สามใบไม่เถา ตอนที่ 11
อัษฏานอนดูทีวีอยู่บนเตียง ส่วนสมศักดิ์ก้มหน้าดูแท็บเล็ตอยู่ ก่อนจะทำหน้าแปลกใจ
“เฮ้ยๆๆ นี่มันลูกเขยแกกับอดีตน้องสะใภ้แกนี่หว่า”
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
สมศักดิ์รีบลุก เอาแท็บเล็ตมาส่งให้อัษฏา
“ก็มีคลิปในยูทูป บอกว่าเป็นเบื้องหลังการถ่ายทำนิตยสาร ที่น้ำตาลหกท่วมร้านน่ะสิ”
อัษฏามองแท็บเล็ต ที่มีภาพวิดิโอบุษบาบัณใกล้ชิดเช็ดเหงื่อจัดท่าให้แสงฉาน ดูหวานมาก เขาข้องใจมาก
อุรวสากับอินทุอรมองที่หน้าจอแท็บเล็ตที่เป็นแบบร่างร้านอาหาร แสงฉานยิ้มรอฟังอุรวสาด้วยความตื่นเต้น
“ร้านใหม่ของผมจะใช้แบบที่วสาเขียนไว้ให้ คิดว่าไงครับ”
อินทุอรยิ้ม ไม่กล้าตอบ เพราะรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมตึงเครียดระหว่างอุรวสากับแสงฉาน อุรวสานิ่งๆ
“จริงๆ ไม่ต้องมาถามให้เสียเวลา น่าจะไปถามอาบุษมากกว่านะคะ”
“ร้านยูแอนด์เอสไปได้ดีเพราะคุณกับพ่อช่วยวางรากฐานให้ ผมไม่เคยลืม แต่ร้านใหม่นี่ ผมตั้งใจทำเพื่อให้รู้ว่า คุณมีความหมายกับชีวิตผมแค่ไหน”
แสงฉานเปิดภาพในแท็บเล็ตให้อุรวสาดู
“ผ้าม่านสีที่คุณชอบ จานชามที่คุณเลือก โต๊ะ เก้าอี้ แม้กระทั่งของประดับร้านก็มาจากความหลังของเราที่อเมริกา ร้านนี้จะเป็นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราทั้งสองคน”
“มันสายไปแล้วแสง เมื่อก่อนฉันบอกให้คุณเปิดสาขา คุณบอกว่าไม่ ให้คุณทำพีอาร์ร้าน คุณเฉย คำพูดของฉันไม่เคยมีความหมาย”
“คุณคือคนที่มีความหมายกับผมที่สุด แต่คุณเอาแต่สั่ง เคยฟังผมบ้างมั้ย”
“ไม่รู้จริงๆ รึ ว่าที่ฉันบอกให้คุณทำโน่นทำนี่เพราะอะไร”
“แล้วคุณรู้รึเปล่า ตอนนี้ผมกำลังทำเพื่อใคร”
“ถ้าคุณคิดจะทำเพื่อฉันล่ะก็ มันสายเกินไปแล้วค่ะ”
แสงฉานอึ้ง เหมือนสิ่งที่ทำ สูญเปล่า
“มันไม่สายสำหรับคนรักกัน คุณกับผมต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน คุณรวย ผมจน แต่ความรักทำให้เราแต่งงานกัน ถึงตอนนี้ก็แค่เราไม่เข้าใจกัน ความรักต้องทำให้เรากลับมาอยู่ด้วยกันได้ ขอแค่คุณให้เวลากับมัน”
“ถ้าคุณรักฉันจริง ปล่อยฉันให้อยู่กับพ่อและงานที่ฉันรักเถอะค่ะ”
“นี่ผมกลายเป็นส่วนเกินในชีวิตคุณไปแล้วเหรอ”
แสงฉานมองอุรวสาอย่างตัดพ้อ อินทุอรอึดอัดมากที่อยู่กลางสนามรบระหว่างอุรวสากับแสงฉาน โทรศัพท์อินทุอรดังขึ้น
“อินขอไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ”
อินทุอรรีบเดินออกไปหน้าห้อง คุยโทรศัพท์
“คุณวสาอยู่กับอินที่บ้านค่ะคุณพ่อ แต่ว่าตอนนี้มีแขกค่ะ”
“แขกกลับแล้วบอกคุณวสาโทรหาพ่อหน่อย”
“ค่ะๆ คุณพ่อ”
อุรวสาเปิดประตูห้องรับแขกไล่แสงฉาน
“แสงกลับไปได้แล้ว”
แสงฉานตามออกมา
“เรายังคุยกันเรื่องร้านไม่จบนะวสา”
อัษฎาเงี่ยหูฟังเสียงอุรวสากับแสงฉานที่ดังลอดมาทางโทรศัพท์อินทุอร
“แต่เรากำลังจะหย่ากัน จบรึยัง”
อัษฎาตกใจ
เวลาต่อมา อัษฎานั่งมองหน้าแสงฉานกับอุรวสาในห้องพักคนไข้
“ทำไมถึงคิดจะหย่า”
อุรวสาหันไปค้อนแสงฉาน โกรธที่บอกอัษฎาว่าแยกกันอยู่
“วสามีเหตุผลค่ะ”
อัษฎาพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“ตอนแรกรักก็บอกว่าความรักไม่ต้องการเหตุผล แต่พอจะเลิกรัก ก็หาเหตุผลมาเป็นข้ออ้าง พ่อว่าคุณวสาต้องกลับไปอยู่ที่คอนโดกับแสงฉาน แล้วปรับความเข้าใจกันซะ”
“วสาไม่กลับ เรื่องความรัก ขอให้วสาตัดสินใจเองเถอะค่ะ”
อัษฎาชักโมโหขึ้นมาบ้าง
“คุณวสาเป็นลูกพ่อ แสงฉานก็คือคนในครอบครัว พ่อไม่ยุ่งไม่ได้ กลับไปคุยกันดีๆ อย่าใช้อารมณ์”
“ไม่ค่ะ”
อุรวสาชำเลืองมองแสงฉาน แล้วเดินออกไป แสงฉานมองตามด้วยความปวดร้าว
“คุณวสา กลับมาก่อน”
อัษฎาร้องเรียก แล้วเริ่มหอบเหนื่อย พยายามลุกขึ้น แต่บราลีกดไหล่ไว้
“ฉันไปคุยกับลูกเองค่ะ”
บราลีรีบตามอุรวสาไป
อุรวสาพูดกับบราลีด้วยน้ำเสียงอ่อนลง สำนึกผิด
“วสารู้ว่าทำให้พ่อเครียด ไม่สบายใจ แต่วสาอยากให้พ่อรู้ว่าวสาคิดดีแล้ว”
“คุณวสาเป็นคนมีเหตุผลเสมอ แต่กับความรัก บางครั้งเราก็ควรใช้สมองให้น้อยแล้วฟังเสียงหัวใจให้มากนะลูก”
อุรวสานิ่งฟังบราลี เศร้าๆ
“วสาเหนื่อย ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้วค่ะ ใจวสาอยู่กับพ่อคนเดียว”
“ชีวิตคู่เป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าวสาเหนื่อยก็ลองปล่อยให้แสงฉานทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวดูบ้าง บางทีอาจจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นก็ได้”
อุรวสาลังเลใจ
อัษฎากับแสงฉานคุยกัน ต่างเครียดจัด แสงฉานมองคลิปของตัวเองกับบุษบาบัณ
“บุษบาบัณเข้ามาวุ่นวายอะไรกับที่ร้าน นี่รึเปล่าคือสาเหตุที่วสาจะหย่า”
“ผมมีแผนจะขยายร้าน คุณบุษรู้จักคนเยอะอาสาพาผมออกสื่อเพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นครับ ส่วนภาพพวกนี้ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับ ผมยืนยันได้”
อัษฏามองตาแสงฉานเขม็ง แสงฉานมองตอบไม่หลบ แสดงความจริงใจ อัษฏาเชื่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“ร้านเก่าก็เพิ่งจะลงตัว ทำไมถึงคิดเปิดร้านใหม่”
“ผมอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีได้ ครอบครัวของเราจะต้องมีอนาคตที่มั่นคงและมีความสุขครับ”
อัษฎาพยักหน้าอย่างพอใจ
“ทำดีแล้วก็ทำต่อไปเถอะ แล้วจะหาทางช่วย”
“ขอบคุณครับคุณพ่อ”
แสงฉานยกมือไหว้ แล้วลุกออกไป อัษฎารู้สึกเหนื่อยมากขึ้น ปวดหัว เวียนหัว เสียงเตือนว่ามีข้อความส่งเข้ามาในโทรศัพท์มือถือของอัษฎาดังขึ้น เขาหันไปมอง แล้วรู้สึกตาพร่า ๆ วิงเวียนหัวมากขึ้นภาพโทรศัพท์มือถือกลายเป็นภาพซ้อน อัษฎาหลับตาแล้วลืมตา พยายามฝืนหยิบโทรศัพท์มาเปิดอ่านข้อความ เขาตาลุกวาวด้วยความโมโห ลุกขึ้นอย่างเร็ว โทรศัพท์มือถือหล่นลงไปที่ซอกเตียงโดยไม่รู้ตัว
อุรวสากับบราลีเดินมาเข้ามาในห้องพัก แล้วพบว่าอัษฎาหายไป
“พยาบาลบอกว่าไม่ได้พาคุณพ่อไปตรวจ”
“วสาโทรหาคุณพ่อนะคะ”
อุรวสาหยิบโทรศัพท์มาโทรหาอัษฎา แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากซอกเตียง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดดู แล้วเจอหน้าจอข้อความที่เปิดค้างไว้
“เลขาคุณพ่อส่งข้อความบอกว่า ผู้ถือหุ้นนัดประชุมด่วนเพื่อขับไล่คุณพ่อค่ะ”
บราลีตกใจมาก
ภายในห้องประชุมบริษัท ผู้ถือหุ้นกำลังนั่งประชุมกันอยู่
“ผมขอเสียงมติ เรื่องที่จะเอาคุณอัษฏาออก”
“แล้วคุณคิดจะเอาใครขึ้นมาบริหารงานแทน”
“ผมเสนอให้เราจ้างผู้บริหารมืออาชีพเข้ามารับหน้าที่นี้ครับ ถ้าทุกคนเห็นด้วย ผมก็มีคนที่มองเอาไว้บ้างแล้ว พร้อมที่จะให้เข้ามาแนะนำตัว”
“แต่ที่ผ่านมาคุณอัษฏาก็บริหารงานได้ดีมาตลอดนะครับ”
“นั่นมันอดีตนะคุณ ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว หุ้นตกระนาวขนาดนี้คุณยังจะใจเย็นอยู่อีกเหรอ หรือจะรอให้เจ๊งก่อนถึงค่อยคิดจะทำอะไร”
ทุกคนกังวล หันมองหน้ากันเหมือนจะปรึกษา คนที่อยากให้อัษฏาออกมองหน้ากันยิ้มพอใจ เพราะรู้ว่าคนอื่นก็คล้อยตาม อัษฏาเปิดประตูเข้ามา เดินมาตบโต๊ะเสียงดัง
“พวกคุณไล่ผมออกไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อคุณบริหารงานผิดพลาด”
“แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น หุ้นเราก็เริ่มกระเตื้องขึ้นมีแรงซื้อจากต่างชาติเข้ามา”
“แล้วคุณคิดว่ามันจะดีขึ้นไปได้สักกี่น้ำ ในเมื่อตอนนี้มีแต่ข่าวเชิงลบเรื่องการเงินของเรา แล้วคุณคิดว่าพวกนักเล่นหุ้นเขาจะไม่สนใจกับการป่วยต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาลของซีอีโอเลยงั้นสิ”
ทั้งอัษฏาและสมศักดิ์อึ้งไป
“ที่สถานการณ์บริษัทมันย่ำแย่ก็เพราะคุณ คุณก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก ก่อนที่มันจะล้มละลาย”
อัษฏาหอบหายใจถี่หน้าแดงด้วยความโกรธ
“บริษัทนี้ผมสร้างมากับมือ มันคือชีวิตและจิตใจ ผมไม่ยอมลาออกแน่”
อัษฏามีอาการเจ็บหลังอย่างรุนแรง จนทรุด สมศักดิ์กับผู้ถือหุ้นตกใจ
“อัษ หายใจยาว ๆ ตั้งสติดี ๆ ใจเย็น”
สมศักดิ์กำลังจะเข้าประคองอัษฏา แต่เขาหมดสติล้มลงก่อน บราลี อุรวสา อันตรา อินทุอร เข้ามาเห็นพอดี ทุกคนตกใจอุทาน
“คุณพ่อ”
บราลีและลูก ๆ เข้าประคองอัษฏา
รถพยาบาลมาจอดหน้าทางเข้าห้องฉุกเฉิน ประตูเปิดออก บุรุษพยาบาลช่วยกันยกอัษฎาใส่เตียงเข็น แล้วก็เข็นเข้าไปในโรงพยาบาล บราลี ลูกทั้งสาม และสมศักดิ์วิ่งมาจากที่จอดรถ ตามเข้าไปในโรงพยาบาล
หมออำพลในชุดเตรียมผ่าตัดยืนคุยกับบราลี สมศักดิ์ และสามสาว ที่หน้าห้องผ่าตัด
“ต้องผ่าตัดด่วน”
“ครับ เนื้องอกโตขึ้นมาก ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ คนไข้จะเป็นอันตราย”
ลูกๆ เข้ามากอดบราลี ทุกคนเป็นห่วงอัษฎา
โคมไฟห้องผ่าตัดเปิดสว่าง อัษฎาสวมหน้ากากอ๊อกซิเจน นอนหลับ หมออำพล และพยาบาลกำลังเตรียมตัว
สมศักดิ์ส่งแก้วกาแฟให้บราลี แต่บราลีสะดุ้งเฮือก ปล่อยแก้วร่วงหลุดมือ สามสาวกำลังเดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่นตกใจ หันมามองบราลีเป็นตาเดียวกัน
“คุณแม่”
ลูก ๆ ช่วยกันเช็ดกาแฟที่เปื้อนบราลี ในขณะที่บราลีรู้สึกใจไม่ดี
ในห้องผ่าตัด หมอและพยาบาลกำลังช่วยชีวิตอัษฎา อัษฎาใกล้เสียชีวิตเต็มที ที่จอมอนิเตอร์เครื่องวัดสัญญาณ เส้นกราฟกลายเป็นเส้นตรง เสียงสัญญาณเตือนลากยาว อัษฎาหน้าซีดขาว หมออำพลกับพยาบาลช่วยชีวิตอัษฎาอย่างเร่งรีบ
เวลาผ่านไป หมออำพลเดินออกมาจากห้องผ่าตัด บราลี อุรวสา อันตรา และอินทุอรซึ่งกำลังนั่งสวดมนต์อยู่เงียบๆ เห็นหมอก็รีบลุกขึ้นมาหา
“เป็นไงบ้างครับหมอ” สมศักดิ์ถามขึ้น
“คนไข้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวก่อนเริ่มลงมือผ่าตัด แต่หมอช่วยชีวิตไว้ได้”
ทุกคนเครียดมาก
อัษฎายังไม่ฟื้น นอนอยู่บนเตียง บราลีนั่งจับมือสามี มองเขาด้วยความรักและเป็นห่วง
“ช่วงนี้ต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด คงต้องรีบประสานงานกับศัลยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ มาทำการผ่าตัดเนื้องอกให้เร็วที่สุดครับ”
อุรวสากอดอันตรากับอินทุอรไว้ ทั้งสามมองพ่อแล้วร้องไห้ บราลีลุกเดินมานั่งรวมกับสามสาว
“อย่าร้องสิจ๊ะ เดี๋ยวคุณพ่อตื่นมา เห็นลูกๆ ตาบวม คุณพ่อจะใจเสียนะ”
สามสาวช่วยกันเช็ดน้ำตา บราลีรู้สึกดีใจที่ลูก ๆ รักกัน อัษฎาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองสามสาวที่กำลังเช็ดน้ำตากันง่วน ก็ยิ้ม
“ลูกพ่อรักกันแบบนี้พ่อก็หมดห่วง”
ทุกคนตกใจ หันมาเห็นอัษฎานอนยิ้มอยู่ก็ดีใจ
“คุณพ่อฟื้นแล้ว”
อุรวสา อันตรา และอินทุอร วิ่งเข้าไปรุมกอดอัษฎา อัษฎามองบราลีอย่างรู้สึกผิด
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณเป็นห่วง”
บราลียิ้ม น้ำตาคลอ เดินเข้ามาจับมืออัษฎา
“ไม่เป็นไรค่ะ คราวนี้ฉันให้อภัย แต่คราวหน้าห้ามหัวใจหยุดเต้นอีกนะคะ”
อัษฎากับบราลีมองตากันด้วยความเข้าใจกัน อุรวสาเห็นพ่อกับแม่แล้วก็สะท้อนใจ เพราะเธอกับแสงฉานเอาแต่โทษกัน ไม่ให้อภัยกันเลย
ภิสิตคุยโทรศัพท์มือถือด้วยความตกใจ
“พี่อัษอาการหนักกว่าเดิม”
อุรวสายืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง
“ทุกคนเครียด หนูอินร้องไห้ทุกวันเลยค่ะ”
ระหว่างที่พูด อุรวสามองเข้าไปในห้องพักคนไข้ อินทุอรกำลังป้อนข้าวต้มให้อัษฎาที่ดูซีดเซียว ไร้เรี่ยวแรง
“อาสิตโทรหาหนูอินบ้างได้มั้ยคะ เผื่อหนูอินจะรู้สึกดีขึ้น”
“ถึงอาจะเป็นห่วงความรู้สึกของหนูอินมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะอาสัญญากับพี่อัษไว้แล้ว เท่านี้ก่อนนะ แล้วอาจะโทรไปใหม่”
ภิสิตเหมือนจะทำงานต่อ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ไม่มีสมาธิ เขาเดินออกไปจากห้องทำงาน
ภิสิตมาที่โรงพยาบาลเพื่อคุยกับหมออำพล
“ผมรู้จักศัลยแพทย์มือหนึ่งของอเมริกา ถ้าผมจะติดต่อให้มาช่วยคุณหมอในการผ่าตัดพี่อัษ คุณหมอจะว่ายังไงบ้างครับ”
“ปัญหาจริง ๆ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ศัลยแพทย์นะครับ แต่เป็นปัญหาเรื่องโรคหัวใจของคุณอัษฏาที่ทำให้เรายังผ่าตัดไม่ได้”
“แล้วยิ่งรอเวลาไปแบบนี้เรื่อย ๆ อาการพี่อัษก็ยิ่งแย่ลงสิครับ”
“จริง ๆ มีอีกทางหนึ่งที่คุณอัษอาจจะไม่ต้องผ่าตัด”
ภิสิตตื่นเต้นดีใจมีความหวังขึ้นมา
“ทางไหนครับหมอ”
“ทางเมืองจีนมีการรักษามะเร็งด้วยความเย็นที่จะไปฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง”
“แล้วคุณหมอได้บอกครอบครัวพี่อัษรึยังครับ”
“ยังครับ เท่าที่ผมรู้มาคือคิวผู้ที่เข้ารับการรักษาแน่นมาก แล้วคุณอัษคงรอเวลานานขนาดนั้นไม่ได้”
ภิสิตครุ่นคิด หาทาง
ภิสิตโทรศัพท์ทางไกลไปต่างประเทศ
“ขอเรียนสายท่านทูต จากผม ภิสิตครับ”
วันต่อมา ภิสิตขนกระเป๋าเดินทางใส่รถ อัปสรมองอย่างเป็นห่วง
“ซื้อตั๋วปุ๊บไปปั๊บ เมืองจีนนะจ๊ะ ไม่ใช่เชียงใหม่”
“รอไม่ได้จริงๆ ครับ มันเป็นเรื่องสำคัญ ผมต้องรีบไปคุยที่นั่นด้วยตัวเอง”
ภิสิตหันมาสบตาอัปสร
อันตราเดินผ่านมาเห็นอินทุอรนั่งร้องไห้ในสวนหย่อมของโรงพยาบาล เธอสงสัยรีบเดินมาหาน้องสาว อินทุอรหันมาเห็นอันตราก็โผเข้าไปกอด
“พี่อัน อาสิตคงเตรียมจะย้ายไปที่เมืองนอกแล้วค่ะ”
“ไปประจำที่โน่นเหรอ”
“คงอย่างนั้น ป้าอัปสรเผลอบอกกับอินว่าอาสิตรีบเดินทางปุบปับ แล้วคุณพ่อก็กำลังจะทิ้งพวกเราไป อินจะไม่เหลือใครแล้ว”
อินทุอรสะอื้นไห้
“คุณพ่อยังไม่ไปไหน คุณพ่อจะอยู่กับพวกเรานะหนูอิน”
อันตราเสียงเครือ น้ำตาซึมแล้วใช้หลังมือป้ายออกอย่างรวดเร็ว อินทุอรเอะใจ หันมาเห็นว่าอันตราพยายามกลั้นร้องไห้
“พี่อันร้องไห้”
“เปล่า ฝุ่นเข้าตา คนอย่างพี่ร้องไห้เป็นด้วยเหรอ หนูอินเลิกร้องไห้ได้แล้ว ร้องมาก ๆ ตาปูดนะ”
อันตราเย้าแหย่ แล้วกอดอินทุอร เพื่อไม่ให้อินทุอรเห็นว่าเธอพยายามกลั้นน้ำตาด้วยการเงยหน้ามองฟ้าให้น้ำตาไหลกลับเข้าไป เพราะในใจเธอเองก็หวาดกลัวจะสูญเสียพ่ออันเป็นที่รัก เวศม์ยืนแอบมองอันตราอย่างสงสารและเป็นห่วง
เวศม์นัดอุรวสามาพบที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
“ขอโทษนะวสาที่ต้องโทรตามออกมา ผมเป็นห่วงแต่ไม่กล้าโผล่หน้าเข้าไปให้ครอบครัวคุณเห็น อาการพ่อคุณเป็นไงบ้าง”
“ช่วงนี้คุณพ่อเครียดมาก อาการเลยกำเริบ”
อุรวสาเสียงเครือ เครียดมาก
“โรคก็อาการหนักขึ้น ผ่าตัดก็ยังไม่ได้ สถานการณ์บริษัทตอนนี้ก็แย่มาก ผู้ถือหุ้นพยายามบีบให้คุณพ่อออก”
“ผมขอโทษนะวสา”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะเวศม์ คุณไม่ได้ตั้งใจ”
“แต่ผมก็เป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ทำให้บริษัทพ่อคุณมีปัญหา”
เวศม์รู้สึกผิดมาก อุรวสาก็ซึมไป
“วสาเองก็ไม่เคยช่วยงานคุณพ่อเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านอยากให้ช่วยมาตลอด”
ทั้งสองคนสบตากัน ต่างคนต่างคิดในมุมของตัวเอง
วันต่อมา เวศม์สั่งผู้ช่วย ส่งเอกสารสำคัญหลายอย่างให้
“ผมคงไม่เข้าไปที่บริษัทแล้ว”
“แน่ใจเหรอครับที่ทำแบบนี้ บริษัทเรากำลังไปได้ด้วยดีนะครับ”
“ผมขายหุ้นบริษัททั้งหมดแล้ว จัดการโอนเงินทั้งหมดช้อนซื้อหุ้นบริษัทคุณอัษฎาให้ด้วย”
“ไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอครับ เท่ากับโยนเงินทิ้งเลยนะครับ”
“ทำตามที่ผมสั่ง”
ผู้ช่วยไม่เข้าใจแต่จำใจคำนับแล้วเดินออกไป เวศม์ถอนหายใจ รู้ว่าอาจจะช่วยให้บริษัทอัษฎากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่ก็สบายใจขึ้นที่ได้ทำอะไรเพื่อชดใช้ความผิด
วันรุ่งขึ้น คอลัมน์ข่าวในหนังสือพิมพ์ธุรกิจ พาดหัวข่าว
“บริษัทหลักทรัพย์วีระเวศม์โดนเทคโอเวอร์”
อันตราอ่านข่าวด้วยความตกใจ
สามใบไม่เถา ตอนที่ 11 (ต่อ)
เวศม์นั่งจิบกาแฟอยู่ที่ระเบียงบ้าน อันตรากำลังส่องกล้องแอบมองเวศม์ด้วยความเป็นห่วง กำลังตัดสินใจว่าจะเข้าไปหาเขาดีหรือไม่ ยกกล้องขึ้นมาส่องดูอีกครั้ง ก็เห็นศศิพิมลเดินเข้าไปหาเวศม์พอดี
“พี่ให้คนขนของมาจากบริษัทฯ แล้วนะเวศม์”
อันตราชะงักเข้าใจว่าเวศม์กับศศิพิมลกลับมาคืนดีกันแล้ว เธอเสียใจ ตัดสินใจเดินออกไปอย่างเจ็บช้ำ
ในห้องพักของอัษฏา บราลีเดินเข้ามาพร้อมอำพล สีหน้าสดใสมีความสุข
“แหมเดินยิ้มเข้ามาเชียวนะคุณ” อัษฎาแซว
บราลีเดินตรงเข้ามากอดอัษฏาไว้แน่น อัษฏาเริ่มงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น มีอะไรเหรอคุณ”
บราลีหันไปมองสบตากับหมออำพล ก่อนจะมองหน้าอัษฏาแล้วยิ้มให้เขา
“ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณค่ะ ฉันขอโทษที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอก ฉันกลัวว่าคุณจะรับไม่ได้”
อัษฏานิ่งไป แต่สีหน้าดูเข้มแข็งพร้อมรับความจริงทุกอย่าง เขาพยักหน้าให้บราลี
“บอกมาเถอะคุณ ผมรับได้ทุกอย่าง”
“คือ คุณหมอสันนิษฐานว่าเนื้องอกของคุณอาจจะเป็นเนื้อร้าย”
อัษฏาดูนิ่งสงบเพราะคิดไว้ก่อนแล้ว เขาดึงบราลีมากอดไว้
“อืม ผมก็สงสัยมาตั้งนานแล้วเหมือนกัน”
“แล้วเพราะอาการหัวใจของคุณ ทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยง”
อัษฏาหน้าหมองลง แต่พยายามฝืนยิ้มให้บราลี
“ผ่าตัดก็ไม่ได้ ไอ้ก้อนนั่นมันก็โตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะยังไงต่อครับหมอ”
อำพลยิ้มให้อัษฏา
“ตอนนี้มีการรักษาด้วยเทคโนโลยีการใช้ความเย็นเพื่อฆ่าเชื้อมะเร็ง โดยที่ไม่ต้องผ่าตัดแล้วครับ ที่สำคัญทางโรงพยาบาลที่กวางโจตอบรับให้คุณอัษฏาเข้ารับการรักษา”
“เราพร้อมวันไหนก็ไปได้ทันทีเลยค่ะ”
อัษฏาหันมองหน้าบราลีดีใจ บราลียิ้มให้
วันต่อมา อัษฏากับบราลีอยู่ในชุดเตรียมเดินทาง สามสาวช่วยกันเก็บของให้พ่อ
“อยู่ ๆ ทำไมคุณพ่อถึงจะไปรักษาเนื้องอกที่เมืองจีนคะ” อันตราถามขึ้น
“คือ เราได้ข้อมูลมาว่าหมอที่นั่นเก่งมากน่ะลูก”
“พ่อก็อยากหายเร็ว ๆ จะได้รีบทำงานซะที”
อันตรายังสงสัย ตามประสานักสืบ
“มีอะไรที่พวกเรายังไม่รู้รึเปล่าคะ”
บราลีทำเสียงดุ “จะช่างสงสัยไปทำไมนัก หือ เจ้าอัน”
“นั่นสิคะ รักษาที่ไหนก็ได้ขอให้คุณพ่อหายก็พอ” อินทุอรเห็นด้วยกับแม่
“แต่ตอนนี้ถ้ายังไม่เร่งมือ คุณพ่อกับคุณแม่อาจจะตกเครื่องนะเจ้าอัน” อุรวสาเตือน
อันตราทำแก้มป่องที่ทุกคนไม่สงสัยด้วย บราลีกับอัษฏาแอบสบตากัน เพราะปิดลูกไม่ให้รู้เรื่องว่าบินไปรักษามะเร็ง
เวลาผ่านไป อัษฎากลับมาจากการรักษา ทุกคนในครอบครัว รวมตัวกันอยู่ในเต็นท์ อัษฎาพูดกับทุกคนในครอบครัวอย่างตื่นเต้นดีใจ
“หมอยืนยันแล้วว่าพ่อหายแน่นอน แค่ให้กลับไปดูอาการอีกสักครั้งสองครั้งเท่านั้น”
อุรวสา อันตรา อินทุอร ดีใจ เผลอตัวร้องไชโยเสียงลั่น กอดกันอย่างดีใจ อุรวสากระแอมแล้วทำท่าสำคัญ ทุกคนยิ้ม รอฟังจากอุรวสา
“ขอต้อนรับคุณพ่อกลับสู่บ้านอันอบอุ่นของเราอย่างเป็นทางการค่ะ”
“อันดีใจที่คุณพ่อจะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน”
อินทุอรจับมืออัษฎากับบราลีมาไว้ด้วยกัน
“คุณพ่อคุณแม่ต้องอยู่กับพวกเรานาน ๆ ให้โอกาสเราได้ตอบแทนพระคุณที่เลี้ยงดูเรามาด้วยนะคะ”
อัษฎาและบราลีมองลูกสาวทั้งสามคนอย่างซาบซึ้งใจ
“ความรักของลูก ๆ นี่แหละ ที่ช่วยต่อลมหายใจให้พ่อกับแม่”
ทั้งสามสาวกอดอัษฎากับบราลี
อัษฎาเดินคุยกับสมศักดิ์มาในที่ทำงาน
“เพิ่งออกจากโรงพยาบาลไม่กี่วันเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเลยเหรอ”
“ภาพลักษณ์บริษัทเรากำลังแย่ ต้องรีบสร้างความมั่นใจให้ผู้ถือหุ้น เดี๋ยวจะมารวมกลุ่มไล่ฉันอีก”
“พวกนั้นทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ตอนนี้เรามีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คนใหม่ แต่แกอย่าไปไล่เขาแล้วกัน”
“ทำไมฉันต้องไล่”
อัษฎาสงสัย
อัษฎากับสมศักดิ์เดินเข้ามาในห้องประชุม เวศม์ยืนหันหลังรออยู่ก่อนแล้ว อัษฎามองอย่างสงสัย พอเวศม์หันมา อัษฎาชี้หน้าเวศม์ ตะโกนเสียงลั่น ปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อเวศม์
“ไอ้เวศม์ ใครให้แกเข้ามา ออกไป”
เวศม์ยิ้มแหยๆ หวาดๆ อัษฎากระชากแขนเวศม์ ลากถูลู่ถูกังมาที่ประตู สมศักดิ์รีบดึงอัษฎาไว้
“ไอ้อัษ ใจเย็นโว้ย เดี๋ยวก็ได้กลับโรงหมออีกหรอก”
“ฉันไม่อยากเห็นหน้ามัน ไอ้เวศม์ ออกไปจากบริษัทฉัน”
“แต่เขาเป็นหุ้นส่วนของเรานะ”
“หา”
อัษฎามองหน้าเวศม์ ตกใจ ช็อค เวศม์ยิ้มแหยๆ ทำใจดีสู้เสือ
ที่มุมรับแขกในห้องทำงานอัษฎา เวศม์กับสมศักดิ์นั่งที่โซฟา แต่อัษฎายืนชี้หน้าเวศม์ด้วยความโมโห
“ไอ้บ้า ขายบริษัทตัวเอง เอาเงินมากว้านซื้อหุ้นบริษัทที่กำลังจะล้มลาย ทำตัวเหมือนคนสิ้นคิด”
“คนสิ้นคิดคือคนที่ไม่ได้คิด แต่ผมคิดมาดีแล้วครับ”
“เวศม์ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยแทบทั้งหมด เอามารวมกับหุ้นที่แกกับฉันมี แล้วอำนาจบริหารก็อยู่กับฝ่ายเรา เท่ากับช่วยซื้อเวลาให้แกกลับมาบริหารงานบริษัทให้แข็งแกร่งเหมือนเดิม”
“อ้อ อยากมีบุญคุณกับฉัน จะเอาเงินฟาดหัวฉันว่ายังงั้นเถอะ แต่เสียใจด้วย ฉันไม่ต้องการเงินของแก”
“เข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ต้องการบุญคุณ แต่ผมต้องการขอโทษ ผมอยากชดใช้ความผิดที่ทำลงไปโดยไม่เจตนา”
อัษฎาอึ้ง
“ผมรู้ว่าบริษัทนี้คือชีวิตและจิตใจของคุณพ่อ”
“หือ”
อัษฎาชะงักหันมาจ้องเวศม์เขม็ง เพราะเรียกเขาว่า พ่อ
“เอ่อ ของคุณอัษฎา ผมอยากใช้เงินที่หามาทั้งชีวิตชดใช้ให้คุณ และอยากขอโอกาสที่จะเข้ามาช่วยทำงาน ที่สำคัญผมไม่ได้มาคนเดียว ผมมีอีกคนที่จะมาช่วยคุณบริหารบริษัท”
เวศม์มองอัษฎาด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวและจริงจัง อัษฎามองตาเวศม์อย่างไม่ดีด้วย ก่อนชี้หน้าด่า
“นั่นไง แกคิดจะฮุบบริษัทฉันใช่ไหม แกคนเดียวยังไม่พอ ยังจะดึงคนอื่นเข้ามาอีก”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น อุรวสาเปิดประตูเดินเข้ามา
“มาแล้วเหรอหนูวสา”
“วสามาถึงนี่ มีอะไรเหรอลูก”
เวศม์ยืนขึ้น อัษฏาหันมามองเวศม์ เวศม์ยิ้มให้ก่อนผายมือไปทางอุรวสา
“ผมขอแนะนำ คุณอุรวสา เธอจะมาช่วยเราบริหารบริษัทครับ”
อุรวสายิ้มให้พ่อ เวศม์กับสมศักดิ์ยิ้มให้กัน อัษฎาตะลึงงัน นึกไม่ถึง
อัษฎากับอุรวสานั่งคุยกันสองคนในห้องทำงาน
“หมายความว่ายังไงคุณวสา”
“วสาจะมาช่วยคุณพ่อบริหารงานค่ะ”
“ก็บอกพ่อสิว่าจะมาช่วย ทำไมต้องให้ไอ้เวศม์เป็นคนพาเข้ามา”
อัษฏาดูยังจะอารมณ์เสีย ไม่พอใจ ในขณะที่อุรวสาดูนิ่งใจเย็นกว่ามาก
“คุณพ่อกำลังโดนผู้ถือหุ้นบีบให้ออก แล้วถ้าวสาเข้ามาตอนนี้ก็ยิ่งจะมีการต่อต้านมากขึ้นจากคนกลุ่มที่ไม่พอใจคุณพ่อ แต่เมื่อวสาเข้ามากับเวศม์ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พวกเขาก็พูดไม่ออก”
อัษฏานิ่งอึ้งไป ยอมจำนนกับเหตุผล
“แต่ไอ้เวศม์นั่น มันทำเหมือนเอาเงินฟาดหัวพวกเรา”
“เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เวศม์จะขายหุ้นทั้งหมดคืนให้กับเรา หลังจากสามเดือนค่ะ”
“ทำไมต้องสามเดือน”
“เพราะเขาอยากจะเข้ามาช่วยบริหารงาน อยากจะช่วยพวกเราฟื้นบริษัทให้ได้ก่อน เวศม์เป็นคนเก่งมากนะคะพ่อ วสาเห็นความสามารถของเขามานานแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงตั้งตัวจากศูนย์ จนมาถึงวันนี้ไม่ได้”
อัษฏานิ่งอึ้ง ครุ่นคิด ก่อนนึกขึ้นได้
“แล้วงานของคุณวสาล่ะ งานที่คุณวสาบอกว่ารักนักหนา”
อุรวสามองพ่อนิ่ง น้ำตาคลอ ก่อนลุกจากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ พ่อ กอดพ่อไว้ ซุกหน้ากับอกพ่อ
“วสาขอโทษค่ะพ่อ ที่ดื้อกับพ่อมาตลอด สิ่งที่วสารักที่สุดไม่ใช่งานค่ะ แต่เป็นคุณพ่อต่างหาก”
อุรวสานึกถึงเรื่องราวในอดีต สมัยเธอเป็นนักศึกษา กำลังยืนถ่ายเอกสารอยู่ในบริษัทอัษฎา มีพนักงานเดินผ่านมาหยุดทัก
“อ้าวคุณวสา ทำไมมาถ่ายเอกสารเองล่ะคะ”
“ก็วสาเป็นเด็กฝึกงานนี่คะ วันนี้ฝึกงานวันสุดท้ายแล้วด้วย”
อุรวสาหอบเอกสารตั้งใหญ่ไว้กับอก เดินมาเห็นอัษฏา สมศักดิ์ กำลังยืนคุยกับผู้บริหารอีก 2 คน เธอหยุดฟัง
“วันนี้มีเลี้ยงส่งนักศึกษาฝึกงาน ถ้าคุณสองคนว่างเชิญด้วยนะครับ”
“ถ้าจำไม่ผิด นักศึกษารุ่นนี้มีลูกสาวคุณอัษฏาด้วยใช่ไหม”
อัษฏายิ้ม ภูมิใจในตัวลูก
“ครับ”
“จบแล้วก็ให้มาทำงานด้วยกันสิครับ”
“ยังครับ จะส่งไปเรียนต่อที่อเมริกาก่อนแล้วค่อยให้กลับมาช่วยงาน”
“หนูวสาเรียนเก่งมาก” สมศักดิ์ชื่นชม
ผู้บริหารคนหนึ่งสีหน้าเหมือนดูถูกนิด ๆ
“จะเรียนไปทำไมให้เสียเวลาครับ ต่อให้จบ ป.6 พ่อก็สร้างทุกอย่างรอไว้ให้อยู่แล้ว”
อุรวสาหน้าเสีย โกรธที่โดนดูถูก อัษฏาโกรธจัด สมศักดิ์กลืนน้ำลายเฮือกรู้ว่าอัษฏาโกรธแน่ รีบจับแขนดึงไว้เหมือนจะให้สติ
“ผมมั่นใจว่าต่อให้ผมไม่ได้สร้างอะไรไว้ ลูกผมก็มีความสามารถที่จะก้าวหน้าเติบโตได้ด้วยตัวเอง”
อัษฏามองผู้บริหารสองคนตาแข็งกร้าว ก่อนเดินไปไม่ลา สมศักดิ์รีบเดินตาม สองคนที่เหลือหันมาคุยกันต่อ
“รักลูกยังกะนางฟ้านางสวรรค์ แตะไม่ได้เลย”
“ฉลาดจริงเหมือนคุยรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ต่อให้โง่สนิทแค่ไหน บารมีพ่อก็คุ้มหัวอยู่แล้ว”
อุรวสายืนฟังด้วยความโกรธมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงตัวออกไป
อุรวสาดึงตัวเองออกมาจากอกพ่อ มองตาอัษฏาน้ำตาร่วง
“วสาคิดมาตลอด ว่าวสาต้องเดินด้วยขาของตัวเองให้ได้ ไม่ให้ใครมาดูถูกคุณพ่อว่ามีลูกสาวไม่เอาไหน”
อัษฏาเสียงเครือ เช็ดน้ำตาให้ลูกอย่างอ่อนโยน
“โธ่เอ๊ย คุณวสา”
“วสาอยากพิสูจน์ตัวเอง อยากให้คุณพ่อภูมิใจในตัววสา อยากให้ทุกคนยอมรับว่าวสามีความสามารถจริง ไม่ได้ใช้บารมีพ่อ”
“รู้ไว้นะคุณวสา พ่อรู้ว่าคุณวสาเก่งแค่ไหน และภูมิใจในตัวลูกมาโดยตลอด”
อุรวสายิ้มออกมา
“ถ้าคุณพ่อเชื่อในตัววสา คุณพ่อให้โอกาสวสากับเวศม์นะคะ”
อัษฏามองลูกนิ่ง กำลังตัดสินใจ
หน้าห้องทำงานของอัษฏา สมศักดิ์ตาลายจะเป็นลม เพราะเวศม์เดินไปเดินมากระวนกระวายอยู่
“หยุดเดินได้ไหมคุณเวศม์ ผมเวียนหัว”
“คุณสมศักดิ์คิดว่าคุณอัษจะตัดสินใจยังไง”
สมศักดิ์ยิ้มกริ่ม ทำหน้าเหมือนแน่ใจ
“ผมกับอัษคบกันมานานมากแล้ว แหะ ๆ แต่ผมไม่รู้หรอก”
เวศม์สุดเซ็ง ก่อนจะชะงักยืนนิ่งเมื่ออัษฏาเปิดประตูห้องออกมา มีอุรวสาที่หน้านิ่งเดาอารมณ์ไม่ถูกเดินตามออกมา อัษฏามองหน้าเวศม์นิ่ง เวศม์มองอัษฏาลุ้นเต็มที่
“ยินดีที่จะได้ร่วมงานกัน”
เวศม์ดีใจมากยิ้มปากแทบฉีก ก่อนทำท่าเหมือนจะเข้าไปจับมืออัษฏา แต่เมื่อเจอสายตาพิฆาตที่มองจ้องกลับมา เขาก็หัวหดรีบยกมือไหว้แทน
“ขอบคุณมากครับ”
เวศม์กับอุรวสาหันมายิ้มให้กัน แต่อัษฎายังไม่ไว้ใจเวศม์
อัษฎาพูดกับผู้ถือหุ้นในห้องประชุม
“ด้วยแผนการเงินและการตลาดเชิงรุก บริษัทของเราจะกลับมาเป็นเบอร์หนึ่งของวงการก่อสร้างแน่นอน”
ผู้ถือหุ้นฟังอัษฎาอย่างตั้งใจ
“ขอแนะนำผู้ถือหุ้นคนใหม่ จะมาช่วยผมด้านบริหารการเงิน”
อัษฎาผายมือไปทางเวศม์กับอุรวสาที่นั่งอยู่ท้ายห้องประชุม ทั้งคู่ลุกขึ้นคำนับผู้ถือหุ้นคนอื่น
“เวศม์ครับ”
ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งจำได้
“เวศม์ คนที่วอลสตีทเจอนอล ตั้งฉายาว่าพ่อมดหนุ่มวงการการเงินใช่มั้ย”
“คนเดียวกับที่เคยลงนิวยอร์คไทม์ว่าเป็นโบรกเกอร์ตาเหยี่ยว จับธุรกิจไหนต้องสำเร็จ” สมศักดิ์เสริม
ผู้ถือหุ้นทุกคนฮือฮาทึ่ง ๆ อัษฎามองเวศม์อย่างไม่เชื่อสายตา เวศม์หันไปยิ้มให้สมศักดิ์ อัษฎาหันไปมองสมศักดิ์อย่างประหลาดใจที่รู้ข้อมูลเวศม์แต่ไม่เคยบอก
“ผมเริ่มมาจากศูนย์ ถ้ามีฟางเส้นหนึ่งลอยผ่านหน้า ผมก็จะคว้าไว้ ลำบากแค่ไหนผมก็สู้”
อัษฎามองเวศม์ทึ่งๆ
“อุรวสาค่ะ คิดว่าทุกคนคงรู้จักดี”
“ลูกสาวคนเก่งของคุณอัษฏา แต่มีฝีมือระดับที่บริษัททั้งเมืองไทยและเมืองนอกแย่งกันซื้อตัว” สมศักดิ์บรรยาย
“มัณฑนากรมือหนึ่ง ที่พ่วงตำแหน่งบริหารในบริษัทข้ามชาติ” ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งพูด
ทั้งอุรวสาและเวศม์ก้มหัวให้ผู้ถือหุ้นในห้อง ผู้ถือหุ้นทุกคนตบมือให้ ยอมรับ
กลางคืน พนักงานในบริษัทกลับกันหมดแล้ว อัษฏากับสมศักดิ์กำลังช่วยกันดูแผนงาน
“ถ้าทำได้ตามแผนนี้ ฉันมั่นใจว่าสำเร็จแน่”
อัษฏายังนั่งมองงานอย่างเครียด ๆ สมศักดิ์มองนาฬิกาข้อมือ
“แต่ตอนนี้ฉันหิวมาก อยากกลับบ้าน แกสนใจบ้างไหมว่ามันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว ประธานบริษัทก็บ้างาน ผู้ช่วยการเงินคนใหม่ก็บ้างาน”
อัษฏาชะงักเงยหน้ามองสมศักดิ์
ในห้องทำงานเวศม์ ปิดไฟหมดแล้ว แต่เวศม์ใช้โคมไฟส่องสว่างแทน เขากำลังอ่านเอกสารของบริษัท บนโต๊ะมีเอกสารกองสุมเป็นตั้ง ๆ เวศม์ขีดนั่น วงนี่ในเอกสารอย่างตั้งใจ ใช้ความคิด ท่าทางเอาการเอางาน อัษฏายืนมองเวศม์อยู่หน้าห้อง
คืนนั้น อันตราเดินเข้ามาในบริษัท ที่มีแสงสว่างเพียงแค่ทางเดิน พลางคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“กำลังมารับคุณพ่อตามคำสั่งท่านผบ.เอ๊ยคุณแม่แล้วค่ะ เจอกันที่บ้านนะคะ”
บริเวณอื่น ๆ ในบริษัท ปิดไฟมืด เพราะพนักงานกลับกันหมดแล้ว เสียงเงียบมาก แต่อันตราเห็นแสงสลัว ๆ ออกมาจากห้องหนึ่งสุดทางเดิน มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังแว่ว ๆ มาจากห้องนั้น
ในห้องทำงานเวศม์ มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟบนโต๊ะทำงาน เวศม์กำลังมองหาโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะทำงาน และรอบ ๆ บริเวณ บนโต๊ะวางแฟ้มเอกสาร กองสุมสูงเป็นตั้ง ๆ เวศม์รื้อหารีบ ๆ เพราะเสียงโทรศัพท์ดังไม่หยุด
“บนโต๊ะไม่มี”
เวศม์เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน แต่เปิดไม่ออก
“กุญแจไม่มีอีก”
อันตราเดินมาถึงที่หน้าห้องทำงานเวศม์ เสียงโทรศัพท์เงียบไปแล้ว เวศม์หยิบไขควงได้จากกล่องอุปกรณ์ อันตรามองเข้ามาในห้อง เวศม์ผลุบก้มลงไปใต้โต๊ะพอดี แล้วก็เริ่มเอาไขควงงัดแงะลิ้นชัก อันตราเห็นแค่คนมุดลงไปใต้โต๊ะแล้วมีเสียงกุกกักดังขึ้น เธอตาลุกวาว พึมพำเบาๆ
“ขโมย”
อันตราย่องไปที่โต๊ะวิศวกรออกแบบนอกห้อง แล้วคว้าไม้ทีมาถือไว้
เวศม์กำลังพยายามงัดลิ้นชักโต๊ะ อันตราถือไม้ทีย่องเข้ามาในห้อง เข้ามาหาเวศม์ พอเข้าใกล้ก็เตรียมจะฟาด เวศม์เหลือบเห็นเงาของอันตราถือไม้เงื้อง่า เขารีบชักปลั๊กโคมไฟบนโต๊ะออกทันที ไฟในห้องดับลง มีเพียงแสงจากนอกห้อง อันตราตกใจ มองไปที่ใต้โต๊ะแต่ไม่เห็นเวศม์แล้ว เวศม์โผล่มาด้านหลังอันตรา แล้วพยายามแย่งไม้ทีจากมือ อันตราไม่ยอมปล่อยมือ พลิกตัวมา พยายามฟาดเวศม์ แต่เวศม์ก็หลบได้ อันตราไล่ตีเวศม์ไปทั่วห้อง เวศม์หลบได้ตลอด
“ไอ้หัวขโมย แกอย่าหนี ฉันจะฟาดแกให้หัวแบะเลย”
“ผมไม่ใช่ขโมย คุณเข้าใจผิดแล้ว”
จังหวะหนึ่งแสงไฟนอกห้องสาดเข้าหน้าอันตรา เวศม์เห็นว่าเป็นอันตรา ยิ้มแล้วเข้าประชิดตัว แย่งไม้ทีจากมือหญิงสาว แล้วกอดอันตราไว้แน่น รีบเอามือปิดปากอันตรา อันตราดิ้นแรง แต่เวศม์ก็ยิ่งกอดแน่น
“อย่าดิ้นสิน้องสาว ยอมเป็นแฟนพี่ซะดีๆ”
อันตรากัดมือเวศม์เต็มแรง เวศม์ร้อง แล้วยอมปล่อยมือจากปากอันตรา
“เจ็บนะคุณ”
อันตราจำเสียงเวศม์ได้
“นายเวศม์ ปล่อย”
“ปล่อยคุณก็ตีผมอีกดิ”
อันตราดิ้นเป็นพัลวัน
“ถ้าฉันหลุดไปได้ ฉันจะอัดนายให้น่วมเลยไอ้ลามกคางคกสามหาว”
“เห็นป่ะ เจตนาทำร้ายร่างกายแล้วยังกล่าววาจาหมิ่นประมาท ใครปล่อยก็โง่ ต้องกอดไว้งี้แหละ ทั้งคืน”
“ปล่อย”
ไฟสว่างพรึ่บ อัษฎาเปิดไฟ มองเวศม์กับอันตราที่ยังกอดกันงงๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
“ขโมยค่ะพ่อ เรียกตำรวจเลยค่ะ”
“เวศม์เป็นผู้ถือหุ้น แล้วก็มาจัดการบริหารการเงินให้พ่อ”
“อ้าว”
“บอกแล้วว่าผมไม่ใช่ขโมย”
อัษฎาเหล่เวศม์ซึ่งยังคงกอดอันตรา
“แต่ถึงเป็นผู้ถือหุ้นก็ไม่มีสิทธิ์กอดลูกสาวเจ้าของ”
เวศม์รีบปล่อยมือจากอันตรา ยิ้มแหย ๆ ให้อัษฎา
อันตรากับอัษฎาเดินมาที่รถ อันตราโวยวาย
“นายเวศม์เป็นตัวซวย เกือบทำเราเจ๊ง คุณพ่อให้มาทำงานด้วยทำไมคะ”
“เวศม์เป็นลูกผู้ชาย ทำผิดแล้วรับผิดชอบ คนแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ แล้วตอนนี้พ่อก็ต้องการคนมีความรู้ความสามารถแบบเวศม์มาช่วยกอบกู้บริษัท”
“แล้วถ้าเขาทำเสียรอบสองล่ะคะ”
“เวลาเท่านั้นแหละที่จะพิสูจน์”
อัษฎาชื่นชมเวศม์ออกมาทางสายตาและคำพูดโดยไม่รู้ตัว อันตรามองอัษฎาอย่างประหลาดใจมาก
สามใบไม่เถา ตอนที่ 11 (ต่อ)
คืนนั้น อันตราช่วยอุรวสากับอินทุอรพอกหน้าอยู่ในห้องนอน แล้วเล่าเรื่องเวศม์ให้พี่น้องฟัง
“แปลก พ่อไม่เคยชมใครที่เข้ามาจีบลูกสาวแบบนี้เลย”
“คุณพ่อชอบคนจริงจังกับงานค่ะ” อินทุอรบอก
“ถ้าเป็นเรื่องงาน เวศม์ไม่เคยแพ้ใคร สงสัยจะได้เป็นคนโปรดของคุณพ่อ”
อุรวสายิ้มเป็นนัยๆ สบตาอินทุอร แล้วมองไปทางอันตรา อินทุอรเข้าใจ
“ดีไม่ดี คุณพ่อก็อาจจะไฟเขียว”
อุรวสากับอินทุอรหัวเราะคิกคัก อันตราทำตาเขียว
“ไฟเขียวเรื่องอะไร”
“เรื่องคุณเวศม์กับพี่อันไงคะ พี่อันจะได้สมหวังในความรักกับเขาซะที”
“ไม่มีทาง พี่จะรักผู้ชายที่ดีเหมือนคุณพ่อเท่านั้น พี่ไม่สนผู้ชายซังกะบ๊วยอย่างนายเวศม์เด็ดขาด”
อินทุอรกับอุรวสาหันมาสบตากันยิ้ม ๆ รู้นิสัยอันตราดีว่าเป็นคนปากแข็งแค่ไหน
เวศม์เก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน แล้วเหลือบไปเห็นไม้ทีที่อันตราทำตกไว้ มองมือที่โดนอันตรากัด แล้วยิ้ม กำมือเท้าคาง เอากำปั้นมาแนบที่ริมฝีปาก คล้าย ๆ จะจูบผ่านมือไปถึงอันตรา เวศม์ยิ้ม รู้สึกหลงรักอันตรามากขึ้น
วันหยุด แต่ภิสิตยังคงนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะหินริมรั้วบ้าน เซ็นเอกสารแล้วหยุดมองปากกาที่อินทุอรให้ เขานึกถึงอินทุอรเศร้า ๆ รับปากอัษฎาแล้วว่าจะไม่ติดต่ออีก เวศม์กับแสงฉานกดกริ่งเรียก ภิสิตยิ้มแล้วไปเปิดประตูให้
"วันหยุดยังเอางานกลับมาทำที่บ้านอีกเหรอครับ” แสงฉานแซว
“จะได้ไม่ฟุ้งซ่านน่ะ แล้วไปไหนกันมา”
แสงฉานยกถุงใส่กับข้าว
“ตั้งใจมาทำเมนูร้านใหม่ให้ชิมครับ”
เวลาต่อมา แสงฉานยกจานอาหารที่ตกแต่งสวยงามมาวางตรงหน้าภิสิตกับเวศม์
“เนื้ออบเครื่องมัสมั่นยำส้มโอ จานเด่นที่ผมจะใส่ในเมนูร้านที่กำลังจะเปิด”
“ตกลงจะขยายร้านจริง ๆ เหรอ นึกว่าชอบทำกิจการเล็ก ๆ ซะอีก” ภิสิตถาม
“ผมต้องเปิดเพื่อวสาครับ”
เวศม์ตบไหล่แสงฉาน
“บางครั้งเราจำเป็นต้องฝืนทำเพื่อให้คนที่เรารักมีความสุขใช่มั้ย”
ภิสิตฟังประโยคนี้ถึงกับเศร้าไป เพราะตรงกับใจเขามาก เวศม์หันไปเห็นแล้วนึกรู้
“ติดต่อกับหนูอินบ้างรึเปล่าครับ ผมว่าพักนี้หนูอินดูเศร้า ๆ ไม่ร่าเริงเหมือนเคยเลย”
ภิสิตรู้สึกเศร้า ทำเป็นไม่สนใจเรื่องอินทุอร หันไปสนใจอาหารของแสงฉาน
“น่ากินนะแสง”
ภิสิตชิมอาหารหน้าตาเฉยเมย ในขณะที่เวศม์กับแสงฉานสบตากัน รู้ว่าภิสิตไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก
อัษฏากับบราลีหอบเอากระเช้าของขวัญมาให้หมออำพลที่โรงพยาบาล
“ขอบคุณครับหมอ สำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง”
“ใช่ค่ะ เพราะคุณหมอช่วยติดต่อโรงพยาบาลทางโน้นให้ เราถึงได้รับความสะดวกขนาดนี้”
“เข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ได้เป็นคนวิ่งเต้นติดต่อ”
“แต่ผมทราบมาว่า มีการวิ่งเต้นเพื่อให้ผมได้เข้ารักษา”
“อันนี้คงต้องถามคุณภิสิตแล้วครับ”
อำพลยิ้มให้ อัษฏากับบราลีหันมองหน้ากัน
ภิสิตยกน้ำมาเสิร์ฟต้อนรับอัษฎาและบราลี บรรยากาศกระอักกระอ่วนมากระหว่างภิสิตกับอัษฎา อัษฎาเหลือบมองกองเอกสารที่ภิสิตทำงานค้างไว้ มีปากกาที่อินทุอรซื้อให้วางทับไว้บนสุด
“ยังใช้ปากกาด้ามนี้อยู่อีกเหรอ”
“ว่าจะเก็บเข้าตู้แล้วครับ”
“ใช้เถอะค่ะ คนให้จะได้ไม่เสียน้ำใจ”
อัษฎากับภิสิตสบตากัน แล้วต่างฝ่ายก็เงียบกันไปอีก เพราะเรื่องอินทุอรทำให้บาดหมางใจกันถึงวันนี้
“ขอบใจนะ ที่เป็นธุระเรื่องโรงพยาบาล”
ภิสิตชะงัก แปลกใจที่อัษฎารู้
“หมออำพลเพิ่งบอกพี่วันนี้เอง”
“พี่อัษฎาเป็นคนที่ผมรักและเคารพ ผมอยากช่วยพี่ครับ”
อัษฎาซาบซึ้งใจ แต่ยังไม่หมดทิฐิ เพราะยังหวงลูกสาวอยู่
“แค่นี้แหละ ขอบใจนะ”
อัษฎาลุกขึ้นยืน บราลียิ้มให้ภิสิต
“ผมทำเรื่องย้ายไปประจำต่างประเทศแล้วนะครับ”
“ไปประเทศไหน”
“แล้วแต่ทางกระทรวง ประเทศไหนก็ได้ ผมอยากย้ายไปจากประเทศไทยให้เร็วที่สุดครับ”
อัษฎารู้สึกใจหาย ได้แต่พยักหน้าแล้วเดินออกไป
อินทุอรช่วยบราลีทำครัว เศร้าและน้อยใจมาก
“อินรู้ว่าวันหนึ่งอาสิตก็ต้องย้ายไปประจำที่เมืองนอก แต่ไม่คิดว่าจะไปเร็วขนาดนี้”
บราลีมองอินทุอรอย่างเห็นใจ ไม่รู้จะปลอบอย่างไร อินทุอรน้อยใจภิสิตมาก ที่จะไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ
ตอนค่ำ อินทุอรดูทีวีในห้องนั่งเล่น เปิดดูการแสดงครั้งหนึ่งของตัวเองอยู่ เป็นการแสดงที่อินทุอรเคยเต้นรำคลอไปกับเสียงเพลงบรรเลงท่วงทำนองเศร้าสร้อย ประกอบเสียง
“เจ้าหญิงโดนสาปเป็นหงส์ รำพันถึงความรักที่มีต่อเจ้าชายคนรักที่มีอุปสรรค ทำให้อภิเษกสมรสกันไม่ได้”
อินทุอรนึกถึงเรื่องของตัวเองกับภิสิตแล้วน้ำตาคลอ อัษฎายืนมองและฟังอยู่นานแล้วด้วยความสะเทือนใจ สงสารลูก บราลีเดินเข้ามายืนข้างอัษฎา จับแขนสามีเบา ๆ ด้วยความเข้าใจ
อัษฎากับบราลีเดินคุยกันที่สนาม
“เจ้าหญิงของคุณกำลังมีความรักและมีความทุกข์ในเวลาเดียวกัน”
“ผมไม่อยากเห็นลูกเศร้าแบบนี้เลย”
“คุณควรปล่อยให้หนูอินมีความสุขกับคนที่แกรัก ฉันเชื่อใจภิสิต เขาเป็นคนดี ดูแลลูกสาวเราไปได้ตลอดชีวิต อนาคตของลูกอยู่ที่คุณจะยอมรับได้มั้ย”
อัษฎาคิดอย่างสับสน ลังเล
“ให้ผมรับเพื่อนมาเป็นลูกเขยเนี่ยนะ”
ที่ห้องประชุม บริษัทอัษฎา บนจอโปรเจ็คเตอร์เป็นภาพวาดคอนโดหรูทันสมัย เวศม์กำลังนำเสนอโครงการคอนโดต่ออัษฎา สมศักดิ์ และกรรมการคนอื่นๆ
“คอนโดสำหรับคนทำงานในเมืองตอนนี้มีจนล้นตลาด ผมจะอัดแคมเปญพิเศษข้อเสนอทางการเงินที่ลูกค้าปฏิเสธไม่ได้”
อัษฎากับสมศักดิ์พยักหน้าพึงพอใจที่เวศม์มีแนวคิดแปลกใหม่มานำเสนอ
“ดิฉันจะเป็นคนรับผิดชอบ ในการออกแบบคอนโดนี้ค่ะ การตกแต่งที่นี่เราจะเน้นโคซี่ อบอุ่น สบาย น่าอยู่ ให้รู้สึกว่าเหนื่อยกับนอกบ้านแค่ไหน แค่เปิดประตูห้องเข้ามาก็จะรู้สึกผ่อนคลายค่ะ” อุรวสาเสนอ
สมศักดิ์กับอัษฏาหันมองกัน ยิ้มพอใจ เมื่อเห็นว่าเวศม์กับอุรวสาทำงานเข้าขากันอย่างดี
บริเวณมุมรับรองในห้องทำงานอัษฎา ทุกคนกำลังจิบกาแฟกับของว่าง อุรวสายกถ้วยกาแฟมาจิบไปนิดเดียว แล้วรู้สึกเหม็น ๆ ชอบกล อัษฎาเดินเข้ามาหา
“กรรมการบริษัทพอใจกับโครงการนี้มาก ไม่มีเสียงค้านเลย”
“โครงการนี้เป็นก้าวสำคัญของบริษัท มันจะต้องแข็งแรงและมั่นคง”
อัษฏาเหลือบตามองเวศม์ ก่อนจะพูดเหมือนพูดลอย ๆ ไม่เจาะจง
“ขอบใจนะ”
เวศม์ยิ้มปลื้ม อุรวสากับสมศักด์พลอยอมยิ้มไปด้วย เมื่อเห็นว่าอัษฏาดูท่าทีอ่อนลงกับเวศม์
“วสาไปทำงานก่อนนะคะ”
อุรวสาเก็บของแล้วลุกขึ้นเดินออกไปแต่เกิดวูบหน้ามืดจนต้องจับโต๊ะประคองตัวเอง ทุกคนตกใจ อัษฎาประคองอุรวสาไว้อย่างเป็นห่วง
“คุณวสา เป็นอะไร”
“มันวูบๆ ค่ะ กินกาแฟเข้าไปตะกี้แล้วเหม็นพิกล กินแล้วเวียนหัวค่ะ”
“ผมเดินไปส่งมั้ย”
“ไม่เป็นไร วสาไม่เป็นอะไรแล้ว”
อุรวสาทำท่าเหมือนไม่เป็นอะไร ให้ทุกคนไม่เป็นห่วง แล้วทำท่าจะเดินออกไป อัษฎาหันไปมองถ้วยกาแฟของอุรวสาแล้วเห็นว่าแทบไม่พร่อง เขามองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“คุณวสา อยู่คุยกับพ่อก่อนได้ไหม”
อุรวสาหันกลับมามองพ่อ
อัษฎานั่งคุยกับอุรวสาตามลำพัง
“เรื่องที่คุณวสาลาออกจากบริษัทเก่า มาทำงานกับพ่อ คุณวสาได้ปรึกษาแสงฉานรึยัง”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะคุณพ่อ แสงเองเคยพูดให้วสามาทำงานกับคุณพ่อหลายครั้งแล้ว เขาเห็นด้วยแน่นอน”
“นั่นสินะ อะไรที่เป็นความสุขของคุณวสา แสงฉานทำให้ได้ทุกอย่าง”
อุรวสามองพ่ออึ้ง ๆ อัษฏามองลูกด้วยสีหน้าจริงจัง
“มาถึงวันนี้พ่อมั่นใจ ว่าแสงฉานรักลูกสาวของพ่อจริง”
“แต่”
“แล้วพ่อก็เชื่อว่าคุณวสาเองก็รักเขาเหมือนกัน”
อุรวสานิ่งไป อย่างยอมรับ
“คนเราถ้ารักกัน ไม่ว่าปัญหาใหญ่แค่ไหนเราก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่ถือสาหาความกัน แต่ถ้าหมดรักแล้ว ไม่ว่าเรื่องเล็กแค่ไหน มันก็สามารถจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ให้ผิดใจกันได้เสมอ”
“วสากับแสง ไม่ได้ไม่รักกันนะคะ แต่เราไม่เข้าใจกันเลย”
“ถ้าคุณวสายังรักแสงฉานอยู่ พ่อก็อยากให้คิดดูให้ดี ว่าจะให้โอกาสเขาได้ไหม”
อัษฏามองลูกอย่างเมตตา อุรวสาคิดหนัก
“กว่าที่พวกลูกจะมาถึงวันนี้ ฟันฝ่าอะไรด้วยกันมาตั้งเท่าไหร่ อย่าให้ทิฐิมาทำลายความรักเลยนะคุณวสา”
อุรวสาเข้าใจในสิ่งที่พ่อสอน ขยับเข้ากอดพ่อไว้ อัษฏาลูบหัวลูกด้วยความรักเอ็นดู
อันตราเดินถือปึกจดหมายมาให้อุรวสาดู อุรวสากับอินทุอรกำลังช่วยกันเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนในห้องคอนโดของแสงฉาน
“จดหมาย บิลค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ในตู้ไปรษณีย์เป็นปึกเลยค่ะ”
“ แสงชอบลืมจ่าย เดี๋ยวโดนตัดอีก เอามาให้พี่ พี่จะไปจ่ายเอง”
อุรวสาเอาปึกจดหมายใส่ถุง แล้วดึงปลอกหมอนออกมา ส่งให้อินทุอร
“แสงแพ้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เผลอนอนไปเป็นผื่นทั้งตัว พี่ไม่ไว้ใจแม่บ้านที่คอนโด เอาที่บ้านของเรามาเปลี่ยนให้ ชัวร์กว่า”
“พี่แสงคงดีใจที่คุณวสาเป็นห่วง”
“เขาทำงานหนัก พี่ก็แค่อยากทำอะไรให้เขาบ้าง”
“แปลว่าพี่วสาจะให้โอกาสพี่แสงกลับมาคืนดีกันอีกใช่มั้ยคะ”
“ไม่รู้สิ แต่พวกเธออย่าบอกเขาเรื่องนี้นะ”
อันตรากับอินทุอรยิ้มดีใจ อุรวสานิ่งคิด แล้วก็เกิดรู้สึกผะอืดผะอม วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ อันตรากับอินทุอรตกใจ รีบวิ่งเข้าไปลูบหลังให้พี่สาว
“คุณวสาเป็นอะไร”
“พี่แพ้กาแฟที่บริษัทคุณพ่อ เดี๋ยวก็หาย เรารีบกลับกันเถอะ”
น้องทั้งสองรีบรวบรวมข้าวของ แล้วเดินออกไปจากห้อง อุรวสามองรูปแต่งงานของตัวเอง แล้วสะท้อนใจ ตัดใจเดินออกไปจากห้อง
เวศม์กับอุรวสากำลังนั่งดูแบบคอนโดที่อุรวสาเป็นคนออกแบบอยู่ที่สนามหน้าบ้านอัษฎา อันตรากำลังย่างบาร์บีคิว พร้อม ๆ กับแอบมองเวศม์
“ไหม้แล้วเจ้าอัน”
บราลีร้องทัก อันตราสะดุ้งแล้วรีบหันมากลับชิ้นเนื้อบนเตาบาร์บีคิว อัษฎาตักพันซ์ใส่แก้วส่งให้สมศักดิ์
“อารมณ์ไหน เรียกเพื่อนมาสังสรรค์ดูดาว”
“มันไม่น่ายินดีเหรอ ฉันป่วยเกือบตาย บริษัทใกล้ล้มละลาย แต่ก็กลับมายืนอยู่ตรงนี้ได้”
“ก็ต้องชมแกนั่นแหละ ไอ้นักสู้ยิบตา ฉันไม่เห็นแกท้อแท้เลยสักวัน”
“จะท้อทำไม ชีวิตคนเราตกต่ำไปถึงก้นเหว ก็ไม่มีทางไหนอีกนอกจากปีนขึ้นมา พอขึ้นมาแล้วก็อาจจะมีอะไรดี ๆ ที่คิดไม่ถึงรออยู่”
อัษฎามองไปที่เวศม์ที่นั่งทำงานกับอุรวสาอย่างคร่ำเคร่ง
“ใครจะไปนึกว่าคนที่เล่นงานบริษัทจนย่อยยับ จะกลายมาเป็นตัวจักรขับเคลื่อนบริษัทเรา”
อัษฎามองเวศม์อย่างชื่นชม
เวศม์นั่งทำงานกับอุรวสา เคร่งเครียด
“เราปรับพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นตัวเลือกของครอบครัวใหญ่ดีมั้ยครับ”
“งั้นลดขนาดมาสเตอร์เบดรูม มาเพิ่มพื้นที่ส่วนรวม เป็นอีกทางเลือกให้ลูกค้าแล้วกัน”
อุรวสาจดโน้ตคอมเม้นท์ของเวศม์ลงในสมุดบันทึก อันตราถือจานบาร์บีคิวกับเครื่องดื่ม 2 ชุดเข้ามาหาอุรวสา
“หิวมั้ยคะคุณวสา”
อันตรายื่นจานกับเครื่องดื่มให้อุรวสาแล้วลงนั่งข้าง ๆ เอาอาหารอีกชุดวางบนตัก
“ขอบใจจ้ะ”
เวศม์แบมือขอบ้าง
“ของผมล่ะครับ”
“ไม่มี”
“โห ทำงานก็เหนื่อย หิวก็หิว ไม่มีใครสนใจเลย”
อันตรามองจานของตัวเอง แล้วจำใจส่งให้ จริง ๆ ตั้งใจตักมาให้เวศม์ แต่เขิน ๆ
“ให้ก็ได้”
“ป้อนหน่อยสิ”
เวศม์อ้าปากรอ แกล้งถืองานสองมือให้เห็นว่ามือไม่ว่าง
“มือเป็นง่อยเหรอถึงกินเองไม่ได้”
อันตราหันไปมองอุรวสา อุรวสายิ้มขำ ๆ เพราะรู้ว่าสองคนนี้ชอบกัน
“เวศม์เป็นแขกคุณพ่อนะ ดูแลหน่อยสิเจ้าอัน”
เวศม์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำหน้าท่าทางสำคัญ รอรับการเอาใจจากอันตรา อันตราชักเอาเรื่อง
“ได้ค่ะ”
อันตราหยิบบาร์บีคิวไม้โต ๆ ยัดใส่ปากเวศม์จนเต็มปาก แล้วหัวเราะสะใจ
“กินซะให้อิ่มนะ จะได้มีแรงทำงาน”
“เจ้าอัน ไปแกล้งเขาทำไม เกเรนะเรา” อัษฎาต่อว่า
อันตราหน้ามุ่ย เวศม์ถือบาร์บีคิวออกจากปากแล้วพยายามกลั้นหัวเราะ อันตราทำตาเขียวใส่เวศม์
“ไปตักมาให้เวศม์ใหม่จานหนึ่งซิเจ้าอัน”
อันตราอิดออด ไม่อยากไป
“ค่ะ”
อันตราลุกไป เวศม์รีบตามไป
“ผมไปด้วยครับ”
อันตรากับเวศม์เดินมาที่เตาบาร์บีคิว
“นายทำเสน่ห์ใส่พ่อฉันเหรอ”
“ทำใส่พ่อคุณทำไม ทำใส่คุณไม่ดีกว่าเหรอ”
เวศม์ทำตาเจ้าชู้ใส่อันตรา อันตรายกหมัดเป็นเชิงขู่ เวศม์หัวเราะ อัษฎากับอุรวสาเดินไปร่วมวงกับสมศักดิ์ บราลี และเพื่อน ๆ ของอัษฎา
“นาน ๆ มากันพร้อมหน้าแบบนี้ก็สนุกดีเนอะ เมียแกแก่ไปถึงไหนแล้วล่ะ” สมศักดิ์แซวเพื่อน
“ทะลึ่ง อัษ ภิสิต น้องรักของแกยังไม่มาเหรอ”
อัษฎาใจหาย หน้าหม่นลงไป เมื่อคิดถึงน้องรักที่บาดหมางใจกันจนมองหน้าไม่ติด อันตรา อุรวสา และบราลีมองอินทุอรอย่างสงสาร อินทุอรเหม่อ ๆ เอามือลูบที่สร้อยข้อมือที่ภิสิตให้อย่างเศร้าๆ
กลางคืน แสงฉานล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป ลุกขึ้นดูผ้าปูที่นอน เดินไปดูที่มุมเตียง แล้วเห็นว่าผ้าปูที่นอนมีการพับจีบเป็นมุมสวยงาม เขานึกถึงในอดีตเมื่ออยู่กับอุรวสา เขากับอุรวสาช่วยกันปูผ้าปูที่นอน จับผ้าคนละฝั่ง เขาจับชายผ้าปูที่นอนยัดลงใต้เบาะแบบลวก ๆ อุรวสาเดินมาดึงชายผ้าปูที่นอนที่เขายัดไว้ออกมาคลี่แล้วพับให้ดูก่อนจะสอดเข้าไปใต้เบาะ
“ทำแบบนี้ที่นอนจะได้สวย ๆ ตึงๆ นอนหลับสบายนะคะ”
แสงฉานทำตาเจ้าเล่ห์
“ไม่จำเป็นหรอก”
แสงฉานรวบตัวอุรวสากลิ้งลงไปบนเตียงด้วยกัน มองภรรยาตาฉ่ำ
“นอนกอดคุณทุกคืนก็สบายแล้ว”
แสงฉานดึงผ้านวมมาคลุมตัวทั้งสองคน
คืนนั้น อุรวสาตลบผ้าคลุมเตียงออก มือหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือคุยกับแสงฉานไปด้วย
“ฉันทำตามหน้าที่ แต่หน้าที่ฉันใกล้จบแล้ว คุณควรหัดดูแลตัวเองซะที”
แสงฉานคุยโทรศัพท์ด้วยความซาบซึ้ง อบอุ่นใจ
“มีคุณคนเดียวในโลกที่เอาใจใส่ผม คราวหน้าคุณมา บอกผมก่อนนะ ความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณตอนนี้ ใช้คำว่าคิดถึงยังน้อยไป”
แสงฉานออดอ้อน อุรวสาเผลอยิ้มออกมานิด ๆ รู้สึกดีที่ได้ทำอะไรให้แสงฉาน แต่ใจหนึ่งก็ยังคิดถึงเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่
“ฉันกำชับแม่บ้านคอนโดแล้วคงไม่มีธุระอะไรต้องไป”
แสงฉานจ๋อย
“อ้อ ฉันซื้อวิตามินให้แล้ว กินให้ครบ อย่าให้ขาด เพราะถ้าป่วย จะไม่มีใครดูแล แค่นี้นะ ฉันจะนอน”
อุรวสาวางสายอมยิ้มนิดๆ แสงฉานยิ้มกับโทรศัพท์ ก่อนจะเอาโทรศัพท์มาแนบอก ดีใจที่อุรวสายังเป็นห่วง
ตอนเย็น อันตราเดินมาที่หน้าห้องประชุมของบริษัท เพื่อมารับอัษฎากลับ เลขาอัษฎาเปิดประตูออกมา อันตรามองลอดประตูเข้าไปเห็นเวศม์กำลังพรีเซ็นต์งานกับอัษฎาและผู้ร่วมประชุมอื่นๆ เวศม์ดูดีน่าเชื่อถือมาก อันตรายิ้มนิดๆ
“ให้ไปเรียนคุณอัษฎามั้ยคะว่าคุณอันมารับ”
“ไม่ต้องค่ะ”
เลขาเดินไป อันตราถอยไปหาที่นั่งในมุมหนึ่ง หยิบโทรศัพท์มือถือมานั่งเล่นเกมฆ่าเวลา
สามใบไม่เถา ตอนที่ 11 (ต่อ)
เวลาผ่านไป อันตรานั่งหลับคอพับ เวศม์ก้มหน้าลงมามองแล้วอมยิ้มอย่างเอ็นดู เขาถอดเสื้อสูทออกมาห่มให้ แล้วใช้มืดปัดผมที่ติดอยู่บนหน้าอันตรา แต่เผลอไผลใช้ปลายนิ้วแตะที่แก้มใสของหญิงสาวเบาๆ
สายตาเต็มไปด้วยความรัก อันตรารู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมา เห็นมือเวศม์อยู่ที่แก้มก็คว้ามือ ลุกขึ้น ตวัดแขนเวศม์ไพล่ไปด้านหลังอย่างเร็ว เวศม์ไม่ออกแรงต่อสู้เลย ปล่อยให้อันตราจับโดยดี
“กล้าแต๊ะอั๋งฉันเหรอ”
พอเวศม์ไม่ออกแรงขัดขืน อันตราก็เผลอออมแรง เวศม์เลยได้จังหวะ พลิกตัวบิดแขนดึงอันตราเข้ามาชิดตัวเอง
“ผมเนี่ยนะแต๊ะอั๋ง พ่อคุณได้ถีบผมตกตึกน่ะสิ”
อันตราพยายามดึงตัวเองออก แต่เวศม์แกล้งไม่ยอมปล่อย แถมยังยิ้มล้อ ๆ ตากรุ้มกริ่ม
“ผู้ชายไว้ใจไม่ได้สักคน”
อันตราพูดจริง เวศม์เลยจ๋อย ปล่อยมือ
“คุณก็มองผู้ชายในแง่ร้าย คนดี ๆ ไว้ใจได้ก็มี”
“ผู้ชายดี ๆ ที่ฉันเคยเจอมีพ่อคนเดียว นอกนั้นก็เป็นพวกโกหกเชื่อใจไม่ได้ ไม่มีความซื่อสัตย์”
อันตราพูดอย่างเจ็บปวด เมื่อนึกถึงความหลัง
“หมายถึงคนในอดีตของคุณ”
อันตราไม่ตอบ แต่แววตาปวดร้าวของเธอเป็นคำตอบชัดเจน
“คุณไม่ควรเอาอดีตมาตัดสินผู้ชายทุกคน เพราะอาจจะมีบางคนตั้งใจทำความดีให้คุณเห็นว่าเขารักคุณจริง”
เวศม์พูดอย่างจริงจัง และจริงใจ
“ลองเปิดใจให้โอกาสคน ๆ นั้นบ้างสิ”
“หัวใจของฉันรับความผิดหวังไม่ได้อีกแล้ว ทางที่ดีอย่ายุ่งกับฉันดีกว่า”
“อันตรายืนยันอย่างหนักแน่น แต่เวศม์ก็ยังคงแสดงความตั้งใจจริงออกมาทางสายตา
ตอนเช้า เวศม์นั่งคุยงานกับอัษฎาที่บ้าน บราลีรินกาแฟกับอาหารเช้าให้สามีกับเวศม์ เวศม์พูดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง อัษฎาถูกใจ ตบไหล่เวศม์ เสียงดัง
“โอเคเลย ผมซื้อ ไอเดียคุณเฉียบมาก สมฉายาพ่อมดหนุ่มแห่งวอลล์สตรีท”
สามสาวแอบดูอยู่ไกล ๆ อันตรามองเวศม์อย่างหมั่นไส้
“คุณพ่อปลื้มคุณเวศม์สุด ๆ เลยนะคะ” อินทุอรยิ้มดีใจ
“ไม่ถูกใจได้ไง ตั้งใจทำงานแล้วยังมีหัวด้านธุรกิจเหมือนคุณพ่อ” อุรวสาชื่นชม
“ไม่เห็นเหมือนเลย คุณพ่อดีกว่า เก่งกว่าตั้งเยอะ” อันตราเถียง
เหมือนรู้ว่ากำลังโดนนินทา เวศม์หันมาทางสามสาวที่แอบดูอยู่ อันตรารีบดึงพี่น้องหลบวูบ เวศม์อมยิ้ม
ที่โรงรถบ้านอัษฎา อันตราขนถุงใส่ของกับกล่องใบใหญ่ใส่ท้ายรถ เวศม์กำลังเดินมาขึ้นรถตัวเอง เห็นอันตราก็เข้ามาช่วย
“เอาหนังสือเรียนกับของเล่นไปไหนครับ”
“เอาไปบริจาค”
“ดีเลย รอเดี๋ยว”
อันตรางง เวศม์รีบเปิดท้ายรถตัวเอง หยิบถุงใบใหญ่ออกมา
“ผมแยกเสื้อผ้ากับหนังสือไว้นานแล้ว ยังไม่ว่างเอาไปบริจาค ให้ผมไปด้วยนะ”
เวศม์ทำตาแป๋วอ้อน ๆ อันตราลังเล
บริเวณไซต์งานก่อสร้างของบริษัทอัษฎา เวศม์ยิ้มแฉ่ง ช่วยอันตรายกข้าวของบริจาคเดินไปทางแคมป์คนงาน
“คุณพ่อชอบคุณนะ”
“คุณพ่อคุณให้โอกาสและให้เกียรติผมมาก ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อคุณผิดหวังที่ไว้ใจผม”
“ก็ดีค่ะ โอกาสอาจจะมีหลายครั้ง แต่ความไว้ใจเสียแล้วเสียเลยไม่มีครั้งที่สอง”
“จะมีวันที่คุณไว้ใจผมบ้างมั้ย”
“ฉันเคยไว้ใจคนผิด คงจะไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ ถึงไว้ใจได้ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“เอางี้มั้ย ผมท้าให้คุณลองไว้ใจผมสักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ดูก่อน รับรองว่าคุณไม่ผิดหวัง”
“ความไว้ใจเป็นเรื่องที่ขอกันไม่ได้ แต่จะได้รับเมื่อพิสูจน์ตัวเองว่ามีค่าพอ”
อันตราพูดจบก็เดินหนีไป เวศม์เกิดความหวังตั้งใจพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น
อันตรากับเวศม์ช่วยกันถือถุงกับกล่องเข้ามาที่แคมป์คนงานก่อสร้าง เด็ก ๆ กำลังเตะบอลกัน คนหนึ่งเตะมาทางเวศม์พอดี เวศม์เลยเตะบอลคืนให้เด็ก ๆ เด็ก ๆ เห็นอันตราก็ดีใจ
“คุณอันเตะบอลด้วยกันมั้ยครับ”
อันตรากำลังจะปฏิเสธ แต่เวศม์ตรงเข้าไปเลี้ยงบอลแย่งกับเด็ก แล้วหันไปบอกอันตรา
“แข่งกันเอาเปล่า”
“ชนะแล้วได้อะไร”
“ถ้าผมชนะคุณต้องลองคบกับผม ถ้าผมแพ้คุณขออะไรก็ได้จากผมอย่างหนึ่ง”
“โอเค”
เวศม์กับอันตราแยกไปอยู่คนละทีม แล้วเริ่มเล่นด้วยกัน มีทั้งแย่งบอลกัน แข่งกันทำประตู ทุกคนต่างสนุกสนาน ทีมของอันตราชนะ เด็ก ๆ ร้องเฮกันยกใหญ่
อันตรากับเวศม์ช่วยกันแจกหนังสือ เครื่องเขียน กับของเล่นให้เด็ก ๆ
“เสื้อผ้าที่คุณพ่อให้มาแจกคราวที่แล้วใส่ได้มั้ยคะ”
“ได้ค่ะ คุณอัษฎาหายป่วยรึยังคะ”
“หายแล้วค่ะ”
คนงานหญิงไหว้พระท่วมหัว
“คุณพระคุ้มครองคนดี พวกเรามีงานทำ เจ็บป่วยก็ได้รักษา ลูกได้ไปโรงเรียนก็เพราะคุณอัษฎานี่แหละค่ะ”
อันตรายิ้ม เวศม์ฟังแล้วทึ่งในความใจดีของอัษฎา
เวลาต่อมา เวศม์กับอันตราเดินคุยกันในสวนสาธารณะ
“คุณพ่อสอนให้รักคนงานเท่ากับที่เรารักงาน เพราะถ้าไม่มีพวกเขา เราก็ไม่มีวันได้งานที่ดี แล้วถ้าบริษัทพ่อฉันล้ม ชีวิตคนพวกนี้จะเป็นยังไง”
เวศม์รู้สึกผิด
“ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย”
“เพราะคุณเกิดมาบนกองเงินกองทอง เป็นนักเรียนนอก ไม่เคยลำบาก ไม่รู้ว่าความหิวเป็นยังไงรู้จักแต่ใช้เงินต่อเงินสร้างความสำเร็จให้ตัวเอง คุณก็เลยลืมคนที่ลำบากกว่าคุณ”
เวศม์อึ้ง พูดอะไรไม่ออก เพราะทุกอย่างที่อันตราพูด เป็นความเข้าใจผิดทั้งสิ้น
“จริงที่ผมต้องการความสำเร็จ แต่ผมก็สร้างมันด้วยมือของตัวเอง”
“คุณจะพูดยังไงก็ได้ แต่ฉันตั้งใจไว้แล้วว่า ฉันจะคบกับผู้ชายที่ดีเท่าพ่อ”
“เปิดโอกาสให้ผมสิ ผมจะพิสูจน์ว่าคือคนที่ใช่”
“เมื่อกี้คุณแพ้ คุณสัญญาแล้วว่าฉันจะขออะไรก็ได้”
“สัญญาของลูกผู้ชาย คำไหนคำนั้น”
“ฉันขอให้คุณเลิกยุ่งกับฉัน”
เวศม์อึ้ง ไม่คิดว่าอันตราจะเล่นไม้นี้ อันตราเดินไป เวศม์ได้แต่เสียใจ
อันตรานั่งมองรูปอัษฎาถ่ายกับบราลีที่วางตกแต่งในห้องนั่งเล่น สลับกับดูรูปพ่อแท้ ๆ ที่เป็นตำรวจในกรอบรูป บราลีเดินผ่านมาเห็นก็ลงนั่งข้าง ๆ
“คิดถึงพ่อเหรอ”
อันตราพยักหน้าแต่ในใจยังครุ่นคิด
“ผู้หญิงคนหนึ่งได้พบผู้ชายดี ๆ สักคนก็ถือว่าเป็นบุญ แต่คุณแม่โชคดีกว่าใครที่เจอถึงสองคน”
“สักวันลูกต้องได้เจอกับคนดี ๆ ที่เหมาะสมกับลูก”
บราลีดึงอันตรามากอด
“อันอยากเจอคนที่ดีเหมือนพ่อ”
“คนเกิดมาไม่เหมือนกัน แค่ลายนิ้วมือยังไม่ซ้ำกัน จะให้เหมือนกันได้ยังไง แค่ได้เจอคนที่อยากเป็นคนดีที่สุดเพื่อเราก็พอแล้ว”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเขาคือคนนั้น”
“เมื่อลูกรักใครจริง ๆ หนูจะรู้เอง”
อันตราครุ่นคิด ก่อนที่โทรศัพท์มือถือของเธอจะดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ อ๋อ ได้ค่ะ นักสืบอันตรายินดีให้บริการ”
อันตราลุกขึ้นยืน ท่าทางกระฉับกระเฉง
“มีงานให้โชว์ฝีมืออีกแล้ว อันไปก่อนนะคะแม่”
อันตราหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ ก่อนวิ่งออกไปจากห้อง บราลีมองตามลูก ส่ายหน้าขำ ๆ กับความทะโมนของลูกสาวคนนี้
ที่สำนักงานนักสืบอันตราผู้หญิงคนหนึ่งหยิบรูปสามีวางบนโต๊ะให้อันตราดู
“นี่รูปไอ้แก่ ส่วนนี่ที่ ๆ มันกำลังนัดไปพบกัน”
“โหเจ๊ ก็สืบได้หมดแล้วนี่ ต้องมาจ้างฉันทำไมอีกล่ะ”
“อั๊วแอบดูโทรศัพท์มันเมื่อคืน นัดเจอกันแล้วพวกมันก็คงพากันไปปีนต้นงิ้วต่อ อั๊วอยากได้รูปหลักฐาน อั๊วจะฟ้องหย่ามันเอาให้หมดตัวเลย”
“โอเคเจ๊ อันตราจัดให้”
อันตราหยิบรูปมาดู สักครู่เจ๊มายืนส่งอันตราที่หน้าสำนักงาน อันตราขึ้นมอเตอร์ไซค์
“รีบไปเลยนะ ป่านนี้มันคงอยู่ที่ร้านแล้ว”
อันตรายิ้มให้เจ๊ ทำมือเป็นเครื่องหมายโอเค ก่อนออกรถไป เจ๊มองตาม ก่อนหยิบมือถือออกมาโทร
“คุณศศิคะ เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เวศม์นั่งซึมอยู่ในร้านกาแฟ คำพูดปฏิเสธของอันตรายังก้องอยู่ในหัว เขารู้สึกอกหัก สิ้นหวังในตัวอันตรา ศศิพิมลก้าวเข้ามาในร้านกาแฟ เวศม์เศร้า ใจลอย ไม่เห็น
“เวศม์”
เวศม์สะดุ้ง
“พี่เอาแผนธุรกิจที่เมืองนอกมาให้เวศม์ช่วยดู”
ศศิพิมลยื่นแฟ้มเอกสารบาง ๆ ให้เวศม์ เวศม์พลิกดูแล้วปิดแฟ้ม อันตราเปิดประตูร้านเข้ามา ยกรูปในมือขึ้นดูก่อนมองไปรอบ ๆ ร้าน ทำหน้าสงสัย
“อยู่ไหนนะ ไม่เห็นมี”
อันตราเห็นเวศม์กับศศิพิมล เธอรีบหลบไปนั่งในจุดที่มองเห็นทั้งคู่ชัด แต่ทั้งคู่ไม่เห็นเธอ
“ผมปวดหัว ขอเอาไปดูที่บ้านนะครับ”
“เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”
ศศิพิมลเอามืออังหน้าผากเวศม์อย่างเป็นห่วง
“ผมแค่ทบทวนดูว่าชีวิตนี้เคยทำความดีอะไรไว้บ้าง แล้วก็ได้คำตอบว่าเราไม่ใช่คนดีเอาซะเลย”
“ไม่จริง เวศม์เป็นคนดีที่สุดเท่าที่พี่เคยเจอ”
“ผมไม่เคยดีพอสำหรับผู้หญิงที่ผมรักสักคน”
เวศม์เศร้าๆ ศศิพิมลสะอึก เพราะเธอก็เคยทิ้งเวศม์ไป
“พี่ขอโทษนะเวศม์ พี่ผิดไปแล้ว ถ้าพี่ย้อนเวลากลับไปได้ พี่จะไม่ทำให้เวศม์เจ็บ”
ศศิพิมลร้องไห้ออกมาอย่างรู้สึกผิด มองเวศม์ด้วยสายตาเศร้า เวศม์มองเธออย่างสงสาร นึกถึงความหลังที่เคยมีต่อกัน เวศม์สงสาร ใช้มือเช็ดน้ำตาบนแก้มให้ศศิพิมลอย่างอ่อนโยน อันตรามองภาพนั้นอย่างเสียใจ กัดริมฝีปากแน่น แยกจากเธอไม่นานเวศม์ก็มาหาศศิพิมล
“อย่าคิดมากเลยครับ เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว มันเป็นแค่อดีต”
“รบกวนเวศม์มาเยอะแล้ว พี่กลับก่อนนะ”
ศศิพิมลลุกยืน แล้วทำเป็นเซวูบ เวศม์รีบลุกมารับไว้ ศศิพิงเข้ากับอกเวศม์ทำเป็นระทวยไม่มีเรี่ยวแรง อันตรามองภาพนั้น ในมุมของเธอเหมือนสองคนกำลังกอดกัน
“พี่ศศิเป็นอะไรไปครับ”
“ไม่รู้เหมือนกัน จู่ ๆ มันก็เวียนหัว เวศม์ช่วยพาพี่ไปส่งที่รถหน่อย”
“ได้ครับ”
เวศม์เดินกอดประคองศศิพิมลเดินออกมา ผ่านที่อันตรานั่งอยู่ไม่ไกลนัก อันตราหลบวูบ ไม่ให้ทั้งคู่เห็น แต่ตอนที่เดินผ่านแถวที่อันตราอยู่ ศศิพิมลก็ปรายตามองสะใจ
เวศม์นั่งทำงานไปสักพักก็รู้สึกคิดถึงอันตรา แต่พอนึกถึงว่าความหวังในเรื่องอันตรามาถึงทางตัน
เขาก็ถอนหายใจยาว ปิดโน้ตบุ้คที่ทำงานค้างอยู่ แล้วหยิบแฟ้มเล็ก ๆ ขึ้นมาเปิดดู ในแฟ้มมีรูปเวศม์กับเด็ก ๆ หลายคนกับซองจดหมายที่เปิดแล้วและยังไม่เปิด เวศม์มองรูปแล้วยิ้มอารมณ์ดีขึ้นทันที เปิดซองจดหมาย แล้วดึงกระดาษกับรูปถ่ายเด็กผู้ชายถือประกาศนียบัตรยิ้มแฉ่งออกมาอ่าน
“ผมเรียนจบป.หกแล้วครับ”
เวศม์ยิ้มอย่างชื่นใจ ดีใจ เปิดจดหมายซองอื่น ๆ มาดูรูปเด็ก ๆ มีการ์ดอวยพร กระดาษเขียนจดหมายลายมือเด็กๆ
กลางคืน อันตรานอนคว่ำ เอาหน้าซุกหมอน อุรวสากับอินทุอรเดินตามเข้ามาในห้องนอน มองอาการของอันตรางงๆ
“เจ้าอัน จะนอนทั้งชุดนี้เลยเหรอ”
อันตราตอบเสียงอู้อี้ ไม่ยอมเอาหน้าออกจากหมอน
“ฮื่อ อันปวดหัว”
“กินยารึยังคะ เดี๋ยวอินไปเอามาให้”
“กินแล้ว”
อุรวสากับอินทุอรหันมามองหน้ากันงง ๆ
“งั้นนอนพักเยอะ ๆ จะได้หายเร็ว ๆ”
อุรวสาหันมาพยักหน้าให้อินทุอรเดินออกไปจากห้อง ทันทีที่เสียงประตูปิดลง อันตราเงยหน้าขึ้นมาจากหมอน น้ำตาอาบเต็มแก้ม
“จะร้อง ให้กับคนแบบนั้นทำไมวะ”
อันตราใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกด้วยความเจ็บใจ แต่ใจก็ปวดร้าว เสียใจมากจนน้ำตาไหลออกมาอีก
จบตอนที่ 11