เนตรนาคราช ตอนที่ 11
คบเพลิงนับสิบ นักดาบนำหน้าและล้อมหลัง ตรงกลางคือสองพี่น้อง อัศวินและรัตนากร เห็นทั้งกลุ่มเดินมาหยุดตรงลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง
พี่ชายพยักหน้า น้องชายเดินไปหยุดตรงหน้าผนังถ้ำด้านหนึ่ง ยกมือพนมบริกรรมคาถา แล้วกระชากมีดออกจากเอวกรีดที่ฝ่ามือของตน จากนั้นเอาฝ่ามือทาบตรงกำแพง อัศวินกับรัตนากรจ้องอย่างตื่นเต้น ทันใดนั้นมือของคนน้องผ่านกำแพงเข้าไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้องชายดึงมือกลับ ในมือมีกระบอกทองเหลืองติดมา
“กระบอกแผนที่”
รัตนากรหันมากระซิบกับอัศวินเบาๆ
“รัตน์เคยฝันว่ามาที่นี่แล้วกับคุณพ่อ”
“แน่ใจเหรอ”
“กระบอกแผนที่ยังอยู่กับเรา” พี่ชายบอก
“เราถึงไม่เชื่อท่านในตอนแรก แต่ผ่านไป 500 ปี นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” น้องชายบอก
“แต่เราได้กระบอกแผนที่มาแล้วจริงๆ”
น้องชายมองหน้าพี่ชาย พี่ชายพยักหน้า
“ได้ เจตนาเราต้องการจะรู้เหมือนกันว่าท่านพูดจริงหรือเท็จ ส่งมือท่านออกมา”
รัตนากรยื่นมือออกไป น้องชายชักมีดขึ้นมาทาบบนฝ่ามือของรัตนากร
“ท่านพร้อม”
“เชิญ”
น้องชายปาดมีดลงบนฝ่ามือของรัตนากร เลือดซึมออกมาบนฝ่ามือ แล้ววางกระบอกแผนที่ลงบน
ฝ่ามือของรัตนากร รัตนากรรับไว้ อัศวินเครียด มือเลื่อนไปที่เอวอย่างช้าๆ
“เท็จจริงจะรู้กันในไม่ช้า”
ทันใดนั้นกระบอกแผนที่เรืองแสงวาบหนึ่ง พี่น้องต่างมองหน้ากัน อัศวินกับรัตนากรคาดไม่ถึง
“ท่านลองเปิดกระบอกแผนที่ดู”
รัตนากรค่อยๆ เปิดฝากระบอกแผนที่ออกช้าๆ ฝาหลุดติดมือออกมาอย่างง่ายดาย สองพี่น้องตกใจ
“ท่านเกิดปีมะโรง วันที่ 8 เดือน 8”
รัตนากรมองหน้าอัศวิน
“ท่านรู้ได้ยังไง”
“เพราะเราสองคนพี่น้องเกิดปีมะโรง วันที่ 8 เดือน 8 เช่นกัน เพียงแต่คนละปี”
รัตนากรตื่นเต้น เพราะตนเองเคยเห็นแล้วในความฝัน กระซิบเบาๆ กับอัศวิน
“เป็นเหมือนเหตุการณ์ในฝันไม่ผิดเลย”
“พี่บอกแล้วว่ารัตน์ต้องเกี่ยวพันกับเนตรนาคราช”
โจซิงนำขบวนตามเข้ามาในถ้ำ
“สองคนนั่นหายไปไหนแล้ว”
“ดูนั่น”
ทั้งหมดเห็นนักดาบยืนอยู่ 5 คน ต่างจ้องเตรียมพร้อมที่จะบุกเข้ามา พวกโจซิงต่างยกปืนเตรียมพร้อม
“อะไรกันวะ” โจซิงง
“บอกแล้วว่าเป็นกับดัก” อังโซะไม่พอใจ
รัตนากรยังคงเล่าให้สองพี่น้องฟังต่อ
“เรา เรา เคยมาที่นี่แล้วกับคุณพ่อของเรา เราเคยพบท่านแล้ว แล้วก็”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นขึ้น
“เสียงอะไร”
นักดาบกระเด็นเข้ามาในถ้ำเลือดอาบ
“เจ้า เจ้า มีพวกเจ้าลอบทำร้ายเรา”
เสียงปืนยังดังสนั่นเข้ามา
“ฆ่าพวกมัน”
พี่ชายสั่ง อัศวินกับรัตนากรคาดไม่ถึง พวกนักดาบพุ่งเข้าหา ฟันดาบเข้าใส่ อัศวินกับรัตนากร หลบวูบพร้อมกัน แล้วพุ่งเข้าหาสองพี่น้องอย่างรวดเร็ว อัศวินคว้าคนพี่ รัตนากรคว้าคนน้อง ทั้งสองชักปืนออกมา อัศวินยิงเปรี้ยง ฝาถ้ำกระจุย ทุกคนหยุดด้วยความตกใจ เสียงปืนข้างนอกดังสนั่นใกล้เข้ามา
“เรามีอาวุธเหมือนกับพวกที่ทำร้ายพวกท่าน พวกมันคือศัตรูที่ตามเรามา”
“ท่านต้องรีบหนี” รัตนากรบอก
เสียงปืนดังสนั่นใกล้เข้ามา เสียงคนร้อง นักดาบต่างตื่นเต้นเตรียมพร้อม นักดาบวิ่งเข้ามารายงาน
“ศัตรูมีอาวุธประหลาด พวกเราต้านไม่อยู่”
“พวกท่านไม่มีทางต้านอาวุธร้ายของพวกมันได้”
“ถ้าท่านสองคนเป็นอะไรไป ประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนแปลง จะมีผลต่อการค้นหาเนตรนาคราช และอันตรายจะเกิดขึ้นกับมวลมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
พี่น้องต่างจ้องหน้ากันแล้วพยักหน้า
“ท่านควรรีบเก็บแผนที่ของท่านเสียก่อน”
น้องชายรีบไปที่กำแพง ท่องมนต์ แล้วยื่นมือพร้อมแผนที่เข้าไปในผนังถ้ำ ซ่อนแผนที่ไว้เรียบร้อย ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นขึ้น กระสุนถูกนักดาบทรุด
“รีบไป เราจะต้านพวกมันไว้” รัตนากรบอก
“นักดาบของเราส่วนหนึ่งจะอยู่ช่วยท่าน” น้องชายพูดขึ้น
“ลาก่อน ขอให้การเดินทางของท่านสำเร็จปลอดภัย” พี่ชายอวยพร
อัศวินพยักหน้ารับ สองพี่น้องกับนักดาบอีกสองคนพุ่งเข้าไปในถ้ำ เหลือรัตนากร อัศวิน กับนักดาบอีกสามคน
“พวกท่านรีบซ่อนตัวหาโอกาสจู่โจมประชิดตัวเท่านั้น”
“อาวุธของพวกมันร้ายแรงมาก”
นักดาบสองคนพยักหน้าแล้วซ่อนตัวหายไปตามหลืบโพรงของถ้ำ เสียงปืนดังสนั่นเข้ามาอีกชุดใหญ่ รัตนากรกับอัศวินต่างมองหน้ากัน ตื่นจากภวังค์
“เอ๊ะ เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“พี่ พี่ก็นึกไม่ออกแล้ว”
ทันใดนั้นทีมงานของโจซิงพุ่งเข้ามาสองสามคน รัตนากรยิงเฉียดขู่ พวกมันหลบถอยได้ทัน ไม่กล้าโผล่หัวออกมา
ทันใดนั้นทีมงานของโจซิงพุ่งเข้ามาสองสามคน รัตนากรยิงเฉียดขู่ พวกมันหลบถอยได้ทัน ไม่กล้าโผล่หัวออกมา
“สวัสดีครับผู้กอง ผู้กองคงไม่ว่าถ้าผมจะออกไปคุยด้วย” โจซิงพูดกวนๆ
“พวกมันมาได้ยังไง” รัตนากรแปลกใจ
“มันคงแยกขบวนตามเรามาเหมือนกัน”
“เชิญ”
เสียงอัศวินเชื้อเชิญ โจซิงโผล่ออกมาพร้อมอังโซะ กับทีมงาน 5 คน ทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญหน้ากัน อัศวินกับรัตนากรยืนอยู่ในมุมเหมาะสมมีที่กำบัง
“นายคิดจะทำอะไรโจซิง”
“ผู้กอง อย่าลวดลาย ส่งแผนที่มาซะดีๆ”
“แผนที่หายไปแล้ว”
“แล้วอะไรที่แขวนอยู่ตรงเอว คุณรัตนากร”
รัตนากรเอามือคว้าดู คาดไม่ถึง
“แผนที่ กลับมาได้ยังไง”
“อย่ามาลูกเล่นกับผมดีกว่า ส่งมา”
“ก็ได้”
อัศวินชักปืนสาดใส่พวกมันจนต้องหลบถอยกลับเข้าไป
“ก็ได้ ผมฆ่าผู้กองก่อนแล้วค่อยเอาแผนที่”
โจซิงกับพวกมันสาดกระสุนเข้าใส่อัศวินกับรัตนากร ทั้งสองพุ่งเข้าหลบหลังโขดหินที่กำบัง
ได้อย่างรวดเร็ว
“ผมเอาระเบิดมาด้วย คิดว่าจะปิดปากถ้ำฝังผู้กอง รอสักสองสามวันให้ผู้กองดับก่อนแล้วค่อยส่งคน
มาระเบิดถ้ำเอาแผนที่ก็ได้ ทางที่ดีส่งมาตอนนี้จะดีกว่า”
“แกได้แผนที่แล้ว แกก็ฝังพวกฉันอยู่ดี”
“ฉลาดเหมือนกันนี่”
พวกมันสาดกระสุนอีกจนอัศวินกับรัตนากรกระดิกตัวไม่ได้ โจซิงยิงใส่เพดานถ้ำจนเพดานเริ่มร่วงลงมา ทันใดนั้น นักดาบเข้ามาฟันลูกน้องโจซิง ร้องโหยหวน แล้ววูบหายไป โจซิงกับพวกตกใจ
“พวกเราระวังตัว”
รัตนากรกับอัศิศวินยื่นหน้าออกไปดู เห็น โจซิง กับ อังโซะ และพวกทีมงาน ต่างขยับตัวกราดปืนไปมารอบด้าน
“มันเป็นอะไรของมัน”
“พวกมันเจออะไรเข้าแล้ว”
ทันใดนั้นเงาอีกแว่บหนึ่งโผล่มาที่ทีมงานอีกคนหนึ่งของโจซิง ฟันฉับ ทีมงานร้องลั่น ร่างปลิวออกมา
โจซิงกราดยิงเข้าไป พบแต่ความว่างเปล่า
“พวกวิญญาณ”
“ถอยโว้ย เอาระเบิดมา”
อัศวินกับรัตนากรพยักหน้าให้กัน แล้วโผล่พรวดออกไปสาดกระสุนใส่พวกมัน แต่พวกมันหลบหายถอยไปได้ทัน ระเบิดลอยเข้ามาตกกับพื้น 3-4 ลูก
“ระวัง”
อัศวินพุ่งดันรัตนากรออกไป ระเบิดตูมไฟท่วม
เวลาผ่านไป ควันเริ่มจากลง อัศวินหยิบคบไฟที่ตกอยู่ขึ้นมาให้แสงสว่าง รัตนากรพิงผนังถ้ำอยู่
อัศวินพบว่าตัวเองกับรัตนากรอยู่ในบริเวณที่ประมาณ 30 ตารางเมตร มีก้อนหินใหญ่บ้างเล็กบ้างถล่มทับปิดรอบด้าน เขารีบประคองรัตนากรให้ลุกขึ้นมา
“รัตน์ไม่เป็นไรนะ”
โจซิงกับพวกพากันถอยออกมาพ้นถ้ำ แล้วยิงกราดเข้าไปในถ้ำ โจซิงยกมือให้ทุกคนหยุด
“ไอ้พวกนักดาบนั่นมาได้ยังไง หรือว่าพวกวิญญาณมีจริง” อังโศะคาดเดา
โจซิงขยับปืนในมือ
“แน่จริงก็โผล่มาอีกซิวะ”
ทันใดนั้นมีแสงวูบวาบหลายดวงลอยวนอยู่หน้าถ้ำ ทุกคนจ้องอย่างตื่นเต้น
“เรารีบกลับไปตามพรานมาดีกว่า ถึงเวลานั้นสองคนนั่นคงดับไปแล้ว เราเอาแผนที่ได้สบาย”
“ถอยเว้ย”
ลูกน้องรีบถอยอย่างรวดเร็ว
รัตนากรกับอัศวินนั่งอยู่ภายในถ้ำด้วยความสับสน
“รัตน์จำไม่ได้จริงๆ ว่าเส้นทางการเดินทางของเรามีถ้ำ”
“นั่นนะซิ พี่เองก็ยังสับสนอยู่เหมือนกัน”
“ครั้งสุดท้ายรัตน์จำได้ว่าเราเดินทางอยู่ในป่า ได้ยินเสียงการต่อสู้ พอรู้ตัวก็ได้ยินเสียงปืนของไอ้โจซิง
เราอยู่ในถ้ำแล้ว”
“อืมใช่ แปลกมาก”
“หรือว่าเราถูกอำนาจวิญญาณเล่นงานเข้าแล้วอย่างที่พรานเมิงบอก”
รัตนากรสลัดความมึนงง ดึงกระบอกแผนที่ซึ่งสะพายไว้ขึ้นมาดู แต่แล้วก็แปลกใจเมื่อเห็นรอยมีดที่ฝ่ามือ
“ใช่แล้ว”
“อะไรเหรอ”
รัตนากรแบมือให้ดู
“รัตน์นึกว่ารัตน์ฝันไป แต่มันเกิดขึ้นจริง รัตน์เคยฝันแบบนี้มาแล้ว แต่ไม่มีรอยแผล
ตอนนี้มีคนกรีดฝ่ามือรัตน์จริงๆ”
“ถ้ายังงั้นเราก็ต้องขอบใจไอ้โจซิงที่มันมาได้จังหวะ ช่วยให้เราตื่นกลับมาได้ทันการพอดี”
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ เราถูกพวกวิญญาณครอบงำโดยไม่รู้ตัว”
อัศวินฝืนยิ้ม เดินไปด้านหนึ่ง เอาคบไฟปักไว้ตรงซอกหิน
“พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ หาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้”
รัตนากรยังจ้องฝ่ามือตัวเองอย่างสงสัย
อ่านต่อหน้า 2
เนตรนาคราช ตอนที่ 11 (ต่อ)
ภายในถ้ำ อัศวินเอาคบไฟอันแรกจ่อเข้ากับคบไฟอันที่สอง อันแรกดับลง อัศวินเสียบไว้ที่ซอกหิน แล้วเดินหาทางออก รัตนากรลืมตาขึ้นมา เห็นอัศวินสำรวจหาทางออกอยู่ ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินเข้าไปหา เห็นอัศวินมีท่าทางอิดโรย
“มาพักก่อนเถอะค่ะ”
อัศวินหันมายิ้มให้ ยกกล้ามให้ดู
“ยังแข็งแรงอยู่”
รัตนากรยิ้มให้เดินเข้าไปใกล้ เอามือจับแขน
“อืม จริงด้วย”
อัศวินจ้องรัตนากรแล้วดึงเข้ามากอด
“พี่ขอโทษนะ ที่ปกป้องรัตน์ไม่ได้”
“นั่นนะดิ”
อัศวินยิ้ม
“อะไรไม่สำคัญเท่ารัตน์ยังไม่มีใครมาจีบ มาเสนอตัวเป็นพระเอกคอยดูแลรัตน์ตลอดชีวิต เหมือนอย่างที่ควรจะมี”
“คือ พี่”
“ไม่รู้ล่ะ พี่อัศวินต้องรับผิดชอบ”
“ได้ พี่อาสาดูแลรัตน์ตลอดชีวิตก็แล้วกัน ตกลงมะ”
รัตนากรจ้องอัศวินตาเป็นประกาย แม้จะรู้ลึกๆ แต่คาดไม่ถึงว่าอัศวินจะพูดออกมา ถึงกับเขิน “รัตน์”
ทั้งสองสบตากันนิ่ง ความในใจเหมือนถูกเปิดออก หลังจากต่างปิดกั้นมานาน อัศวินค่อยๆ ก้มหน้าลง
ไปใกล้ รัตนากรหลับตาพริ้ม ริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกัน
ชาติเดินไปมากราดสายตามองรอบ โบกมือให้ทีมงาน กาญจนาเดินเข้ามาทักทาย
“ดูเหมือนว่าพวกวิญญาณจะตามพลังของแผนที่ไปอย่างที่พรานเมิงว่า”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะครับ”
“ค่ะ”
กาญจนายิ้มให้แล้วเดินไปนั่งที่ของตัวเอง หยิบสมุดบันทึกขึ้นมาตรวจดู วีรกิจเดินเข้ามาหา
“เป็นไงบ้างคะ”
“ผม ไม่รู้จะพูดยังไงดี ทำอะไรรู้สึกผิดไปหมด ผมก็คงได้แต่ขอโทษคุณกาญ”
“อย่าคิดมากเลยค่ะ”
กาญจนายิ้มให้ วีรกิจยิ้มตอบแล้วเดินกลับไปนั่งที่ของตน กาญจนาถอนใจ กลับมาดูที่สมุดบันทึกต่อไป วีรกิจหันมามองสายตามีพิรุธ
นายองนั่งคุยอยู่กับพรานเมิง
“เอ็งต้องระวังตัวหน่อย อย่ามัวแต่เล่นโน่นนี่”
“เออน่า พ่อ ฉันเจอกับวิญญาณก็บ่อย พ่อยังเคยให้ฉันไปไล่ผีตอนอยู่กับยาย”
“มันไม่เหมือนกันเว้ย”
นายองเหล่ หันไปเห็นอิทธิกำลังนั่งตรวจสัมภาระอยู่คนเดียว นายองตาโตขยับตัว
“เอ็งจะไปไหน อยู่นี่แหละ”
“เปล่านี่ ฉันเมื่อยก็ขยับตัวมั่งไม่ได้เหรอ”
นายองแกล้งบิดตัวแก้เมื่อย พรานเมิงจ้องจับพิรุธ นายองสบตาสู้ เสียงโรสดังขึ้น
“ขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่หรอกครับ คุณโรสมีธุระอะไรกับนายองหรือเปล่า”
“อ๋อ อยากจะคุยกับพรานเมิงน่ะจ้ะ”
“งั้นตามสบายเลยจ้ะ นายองไปดีกว่า”
นายองลุกพรวดออกไป โรสนั่งลงตรงหน้าพรานเมิง พรานเมิงยิ้มให้
“คุณโรสมีอะไรในใจเหรอครับ”
“พรานเมิงเคยเข้ามาลึกถึงที่นี่หรือเปล่า”
“ผมว่ายังไม่มีพรานคนไหนเข้ามาลึกถึงนี่หรอกครับ ถ้ามีก็ยังไม่ได้กลับออกไป”
โรสอึ้งกับคำตอบ
“มีคนเข้ามาเยอะเหรอจ๊ะ”
“ครับ มีคนว่าจ้างให้ผมเข้ามาบ่อยๆ ตามหาเนตรนาคราชนี่แหละครับ แต่ผมไม่รับ ผ่านดินแดนนี้ไปก็เท่ากับว่าผ่านเส้นที่ไม่มีวันกลับ”
“แล้วคราวนี้ทำไมถึงมา”
“คุณอิทธิชวนมา คุณอิทธิเคยช่วยชีวิตผมไว้ ผมเต็มใจมา”
“แม้ว่าจะไม่ได้กลับ”
“ครับ ผมถึงเอานายองมาด้วย จะได้อยู่ใกล้ๆ กันจนถึงนาทีสุดท้าย”
โรสยิ้ม ชื่นชมในความใจเด็ดของพรานเมิง
“นายองรู้มั้ยจ๊ะ”
“รู้ครับ มันถึงมา มันบอกว่ามันจะคอยดูแลผมไม่ให้เป็นอะไร”
โรสยิ้มพยักหน้าอย่างพอใจ มองนายองซึ่งกำลังคุยกับอิทธิอย่างนับถือน้ำใจ
นายองนั่งคุยกับอิทธิเพลินใจ
“นายองเซ็งมากเลย ไม่ได้เจอพี่อิทซะนาน”
“พี่ก็นึกถึงนายองเหมือนกัน”
นายองยิ้มหน้าบาน
“โดยเฉพาะฝีมือการหาเสบียงของนายอง”
นายองหุบยิ้ม เห็นโรสเดินผ่านไปคุยกับชาติ แล้วก็เดินออกไปนอกแนวระวัง
“พี่โรสจะออกไปไหนน่ะ ไม่เห็นพี่ชาติห้าม”
อิทธิเห็นโรสเดินเข้าไปในป่า มองอย่างสงสัย
โรสเดินออกมาจากแนวได้ระยะหนึ่งก็ยิงพลุขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นสัญญาณ สักครู่มือปืนสามสี่คนก็ปรากฏตัวออกมาจากแนวป่า
“ครับ คุณโรส”
“ขอบใจทุกคนที่ลำบากเดินทางมาเพื่อคอยเป็นกำลังเสริมให้ฉัน”
“ครับผม”
“ฉันอยากให้พวกเรากลับไปได้แล้ว”
“แต่ว่า”
“จากนี้ไป จะเป็นดินแดนที่ลี้ลับเกินที่จะคาดคิด ฉันอยากให้ทุกคนกลับไปรายงานให้พี่วรชัย รู้ว่าฉันสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง เจอกันเมื่อพวกเราได้เนตรนาคราชแล้ว”
“ครับคุณโรส”
มือปืนโค้งคำนับ แล้วพุ่งตัวหายเข้าไปในป่า
“หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะพี่ชัย”
โรสถอนหายใจ แล้วได้ยินฝีเท้า จึงก็ชักปืนหันกลับมา เห็นอิทธิยืนอยู่
“นี่คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“อึดใจแล้วครับ คุณคงมัวคิดถึงแฟนอยู่ เลยไม่ได้ยินเสียงผม”
“นั่นดิ ดีที่ฉันไม่ตกใจยิงตูมเข้าให้”
อิทธิยิ้ม โรสเก็บปืน แล้วเดินผ่านอิทธิไป
“คุณต้องได้พบกับพี่ชายคุณอีก”
โรสหันมาจ้องอิทธิ นึกไม่ถึงว่าอิทธิจะได้ยินทั้งหมด
“ผมสัญญาว่าคุณจะต้องไม่เป็นอะไร”
โรสยิ้ม เดินกลับไป
“ผมจะปกป้องคุณ ด้วยชีวิตของผม” อิทธิสัญญากับตัวเอง
วรชัยนั่งไหว้พระอยู่ในห้องพระ
“ขอให้น้องโรสช่วยพวกนั้นนำเนตรนาคราชกลับมาคืนเจ้าของโดยปลอดภัยด้วยเถิด”
วรชัยก้มลงกราบ ลูกน้องเข้ามารายงาน
“พี่ครับมีสัญญาณพลุส่งมาครับ”
“ว่าไง”
“คุณโรสส่งคนกลับ ฝากบอกพี่ว่าไม่ต้องห่วงครับ กำลังเข้าสู่ดินแดนวิญญาณ”
“บรรพบุรุษของเราผ่านเข้าไปแล้วไม่เคยได้กลับออกมาเลย บอกคนของเราให้เตรียมกำลังอาวุธให้พร้อม เตรียมต้อนรับส่งคืนเนตรนาคราช ข้าเชื่อว่าขบวนเดินทางต้องทำได้สำเร็จ” วรชัยมั่นใจ
ที่ค่ายของเฮนรี่ สมุนเดินเข้ามารายงานโจซิงแล้วเดินออกไป โจซิงเข้ามารายงานเฮนรี่
“ทีมงานเห็นพลุสัญญานจากค่ายของขบวนเดินทาง ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น จะให้ส่งทีมงานไปดูมั้ยบอส”
“ไม่ต้อง ทีมงานเราเหลือน้อย ปล่อยไปก่อน ผมไม่คิดว่าพวกนั้นจะบุกมาค่ายเราหรอก”
“กำลังเสริมเมื่อไหร่จะมา”
“ผมกำลังรออยู่เหมือนกัน”
โจซิงพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปนั่งกับอังโซะอย่างเดิม เฮนรี่กังวล
เคนเดินไปเดินมาอยู่ที่ค่าย ร้อนใจ
“เอ็งแน่ใจนะว่าเป็นสัญญานของคุณโรส”
“แน่ใจครับพี่”
“อืม อืม อืม อืม ท่าทางไม่ดี เตรียมตัวพร้อม ข้าจะลุยผ่านดินแดนวิญญาณไปหาน้องโรสซะหน่อย” เคนฮึด
หลินยืนมองออกไปในป่า ปิงกับหยกเดินเข้ามารายงาน
“นายเคนมาขอพบ”
“ได้”
ปิงเดินออกไป สักครู่เคนก็เดินเข้ามาพร้อมปิง มีลูกน้องถือขวดเหล้ามาพร้อมแก้วสองใบ
“ท่านต้องการอะไร”
“ก็แค่มาทักทายสังสรรค์แล้วก็คุยเรื่องการเดินทางนิดหน่อย”
ลูกน้องถือเหล้าเข้ามาส่งให้เคน เคนยกขวดเหล้าขึ้น
“เราไม่มีเวลามากนัก”
เคนถือขวดค้างแล้วใช้ขวดแกว่งเป็นเชิงให้สมุนถอยไป
“ผมดื่มคนเดียวก็ได้”
เคนกระดกขวดเหล้า หลินมองยิ้มอย่างรำคาญ
“ผมก็แค่จะมาบอกว่า เรากำลังจะเดินทางเข้าสู่ดินแดนวิญญาณ”
“เราพร้อมเสมอ”
“ผ่านดินแดนนี้ไปแล้วยังไม่เคยมีใครได้กลับมา”
หลินนิ่ง
“ท่านคิดจะขู่เรา”
“โน โน โน”
หลินยิ้มเยาะ “คนอย่างท่านคงไม่ไปที่ๆ ตัวเองคิดว่าจะไม่ได้กลับ”
“เราคิดว่าเราได้กลับ แต่ท่านเราไม่รู้”
หลินหุบยิ้ม เคนหัวเราะดัง
“ท่านมีสิทธิ์คิดที่จะไม่ไป แต่เงินไม่คืน ท่านมีเวลาคิดถึงพรุ่งนี้เช้า”
เคนเดินหัวเราะออกไป สมุนรีบตาม หลินครุ่นคิด
“นายเคนก็แค่ขู่ ให้เราถอนตัวเท่านั้นเอง” ปิงบอก
“คิดจะเอาแต่เงิน” หยกเห็นด้วยกับปิง
“เราจะเดินทางไปกับพวกมัน” หลินตัดสินใจ
ชาติกราดสายตาระวังอยู่ อิทธิเดินเข้ามาหา
“นายดูแลค่ายมามากแล้ว ไปพักเถอะเพื่อนฉันรับต่อ”
“ขอบใจเพื่อน ฉันคิดว่าวันนี้น่าจะผ่านไปด้วยดี ไม่มีวิญญาญวอบแวบป้วนเปี้ยนเข้ามาให้เห็น”
“คงไปป้วนเปี้ยนแถวไอ้อัศวินมั้ง”
ทั้งสองยิ้ม
“เจอกันเพื่อน”
อิทธิพยักหน้า ชาติเดินออกไป
อ่านต่อหน้า 3
เนตรนาคราช ตอนที่ 11 (ต่อ)
รัตนากรนั่งพิงผนังถ้ำอยู่ในอ้อมแขนของอัศวิน
“พี่อยากจะบอกรัตน์นานแล้ว แต่พี่กลัวว่ารัตน์จะ”
“โธ่เอ๊ย รัตน์ก็รอว่าเมื่อไหร่พี่จะบอก เห็นออกชัดแล้วยังทำวางท่า”
“อะไรเห็นชัดได้ยังไง พี่ทำตัวเรียบร้อย เป็นพี่ชายตลอด”
“รัตน์รู้ว่าพี่อัศวินทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดี แต่เชื่อเถอะจุดอ่อนเพียบ รัตน์อ่านออกสบาย ยัยกาญก็รู้ แค่ไม่พูดให้เสียหายเท่านั้นเอง”
“โห เขิน”
ทั้งสองหัวเราะ
“รัตน์คิดนะว่าถ้าเราไม่ใกล้ดับ พี่อัศวินคงไม่กล้าบอกรัตน์แน่ๆ”
“อืม คือ”
“ไม่รู้ล่ะ อุ๊บอิ๊บแล้วด้วย ถ้ารอดออกไปได้ห้ามเอาคืน”
อัศวินหันมาจับคางรัตนากรแล้วจูบนิ่ง
“แบบนี้ถือว่าคอนเฟิร์มได้หรือยัง”
“อืม ไม่ชัวร์ ขอใหม่ได้ปะ”
อัศวินยิ้มยื่นหน้าเข้าใกล้ รัตนากรขัดขึ้น
“เดี๋ยว นึกออกแล้ว”
อัศวินชะงักค้าง
“หา นึกอะไร”
“เราให้วิญญาณช่วย”
รัตนากรยิ้มดีใจ
ชาตินั่งตรวจอาวุธของตนอยู่ภายในค่าย กาญจนาเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้า
“ครับ”
“ฉันแค่อยากจะถามว่า พี่อัศวินกับพี่รัตนากรน่าจะมาสมทบกับเราตอนไหน เมื่อไหร่คะ”
“น่าจะเป็นเย็นๆ วันนี้ หรือไม่อย่างช้าก็เช้าพรุ่งนี้”
กาญจนาพยักหน้าฝืนยิ้ม
“สองคนนั่นเก่ง ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
“ค่ะ”
“คุณกาญล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ ยังสู้ๆ อยู่ค่ะ”
“ดีครับ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ไม่พ้นสายตาวีรกิจอีกเช่นเคย
อัศวินนั่งคุยกับรัตนากรอยู่ในถ้ำ เพราะยังหาทางออกไมได้
“เท่าที่รู้วิญญาณจะเล่นงานเรามากกว่านะ”
“รัตน์เชื่อว่าวิญญาณที่ดีก็มี ไม่ลองเสี่ยงดูก็ไม่รู้ ไหนๆ ก็อยู่ในดินแดนของวิญญาณแล้วนี่”
“เรารู้วิธีเรียกวิญญาณเหรอไง”
“ยังไงก็ต้องลอง รัตน์จะใช้กระบอกแผนที่เป็นสื่ออธิษฐานเรียกแต่วิญญาณบรรพบุรุษที่ปกป้อง”
“โห เดี๋ยวนี้เก่งน่าดู”
“แน่นอน ระวังไว้ก็แล้วกัน ถ้ามีกิ๊กล่ะก็น่าดู”
ทั้งสองยิ้มขำกัน
นพดลจัดยาของตนให้เข้าที่ พรานโก๊ะนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ฉันเห็นพรานโก๊ะมีคาถาไล่งู มีคาถาไล่วิญญาณหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอก มีแต่คาถาวิญญาณไล่”
“เป็นยังไงเหรอ”
“คาถาหลวงพ่อโกย วิ่งอย่างเดียว”
“โธ่เอ๊ย เป็นพรานทั้งที”
“ผมไม่เคยมาไกลขนาดนี้ และไม่เคยเจออะไรขนาดนี้มาก่อน โกยไว้ดีที่สุด”
“งั้นฉันโกยกับพรานด้วยก็แล้วกัน”
ทั้งสองยิ้มให้กัน
อัศวินจ้องเขม็ง รัตนากรถือกระบอกแผนที่ยกมือขึ้นพนม สักครู่ก็เห็นดวงไฟสองดวงมาวนเวียนรอบๆ
แล้วกลายเป็นร่างของนักดาบสองคนปรากฏ นักดาบสองคนจ้องที่กระบอกแผนที่เขม็ง
“ท่านเป็นใคร ได้กระบอกแผนที่มาได้ยังไง”
“เราได้มาเพราะเราคือผู้จะนำเนตรนาคราชไปคืนสู่ที่เดิม”
“บรรพบุรุษของเราคือผู้ที่จะนำเนตรนาคราชไปคืนเช่นกัน”
“เราติดอยู่ในถ้ำนี้ เราต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”
นักดาบสองคนต่างมองหน้ากันแล้วหันมาพยักหน้าเป็นเชิงรับ รัตนากรมองอัศวินยิ้มอย่างตื่นเต้น
“เรามีลูกหลานของท่านอยู่ในขบวนเดินทางของเรา ท่านน่าจะสัมผัสได้”
สักครู่นักดาบสองคนก็กลายเป็นดวงไฟวนวูบวาบแล้วพุ่งหายฝ่าผนังถ้ำออกไป รัตนากรหันมามองอัศวินอย่างคาดไม่ถึงว่าจะทำได้ โดดเข้ากอดอัศวินทันที
“เย้ เรามีหวังแล้ว”
“เก่งมาก ต้องให้รางวัล”
อัศวินก้มหน้าเข้ามาใกล้ รัตนากรยิ้มเอามือกันไว้
“รัตน์ว่าแถวนี้อาจจะมีวิญญาณวนเวียนอยู่ก็ได้นะคะ”
“อืม ไม่มีหรอกน่า”
รัตนากรขำเอามือกันไว้ อัศวินแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ทั้งสองหัวเราะกัน ทันใดนั้นมีหินก้อนหนึ่งกลิ้งลงมาจากที่กองอยู่ ทั้งสองหันไป
“เห็นมะ”
อัศวินทำหน้าเซ็งค่อยๆ คลายกอด รัตนากรขำ
อิทธิยืนเฝ้าระวังอยู่ ทันใดนั้นเห็นลูกไฟสองดวงแวบวาบเคลื่อนไหวเร็ววูบอยู่ในแนวป่า
เขาขยับตัวกราดสายตาตามเตรียมพร้อม แต่แล้วได้ยินเสียงฝีเท้า
“คิดถึงผมเหรอครับคุณโรส”
ไม่มีเสียงตอบ อิทธิสงสัยหันกลับไปก็ต้องหลบวูบ เมื่อโรสเหวี่ยงหมัดเข้ามา โรสพลาดแต่บุกเข้าจู่โจม
รวดเร็ว อิทธิหลบไปมาไม่อยากลงมือ เลยโดนซัดกระเด็นไป โรสหันหลังเดินออกไปนอกค่ายเหมือนคนขาดสติ
“เฮ้”
ชาติรีบเข้ามาถามอิทธิ
“คุณโรสจะไปไหน”
“นั่นนะซิ”
“เฮ้ย ดูนั่น”
ลูกไฟสองดวงวนเวียนแวบวาบอยู่ในแนวป่า โรสเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
“ยุ่งแล้วซิ ฉันต้องไปตาม”
อิทธิรีบตามโรสออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
อิทธิหยุด ชาติโยนเป้ให้ อิทธิรับไว้ แล้วรีบออกไป กาญจนา พรานเมิง นายอง นพดล พรานโก๊ะ รีบเข้ามาหาชาติ
“คุณอิทธิจะไปไหนคะ”
“ตามคุณโรส”
“ดูเหมือนว่าคุณโรสจะถูกวิญญาณครอบงำซะแล้ว” พรานเมิงบอก
“พี่อิทธิไปตามเดี๋ยวก็โดนอีกคนหรอก”
“ผมควรจะออกไปตาม” พรานเมิงเสนอตัว
“นายองด้วย”
“ไม่ต้องหรอกครับ นายอิทธิจัดการได้ ผมว่าพรานอยู่ระวังทางนี้ดีกว่า ท่าทางไม่ค่อยจะดี”
“พ่อดูนั่น”
ไฟกลมๆ หลายดวงวิ่งวูบวาบ
“ทุกคนเข้ามาอยู่ใกล้กันตรงกลาง มีอะไรจะได้ช่วยกันทัน"
พรานเมิงบอก ทุกคนต่างทำตาม พรานเมิง ชาติ ยืนด้านหน้า ทุกคนอยู่แนวหลัง แสงแวบวาบสามสี่ดวงตรงมาแล้วหยุดอยู่ด้านหน้าค่าย วนไปเวียนมา ทุกคนจ้องอย่างระมัดระวัง กาญจนากระซิบเบาๆ กับชาติ
“ซามูละคะ”
“มันเอาตัวรอดได้ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
ทั้งหมดจ้องลูกไฟที่เคลื่อนตัววนเวียนอยู่ด้านหน้า
“ผมคิดว่าพวกมันคงไม่คิดบุกหรอกครับ” พรานเมิงคาดการณ์
“ใช่ พวกมันแค่ไม่ต้องการให้ใครตามคุณโรสกับอิทธิไป”
ทุกคนฟังชาติด้วยความกังวล
โรสเดินทางมาเหมือนคนขาดสติ ตรงหน้ามีดวงไฟแวบวับสองดวงนำทางไป อิทธิวิ่งตามแนวป่ามุ่งหน้าตามโรสไปอย่างรวดเร็ว เห็นดวงไฟแวบวับ นำทางโรสไป จึงวิ่งอ้อมไปดักหน้า
โรสเดินเร็วเลื่อนลอยตามดวงไฟสองดวง ทันใดนั้นอิทธิพุ่งเข้ามารวบตัวล้มลงไปทั้งคู่ โรสตั้งตัวได้ โดดเข้าเตะต่อยจนอิทธิเข้าไม่ติด
“คุณโรส ผมเอ็ง”
โรสเหมือนคนแปลกหน้า พุ่งเข้าใส่เต็มที่ อิทธิหลบไปมารวดเร็วพ้นไปได้
“แบบนี้ คงต้องลงมือ”
โรสโชว์ลวดลาย คราวนี้อิทธิหลบ แล้วเริ่มโต้กลับ ผ่านไปหลายขบวนท่า อิทธิปล่อยหมัดโครมๆ เข้าให้ โรสกระเด็นกลิ้งไปที่พื้นหลายตลบ แต่ก็ลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
“คุณอิทธิ”
“ครับ ผมเอง”
โรสมองรอบๆ
“คุณมาทำอะไรแถวนี้”
“คือ เรื่องมันยาว”
โรสสงสัย
เฮนรี่นั่งอยู่กับพรานอองข่าน พร้อมทีมงานอีกสามคนที่คอยระวังอยู่
“หวังว่าเราคงจะพ้นไอ้แดนวิญญาณนี้ไปเร็วๆ”
“ก็ต้องขึ้นอยู่กับขบวนเดินทางที่จะหาทางออกได้เร็วแค่ไหน”
“พรานนำพวกเราพ้นออกไปก่อนไม่ได้เหรอ แล้วค่อยหาจุดดักตามขบวนเดินทางทีหลัง”
“เส้นทางที่จะเดินทางไปลึกลับซับซ้อน ไม่มีใครรู้ว่าจะไปโผล่ที่ไหน ไม่ใช่เดินเข้าตลาดแล้วไปดักรอที่ท้ายตลาด”
“ก็แค่ถามดู”
“มีคนมาครับ”
ทีมงานรายงาน เฮนรี่กับพรานเมิงขยับตัวลุกขึ้น พวกโจซิงกับอังโซะเข้ามา
“ดูท่าทางพวกนายแล้วคงไม่ได้แผนที่กลับมา”
“เราถูกพวกวิญญาณอย่างที่พรานบอกเล่นงานซะก่อน แต่เราก็ระเบิดถ้ำฝังไอ้ผู้กองกับนังผู้หญิงนั่นไว้แล้ว เรากลับไปขุดหาซากของมันเอาแผนที่เมื่อไหร่ก็ได้”
เฮนรี่มองอังโซะ อังโซะพยักหน้า เฮนรี่ยิ้ม
“โจซิง ถือว่านายทำได้สำเร็จ”
ทุกคนต่างหัวเราะกัน
อ่านต่อหน้า 4
เนตรนาคราช ตอนที่ 11 (ต่อ)
อิทธิเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้โรสฟัง โรสตกใจ
“ฉันเนี่ยนะถูกวิญญาณครอบงำออกมาถึงนี่”
“ครับ แถมยังอัดผมซะน่วม”
“ไม่น่าเชื่อ”
“พรานเมิงบอกว่าเผลอไม่ได้ครับ จะถูกครอบงำให้เห็นเป็นภาพต่างๆ ได้”
“แบบนั้นหรือเปล่า”
อิทธิหันไปเห็นชายฉกรรจ์สองคนถือดาบพร้อม
“อืม น่าจะใช่”
โรสเดินมายืนใกล้กับอิทธิ จ้องชายฉกรรจ์เขม็ง
“คุณยังเห็นอยู่หรือเปล่า”
“ครับ”
ทั้งสองตั้งใจมองอย่างระมัดระวัง ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูดขึ้น
“เราไม่ใช่ภาพหลอน เราสามารถ ใช้พลังให้ท่านเห็นตัวตนได้ระยะหนึ่ง”
“ท่านต้องการอะไร” โรสถาม
“ท่านคือลูกหลานของบรรพบุรุษที่ปกป้องเนตรนาคราช เรามาหาท่าน”
“หาเรา ทำไม”
“เพื่อนของท่านสองคนตกอยู่ในอันตราย ให้เรามาตามท่านไปช่วย”
“อัศวินกับคุณรัตนากร” อิทธินึกได้
“เชิญท่านนำทาง”
ชายฉกรรจ์สองคนกลายเป็นดวงแสงสองดวง พุ่งทะยานเข้าไปในป่า โรสกับอิทธิตามไปอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วก็ต้องหยุดกระทันหัน เมื่อเห็นชายฉกรรจ์นับสิบอาวุธพร้อมยืนขวางทางอยู่ ดวงไฟสองดวงวนเวียนอยู่ใกล้โรสกับอิทธิ
“เพื่อนท่านรึ” โรสถาม
“นั่นคือพวกวิญญาณเลวร้ายที่ท่านต้องฝ่าออกไปเพื่อช่วยเพื่อนท่าน”
“ให้มันได้ยังงี้สิ”
อิทธิโมโห ทั้งสองชักปืนออกมา
“อาวุธของท่านทำอะไรพวกมันไม่ได้”
“อ้าว แล้วไงอะ”
“ใช้อาวุธของวิญญาณถึงจะดับพวกวิญญาณได้”
“โอเค ได้เลย”
โรสปืนเก็บ วิ่งเข้าไปหาพวกวิญญาณชายฉกรรจ์ อิทธิรีบตามเข้าไป เกิดการต่อสู้กัน โรสกับอิทธิลุยแย่งดาบของพวกวิญญาณได้ แล้วต่อสู้อย่างดุเดือด โรสตวัดคมดาบเข้าใส่วิญญาณตัวหนึ่งกระเด็นไป
“เวิร์คแฮะ” โรสพอใจ
อิทธิเห็นก็ทำบ้าง ชกโครมวิญญาณกระเด็นไป แล้วหยิบดาบมา เขาฟันวิญญาณกระจายไปสองตัว
“เยส”
ทั้งสองบุกฟันเตะต่อย พวกวิญญาณก็ค่อยสลายตัวหายไป โรสขยับดาบในมือ
“ได้แบบนี้ก็พอไหว”
“นั่นนะซิ”
จู่ๆ ดาบก็ค่อยๆ จางหายไปจากมือของโรสกับอิทธิ
“เฮ้ เกิดอะไรขึ้น”
“สงสัยกลับไปหาเจ้าของ เราไปกันดีกว่าครับ สองดวงนั่นไปโลดแล้ว”
ลูกไฟสองดวงพุ่งอยู่ในแนวป่า อิทธิกับโรสรีบตามไป
อัศวินนั่งพิงผนังถ้ำ รัตนากรนั่งพิงไหล่อยู่ข้างๆ
“พี่จะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเรา”
“โน โน โน”
“ทำไมล่ะ”
“เราเป็นพี่น้องกันมานาน ไม่มีวี่แววว่าจะเอ่อ แบบนี้ แบบว่า”
“คิส”
รัตนากรพยักหน้า
“แค่ติดอยู่ในถ้ำวันสองวันก็แบบว่า คือ”
“คิส”
“มันจะดูเหมือนว่าเรา แบบว่า ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง”
“สรุป”
“เราจะต้องทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง”
“หา โนคิส”
“โน คิส”
“โนกู๊ด โนกู๊ด โน โน โน”
“may be เฉพาะตอนที่เราอยู่กันสองคน ไม่มีคนอื่น”
“งั้นก็ตอนนี้เลย”
อัศวินขยับตัวคว้ารัตนากรเข้ามาใกล้ รัตนากรดันออก หัวเราะคิกคัก มีเสียงดังเข้ามาทางช่องเล็กๆ
“ไงเพื่อนสนุกมั้ย”
“ไอ้อิทธิ”
ทั้งสองรีบไปที่ช่องเล็ก
“พี่รัตน์”
“โรส”
“ถอยไปก่อนเพื่อน ขอระเบิดกำแพงหินนี่ก่อน”
อัศวินกับรัตนากรต่างยิ้มให้กัน แล้วพากันถอยไปทางด้านในสุด สักครู่เสียงระเบิดตูม
ใกล้ค่ำ ตรงหน้าทุกคนคือดวงไฟกลมสองดวงวนไปมา
“ขอบคุณท่านทั้งสอง”
รัตนากรพูดขึ้น ดวงไฟสองดวงวนแล้วพุ่งหายเข้าไปในป่า
“ขอบคุณครับคุณโรสที่มาช่วย”
“อ้าว ฉันล่ะเพื่อน”
“ขอบคุณค่ะคุณอิทธิ”
อิทธิยิ้มเหล่ให้อัศวิน อัศวินอดขำไม่ได้
เฮนรี่ใช้กล้องส่องทางไกล ส่องดูพวกอัศวินอยู่
“รู้สึกว่าผู้กองกับคุณรัตนากรไม่ได้ตายอยู่ในถ้ำอย่างที่นายคิดนะโจซิง”
“บ้าที่สุดพวกมันมาได้ยังไง”
“เอาล่ะ ไม่เป็นไร คอยตามขบวนพวกมันต่อไปจนกว่าโอกาสจะเป็นของเรา”
ทั้งหมดเคลื่อนตัวถอยออกมา แต่แล้วลูกธนูหลายลูกปลิวมาปักที่ต้นไม้เฉี่ยวไปอย่างน่าหวาดเสียว
“ระวังพวกวิญญาณ”
พรานออองข่านตะโกนบอก ทุกคนคาดไม่ถึงเมื่อมีชายฉกรรจ์ในชุดโบราณนับสิบล้อมอยู่ ในมือถือดาบและหอกธนูสีหน้าดุดัน
“ทุกคนรวมตัวกันไว้”
โจซิงกับอังโซะยิงใส่พวกชายฉกรรจ์เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่พวกวิญญาณไม่สะเทือน กลับเดินบุกใกล้เข้ามา
เสียงปืนดังมาถึงที่อัศวินกับเพื่อนอยู่
“พวกเราตามมาหรือเปล่า ไปดูซิ”
อัศวินวิ่งออกไป ตามด้วย รัตนากร โรส อิทธิ
โจซิงกราดปืนใส่ แต่พวกวิญญาณยังเดินเข้าหา อังโซะกับเฮนรี่เข้ามาสมทบ
“กระสุนปืนทำอะไรมันไม่ได้” เฮนรี่บอก
พรานอองข่านเอาดาบฟันวิญญาณตัวหนึ่งกระเด็นออกไป แล้วบอกกับทุกคน
“ทำจิตใจให้เข้มแข็งไว้ ทุกอย่างเป็นภาพหลอน”
ทีมงานของเฮนรี่เห็นวิญญาณตัวหนึ่งเข้ามา เลยเอาปืนยิง กลายเป็นยิงพวกเดียวกันเองร้องลั่น
“เข้มแข็งบ้าอะไร พวกมันกำลังฆ่าพวกเรา”
โจซิงกับอังโซะกราดปืนสนั่นลั่นป่า
อัศวิน รัตนากร โรส อิทธิ ตามเสียงปืนมา
“พวกไอ้เฮนรี่”
“มันมาได้ยังไง”
“พวกมันระเบิดถ้ำฝังเราไว้ มันคงคิดว่าเราสองคนตายแล้ว เลยคิดมาระเบิดถ้ำเอาแผนที่จากซากของพวกเรา” รัตนากรบอก
“พวกมันยิงอะไรกันแน่” อัศวินสงสัย
ทั้งสี่มองไป เห็นแต่พวกของเฮนรี่ ยิงกราดรอบป่า ท่าทางตื่นเต้นหวาดกลัว แต่พวกอัศวินไม่เห็นวิญญาน
“สงสัยคงถูกพวกวิญญาณครอบงำเข้าแล้ว” รัตนากรคิด
“งั้นพวกเราถอย อย่าไปขัดเวลาความสนุกของพวกมัน”
อัศวินบอก ทุกคนถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
พวกโจซิงยิงกราดใส่วิญญาณที่ดาหน้าเข้ามา พวกวิญญาณล้มลงแล้วลุกขึ้นมาใหม่
“ถอยก่อนเร็วเข้า” เฮนรี่สั่ง
พวกโจซิงยิงพลางถอยพลาง
“พรานอองข่าน ท่านจะโชว์ฝีมือหน่อยก็ได้นะ”
พรานอองข่านล้วงมือเข้าไปในย่าม ปากท่องมนต์แล้วสาดข้าวสารมนต์ออกมาใส่พวกวิญญาณ พวกวิญญาณกระจายถอยห่าง ต่างคุมเชิงกัน พรานอองข่านหลับตาสวดมนต์ไม่หยุด พวกวิญญาณต่างหยุดนิ่ง แล้วกลายเป็นดวงไฟวิ่งวนไปมาแล้วพุ่งกระจายหายไปในที่สุด พวกเฮนรี่ต่างหยุดหอบหายใจกันทั่วหน้า
“คราวหลังพรานเร็วกว่านี้หน่อยก็ดี” โจซิงต่อว่า
“คาถาของข้าต้านมันไม่อยู่หรอก แปลกมาก อยู่ๆ พวกมันก็ไปซะก่อน ไม่งั้นพวกเอ็งไม่รอด”
พรานอองข่านเดินผ่านโจซิงกับเฮนรี่ออกไป โจซิงแค้นขยับปืนจะส่อง แต่เฮนรี่คว้าไว้ แล้วเดินตามพรานอองข่านออกไป อังโซะเดินเข้ามา มองพรานอองข่านด้วยความแค้นใจ..
ชาติยืนระวังอยู่ นพดลกับพรานโก๊ะเดินเข้ามาใกล้
“จะออกไปหากล้วยเหรอพราน”
พรานโก๊ะเหล่ นพดลขำ
“พี่เห็นคุณชาติอยู่ระวังนานแล้ว เราสองคนเลยมาอาสาคอยระวังให้”
“เผื่อออกไปหากล้วยด้วย”
พรานโก๊ะเหน็บ ชาติขำ
“เชิญเลยครับ ขอบคุณมาก”
ชาติขำๆ แล้วเดินเข้าไปด้านใน พรานโก๊ะเห็นอะไรบางอย่างรีบสะกิดนพดล
“สงสัยพวกวิญญาณมาอีกแล้ว”
นพดลขยับตัวเพ่งมอง เห็นดวงไฟลูกหนึ่งเคลื่อนตัววิบวับเข้ามา ทั้งสองขยับปืนในมือขึ้นพร้อม
“ใจเย็นไว้ก่อนครับ”
ชาติเดินเข้ามาห้าม ทุกคนจ้องที่แสงวิบวับ
“น่าจะเป็นพวกวิญญาณอย่างพรานเมิงบอก ผมจะไปตามพรานเมิง”
“เดี๋ยวก่อนพี่หมอ รหัสมอส ไอ้อิทธิ”
“จริงด้วย ผมนี่บ้าจี้เรื่องวิญญาณไม่ทันได้ดู”
ทันใดนั้นนกซามูส่งเสียงเข้ามา
“ใช่แล้วครับ ซามูคอนเฟิร์ม”
“โธ่เอ๊ย เล่นเอาเสียเส้น” พรานโก๊ะบ่น
เสียงซามูส่งสัญญาณเข้ามาอีก ชาติยิ้มบอก
“ทุกคนปลอดภัย”
สักครู่ก็เห็นอัศวิน รัตนากร โรส และอิทธิ ถือไฟฉายเดินเข้ามาจากป่า นายองวิ่งเข้ามาหารัตนากร
“พี่รัตน์”
ทั้งหมดต่างยิ้มโล่งใจ
เมื่อเข้ามาพักผ่อนในค่ายแล้ว อัศวินก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
“พลังของวิญญาณแรงและร้ายกาจมาก เราทุกคนต้องระวังให้ดี”
“ทุกคนอาจเห็นภาพหลอนจนทำร้ายกันเองได้” โรสบอก
“เหมือนกับที่คุณโรสทำร้ายคุณอิทธิ” ชาติแซว
โรสหันมาทางอิทธิกระซิบเบาๆ
“Sorry”
อิทธิยิ้มให้ “สบายมาก”
“ผมปลุกเสกสายสิญจน์สำหรับทุกคนใส่ไว้ที่ข้อมือ จะช่วยไม่ให้ถูกวิญญาณครอบงำจนทำร้ายกันเอง”
พรานเมิงแจกสายสิญจน์ส่งต่อกันรอบวง
“แบบนี้เราก็ผ่านฉลุยซิพ่อ”
“สายสิญจน์ไม่ให้พวกเราทำร้ายกันเองก็จริง ยังมีวิญญาณอีกขั้นหนึ่งสามารถปรากฏตัวเป็นรูปร่างได้ พวกนี้อันตรายมาก"
“แล้วเราจะต้านพวกนั้นได้ยังไง” รัตนากรสงสัย
“อาวุธของวิญญาณใช้ต้านพวกมันได้” โรสบอก
“ครับเราใช้มาแล้ว” อิทธิยืนยัน
“ดีเลยครับ วิญญาณร้ายมีพลังแต่ก็มีเวลาจำกัด ถ้าเรายืนหยัดได้พักหนึ่ง วิญญาณพวกนั้น
ก็จะสลายตัวไปเอง” พรานเมิงอธิบาย
“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” นายองโล่งอก
“เรามีกระบอกแผนที่ วิญญานพวกนั้นต้องแห่กันมาที่พวกเรา จะทำยังไงดี” รัตนากรถาม
“กาญคิดว่าไม่ควรแยกกันอีกแล้ว อันตรายมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับกาญจนา
“โอเค เราจะเดินทางด้วยกันจนกว่าจะพ้นดินแดนวิญญาณนี้ออกไป” อัศวินสรุป
“นายองเห็นด้วย”
“ใครถามเอ็ง”
นายองเหล่พรานเมิง ทุกคนต่างยิ้มขำกัน ยกเว้นวีรกิจที่มีสีหน้าหวาดระแวง
พรานอองข่านส่งสายสิญจน์ให้เฮนรี่หลายเส้น
“นี่คือสายสิญจน์จะช่วยให้คนของท่านพ้นจากการครอบงำของวิญญาณ”
“พ้นจากการครอบงำไม่พอ เราจะต้านพวกมันได้ยังไง”
“ตามหลักแล้ว อาวุธของพวกวิญญาณน่าจะต้านพวกวิญญาณกันเองได้ แต่ข้าไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์”
“อืม เหตุผลน่าฟัง เพราะผมมั่นใจว่าไม่ว่าโลกไหน มันต้องมีสองฝ่ายสู้กันชัวร์ ใครอยากรอด
ก็ต้องหาทางแย่งอาวุธพวกวิญญาณมาให้ได้”
ทุกคนต่างส่งเสียงเซ็งๆ
“ใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องใส่”
เฮนรี่ส่งสายสิญจน์ให้โจซิง โจซิงเหล่มองเฮนรี่ แต่ก็เก็บไว้เส้นหนึ่ง ที่เหลือส่งต่อให้อังโซะและทุกคน
อ่านต่อตอนที่ 12