สามใบไม่เถา ตอนที่ 14 อวสาน
ที่โต๊ะอาหารบ้านอัษฎา อุรวสานั่งมองอาหารซึม ๆ ในขณะที่ทุกคนกินอาหารไป ลอบมองอุรวสาไปอย่างเป็นห่วง
“ของโปรดพี่วสาทั้งนั้นเลยค่ะ กินเยอะ ๆ เลยนะคะ หลานจะได้แข็งแรง”
อินทุอรคะยั้นคะยอให้อุรวสากินข้าว แต่อุรวสาตักไปคำหนึ่งก็วางช้อน
“ไม่ถูกปากเหรอคุณวสา” บราลีถาม เป็นห่วง
“เปล่าค่ะ แต่อยากกินอะไรไม่รู้ บอกไม่ถูก”
“คุณวสาไม่รู้แล้วใครจะรู้ล่ะคะ” อันตราท้วง
อุรวสายิ้มขำ ๆ “มีอยู่คนหนึ่งที่รู้ เวลาพี่บ่นแบบนี้ เขาจะทำอาหารที่เราไม่รู้ตัวว่ากำลังอยากกินมาให้ทุกที”
อัษฎามองอุรวสาคิดๆ
ทุกคนอิ่มหมดแล้ว ทั้งโต๊ะมีเพียงสำรับของอุรวสาคนเดียว อุรวสากำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยพ่อแม่และน้อง ๆ นั่งมองยิ้ม ๆ อย่างชื่นใจ
“คุณพ่อสั่งอาหารจากร้านไหนคะ อร่อยมากเลยค่ะ รสชาติถูกใจ แล้วก็ใช่ที่วสาอยากกินเลยค่ะ”
อัษฎายิ้ม ๆ “ร้านแถวนี้แหละ ถ้าชอบพ่อจะสั่งมาให้กินทุกวันเลยนะ”
อุรวสายิ้ม
ตอนเช้า อุรวสาแต่งตัวจะไปทำงาน เดินลงมาจากบ้าน กลิ่นหอมลอยมาปะทะจมูก เธอสูดกลิ่นแล้วยิ้ม เดินตามกลิ่นมาที่ครัว แสงฉานหันหลังให้ประตู กำลังทำอาหารเช้า ไม่เห็นว่าใครเดินมาหา
“วสาตื่นรึยังครับหนูอิน ขนมปังอบเสร็จพอดี”
แสงฉานหันมาเจออุรวสา ต่างคนต่างตะลึง
โต๊ะอาหารในสวนร่มรื่น แดดอ่อน ๆ ยามเช้า บนโต๊ะมีผ้าปู แจกันดอกไม้ง่าย ๆ ที่เก็บจากสวน แสงฉานเสิร์ฟอาหารเช้าแบบตะวันตกให้อุรวสา
“เที่ยวบินของเราเป็นเที่ยวบินงดแอลกอฮอล์และกาแฟนะครับ ท่านผู้โดยสารกำลังตั้งครรภ์ห้ามดื่ม”
แสงฉานพูดเย้าแหย่ตามนิสัย
“ฉันเลิกดื่มตั้งแต่รู้ว่าท้องแล้ว”
“ดีจังที่คุณรักษาสุขภาพ ต่อไปผมจะมาทำอาหารเช้าให้คุณทุกวัน เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น คุณจะได้ไม่เบื่อ ตัวเล็กจะได้แข็งแรง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พ่อฉันสั่งอาหารจากร้านแถวนี้ อร่อยถูกปากฉัน”
แสงฉานยิ้มแก้มปริ อุรวสามอง
“คุณเองเหรอ”
“คุณพ่อบอกว่าคุณเบื่ออาหาร ผมก็เลยจัดเมนูที่คุณชอบไปให้ วันนี้ผมรีบมาแต่เช้ามืด กะว่าจะรีบทำแล้วรีบไปก่อนคุณตื่น”
อุรวสานึกถึงคำที่บุษบาบัณเคยพูดว่าเธอเป็นตัวถ่วงชีวิตแสงฉานก็เศร้าไป
“ฉันไม่อยากรบกวนคุณ”
“ไม่รบกวนเลย คุณกับลูกคือเหตุผลที่ทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาทุกเช้า”
แสงฉานคุกเข่าลงข้าง ๆ อุรวสา เอามือจับที่ท้องอุรวสาเบา ๆ
“กินเยอะ ๆ นะครับลูก พ่อจะทำให้สุดฝีมือเลย แล้วอย่าลืมอ้อนแม่ให้คืนดีกับพ่อด้วยนะครับ”
อุรวสามองแสงฉานแล้วรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่พอแสงฉานเงยหน้าขึ้นมอง เธอก็รีบเก็บสีหน้า
“ฉันไปทำงานก่อนนะ”
อุรวสาลุกไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากให้แสงฉานเห็นใจที่อ่อนยวบของเธอ แสงฉานเศร้า
อินทุอรกำลังนั่งเล่นเปียโนอยู่บ้านอัปสร แล้วคิดถึงอดีตที่เคยเล่นเปียโนกับภิสิต
อินทุอรเศร้า เล่นต่อไม่ไหว นั่งร้องไห้ซบอยู่กับเปียโน ภิสิตเดินเข้ามาเห็นก็ค่อย ๆ ถอยออกไปเงียบ ๆ อินทุอรหันมาเห็น
“อาสิต”
ภิสิตหยุดชะงัก หันมามองอินทุอร อินทุอรน้อยใจที่ภิสิตเดินหนี
“ทำไมรีบกลับล่ะคะ”
“ไม่อยากรบกวนหนูอิน แล้วที่สำคัญเราไม่ควรอยู่ลำพังกันสองคน อาไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดไปมากกว่านี้”
อินทุอรรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็ง ๆ มาจุกที่ลำคอ น้ำตาเอ่อด้วยความเสียใจ
“อินเข้าใจค่ะ อินเป็นสาเหตุให้อาสิตเสียชื่อเสียงจนไม่ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ อาสิตอยู่เถอะค่ะ อินจะไปเอง”
อินทุอรเดินออกไป ผ่านภิสิต ภิสิตจึงคว้าแขนเธอไว้
“ทุกวันนี้ที่อาเสียใจมากไม่ใช่เพราะเรื่องงาน แต่อาทำให้คนที่รักต้องชื่อเสียง โดยที่อาปกป้องเขาไม่ได้เลยสักนิด”
อินทุอรซาบซึ้งใจจนน้ำตาร่วง ภิสิตมองอินทุอรอย่างสงสาร อยากจะกอดปลอบ ใจจะขาด แต่ทำไม่ได้ อัปสรแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้ามา
“อ้าว ภิสิต มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
อินทุอรรีบเช็ดน้ำตา ภิสิตกับอินทุอรมีท่าทีกระอักกระอ่วน
“ป้าอัปสรนัดผมมารอที่นี่ มีอะไรเหรอครับ”
“จะชวนทั้งสองคนไปทำบุญที่วัด”
อินทุอรกับภิสิตประหลาดใจ
ภิสิตถือข้าวของสำหรับทำสังฆทาน อีกมือกางร่มให้อินทุอรและอัปสร
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่าคะ”
“เปล่าจ้ะ ไม่สบายใจมักจะมาทำบุญ เพื่อให้สบายใจ แต่ป้าสบายใจก็ยิ่งอยากทำบุญ เพราะไม่ได้หวังอะไร ก็เลยสบายใจกว่าเดิม”
อัปสรหันมามองอินทุอรกับภิสิต
“การให้คือความสุขที่แท้จริง ต่างคนต่างมีจิตปรารถนาให้อีกฝ่ายได้รับสิ่งดี ๆ ก็ควรจะมีความสุขทั้งคู่”
อัปสรพูดถึงอินทุอรกับภิสิตที่ต่างฝ่ายก็ปรารถนาดีต่อกัน
“ขอให้เราคิดถึงแต่สิ่งดี ๆ ให้กัน ก็ไม่ต้องมานั่งเศร้าสงสารตัวเองที่ผิดหวัง”
อินทุอรกับภิสิตเข้าใจในสิ่งที่อัปสรพูด ต่างก็รู้สึกดีขึ้น
หลวงพ่อให้ทั้งสามคนท่องคำถวายสังฆทานเสร็จ อัปสรก็พยักเพยิดให้ภิสิตกับอินทุอร
“ช่วยกันถวายสิ”
ภิสิตยกของสังฆทาน อินทุอรช่วยยกถวายหลวงพ่อ อัปสรนั่งมอง ยิ้มอย่างมีความสุข
ภิสิตกับอินทุอรช่วยกันปล่อยปลาลงแม่น้ำ พอปล่อยปลาเสร็จ อินทุอรก็เอาอาหารให้ปลาโดยมีภิสิตช่วย
“คู่แท้คือคู่ที่ทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนถึงได้มาพบเจอกัน แต่จะอยู่ด้วยกันได้ก็ด้วยบุญที่ทำในชาตินี้” อัปสรพูด
ภิสิตกับอินทุอรเดินมาหาป้าอัปสรที่ยืนรออยู่
“ขออนุโมทนาบุญกับหลานทั้งสอง ขอให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนานะจ๊ะ”
ภิสิตกับอินทุอรพนมมือไหว้รับพร
“มาทำบุญแบบนี้ สบายใจอย่างที่ป้าอัปสรว่าจริง ๆ ค่ะ”
“ถ้าชอบก็จะได้ชวนมาบ่อย ๆ เรามาทำบุญก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอกเนอะ”
ภิสิตยิ้มให้อินทุอรกับอัปสร อัปสรยิ้มที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
อุรวสาเดินเข้ามาลงทะเบียนเข้าเรียนคอร์สคุณแม่มือใหม่ที่โรงพยาบาล เธอมองสามีภรรยาคู่อื่นที่กำลังลงทะเบียนและนั่งรออยู่แถวนั้น จึงหันไปถามพยาบาล
“ผู้ชายก็มาร่วมคอร์สคุณแม่มือใหม่ด้วยเหรอคะ”
“ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกันทั้งคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อจะได้รู้วิธีดูแลคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์ เตรียมตัวตอนคลอดบุตรค่ะ”
อุรวสาสลดไปนิดหนึ่ง
“แต่ถ้าคุณพ่อไม่ว่างก็ไม่เป็นไรค่ะ เชิญกรอกเอกสารแล้วนั่งรอตรงนี้นะคะ”
พยาบาลชี้ไปที่เก้าอี้ใกล้ ๆ ซึ่งมีสามีภรรยาคู่หนึ่งนั่งรออยู่ ภรรยาท้องประมาณ 6-7 เดือน สามีกำลังกรอกเอกสาร อุรวสาเดินไปนั่ง ภรรยาร้องขึ้นมาเสียงดัง
“อู๊ย เตะซะแรงเลย”
“ลูกดิ้นอีกแล้วเหรอ”
สามีจับท้องภรรยาอย่างตื่นเต้น อุรวสามองตื่นเต้น ภรรยาเห็นอุรวสามองก็ยิ้มให้
“ท้องกี่เดือนแล้วคะ”
“เกือบสามเดือนแล้วค่ะ ลูกจะดิ้นตอนกี่เดือนคะ”
“สี่หรือห้าเดือนค่ะ อุ๊ย เตะแม่อีกแล้ว”
อุรวสาพลอยตื่นเต้นไปด้วย เพราะไม่เคยใกล้ชิดเด็กหรือครอบครัวที่มีเด็กเล็ก
“ลองจับดูมั้ยคะ”
อุรวสาดีใจ รีบพยักหน้า นั่งลงข้าง ๆ ภรรยา ภรรยาเอามืออุรวสาไปวางตรงจุดที่เด็กดิ้น อุรวสารู้สึกถึงความมหัศจรรย์ที่สัมผัสการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ได้ สัญชาตญาณความเป็นแม่เต็มเปี่ยมจนน้ำตาคลอ เธอถอยออกมา เห็นสามีกับภรรยายิ้มให้กัน ก็แอบสะเทือนใจ
อุรวสามาที่หน้าห้องเรียน เห็นคู่พ่อแม่คู่อื่นก็เริ่มใจไม่ดีและไม่มั่นใจในตัวเอง เอามือแตะที่ท้องตัวเองแล้วพูดเบา ๆ กับลูกในท้อง
“แม่ไม่รู้ว่าทำผิดไปรึเปล่า การมีลูกเป็นเรื่องใหญ่มาก แม่จะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูกไหวมั้ย เด็กทุกคนต้องการพ่อ”
อุรวสาพูดเศร้า ๆ หันไปมองคู่สามีภรรยาอื่น ๆ ในห้องเรียน แล้วก็เห็นแสงฉานนั่งอยู่ในห้องเรียนด้วย แสงฉานนั่งเสียบหูฟัง ฟังอะไรอยู่อย่างอารมณ์ดี อุรวสาแทบไม่เชื่อสายตา รีบเดินเข้าไปหา
“คุณมาทำอะไร”
แสงฉานดึงหูฟังออก แล้วยิ้มดีใจที่ได้เจออุรวสา
“มาศึกษาการเป็นคุณพ่อมือใหม่ ผมตั้งใจมากเลยนะ เตรียมสมุดมาจดด้วย”
แสงฉานโชว์ให้ดูอุปกรณ์การเรียน อุรวสานิ่วหน้าสงสัย
“ใครบอกคุณว่าวสาจะมาที่นี่”
แสงฉานยิ้ม ไม่ตอบ รีบลุกขึ้นจัดเก้าอี้ให้อุรวสานั่งอย่างเอาใจ
“นั่งตรงนี้เลย ข้าง ๆ ผม”
ลึก ๆ อุรวสาก็แอบดีใจที่ตัวเองมีแสงฉานมาเรียนด้วยเหมือนคู่อื่นๆ
สามใบไม่เถา ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
ในห้องเรียน อาจารย์มาสอนการดูแลคุณแม่ตอนตั้งครรภ์ เรื่องโภชนาการ ร่างกายและอารมณ์ โรคที่อาจแทรกซ้อน
แสงฉานตั้งใจจดมาก อุรวสาหันไปเห็นแสงฉานจดข้อมูลเต็มสมุดก็อมยิ้มเอ็นดู เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้เต็มที่กับครอบครัวมาก
อาจารย์ที่หน้าชั้นบอกทุกคนในห้อง
“ทุกคนขยับที่ให้กว้าง ๆ คุณแม่นั่งตามสบายนะคะ เดี๋ยวเรามาเรียนการนวดคุณแม่กัน”
สามีภรรยาจัดท่านั่งกับพื้นให้สบาย อุรวสามองคู่อื่นอย่างขัด ๆ เขิน ๆ แต่แสงฉานไม่สนใจ จัดเบาะแล้วจับอุรวสานั่งลงที่พื้น
“ยืดขาตามสบายเลย”
แสงฉานจับขาอุรวสาให้ยืดมาข้างหน้า แล้วเขาก็ไปนั่งข้างหลังอุรวสา จับตัวพิงมากับอกตัวเอง
“พิงมาเต็มที่เลย ไม่ต้องเกรงใจครับที่รัก”
อุรวสาชะงัก
“ที่รัก”
“คุณเป็นที่รักของผมเสมอ”
อาจารย์ที่หน้าชั้นเรียนบอกให้ทุกคนเริ่มนวด
“คุณพ่อเริ่มนวดได้เลยนะคะ เริ่มจากศีรษะ ขมับ ใบหู ต้นคอ”
แสงฉานนวดให้ด้วยความตั้งใจเต็มที่ แรก ๆ อุรวสาก็ยังเขิน ๆ แต่พอไปผ่านสักพักก็เริ่มรู้สึกดี เพราะเป็นสัมผัสที่เต็มไปด้วยความรักของแสงฉาน
“ต่อไปก็นวดขาค่ะ”
แสงฉานมาลงนั่งตรงหน้าอุรวสา อุรวสาเกรงใจ
“ไม่ต้องก็ได้”
แสงฉานไม่สนใจ ลงมือนวดเท้า นวดขาให้ตามที่ครูสอนอย่างตั้งใจ อุรวสามองสามีซึ้งใจ
เมื่อเรียนเสร็จ แสงฉานมาส่งอุรวสาที่บ้าน
“พรุ่งนี้ผมมารับไปโรงพยาบาลนะ”
“ไม่ต้องค่ะ แล้วพรุ่งนี้คุณก็ไม่ต้องไปเรียนแล้วด้วย ฉันอยากเรียนคนเดียว”
แสงฉานไม่พูดอะไร ขึ้นรถกลับไป บราลีเดินมาหาอุรวสา
“เป็นไงบ้าง หัดเป็นพ่อแม่มือใหม่สนุกมั้ย”
“สนุกดีค่ะ เจ้าอันบอกคุณแม่เหรอคะว่าวสาไปเรียน”
“เปล่าจ้ะ คนนู้นบอก”
บราลีบุ้ยใบ้ไปที่อัษฎาที่แกล้งอ่านหนังสือพิมพ์ แต่สายตาชำเลืองมองมาที่อุรวสาอย่างสนใจ พอเห็นอุรวสามองมา อัษฎาก็รีบหันไปมองหนังสือพิมพ์อย่างไม่รู้ไม่ชี้
“วสารู้แล้วว่าใครเป็นคนบอกแสงฉาน”
อุรวสามองอัษฎาซึ้งๆ
ภิสิตเปิดประตูบ้านออกมาเจอบุษบาบัณยืนรออยู่ เขาเซ็ง ๆ บุษบาบัณยิ้มหยัน
“ภรรยาเก่ามาหาทั้งที ช่วยทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยได้มั้ย”
ภิสิตถอนหายใจ เปิดประตูบ้าน เดินนำบุษบาบัณเข้ามา พูดด้วยน้ำเสียงหมางเมิน เย็นชา
“มีอะไรก็ว่ามาเลย ดึกแล้ว”
“แค่นี้บ่นดึก เมื่อก่อนฉันกลับบ้านเช้า ยังไม่เห็นเคยว่าอะไรฉันเลย”
“ผมไม่เคยว่าอะไรคุณ เพราะผมรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น คุณไม่สนใจคำพูดของผมอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่ค่ะ ที่คุณไม่ว่าอะไรฉัน เพราะคุณไม่แคร์ ก็เลยปล่อยให้ฉันทำตามอำเภอใจ ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้ที่รู้ว่าสามีไม่เคยสนใจตัวเองเลย”
“ผมขอโทษ เราสองคนไม่น่าแต่งงานกันตั้งแต่แรก ผมไม่น่าดึงคุณมาเสียเวลา”
“ไม่ใช่แค่เวลาที่ฉันต้องเสียไป ฉันต้องเสียผู้ชายที่ฉันรัก เพราะคุณ”
บุษบาบัณมองภิสิตด้วยความเกลียดชัง
“แล้ววันนี้คุณต้องการอะไรจากผม”
“ฉันต้องการให้คุณถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาท”
“ผมทำไม่ได้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงและเกียรติของอินทุอร”
“ห่วงแต่นังอินทุอร เคยห่วงเคยคิดมั้ยว่าฉันจะติดคุก ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง”
“แล้วตอนที่คุณทำ คุณเคยคิดมั้ยว่ามันผิดที่ทำลายชีวิตคนอื่น เพื่อความสะใจของคุณ”
“ใช่ ฉันสะใจที่ได้เห็นนังอินทุอรต้องอับอาย โดนตราหน้าว่าแย่งสามีชาวบ้าน ได้เห็นอาชีพการงานของคุณล่มจม ได้เห็นคุณกับมันต้องเจ็บปวดใจเพราะไม่มีวันได้รักกัน”
“แล้วคุณมีความสุขเหรอ”
คำถามของภิสิตแทงใจของบุษบาบัณ ทำให้เจ็บจี๊ดขึ้นมา
“ฉันมีความสุขมาก”
บุษบาบัณตอบทั้งน้ำตา เพราะในใจของเธอมีแต่ความแค้นและความเกลียดชัง ไม่มีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว
“งั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว เจอกันในศาล”
“ต่อจากนี้ไป ขอให้คุณรู้ไว้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณล้ม จะมีฉันคอยดูอย่างมีความสุข เมื่อไหร่ที่อินทุอรร้องไห้ ฉันจะคอยหัวเราะอย่างสะใจ”
บุษบาบัณปาดน้ำตาแล้วเดินออกไป ภิสิตมองตามอย่างอ่อนใจ
คืนนั้น บุษบาบัณมาที่ผับหรู เหวี่ยงกระเป๋าถือลงโซฟาอย่างระบายอารมณ์ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้น
“ว่าไงแฟรงค์ บุษรออยู่นะ ไม่มาเหรอ อย่าบอกนะว่าพอรู้ว่าบุษมีเรื่องก็ไม่ยอมรับนัด เออ ตามใจผู้ชายไม่ได้มีแกแค่คนเดียวหรอก”
บุษบาบัณวางหูโทรศัพท์อย่างไม่สบอารมณ์ แต่มีหนุ่มหล่อคนหนึ่ง ท่าทางเถื่อน ๆ กำลังมองบุษบาบัณอย่างชื่นชอบ บุษบาบัณหันไปเห็น ยิ้มให้หนุ่มคนนั้นทันทีอย่างมีความหมาย หนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาหา
“สวัสดี ผมแพทริค เก้าอี้ว่างมั้ยครับ”
“บุษค่ะ”
ทั้งสองยิ้มกันอย่างเสน่หา
อุรวสามาเข้าคอร์สคนเดียว เดินมาถึงหน้าแผนกแม่และเด็กก็เจอแสงฉานนั่งหลับ มีหูฟังเสียบอยู่ข้างหนึ่ง อีกข้างห้อยอยู่ เธอสงสัยว่าแสงฉานฟังอะไร ก็เดินมานั่งใกล้ ๆ แล้วเอียงหน้าไปใกล้ ๆ หูฟังที่ห้อยอยู่ แต่แสงฉานก็ลืมตาขึ้นเสียก่อน ทั้งสองสบตากันใกล้ ๆ อุรวสาเขินก็ขยับตัวออกห่างแสงฉาน แสงฉานอ้าปากหาวหวอด
“ผมตื่นแต่เช้ามืดไปจ่ายตลาดแล้วไปทำข้าวเช้าให้คุณ แล้วก็ไปดูร้าน”
“ร้านอะไร คุณขายไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ผมมีแผนจะเปิดร้านใหม่ คราวนี้มันจะเป็นร้านของผมจริง ๆ ตามที่ผมฝันไว้”
อุรวสารู้สึกผิดที่เคยพยายามยัดเยียดความคิดของตัวเองจนแสงฉานไมได้ทำตามความฝัน
“ฉันขอโทษที่เคยไม่ยอมให้คุณทำตามความฝัน”
“ผมต้องขอบคุณคุณต่างหาก ถ้าผมทำตามความฝันตั้งแต่ตอนนั้น ผมคงเจ๊งไปนานแล้ว การทำร้านอาหารไม่ใช่แค่ทำอาหารอย่างเดียว นี่เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากคุณ”
อุรวสาแอบปลื้ม
“ถ้าเหนื่อยมากก็ไม่ต้องมาเรียนก็ได้”
อุรวสาพูดด้วยความสงสาร แต่แกล้งทำเป็นหมางเมิน
“ไม่ได้ครับ อะไรที่เกี่ยวกับคุณและลูก ผมจะไม่ยอมพลาดแม้แต่นาทีเดียว”
อุรวสาซึ้งใจ แต่เก็บอาการ
“สนใจแต่เรื่องลูกก็พอ ไม่ต้องยุ่งเรื่องฉัน”
อุรวสาเดินเข้าห้องเรียนไป แสงฉานเก็บหูฟังใส่กระเป๋าแล้วเดินตามไป
ภายในห้องเรียน พ่อแม่นั่งกับพื้น อาจารย์ยืนอยู่หน้าห้อง
“วันนี้เราจะคุยกับลูกในท้องกัน”
พ่อกับแม่คุยกับลูกในท้องตัวเอง หน้าตายิ้มแย้ม
“การพูดคุยกับลูกบ่อย ๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด”
แสงฉานคุยกับลูกในท้องอุรวสา
“ลูกครับ พ่อรักลูกมากนะครับ”
อุรวสายิ้มอย่างอ่อนโยน มองแสงฉานคุยกับลูกด้วยเสียงนุ่ม ๆ ทุ้ม ๆ
“พ่อจะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกันพ่อแม่ลูกนะครับ แต่ลูกต้องช่วยให้แม่ใจอ่อน ยอมคืนดีกับพ่อ พ่อรักแม่ของลูกมากนะครับ”
อุรวสาร้องไห้ แสงฉานเงยหน้ามอง
อุรวสาเมินหน้าไปมองทางอื่น ทำให้แสงฉานคิดว่าเธอยังโกรธ แต่จริง ๆ แล้วอุรวสายังคิดว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงชีวิตของแสงฉานอยู่
สามใบไม่เถา ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
ภายในเต็นท์ที่บ้าน อุรวสาร้องไห้กับน้อง ๆ
“ทำไมคุณวสาถึงคิดว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของพี่แสงล่ะคะ”
“เพราะเขาพูดแบบนั้น”
“ฮ้า”
ทั้งอินทุอรและอันตราต่างตกใจ ไม่อยากเชื่อ
“พี่ได้ยินเขาคุยกับอาบุษว่าพี่ทำให้การงานเขาไม่เจริญก้าวหน้า”
“ไม่จริง อินไม่เชื่อว่าพี่แสงจะพูดแบบนั้น”
“ต้องเป็นแผนของยายแม่มดบุษแน่เลยค่ะ”
อันตราพูดอย่างสงสัย
ร้านใหม่ของแสงฉานยังตกแต่งไม่เสร็จ โต๊ะเก้าอี้ยังไม่ได้จัดวาง กลางร้านมีโต๊ะทำงานที่วางข้าวของของแสงฉานไว้ มีหูฟังที่เขาใช้ประจำกับไอพอดวางอยู่บนโต๊ะ อุรวสา อันตรา และอินทุอรเดินเข้ามาในร้าน
“นี่ล่ะค่ะร้านใหม่ของพี่แสง”
อุรวสามองไปรอบ ๆ ยิ้ม ๆ
“ร้านในฝันของแสงฉานเป็นแบบนี้แหละ”
อุรวสาตื้นตัน ดีใจที่ความฝันของแสงฉานกำลังจะเป็นจริง
“แล้วพี่แสงไปไหน คุณวสารอตรงนี้นะคะ เราจะไปตามพี่แสง”
อันตรากับอินทุอรพยักหน้าแล้วเดินออกไป อุรวสามองไปรอบ ๆ อย่างชอบใจ เพราะร้านตกแต่งอย่างมีรสนิยม ตามสไตล์อังกฤษ เธอสะดุดตาที่หูฟังที่เคยเห็นแสงฉานฟังบ่อย ๆ อุรวสาเดินไปหยิบหูฟังมาเสียบที่หูแล้วกดไอพอด เสียงหัวใจเด็กในท้องเต้นเป็นจังหวะดังขึ้น อุรวสาคาดไม่ถึงว่าที่แสงฉานฟัง จะเป็นเสียงหัวใจของลูกเธอเอง อุรวสาน้ำตาเอ่อเต็ม แสงฉานเดินเข้ามาหา
“ตั้งแต่วันที่คุณพ่อคุณส่งคลิปเสียงหัวใจลูกมาให้ ผมก็ฟังทุกวัน มันเป็นเสียงสวรรค์ที่ทำให้ผมอยากเป็นคนดีกว่านี้ อยากมีชีวิตที่มั่นคง มีอาชีพการงานที่เลี้ยงดูลูกเมียได้ ผมอยากเป็นพ่อและสามีที่ดีที่สุด เพื่อลูกของเรา”
อุรวสาน้ำตาร่วง
“แต่ฉันเป็นตัวถ่วงของชีวิตคุณ”
“คุณไม่ใช่ตัวถ่วง แต่คุณเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตของผม ถ้าไม่มีคุณ ชีวิตของผมก็ไม่มีความหมาย”
อุรวสาปล่อยโฮ ที่แท้เธอก็เข้าใจผิดมาตลอด แสงฉานสวมกอดอุรวสาด้วยความรัก น้ำตาซึมออกมาเช่นกัน
“ผมขอโทษนะวสาที่ปล่อยให้อารมณ์ทำลายชีวิตคู่ของเรา”
“ฉันก็ขอโทษ ที่ไม่เคยฟังคุณ ไม่เคยฟังเสียงหัวใจของตัวเอง”
“ต่อไปนี้เราจะโกรธ จะง้อ จะคืนดีกันไปจนตาย แต่เราจะไม่มีวันเลิกกันนะครับ”
อุรวสาพยักหน้า ยิ้มทั้งน้ำตา แสงฉานกอดอุรวสาแน่น ร้องไห้ทั้งคู่ อันตรากับอินทุอรยืนมองอยู่ที่มุมหนึ่ง น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้ง
วันเปิดร้านใหม่ แสงฉานทำอาหารยุ่งอยู่ในครัว พอทำเสร็จจานหนึ่ง ก็กดกริ่ง อันตราเปิดประตูเข้ามารับจานไปเสิร์ฟในร้าน ที่โต๊ะอาหารมีครอบครัวพ่อแม่ลูกนั่งอยู่หลายโต๊ะ อินทุอรกำลังช่วยรับออเดอร์จากโต๊ะอื่น ๆ มีลูกค้าเข้ามาใหม่ เวศม์ก็ช่วยพาไปที่โต๊ะ
“คุณเวศม์ มารับลูกค้าเองเลยเหรอคะ” ลูกค้าคนหนึ่งถาม
“วันนี้วันเปิดร้านก็เลยมาช่วย ๆ กันครับ”
อัษฎา บราลี และอุรวสายืนมองอย่างภูมิใจ สมศักดิ์ควงแขนหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าหน้าตาจิ้มลิ้มเข้ามาในร้าน
“มีโต๊ะว่างให้คู่รักบันลือโลกมั้ยครับ”
“ไอ้ศักดิ์ แกมากับใคร”
อุรวสาพนมมือไหว้สมศักดิ์
“หนูกบไหว้เพื่อนพี่สิจ๊ะ นี่น้องกบ แฟนใหม่ของฉันเอง”
อัษฎาตกใจ
“แฟนใหม่”
“เออ เป็นผู้ช่วยพยาบาลโรงพยาบาลที่แกรักษาเนื้องอกนั่นแหละ ต้องเรียกว่าเนื้องอกกามเทพ เพราะมันทำให้ฉันได้พบรัก ใช่มั้ยจ๊ะหนูจ๋า”
“ค่ะพี่ศักดิ์ขา”
สมศักดิ์หันไปหอมแก้มแฟน ทำตาหวานฉ่ำ อัษฎา บราลี กับอุรวสาพูดไม่ออก
ศศิพิมลถือตั๋วเครื่องบินที่เพิ่งซื้อออกมา เธอมองตั๋วเครื่องบินแล้วกดส่งไลน์ไปหาเวศม์
“พี่ออกตั๋วเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางวันอาทิตย์นี้”
ศศิพิมลเดินออกไป คนร้ายเดินตาม ศศิพิมลเปิดกระเป๋าเก็บตั๋วเครื่องบินกับโทรศัพท์ มีไอแพดอยู่ในกระเป๋าด้วย เงาคนร้ายสะท้อนที่กระจกรถที่จอดในลานว่ากำลังตามใกล้ศศิพิมลเต็มทีแล้ว ศศิพิมล
หันไปมอง คนร้ายฟาดเธอด้วยไม้ทันที
กลางคืน ที่ประตูร้านแสงฉาน เวศม์พลิกป้ายเปลี่ยนจาก open เป็น close
“ขอบคุณทุกคนนะครับที่มาช่วยผม วันนี้ขายอาหารได้ 200 จาน ครับ”
ทุกคนตบมือด้วยความดีใจกับแสงฉาน
“แสงฉานพิสูจน์ตัวเองสำเร็จแล้ว เราไม่จำเป็นต้องร่ำรวยหรือมีร้านอาหารใหญ่โต” บราลีบอก
“ถูกต้อง การได้ทำสิ่งที่เรารักต่างหาก คือความยิ่งใหญ่ในใจของเราเอง” อัษฎาเสริม
“ยินดีด้วยนะจ๊ะ” บราลียิ้มให้
อุรวสายิ้มปลื้ม
“วสาเลือกคนไม่ผิดใช่มั้ยคะคุณพ่อ”
อัษฎาพยักหน้า ทุกคนก็ยิ้มดีใจไปด้วย แล้วแสงฉานก็พูดขึ้นอีก
“มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะบอกครับ มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำเมื่อหลายปีก่อน คุณพ่อครับ ผมรักลูกสาวคุณพ่อ ผมขอแต่งงานกับอุรวสาได้มั้ยครับ”
ทุกคนอ้าปากค้างเพราะคาดไม่ถึง
“อะไรวะ มาขอตอนนี้แล้วมีทางเลือกให้พ่อมั้ย”
ทุกคนหัวเราะ
“เออ แต่งก็แต่ง”
แสงฉานกอดอุรวสาด้วยความดีใจ อันตรากับอินทุอรยิ้มดีใจ
“ครอบครัวของเราใหญ่ขึ้น ๆ อบอุ่นที่สุดเลย”
อันตราหันไปเห็นเวศม์ยืนเหงาอยู่คนเดียวในมุมมืดก็สงสาร
เวศม์เดินเหงา ๆ ออกมาจากร้าน อันตราเดินตามออกมา
“คุณ”
เวศม์หันมามองอันตรา เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม อันตราไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา แค่สงสารเวศม์ที่ดูเหงา ๆ
“ขอบใจนะที่มาช่วยพี่เขยฉัน”
“แสงฉานเป็นเพื่อน ผมเต็มใจ”
อันตราไม่มีอะไรจะพูดต่อ
“คุณเป็นคนโชคดีมากที่มีครอบครัวอบอุ่น”
เวศม์พูดด้วยน้ำเสียงและแววตาเหงา ๆ จนอันตราสงสาร
“คุณเป็นคนดี สักวันหนึ่งคุณก็จะเจอคนที่เป็นครอบครัวของคุณ”
“ผมเจอแล้ว กำลังพยายามทำให้เขาเชื่อว่าผมรักเขาจริง”
เวศม์มองตาอันตรา เธอเริ่มใจสั่น เสียงโทรศัพท์มือถือเวศม์ดังขึ้น เขากดรับสายแล้วตกใจ
“อยู่โรงพยาบาลไหนครับ”
อัษฎา บราลี อุรวสา แสงฉาน อินทุอรเดินออกมาจากร้านพอดี
“ใครเป็นอะไรเวศม์”
“พี่ศศิพิมลโดนทำร้ายครับ”
ทุกคนตกใจ
ศศิพิมลนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง ตามลำตัวและใบหน้ามีรอยฟกช้ำ แขนเข้าเฝือกนอนดูทีวีอย่างเจ็บแค้นใจ
“ของมีค่าอยู่ครบ มีแต่ไอแพดที่หายไป” ศศิพิมลบอก
“ไอแพดสำคัญยังไง ทำไมมันไม่เอาอย่างอื่นไปด้วย” เวศม์สงสัย
“เพราะในไอแพดมีหลักฐานการทุจริตของพงษ์ชัยน่ะสิคะ”
“โชคดีที่มีคนอยู่แถวนั้น ไม่งั้นคุณศศิพิมลอาจจะโดนฆ่าปิดปาก” อันตราพูดขึ้น
“แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง หลักฐานก็หายไปแล้ว” อัษฎาหนักใจ
“ศิยังมีสำรองไว้อีกชุดเก็บไว้ค่ะ”
“ถ้างั้นก็ถึงเวลาที่ไอ้พงษ์ชัยจะต้องชดใช้กรรมแล้ว” เวศม์แค้น
ตำรวจพาตัวพงษ์ชัยกับอนุวัติที่โดนใส่กุญแจมือออกมาจากห้อง นักข่าวรุมถ่ายภาพ เวศม์ยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่ทางเดิน พงษ์ชัยเดินมา เห็นเวศม์ แค้นมาก
“บอกนังศศิพิมลด้วยว่าฉันเอาคืนแน่”
“คุณตำรวจจดบันทึกด้วยนะครับ ว่าคุณพงษ์ชัยขู่จะทำร้ายพี่สาวผม”
พงษ์ชัยมองเวศม์อย่างอาฆาต ตำรวจพาตัวออกไป
ศศิพิมลนั่งดูข่าวพงษ์ชัยโดนตำรวจจับด้วยความรู้สึกเวทนา
“ครั้งหนึ่งพี่เคยเลือกคนที่ความรวย สุดท้ายถึงได้รู้ว่าความดีต่างหากที่มีคุณค่า”
ศศิพิมลหันมามองเวศม์ที่ยืนอยู่ข้างเตียง
“ขอบใจมากนะเวศม์ เธอเป็นคนดี พี่โชคดีที่เคยมีเธอเป็นคนรัก เป็นเพื่อน และเป็นน้องชาย พี่โง่เองที่ปล่อยผู้ชายที่ดีที่สุดหลุดมือไป”
“พี่ยังเป็นพี่สาวที่ผมรักไม่เปลี่ยนแปลงครับ”
“ขอบใจนะเวศม์ ขอบใจที่ยังรักกัน”
ศศิพิมลกับเวศม์จับมือกัน มองตากันอย่างเข้าใจในมิตรภาพที่มีต่อกัน
เวศม์เดินออกมาจากห้องพักคนไข้ เจอกับอันตราและอัษฎา
“คุณศศิกลับบ้านได้ตอนเที่ยงใช่มั้ย”
“ครับ แต่ไม่ยอมไปพักที่บ้านผม”
“ทำไมล่ะ อยู่บ้านเวศม์ ปลอดภัยกว่าไปอยู่โรงแรมคนเดียวตั้งเยอะ”
เวศม์ชำเลืองมองอันตรา
“พี่ศิกับผมนับถือกันแบบพี่น้องก็จริง แต่ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่บ้านเดียวกัน อาจจะมีคนเข้าใจผิด พี่ศิไม่อยากให้ผมมีปัญหาครับ”
อันตราคิดแล้วบอกอัษฎา
“คุณพ่อคะ ให้คุณศศิมาพักที่เรือนรับรองของเราจนกว่าจะเดินทางดีมั้ย”
“เอาสิ พ่อจะได้ตอบแทนคุณศศิที่ช่วยหนูอินด้วย”
เวศม์ยิ้มให้อันตราอย่างขอบคุณ
บ้านบุษบาบัณรกเป็นกองขยะ เธอนอนอยู่บนโซฟา ในสภาพโทรม เมามาก ศศิพิมลหายดีแล้ว แต่แขนยังเข้าเฝือก เดินเข้ามาในบ้าน มองบุษบาบัณอย่างเวทนา
“บุษ ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้”
บุษบาบัณลืมตาเห็นศศิพิมลก็โกรธแค้น
“แกกลับมาทำไม หักหลังฉันยังไม่พออีกเหรอ เพราะแก ทำให้ฉันไม่มีหน้าไปพบใครในสังคม”
“ฉันจะไปออสเตรเลียคืนนี้แล้ว คงไม่กลับมาอีก ก็เลยอยากมาลา เพื่อเห็นแก่ความเป็นเพื่อน ฉันจะลืมเรื่องในอดีตทั้งหมด เราอโหสิกรรมต่อกัน จะไม่มีใครโกรธแค้นใครอีก”
“แต่ฉันจะลืมว่าเคยมีแกเป็นเพื่อน ฉันจะจำไว้ว่าใครเคยทรยศหักหลัง ถ้ามีโอกาส ฉันจะเอาคืน”
“ถ้าเธอไม่รู้จักให้อภัย เธอจะไม่มีความสุข”
“มันเรื่องของฉัน แกจะไปตายที่ไหนก็ไป ไปให้พ้น”
บุษบาบัณขว้างของใส่ศศิพิมล ศศิพิมลกลับออกไป บุษบาบัณมองศศิพิมลด้วยความเกลียดชัง เสียงข้อความมือถือดังขึ้น บุษบาบัณเปิดดู มีภาพส่งเข้ามา เป็นรูปบุษบาบัณไม่สวมเสื้อผ้านอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าคลุมอยู่ บุษบาบัณสติแตก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอกดรับและกดสปีคเกอร์
“แพทริค คุณส่งรูปพวกนี้มาทำไม”
“แค่ตัวอย่าง ของจริงมีอีกเพียบ จัดการโอนเงินให้ผมสองหมื่นแล้วคุณจะไม่เสียใจ”
“นี่แกแบ็คเมล์ฉันเหรอ”
“เปล่า ขอเงินใช้ดี ๆ งวดนี้เอาแค่นี้ก่อน งวดหน้าค่อยว่ากันใหม่”
บุษบาบัณแทบกรี๊ด ขว้างโทรศัพท์ทิ้ง ด้วยความเจ็บใจ
อันตราเดินคุยกับศศิพิมล มาส่งที่หน้าบ้าน ศศิพิมลอยู่ในชุดเดินทาง มีรถลีมูซีนแอร์พอร์ตจอดรออยู่
“น่าจะรอให้แขนหายดีก่อน แล้วค่อยเดินทาง เวศม์คงเป็นห่วงคุณมาก”
“ฉันก็เป็นห่วงเวศม์มากค่ะ”
ศศิพิมลจับมืออันตราขึ้นมา มองอย่างฝากฝัง
“เวศม์เป็นคนดี เป็นเด็กกำพร้า แต่ก็ต่อสู้ชีวิต มานะจนสร้างตัวเองให้เท่าเทียมคนอื่น แต่ก็ไม่ทอดทิ้งคนที่ลำบากกว่า แม้แต่ฉันที่เคยทำร้ายจิตใจเขา เวศม์ยังให้อภัยและให้โอกาส”
อันตรายิ้มบาง ๆ
“ค่ะ ฉันรู้แล้ว”
“คุณอันตราคะ ฉันฝากเวศม์ไว้กับคุณด้วย”
อันตราเดินเข้ามาในวัดชุมชนริมคลอง มองหาเวศม์ เสียงศศิพิมลยังก้องอยู่
“ดิฉันอยากให้คุณลองเปิดใจทำความรู้จักกับผู้ชายแสนดีคนนี้ ให้เขาได้มีโอกาสพบกับความรักความอบอุ่นของครอบครัวที่เขาไม่เคยมี คุณจะให้โอกาสเขาได้มั้ยคะ”
อันตรามองเวศม์ซึ่งกำลังเตะบอลกับเด็กวัดอย่างประทับใจ
เวศม์เดินเข้ามาในสนามยิงปืนแบบงง ๆ อันตรายืนรออยู่ที่แท่นยิง
“คุณนัดผมมาที่นี่ทำไม”
อันตราไม่ตอบ แต่ส่งแว่นสำหรับป้องกันดวงตา พร้อมกับปืนและกระสุนให้เวศม์
“เรามาแข่งกันอีกครั้ง คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย กติกาเดิม คนชนะจะขออะไรก็ได้”
อันตราพูดจบก็หันไปยิง เข้าเป้าทุกนัดอย่างสวยงาม เวศม์มองแล้วไม่เห็นทางสู้ ลองยิงบ้าง เข้าเป้าบ้าง เฉียดบ้าง อันตรายกปืนขึ้นยิงที่เป้ายิงของเวศม์ นัดสุดท้ายเข้าที่กลางเป้าพอดี
“ฉันชนะ”
“คุณอยากได้อะไร”
“ฉันไม่ขอให้คุณเลิกยุ่งกับฉัน เพราะครั้งสุดท้ายที่คุณแพ้ คุณสัญญาแล้ว”
เวศม์พยักหน้า อันตราดึงเป้ายิงของเวศม์เข้ามา ดึงกระดาษเป้ายิงมายัดใส่มือเวศม์
“ฉันขอแค่นี้ ทำได้มั้ย”
อันตราเดินออกไป เวศม์งง ก้มมองเป้ายิง ที่มีรอยกระสุนทะลุกระดาษที่หัวใจ ข้างๆ หัวใจเขียนว่า “หัวใจอันตรา”
เวศม์วิ่งตามอันตรามา ถือเป้ายิงมาด้วย
“คุณ แปลว่าอะไร”
“โหย ต้องอธิบายด้วยเหรอ”
“แล้วผมจะรู้มั้ยล่ะ คนยิ่งฉลาด ๆ อยู่”
“ก็เนี่ย หัวใจทะลุเป็นรูโบ๋ขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”
เวศม์ยิ้ม “คุณเปิดใจให้ผมแล้ว”
“คิดว่าใช่ป่ะล่ะ”
อันตรากลั้นยิ้ม แล้วเดินหนี
“ไชโย”
เวศม์วิ่งไปกอดอันตราจากข้างหลัง อันตราหัวเราะ
“ปล่อยเลย เดี๋ยวฟ้องพ่อ”
“ฟ้องเลย ผมไม่กลัวอะไรแล้ว ลูกสาวพ่อรักผม”
ทั้งสองคนกอดกันและหัวเราะอย่างมีความสุข
สามใบไม่เถา ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
ในสวนหลังบ้านอัษฎา จัดเป็นงานแต่งงานเล็ก ๆ ตามประเพณีไทยของอุรวสากับแสงฉาน มีเพียงญาติสนิทไม่กี่คน
อินทุอรกับอันตราใส่ชุดไทยเหมือนอุรวสาและแสงฉาน เป็นเพื่อนเจ้าสาว เวศม์แต่งชุดไทยเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว อัษฎากับบราลีรดน้ำสังข์ แขกคนสุดท้ายคือภิสิต เดินไปรับสังข์รดน้ำจากอินทุอร เขามองตาไม่กระพริบ อินทุอรเห็นสายตาของภิสิตก็ก้มหน้าหลบตา
ภิสิตยืนคุยกับอัษฎาและบราลี
“ทำไมรีบกลับล่ะคะ น่าจะอยู่กินเลี้ยงกันก่อน มีแต่คนสนิท ๆ ทั้งนั้น” บราลีชวน
“ผม ต้องไปทำงานต่อครับ”
“ขอบใจมากนะที่มา” อัษฎาบอก
ภิสิตเห็นอินทุอรเดินผ่านมาทางด้านหลังอัษฎาก็เผลอมอง เพราะอินทุอรสวยมากเมื่ออยู่ในชุดไทย อัษฎามองตามสายตาของภิสิตก็กระแอมเบา ๆ บราลีค้อนอัษฎา
“จนป่านนี้แล้วยังหวงลูกสาวไม่เลิกอีกเหรอคะ”
“ผมเข้าใจครับ ชื่อเสียงกับเกียรติยศของหนูอินสำคัญที่สุด ผมลานะครับ”
ภิสิตเดินไป บราลีสงสาร อัษฎาหันไปเห็นอินทุอรยืนหลบ มองตามภิสิตไปด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“คุณคะ ฉันสงสารลูก”
อัษฎาถอนหายใจ ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใจอ่อน
ห้องนอนของอุรวสาและแสงฉานที่คอนโดฯตกแต่งเป็นห้องหออย่างสวยงามและโรแมนติก แสงฉานกับอุรวสานั่งที่พื้น ฟังอัษฎากับบราลีให้พร
“ขอให้ลูกทั้งสองท่องคำสามคำนี้ให้ขึ้นใจ เข้าใจ ให้อภัย และอดทน”
“อยู่ด้วยกัน ต้องเข้าใจกัน หนักนิดเบาหน่อย ต้องให้อภัย ทุกอย่างจะผ่านไปได้ ถ้าอดทน”
แสงฉานกับอุรวสาก้มลงกราบอัษฎากับบราลี
“มีความสุขมาก ๆ นะลูก”
อุรวสากอดบราลี แสงฉานมองอัษฎาอย่างเขิน ๆ อัษฏาส่ายหน้า
“เป็นลูกเขยฉันแล้วจะเขินอะไรอีกเล่า”
อัษฎาดึงแสงฉานมากอด อุรวสามองชายที่รักสองคนแล้วยิ้มปลาบปลื้ม
ตอนเช้า สามสาวเดินกอดกันออกมาจากบ้าน
“สถาบันบัลเล่ต์ที่อเมริกาเปิดเรียนแล้ว หนูอินกลัวตามเพื่อนไม่ทันจังค่ะ”
“หนูอินของพี่เก่งอยู่แล้ว ขยันซ้อมหน่อยก็ได้เองแหละ” อุรวสาปลอบ
“โอ๊ย ใจหาย หนูอินไม่เคยจากไปไหนเลย พี่ต้องคิดถึงน้องมากแน่ ๆ”
อันตรารวบอินทุอรมากอด
“อินสัญญาว่าจะโทรมาทุกวัน จะได้เหมือนยังอยู่ใกล้ ๆ กัน ดีมั้ยคะ”
“โอเค”
อัษฎากับบราลียืนรออยู่กับแสงฉาน อินทุอรไปกอดพ่อกับแม่
“ผมเอากระเป๋าเดินทางของหนูอินขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ไม่ลืมอะไรแล้วนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่แสง”
“พวกเราขอไปกันเองสามคนพี่น้องนะคะ”
อุรวสาพูดยิ้มๆ
อันตราขับรถมาถึงริมถนนสวย ๆ ที่มีต้นไม้ขาย
“จอดแป๊บหนึ่งนะ”
อินทุอรงง
“จอดทำไมคะ”
“อยากได้ดอกไม้น่ะ”
อุรวสาพาอินทุอรลงจากรถ เดินไปที่ร้านต้นไม้ ภิสิตโผล่หน้าออกมาจากร้านต้นไม้ ส่งช่อดอกไม้ให้อินทุอร อินทุอรอึ้ง ที่แท้เป็นแผนของพี่ ๆ ให้อินทุอรได้ร่ำลากับภิสิต
“ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ตั้งใจเรียนนะ อาจะคอยตามข่าวหนูอินเสมอ”
อินทุอรพยักหน้า น้ำตาคลอ อุรวสาแตะแขนน้องสาวแล้วพยักหน้าให้ขึ้นรถ อินทุอรกับภิสิตมองกันอย่างอาลัยอาวรณ์
สามปีผ่านไป ณ โรงละครใหญ่ บนเวทีเป็นการแสดงบัลเล่ต์สวอนเลค มีผู้แสดงเป็นฝรั่ง ทุกคนในครอบครัวของอัษฎากำลังดูการแสดงบัลเล่ต์อย่างตั้งใจ แถวที่นั่งหลังสุด ภิสิตนั่งดูอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ยิ้มๆ มองใบสูจิบัตร มีชื่อของอินทุอรอยู่ในรายชื่อผู้แสดง
เมื่อการแสดงจบลง อัษฎากับบราลีเดินนำลูก ๆ ออกมาจากโรงละคร
“หนูอินเรียนเพิ่มเติมมาสามปี เต้นเก่งขึ้นมากเลยนะคะ” อันตราชมน้อง
“เห็นว่าสอบได้เกียรตินิยมด้วยนะจ๊ะ” อุรวสาเสริม
“เรียนจบแล้วไม่รู้ว่าจะไปทัวร์กับคณะบัลเล่ต์รึเปล่าก็ไม่รู้” บราลีเปรยๆ
“พ่ออยากให้หนูอินกลับบ้านมากกว่า คิดถึงจะแย่”
“หนูอินออกมาแล้วครับ” เวศม์บอก
อินทุอรยังอยู่ในชุดบัลเล่ต์ วิ่งออกมาหาพ่อแม่พี่น้อง ทุกคนดีใจที่ได้เจอ แสงฉานยื่นดอกไม้ให้อินทุอร
“ยินดีกับความสำเร็จด้วยนะครับหนูอิน”
“ขอบคุณค่ะ หลานของอินล่ะคะ”
“อยู่บ้านจ้ะ ยังเล็ก มาไม่ได้หรอก” อุรวสาบอก
อินทุอรกอดพี่ ๆ จนครบทั้งสองคนแล้วหันมากอดพ่อกับแม่
“ลูกพ่อเต้นสวยที่สุดเลย”
“คุณพ่อก็ตบมือเสียงดังที่สุดเลยเหมือนกันค่ะ”
ภิสิตเดินออกมาจากโรงละคร ยืนแอบดูอินทุอรอยู่ไกล ๆ เงียบ ๆ อัษฎาชำเลืองมองที่กระจกเงาด้านหนึ่ง เห็นเงาสะท้อนว่าภิสิตแอบมองอินทุอรอยู่
อินทุอรอุ้มหลานสาวตัวเล็กแต่งชุดฟู ๆ เหมือนตุ๊กตาอย่างเห่อ ๆ
“อินว่าจะไม่กลับไปที่โน่นแล้วค่ะ”
อุรวสา อันตรา อัษฎาและบราลีดีใจ
“อินอยากอยู่เมืองไทย สอนบัลเล่ต์ให้กับเด็กที่มีความฝันเหมือนอิน”
อินทุอรอุ้มหลานมาส่งให้อุรวสา
“แล้วความฝันของอินที่อยากเป็นดาราบัลเล่ต์ล่ะจ๊ะ”
“อินคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวค่ะ อินไม่อยากไปอยู่ไกล ๆ อีกแล้ว”
อินทุอรหันไปกอดอัษฎาอย่างอ้อน ๆ
“อินคิดถึงคุณพ่อที่สุดเลย ขออยู่กับคุณพ่อไปตลอดชีวิตเลยได้มั้ยคะ”
“ใจคอจะไม่แต่งงานเลยเหรอหนูอิน” อัษฎาถาม
“อินไม่รักใครอีกแล้วค่ะ”
อัษฎาหันมาสบตากับบราลี รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง
อัษฎามาหาภิสิตที่บ้าน ภิสิตมองด้วยความแปลกใจ
“พี่อัษมาหาผมถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“หนูอินกลับมาแล้ว”
“ผมทราบครับ”
“ฉันรู้ว่าแกคอยตามข่าวหนูอินอยู่ตลอด”
“แค่คอยดูห่าง ๆ เพราะผมเป็นห่วงหนูอินครับ”
“ขอบใจมากที่แกรักษาสัญญา ไม่เคยติดต่อหนูอินเลยตลอดสามปีที่ผ่านมา”
“ผมรู้ครับ ว่าควรทำตัวยังไง ความสุขของผมจะต้องไม่ทำร้ายชีวิตของใคร”
อัษฎาพยักหน้า
“ดี ฉันขอถามคำถามเดิม แกยังเคารพนับถือฉันมั้ย”
“ผมเคารพพี่มากที่สุดครับ”
“นับแต่นี้ต่อไป ฉันไม่อนุญาตให้แกคอยตามดูลูกฉันอีกแล้ว”
ภิสิตอ้าปากค้าง แม้แต่ตามดูห่าง ๆ ก็ไม่ได้ หัวใจของเขาปวดร้าวมาก
“ครับ ถ้ามันเป็นความต้องการของพี่”
อัษฎายิ้มพอใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น อัษฎาพาอินทุอรมาที่อาคารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
“พ่อเห็นว่าหนูอินอยากเปิดโรงเรียนบัลเล่ต์ อาคารนี้เป็นของเพื่อนพ่อเอง เราจะเปิดโรงเรียนที่นี่ ชั้นล่างเป็นฟิตเนสของอันตรา ชั้นสองเป็นโรงเรียนสอนทำอาหารของแสงฉาน ส่วนชั้นสามก็เป็นโรงเรียนบัลเล่ต์ของหนูอิน”
อินทุอรมองตัวอาคารด้วยสายตาเป็นประกาย
“เข้าไปดูสิว่าถูกใจมั้ย”
อินทุอรเดินขึ้นมาถึงชั้นสามที่เป็นลานโล่ง ๆ เธอประหลาดใจที่มีการตกแต่งสถานที่ด้วยผ้าขาวและดอกไม้สีขาว อินทุอรเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนเจอผู้ชายคนหนึ่งกำลังวางแผ่นเสียงลงบนเครื่องเล่น เธอมองด้านหลังผู้ชายคนนั้นอย่างคุ้นตาคุ้นใจ
“สถานที่เปิดโรงเรียนถูกใจมั้ยครับ”
ภิสิตหันมาหาอินทุอร
“เพื่อนคุณพ่อที่เป็นเจ้าของที่นี่ คืออาสิตเหรอคะ”
“อาขอแสดงความยินดีที่หนูอินเรียนจบ”
“อาสิตรู้”
“อาคอยตามข่าวหนูอินตลอดเวลาที่เรียนอยู่ที่โน่น แต่ต่อไปคุณพ่อหนูอินไม่ยอมให้อาคอยดูแลหนูอินห่าง ๆ อย่างเดิมอีกแล้ว”
“อินไม่เข้าใจ”
ภิสิตเล่นแผ่นเสียง เป็นเพลงประจำของเขากับอินทุอร แล้วเดินมาหาอินทุอร โค้งให้
“เต้นรำกับอามั้ยคะ”
“อินเคยบอกแล้วว่าจะไม่เต้นรำเพลงนี้อีก”
“อาจำได้ว่าหนูอินจะเต้นในงานแต่งงานกับเจ้าบ่าวของหนูอินเท่านั้น”
อินทุอรพยักหน้าเศร้า ๆ ภิสิตคุกเข่าลงตรงหน้าอินทุอร
“งั้นหนูอินให้เกียรติเป็นเจ้าสาวของอาได้มั้ยคะ”
อินทุอรประหลาดใจมาก น้ำตาไหลร่วงพรู
“ให้อาได้ดูแลหนูอินอย่างที่คุณพ่อเคยทำ อาสัญญาว่าจะดูแลหนูอินให้ดีที่สุด สมกับที่คุณพ่อไว้ใจ”
ภิสิตยื่นมือมาตรงหน้าอินทุอร อินทุอรร้องไห้ พยักหน้า แล้ววางมือลงบนมือของภิสิต เขานำอินทุอรเต้นรำ เสียงเพลงแห่งความรักของทั้งสองดังไปทั่วบริเวณ
เมื่อถึงวันแต่งงานของภิสิตกับอินทุอร ทั้งสองเต้นรำกลางฟลอร์ คนในครอบครัวยืนดูอยู่ข้างฟลอร์อย่างปลาบปลื้มใจ แสงฉานโค้งให้อุรวสาออกไปเต้นรำ อุรวสาส่งลูกสาวให้บราลีจูง
“ฝากลูกด้วยนะคะคุณแม่”
เวศม์โค้งให้อันตรา แล้วพาออกไปเต้นรำ
“ฉันเหยียบเท้าแล้วอย่าบ่นนะ”
“ไม่บ่นหรอกแต่จะจูบ”
“เดี๋ยวโดน”
เวศม์หัวเราะ สมศักดิ์โค้งให้แฟนสาว
“ไปออกลวดลายกันหน่อยนะหนูจ๋า”
สมศักดิ์พาแฟนสาวออกไปเต้นรำ อัษฎาตะโกนแซว
“ระวังกระดูกหักนะ รุ่นนี้ไม่มีอะไหล่”
บราลีหัวเราะ อัษฎาหันมาชวน
“ออกไปเต้นบ้างมั้ยคุณ”
“ขออยู่กับหลานดีกว่าค่ะ”
-
ที่กลุ่มอัปสร แต๋ว
“น่ากิ๊นน่ากิน” แต๋วบอก
“เค้กเหรอ น่ากินเนอะ” อัปสรเห็นด้วย
“ไม่ใช่ หนุ่มที่ยืนแขนล่ำอยู่ตรงนั้นอ่ะ น่ากิ๊นน่ากิน”
แต๋วชี้ให้อัปสรดูชายหนุ่มหล่อล่ำที่อยู่ข้างฟลอร์ จู่ ๆ ต้อยก็เดินเข้ามาทักทายหนุ่มหล่อล่ำหน้าตาเฉย แต๋วทนไม่ได้
“ว้าย โดนปาดหน้าเค้กฉัน ไม่ยอม”
แต๋วรีบเดินไปหาต้อย อัปสรมองแล้วหัวเราะ หันกลับไปมองคู่บ่าวสาวเต้นรำอย่างชื่นชม อัษฎากับบราลียืนมองลูก ๆ เต้นรำในงาน มือเล็ก ๆ ของลูกสาวอุรวสาดึงขากางเกงอัษฎา อัษฎาก้มหน้าลงมาถาม
“น้องเอยอยากได้อะไรครับ”
น้องเอยชี้ไปทางฟลอร์เต้นรำ
“หลานอยากเต้นรำ คุณตาจัดให้หน่อยสิคะ” บราลีบอก
“ได้เล้ย”
อัษฎาอุ้มหลานแล้วพาออกไปเต้นรำกลางฟลอร์
คู่เวศม์กับอันตรากำลังเต้นรำ เวศม์มองหน้าอันตราตาหวานฉ่ำ อันตราเขินก็แกล้งดุ
“ตั้งใจเต้นหน่อยสิคุณ เดี๋ยวก็เหยียบเท้าฉันหรอก”
“เชื่อใจผมเถอะน่า ผมไม่พาคุณไปเจ็บตัวหรอก กว่าผมจะทำให้คุณเชื่อใจได้ มันเหนื่อยแค่ไหน คุณรู้มั้ย”
“แล้วถ้าฉันเหยียบเท้าคุณล่ะ”
“อยากรู้ก็ลองดู”
อันตรายิ้มซนๆ แล้วเหยียบลงที่เท้าเวศม์อย่างจงใจ เวศม์จูบหน้าผากอันตรา
“เอาซี่ เหยียบปุ๊บ จูบปั๊บ”
อันตราโกรธ เพราะอายคนข้าง ๆ ที่หันมามอง ก็เลยเหยียบซ้ำแรงกว่าเดิม เวศม์หอมแก้มซ้ายขวาเลย
“เลิก ๆ ฉันยอมแล้ว”
“เลิกทำไม ลองอีกทีสิ ไม่อยากรู้เหรอว่าผมจะทำไงอีก”
อัษฎาเต้นกับหลานผ่านมา กระแอม
“เกรงใจกันบ้าง ถึงฉันจะยกลูกสาวให้แล้ว แต่เห็นแล้วมันจี๊ดใจว่ะ”
“ครับคุณพ่อ”
เวศม์กับอันตราหัวเราะ
คู่ของแสงฉานกับอุรวสากำลังเต้นรำ มองตากันหวานซึ้ง
“ผมดีใจที่เรายังมีวันนี้ด้วยกัน”
“ฉันเรียนรู้แล้วว่าชีวิตคู่มีแค่ความรักไม่พอ แต่ต้องเข้าใจซึ่งกันและกันด้วย”
“ผมกับคุณมาจากคนละที่ ย่อมมีโอกาสที่จะไม่เข้าใจกัน สำคัญที่เราต้องวางทิฐิ แล้วพูดคุยกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่สมอง”
“ถ้าคนหนึ่งเป็นไฟ อีกคนต้องเป็นน้ำ ความรักของเราจะคงทนถาวร”
แสงฉานหอมหน้าผากอุรวสา อัษฎาเต้นกับหลานสาวผ่านมา
“นั่น ๆ อีกคนแล้ว หอมกันพ่อไม่ว่า แต่ช่วยเอาลูกไปหน่อย พ่อจะไปขอแม่เขาเต้นรำ ปล่อยให้อยู่คนเดียวเดี๋ยวไอ้หนุ่มไหนมาจีบ คนนั้นน่ะ พ่อหวงที่สุด”
แสงฉานกับอุรวสาหัวเราะ ก่อนจะรับลูกสาวมาอุ้ม
อัษฎาเดินไปโค้งให้บราลีที่นั่งรออยู่ แล้วพากันออกมาเต้นรำ
“ได้เห็นรอยยิ้มของลูกทุกคนแล้วทำให้ฉันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ”
“ความสุขของลูกก็คือรางวัลของพ่อแม่ ลูกเป็นคนดีก็คือความภาคภูมิใจ”
“ฉันดีใจที่ลูกของเราได้เจอคนดี ๆ”
บราลีหันไปมองคู่ภิสิตกับอินทุอร
ภิสิตกับอินทุอรเต้นรำกันอยู่
“ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักที่เต้นรำกับอาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว จะมาเป็นเจ้าสาวแสนสวย เต้นรำกับอาในวันนี้”
“อินฝันตั้งแต่วันนั้นว่าจะได้สวมชุดเจ้าสาว เต้นรำเพลงนี้กับเจ้าบ่าวที่อินรัก”
“เราจะเต้นรำด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่า เอ๊ะ หนูอินอาจจะต้องเต้นรำกับคนแก่ถือไม้เท้า”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ อินจะดูแลอาสิตให้ดีที่สุด”
“เราจะรักกัน ดูแลกัน จนกว่าจะตายจากกัน”
ภิสิตมองอินทุอรอย่างรักสุดหัวใจ แล้วบรรจงหอมที่หน้าผากอินทุอรอย่างแผ่วเบา อินทุอรมองภิสิตด้วยความรัก ซบลงบนไหล่ของเขาอย่างมีความสุข
ภายในเต็นท์ที่บ้านอัษฎา มีเสียงหัวเราะคิกคักของสามสาวดังออกมา อัษฎาเดินเข้ามากับบราลี ได้ยินก็ส่ายหน้า
“หลบมาอยู่นี่เอง หาแทบแย่”
เต็นท์ถูกเปิดออก อินทุอรในชุดเจ้าสาวนั่งเล่นอยู่กับพี่ ๆ ทั้งสอง
“ถึงเวลาส่งตัวแล้วมานั่งทำอะไรกันอยู่”
“เรามาทำการตกลงกันค่ะพ่อ ปีหน้าถ้าเจ้าอันแต่งงานกับเวศม์แล้ว เราสามคนก็จะมีลูกสาวแล้วเราก็จะสอนลูกของเรา”
“เหมือนที่คุณพ่อสอนให้พวกเรารักกันเหมือนสามใบไม่เถา ที่ถึงจะไม่ใช่พ่อแม่เดียวกัน” อันตราบอก
“แต่เราก็จะรักกันจนวันตายค่ะ” อินทุอรเสริม
สามสาวกอดกัน อัษฎากับบราลียืนดูด้วยความภูมิใจ ก่อนจะเข้าไปกอดลูกสาวทั้งสามคนด้วยความรัก
“ความรักความเข้าใจในครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิต เราจะสามารถก้าวผ่านปัญหาและอุปสรรคทุกอย่างได้ ก็เพราะความรักของคนในครอบครัว” อัษฎาบอก
“พวกหนูต้องสร้างครอบครัวของเราให้อบอุ่น เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันให้ลูก ๆ หลาน ๆ ทุกคนปลอดภัยและมีความสุขนะลูกนะ” บราลีสอน
“เรารักคุณพ่อคุณแม่ค่ะ” อุรวสาบอก
สามสาวกอดพ่อกับแม่ อัษฎากับบราลีมองหน้ากันแล้วกอดลูก ๆ อย่างมีความสุข
บ้าน คือครอบครัว บ้านที่แข็งแรง คือบ้านที่คนในครอบครัวรักและเข้าใจซึ่งกันและกัน
จบบริบูรณ์