เสือ ตอนที่ 3
พรหมพยัคฆ์เดินหุนหันเข้ามาในบ้านอย่างหงุดหงิด ลายเมฆเดินตามมา ถือกระเป๋าเอกสารให้
"นักข่าวพวกนี้ วุ่นวายจริง ...ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ เราคงจะกลับมาแบบเงียบๆ"
"อย่าเก็บเรื่องไร้สาระแบบนั้นมาเป็นอารมณ์เลยครับ ท่านพอใจกับที่พักไหมครับ" ลายเมฆบอก
เขากวาดตามองไปรอบๆ
"ใช้ได้ .... ขอบใจนายมากนะลายเมฆที่บินกลับมาจัดการเตรียมทุกอย่างไว้ให้ฉันด้วยตัวเอง"
พรหมพยัคฆ์มองลายเมฆ เหมือนคิดบางอย่าง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขอบคุณ
"ฉันต้องขอบคุณนาย ฉันไม่เคยลืม ... คืนพระจันทร์เลือดคืนนั้น"
เขาเว้นจังหวะละสายตาจากลายเมฆ แล้วทอดสายมองไกลออกไปเหมือนนึกเรื่องราวบางอย่าง
ณ บริเวณป่า ด้านล่างหน้าผา คืนนั้น พรหมพยัคฆ์ในร่างคน นอนบาดเจ็บสาหัสติดแหงกอยู่กับหินก้อนหนึ่ง มีรอยกระสุนที่ตัวที่หน้าอกด้านซ้ายใกล้ๆหัวใจ เขาร่อแร่เหมือนจะสิ้นใจ จังหวะนั้นมีเสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งเดินใกล้เข้ามา พรหมพยัคฆ์หันขวับมองอย่างระแวง ก่อนจะเห็นว่าเจ้าของฝีเท้านั้นคือ ลายเมฆ เด็กหนุ่มในชุดชาวป่า ลายเมฆตกใจมองพรหมพยัคฆ์ที่เลือดเต็มตัว ลายเมฆก้าวถอยหลังนิดๆ ด้วยความกลัว
"คุณ"
"ช่วยฉันด้วย อย่าเพิ่งไป"
ลายเมฆหันซ้ายขวาอย่างลังเล แล้วตัดสินใจเข้าไปพยุงพรหมพยัคฆ์ แต่ร่างของเขามีก้อนหินทับอยู่ ลายเมฆพยายามดัน และยันก้อนหินออก จังหวะนั้นทำให้หินอีกก้อนเคลื่อน พอดันหินออกไปได้ พรหมพยัคฆ์หลุดออกมา แต่หินอีกก้อนด้านบนกลับร่วงลงมาทับลายเมฆ ลายเมฆร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและสลบไป
พรหมพยัคฆ์หันมองแล้วเหมือนจะทิ้งลายเมฆไป แต่แล้วก็ชะงักหันกลับมามองอย่างลังเล ก่อนจะหันกลับไปช่วยลายเมฆออกมาจากหิน แต่ลายเมฆมีแผลเลือดออกมาก พรหมพยัคฆ์ตัดสินใจ กัดฝังเขี้ยวลงที่คอลายเมฆ จังหวะที่กัดอยู่นั้น อยู่ๆตาลายเมฆที่ปิดอยู่ ก็เบิกโพลงขึ้นมา
"ถ้าไม่มีนายวันนั้น ฉันคงไม่ได้มีทุกวันนี้ ต้องขอบใจนายจริงๆ"
ลายเมฆโค้งนิดๆอย่างสำนึกบุญคุณ
"ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณท่าน ถ้าท่านตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่แน่นอนแล้ว ผมก็อยากให้ท่านได้สิ่งที่ดีที่สุด"
พรหมพยัคฆ์เดินไปที่ระเบียง
"ฉันต้องอยู่ ยิ่งมาถึง ฉันยิ่งมั่นใจ ความรู้สึกมันบอกฉันว่าเธออยู่ที่นี่" เขาสูดลมหายใจจากภายนอกแล้วบอก "ฉันได้กลิ่นของเธอชัดเจนเหลือเกิน เธอที่ฉันรอคอยมานาน"
พรหมพยัคฆ์ใช้คอ คลอเคลียกับกรอบหน้าต่างเบาๆ ด้วยท่วงท่าที่ดูคล้ายๆแมว สีหน้าเคลิบเคลิ้มดูอ่อนโยนลง เมื่อพูดถึงเธอ
ลายเมฆบอก
"ถ้าท่านมั่นใจเช่นนั้น พรุ่งนี้ผมจะออกตามหาเธอทันที"
"ดีมาก หึ... พวกมนุษย์โง่ ฉันไม่สนใจเงินทอง ชื่อเสียง หรือไอ้กิจการวิสกี้บ้าๆนั่นหรอก จุดมุ่งหมายของฉัน มันยิ่งใหญ่กว่านั้นมากนัก หึ พวกมันไม่มีวันเข้าใจ เมื่อไหร่ที่ฉันได้พบและครอบครองเธอ อำนาจจะอยู่ในมือเรา"
พรหมพยัคฆ์พูดด้วยแววตาเปี่ยมด้วยความหวัง หัวเราะอย่างมีความสุข มองออกไปไกล เสมือนรอคอยใครคนหนึ่ง
เย็นวันใหม่ ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ณจันทร์นั่งอ่านเอกสาร รอปักษะอยู่อย่างตั้งใจ
ทั้งสองนัดกันคุนเรื่องงานอีกครั้งหนึ่ง
"ขอโทษครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเพิ่งมาถึงไม่นานเหมือนกัน"
ปักษะมองไปรอบๆ
"ร้านอาหารนี่สวยดีนะครับ"
"ฉันเห็นว่าวันนี้ คุณเข้ามาทำงานที่มูลนิธิ เลยคิดว่านัดที่นี่ดีกว่า คุณจะได้
ไม่ต้องย้อนกลับไปที่บริษัท"
ระหว่างนี้บ๋อยเดินเอาเมนูมาให้ ปักษะสั่งอาหารแล้ว
"เอาล่ะครับ วันนี้ ผมต้องทำอะไรบ้างครับ"
"ดิฉัน มีแนวคิดเรื่องการออกแบบโฆษณามาเสนอค่ะ นี่ค่ะเอกสาร"
ปักษะดูเอกสาร เริ่มงานกับณจันทร์
ร้านและเวลาเดียวกัน วิฬาร์กับกำแหงเดินลงจากรถ ควงกันออกมาแบบคู่รัก
"ไม่รู้จะมากินทำไม เพิ่งจะหกโมงเย็น กลับเข้าไปที่คอนโดผม หาอะไรทำก่อนค่อยกินที่นั่นก็ได้"
"เหมียวเอาใบจ้างทำโฆษณามาให้คุณเซ็น ถ้าคุณไม่เซ็นเหมียวก็ไม่ไปไหนทั้งนั้นแล้วก็ห้ามแตะต้องตัวเหมียวด้วย"
วิฬาร์กระเง้ากระงอด แล้วทั้งสองก็เดินหยอกล้อกันเข้าร้านไป
ณจันทร์กับปักษะ นั่งคุยกันสบายๆ อาหารที่สั่งมากินไปเรียบร้อยแล้ว
"โฆษณาโดยใช้จุดเด่นเรื่อง เป็นบริษัทอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือครับ"
"วิธีโฆษณาแบบนี้จะไม่พูดเรื่องสินค้าโดยตรง แต่ใช้สร้างภาพพจน์ให้บริษัทได้เป็นอย่างดีถ้าคุณพ่อคุณตกลง คุณก็สามารถทำให้ธุรกิจของคุณไปกันได้ดีกับงานอนุรักษ์"
วิฬาร์กับกำแหงเดินมานั่งที่มุมหนึ่ง ไม่ไกล
"คุณออกแบบงานโฆษณาเพื่อช่วยผมหรือครับ"
"ค่ะ เงินกับอุดมการณ์ บางทีก็ไปกันได้นะคะ ถ้าเอาตามนี้ คุณกับคุณพ่อจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องโฆษณาไงคะ"
ปักษะยิ้มชื่นชมณจันทร์เป็นอย่างมาก
กำแหงหันมาเห็นปักษะและณจันทร์เข้าพอดี
"คุณณจันทร์นี่"
"เห็นบอกว่าออกมาหาลูกค้า ... หึ ลูกค้าหน้าตาดีอย่างนี้นี่เอง ถึงได้ขยันนัก"
"มากันสองต่อสองถึงนี่ มาทำงานแน่รื้อ"
"อย่าไปสนใจเลยค่ะ มาดูนี่ดีกว่า" วิฬาร์ยื่นเอกสารให้ "เซ็นตรงนี้นะคะ เราจะได้เริ่มงานหนังโฆษณากันเลย คราวนี้ บอสจะได้รู้เสียที ว่าใครกันแน่เป็นเออีมือหนึ่งของบริษัท"
กำแหงหงุดหงิด
"คุณกลับไปก่อนเถอะเหมียว"
"อะไรนะคะ"
"ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมมีงานด่วน ผมต้องรีบไป"
"เหมียวยังไม่ได้กินอะไรเลยนะคะ"
กำแหงดุใส่
"คุณก็รู้นี่ ว่าผมไม่ชอบให้ใครขัดใจ"
วิฬาร์มองณจันทร์
"เพราะณจันทร์ใช่ไหมคะ"
"คุณเหมียว"
กำแหงท่าทางเอาจริง จนวิฬาร์ต้องหยิบกระเป๋า อย่างกระแทกกระทั้นลุกขึ้น
"คอยดูนะ ถ้าคุณเปลี่ยนตัวเออีอีกล่ะก็ เหมียวจะอาวะวาดให้น่าดูเลย"
วิฬาร์สะบัดหน้าออกไป กำแหงไม่สนใจ มองณจันทร์ด้วยความโกรธ
ที่โต๊ะณจันทร์
"ยังไงคุณเก็บไปพิจารณาก่อนก็ได้ค่ะ ยังไม่ต้องรีบให้คำตอบ"
"โอเคครับ งั้นผมขอตัวไปห้องน้ำ"
เธอพยักหน้า พอเขาลุกไปแล้ว ณจันทร์เรียกบ๋อย
"เช็คบิลค่ะ"
วิฬาร์โกรธกำแหง เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมา เธอเห็นปักษะ แล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้ เดินตามไป ขณะที่กำแหงเดินมาหาณจันทร์ที่โต๊ะ
"แบบนี้นี่เองคุณถึงไม่รับข้อเสนอของผม"
"คุณกำแหง"
"ไอ้หนุ่มนั่นมันให้ข้อเสนอมากกว่าผมนักหรือไง"
"เขาเป็นลูกค้าฉันนะคะ คุณเลิกดูถูกฉันได้แล้ว"
"ผมก็เป็นลูกค้าคุณ ทำไมคุณไปกินข้าวกับเขาแต่ไม่ยอมกินกับผมล่ะ แบบนี้ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเสนอของผมต่ำเกินไป จะเป็นเพราะอะไร"
บ๋อยเดินเอาเงินทอนมาให้ ณจันทร์หยิบแล้วลุกขึ้น
"คนที่คิดแต่เรื่องนั้นแบบคุณ ฉันไม่มีอะไรจะพูดด้วย"
ณจันทร์สะบัดหน้าเดินถือกระเป๋าจากไป กำแหงมองตามครุ่นคิด หาวิธี แล้วเดินกลับไปเช็กบิลเหมือนกัน
ปักษะเดินกลับมาจะมาที่โต๊ะ วิฬาร์เดินมาขวางทาง
"คุณมากับณจันทร์หรือคะ"
"เอ้อครับ"
วิฬาร์ยิ้มหวานกว่าปกติ หยิบนามบัตรยื่นให้
"ดิฉันวิฬาร์ค่ะ จะเรียกเหมียวก็ได้เป็นเออี บริษัทเดียวกับณจันทร์"
"อ๋อ ...ครับ ผมปักษะครับ เอ้อ จะไปร่วมโต๊ะกันไหมครับ คุณณจันทร์คงอยู่ที่โต๊ะ"
วิฬาร์ส่ายหน้า
"ฉันไม่ได้อยากคุยกับณจันทร์ ฉันอยากคุยกับคุณต่างหาก"
วิฬาร์ยิ้มอ่อยเหยื่อที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ถ้างานของคุณมีปัญหา ติดต่อเหมียวได้นะคะ เหมียวยินดีรับใช้ค่ะ"
วิฬาร์พูดเสร็จก็เดินออกไปจากร้านอาหาร ปักษะยิ่งงงเป็นไก่ตาแตกว่าวิฬาร์ต้องการอะไร
ปักษะ เดินกลับมา ณจันทร์สีหน้าเครียดยืนรออยู่
"อ้าวทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ"
"ฉันเช็คบิลแล้วค่ะ พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย เลยต้องรีบออกมา"
"เรื่องอะไรครับ"
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เรื่องไร้สาระเท่านั้นเอง กลับกันเถอะค่ะ"
ณจันทร์เดินออกไป ปักษะเดินตาม
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ณจันทร์มาขึ้นรถโดยมีปักษะมาส่ง
"ไว้คราวหน้า ตาผมเลี้ยงคุณบ้างนะครับ"
"อย่าคิดมากเลยค่ะ เป็นส่วนที่เราต้องเอนเตอร์เทนลูกค้าอยู่แล้ว ฝากดูงานด้วยแล้วกันค่ะ หวังว่าคุณคงไม่ต้องทะเลาะกับคุณพ่ออีก"
ปักษะ ยิ้มให้ ณจันทร์ขึ้นรถไป
"แล้วพบกันครับ"
รถของณจันทร์แล่นออกไป ปักษะเดินไปขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกไป ปักษะไม่ทันสังเกตว่าที่มุมหนึ่ง กำแหงขับรถตามณจันทร์ออกไป แต่เธอไม่รู้ว่า ถูกกำแหงตามอยู่
พรหมพยัคฆ์ออกมาจากบ้าน ถือกุญแจรถมาด้วย ลายเมฆเดินตามมา
"ฉันจะออกไปขับรถเล่นหน่อย นายไม่ต้องตามมาหรอก"
"ท่านไม่หิวหรือครับ"
พรหมพยัคฆ์ยิ้มให้ลายเมฆแทนคำตอบ
"ฉันจะแวะหาอะไรกินระหว่างทาง"
ลายเมฆพยักหน้ารับ เข้าใจความหมาย พรหมพยัคฆ์ขึ้นรถขับออกไป
ณจันทร์ขับมาถึงที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง กำแหงขับรถเข้ามาปาดหน้า จนเธอต้องเบรกเอี๊ยด
"คุณกำแหง"
กำแหงท่าทางโมโห แบบคนเจ้าอารมณ์ลงจากรถ เดินมาจับข้อมือเธอ
"ไปกับผมเดี๋ยวนี้เราต้องหาที่คุยกันให้รู้เรื่อง"
ณจันทร์สะบัด
"ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ"
"คุณดูถูกผม คุณบอกมาตรงๆดีกว่า ว่าไอ้หนุ่มคนนั้นมันให้คุณเท่าไหร่ ผมจะให้มากกว่าคุณสิบเท่าเลยเอ้า"
"คุณกำแหง ฉันเริ่มจะโมโหแล้วนะ ฉันบอกคุณแล้วว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงพรรค์นั้น ปล่อยเดี๋ยวนี้ จะปล่อยหรือไม่ปล่อย"
กำแหงเข้ากอดแน่น
"ไม่ปล่อย คุณน่ะไม่เคยเห็นความหวังดีของผม ผมรักคุณนะณจันทร์ รักคุณตั้งแต่แรกเห็น ผมให้คุณได้ทุกอย่าง ทำไมไม่เห็นใจผมบ้าง"
กำแหงกอดณจันทร์แน่นเข้า จนจันทร์ต้องดึงตัวออก และเริ่มโกรธมากขึ้น...มากขึ้น
"ปล่อยๆ"
ความโมโหของณจันทร์ทำให้เธอกลายเป็นคนละคน เธอส่งเสียงคำราม แล้วข่วนที่ตัวกำแหงดังแคว่ก
"โอ๊ย"
เลือดเริ่มออกมาที่รอยข่วนนั้น เธอเองก็ตกใจ ได้แต่ถอยห่างออกมา กำแหงเองก็นึกไม่ถึง...
"มึง มึงทำกูเลือดออกอีกแล้ว"
ณจันทร์ตกใจมากวิ่งหนีเข้าพงหญ้าไป กำแหงวิ่งตาม
"จะไปไหน กลับมานี่ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ"
ทั้งสองวิ่งไล่กันตามพงหญ้า
บนท้องถนนใกล้ๆกัน พรหมพยัคฆ์สัมผัสได้ว่า ผู้หญิงคนที่เขาตามหาน่าจะอยู่แถวนี้
เขาจอดรถแล้วออกมายืนนอกรถมองไปรอบๆ
ณจันทร์วิ่งไปเรื่อยๆ จนหกล้มตกในโคลนเปื้อนไปหมด เธอโกรธมาก นั่งอยู่บนโคลนไม่อยากหนีต่อไปแล้ว
"บ้าจริง ... ทำไมฉันจะต้องหนีมันด้วย"
ณจันทร์หันมา ตาคู่นั้นของเธอกลายเป็นสีแดง
"ไอ้กำแหง แก..."
กำแหง พอเห็นว่าณจันทร์น่าจะไปทางนั้นก็ตามไป เท้าของเสือ ย่างเดินอย่างเงียบกริบ ตามกำแหงมา เสียงคำรามลั่น ทำให้กำแหงหยุด .... มองรอบๆตัวมองไม่เห็นอะไร จะวิ่งต่อไป
เสียงคำรามดังเข้ามาอีก กำแหงหันไปพบบางสิ่งบางอย่างกระโดดเข้ามาพอดี
เสือดำตัวหนึ่งกระโดดคร่อมบนตัวกำแหง กัดเข้าที่คอ เลือดเปรอะกระจาย กำแหงร้องโวยวายดังลั่น
เช้าวันใหม่ ภายในคอนโดฯ พื้นห้องสกปรกเลอะเทอะไปด้วยโคลนที่ติดเท้าของเธอมา บนเตียง เธอในสภาพเนื้อตัวมอมแมมกำลังหลับอยู่
บัวเคาะประตู เพื่อจะเข้ามาทำความสะอาด เคาะแล้วเคาะอีก แต่ณจันทร์ก็ไม่ตื่น
"คุณณจันทร์ คุณณจันทร์คะ"
บัวเคาะประตูอยู่สักพัก เห็นว่าไม่ตื่นเลยใช้กุญแจเปิดเข้าไป
ณจันทร์นอนอยู่ บัวเดินเข้ามาเห็นสภาพห้องก็ตกใจ
"ยี้ นี่อะไร ทำไมสกปรกอย่างนี้ คุณณจันทร์คะ คุณณจันทร์"
บัวปลุกณจันทร์ ที่งัวเงียตื่นขึ้น
"เช้าแล้วหรือ"
"นี่ คุณไปทำอะไรมาคะนี่"
เธอมองสภาพงมอมแมมของตัวเอง แล้วลุกขึ้น เดินไปที่กระจก
"นี่อะไรกัน"
บัวมองที่พื้น
"นี่มันโคลนทั้งนั้นเลย คุณไปเลอะโคลนที่ไหนมาคะนี่"
ณจันทร์ครุ่นคิดเรื่องเมื่อคืน เธอหนีกำแหงในปลักโคลน
"คุณกำแหง.... เอ๊ะแล้วนี่ฉันกลับมาที่ห้องได้ไงกัน"
บัวส่ายหน้า
"ดื่มเหล้าเยอะๆ ไม่ดีนะคะ ขับรถเองด้วย เนี่ย กลับมาถึงบ้านได้ก็ดีแล้ว"
ณจันทร์งงๆ ไม่รู้จะบอกบัวว่ายังไงดี หันไปเห็นนาฬิกา...
"ตายจริง แปดโมงครึ่งแล้ว"
เธอรีบหยิบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไป บัวส่ายหน้ามองห้องที่เลอะเทอะ
ณจันทร์ในชุดทำงาน วิ่งมาลงลิฟท์ ท่าทางเร่งรีบ หอบเอกสาร ดูหน้าตาตัวเองในกระจกที่ลิฟต์
ในล็อบบี้เปิดทีวีอยู่ โอเปอร์เรตอร์นั่งดู ยามอยู่แถวๆนั้น ในทีวีมีนักข่าวรายงาน...
"มีข่าวด่วนเข้ามานะคะ มีการพบศพ นักธุรกิจใหญ่ เจ้าของกิจการรถยนต์จากต่างประเทศ นายกำแหง เดชดำเกิง ในพงหญ้า ภายในซอย.... สภาพศพถูกของมีคมทำร้ายอย่างสยดสยองจนเสียชีวิต คาดว่าตั้งแต่เมื่อกลางดึก ที่ผ่านมาค่ะ"
ณจันทร์เร่งรีบเดินผ่านเครื่องทีวีดังกล่าว แต่พอได้ยินชื่อกำแหงก็ชะงักกึก หันมาดูทีวีทันที ภาพในทีวี ตำรวจกำลังตรวจสถานที่เกิดเหตุ เธอจำสถานที่ได้ว่าเป็นสถานที่ซึ่งไล่กันเมื่อคืน เธอตกใจ ทิ้งเอกสารร่วงกราวลงพื้น พึมพำ
"คุณกำแหง"
โอเปอร์เรเตอร์เข้ามาช่วยเก็บเอกสาร
"คุณรู้จักหรือคะ"
"เอ้อ เปล่าๆ ขอบใจนะจ๊ะ"
เธอรีบเดินออกไปด้วยท่าทางครุ่นคิด
เธอนั่งอยู่ในรถ แต่ไม่ยอมสตาร์ทรถ ยังตกใจกับเรื่องกำแหงอยู่ พยายามเค้นความคิดตัวเองว่า เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !?
อาชาอยู่ตรงสถานที่เกิดเหตุ ตำรวจถ่ายรูปและเดินหาร่องรอย ปักษะถูกอาชาตามมายังที่เกิดเหคุด้วย
ปักษะเพิ่งมาถึง อาชากำลังชี้แจง โดยมีการถ่ายรูปศพอยู่ด้านหลัง
"สภาพศพมีแผลลึกที่ต้นคอ แล้วก็ที่ท้อง"
ปักษะถาม
"แล้วไง ตามฉันมาทำไม ฉันไม่ได้อยู่นิติเวชนะโว้ย"
"อวัยวะ และเนื้อหลายส่วนหายไป แบบว่าหายไปเลย อวัยวะตับไต้ไส้พุงนะโว้ย คนฆ่ากันจะเอาอวัยวะพวกนี้ไปทำไมวะ"
"แกหมายความว่า"
"พวกจ่าเขาบอกว่า ถ้าศพแบบนี้เจอในป่า ต้องสันนิษฐานว่าถูกอะไรสักอย่างกิน ฉันเอะใจ เลยลองโทร.ไปตามแก"
ปักษะแปลกใจ รีบเดินไปดูศพที่กำลังถูกห่อด้วยผ้า ปักษะห้ามไว้ แล้วเปิดผ้าดูศพด้วยความตะลึงงัน อาชาเดินมาถาม
"เป็นไง"
"เด็กของนายพูดถูก"
ปักษะคิดอะไรได้ เดินไปดูและแหวกพงหญ้าแถวๆนั้นด้วยความอยากรู้มาก ต้องการให้เห็นอะไรบางอย่าง
"หาอะไรวะ"
"เด็กของนาย เจอร่องรอยอะไรบ้างไหม รอยแบบว่า…"
ปักษะแหวกพงหญ้าไปที่ปลักโคลน แห่งหนึ่ง
"ตายโหง"
บริเวณโคลนนั้นมีรอยเท้าของสัตว์ใหญ่เต็มไปหมด โคลนเริ่มแห้งแล้วร่องรอยจึงชัดเจนมากขึ้น
"อะไรวะ"
"ดูนี่สิ นี่มันรอยเท้าเหมือนพวก สิงโต แมวป่า หรือไม่ก็เสือ"
"เฮ้ย จะบ้าหรือ เสือในกรุงเทพนี่นะ เป็นไปไม่ได้ อาจจะเป็นพวกหมาหรือแมวมั้ง"
"รอยเท้าขนาดนี้ แกคิดว่าถ้าเป็นหมาหรือแมว จะตัวขนาดไหนวะ"
อาชาอึ้งไป งงมาก
อ่านต่อหน้า 2
เสือ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ที่มุมหนึ่ง ทั้งสองยังคงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
"ฉันไม่เชื่อ เสือสิงโตในป่ายังหายาก จู่ๆจะมาโผล่กลางกรุงได้ไงวะ" อาชาว่า
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รอยเท้าแบบนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง"
"เอางี้ ฉันจะให้ คนของนายถ่ายรูปทั้งหมดนี้ แล้วก็เอาผลชันสูตรไปให้นายดูอีกที ....แต่อย่าหาว่าดูถูกเลยนะ คนเรานี่ล่ะ โหดเหี้ยมกว่าพวกเสือหลายเท่า"
ตำรวจคนหนึ่งวิ่งมา
"ผู้กองครับ ผู้กอง เราเจอนี่ ตกอยู่ในโคลนไม่ไกลจากศพครับ"
อาชาดูในถุงที่ตำรวจเอามาให้ เป็นรองเท้าผู้หญิงข้างหนึ่ง ปักษะดูอยู่ด้วย
"ฮะ ได้การล่ะ เห็นไหมปักษะ ฉันบอกแล้วคนนี่ล่ะ ร้ายกว่าเสือ แถมยังเป็นผู้หญิงเสียด้วย ลืมเรื่องเสือสางอะไรของนายไปได้เลย"
อาชารีบกลับไปรวมกลุ่มกับตำรวจ ปักษะยืนข้างรถ ในใจยังติดใจเรื่องร่องรอยเสือ
ณจันทร์แอบนั่งคุยกับลูกปลาในอีกมุมหนึ่ง เธอเล่าเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนให้ลูกปลาฟัง
"คุณกำแหงเขากล้าขนาดนั้นเชียวหรือ"
เธอพยักหน้า
"ทำงานกับเขามาตั้งนาน ฉันเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นโรคจิตก็ตอนนี้เอง"
"แล้วเขาตายได้ยังไงล่ะ"
"ฉันไม่รู้ ตอนเขาวิ่งไล่ฉัน ฉันก็วิ่งหนีเขามาตลอดทางเลย แล้วๆ"
หวงคิดอันสับสนนั้น ณจันทร์วิ่งหนีกำแหง...
"หลังจากนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้ ตื่นขึ้นมาเห็นข่าว เพิ่งรู้ว่าเขาตายอยู่ไม่ไกลจากที่เขาวิ่งตามฉันน่ะ"
ลูกปลาพยักหน้า..แล้วสะดุ้ง
"อืม แบบนี้ก็แปลว่าเธอ เธอ..."
"อย่าบ้านะ ยายลูกปลา ... ถ้าฉันทำอะไรเขาทำไมฉันไม่รู้ตัวล่ะ"
"นั่นสิ คนใจเย็นอย่างเธอฆ่าใครตาย ป่านนี้คนอย่างฉันเป็นฆาตกรร้อยศพไปแล้ว นี่ฉันว่านะ ต้องมีใครตามเขามาอีกต่อหนึ่ง แล้วก็ฉวยโอกาสนี้ฆ่าเขา ดูในข่าวนี้สิ ตำรวจสันนิษฐานว่า สาเหตุการตายอาจจะเป็นเรื่องชู้สาว เพราะผู้ตายกำลังถูกดำเนินคดีทำอนาจารหญิงถึงสามคดี เห็นไหมอีตาเนี่ย ไปทำเขาไว้เยอะเลย เจอล้างแค้นชัวร์"
ณจันทร์พยักหน้าเห็นด้วย
"ก็อาจจะจริง แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่าฉันกลับคอนโดมาได้ยังไง"
"เพราะฤทธิ์เ หล้าน่ะสิ ถามได้ ฉันยังเป็นบ่อยๆเลย ขับรถถึงบ้านลงไปนอนกับไอ้ดุ๊กดิ๊กในสวนจนเช้า ตื่นมา งงเต็ก ไม่ชนใครก็บุญแล้ว"
ลูกปลาส่ายหน้าไม่สนใจ เดินกลับไปทำงาน ณจันทร์พยักหน้าเออออสักพัก นึกได้
"แต่ฉันไม่ได้กินเหล้าเลยสักนิดนะลูกปลา"
ลูกปลาเดินไปแล้วไม่ได้ยิน ทิ้งเธอให้นึกได้อยู่คนเดียวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คืนวันเดียวกัน พรหมพยัคฆ์นั่งคุยกับลายเมฆอยู่
"เมื่อคืนท่านได้กลิ่นของเธอหรือครับ"
"ใช่ แต่ตอนนั้นลมพัดแรงมาก กลิ่นเธอจางๆหายไป ฉันไม่แน่ใจเลยลองเดินหาแถวนั้น พอดีเจอกับบางอย่าง ... พอรู้สึกตัวอีกที เธอก็หายไปแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้น ผมจะลองไปสำรวจผู้หญิงในละแวกนั้นดู อาจจะเจอ เธอก็ได้"
พรหมพยัคฆ์ พยักหน้า
"หาไม่ยากหรอก เธอคือคนพิเศษ ผู้หญิงพิเศษที่เกิดมาเพื่อคู่กับฉัน ผู้หญิงที่ฉันเฝ้ารอ ... อีกไม่นานหรอก ฉันจะต้องได้พบกับเธอ"
พรหมพยัคฆ์เปี่ยมสุข เต็มไปด้วยความหวัง
ปักษะนั่งดูสไลด์ในห้องประชุมของบริษัท เป็นสไลด์ทางวิชาการที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยเรียน เป็นรูปของเสือและสิงโต เขาเปิดมาหยุดที่ภาพของอุ้งเท้าเสือที่ประทับรอยในพื้นดิน แล้วมองรูปของร่องรอยเสือที่อาชาส่งมาให้เปรียบเทียบกันด้วยความสนใจ
ณจันทร์เปิดประตูเข้ามา ก็ตกใจ
"อุ๊ยขอโทษค่ะ"
"ไม่เป็นไรครับ เชิญ เชิญ"
ปักษะเปิดไฟให้สว่างขึ้น ณจันทร์มองรูปเสือบนจอสไลด์ และหนังสือต่างๆ ด้วยความสงสัย
"พอดีผมไปได้รอยเท้ามารอยหนึ่ง อยากรู้ว่ามันเป็นรอยเท้าอะไร"
"คุณจบสัตวแพทย์หรือคะ"
"ผมจบวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมน่ะครับ รูปกับหนังสือพวกนี้ผมเก็บไว้ตั้งแต่ตอนที่เรียน"
"แล้วตกลงเป็นรอยเท้าอะไรคะ"
"เสือครับ" ณจันทร์ชะงัก "เสือตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา"
ปักษะกดสไลด์ดู พูดถึงเสือด้วยความหลงใหล เธอมองภาพบนสไลด์ เริ่มเกิดอาการกลัวทีละน้อย ภาพเหล่านั้นสะท้อนบนหน้าของณจันทร์
"สัตว์ที่ทรงอานุภาพมากที่สุด สวยงามที่สุด และมนุษย์รู้จักน้อยที่สุด ไม่ว่ามันจะย่างเท้าไปทางไหน ป่าทั้งป่า...ต้องก้มหัวให้ ... เอ๊ะ! ผมมาพร่ำพรรณาอะไรอยู่ นั่งสิครับ เดี๋ยวผมเก็บของก่อน"
ณจันทร์นั่งลง ไม่ชอบบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสือเลย
เขาเก็บเอกสารเพื่อให้ณจันทร์วางเอกสารของตัว
รูปของกำแหงที่ถ่ายตอนตายในที่เกิดเหตุ ที่ปักษะเก็บอย่างลวกๆ ตกลงมาตรงหน้าณจันทร์ เธอตกใจ
"นี่มันรูปของ..."
ปักษะเก็บคืน
"เอ้อ ...ขอโทษครับ รูปของเหยื่อในที่เกิดเหตุครับ"
"เหยื่อ ?"
"ก็เจ้าตัวที่ผมกำลังตามหาอยู่ไงครับ ศพน่ะถูกกัดกิน เนื้อและอวัยวะหายไปหลายส่วน ตำรวจที่เป็นเพื่อนกันเขาเลยชวนไปดู นี่ผมกำลังบอกความลับทางราชการเลยนะฮะเนี่ย"
ณจันทร์ลุกขึ้นยืน วูบหนึ่งคิดถึงอะไรบางอย่างที่น่ากลัวกับตนเอง หน้าตาตื่นมาก
"คุณกำลังจะบอกว่า คุณกำแหง ตายเพราะถูกเสือกินงั้นหรือคะ"
"ก็ทำนองนั้น แต่เป็นแค่ข้อสันนิษฐานนะครับ"
เขาสังเกตว่า เธอสีหน้าตื่นไม่หาย
"มีอะไรหรือเปล่าครับ"
ณจันทร์มองหน้าปักษะ ไม่รู้จะพูดอะไรดี
เธอสับสนทำงานต่อไม่ได้
"เอ้อ ดิฉันคงต้องขอตัวกลับก่อน ฝากเอกสารไว้ให้พิจารณาแล้วกันนะคะ"
ณจันทร์เดินหน้าตาเคร่งเครียดออกไป
ปักษะรีบตามออกไปทันที
ณจันทร์เดินออกมาจากห้องประชุม สมองครุ่นคิด ตื่นตระหนก ตกใจ สับสนเรื่องของเฮแต่เมื่อคืน
"คุณณจันทร์ คุณณจันทร์เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ"
เธอหน้าซีด ท่าทางวิงเวียนศีรษะ
"ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่เวียนหัว"
"คุณไม่สบายหรือครับ"
เธอพยักหน้า แล้วซวนเซจะยืนไม่อยู่ ล้มลง ปักษะต้องมาประคอง
"อุ๊ยๆ ระวังครับ คุณณจันทร์ คุณณจันทร์ ไปหาหมอดีกว่านะครับ"
ปักษะรีบ ประคองณจันทร์ออกไป
ภายในโรงพยาบาล เวลาต่อเนื่องมา ณจันทร์ได้รับตรวจเสร็จแล้ว หมอบอกอาการ
"คุณคงจะอ่อนเพลีย น้ำตาลในเลือดต่ำมาก คุณทานอาหารได้ปรกติไหมครับ"
ณจันทร์หลบตา
"ว่าไงครับ"
"ปกติฉันทานมังสวิรัต แต่ช่วงนี้ ฉันไม่อยากกินอะไรเลยค่ะ"
"แล้วทานได้บ้างไหมครับ"
"น้อยมากค่ะ"
"แปลกจริง คุณไม่มีไข้ ไม่มีเหตุอะไรให้เบื่ออาหาร จู่ก็ๆไม่อยากกินขึ้นมาเฉยๆงั้นหรือครับ"
"ค่ะ"
หมอส่ายหน้าไม่เข้าใจ
"ลองหาอาหารที่ถูกปากกว่านี้ดูนะครับ แล้วก็พยายามทาน ไม่งั้นร่างกายคุณจะอ่อนเพลีย จะทำให้มีโรคแทรกซ้อนได้ เดี๋ยวหมอจะให้ยาไปนะ"
หมอหันไปเซ็นชื่อ ปักษะมอง ณจันทร์แปลกใจ
ปักษะขับรถออกของตนจากโรงพยาบาลมาส่งณจันทร์ ทั้งสองลงจากรถยังคุยกันอยู่
"ป่วยก็ไม่ได้ป่วย หิวก็หิว แต่ไม่อยากกิน แปลกดีนะครับ"
"คุณพูดเรื่องเสือให้ฉันฟังอีกได้ไหมคะ"
"เรื่องเสือหรือครับ"
"คือฉันอยากรู้น่ะค่ะ ....ฉันหมายถึง เรื่องพฤติกรรม ทั่วๆไป"
แม้ปักษะจะงงว่า ณจันทร์ต้องการอะไร แต่ก็ตอบไป
"เสือเป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่า มีพละกำลังมาก เป็นยอดนักล่า เพราะ มีประสาทสัมผัสดีที่สุด ผมหมายถึง ตาที่มองได้ไกล หูที่ได้ยินเสียง จมูกที่ได้กลิ่นว่องไว"
ณจันทร์ หยุดกึก เพราะเป็นสิ่งที่ตรงกับลักษณะของเธอ เธอตาลอย
"มีอะไรหรือครับ คุณณจันทร์ คุณณจันทร์"
เธอเหมือนถูกของแข็งตีหัว ก่อนจะรู้สึกตัว
"ขอให้เป็นแค่เรื่องบังเอิญด้วยเถอะ" เธอพูดกับตัวเอง พยายามปัดความคิดออกไป
"บังเอิญ อะไรบังเอิญครับ "
ณจันทร์ตอบไม่ถูก
"เอ้อ ไม่มีอะไรค่ะ ส่งแค่นี้ก็ได้ค่ะ"
เธอเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง ปักษะถือกระเป๋า เอกสารให้ แล้วนึกได้
"อ้อเกือบลืม เอกสารคุณ ผมวางไว้หลังรถก็แล้วกันนะครับ"
ปักษะเปิดประตูด้านหลัง เอากระเป๋าวางแล้วเห็นรองเท้า สกปรกเหลือข้างเดียววางอยู่ ปักษะคุ้นตากับรองเท้าคู่นี้เป็นอย่างยิ่ง
"เอ๊ะ รองเท้านี่"
ณจันทร์หันมาดู มองปักษะ อายๆ
"เอ๊ะ ทำไมมาอยู่ที่นี่ รองเท้าฉันเอง..แต่มันสกปรกเหลือเกิน อีกข้างไปไหนนะ...สงสัยทำตกไว้ที่ไหนแล้ว"
ปักษะคิดอะไรบางอย่าง
"ถ้ามันเหลือข้างเดียว ผมขอได้ไหมครับ"
"อะไรนะคะ"
"เอ้อ ผมจะเอาไปทิ้งให้"
"จะดีหรือคะ"
"เอามาเถอะครับ"
ปักษะ ดึงรองเท้าข้างนั้นมาจนได้
"ขอบคุณนะคะ"
ณจันทร์สตาร์ทรถออกไป ปักษะมองรองเท้าข้างนั้นด้วยความกังวลใจ
ภายในสถานีตำรวจ ปักษะเอารองเท้าที่เก็บมาเทียบกับรองเท้าในสถานที่เกิดเหตุ
"รองเท้าคู่เดียวกันเป๊ะ" อาชาบอก
ปักษะหมดแรง พิงเก้าอี้
"ไม่มีทาง คุณณจันทร์น่ะหรือ จะทำอะไรแบบนั้นได้"
"ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน"
"คนที่เราเจอ ตอนจับสัตว์ได้ ที่ทำงานโฆษณา นายจำได้ไหม"
"นึกออกแล้ว.... คนที่สวยๆ นั่นเอง"
"นั่นล่ะ นายว่าแบบนั้นจะฆ่าใครได้หรือ"
"เป็นตำรวจ ใช้ความรู้สึกไม่ได้โว้ย ต้องใช้หลักฐาน ถึงตอนนี้เองก็เถอะไม่ได้หมายความว่า เขาจะต้องเป็นคนทำ เป็นหน้าที่ของกระบวนการสืบสวน สอบสวนว่ะ"
ปักษะชักจะกลุ้มใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เวลากลางคืน พรหมพยัคฆ์ที่กำลังถูกสัมภาษณ์โดยนักข่าวกลุ่มหนึ่ง ดูเป็นการสัมภาษณ์ส่วนตัวแบบเป็นกันเอง ณ มุมหนึ่งของโรงแรมหรู
นักข่าว 1ถาม
"อยากทราบเรื่องประวัติส่วนตัวของคุณพรหมพยัคฆ์น่ะค่ะ เพราะนอกจากเรื่องธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่ต่างประเทศแล้ว เรื่องอื่นๆดูเหมือนจะยังไม่เป็นที่เปิดเผยเท่าไรนัก ตั้งใจทำตัวให้ลึกลับหรือเปล่าคะ"
"ผมก็ไม่ได้ตั้งใจปิดบังอะไรนี่ครับ คุณอยากรู้อะไรล่ะ"
"ในฐานะนิตยสารสตรีนะคะ สาวๆหลายคน คงอยากทราบว่าคุณ พรหมพยัคฆ์ยังเป็นโสดหรือเปล่าคะ"
"ยังเป็นโสดครับ"
"ว้าว ... แบบนี้สาวๆก็คงมีหวังสินะคะ"
พรหมพยัคฆ์หัวเราะแล้วบอก
"ผมมีผู้หญิงคนที่ผมเฝ้ารอแล้วครับ"
พรหมพยัคฆ์มีแววตาอ่อนลงเมื่อพูดถึงผู้หญิงที่เฝ้ารอ...
"ว๊า ... แบบนี้สาวๆก็ผิดหวังกันหมดสิคะ บอกได้มั้ยคะ ผู้หญิงที่แสนโชคดีคนนั้นคือใครกัน"
"ไว้ถึงเวลา... ทุกคนจะได้รู้ครับ"
นักข่าว2 ถาม
"คุณพรหมพยัคฆ์ เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับต้นๆ ไม่ทราบว่า ตอนนี้อายุเท่าไรครับ"
พรหมพยัคฆ์หันไปถามลายเมฆ
"ลายเมฆ ฉันอายุ เท่าไหร่แล้วนะ"
ลายเมฆกระซิบบอก
"315 ครับ"
ทุกคนมองหน้ากัน แล้วหัวเราะ
"สงสัยฉันจะฟังผิดสินะคะ" นักข่าว 1 บอกแล้วหัวเราะขำ
นักข่าว 2 บอก
"คงหมายถึง 35 ใช่ไหมครับ"
พรหมพยัคฆ์ยิ้มกับลายเมฆ แต่ไม่ตอบชัดเจน พรหมพยัคฆ์ยิ้ม แววตามุ่งมั่น
"แล้วแต่จะคิดแล้วกันครับ เพราะสำหรับผมการได้อยู่มองโลกนานๆเป็นเรื่องสำคัญ คนเราจะรวยกี่พันล้านก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้มีชีวิตที่ยืนยาว และถ้าทำได้ ใครๆก็คงอยากเป็นอมตะ"
"พูดแบบนี้นี่กำลังเปิดสินค้าตัวใหม่เป็นอายุวัฒนะหรือเปล่าคะ"
"อาจจะเป็นอะไรที่คล้ายๆแบบนั้นแหล่ะครับ"
นักข่าวหัวเราะกันเข้าใจไปว่า พรหมพยัคฆ์พูดเล่นไปเรื่อย ทั้งที่คำพูดของพรหมพยัคฆ์ทุกคำมีนัยความจริงแฝงอยู่
อีกมุมหนึ่งของโรงแรม บริเวณห้องจัดเลี้ยง ลูกปลากับณจันทร์เดินอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยง
"ความจริงเธอน่าจะลางานพักผ่อนบ้างนะ มาดูห้องสำหรับจัดงานแค่นี้ ฉันมาดูเองก็ได้"
"เอา เถอะน่ามาเป็นเพื่อนกัน ช่วงนี้ ถ้าฉันอยู่เฉยๆ ฉันต้องคิดมากเรื่องนั้น จนบ้าตาย"
"คิดมากเรื่องไหน"
"ไม่มีอะไรหรอก" เธอหันไปบอกเจ้าหน้าที่ "เพดานเตี้ยไปหน่อย... มีแปลนห้องไหมคะ"
เจ้าหน้าที่ส่งให้
"ขอบคุณค่ะ ไปกันเถอะ"
ทั้งคู่เดินออกจากห้องจัดเลี้ยง
บริเวณหน้าห้องจัดเลี้ยง พรหมพยัคฆ์หันหลังให้ประตู ซึ่งสองสาวเดินผ่านไป
นักข่าวชุดเดิมยังคงตั้งคำถามพรหมพยัคฆ์ แต่เขากลับหันขวับไปทางที่ณจันทร์ที่เดินผ่านไป เขาหลับตาสูดกลิ่นตามสัญชาติญาณ ก่อนจะลืมตามาขึ้นมาด้วยประกายความหวัง
นักข่าว 1 บอก
"อยากให้คุณพรหมพยัคฆ์พูดถึง อนาคตการส่งออกของเบงกอลไทเกอร์ค่ะ"
พรหมพยัคฆ์ไม่สนใจ หันหลังมองไปที่ประตูด้วยความสงสัย
"มีอะไรหรือเปล่าครับท่าน"
"ต้องใช่ เธอ แน่ๆ"
พรหมพยัคฆ์ตัดสินใจวิ่งออกไปทันที ลายเมฆวิ่งตาม
"เอ้า จะไปไหนคะ คุณ... ดูสิ จู่ๆ ก็วิ่งออกไป" นักข่าวบอก
พรหมพยัคฆ์วิ่งออกจากห้อง มองซ้ายมองขวา ตามหาใครบางคน ขณะที่ณจันทร์และลูกปลาเดินออกจากโรงแรมไป เขาและลายเมฆอยู่ที่ชั้นบน มองลงมาเห็นหลังไวๆ
"ผู้หญิงคนนั้น ! ต้องเป็น เธอ แน่ๆ ลายเมฆ"
พรหมพยัคฆ์และลายเมฆ วิ่งลงตามกันไป
พรหมพยัคฆ์และลายเมฆ วิ่งฝ่ากลุ่มคนมาถึง ก็เห็นแต่เพียงรถที่ผ่านหน้าไปแล้ว
"บ้าจริง"
"คุณแน่ใจหรือครับว่าเป็นเธอ"
"ฉันแน่ใจ ... เป็นเธอแน่ๆ ฉันได้กลิ่นของเธอชัดเจน"
พรหมพยัคฆ์คิดว่าจะทำยังไงต่อไป
พรหมพยัคฆ์และลายเมฆ กำลังซักถามเจ้าหน้าที่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม
เจ้าหน้าที่ 1บอก
"ผู้หญิง หรือ ครับ เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงแรมหรือเปล่า"
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลณจันทร์ในห้องจัดเลี้ยงเดินกลับเข้ามาทำงานแถวๆนั้น
ลายเมฆบอก
"ผู้หญิง ที่เดินผ่านห้องจัดเลี้ยงเมื่อครู่นี้น่ะครับ มากันสองคน"
เจ้าหน้าที่ 2 บอก
"ถ้าเป็นแขกที่มาใช้บริการ เราคงจะไม่ทราบครับว่าเป็นใคร"
พรหมพยัคฆ์ดุ ดึงคอเสื้อคาดคั้น
"ต้องรู้สิ คนที่มาใช้บริการแถวนั้นจะมีสักกี่คน ไปตามพนักงานที่อยู่แถวนั้นมาหาผมให้หมด เดี๋ยวนี้เลย"
เจ้าหน้าที่คนนั้นเดินมา ได้ยินเรื่องพอสมควร
"เอ๊ะ ผู้หญิงสองคน...ใช่ คนที่มาจากบริษัทโฆษณา หรือเปล่าครับ"
"คนจากบริษัทโฆษณา"
เจ้าหน้าที่ 2 บอก
"ครับ...เมื่อสักครู่ ผมพาเจ้าหน้าที่จากบริษัทโฆษณา ไปดูห้องสำหรับจัดงานเปิดตัวสินค้า ก็อยู่ข้างๆ ห้องจัดเลี้ยงนั่นล่ะครับ"
ลายเมฆพุ่งเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ทันที
"แล้วคุณรู้ไหม ว่าเธอชื่ออะไร มาจากบริษัทอะไร"
"รู้สึกจะให้นามบัตรไว้" เจ้าหน้าที่หยิบจากกระเป๋า "นี่ครับ"
เจ้าหน้าที่ยื่นนามบัตรให้ลายเมฆ
"มีแต่ชื่อบริษัทไม่มีชื่อคน"
ลายเมฆหันมองพรหมพยัคฆ์ ด้วยแววตามีความหวัง
"แค่ชื่อบริษัทก็พอครับ เราตามตัวเธอได้แน่ ท่านจะได้เจอตัวเธอแน่นอน"
พรหมพยัคฆ์ยิ้มพึงพอใจ
อ่านต่อหน้า 3
เสือ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ภายในที่ทำงานของณจันทร์ วันเดียวกัน วิฬาร์ สมชัย กับเพื่อนๆ ต่างสนใจกับการอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ เรื่องของกำแหง ทั้งหมดคุยกัน
"จนป่านนี้ เขายังตามจับคนร้ายไม่ได้เลย ท่าทางคุณกำแหงจะต้องตายฟรีเสียแล้ว เฮ้อ เสียดาย" วิฬาร์ว่า
"เสียดายอะไรจ๊ะ อ๋อ จริงสินะ ลืมไป มีคนเห็นเธอกินข้าวกับเขาบ่อยๆ เสียดายที่จับไม่ทันติดหรือจ๊ะ" สมชัยบอก
"ปากแบบนี้สิ พระเจ้าถึงสาปให้เป็นลักเพศ ฉันแค่เสียดายที่เขาไม่ได้เซ็นใบจ้างทำหนังโฆษณาให้ก่อนตายเท่านั้นล่ะ ลูกค้าฉันเยอะแยะ คุณกำแหงไม่ได้มีความสำคัญกับฉันขนาดนั้นหรอก"
อาชากับปักษะเดินเข้ามาในออฟฟิศ วิฬาร์มองเห็นก่อน รีบเดินออกมาทันที
"คุณปักษะ สวัสดีค่ะ เหมียวไงคะ จำได้ไหม"
"จำได้ครับ"
"มีอะไรที่เหมียวพอจะช่วยได้ บอกมาเลยค่ะ"
"เรามาหาคุณณจันทร์ น่ะครับ" วิฬาร์มีท่าทีผิดหวัง เขาพูดต่อ "นี่ผู้กองอาชา เขาอยากคุยกับคุณณจันทร์หน่อย"
"ตำรวจอยากคุยกับคุณณจันทร์ เรื่องอะไรคะ"
"คุณกำแหง เป็นลูกค้าของบริษัทนี้ใช่ไหมครับ ผมกำลังสงสัยว่า คุณณจันทร์อาจจะได้พบกับคุณกำแหง ก่อนถูกฆาตกรรม"
วิฬาร์ตกใจ พูดเสียงดัง
"หมายความว่า ยายณจันทร์เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหรือคะ"
"เขาไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย" สมชัยว่า แล้วกระซิบ "อย่างยายณจันทร์หรือจะไปฆ่าใครได้ แต่ถ้าเป็นเธอล่ะก็ไม่แน่"
วิฬาร์หันมาคิดจะเล่นงานสมชัย แต่สมชัยเลี่ยงไปคุยกับอาชาก่อน
"เชิญข้างในฮ่ะ ณจันทร์เพิ่งเข้ามาพอดี สมชัยจะไปตามให้ค่ะ"
อาชาและปักษะเดินเข้าไป วิฬาร์หน้างอที่ถูกสมชัยด่า
ภายในห้องประชุม อาชายื่นรองเท้าทั้งคู่ให้ณจันทร์ดู ณจันทร์เลยบอกตามตรง
"ฉันพบกับคุณกำแหงก่อนเกิดเรื่องจริงๆค่ะ"
"ก่อนนานแค่ไหนครับ แล้วทำไมไม่บอกผมตั้งแต่วันนั้น"
"มันมีเรื่องที่ไม่น่าบอก เขาขับรถมาปาดหน้า แล้วก็พยายามลวนลามฉัน ฉันก็เลยวิ่งหนีไปที่พงหญ้า เท่าที่จำได้รู้สึกเขาจะตามมา แต่เขาตามไม่ทัน"
"จากนั้นล่ะครับ" อาชาถาม
"จากนั้นเอ้อ .." เธอพยายามนึก แล้วตัดสินใจบอกความจริง "ฉันรู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาที่ห้องของฉัน ฉันจำไม่ได้ว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นจริงๆค่ะ"
"จำไม่ได้แม้แต่สักนิดเลยหรือครับ" อชาถามย้ำ
"ค่ะ จำไม่ได้จริงๆ ฉันพยายามคิดอยู่หลายวันว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไงๆ ก็จำไม่ได้"
อาชากับปักษะมองหน้ากัน ว่ามันอะไรกัน !?
หลังจากอาชาเสร็จจากการสืบสวนสอบสวน ก็เดินออกมาพร้อมกับณจันทร์
"ขอบคุณนะครับที่ให้ความร่วมมือ แต่ผมอาจจะต้องเชิญคุณไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจอีกในวันหลัง"
"นี่ดิฉันกลายเป็นผู้ต้องหาไปแล้วหรือเปล่าคะ"
"ยังหรอกครับ ไม่ต้องตกใจ เราต้องรอผลการชันสูตรศพ และหลักฐานอีกหลายอย่าง"
ณจันทร์พยักหน้า ปักษะรู้สึกผิด
"ผมขอโทษนะครับ ผมไม่ควรจะเอารองเท้าคุณไปให้อาชามันดูเลย"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้ทำอะไรคุณกำแหง เอ้อ แล้วเรื่องที่คุณสงสัยอยู่ล่ะคะ"
"เรื่องเสือกัดหรือครับ"
ณจันทร์พยักหน้า อาชาเลยตอบแทน
"ส่วนตัวของผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ก็คงทิ้งประเด็นนี้ไม่ได้ ทั้งหมดคงต้องรอรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม"
เธอพยักหน้า
"งั้นเราลาก่อนนะครับ"
สองหนุ่มก้มหน้าเป็นเชิงลาแล้วเดินออกไป ขณะที่ณจันทร์กลุ้มใจมากกับเรื่องนี้
ทั้งสองเดินคุยกันมาในเรื่องณจันทร์
"ฉันบอกนายแล้วว่าคุณณจันทร์ไม่รู้เรื่อง"
"ใครว่า คุณณจันทร์นี่ล่ะ น่าสงสัยที่สุด"
"เฮ้ย"
"แกดูท่าทางเขาสิ มีพิรุธไหม ทำไมไม่บอกแกตั้งแต่แรกว่ารู้จักนายกำแหง พอถามเรื่องคืนนั้นพูดออกมาได้ว่าจำไม่ได้ บอกได้เลยนะ ผู้หญิงคนนี้จะเป็นฆาตกรหรือไม่ก็ตาม ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ ฉันมั่นใจ"
ปักษะชักใจเสีย
"แล้วเรื่องรอยเท้าเสือล่ะ แกจะไม่เชื่อทฤษฎีของฉันเลยหรือ"
"จะให้ฉันเชื่อว่ามีเสือไล่กินคนกลางกรุงเทพเนี่ยนะ"
"ฉันจะบอกให้นะ ถ้าคุณณจันทร์เป็นฆาตกรจริง จะอยู่ให้เราซักถามขนาดนี้หรือ แล้วคงไม่พูดตรง ๆ ด้วยว่า จำไม่ได้ คงแต่งเรื่องมาโกหกเรามากกว่า ยังไงคุณณจันทร์ก็ฆ่าใครไม่ได้"
ปักษะเดินหงุดหงิดออกไป
"ไอ้นี่ ปกป้องผู้หญิงคนนี้เสียจริงๆ"
กลางคืนวันเดียวกัน ณจันทร์ เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง คิดถึงเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นกับตนอยู่คนเดียว แล้วในที่สุด ก็นั่งลงยกหูโทรศัพท์
ภายในบ้านนวล ทุกคนนอนหมดแล้วเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นวลเดินงัวเงียมารับสาย
"สวัสดีค่ะ ...อ้าว ณจันทร์หรือลูก มีเรื่องอะไรรึเปล่า"
"หนูขอโทษที่โทร.มารบกวนเวลานี้ พอดีหนูมีเรื่องด่วนอยากถามน่ะค่ะ"
"เรื่องอะไรลูก"
"เอ้อ เรื่องที่อาคำสูรย์พูด... ในงานทำบุญคุณพ่อน่ะค่ะ ป้านวลจำได้ไหมคะ"
" มีอะไรรึเปล่าลูก ... ณจันทร์"
"คือหนูอยากรู้ว่าที่อาคำสูรย์พูดหมายถึงอะไร อาแกพูดว่าเสือยังไม่ตาย มันจะฟื้นขึ้นมาใหม่ มันหมายความว่าไงคะ"
นวลหยุดคิดนิดหน่อยก่อนพูด
"ทำไม จู่ๆหนูถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา"
"คือ...หนูแค่คิดถึงมันขึ้นมา แล้วก็เลยอยากรู้เรื่องให้หมดเท่านั้นล่ะค่ะ ตกลงเรื่องจริงๆเป็นยังไงกันแน่คะ"
"มันเป็นแค่เรื่องเล่าของคนโบราณที่กลัวเสือ คิดว่าเสือมีพลังอำนาจลึกลับ เป็นความเชื่อ ความงมงายน่ะลูก"
"แค่นั้นหรือคะ แล้วทำไมอาคำสูรย์จะต้องห่วงหนูขนาดนั้นด้วย มันเกี่ยวกับหนูยังไงกันคะ"
"ณจันทร์ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับหนูแน่ๆ มีอะไรบอกป้าสิลูก"
"เอ้อ ไม่มีค่ะ ไม่มีจริงๆ หนูแค่อยากรู้เท่านั้นเอง งั้นหนู…"
ณจันทร์ไม่อยากทำให้นวลกังวลเกินไป จะวางสาย แต่เสียงคำสูรย์ก็ดังขึ้นมาเธอชะงักฟัง...
คำสูรย์ถือเหล้าอยู่ในมือ ยืนโงนเงนด้วยความเมา
"สีแดงฉานในคืนเพ็ญเลือด มันจะปลุกตัวตายตัวแทนมันให้ตื่นขึ้นมา เพ็ญนี้แล้วเป็นกำหนดที่มันจะกลับมา มันจะกลับมา เสือจะกลับมา"
นวลตวาด
"คำสูรย์ แกเข้ามาได้ยังไง แล้วใครเอาเหล้าให้กินนี่ ไปออกไป"
คำสูรย์ไม่ฟัง แต่คว้าโทรศัพท์ในมือนวลมาพูดใส่
"เราอยู่ในบ่วงกรรมเดียวกัน นาย ผม และคุณหนู เสือมันจะตามมาแก้แค้นที่เราฆ่ามัน" แล้วคำสูรย์ก็ตะโกสุดเสียง "มันจะฆ่าเราทั้งหมด"
"คำสูรย์ปล่อยเดี๋ยวนี้ ไปนอนได้แล้ว ไป๊"
คำสูรย์ยังยื้อโทรศัพท์อยู่ ปากก็พูดตะโกนไป
"มันเป็นคำสาป คำสาปที่เล่าลือกันมาแต่ครั้งปู่ย่า มันผู้ใดที่สบตากับเสือผี ดื่มกินเลือดของมันในคืนเพ็ญเลือด มันผู้นั้นจะกลายเป็น กลายเป็น..."
คำสูรย์กลัวมาก ยกมือขึ้นกุมหัวตัวเอง ไม่กล้าพูดออกมา แล้วร้องลั่นเสียงดังออกมา นวลอึ้งไป คำสูรย์พูดต่อ ขณะที่มือทิ้งโทรศัพท์ หูโทรศัพท์บ้านแกว่งไปมา ณจันทร์ยังคงฟังนิ่ง
"คุณนวล ชีวิตคุณหนูณจันทร์กำลังอยู่ในอันตราย เชื่อผม…เชื่อ คำสูรย์เถอะ"
ได้ยินอย่างนั้น นวลก็ตกใจ
"อันตราย...อันตรายยังไง"
คำสูรย์จับหัว ดึงผม พยายามคิดถึงคำสาป
"เมื่อวิญญาณและร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อนั้นคนจะหลอมรวมกับเสือ เสือจะอยู่ในร่างคนและคนจะอยู่ในร่างเสือ"
ทันทีที่คำสูรย์พูดจบ ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง หน้าคำสูรย์ มีประกายน่ากลัวของสายฟ้าแวบวับ
คำแปงและนวลมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก ไม่อยากเชื่อ
ณจันทร์ได้ยินดังนั้นก็ตกใจกลัว ค่อยๆวางหูลง
ณจันทร์นอนกระสับกระส่ายเต็มที ฟ้าผ่า ฝนฟ้าคะนองเช่นเดียวกัน เธออยู่ในระหว่างจะเป็นเสือหรือไม่เป็นเสือ... เธอนอนไม่หลับ ตาเบิกโพลงครุ่นคิดเรื่องของตนเอง คิดถึงคำพูดของคำสูรย์
"เมื่อวิญญาณและร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อนั้นคนจะหลอมรวมกับเสือ เสือจะอยู่ในร่างคนและคนจะอยู่ในร่างเสือ"
เธอปิดหูเมื่อประโยคที่คำสูรย์พูดในก้องอยู่ในหู พูดเพ้ออยู่คนเดียว
"ไม่จริง ไม่จริง...ไม่จริง ! เรื่องแบบนี้มันบ้าชัดๆ ไม่มีวันเป็นไปได้ เรามันฟุ้งซ่านไปเอง ไม่จริงๆ"
วันใหม่ เกรียง เจ้านายของณจันทร์กำลังทำงานอยู่ในห้อง สมชัยหน้าตื่นวิ่งเข้ามา
"บอสคะ บอส"
"อะไรของคุณ แหกปากเสียงดังเข้ามา ตกใจหมด"
"มีลูกค้าเอางานมาให้เราถึงออฟฟิศค่ะ มาเองเลยนะคะ เจาะจงให้เราทำโฆษณา"
เกรียงประชด เพราะคิดว่าคงงานราคาถูก
"ลูกค้ามาถึงนี่หรือ ... ยาหม่องน้ำ หรือ อมยิ้มล่ะแม่คุณ"
"วิสกี้แบล็กไทเกอร์ค่ะ"
เกรียงทะลึ่งพรวดยืนขึ้นมา ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าสมชัยอีก
"แบล็กไทเกอร์ แล้วทำไมเพิ่งมาบอก"
เกรียงรีบวิ่งออกไปรับหน้าทันที
พรหมพยัคฆ์นั่งสง่างามอยู่ในห้องประชุม ลายเมฆยืนอยู่กับเกรียงที่พินอบพิเทา เอาผ้าเช็ดเหงื่ออยู่ตลอดเวลา เพราะความตื่นเต้น
ลายเมฆบอก
"อย่าแปลกใจไปเลยที่เราสนใจที่นี่ เบงกอลไทเกอร์เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ก็จริง แต่เราก็เปิดโอกาสให้คนเก่งๆทำงานเสมอ ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทเล็ก ๆ ก็ตาม"
"ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก เราสัญญา ไม่ครับสาบานดีกว่า ว่าพวกเราจะทำงานอย่างดีที่สุด เอ่อไม่ทราบว่าตั้ง Budget ของ Project นี้ ไว้เท่าไหร่ครับ"
ลายเมฆบอก
"20 ล้าน พอไหม"
เกรียงดีใจเนื้อเต้น
"พอครับพอ เราซื้อมีเดียได้ครบทุกตัวเลย ถ้างบขนาดนี้ เดี๋ยวผมจะไปเตรียมเอกสารมาคุยรายละเอียดเลยนะครับ"
เกรียงนำเสนอเต็มที่ พรหมพยัคฆ์มองลายเมฆให้พูดต่อไป
"เดี๋ยวก่อน มีเงื่อนไขนิดหน่อย"
เกรียงชะงัก แล้วรีบรับปาก
"อะไรครับ ได้ทุกอย่างเลยครับ"
"คุณพรหมพยัคฆ์ท่านอยากจะขอเลือกคนทำงานนี้ด้วยตัวเอง คุณไปเชิญพนักงานผู้หญิงทั้งหมดมาพบท่านที่นี่ได้ไหมครับ"
"ผู้หญิง ทำโฆษณาวิสกี้หรือครับ"
"ท่านมีเหตุผลส่วนตัวของท่าน มีปัญหาหรือคุณ"
"ครับๆ เอ้อ ไม่มีครับไม่มี"
สมชัยมาตามพนักงานทั้งหลาย
"เลือกคนทำงานเองหรือ" วิฬาร์ถาม
"ใช่สิ เร็วๆ เข้า...มามา เศรษฐีรอใครนานไม่ได้ก็รู้อยู่ มาเลยเร็วเข้า"
พนักงานหนุ่มๆลุกขึ้น
"ผู้ชายไม่ต้อง เขาเอาแต่ผู้หญิง"
เหน่งบอก
"อะไรนะ นี่มันเลือกคนมาทำโฆษณา หรือเลือกไปทำอะไรกันแน่"
"เออน่า...คนรวยมากๆ บ้าอย่างนี้ทุกคน เอ้าพวกหล่อนมา ตามมา"
สาวทั้งหลายเดินตามสมชัยไป เหลือแต่วิฬาร์ที่เดินมาที่โต๊ะณจันทร์ เธอมองซ้ายมองขวานิดหน่อย เมื่อเห็นไม่มีใคร จึงเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก ก่อนหยิบน้ำหอมออกมา
"ลองดูสิว่าเสน่ห์ของแกจะช่วยให้ฉันได้งานไหม"
วิฬาร์เอาน้ำหอมแตะที่ลำคอ
พรหมพยัคฆ์มองสาวที่เข้ามาในห้องประชุมทีละคน โดยใช้จมูกและความรู้สึกสัมผัสว่าเป็นคนไหน รู้ว่าไม่ใช่สักคน ! สมชัยสงสัยมากว่าทำอะไร กระซิบถาม
"อยากรู้สัดส่วนด้วยไหมคะ"
พรหมพยัคฆ์มองด้วยความดุ สมชัยหงอ เขาส่ายหน้า ลายเมฆเริ่มกังวล หันมาบอกเกรียง
"ท่านไม่พอใจสักคนเดียว"
"แค่มองเนี่ยหรือครับ"
"ใช่ ทำไมหรือ.... คุณไม่พอใจวิธีของเราหรือ"
"โอ๊ะ เปล่าครับ...เปล่า ผมเข้าใจแล้ว นี่ใช่ไหมที่เรียกว่าสัญชาตญาณของนักธุรกิจ"
พรหมพยัคฆ์พึมพำเองเบาๆ
"สัญชาติญาณของสัตว์ป่าต่างหาก"
"อะไรนะครับ" เกรียงถาม
ลายเมฆเบี่ยงความสนใจของเกรียง
"คุณมีพนักงานแค่นี้เองหรือ" ลายเมฆถาม
"ยังเหลืออีกคนค่ะ" สมชัยบอก
พรหมพยัคฆ์ชะงัก ได้กลิ่นของณจันทร์ลอยมา หันไปมองอย่างมีความหวัง
วิฬาร์สวยเช้ง ยืนโพสต์ท่าเซ็กซี่ อยู่ที่ประตู
"อะแฮ้ม"
วิฬาร์วางมาดเชิดเล็กน้อย เกรียงรีบแนะนำ มั่นใจว่าพรหมพยัคฆ์ต้องชอบ
"อ๋อ จริงด้วย...คุณวิฬาร์ เออีที่สวยและมีความสามารถที่สุดของเราครับ"
พรหมพยัคฆ์เดินเข้ามาหาวิฬาร์ จมูกก็เริ่มสูดดมกลิ่นจากตัววิฬาร์
"น่าสนใจ น่าสนใจทีเดียว"
วิฬาร์ยิ้ม มั่นใจชัวร์ว่าฉันได้แน่ เกรียงยิ้มดีใจ
"ตกลงให้คุณเหมียวทำใช่ไหมครับ"
"ไม่" พรหมพยัคฆ์น้ำเสียงเด็ดขาด
วิฬาร์ชะงัก หน้าแตกไปเลย
พรหมพยัคฆ์มองตาแล้วรู้
"เธอไม่ใช่คนที่ผมต้องการ เธอไม่เหมาะกับน้ำหอมกลิ่นนี้ อย่าได้ใช้อีก พวกคุณไม่ได้มีกันแค่นี้แน่ ต้องมีอีก มีใครที่ไม่อยู่ที่นี่"
ทุกคนงง ว่าจะมีใครอีก สมชัยนึกออก
"จริงด้วย ณจันทร์กับลูกปลา ไงคะบอส"
"อ๋อ คือ เขาสองคนออกไปดูงานถ่ายโฆษณาที่เขาใหญ่ กว่าจะกลับคงค่ำ ๆ ถ้าท่านอยากพบจริงๆ ผมให้ไปหาท่านพรุ่งนี้ดีไหมครับ"
พรหมพยัคฆ์คิดแล้วตัดสินใจทันที
"ต้องใช่แน่ๆ ลายเมฆ เอาที่อยู่จากคนพวกนี้ เราจะไปเขาใหญ่เดี๋ยวนี้เลย"
ทุกคนงงมาก ส่งเสียงฮือฮา พรหมพยัคฆ์ออกไป ท่าทางเร่งรีบ
วิฬาร์กระทืบเท้าด้วยความแค้น
ณ กองถ่ายโฆษณา ที่เขาใหญ่ ซึ่งรายล้อมด้วยวิวทิวทัศน์ของภูเขาและสวนสวยๆ ลูกปลากับณจันทร์กำลังดูการถ่ายโฆษณา
นักแสดงชายแต่งตัวเป็นหมาน่ารัก หอนโหยหวน
"เธออยู่ไหน ยู้ฮู ยู้ฮู มาหาฉันเถอะ ฉันต้องการเธอ ถึงฉันเป็นหมาน้อย แต่ก็มีหัวใจนะ" แล้วแกะลูกอมกินใส่ปากทำท่าอร่อยมาก "ลูกอม มิสยู แม้แต่ผม ยังอดใจไม่ไหวเลย"
ลูกปลาบอก
"มิสยู ภาษาฝรั่งนะ ไม่ใช่ภาษาอีสาน มีแอ็กเซนต์หน่อย ..เอาใหม่"
นักแสดงกลับไปแสดงใหม่ เสียงโทรศัพท์มือถือณจันทร์ดังขึ้น
"บอสหรือคะ ว่าไงคะ ....ใครนะคะ"
เกรียงกำลังโทรศัพท์
"คุณพรหมพยัคฆ์ มหาเศรษฐีเจ้าของกิจการพันล้าน เขาเจาะจงให้เราทำโฆษณา และ เขากำลังขับรถไปหาคุณที่กองถ่าย"
"ขับมาหาถึงนี่หรือคะ"
"ก็ใช่น่ะสิ เมื่อคุณได้เจอเขา คุณต้องคุยกับเขาอย่างดี และต้องเอาลูกค้ารายนี้ให้อยู่ ถ้าลูกค้ารายนี้หลุดไป อาจจะทำให้โรคหัวใจผมกำเริบขึ้นมาได้ เข้าใจไหมคุณ"
ณจันทร์วางหูอย่างงุนงง
"พรหมพยัคฆ์....ใครกัน"
จู่ๆณจันทร์ก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง เธอกอดอก รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาทันที
"มีอะไรหรือ" ลูกปลาถาม
"ทำไมลมเย็นจังเลย นี่ฉันขนลุกไปหมดเลยนะนี่"
"ลมเย็น ล้อเล่นน่า ฉันร้อนตับจะแตกแล้ว ที่ขนลุกนี่ไม่ใช่ไข้กลับนะไปนั่งก่อนไหม"
ณจันทร์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
รถของพรหมพยัคฆ์แล่นมาตามถนน รถมาถึงทางแยกซ้ายขวา ทว่าลายเมฆขับตรงไป
พรหมพยัคฆ์บอก
"เดี๋ยวก่อน!"
ลายเมฆชะงัก เหยียบเบรกให้รถหยุด พรหมพยัคฆ์เปิดกระจก สูดเอากลิ่นเข้าเต็มปอด
"ถอยกลับ เลี้ยวไปทางขวา"
ลายเมฆถอยรถ เลี้ยวไปตามทางที่พรหมพยัคฆ์บอก
ณจันทร์ลุกขึ้นไปสูดดมกลิ่นเต็มที่
"กลิ่นอะไร"
ลูกปลาหันมามอง ทำหน้างงๆ
"เธอไม่ได้กลิ่นเหรอ กลิ่นแปลกๆ กลิ่นคุ้นๆยังไงไม่รู้"
ลูกปลาทำจมูกฟุดฟิด
"กลิ่นอะไรของเธอ ฉันไม่เห็นรู้สึกเลย"
ณจันทร์เกิดอาการแปลกประหลาดที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ หนาวๆร้อนๆ เหงื่อเริ่มออก กระสับกระส่าย เดินไปมา
"ต้องมีอะไรแน่ๆ"
ณจันทร์มองไปยังทางเข้าตลอดเวลา
พรหมพยัคฆ์นั่งอยู่ในรถ เปิดหน้าต่าง เพื่อสูดกลิ่นเข้าเต็มปอดด้วยอาการถวิลหา เขาหันไปยังทิศที่ได้กลิ่น ยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง
"เรามาถูกทางแล้วล่ะลายเมฆ... ไม่มีกลิ่นอะไรที่จะทำให้หัวใจฉันปั่นป่วนได้เท่านี้มาก่อนเลย"
"เรารอเวลานี้มาหลายร้อยปี ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง... วันที่ท่านจะได้พบ เธอ" ลายเมฆกล่าว
พระอาทิตย์กำลังจะใกล้ตกดิน ณ ป่าแห่งนั้น พรหมพยัคฆ์ลงมาจากรถ สูดกลิ่นเข้าเต็มปอด
"เธออยู่ที่นี่"
พรหมพยัคฆ์เดินไปที่กองถ่าย ลายเมฆตามไป
1
ณจันทร์สะดุ้งเฮือก สัมผัสกลิ่นได้เหมือนกัน เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดใจมาก
"ณจันทร์มาช่วยฉันทางนี้หน่อย"
ลูกปลาดึงณจันทร์ไป แล้วพรหมพยัคฆ์กับลายเมฆก็เดินเข้ามา เขากวาดสายตามองคนในกองถ่ายที่กำลังเร่งรีบ
ชาย1บอก
"เอ้า เร็วหน่อยครับ แสงจะหมดแล้ว นักแสดงพร้อมหรือยังครับ"
พรหมพยัคฆ์เขาค่อยเดินไปเรื่อยๆ คนที่อยู่รอบข้างดูเหมือนเดินออกไปทีละคน จนกระทั่งเหลือผู้หญิงเพียงสองคนที่หันหลังให้เขาอยู่ ลูกปลาหันหน้ามา แล้วก็เดินออกไปอีกคน
ณจันทร์รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ข้างหลังเธอ เธอค่อย ๆ หันมา แล้วสายตาเธอก็ประสานเข้ากับสายตาของพรหมพยัคฆ์
ทั้งคู่ประสานสายตากันเหมือนมีพลังบางอย่างดึงดูดเข้าหากัน
แว่บหนึ่ง เธอรู้สึกวูบวาบที่หัวใจ เสียงของผู้คนรอบข้างเหมือนจะขาดหายไป เหมือนโลกทั้งโลกมีแค่เธอกับเขา ทุกอย่างเหมือนจะหยุดนิ่งชั่วขณะ มีแต่กาลเวลาเท่านั้นที่เคลื่อนผ่านไปช้า ๆ ดวงอาทิตย์สีแดงฉานค่อย ๆ ตกดินลับเหลี่ยมเขาไปช้า ๆ
เวลาคืบคลานเข้าสู่ตอนกลางคืน
อ่านต่อหน้า 4
เสือ ตอนที่ 3 (ต่อ)
พรหมพยัคฆ์กับณจันทร์ยังคงจ้องมองกันอยู่ ทว่าคนในกองถ่ายหายไปหมดแล้ว มีแต่เธอกับเขาอยู่กันสองต่อสอง
พรหมพยัคฆ์ยิ้ม รู้สึกว่าเธอช่างคุ้มค่ากับการตามหาและรอคอย เขาพึมพำกับตัวเอง
"สวย สง่า สมเป็น ราชินีแห่งเสือ"
"คุณพรหมพยัคฆ์"
เขาค้อมหัวให้ ยิ้มสนุก ลองเรียกชื่อกลับบ้าง
"คุณณจันทร์"
เธอเหมือนจะทำตัวไม่ถูก
"คุณเกรียงโทร.มาบอกเรื่องของคุณแล้วค่ะ ...ขอบคุณนะคะที่ให้เกียรติเรา"
พรหมพยัคฆ์เดินเข้ามาใกล้แล้วมองหน้า แล้วค่อยๆเดินอ้อมตัวเธอ มองเก็บทุกรายละเอียดของเธออย่างพินิจพิเคราะห์ พร้อมสูดดมกลิ่นของเธอ
"สีหน้ายังไม่มีเลือดฝาด" พรหมพยัคฆ์พูดกับตัวเองเบา ๆ "ผ่านคืนเพ็ญแรกมาแล้วสินะ อืม...ยังอ่อนเยาว์นัก คงกำลังสับสนล่ะสิ"
"คุณพูดเรื่องอะไรคะ"
"พูดเรื่องของคุณ คุณกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายที่...บอกใครไม่ได้ใช่ไหม"
"นี่คุณต้องการอะไรกันแน่"
"สายตาราวกับพญาเหยี่ยว ประสาทหูที่ดีเลิศ และจมูกสูดกลิ่นที่ดีที่สุดในกระบวนสัตว์ทั้งหลาย"
พรหมพยัคฆ์บอกความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอ โดนใจเธอ ทึ่ง จนถอยกรูดอย่างไม่อยากเชื่อ
"คุณรู้ได้ยังไง"
"ผมยังรู้เรื่องอะไรอีกมาก รู้มากกว่าที่คุณจะรู้จักตัวเองเสียอีก"
"คุณเป็นใคร"
"ผมเป็นพวกเดียวกับคุณ ทุกอย่างที่คุณเป็น ผมเคยเป็นมาแล้วเพียงแต่มันอาจจะนานสักนิด แต่ก็พอจะจำได้"
"ฉันกำลังคุยกับใครกันนี่"
ณจันทร์ไม่สามารถรับสถานการณ์เช่นนี้ได้ เลยหันหลังเดินหนี พรหมพยัคฆ์หัวเราะกับท่าทางสับสนของเธอ เขาปล่อยณจันทร์เดินนำไปสักพัก แล้วกระโจนมาดักหน้าเธอด้วยกำลังมหาศาล
เธองงมาก คิดว่า เธอตาฝาดไปเอง
"อย่าหนีผมเลย คุณหนีผมไม่พ้นหรอก เหมือนกับที่คุณหนีสิ่งที่คุณเป็นไม่ได้ ในโลกนี้ มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ที่ตอบสิ่งที่คุณกำลังสงสัยได้"
"คุณรู้ได้ไงว่าฉันกำลังสงสัยอะไร"
พรหมพยัคฆ์ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ
"รู้สิ ... คุณกำลังสงสัยว่า ตัวคุณกำลังเป็นอะไรกันแน่"
ณจันทร์ส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ก็ลองถามออกไป
"แล้วคำตอบที่คุณรู้คืออะไร"
พรหมพยัคฆ์จับมือเธอให้ทาบกับมือของตน แล้วใช้มืออีกข้างกดมือณจันทร์ลงบนอุ้งนิ้ว จู่ๆ เล็บที่ซ่อนอยู่ก็งอกออกมาเป็นลักษณะโค้งขนาดใหญ่ อาการเหมือนสัตว์ที่ซ่อนเล็บได้ พร้อมกับคำรามเสียงดังลั่น... อาว ...
เธอตกใจมากถึงกับถอยจนหกล้ม
พรหมพยัคฆ์ยิ้ม เดินไปหา ก้มมองณจันทร์
"คุณอยากรู้ไม่ใช่หรือว่าคุณกำลังเป็นอะไร คุณกับผม เราเป็นเหมือนกัน เผ่าพันธุ์ของราชาแห่งป่า เผ่าพันธุ์ของเสือ"
พรหมพยัคฆ์โน้มตัวลงไปใกล้หน้าเธอ วูบหนึ่งนัยน์ตาเขาเปล่งประกายสีแดงจ้า เธอตะลึงด้วยความตกใจ เธอผลักเขาออกไป แล้ววิ่งหนี พรหมพยัคฆ์มองตามแล้วยิ้ม แว่บหนึ่ง เห็นหน้าชองเขาเปลี่ยนเป็นเสือซ้อนขึ้นมา
ณจันทร์วิ่งผ่านลายเมฆที่ยืนรออยู่ไป ลายเมฆจะตาม แต่พรหมพยัคฆ์เรียกไว้
“ปล่อยเธอไปก่อน”
“เธอไม่ยอมรับท่านหรือครับ”
“เธอไม่ยอมรับแม้กระทั่งตน เรายังมีเวลา กว่าจะถึงวันเพ็ญเดือนแปด วันที่ฉันและเธอจะเป็นหนึ่งเดียว ถึงวันนั้นเธอจะยอม ระหว่างนี้ เราต้องทำให้เธอรู้จักตัวเองดีเสียก่อน”
“เธอไม่ยอมรับอำนาจของเสือ”
เขาพยักหน้า
“ก็อย่างนี้แหละ สับสน กังวลใจ อีกหน่อยก็จะรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้รับพลังอำนาจที่ไร้ขอบเขต
พรหมพยัคฆ์หัวเราะก้องด้วยความภาคถูมิใจในตัวเอง แล้วขึ้นรถไปพร้อมกับลายเมฆ
ณจันทร์วิ่งมาหยุดพักที่มุมหนึ่ง เธอหวาดกลัวและสับสน เสียงของพรหมพยัคฆ์ยังตามมาหลอกหลอนตลอดเวลา
“คุณอยากรู้ไม่ใช่หรือว่าคุณกำลังเป็นอะไร คุณกับผม เราเป็นเหมือนกัน เผ่าพันธุ์ของราชาแห่งป่า เผ่าพันธุ์ของเสือ”
เธอปิดหูเหมือนไม่อยากรับรู้อะไร
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ”
เธอหันไปชนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่จนเซ ที่แท้เป็นลูกปลา
“ณจันทร์ เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดมากเลย” ลูกปลามองเลยจากณจันทร์ไปอย่างสงสัย
“ไอ้ลูกค้านั่นมันทำอะไรเธอเหรอ”
เธออึ้ง ไม่รู้จะตอบว่ายังไง
“ไม่มีอะไรหรอก เค้าพูดเรื่องไร้สาระ แล้วก็เล่นกลอะไรไม่รู้ให้ฉันดู ผู้ชายคนนี้ต้องสติไม่ดีแน่ๆ อย่าไปสนใจเลย สิ่งที่เขาพูดมันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
ณจันทร์มองไปทางพรหมพยัคฆ์ ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว เธอถอนหายใจเฮือก
อาชาในชุดเจ้าหน้าที่ กำลังคุยกับสมชัยเพื่อนของณจันทร์อยู่
"ยายณจันทร์ไม่อยู่ค่ะ ไม่ทราบนัดไว้หรือเปล่าคะ"
"เอ้อ เปล่าครับ แล้วเธอจะเข้ามาเมื่อไหร่ครับ"
"เอไม่ทราบเหมือนกันนะคะ เห็นว่าออกไปถ่ายทำโฆษณาตัวใหม่ที่เขาใหญ่ตั้งแต่เมื่อวาน ขอโทษนะคะ นี่คุณจะมาสอบสวนณจันทร์เรื่องคุณกำแหงอีกหรือคะ"
"ผมบอกคุณไม่ได้หรอกครับ อย่าถามเลย"
สมชัยตัดสินใจออกลายจีบอาชา
"แหมคุณตำรวจก็ ความลับอะไรกัน นี่ฉันจะบอกอะไรให้นะคะ ถ้าคนอย่างณจันทร์ฆ่าใคร เขาเป็นฆาตกรกันครึ่งประเทศแล้ว คุณอย่ามาสอบสวนให้เสียเวลาเลย" สมชัยทำตาหวานใส่ "มีเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่าตั้งเยอะ จริงไหมค่ะ"
อาชาเริ่มถอยห่าง วิฬาร์ก็เข้ามาพอดี
"ผู้กอง มาหาณจันทร์หรือคะ แล้วนี่จับคนร้ายได้หรือยัง จริงสินะ ถ้าจับได้จะมาหาณจันทร์ทำไม มาหาหลักฐานเพิ่มเติมหรือคะ"
"ในเมื่อคุณณจันทร์ไม่อยู่ ผมก็ขอตัวดีกว่า ลาล่ะครับ"
อาชารีบออกไป สมชัยมองตามอย่างเจ็บใจ
ไตำรวจบ้า ไม่ยอมผูกมิตรกับประชาชนเลยนะ" ว่าแล้วก็หันมาหาวิฬาร์ "นี่ก็อีกคน พยายามเหลือเกินนะ ที่จะให้ณจันทร์เป็นผู้ร้ายน่ะ"
สมชัยเข้าไป วิฬาร์คิดอะไรได้วิ่งตามออกไป
อาชาเดินออกมากำลังจะขึ้นรถ วิฬาร์เดินตาม
"เอ้อ เดี๋ยวค่ะคุณตำรวจ"
อาชาหันมามองวิฬาร์
"มีอะไรเหรอครับ"
"ถ้าดิฉันมีข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณกำแหงกับณจันทร์ คุณจะสนใจเอาไปใช้ในคดีไหมคะ"
อาชางง วิฬาร์ยิ้มเหี้ยม
เวลาต่อมา อาชามาพูดคุยกับปักษะที่มูลนิธิ
"อะไรนะ ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องกำแหงกับณจันทร์หรือ"
"ก็เออนะสิ มีคนที่ออฟฟิศคุณณจันทร์บอกกับฉันว่าก่อนคุณกำแหงตาย คุณกำแหงมีเรื่องกับณจันทร์ จนถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันมาแล้ว"
"ทำร้ายร่างกาย"
"เขาเห็นมากับตา และยินดีเป็นพยานให้ฉันด้วย เขาบอกว่าณจันทร์กับกำแหง ทำงานด้วยกันมานานแล้ว และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ อาจจะมีมากกว่าเรื่องธุรกิจ"
"ไม่มีทาง"
"เดี๋ยวสิวะ ฟังให้จบก่อน เขาบอกด้วยว่า ช่วงหลังณจันทร์กับนายกำแหง มีเรื่องระหองระแหงกัน จนผิดสังเกตอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้อาจเป็นชนวนของการฆาตกรรมได้"
"แกเชื่อเขางั้นหรือ"
"ก็ต้องฟังไว้ล่ะ…เชื่อหรือไม่ ต้องดูกันอีกที แต่สัญชาตญาณตำรวจของฉันบอกว่า ผู้หญิงคนนี้ต้องเกี่ยวพันกับการตายครั้งนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอนว่ะ"
"สัญชาตญานอะไรกัน แกก็แค่เดาสุ่มเท่านั้น ฉันไม่มีทางเชื่อหรอกว่า คุณณจันทร์จะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย"
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัด จังหวะการโต้เถียงของทั้งคู่ แอ๊ว เลขามูลนิธิเข้ามา ยื่นแฟ้มให้ปักษะ
"เอกสารรายชื่อสัตว์ที่ถูกลักลอบค่ะ เอามาให้คุณปักษะตรวจสอบก่อนจะส่งให้สวนสัตว์พรุ่งนี้"
"ขอบคุณครับ"
ปักษะหยิบแฟ้มงานมาอ่านสักพัก เห็นความผิดปรกติในเอกสารรายชื่อสัตว์
"รายการนี่ผิดหรือเปล่า ทำไมถึงเขียนเสือจำนวน 2 ตัว ตอนที่ผมไปตรวจ จำได้ว่ามีเสือแค่ตัวเดียวนี่"
"เอ แต่ทางเราก็เช็คจำนวนกับเอกสารรายชื่อสัตว์ของผู้ต้องหาแล้วนะคะ"
ปักษะชะงัก เริ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หันมาบอกอาชา
"ฉันว่าบางทีสมมติฐานของแกมันอาจผิดก็ได้"
อาชาและปักษะกำลังให้คนขับรถนั่งดูรายการเสือบนสถานีตำรวจ
"นายเป็นคนขับรถขนสัตว์ที่ถูกลักลอบมา นายเป็นคนให้รายชื่อสัตว์พวกนี้กับตำรวจใช่ไหม" ปักษะถาม
"บอกตำรวจไปหมดแล้วนี่ จะเอาอะไรอีก" คนขับรถบอก
"นายขนเสือมาทั้งหมดกี่ตัวแน่ ทำไมในรายชื่อถึงเขียนว่ามีเสือ 2 ตัว ทั้งที่ตอนเราจับได้มีเสือแค่ตัวเดียว"
"โธ่ พี่ผมจะไปรู้ได้ไง ผมมีหน้าที่ขับรถอย่างเดียว"
อาชามองปักษะ
"นายต้องการอะไรกันแน่วะ"
"นายไม่เข้าใจเหรอ ไอ้กรงที่ขนสัตว์ป่าพวกนี้เนี่ยมันเก่ามาก สนิมเขรอะไปหมด ตอนที่รถขนสัตว์เฉี่ยวกับรถมอเตอร์ไซด์จนคว่ำน่ะ อาจจะมีกรงใบหนึ่งพัง แล้วปล่อยให้เสือที่พวกมันขนมาหลุดออกไปก็ได้ และไอ้เสือตัวนั้นนั่นแหละที่กินนายกำแหง"
อาชาหันไปถามคนขับ
"แกขนเสือมากี่ตัวกันแน่ หา"
"ผมไม่รู้เรื่องจริงๆพี่ ผมไม่ใช่คนขนของ ตอนเขาขนของกันผมก็ไม่ได้อยู่ด้วย มาอีกทีเขาก็ขนเสร็จแล้ว ผมไม่รู้จริงๆ"
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างกลุ้มใจ
"เราต้องสืบให้รู้แน่ก่อน ว่าเสือหลุดจริงหรือเปล่า ไม่งั้นคุณณจันทร์ของแกก็จะยังเป็นผู้ต้องสงสัยของฉันอยู่ดี"
อาชาว่า
บริเวณหน้ากรงซึ่งมีเสือหนึ่งตัวอยู่ในนั้น มีชายสองคนกำลังพูดกันอยู่
ชายคนหนึ่งคือ สิงหล ส.ส. ผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการค้าสัตว์ป่า อีกคนหนึ่งคือพงษา ข้าราชการป่าไม้ ซึ่งเป็นสายให้
"ถ้าผมไม่เอาเงินปิดปากไอ้คนขับรถนั่นไว้ ป่านนี้มันคงซัดทอดมาถึงผมแล้ว ผมยอมเสี่ยงให้ลูกน้องไปเอาเสือมาก่อนที่ตำรวจจะไปถึง ผมเอาอนาคตทางราชการมาแลก เพราะเห็นแก่ท่านนะครับ"
"พูดมาได้ว่าเห็นแก่ฉัน เห็นแก่เงินละสิไม่ว่า นึกว่าฉันมองพวกกระดิกหางหานายอย่างแกไม่ออกเหรอ"
พงษาเริ่มโมโห
"แต่ท่านอย่าลืมสิว่าท่านได้เป็นสส.เพราะใคร ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนกระดินหางหานายอย่างผม!"
"นี่แกกล้าลำเลิกบุญคุณกับฉันเหรอ"
"เปล่าหรอกครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมมันก็แค่ข้าราชการธรรมดา แต่กับนักการเมืองที่คนทั้งประเทศรู้จักอย่างท่าน ถ้าเรื่องนี้รั่วออกไป นักข่าวคงไม่เห็นว่าธรรมดาหรอก ใช่ไหมครับ… เอาเป็นว่าผมขอส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 60% และขอเป็นตัวเลขสุดท้ายแล้ว..ถ้าท่านไม่ยอมผมก็คงจนปัญญา"
พงษากับลูกน้องเดินออกไป
ภายในบ้านสิงหล บรรยากาศเหมือนเจ้าพ่อ มีเขาสัตว์ประดับเต็มไปหมด เขาเข้ามาในบ้านพร้อมกับบอดี้การ์ด ท่าทางหัวเสียมาก
"ไอ้พงษามันคิดว่ามันเป็นใคร กล้ามายื่นข้อเสนอกับคนอย่างฉัน"
เสียงพรหมพยัคฆ์ดังขึ้น
"พวกมนุษย์ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ได้มากเท่าไร ก็อยากจะได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น"
สิงหลชะงัก หันไปมองทางต้นเสียง บอดี้การ์ดยกปืนขึ้นมาอย่างระวังภัย
"ใครน่ะ" สิงหลถาม
พรหมพยัคฆ์เดินออกมาจากเงามืด บอดี้การ์ดเล็งปืนไปที่พรหมพยัคฆ์
"แกเป็นใคร เข้ามาในนี้ทำไม"
"ฉันก็แค่อยากมาดูพวกมนุษย์หน้าโง่ตกลงกัน" พรหมพยัคฆ์หัวเราะเยาะ "น่าขำ…ล่าสัตว์ไม่เป็น ยังคิดที่จะล่า"
สิงหลหันไปส่งสัญญาณกับบอดี้การ์ดให้เก็บมัน บอดี้การ์ดเตรียมตัวยิง แต่พอพรหมพยัคฆ์มองจ้อง ปืนก็หลุดมือ และล้มกระแทกพื้นเหมือนโดนแรงผลักอย่างแรง ไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมาจับปืนอีก
สิงหลตกใจ
"แก…แกทำอะไรนะ"
"แกคิดว่าอาวุธพวกนี้ทำให้แกเป็นผู้ล่าได้เหรอ ผู้ล่าที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ"
พรหมพยัคฆ์ยิ้มโหดเหี้ยม ก่อนเคลื่อนตัวเร็วเข้ามาประชิดสิงหลและใช้มือข้างเดียวจับคอสิงหลจนลอย
"ผู้ล่าที่แท้จริง มีแค่กรงเล็บ" แล้วเขาก็กางนิ้วออกเป็นกรงเล็บ "ก็พอที่จะปลิดชีวิตของคนหรือสัตว์ทุกตัวได้แล้ว"
พรหมพยัคฆ์จะจิกกรงเล็บไปที่คอ สิงหลตกใจกลัวสุดขีด
"อย่า! แกต้องการอะไร เงินใช่ไหม เท่าไหร่"
"ฉันไม่ต้องการเงินจากคนอย่างแก แกเป็นคนเอาเสือมาใช่ไหม"
"แกอยากได้เสือเหรอ เอาไปเลย"
"ไม่ ฉันต้องการให้แกดูแลเสือตัวนั้นอย่างดี อย่าให้พี่น้องของฉันเป็นอะไรไป แล้วอย่าให้ใครรู้ว่ามันอยู่ที่นี่" พรหมพยัคฆ์หยุดนิดหน่อย "อีกไม่นาน ฉันอาจจะมีงานให้แกทำ"
พรหมพยัคฆ์ปล่อยมือ สิงหลลงไปกองกับพื้น แล้วเงยหน้ามองพรหมพยัคฆ์อย่างกลัวๆ
"ไม่ต้องห่วง ถ้าแกร่วมมือกับฉัน แกจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแน่นอน"
พรหมพยัคฆ์ยิ้มอย่างเหี้ยมโหด
บนถนนที่ค่อนข้างเปลี่ยว พงษานั่งอยู่ในรถบนถนนที่ค่อนข้างเปลี่ยว รถคันหนึ่งปาดหน้าเข้ามา จนรถต้องหยุดข้างทางที่เป็นพงหญ้ามืด รถคันนั้นจอดข้างทาง ไกลออกไป
"บ้าจริง แบบนี้หาเรื่องกันชัดๆ เฮ้ย..ลงไปดูซิ"
คนขับรถลงจากรถพร้อมลูกน้อง ครู่หนึ่งได้ยินเสียงลูกน้องร้องดังออกมา "อ๊าก…" ตามด้วยเสียงร้อง "ช่วยด้วย" ของคนรถ
เสียงนั้นเงียบไป พงษาเห็นลูกน้องหายไปนาน ก็ลงจากรถ จะไปเอาเรื่อง พอเข้าไปใกล้ ก็มองอย่างสงสัยว่าทำไมเงียบเชียบนัก พงษาเดินไปมองรถคันที่ปาดหน้าก็ไม่เห็นว่ามีใคร
ทันใดนั้นมีมือหนึ่งเอื้อมมาจับพงษาจากด้านหลัง เขาสะดุ้งตกใจ หันไปมอง
"คุณนั่นเอง"
พรหมพยัคฆ์ยืนนิ่งอยู่
พงษาพูดอย่างหงุดหงิด
"คุณมาก็ดี ผมเอาเสือไปที่บ้านสิงหลแล้วตามที่คุณบอก งานทุกอย่างก็เรียบร้อยหมดแล้ว เมื่อไรจะจ่ายเงินตามที่ตกลงสักที คุณคงไม่คิดจะเบี้ยวผมหรอกนะ"
"ยังไม่หมด ยังเหลืออีกอย่าง"
พงษาชะงัก
"อะไร"
"แกต้องเป็นพยานให้ราชินีของฉันพ้นผิด ใครๆจะต้องคิดว่าเสือยังหลุดออกไปฆ่าคนตายอีก"
"อ้อ ได้สิ ผมเป็นพยานให้ได้อยู่แล้ว"
"ฉันไม่ต้องการพยานบุคคล แต่เป็นวัตถุพยาน" พรหมพยัคฆ์มองอย่างเหี้ยมโหด "ศพของแกจะเป็นพยานให้กับฉัน"
พงษาตกใจ
"เฮ้ย คุณอย่าล้อเล่นผมอย่างนี้นะคุณพรหมพยัคฆ์ งั้นผมไม่เอาเงินคุณก็ได้"
พงษาทำท่าจะวิ่ง พรหมพยัคฆ์กระโจนมาดักหน้าไว้ พงษามองเข้าไปเห็นดวงตาสีแดงวับของพรหมพยัคฆ์ พงษาตกใจสุดขีด สะบัดหลุดจากพรหมพยัคฆ์ แล้ววิ่งหนีสุดชีวิต
พรหมพยัคฆ์คำราม แล้ววิ่งแบบสี่เท้าตามพงษาไป ... ชั่วครู่ร่างคนของพรหมพยัคฆ์ค่อยๆกลายเป็นเสือ
พงษาหันมามองแล้วก็ต้องตกใจสุดขีด
"เสือ…เสือ."
เสือดำกระโจนเข้าหาพงษาจนลงไปกองกับพื้น เลือดสาดกระเซ็นสีแดงฉาน... นองทั่วพื้น
เช้าวันใหม่ ณ บริเวณทุ่งหญ้าเดิม ศพของพงษาถูกห่อด้วยผ้าพันศพ ขึ้นรถมูลนิธิร่วมกตัญญูไป ผู้สื่อข่าวและตำรวจมาตรวจสถานที่ ผู้สื่อข่าวทีวี เดินเข้ามาหากล้อง ช่างภาพนับ 5 4 3 ผู้สื่อข่าวเริ่มพูด
"วันนี้เวลาประมาณ 21.00 น. มีการพบศพข้าราชการป่าไม้ คุณพงษา รุ่งเรืองทรัพย์บริบูรณ์ ถูกฆ่าตายพร้อมกับคนขับรถและลูกน้องคนสนิท"
ภายในห้องตัดต่อ ณจันทร์กำลังดูงานที่ตัดต่ออยู่
"เป็นยังไงบ้างครับ"
"ตัวสินค้าก็เห็นชัดเจนแล้ว แต่เรื่องโปรดักชั่น คงต้องถามเจ้าของงานนะคะ"
ณจันทร์มองไป เห็นลูกปลานอนหลับอยู่อีกมุมหนึ่ง
"งั้นเดี๋ยวผมจะไปดราฟเทปให้ คุณณจันทร์นอนหลับสักงีบไหมครับ"
"ไม่ละคะ ยังตาสว่างอยู่เลย"
"งั้นดูทีวีไปก่อนแล้วกันนะครับ"
คนตัดต่อเปิดทีวีไว้หนึ่งช่อง ก่อนจะออกไป ณจันทร์ดูข่าวจากทีวี
"ทางพิสูจน์หลักฐานได้เข้าไปตรวจ พบว่าลักษณะของศพทั้งสามคล้ายกับศพของนายกำแหง เจ้าของกิจการรถยนต์ที่ถูกฆาตกรรมไปก่อนหน้านี้ คือมีแผลขนาดใหญ่ คล้ายถูกสัตว์ใหญ่จำพวกเสือ หรือสิงโต กัดกิน จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า อาจจะไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ แต่ทั้งหมดเป็นเพียงข้อสังเกตเท่านั้น"
ตามด้วย VTR สัมภาษณ์คนแถวนั้นพูดเรื่องเสือต่าง ๆ นา นา
ณจันทร์ลุกขึ้นทั้งตัว จนลูกปลาสะดุ้งตื่น
"อะไรหรือ"
"มีคนตาย แบบนายกำแหง"
"แค่นั้นน่ะนะ ... โห ทำจนสว่างคาตาจนได้ เสร็จหรือยังล่ะ"
ณจันทร์นั่งคิด
"เมื่อคืนฉันไปไหนหรือเปล่าลูกปลา"
"ถามแปลก…ก็นั่งดูตัดต่อด้วยกันถึงตีสี อะไรของเธอหา…"
เสียงโทรศัพท์มือถือของณจันทร์ดังขึ้น เธอรับสาย
ปักษะกำลังโทรศัพท์
"ดูทีวีหรือเปล่าครับเรื่องข่าวการตาย"
"ดูอยู่ค่ะ ดูอยู่"
"ข้อสันนิษฐานของผมถูกต้อง มีเสือเพ่นพ่านอยู่ในเมืองจริงๆ คุณพ้นข้อสงสัยแล้วฮะ"
"จริงหรือคะ"
"คราวนี้นายอาชาเลิกยุ่งกับคุณแน่ ตอนนี้กำลังหัวปั่นว่าจะจัดการยังไงกับเสือตัวนี้ดี นักข่าวเริ่มสงสัยแล้วด้วย"
ด้านหลัง อาชากำลังถูกนักข่าวรุมถาม
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ"
"เอ่อ…คุณณจันทร์ครับ"
"คะ"
"คุณจะว่ายังไงครับถ้าผม…ผมอยากเจอคุณ"
ณจันทร์ยิ้มไม่ตอบ
อ่านต่อตอนที่ 3