม่เคยมีใครกล้าเดินหนีฉันมาก่อน”
ลิลินหันกลับมายิ้มเยาะ
“แต่ฉันมั่นใจว่าอย่างน้อย ก็มีคุณวินหนึ่งคน”
“แก อย่าคิดว่าไอ้ความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวนั่นจะทำให้วินเขาจบที่เธอ ฉันมั่นใจว่าวินคงไม่ตาต่ำลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงอย่างเธอแน่”
ลิลินชักจะทนไม่ไหว
“งั้นคุณก็รู้ไว้ซะด้วยว่าผู้หญิงต่ำๆ คนนี้ล่ะ ที่ทำให้คุณวินกล้าทิ้งผู้หญิงสูงส่งอย่างคุณลงมาเกลือกกลั้วกับฉัน เอ! ไม่แน่ใจแล้วซิว่าใครต่ำกว่ากัน”
สิตากรีดร้องดังลั่น พลางตบหน้าลิลินอย่างโกรธจัด
“ดูเธอจะภาคภูมิใจกับการลักกินขโมยกินของของคนอื่นจังเลยนะ แต่นักร้องอย่างเธอก็เป็นได้แค่เครื่องรองรับอารมณ์เท่านั้นล่ะ วันๆ ก็ซุกหัวแอบอยู่ในที่มืด ทั้งชีวิตไม่มีค่าพอแม้แต่จะประกาศตัวเป็นเจ้าของผู้ชายได้ซักคน”
“งั้นคุณก็จงภาคภูมิใจกับไอ้การกระทำที่ป่าวประกาศเป็นเจ้าของผู้ชายไปแล้วกัน แล้วก็ฝากดูให้ดีๆด้วย เพราะเขาคงจะเบื่อไอ้ความภาคภูมิใจของเธอ ถึงได้แอบมาหาความสะใจอย่างฉัน”
สิตาโกรธจนตัวสั่น จะวาดมือตบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ลิลินเบี่ยงตัวหลบ ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักตกลงน้ำ ลิลินมองแล้วก็นึกสงสาร แต่พอขยับจะช่วย เสียงทิวัตถ์ดังขึ้น
“ตา”
จากนั้นก็กระโดดน้ำลงไปช่วย ก่อนจะขึ้นมาเอาเรื่องกับลิลิน
“ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย?”
แต่สิตารีบดึงแขนห้าม ทำตัวเป็นคนแสนดี
“อย่าค่ะวิน ตาแค่ลื่นล้ม คุณลินไม่ได้ทำอะไร”
“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะ ตาไม่ได้เป็นอะไร” พลางทำท่าจะลุกขึ้น แต่ก็เซไป ทิวัตถ์ต้องรีบมาประคอง
“ไป ไปพักตรงนั้นดีกว่าตา”
ลิลินส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย พลางขยับจะเดินออกไป แต่ทิวัตถ์รีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน ครั้งนี้ตาขอคุณเอาไว้ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
“แค่นี้ใช่มั้ย?”
ลิลินเชิดหน้า แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทิวัตถ์มองลิลินด้วยความโกรธ สิตาแอบยิ้มสะใจก่อนที่ทิวัตถ์จะประคองเธอออกไป

จากนั้นทิวัตถ์ก็พาสิตามานั่งพักข้างริมสระน้ำ ก่อนจะถามถึงเหตุการณ์
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นตา? เล่ามาให้ผมฟังเดี๋ยวนี้”
สิตาแกล้งทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด
“ตาผิดเองค่ะ ที่ไปหาเรื่องเธอ ตาหึงวินน่ะค่ะ”
“เรื่องแค่นี้ ทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้ด้วย”
สิตาเอื้อมมือมาจับทิวัตถ์ พลางมองด้วยแววตาอ้อนวอน
“ขอบคุณนะวิน ตาไม่คิดว่าวินจะโดดลงไปช่วยตา”
ทิวัตถ์สบตาสิตา ก่อนจะยิ้มให้ แล้วค่อยๆ ดึงมือออก
“ผมต้องกลับไปทำงานแล้ว คุณกลับเองได้มั้ย?”

พอทิวัตถ์เดินลับสายตา สิตาเปลี่ยนท่าทางที่แสนดี เป็นยิ้มสะใจที่ทำให้เขาเข้าใจลิลินผิด

ทางด้านอนันยชก็โผล่มาหาวาสนาถึงที่บ้าน ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับแปลกใจ

“พ่อวัน มาทำไม?”
อนันยชยิ้มกรุ้มกริ่ม “ผมจะมาเยี่ยมผู้ใหญ่ที่น่าเคารพไม่ได้เหรอครับ? “
“แต่น้ำเสียงที่พูด ดูมันตรงข้ามนะพ่อวัน มีธุระอะไร?”
“ก็ธุระเกี่ยวกับธุรกิจของยายไงครับ ผมรู้ว่ายายรู้ ว่าผมหมายถึงอะไร? ยายต้องการใช้คุณณิตจับเจ้าวิน”
วาสนาตกใจ รีบปฏิเสธ
“เปล่านะ ยายไม่ได้คิดอย่างนั้นซะหน่อย ยายทำเพราะว่าอยากจะช่วยยัยณิตต่างหาก ยัยณิตน่ะชอบพ่อวินมาก”
“ไม่ใช่เพราะเจ้าวินคือคนที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างของคุณน้าเหรอครับ? พอเถอะยาย ทำไมผมจะไม่รู้ว่ายายต้องการอะไร? ยายก็รู้ว่าไอ้วินมันไม่สนใจคุณณิต เพราะถ้ามันชอบ มันคงไม่พยายามหนีหน้ายายกับคุณณิต
อย่างนี้หรอก”
วาสนาหน้าชา ก่อนจะนิ่งไปเพราะหมดทางโต้แย้ง
“แต่ผมบอกแล้วว่าผมมาเพื่อคุยธุรกิจ ถ้ายายยังดื้อที่จะให้คุณณิตกับเจ้าวิน ยายจะไม่ได้อะไรเลย
แต่ถ้ายายอยากได้อะไรติดมือกลับไปบ้าง ยายก็ยกคุณณิตให้ผม”
วาสนาสวนกลับทันที “ไม่มีทาง”
“ก็คิดดูแล้วกันยาย ถ้าเรื่องนี้ถึงหูคุณน้า ยายว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?”
วาสนาพูดไม่ออก ไม่คิดว่าอนันยชจะกล้าเล่นอย่างนี้กับเธอ

ศักดิ์สิทธิ์กำลังกลัดกลุ้มที่ยังหาเชฟไม่ได้ จู่ๆ ปกติก็เปิดประตูผัวะเข้ามาในห้องทำงาน หน้าตาตื่น
“เรื่องใหญ่แล้วครับคุณหนู ในครัว ในครัว”
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจ คิดว่ายายเฟื่องเป็นอะไร
แต่ครั้นเข้าไปที่ในครัว กลับเห็นวิชนีมาช่วยยายเฟื่องทำอาหาร
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
วิชนียิ้มเยาะ “อยากรู้ก็ถามยายเฟื่องของนายดูสิ”
ยายเฟื่องรีบบอก
“อ๋อ ยายโทรเรียกให้เธอมาช่วยยายทำอาหารเองแหละ ก็เห็นคุณหนูบอกว่าวันนี้จะมีลูกค้าคนสำคัญมา ยายก็กลัวว่าอาหารจะไม่ถูกปาก”
“ยัยนี่เนี่ยนะ?”
วิชนีแหวกลับทันที
“ยัยนี่ ที่นายพูดถึงคือผู้มีพระคุณต่อนายนะ พูดให้มันดีๆหน่อย”
ศักดิ์สิทธิ์กำลังจะตั้งท่าจะด่ากลับ แต่ยายเฟื่องรีบขัดขึ้น
“คุณหนูคะ ใจเย็นๆ ก่อนนะ แม่หนูคนนี้ฝีมือใช้ได้เลยนะคะ”
ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าดูถูก
“ใช้ได้อะไร ผมว่าก็งั้นๆ แหละ” พลางหยิบหมูทอดที่วางใส่จานขึ้นมากิน “ถุย เนี่ยนะยายที่ว่าอร่อย”
“จานนั้นฉันกำลังจะเอาไปเททิ้งพอดี ยายเฟื่องเป็นคนทำนะ”
ศักดิ์สิทธิ์ชะงัก แล้วรีบแก้ตัว
“ฉันพูดเล่นหรอก จะบอกให้ว่าฉันไม่เคยกินหมูทอดที่ไหนที่อร่อยเท่านี้มาก่อน”
พูดพลางหยิบหมูทอดฝีมือยายเฟื่องเข้าปาก ก่อนจะพยายามเคี้ยวอย่างพะอืดพะอม
“เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าอร่อย ถ้ายายจะไปขอให้คนอื่นมาช่วยผมไม่ว่าหรอกนะ แต่น่าจะไปขอจากคนที่เก่งจริงๆ ไม่ใช่พวกเก่งแต่ปาก”
พูดพลางแกล้งยกจานอาหารทุกอย่างเททิ้ง วิชนีทนไม่ไหว ขว้างไข่ดิบพุ่งเข้ามาโดนเต็มๆ หน้าศักดิ์สิทธิ์
“ว่าฉันน่ะ ฉันยังไม่โกรธเท่าที่นายกำลังทำกับอาหารอย่างนั้น สมควรโดนแล้ว”
“สมควรเหรอ? ได้”
ว่าแล้วทั้งคู่ก็หยิบข้าวของปาใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร

ทางด้านทิวัตถ์ก็โทร. ไปสั่งการคฑาวุธให้เร่งติดต่อวิทยาให้ได้ในวันพรุ่งนี้ แล้วก็รีบวางสายไป ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจอย่างอ่อนแรง
“เจ้านายก็อยากจะเจอ แต่เจ้าของบริษัทดัน ไม่อยากให้เจอ โอ๊ย ไอ้วุธ ทำไงวะเนี่ย?”
จากนั้นก็ฝืนจำต้องรีบโ ทร. ไปหาวิทยา ขณะที่เขาอยู่ที่งานศพ
“สวัสดีครับ ผมคฑาวุธ จากเอสพีคอนสตรัคชั่น พอดีว่าคุณทิวัตถ์ต้องการร่วมงานกับคุณ พรุ่งนี้คุณว่างมั้ยครับคุณทิวัตถ์จะได้นัดคุณเข้ามารับงานที่ออฟฟิศ”
วิทยาทำหน้านิ่ง “ช่วงนี้คงไม่สะดวกน่ะครับ พอดีลุงผมเพิ่งเสีย ขอโทษด้วยนะครับ”
คฑาวุธยิ้มดีใจ “ครับ ไม่เป็นไรครับ เราเข้าใจ สวัสดีครับ”
ส่วนวิทยาพอกดวางสาย ก็ได้ยินเสียงลูกน้องโวยวายอยู่ด้านหน้าศาลา
“เข้าไม่ได้ บอกแล้วไงว่าอย่ามาที่นี่”
ครั้นเดินไปดู ก็เห็นลูกน้องตัวเองกำลังยืนขวางชายชุดดำ 2 คนอยู่
“มีเรื่องอะไรกัน?”
ลูกน้องรีบบอก “เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอกพี่ พี่กลับเข้าไปเถอะครับ”
“ไม่มีอะไรได้ไง? เงินตั้งสี่หมื่น”
วิทยาหันขวับทางทางลูกน้อง “พวกนี้เป็นใคร?”
ลูกน้องไม่กล้าตอบ ชายชุดดำจึงตอบแทน
“เป็นเจ้าของเงินที่ไอ้นี่มันยืมไปไง”
วิทยาหันมองลูกน้องเหมือนต้องการคำตอบ
“พ่อผมไม่สบายครับ แล้วผมก็ไม่อยากยืมพี่ ผมเห็นว่าพี่เองก็ไม่มีเหมือนกัน”
วิทยาใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจ
“ฉันจะคืนให้แกเอง ขอเวลาอาทิตย์นึง”
ลูกน้องหันมายกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะรีบเดินออกไป วิทยาครุ่นคิดก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาท่าทางลังเล

ทิวัตถ์กำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง พลันเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ศุภารมย์จะเดินเข้ามา
“ เป็นอะไรหรือเปล่า? ไปทำอะไรมาถึงได้ตัวเปียกอย่างนั้น”
“เอ่อ แล้วแม่ต่ายรู้ได้ยังไงครับ?”
ศุภารมย์ตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ “แม่เห็นเสื้อผ้าของเราที่กองเอาไว้น่ะ”
“ไม่มีอะไรครับ แค่อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ”
“ทีหลังแค่มือถือเครื่องเดียว ซื้อใหม่ดีกว่านะ เป็นไรไปมันจะไม่คุ้ม”
ทิวัตถ์ยิ้มรับ “ครับ แม่ต่ายมีอะไรรึเปล่า?”
“วินรู้จักวัดใหญ่ที่อยู่ริมน้ำมั้ย?”
ทิวัตถ์นึกย้อนกลับไปตอนที่เขาตามลิลินไปที่วัดคืนนั้น ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่รู้จักครับ ทำไมเหรอครับ?”
“พอดีพักนี้แม่เห็นว่ามันเกิดเรื่องเกิดราว แม่ก็เลยคิดว่าเราไม่ได้ทำบุญกันมานานแล้ว แม่อยากไปปล่อยปลา เห็นเขาว่าที่วัดนี่ริมน้ำสวยมาก”
“ได้ครับ ไว้จะไปเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกันครับ”
ศุภารมย์ยิ้มและพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกประตูไป พร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวลใจ

“ไม่รู้จักเหรอ?”

ทางด้านสิตาก็กำลังโต้เถียงกับกฤษดา เพราะถูกอีกฝ่ายบังคับให้เลิกติดต่อ และตามตื๊อทิวัตถ์ เสี่ยหาญเข้ามาเห็น ก็รีบปราม

“พวกแกสองคนนี่มันอะไรกัน เจอหน้ากันก็ทะเลาะกันทุกที”
กฤษดารีบรายงาน เชิงฟ้อง
“อย่าเรียกว่าทะเลาะเลยครับ ผมแค่กำลังสอนน้องให้รู้จักรักนวลสงวนตัว หรือถ้าทำไม่ได้อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักรักษาหน้าของเราบ้าง”
สิตาไม่ยอมแพ้
“ถ้าพี่อยากรักษาหน้า พี่ก็แค่ไม่ต้องทำตัวใหญ่ซะคับจังหวัด หาเรื่องมาให้พ่อตลอดเวลาก็พอ”
เสี่ยหาญรำคาญตวาดเสียงดัง
“ฟังไม่รู้เรื่องกันใช่มั้ย? แล้วนั่นจะไปไหน? พรุ่งนี้แกต้องขับรถให้พ่อนะ”
กฤษดาที่กำลังจะออกไป หันกลับมาบอก “รู้แล้วพ่อ ผมกลับไม่ดึกหรอกน่า”
พูดจบก็รีบเดินออกไป เสี่ยหาญหันมาทางสิตา แต่อีกฝ่ายรีบพูดดัดคอ
“หนูรู้ว่าพ่อจะพูดอะไร แต่หนูกับวินรักกัน”
“ถ้ามันรักแก ป่านนี้มันคงกลับมาหาแกแล้ว”
สิตาพูดอย่างเอาจริง “พ่อคอยดูนะ หนูจะทำให้วินกลับมารักหนูแน่นอน”
เสี่ยหาญถอนใจ
“ถ้าเป็นวินคนเดียวน่ะไม่เท่าไหร่ ไอ้ทรงพลกับศุภารมย์ ไม่มีทางให้แกกับนายวินรักกันเหมือนเดิมแน่ๆ”
พูดจบก็เดินออกไป สิตามองตามสีหน้าเครียด ก่อนที่จะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

ทิวัตถ์มาถึงที่โรงแรม พลางเห็นศักดิ์สิทธิ์แต่งตัวเต็มยศ พร้อมท่าทางสง่าผ่าเผยยืนรออยู่
“จะไปเต้นลีลาศที่ไหน?”
“โอ้โห ไอ้นี่ เคยพูดจาภาษาดอกไม้กับเขาเป็นบ้างมั้ย?”
ทิวัตถ์กลั้นยิ้ม “แล้วเรื่องอาหารเป็นยังไง?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ถ้าท่านนายกสั่งปุ๊บ ไม่ถึงห้านาทีรับรองว่ากุ้งทอดกระเทียมต้มยำทะเลน้ำข้น ข้นไม่มากไม่น้อย ข้นกำลังดี ข้นแบบพอมองเห็นหมึกตัวโตแหวกว่ายไปมา”
“นี่แกหาพ่อครัวได้แล้วหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า “เปล่า ฉันให้ปกติไปซื้อจากร้านอาหารมาเตรียมไว้”
ระหว่างนั้นปลัดก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยลูกน้องตามหลังอีกสองคน ทิวัตถ์รีบหันไปยกมือสวัสดีทักทายพร้อมกับผายมือมาทางศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับแนะนำให้ปลัดรู้จัก
“คุณศักดิ์สิทธิ์นี่เอง ไม่คิดว่าจะรับกิจการจากพ่อมาทำต่อได้ ผมก็นึกว่าจะเจ๊งไปแล้วซะอีก ผมล้อเล่นน่า”
ปลัดหัวเราะขำ แต่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ขำด้วย
“ท่านปลัดเข้าใจหยอกจังเลยนะครับ” ก่อนจะรีบบอก “อาหารพร้อมแล้วครับ เชิญ”
ปลัดหันกลับมาบอกหน้านิ่ง
“ใครว่าผมจะมากินข้าว? ”

จากนั้นศักดิ์สิทธิ์ ก็พาทิวัตถ์กับปลัดเข้ามาในส่วนของผับ
“ผมได้ข่าวว่าที่นี่มีนักร้องใหม่ ร้อนแรงไม่เบา ผมเลยอยากมาดูให้เห็นกับตาสักหน่อย ชื่ออะไรนะ?”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มแป้นอย่างภูมิใจนำเสนอ
“คุณลิลินครับ ถ้าท่านปลัดได้เห็นคุณลิน รับรองครับว่าไฟยังต้องเรียกพี่”
ทิวัตถ์แอบยิ้มเยาะ “เรื่องร้องเพลงคงไม่ร้อนแรงเท่าไหร่ แต่เรื่องอื่นเนี่ยสิไม่แน่”
พูดพลางพยายามจะชวนปลัดไปคุยงานที่อื่น แต่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอม เช่นเดียวกับปลัดก็ยืนยันว่าจะคุยที่นี่

เสียงดนตรีดังขึ้น ก่อนที่ลิลินจะปรากฏตัวบนเวที แขกทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว ปลัดเองก็ถึงกับตาค้าง จนทิวัตถ์แอบเคือง

ศุภารมย์นั่งคุยอยู่กับทรงพล สีหน้าเคร่งเครียดทั้งคู่
“เท่าที่ฉันลองถามๆดู วินไม่ยอมปริปากอะไรเลย เหมือนพยายามปกปิดบางอย่างเอาไว้”
“หรือวินจะรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต?”
ศุภารมย์ส่ายหน้า
“ไม่น่าใช่ เพราะถ้ารู้จริง วินคงไม่อยู่เฉยแน่ ตอนนี้คงยังไม่รู้อะไร แต่ที่เราต้องรู้ตอนนี้คือผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับวินกันแน่?”
พลันป้าจวนก็เข้ามาขัดจังหวะ
“มีแขกมาขอพบค่ะ”

ศุภารมย์กับทรงพลเดินเข้ามาที่ห้องรับแขก แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าผู้มาเยือนคือสิตา
“สวัสดีค่ะคุณอา สบายดีนะคะ ขอโทษที่ไม่ค่อยว่างมาเยี่ยมสักเท่าไหร่”
ทรงพลยิ้มเย็นๆ “ไม่เป็นไร นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการ วินไม่อยู่”
“ไปไหนคะ?”
ศุภารมย์หน้าตึง
“ตกลงว่าเธออยากรู้ว่าวินไปไหน หรืออยากจะคุยอะไรกับพวกเรากันแน่?”
“ตาก็แค่อยากจะบอกว่าดูท่าวินจะไปติดใจในรสชาติของกินเล่น ที่ผับซิลเวอร์โคฟ แค่นั้นเองค่ะ”
ศุภารมย์ทำหน้าระอา “ฉันว่า เธออยากจะบอกอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้เลย”
“ก็ดีค่ะ ตอนนี้ที่ซิลเวอร์โคฟมีนักร้องมาใหม่ เธอชื่อว่าลิลิน ตาไม่รู้ว่าเธอมีอะไรดี แต่ตาเห็นวินมักจะอยู่กับเธอบ่อยๆ”
ศุภารมย์กับทรงพลมองหน้ากัน เป็นเชิงคำถามว่า
“หรือว่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น? ”
ขณะที่ที่สิตายิ้มอย่างมีเลศนัย พอใจที่แผนตัวเองสำเร็จ

“คุณทิวัตถ์ ผมมีอะไรให้คุณช่วยหน่อย”
ปลัดที่นั่งฟังเพลงตาเยิ้ม หันมาบอกทิวัตถ์
“พอเพลงจบ ช่วยไปเรียกคุณลินมานั่งด้วยกันหน่อย มีอะไรเจริญหูเจริญตา จะได้คุยงานรื่นดี แต่ถ้าไม่มี ผมก็คงไม่มีอารมณ์เซ็นอะไรทั้งนั้น”
ทิวัตถ์และศักดิ์สิทธิ์หันมามองหน้ากันอย่างตกใจ พอเพลงจบทิวัตถ์ลุกขึ้นดึงศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากโต๊ะ
“ไอ้สิทธิ์ แกไปตามให้ฉันหน่อย”
“เฮ้ย! ทำไมต้องเป็นฉันวะ”
“ก็ ก็ฉันต้องอยู่ต้อนรับท่านปลัดไง แล้วอีกอย่างนั่นมันนักร้องของแก แกไปตามน่ะถูกแล้ว”
ทิวัตถ์พยายามทำหน้านิ่งไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์จับสังเกตได้

พอลิลินลงจากเวที ศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าไปเลียบๆ เคียงๆ บอก
“เอ่อ คุณลินครับ ท่านปลัดชื่นชมคุณมาก คุณลินจะว่าอะไรมั้ยครับถ้าเราจะเชิญคุณลินไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน ผมรู้ว่ามันลำบากใจครับ คุณลินคงไม่อยากไป เพราะคิดว่าผมคงจะหึง”
ลิลินทำหน้าแปลกใจ “หึง ?”
“ครับ แต่ผมอยากให้คุณลินคิดว่ามันเป็นหน้าที่ก็แล้วกันครับ ส่วนเรื่องความรู้สึกที่คุณลินมีให้ผม
ผมรับรู้ แต่ยังไง มันก็ไม่ทำให้ผมมองคุณลินเปลี่ยนไปหรอกครับ”
“เดี๋ยวก่อนคะคุณศักดิ์สิทธิ์ ลินว่าคุณสิทธิ์คงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะค่ะ คุณสิทธิ์คิดว่าลินชอบคุณสิทธิ์เหรอคะ?”
“ก็ใช่ซิครับ ก็คุณลินชมผมว่าเป็นคนดี มองโลกในแง่บวก ถ้าคุณลินไม่ชอบผม แล้วจะชมผมทำไมครับ เอ่อ หรือว่าไม่ใช่ครับ?”
ลิลินได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มขำ
“ค่ะ ลินไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นกับคุณสิทธิ์เลย ขอโทษนะคะที่คำพูดของลินอาจจะทำให้คุณสิทธิ์เข้าใจผิด”
ศักดิ์สิทธิ์โล่งใจ
“จริงหรือเปล่าครับ? แหม ค่อยโล่งอกหน่อย ผมล่ะคิดอยู่นานว่าจะบอกกับคุณลินยังไง? ถ้าอย่างนั้นเราก็เหมือนเดิมกันใช่มั้ยครับ”
ลิลินพยักหน้ารับคำ
“งั้นคุณลินก็ไปนั่งกับคุณปลัดได้แล้วซิครับ”
แต่ลิลินกลับปฏิเสธ
“อย่าเลยค่ะ ลินไม่ได้ถือตัวอะไร แต่อย่าเอาลินไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยเลย เดี๋ยวแขกคนอื่นเห็นเข้าแล้วอยากให้ลินไปนั่งด้วยบ้างจะปฏิเสธกันลำบากนะคะ”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ แต่นี่เป็นท่านปลัด จะขัดก็ไม่ได้ เกิดท่านไม่พอใจขึ้นมา ผมซวยแน่ๆ เลยครับ
นะครับคุณลิน ถือว่าช่วยผมหน่อย”
ลิลินนิ่งคิดตาม ก่อนจะตัดสินใจ
“ก็ได้ค่ะ”

พอศักดิ์สิทธิ์พาลิลินมาถึงโต๊ะ ปลัดก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นต้อนรับ พลางหันไปสั่งลูกน้อง
“เอ้า เลื่อนเก้าอี้ให้คุณลินซิ”
คนติดตามรีบเลื่อนเก้าอี้ให้ลิลินลงนั่ง ศักดิ์สิทธิ์กับทิวัตถ์มองตาม
“สวัสดีครับคุณลิน คุณลินนี่ร้องเพลงเก่งมากเลยนะครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์รอดู”
“เธอเก่งทุกเรื่องแหละครับ ไม่ว่าจะร้องเพลงหรือ...”
ทิวัตถ์ไม่พูดต่อ แต่หันมองลิลินเหมือนว่ารู้กันสองคน ส่วนปลัดก็รีบสั่งให้ลูกน้องรินไวน์ให้ลิลิน“ฉันไม่ดื่มค่ะ”
ทิวัตถ์แอบยิ้มเยาะ “ใช่ครับ แก้วแค่นั้นคงไม่พอให้เธอดื่มหรอกครับ”
“เอ้า แหมคุณลินคอแข็งก็ไม่บอก”
พูดพลางเอื้อมมือเข้าไปจับมือลิลิน “มือเล็กอย่างนี้ แล้วจะจับแก้วใหญ่ๆได้เหรอครับ”
ทันใดนั้นลิลินก็สะบัดมือออกจนทำให้โดนแก้วล้ม ไวน์หกใส่ปลัด ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง
“ขอโทษด้วยค่ะ ฉันเป็นนักร้อง”
ลิลินพูดจบก็ลุกเดินออกไป ทิวัตถ์เห็นอย่างนั้นก็นึกโมโห ก่อนที่จะรีบลุกเดินตามออกไป ฟากปลัด
ก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

ทิวัตถ์เดินตามลิลินมาจนทัน
“อย่ามาทำเป็นเล่นตัวหน่อยเลย บทบาทจริงๆ ถ้าไม่เคยเห็นธาตุแท้คุณ ผมก็คงคิดว่าคุณเป็นผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัว”
ลิลินหันขวับมาเผชิญหน้าอีกฝ่าย
“ในหัวคุณคงมีแต่เรื่องพวกนี้ใช่มั้ย?”
“ก็ผมคุยกับคนประเภทไหน ผมก็ต้องคุยเรื่องเดียวกัน ผมไม่เข้าใจ เหยื่อที่ผ่านมาของคุณคงเทียบกับครั้งนี้ไม่ได้ โอกาสดีๆ ที่จะได้รู้จักคนใหญ่คนโตแบบนี้ คุณจะปฏิเสธทำไม?”
“ฉันบอกไปแล้วว่าฉันเป็นนักร้อง”
ทิวัตถ์ดึงแขนลิลินขึ้นมาด้วยความโกรธ
“คุณทำให้ปลัดไม่พอใจ เพราะต้องการแกล้งผมใช่มั้ย?”
“คุณไม่มีค่าพอให้ฉันเสียเวลามาทำอะไรพวกนั้นหรอก”
ทิวัตถ์มองอย่างหยันๆ
“เสียเวลางั้นหรอ? ฉลาดนี่คุณคงยื้อเวลาเพิ่มให้ค่าตัวมากกว่านี้อีกหน่อย งานผมไม่ใช่ของเล่นที่คุณคิดจะทำอะไรกับมันก็ได้นะ”
แต่ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อศักดิ์สิทธิ์ก็เดินเข้ามา ทิวัตถ์รีบปล่อยมือลิลินทันที
“ปลัดโกรธมากใช่มั้ย?”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหัว “เปล่า แต่กลับยิ่งชอบมากกว่าเดิมซะอีกว่ะ”
ทิวัตถ์หันไปมองลิลินอย่างดูแคลน
“แหม นักร้องแกนี่เก่งจริงๆ แค่คุยกับปลัดได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้แล้วว่าท่านชอบผู้หญิงยังไง?”
“ไอ้วิน ฉันว่าอย่าให้คุณลินไปนั่งกับท่านปลัดเลยว่ะ งานแกเดี๋ยวก็มีเข้ามาใหม่เรื่อยๆ อยู่แล้ว พลาดไปสักงานไม่เห็นเป็นไรเลย”
ทิวัตถ์มองศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะหันไปมองลิลิน
“ก็ได้ ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องรู้สึกเป็นบุญเป็นคุณ”
ลิลินเบ้ปาก “จริงเหรอ? ฉันไม่คิดว่าคุณจะรู้จักบาปบุญคุณโทษ”
“อย่างน้อย ผมก็รู้ว่าการมั่วมันเป็นบาป แล้วผมก็ไม่อยากได้งานเพราะความมั่วของคุณ ไม่เป็นไร
ฉันจะบอกกับปลัดเอง ว่าฉันจะใช้เงินเท่าที่มีหาผู้หญิงให้ท่านจนกว่าท่านจะถูกใจ”
ลิลินโกรธจนตัวสั่น
“ ถ้าฉันไปกับปลัด คุณต้องเลิกยุ่งกับฉัน ฉันเบื่อที่จะเจอคนอย่างคุณจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ตกลงมั้ย? ถ้าฉันไปกับปลัด คุณต้องเลิกยุ่งกับฉัน”

ทิวัตถ์กับลิลินมองหน้ากันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
 
อ่านต่อตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น