เนตรนาคราช ตอนที่ 10
ภายในถ้ำ พรานเมิงนั่งสมาธิ มีกระบอกแผนที่อยู่ตรงหน้า สักครู่ กระบอกแผนที่ก็มีรังสีปรากฏ สว่างขึ้น
พรานอองข่านหันขวับไปทางทิศของพรานเมิง สีหน้าเคร่ง สงสัย
“เกิดอะไรขึ้นพราน” เฮนรี่แปลกใจ
“คาถาเปิดประตูสวรรค์”
“แปลว่าอะไร”
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
“ช่วยพูดภาษาคนหน่อยได้หรือเปล่า”
พรานอองข่านหันมามองโจซิงเอาเรี่อง เฮนรี่รีบยกมือห้ามทั้งสองฝ่าย
“ทุกคนใจเย็นๆ ก่อน”
โจซิงกับพรานอองข่านสงบลง
“คาถาเปิดประตูสวรรค์ คือคาถาที่ใช้เปิดสิ่งของหรือสมบัติโบราณ ที่ปิดไว้ด้วยมนต์ เช่นหีบโบราณ หีบสมบัติ ตู้โบราณ เป็นต้น”
“มีคนเจอสมบัติแถวนี้เหรอ”
เฮนรี่ตาวาว พรานอองข่านมองอย่างดูถูก
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับกระบอกแผนที่”
“งั้นที่นายอัศวินบอกว่ากระบอกแผนที่ปิดเปิดได้เองก็เป็นเรื่องจริงน่ะซิ”
ทุกคนต่างหันมามองเฮนรี่เป็นตาเดียว
ใบหน้าของพรานเมิงมีเหงื่อซึมเม็ดโป้ง ปากพึมพำคาถา รัตนากร กาญจนา ชาติ นายอง รออยู่หน้าถ้ำ ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นในถ้ำ
“พ่อ”
ทั้งหมดพรวดเข้าไปในถ้ำอย่างรวดเร็ว พบว่าเพดานถ้ำถล่มปิดทางไว้หมด
“พ่อ พ่อยังอยู่หรือเปล่า”
“เอ็งจะแช่งข้าหรือไง”
นายองตื่นเต้นดีใจ เช่นเดียวกับทุกคน
“เป็นไงบ้างพรานเมิง” รัตนากรถามอย่างห่วงใย
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“แผนที่ล่ะ” กาญจนารีบถาม
“แผนที่อยู่เรียบร้อยครับ แต่ไม่ยอมเปิด”
ทั้งหมดต่างมองหน้าปรึกษากัน
“พรานเมิงถอยห่างออกไปหน่อย ผมจะใช้วิธีระเบิดกองหินให้เปิดออก” ชาติบอก
“ได้ครับ”
ชาติเอาระเบิดขนาดเล็กหย่อนลงไปในช่องกำแพงหิน ดึงรีโมทเล็กๆ ออกมา โบกมือให้ทุกคนถอยห่างออกไป
“พรานเมิง พร้อม”
“พร้อมครับ”
ชาติกดรีโมท เสียงระเบิดดังขึ้น หินที่กองขวางอยู่กระจายออก
พรานอ่องขานรับรู้ได้
“พวกมันทำไม่สำเร็จ”
“พรานแน่ใจ”
“มีแรงสะท้อน ที่ข้าสัมผัสได้ มนต์ที่อยู่บนกระบอกแผนที่แรงเกินคาด”
ทุกคนต่างมองหน้าพรานอองข่าน เฮนรี่เริ่มเชื่อ อังโซะ กับ โจซิง มองหน้ากัน ยังไม่เชื่อ
พอฝุ่นควันจางก็เห็นกำแพงหินเปิด พรานเมิงเดินออกมาพร้อมแผนที่ ทุกคนยิ้มโล่งใจ นพดลกับพรานโก๊ะขยับตัวเมื่อเห็นทุกคนเดินออกจากถ้ำ
“ท่าทางจะไม่ได้ผล”
พรานโก๊ะพยักหน้าเห็นด้วย
“พี่รัตน์จำไม่ได้เหรอคะว่ากระบอกแผนที่เปิดได้ยังไง”
“พี่จำได้ว่าตอนนั้นพี่ส่งให้เธอ แล้วเธอก็บอกว่า กระบอกเปิดได้แล้ว”
“ผมเชื่อว่าทุกอย่างต้องมีคำตอบ ช้าหรือเร็ว” ชาติบอก
“หวังว่าคงไม่ช้าเกินไป” กาญจนากังวล
เฮนรี่กับพรานอ่องข่านยังคุยกันต่อเรื่องมนต์จากกระบอกแผนที่
“ที่พวกมันตั้งค่ายหยุดเดินทางเพราะยังงี้เอง”
“ถูกต้อง”
“งั้นก็จบน่ะซิ ไปต่อไม่ได้" โจซิงเซ็ง
“ป่านนี้พวกมันคงเปิดได้แล้วมั้ง” เฮนรี่คิด
พรานอองข่านส่ายหน้า
“แล้วพรานล่ะ มีคาถาเปิดได้หรือเปล่า” โจซิงเยาะ
“เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้ นอกจากลองดู”
“รอให้พวกมันเปิดดีกว่า ง่ายกว่าเยอะ”
พรานอองข่านมองหน้าโจซิงเฉย ไม่สนใจ
“งั้นก็พักตามสบาย ไม่ต้องรีบ แต่ถ้าพวกนั้นเปิดไม่ได้ เราคงต้องลงมือหาทางชิงแผนที่มาเปิดเอง” เฮนรี่บอกทุกคน
อิทธิ โรส เคลื่อนตัวหลบซุ่มห่างออกไป ทั้งสองจ้องสำรวจที่ค่ายของเฮนรี่
“อยู่เฉยๆ รอพวกมันก็ดีแล้ว ทำไมต้องมาดูพวกมันด้วย”
“ก็ฉันเบื่อ แบบนี้ตื่นเต้นดี”
“ดูเหมือนพวกมันไม่มีความเคลื่อนไหว”
“หรือว่าพวกมันรู้ว่าเราเดินทางไม่ได้”
“มันจะรู้ได้ยังไง”
“อย่าประมาท พวกมันไม่มาถึงนี่เพราะโชคดีหรือขาดสมอง”
“โอเค คุณดู ผมพัก”
อิทธินั่งพิงต้นไม้เลย โรสเอาศอกกระทุ้ง อิทธิหน้าเบ้ โรสจ้องค่ายเฮนรี่สำรวจ
กาญจนายืนเหม่อมองไปข้างหน้า รัตนากรเดินเข้ามาหา
“นึกไม่ถึงว่าการเดินทางเพิ่งจะเริ่มต้น แต่กลับสิ้นสุดอย่างไม่คาดคิด”
“เรายังมีเวลา บางครั้งคำตอบก็จะปรากฏได้ด้วยตัวของมันเอง” รัตนากรปลอบ
“ไม่มีแผนที่ เท่ากับว่าทุกอย่างจบ”
“อะไรจะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้หรือ”
“พี่รัตน์ไม่เคยเชื่อเรื่องนี้มาก่อนนี่คะ”
“การเดินทางครั้งนี้พี่ได้พบกับเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้พี่เริ่มจะเชื่อว่ากาญกับคุณพ่อคิดถูกเรื่องเนตรนาคราช ไม่สำคัญหรอกว่าพี่คิดยังไง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกาญ และเราต้องหาทางเปิดกระบอกแผนที่ให้ได้”
ทั้งสองยิ้มให้กัน
ตอนดึก รัตนากรนั่งพิจารณากระบอกแผนที่อย่างเคร่งเครียด แล้วถอนใจเก็บแผนที่เข้าที่เดิม มองรอบๆ เห็นทุกคนหลับหมดแล้ว ชาติยืนห่างออกไปรอบนอก รัตนากรลุกเดินไปหา
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
“กำลังจะ แต่เห็นคุณชาติยืนอยู่คนเดียว เลยมาถามดู ว่าจะให้ฉันช่วยเปลี่ยนเวรหรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมมีนกซามูคอยช่วยระวังอยู่แล้ว”
รัตนากรยิ้ม
“เชิญคุณรัตนากรหลับให้สบายเลยครับ ถ้าพวกมันบุกมาก็ต้องผ่านด่านนายอิทธิกับคุณโรส ไหนจะนายอัศวินอีก สบายมากครับ”
“งั้นไม่เกรงใจแล้วนะคะ จะหลับให้สบายเลย เผื่ออาจจะฝันถึงวิธีเปิดกระบอกแผนที่”
“งั้นผมจะคอยดูไม่ให้มีใครรบกวนเลยครับ”
รัตนากรยิ้มเดินออกไป
“ขอให้คุณรัตน์ฝันเห็นวิธีเปิดจริงๆ เถอะ นี่เราบ้าไปแล้วเหรอวะ ถ้าฝันเห็นจริงก็โม้ยิ่งกว่าโม้”
ชาติยิ้ม
ดึกสงัด รัตนากรหลับสนิท แล้วเธอก็ฝันจริงๆ ในฝัน ดร.มานพเข้ามาร้องเรียก
“รัตน์
รัตนากรลืมตาขึ้นมา
“คุณพ่อ”
ดร.มานพพยักหน้ายิ้มให้
“นี่ลูกฝันไปใช่มั้ยคะ”
“อืม ลูกนึกถึงพ่อ ทำให้พ่อมาหาลูกได้”
“ใช่ค่ะ คุณพ่อคะ กระบอกแผนที่ปิด เราเดินทางต่อไม่ได้ค่ะ คุณพ่อช่วยได้มั้ยคะ”
“พ่อเปิดไม่ได้หรอก แต่พ่อพาลูกไปถามเจ้าของกระบอกแผนที่ได้”
“จริงเหรอคะ”
ดร. มานพพยักหน้า รัตนากรรู้สึกเหมือนสายตาพร่าพราย ทุกอย่างเคลื่อนไหวเร็ว จนต้องหลับตาลง
“ถึงแล้วลูก”
รัตนากรลืมตาขึ้น ก็เห็นสองพี่น้องที่เคยเห็นในฝันมาก่อน นั่งอยู่ตรงหน้าบนแคร่ที่บ้านไทยโบราณ
“ที่แท้มีคนนำกระบอกแผนที่มาสู่มือบิดาท่าน” น้องชายพูดขึ้น
“ใช่ หลังจากนั้นท่านก็ศึกษาค้นคว้าจนรู้เรื่องราวที่มีบันทึกไว้เมื่อ 500 ปีก่อน” รัตนากรบอก
“500 ปี” พี่ชายพึมพำ
“เนตรนาคราชต้องคืนสู่เจ้าของ” ดร.มานพย้ำ
“นึกไม่ถึง เราสองคนเป็นคนก่อเรื่องขึ้นมา” พี่ชายบอก
รัตนากรจ้องอย่างมีความหวัง
“ท่านบอกว่ากระบอกแผนที่เปิดได้เอง” น้องชายถาม
“ใช่ อยู่ดีๆ ก็เปิดออกด้วยตัวเอง”
สองพี่น้องต่างมองหน้ากัน
“ตอนที่เปิดอยู่ในมือของท่านรึ” พี่ชายถาม
“คือบังเอิญมีการต่อสู้แย่งชิงกัน โชคดีศัตรูถอยหนีไป เราจึงหยิบส่งให้น้องสาว น้องสาวเป็นคนเห็นว่ากระบอกแผนที่เปิดแล้ว”
สองพี่น้องมองหน้ากัน
“มีวิธีหนึ่ง ที่จะรู้ว่าท่านพูดจริงหรือเท็จ” น้องชายบอก
รัตนากรกับดร.มานพ มองหน้ากันตื่นเต้นสงสัย
นักดาบนำหน้าและล้อมหลัง ตรงกลางคือสองพี่น้อง ดร.มานพ และรัตนากร ทั้งกลุ่มเดินมาหยุด
ตรงลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง คนพี่พยักหน้า คนน้องเดินไปหยุดตรงหน้าผนังถ้ำด้านหนึ่ง ยกมือพนมบริกรรม
คาถา แล้วกระชากมีดออกจากเอวกรีดที่ฝ่ามือของตน จากนั้นเอาฝ่ามือทาบตรงกำแพง ดร.มานพ
กับรัตนากรจ้องอย่างตื่นเต้น ทันใดนั้นเห็นมือของคนน้องผ่านกำแพงเข้าไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ สักครู่ก็ดึงมือกลับ ในมือมีกระบอกทองเหลืองติดมา รัตนากรตกใจ
“กระบอกแผนที่”
“ใช่กระบอกแผนที่อยู่กับเรา เราถึงไม่เชื่อท่านในตอนแรก มีแต่คนมาหาเราเพื่อที่จะชิงกระบอกแผนที่เท่านั้น แต่ผ่านไป 500 ปี นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“อย่างที่บอก เราต้องการเพียงอยากจะรู้ว่าจะเปิดกระบอกแผนที่ได้ยังไง เราไม่แตะกระบอกแผนที่ของท่านเด็ดขาด”
น้องชายมองหน้าพี่ชาย พี่ชายพยักหน้า
“ได้ เจตนาเราต้องการจะรู้เหมือนกัน ส่งมือท่านออกมา”
รัตนากรยื่นมือออกไป น้องชายตวัดมีดขึ้นมาทาบบนฝ่ามือของรัตนากร
“ท่านพร้อม”
“เชิญ”
น้องชายตวัดมือปาดมีดลงบนฝ่ามือของรัตนากร เลือดซึมออกมาบนฝ่ามือ น้องชายวางกระบอกแผนที่ลงบนฝ่ามือของรัตนากร รัตนากรรับไว้
“เท็จจริงจะรู้กันในไม่ช้า”
ทันใดนั้นกระบอกแผนที่เรืองแสงวาบหนึ่ง พี่น้องต่างมองหน้ากัน รัตนากรคาดไม่ถึง
“ท่านลองเปิดกระบอกแผนที่ดู”
รัตนากรค่อยๆ เปิดปากระบอกแผนที่ออกช้าๆ ฝาหลุดติดมือออกมาอย่างง่ายดาย สองพี่น้องคาดไม่ถึง
“ท่านเกิดปีมะโรง วันที่ 8 เดือน 8”
“ท่านรู้ได้ยังไง”
“เพราะเราสองคนพี่น้องเกิดปีมะโรง วันที่ 8 เดือน 8 เช่นกัน เพียงแต่คนละปี”
รัตนากรตื่นเต้น
“หวังว่าท่านคงทำสำเร็จ”
“โชคดีนะลูก”
ทันใดนั้นรัตนากรรู้สึกสายตาพร่าพราย ทุกอย่างเคลื่อนไหวเร็ว เห็นทุกคนจางหายไป
“คุณพ่อ คุณพ่อ”
ทุกอย่างเร็ว มองไม่เห็นอะไร หูแว่วเสียงเรียกดังขึ้น
“รัตน์ รัตน์”
รัตนากรลืมตาขึ้นมา
“พี่อัศวิน”
“รัตน์เพ้อเรียกคุณพ่อ”
“คุณพ่อพารัตน์ไปหาเจ้าของกระบอกแผนที่ค่ะ”
“อย่าบอกนะว่ารัตนรู้วิธีเปิด”
รัตนากรพยักหน้าอย่างตื่นเต้น อัศวินเข้ามากอดอย่างดีใจ
“แน่ใจนะ”
“รัตน์มั่นใจค่ะ”
ทั้งสองต่างดีใจ
อ่านต่อหน้า 2
เนตรนาคราช ตอนที่ 10 (ต่อ)
เวลาต่อมา รัตนากรส่งกระบอกแผนที่ให้กาญจนา
“นี่จ้ะ เปิดเรียบร้อยแล้ว”
กาญจนารับมาขยับเปิดส่วนบนดู ขยับออกอย่างง่ายดาย ตื่นเต้นดีใจ ขณะนี้ทุกคนตื่นกันหมด มาห้อมล้อมอย่างตื่นเต้น
“พี่ทำได้ยังไงเนี่ย”
“ไม่มีใครรู้เลยจะดีกว่า”
กาญจนาโผเข้ากอดรัตนากร ทุกคนต่างมองอย่างชื่นใจ ยกเว้นวีรกิจมองด้วยสีหน้ามีเลศนัย รัตนากรยิ้มที่ได้ทำเพื่อน้อง
“พี่สาวกาญเก่งที่สุดในโลก”
ทุกคนต่างยิ้มให้กัน
ชาติเดินตรวจรอบนอก อัศวินเดินเข้ามา
“ฉันคิดว่าพวกมันคงไม่คิดจะบุกพวกเรา”
“ไอ้เฮนรี่มันฉลาด ถึงตอนนี้มันคงรู้แล้วว่าคอยตามขบวนเดินทางน่าจะดีกว่า”
“จนกว่าเราจะเปิดโอกาสให้พวกมัน”
“คืนนี้นอนพักให้สบายเลยเพื่อนฉันระวังเองคืนนี้”
“แน่ใจนะ”
“เออน่า”
“ขอบใจเพื่อน”
อัศวินเดินแยกตัวไป
นายองส่งกระบอกน้ำให้พรานเมิง พรานเมิงรับมาดื่ม แล้วมองรอบๆ
“มีอะไรเหรอพ่อ”
“ไม่รู้ เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่รอบๆ”
“ฉันว่าพ่อเพี้ยนอีกแล้ว”
“เอ็งน่ะซิเพี้ยน”
นายองเหล่ใส่แล้วหันไปนั่งที่ของตัวเอง พรานเมิงยังไม่วายมองรอบๆ
ภายในค่าย อัศวินเดินมาหากาญจนา
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ เส้นการเดินทาง”
“พร้อมค่ะ ตามแผนที่เราเข้าเขตเส้นทางแล้วค่ะ จุดแรก เรียกว่าปากพญานาค”
“พี่ชอบคนโบราณตั้งชื่อจริงๆ ไม่อ้อมค้อมชัดเจน แบบนี้เรามาถูกทางแน่ๆ”
“ค่ะ กาญปรึกษาเส้นทางกับพรานเมิงเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ดีมาก เป็นไงบ้าง” อัศวินมองไปทางวีรกิจ
“ดูเหมือนว่าจะทำตัวดีขึ้น แต่กาญยังไม่แน่ใจ”
“นอนซะ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า”
“กู๊ดไนท์ค่ะ”
อัศวินยิ้มแล้วเดินออกไป
อัศวินหลับอยู่ใกล้ๆ กับรัตนากร ชาติเข้ามาปลุกเรียก
“มาดูอะไรหน่อยเพื่อน”
พรานเมิงกับนายองมองไปข้างหน้า ชาติ อัศวิน กับ รัตนากรเดินเข้ามาสมทบ ทั้งหมด
จ้องไปข้างหน้าอย่างแปลกใจ เหมือนหิ่งห้อยบินระยิบระยับไปหมด ผิดแต่ว่าดวงใหญ่กว่าหิ่งห้อย
“อะไรกันคะนี่” รัตนากรแปลกใจ
“ดวงวิญญาณของพวกที่เร่ร่อนอยู่ที่นี่”
“ล้อเล่นน่าพราน” อัศวินไม่อยากเชื่อ
“เป็นเพราะผมใช้คาถาเปิดกระบอกแผนที่ อาจจะรบกวนวิญญาณพวกนี้ให้ออกมา”
“อาจจะแค่มาขอส่วนบุญก็ได้” ชาติคิดในทางที่ดี
“ไม่หรอกครับ พวกมันเล่นงานเราแน่”
ทั้งหมดมองแสงระยิบระยับตรงหน้าอย่างตื่นเต้น แสงระยิบระยับลอยต่ำลงมากับพื้น พลันกลาย
เป็นนักดาบสมัยโบราณถืออาวุธครบมือ
“พ่อ ทำไงดี”
“ทุกคนระวัง”
อัศวิน ชาติ รัตนากรต่างชักปืนขึ้นมาพร้อมกัน
“นายอง ปลุกทุกคน” รัตนากรสั่ง
ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นขึ้นเป็นชุด ทุกคนหันไปมอง เห็นวีรกิจเป็นคนยิง
“มีคนช่วยปลุกแล้ว” นายองเซ็ง
พวกนักดาบโบราณต่างค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นลูกไฟหลายดวง พุ่งวนเวียนเต็มไปหมด กาญจนา นพดล พรานโก๊ะ ทีมงาน รีบเข้ามา ทุกคนมีปืนพร้อม จ้องไปข้างหน้าอย่างคาดไม่ถึง ดวงไฟเหล่านั้นวนเวียนสักครู่แล้วพุ่งหายไปในป่า ทุกคนต่างมองหน้ากัน ถอนใจโล่งอก
“เดี๋ยว ซามูล่ะ” กาญนาถามขึ้น
เสียงนกซามูส่งสัญญาณผิวปากมา ชาติส่งสัญญาณกลับไป
“ซามูยังอยู่ครับ”
ทุกคนมองหน้ากัน เครียด
อัศวิน รัตนากร กาญจนา และวีรกิจ จับกลุ่มกัน วีรกิจคุยโวทันที
“ทุกคนน่าจะขอบใจผม ที่ทำให้พวกมันเตลิดไป”
อัศวินขัดทันที
“หรืออาจจะทำให้พวกเราตายกันหมด คุณวีรกิจ ผมขอบอกคุณเป็นครั้งสุดท้าย ผมเป็นหัวหน้าของขบวนการเดินทางครั้งนี้ การตัดสินใจทุกอย่างเป็นหน้าที่ของผม ไม่ใช่คุณ ดังนั้นอย่าทำอะไรอีกจนกว่าจะถามผมก่อน”
วีรกิจพูดไม่ออก แค้น
“คุณเข้าใจหรือยัง คุณวีรกิจ”
อัศวินจ้องหน้าจริงจัง จนวีรกิจ ต้องตอบ
“ผมเข้าใจ”
กาญจนาอดเห็นใจไม่ได้ เดินเข้ามาหาวีรกิจ
“ไปพักก่อนเถอะค่ะ คุณวี”
กาญจนาเดินนำวีรกิจออกไป อัศวินมองตามระงับอารมณ์ รัตนากรเดินเข้ามาหา
“ถ้าคิดจะหมกตานั่นล่ะก็ รัตน์ช่วยเต็มที่”
อัศวินค่อยยิ้มออก ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ
“น่าเป็นห่วงยัยกาญ”
“กาญบอกพี่แล้ว ว่าคงไปกันไม่ได้ แต่ขอให้การเดินทางจบก่อน ตัดขาดกันตอนนี้จะโหดเกินไป”
“รัตน์กลัวว่าก่อนการเดินทางจบ ตานี่จะทำให้พวกเราจบซะก่อน”
อัศวินขำ “เราไปคุยกับพรานเมิงดีกว่า ว่าจะทำยังไงกับวิญญาณพวกนั้นดี”
อัศวินกับรัตนากรเดินไปหาพรานเมิง พรานเมิงเครียด
“พวกนี้ไม่ใช่วิญญาณธรรมดา เป็นวิญญาณที่วนเวียนมาหลายชั่วปี มีพลังแก่กล้า จนกำหนดร่างตัวเองได้เลยครับ”
“แบบว่าสัมผัสเป็นตัวเป็นตนได้ยังงั้นเหรอ” รัตนากรถาม
“ครับ อำนาจของกระบอกแผนที่ อาจทำให้แรงขึ้นมาอีก”
“พรานคิดว่าวิญญาณพวกนั้นจะเล่นงานพวกเรามั้ย”
“วิญญาณพวกนั้นส่วนมากแล้วเป็นโจร อาจจะเป็นพวกที่ตามหาเนตรนาคราชในสมัยก่อนก็เป็นได้ ผมว่ามันเล่นงานพวกเราแน่”
“แล้วทำไมตอนวีรกิจยิงใส่ถึงหายกันไปหมด”
“คงเพราะยังสับสนมากกว่า อาจจะคิดว่าพวกเราเป็นวิญญาณเหมือนพวกมันก็ได้”
อัศวินกับรัตนากรมองหน้ากัน ยกนาฬิกาขึ้นดู
“หรือว่าใกล้เช้าพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น”
“วิญญาณพวกนี้มีพลังสูงไม่กลัวแสงแดดหรอกครับ”
“สรุป วิญญาณพวกนี้สามารถเล่นงานเราได้ทุกเมื่อ”
“ครับ เราเผลอจิตอ่อนเมื่อไหร่มันจะครอบงำทันที”
“สงสัยว่าไอ้พวกเฮนรี่มันจะเจอเหมือนกันหรือเปล่า”
“ลองโผล่มาแบบนี้ ไม่ว่าพวกไหนเจอกันหมดแหละครับ”
อัศวินกับรัตนากรมองหน้ากัน กังวลใจ
ชาติเดินกราดตาเฝ้าระวัง อัศวินเดินเข้ามาหา
“พรานเมิงว่ายังไงเรื่องวิญญาณหิ่งห้อยนั่น”
“ไม่ค่อยดี แต่พรุ่งนี้เช้าเราจะต้องออกเดินทาง นายช่วยให้นกซามูส่งข่าวถึงไอ้อิทธิกับคุณโรสด้วย
ให้มาร่วมสมทบกับขบวน ส่วนฉันกับคุณรัตนากรจะเอาแผนที่แยกออกไปเหมือนเดิม”
“ฉันว่าดี เผื่อว่าพวกวิญญาณจะได้ตามกระบอกแผนที่ไปทางแก”
“ขอบใจที่เป็นห่วงนะเพื่อน”
ทั้งสองขำๆ อัศวินเดินออกไป ชาติผิวปากส่งสัญญาณออกไป ได้ยินเสียงซามูส่งสัญญาณกลับมา
อิทธิหลับอยู่ โรสสะกิดเบาๆ อิทธิปรือตา ตวัดปืนขึ้นมา
“ถึงเวรผมแล้วเหรอครับ”
“ซูว์ ดูโน่น”
อิทธิกราดสายตามองตาม ตาสว่างขึ้นมาทันที เพราะตรงหน้าคือดวงไฟวิบวับหลายดวง วนเวียนอยู่ ห่างออกไปในป่า
“อย่าบอกนะว่า กระสือมีจริง”
“บ้า เคยเห็นกระสือเหรอ”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังแว่วขึ้นมาถี่ยิบเป็นชุดๆ
“พวกไอ้เฮนรี่ ซัดเข้าให้แล้ว”
โรสกับอิทธิต่างตื่นเต้นเมื่อดวงไฟยิบยับเหล่านั้นออกอาการวนเวียน เสียงปืนสนั่นถี่ยิบ
“ตัวอะไรกันแน่” โรสเครียด
พวกทีมงาน โจซิง อังโซะ กราดกระสุนใส่ดวงไฟยิบยับเหล่านั้น พรานอองข่าน กับ เฮนรี่รีบเข้ามา
เห็นดวงไฟยิบยับเหล่านั้นพุ่งวาบหายเข้าไปในป่า
“อะไรน่ะพราน”
“ท่าทางไม่ดีซะแล้ว คาถาเปิดประตูสวรรค์ที่พวกมันใช้เปิดกระบอกแผนที่ ตอนนี้กลายเป็นเปิดประตูให้ไอ้พวกนี้ออกมา”
“จะเป็นพวกไหนก็แล้วแต่ เจอลูกปืนก็ไม่เหลือ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากทีมงาน พรานอองข่านเครียด
“ผมต้องขอโทษแทนพวกนี้ด้วยพราน เชิญพรานต่อเลย พวกนี้คืออะไร”
“เป็นวิญญาณร้ายที่ล่องลอยยังไม่ได้ไปผุดเกิด”
เฮนรี่ถึงกับเงียบไป รวมทั้งโจซิง และทุกคน
อิทธิกราดสาตารอบเช่นเดียวกับโรส
“คืนนี้น่าจะไม่มีอะไรแล้ว ได้เวลาเวรคุณพอดี”
อิทธิมองหน้าโรสคิดในใจว่าโรสปิดบังบางอย่าง โรสมองหน้า
“อะไร”
“ผมรู้ว่าคุณเป็นนักเรียนนอก แต่คุณโตมากับบรรพบุรุษที่ปกป้องตามหาเนตรนาคราช คุณน่าจะรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับดินแดนลึกลับแห่งนี้บ้าง โดยเฉพาะไอ้ที่วอบแวบเมื่อกี้”
“บางอย่างถ้าคนไม่ถามบอกไปก็จะกลายเป็นถูกหัวเราะเยาะ”
“อ้อโทษครับ ยังไม่ได้บอก”
“จะฟังหรือเปล่า”
“ฟังครับ”
“เท่าที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง”
โรสเริ่มต้นเล่าให้อิทธิฟัง
“ตกลงเราอาจจะต้องสู้กับวิญญาณพวกนี้”
“เป็นไปได้ แต่คุณอาจจะรอด เพราะดูๆ ก็คล้ายกับวิญญาณอยู่แล้ว”
“อ้าว แบบนี้ก็สวยดิ”
“กู๊ดไนท์”
“กู๊ดไนท์ครับ”
โรสนั่งในที่ของตัวเอง อิทธิยิ้มหันกลับไปมองรอบๆ ทั้งสองต่างซุ่มอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ซึ่งล้อมรอบมิดชิดอยู่ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหมาป่าหอนดังเข้ามา โรสลุกขึ้นมาพร้อมปืน
“ใจเย็นครับ ไม่ใช่หมาป่าหรอกครับ”
“หอนออกยังงั้น ไม่ใช่เสียงหมาป่าแล้วจะเป็นเสียงอะไร”
“เสียงหมาซามูครับ”
โรสมองอิทธิอย่างข้องใจ
“คุณแน่ใจนะ”
“คุณเองก็ฟังออกถ้าตั้งใจ เพียงแต่ครั้งแรกคนจะสรุปกันไปเองว่าเป็นหมาจิ้งจอก”
อิทธิพูดจบก็ส่งเสียงนกฮูกออกไป สักครู่ก็มีเสียงหมาป่าหอนเข้ามา อิทธิหันมองหน้าโรส
“จริงของคุณ ขอบใจที่บอก ซามูมาทำไม”
“เจอแสงวอบแวบแบบนี้ ถ้าเดาไม่ผิด อัศวินคงมีแผนตั้งรับใหม่” อิทธิคาด
ตอนเช้า ทุกคนพร้อมหน้า อัศวินประกาศต่อหน้าทุกคน
“เมื่อทุกคนพร้อม พรานเมิงจะนำทางทุกคนไป ยกเว้นผมกับคุณรัตนากร”
“คุณจะปล่อยให้เราเผชิญหน้ากับพวกวิญญาณตามลำพังหรือไง” วีรกิจแย้ง
ทุกคนมองวีรกิจพยายามกลบสีหน้ารำคาญ เพราะเกรงใจกาญจนา
“ผมกับรัตนากรจะแยกตัวออกไปพร้อมแผนที่ หวังว่าจะทำให้วิญญาณพวกนั้นตามเรา ไม่รบกวน
ขบวนเดินทาง แล้วจะวกกลับมาร่วมกับขบวนภายในหนึ่งหรือสองวันเมื่อใกล้ถึงจุดหมายแรก”
วีรกิจเงียบไป
“เป็นความคิดที่ดีครับ กระบอกแผนที่มีมนต์ที่ลงไว้ จะเป็นพลังดึงพวกวิญญาณให้ไปจากขบวนของเรา” พรานเมิงเห็นด้วย
“งั้นทุกคนเตรียมตัวได้ เราจะเริ่มเดินทางทันทีที่คุณอิทธิกับคุณโรสมาถึง”
“เย้”
พรานเมิงเหล่นายอง
“เอ็งเย้อะไรของเอ็ง”
“ทำไมเหรอ พี่อิทกับคุณโรสเก่งออก มากับเราก็ยิ่งดีซิพ่อ”
“เออ เออ เอ็งรีบเตรียมตัวได้แล้ว”
“ทุกคน อีกครึ่งชั่วโมง”
อัศวินนัดแนะ ทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไป
อ่านต่อหน้า 3
เนตรนาคราช ตอนที่ 10 (ต่อ)
นพดลเก็บของใกล้ๆ พรานโก๊ะ ซึ่งเก็บของเช่นกัน
“พรานโก๊ะคิดว่าไง เราจะสู้กับวิญญาณไหวเหรอ”
“วิญญาณก็คือภาพลวงตา ทำจิตให้แข็งเข้าไว้”
“พูดง่าย ทำยาก”
“งั้นก็ต้องคอยวิ่งเหมือนผม”
นพดลอดขำพรานโก๊ะไม่ได้
กาญจนาเก็บข้าวของใกล้ๆ กับวีรกิจ
“กาญรู้ค่ะว่าเรื่องราวมันซับซ้อน บางทีกาญก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน”
“แต่ไม่มีใครมารุมว่าคุณ มีแต่ว่าผม”
“แล้วไปแล้วเถอะค่ะ เอาเป็นว่า ตอนนี้คุณวีปล่อยให้คนอื่นเขาจัดการก็แล้วกัน ดีซะอีก จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
“ก็ ก็ ดีครับ”
กาญจนายิ้มให้ สบายใจขึ้น วีรกิจฝืนยิ้ม แต่ซ่อนความไม่พอใจไว้
นายองร้องเสียงดังด้วยความดีใจ
“พี่อิท กับ คุณโรสมาแล้ว”
“เอ็งตะโกนทำไมวะ”
“บ่นอยู่ได้ พ่อเนี่ย”
นายองสะพายย่ามวิ่งไปหาอิทธิกับโรส
“พี่อิท”
“ว่าไงนายอง คิดถึงพี่มั่งหรือเปล่า”
นายองไม่ตอบ มองโรส
“เอ่อ คุณโรส สบายดี”
“เรียก พี่โรส ก็ได้นะนายอง”
นายองอึ้งทำตัวไม่ถูก โรสยิ้ม แกล้งเรียกตัวเองว่าพี่
“พี่สบายดี นายองล่ะ”
“คือ นายอง นายองสบายดี”
นายองตอบแล้ววิ่งออกไป อิทธิยิ้มชอบใจ
“เด็ก วันๆ วิ่งไปวิ่งมา”
โรสยิ้มไม่พูด
“ความจริงมีนายองมาด้วยก็ไม่เลว สนุกดี ไม่เหงา”
โรสยิ้ม “ชัวร์”
โรสเดินนำแซงไป อิทธิยิ้มไม่ทันรู้ตัวว่าโรสแซวเข้าให้แล้ว
โรสเดินเข้ามาหารัตนากร
“พี่รัตน์”
“ไงจ๊ะ เมื่อคืนมีอะไรผิดปรกติหรือเปล่า”
“เต็มๆ เลยค่ะ วูบวาบเต็มไปหมด”
“นึกแล้วอยู่เหมือนกัน”
ทั้งสองยิ้มให้กัน
อิทธิเดินมาหาอัศวิน
“ไงเพื่อน แสงวูบวาบประหลาดเมื่อคืน ทำให้แกคิดถึงฉันหรือไง”
“อืม พรานเมิงบอกว่าพวกนี้แรง ฉันอยากให้นายกลับมาช่วยไอ้ชาติมันคุมขบวนหน่อย”
“เรื่องมันจะเริ่มเว่อร์ขึ้นทุกที นายว่ามั้ย”
“สมัยนี้ไม่เว่อร์ก็ไม่มันซิเพื่อน นายชอบอยู่แล้วนี่”
อิทธิยิ้มพยักหน้ารู้กัน
“อีกสองวันเจอกัน”
ทั้งสองต่างยกกำปั้นชนกัน
เวลาต่อมา อัศวินประกาศเริ่มเดินทาง
“เอาล่ะขอให้ทุกคนโชคดี เราเจอกันอีกสองวัน ตามเส้นทางที่กำหนดไว้”
ขบวนโบกมือให้รัตนากรกับอัศวินซึ่งแยกออกไป เฮนรี่ใช้กล้องส่องทางไกลมองอยู่
“พวกนั้นเดินทางต่อ แสดงว่าเปิดกระบอกแผนที่ได้แล้ว”
“หรือไม่ก็เดินทางไปก่อน แล้วหาทางเปิดในระหว่างทาง” โจซิงท้วง
“อืม แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ไม่ได้เป็นสามเหมือนอย่างเคย”
“สองคนเคยแยกไป กลับมาสมทบกับขบวน สองคนออกห่างจากขบวนเหมือนเดิม ล่อพวกวิญญาณให้ตามแผนที่” พรานเมิงเปรย
“ดี เราจะได้ไม่ต้องเจอ” โจซิงโล่งใจ
พรานอองข่านยิ้มเยาะ “อย่าคิดว่าจะรอด”
พวกทีมงานส่งเสียงงึมงำ
“แล้วเราจะสู้กับวิญญาณยังไงพราน” เฮนรี่กังวล
“หรือว่า อาจารย์มีของปลุกเสกมาแจกสู้กับวิญญาณได้”
ทีมงานหัวเราะ พรานอองข่านจ้องโจซิงหน้าตาย
“ไม่มี พวกเอ็งเก่งก็หาวิธีเอาเอง”
“อย่างดีก็แค่เป็นผีดิบเหมือนหนังชีวภาพ เจอลูกปืนก็ดับ” อังโซะบอกอย่างไม่ยี่หระ
พรานอองข่านยิ้มเยาะแล้วเดินออกไป เฮนรี่หันมาต่อว่าทีมงาน
“พวกนายนี่กวนจริงๆ พรานทิ้งเราไปล่ะก็ยุ่งเลย”
“คุณก็โทรไปสั่งคนให้ส่งมาใหม่ เอา ฮ.มาหย่อนให้ถึงที่เลยยังได้”
โจซิงเสนอ อังโซะยิ้มเห็นด้วย
“เอาล่ะ เอาล่ะ นายตามแผนที่ไป ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีวิธีเปิดกระบอกแผนที่ ชิงได้ก็ชิงเอามา แล้วก็เค้นเอาวิธีเปิดกระบอกแผนที่มาด้วย คิดว่าทำได้หรือเปล่า”
“ได้อยู่แล้ว” โจซิงรับคำ
“ผมจะตามขบวนใหญ่ไปเหมือนเดิม อย่าคิดมาก ถ้านายทำไม่สำเร็จ เราก็ยังมีขบวนใหญ่ให้ตามอยู่ดี”
เฮนรี่พูดประชดแล้วเดินออกไป โจซิง กับ อังโซะลอบสบตากัน ยิ้มเยาะเฮนรี่ ต่างฝ่ายต่างมีความลับในใจ
เคนนอนหลับอยู่ในป่า ทันใดนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ ลูกน้องสิบกว่าคนรอบตัวมองอยู่ เคนหัวเราะชอบใจ
“เฮ้ย พวกเอ็งทำเป็นขวัญอ่อนไปได้”
เคนยกขวดเหล้าขึ้นดื่ม แต่เป็นขวดเปล่า เขาโยนทิ้งไป พร้อมยกมือขึ้นมารอ ขวดเหล้าลอยเข้ามา
อีกขวดหนึ่ง เขากระดกดื่ม
“เฮ้ย รายงานเว้ย น้องโรสของข้ากับพวกมันไปถึงไหนกันแล้ว”
ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
“ตอนนี้กำลังเข้าเขตวิญญาณเร่ร่อนแล้วครับพี่”
เคนพรวดลุกขึ้น
“วะ ทำไมไม่มีใครบอกข้า”
“บอกไปแล้วครับเมื่อวาน”
เคนเดินเข้ามาเตะลูกน้องกระเด็น
“โกหก”
พวกลูกน้องต่างหัวเราะ
“บอกแล้วทำไมข้าจำไม่ได้”
“ก็พี่เมา”
เคนจ้องลูกน้องเขม็ง
“เออ จริงว่ะ”
เคนหัวเราะชอบใจเดินเข้ามาโอบไหล่ลูกน้อง
“โทษทีเว้ย”
พวกมันต่างหัวเราะกัน
“ไม่เป็นไร ที่นี่ถิ่นเรา บรรพบุรุษเราผ่านเข้าออกไม่รู้กี่รอบ ยังไงเราก็ตามทันอยู่แล้ว”
ลูกน้องอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน
“มีคนมาหาครับพี่”
เคนหันไปมอง ก็เห็นหลินกับหยก ปิง พร้อมกับนักฆ่าสองคนเดินเข้ามา ง
“นึกว่าใคร ที่แท้คุณหนูหลินนี่เอง”
หลินโปรยยิ้มยั่วยวน เคนมองสงสัย จ้องตาไม่กระพริบ หลินบอกความประสงค์ของเธอกับเคน เคนแปลกใจ
“คุณอยากจะเดินทางไปกับผม”
“ฉันว่าเป็นความคิดที่ดี ในเมื่อเราก็ตกลงทำธุรกิจร่วมกันแล้ว”
“ใช่ เราทำธุรกิจร่วมกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเดินทางร่วมกัน”
“ทำไมล่ะ”
“คุณอาจจะเชือดผมตอนไหนก็ได้”
“เชือดคุณแล้วหลงอยู่ในป่า คุณคิดว่าฉันโง่อย่างงั้นเหรอ”
เคนหรี่ตามอง เดินไปเดินมารอบหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา
“จริงด้วย คุณเป็นคนต่างชาติ คุณไม่รู้จักป่าที่นี่”
หลินพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี เคนยิ้ม
“เรายินดีจ่ายโบนัสเพิ่มอีกครึ่งเท่า เมื่อเนตรนาคราชอยู่ในมือเรา”
“หลังจากที่ท่านประมูลได้”
“หมายความว่ายังไง ประมูลได้”
เคนยิ้ม เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
“คุณบ้าไปแล้ว”
“โน โน โน ไอ แอม นอท บ้า”
เคนหัวเราะชอบใจ หลินมองระมัดระวัง หยก ปิง นักฆ่าสองคน ต่างเตรียมพร้อม
“คุณกับเฮนรี่ต้องประมูลกันก่อน ถ้าคุณประมูลชนะ คุณก็จ่ายผมเพิ่มอีกครึ่งเท่าของราคาเนตรนาคราช และถ้าเฮนรี่ชนะ คุณก็ต้องจ่ายเพิ่มครึ่งเท่าของราคาเนตรนาคราชด้วย”
“ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้เนตรนาคราชยังงั้นเหรอ”
“ถูกต้อง ไม่ยังงั้น ต่างคนต่างไป”
“คุณได้ทั้งสองทาง ฉลาดมาก”
“ทางที่ดี คุณควรจะประมูลให้ได้ จะสวยกว่า”
หลินแค้นใจที่ตกเป็นรอง เคนยิ้มชอบใจ
“ตามนั้น”
“ถ้าตุกติก ตาย”
“ถ้าคุณใกล้ฉัน ตาย”
เคนหัวเราะชอบใจ
“เอ้าพวกเรา เลี้ยงต้อนรับเพื่อนร่วมทางหน่อย”
พวกลูกน้องเคนต่างเฮ เคนยิ้มพอใจ หลินจ้องยิ้มตอบ แต่หยกกับปิงไม่ค่อยพอใจนัก หามุมปลอดคนแอบคุยกับหลิน
“คุณหนูไว้ใจนายเคนได้ยังไง” หยกถาม
“เคนคิดถึงแต่เรื่องเงิน ใครจ่ายดี เป็นเพื่อนคนนั้น ไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับใคร เราเหมือนเสืออยู่ในดงงู อีกทั้งไม่ชำนาญทาง ไม่มีทางชนะได้ เราจ่ายเงินให้คนทำงานให้เราดีกว่า”
หยกกับปิง ยังคงไม่พอใจหลิน
“แต่ไม่ได้หมายความว่า เจ้าสองคนกับทุกคนจะอยู่เฉย จับตาดูพวกมันให้ดี”
หยกกับปิง ต่างก้มรับคำสั่ง
“ส่งคนไปรายงาน อาจินหัว ว่าแผนการสำเร็จ” หลินคลายกังวล
ขบวนใหญ่เดินทางโดยมีพรานเมิงเป็นคนนำคู่กับชาติ ผ่านภูมิประเทศสวยงามหลายแห่ง
ระหว่างทาง ชาติเผลอหันมามองกาญจนาเป็นบางครั้ง กาญจนามองมา ต่างสบตากัน ชาติพยักหน้ายิ้มให้เป็นเชิงให้กำลังใจ กาญจนายิ้มรับบอกว่าไหว วีรกิจสังเกตเห็น ไม่พอใจ พยายามเก็บซ่อนไว้ ส่วนนายองเดินดูนี่โน่นไม่ได้สนใจสังเกตอะไรนอกจากจะหาของกิน แล้วบางที
ก็วิ่งออกไปจากแถว กาญนาต้องคอยเรียกตลอด ชาติเข้ามาสมทบ
“นายองแยกเส้นทางออกไปสำรวจหาเสบียงใกล้ๆ แถวนี้น่ะครับเดี๋ยวก็มา”
“ฉันนี่กลัวไปหมด ค่ะ ได้ค่ะ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน ชาติเร่งเดินไปสมทบกับพรานเมิง วีรกิจสังเกตแต่ไม่พูดอะไร กาญจนาเห็นวีรกิจมองมา แต่ก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน นพดลคอยสังเกต
อัศวินกับรัตนากรเดินทางมาตามราวป่า
“ดูเหมือนจะมีคนคอยตามเราตลอดเวลา” อัศวินพูดขึ้น
“รัตน์ก็สังเกตอยู่เหมือนกัน บางครั้งแกล้งยืนชมวิวรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร”
“อาจจะเป็นพวกวิญญาณอย่างที่พรานเมิงว่าซะแล้ว”
“ถ้ายังไม่โผล่มาให้เห็นเป็นตัวก็ไม่ว่ากัน”
สองคนต่างยิ้มให้กัน แล้วเดินทางต่อ โดยไม่เห็นว่าด้านหลัง มีวิญญานหลายดวงวูบวาบปรากฏแต่แล้วก็จางหายไป
พรานเมิงนำขบวนมาจนถึงลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ผมว่าพวกเราพักที่นี่ได้ครับ”
ชาติพยักหน้ารับ หันกลับมาบอกคนในแถว
“เราจะพักที่นี่กันครับ คอยระวังกันอย่าให้ออกนอกบริเวณด้วย”
วีรกิจเหล่ รู้ตัวว่าชาติหมายถึงเขา ก็มองอย่างไม่พอใจ ทุกคนต่างหยุดหาที่เหมาะนั่งพัก กาญจนา มองหานายอง เห็นเข้ามาพร้อมเสบียง แล้วเดินไปหาพรานโก๊ะก็โล่งใจ นพดลเดินเข้ามาทัก
“เป็นยังไงมั่ง ยัยกาญ”
“โอเคค่ะ อุ่นใจหน่อยที่พี่รัตน์เปิดแผนที่ได้ ไม่ต้องกลัวกระบอกปิดอีกต่อไป”
นพดลพยักหน้าไปทางวีรกิจที่นั่งห่างออกไป
“ยังไงก็คอยดูไว้หน่อย เดี๋ยวจะยุ่งอีก”
“ค่ะ”
นพดลเดินออกไปนั่งใกล้กับพรานโก๊ะ
อ่านต่อหน้า 4
เนตรนาคราช ตอนที่ 10 (ต่อ)
ชาติเดินมาหาพรานเมิงซึ่งกำลังช่วยกันก่อกองไฟกับทีมงาน
“คอยระวังรอบนอกด้วย”
ทีมงานรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ชาตินั่งลงคุยกับพรานเมิง
“พราน ผมมีเรื่องขอถามหน่อย”
“เชิญครับ”
“ที่ว่าวิญญาณจะเล่นงานเราน่ะ มันจะมาแบบไหน โผล่ออกมาหลอก หรือว่ามาล้อม หรือยังไงกันแน่”
“ขึ้นชื่อว่าวิญญาณก็ต้องออกมาหลอกน่ะซิครับ แต่ด้วยเป็นวิญญาณที่มีพลังแรง เราจะดูว่าทุกอย่างเหมือนจริงไปหมดโดยไม่รู้ตัว”
“ยังไม่เข้าใจครับ”
“คือตอนเราเดินทางอยู่อาจจะถูกดึงเข้าไปในเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของวิญญาณพวกนี้น่ะครับ”
“ประมาณว่า ตัวเราเผลอเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นเลย”
“ถูกต้องครับ เช่นเราอาจจะไปเจอโจรปล้นชาวบ้าน เราก็ออกไปช่วยชาวบ้าน ถ้าเราพลาดก็ตาย ถ้าเราช่วยชาวบ้านได้ก็รอด แต่ความจริงทั้งโจรทั้งชาวบ้านคือวิญญาณทั้งนั้น แต่เราจะไม่รู้เพราะถูกดึงเข้าไปแล้ว”
“จำลองเหตุการณ์จริงมาหลอกเราว่ายังงั้นเถอะ”
“ใช่ครับ ทุกอย่างจัดฉากหมดแบบหนังสายลับเรื่องอิมพอสซิเบิ้ลของทอมครูซ ยังไงก็ยังงั้นเลยครับ
บางทีพวกมันจัดฉากให้พวกเราฆ่ากันเองก็ได้”
ชาติฟังแล้วเครียดขึ้นมาทันที
อัศวินกับรัตนากรเดินทางลัดเลาะมาตามต้นไม้ ทันใดนั้นได้ยินเสียงเหมือนการต่อสู้ ทั้งสองหยุดฟัง
“เสียงเหมือนการต่อสู้”
“ไม่ต่ำกว่าสิบ”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน
“เสียงเหมือนดาบกระทบกัน”
“อืม น่าสนใจ เราไปดูกันดีกว่า”
รัตนากรพุ่งออกไป อัศวินรีบตามไป ก็เห็นรัตนากรยืนจ้องไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น เพราะตรงหน้าคือการต่อสู้ เป็นการต่อสู้ด้วยดาบของชายฉกรรจ์นับสิบ
“อะไรกันนี่”
ทั้งสองเหมือนตกอยู่ในภวังค์ลึกลับ อัศวินหันมาทางรัตนากร
“หลบ”
รัตนากรก้มหัวหลบดาบที่ฟันวูบเข้ามา คนฟันเลยมาทางอัศวิน อัศวินชกโครม มันกระเด็นไป ทั้งสองคนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ อัศวินกับรัตนากรต่างต่อสู้สกัดพวกชายฉกรรจ์ที่รุมล้อมเข้ามากระจายออกไป
“ทางโน้น”
อัศวินหันไปตามเสียงก็เห็นชายฉกรรจ์สามคนกำลังต้านชายฉกรรจ์หลายคนจากการเข้าใกล้เกวียนเล่มหนึ่ง บนเกวียนมีชายหญิงวัยกลางคน ท่าทางมีอันจะกินนั่งอยู่ มีคนขับเกวียนอยู่ข้างหน้า พยายามให้เกวียนหนีพวกชายฉกรรจ์ แต่ถูกชายฉกรรจ์ล้อมไว้ แต่แล้วอัศวินกับรัตนากรก็เข้าไปขวางกลางกลุ่มของชายฉกรรจ์ ชายฉกรรจ์หยุดชะงักคาดไม่ถึง จ้องอัศวินกับรัตนากร อย่างไม่เชื่อสายตา
“ใช้ปืนดีมั้ย”
รัตนากรร้องถามอัศวิน
“อย่าเพิ่ง”
“ฆ่ามัน”
ชายฉกรรจ์บุกเข้ามาหาอัศวินกับรัตนากร แต่กระเด็นกลับไปหมด
“ถอย”
ชายฉกรรจ์ต่างถอยเข้าป่าไปจนหมด นักดาบที่คุมเกวียนต่างเฮกัน แต่แล้วนักดาบวิ่งมาระวังอยู่
ด้านหน้าเกวียน ชายหญิงที่อยู่บนเกวียนมองอย่างสงสัย เมื่อเห็นรัตนากรยืนขวางทางอยู่
“พวกเจ้าเป็นใคร”
รัตนากรยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
ชายหญิงบนเกวียนมองอย่างสนใจ นักดาบที่เหลือห้าคนถือดาบตั้งระวัง
“ขอบใจที่ท่านทั้งสองมาช่วยเรา พวกเจ้าจะไปไหนกัน”
“คือว่า”
“ที่แท้ก็พวกงมงายเรื่องเนตรนาคราช”
ชายกลางคนพูดขึ้น อัศวินกับรัตนากรต่างมองหน้ากัน อึ้งไป
“พวกเจ้าก็เหมือนไอ้พวกนั้น พอหิวก็ปล้นชาวบ้าน ถอยไปให้พ้นทาง”
รัตนากรจ้องไปที่หญิงกลางคนแทน แล้วยกมือไหว้
“เราไม่ได้โลภเหมือนคนพวกนั้น กราบรบกวนท่านอาหญิงช่วยบอกเส้นทางด้วย”
หญิงกลางคนเห็นกริยาของรัตนากร จึงผ่อนคลาย ยิ้มออก
“อย่านะคุณหญิง”
“นางมีมารยาทงดงามไม่ใช่คนร้ายอย่างแน่นอน”
“ดิฉันมีเจตนาดีค่ะ”
“บ่าวข้า ไล่ท่านสองคนนี้ให้พ้นทาง” ชายกลางคนสั่ง
ชายสามคนเข้ามาจู่โจมรัตนากร อัศวินยืนดูอย่างใจเย็น รัตนากรใช้ฝีมือเคลื่อนตัวไปมาหลบอย่าง
คล่องแคล่ว
“ฉันไม่ต้องการทำร้ายใคร”
ชายสามคนเข้ามาอีก ฟันด้วยดาบอย่างดุดันจนรัตนากรต้องใช้ฝีมือโต้ตอบ จนพวกนั้นกระเด็นออกไป
“พอได้แล้ว”
คุณหญิงร้องห้าม ชายสองคนที่เหลือต่างเข้าประคองชายสามคนถอยออกไป รัตนากรยกมือไหว้คุณหญิง
“ขอโทษที่ต้องป้องกันตัว”
ชายกลางคนได้แต่มองรัตนากรเงียบไป
“พวกเราเป็นคนดี ต้องการนำเนตรนาคราชคืนสู่เจ้าของ”
“ได้ เราจะบอกท่าน”
รัตนากรยิ้มโล่งใจ เช่นเดียวกับอัศวิน
“หมู่บ้านสองพี่น้อง อยู่ทางทิศเหนือ เดินทางหนึ่งวันก็จะพบเอง”
“ขอบคุณท่านอาหญิง”
“ขอให้ท่านทั้งสองประสบความสำเร็จ”
ขบวนออกเดินทางต่อไป
ชาติเดินตรงมาหาอิทธิกับโรส
“สีหน้าไม่ค่อยดีเลยเพื่อน พรานเมิงว่าไงเหรอ” อิทธิทัก
“เรื่องไม่น่าเชื่อ แต่ก็ไม่อยากลบหลู่”
“เชิญเลยค่ะคุณชาติ ฉันพร้อมที่จะเชื่อเต็มที่”
“คือพรานเมิงบอกว่า”
ชาติเล่าเรื่องให้อิทธิกับโรสฟัง ทั้งสองพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
อัศวินกับรัตนากรเดินอยู่ตามเส้นทางในป่า
“แน่ใจนะ ว่าเรามาถูกทาง”
“แน่ใจซิคะ เส้นทางโบราณไม่ซับซ้อนเหมือนกรุงเทพฯ นี่คะ แค่จับทิศแล้วยึดเส้นทางหนึ่งวันก็ถึง ตามที่คุณหญิงท่านบอก”
“อืม ก็จริง แต่พี่รู้สึกแปลกที่ระหว่างทางไม่มีหมู่บ้านเลย”
รัตนากรยักไหล่ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่
“เดี๋ยว มีความเคลื่อนไหว”
ทั้งสองรีบหลบ
กลุ่มชายฉกรรจ์โบราณนับสิบเดินทางผ่านไป อาวุธครบมือ อัศวินกับรัตนากรเดินออกมา หลังจากพวกนั้นคล้อยหลังไป
“ถ้าให้เดา พวกนั้นต้องไปที่หมู่บ้านสองพี่น้องแน่นอน”
“ถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
ทั้งสองยิ้มให้กันและเคลื่อนตัวตามไป
“รัตน์ว่าเราใกล้จะถึงแล้วนะ”
“รู้สึกว่าจะซัดกันแล้ว”
อัศวินกับรัตนากรวิ่งผ่านป่าออกไป ก็เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ชายฉกรรจ์นับสิบ กำลังต่อสู้กันอย่างเข้มข้น
“เราต้องรีบหาสองพี่น้อง”
ทั้งสองกราดสายตาท่ามกลางการต่อสู้ด้วยดาบและทวน
“โน่นไง”
ทั้งสองเห็นสองพี่น้องต่อสู้ท่ามกลางชายฉกรรจ์รุมล้อมอยู่
“เราต้องช่วย” รัตนากรบอก
“ได้ แต่ยังไม่ควรใช้ปืน อาจจะทำให้สองพี่น้องเห็นเราเป็นศัตรูมากกว่ามิตร”
“มีดคงโอเค”
“ได้”
รัตนากรรีบออกไป
สองพี่น้องถูกรุมล้อมด้วยนักดาบ ทันใดนั้นอัศวินกับรัตนากรก็พุ่งเข้ามา สกัดวงล้อมให้กระจายออกไป
ทั้งสองต่อสู้กับนักดาบด้วยมีดสั้น จนนักดาบเข้าไม่ติด เปิดโอกาสให้นักดาบของสองพี่น้องตั้งตัวได้ และต่อสู้จนพวกนักดาบศัตรูถอยไป นักดาบของสองพี่น้องโห่รับชัยชนะ แต่แล้วก็เงียบลงเมื่อทั้งหมดหันมาเห็น อัศวินกับรัตนากร ซึ่งยืนอยู่ใกล้สองพี่น้อง ในชุดแต่งกายที่ประหลาดในสายตาของทุกคน
สองพี่น้องพาอัศวินกับรัตนากรมาที่บ้านของเขา
“เจ้าสองคนฝีมือมีดสั้นเฉียบคม มาช่วยเรา เราขอบใจ”
พี่ชายมองอัศวินกับรัตนากร
“ดูท่าพวกเจ้าคงมาจากแดนไกล”
“ไกลมาก” อัศวินบอก
“ผู้คนที่มาล้วนแต่ต้องการแผนที่ซึ่งนำไปสู่เนตรนาคราช” น้องชายพูดขึ้น
“เรามีแผนที่แล้ว”
ทุกคนคาดไม่ถึง เมื่อได้ยินรัตนากรพูดอย่างนั้น ต่างจ้องอัศวินกับรัตนากรตาไม่กระพริบ
“เจ้าน่ะรึได้กระบอกแผนที่แล้ว ไหนให้เราดูซิ”
รัตนากรขยับตัว แต่แล้วกลับตกใจ แผนที่หายไปแล้ว
“หายไปแล้ว คงตกหายไปในระหว่างการต่อสู้”
“เจ้าอย่ามาเล่นลิ้นโกหกกับเรา คุมตัวพวกมัน”
พวกนักดาบเข้ามาจ่อดาบที่อัศวินกับรัตนากร รัตนากรไม่เกรงกลัว
“ท่านเองก็รู้ดีว่าเนตรนาคราชต้องคืนสู่เจ้าของ มิฉะนั้นหายนะจะเกิดขึ้นกับมวลมนุษย์” อัศวินพูดขึ้น
สองพี่น้องต่างมองหน้ากัน
“เราคือผู้ที่จะนำเนตรนาคราชไปคืน” อัศวินย้ำบอก
“เหลวไหล เอาตัวพวกมันไปขังรอคำตัดสิน” น้องชายสั่ง
นักดาบเข้ามาเอาดาบจ่อ อัศวินขยับมือ แต่รัตนากรขยิบตาห้ามไว้
“ส่งมีดสั้นของพวกเจ้ามา”
อัศวินกับรัตนากรต่างดึงมีดสั้นของตนส่งให้ นักดาบเข้ามาคุมตัวทั้งสองไป
นักดาบยืนเฝ้าระวังหน้าที่คุมขัง พี่ชายเดินเข้ามาหารัตนากรกับอัศวิน
“เราต้องการคุยกับท่าน”
อัศวินกับรัตนากรมองหน้ากัน ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันโดยมีกรงขังกั้นอยู่
“น้องเรามีนิสัยวู่วาม ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ”
“แต่ท่านเชื่อ”
“เราก็พอมีวิชา พออ่านลักษณะท่าทางของคนได้ เราคิดว่าท่านเป็นคนดี พูดจริง”
“เราก็มองท่านออกเช่นกัน ว่าท่านเป็นคนดีพูดจริง”
“นางหญิงของเจ้าหลักแหลมยิ่ง พูดเยี่ยงนี้ข้าไม่สามารถโกหกเจ้าได้”
“ท่านเชื่อที่เราพูด” อัศวินถาม
“แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจอย่างท่องแท้ จากรูปลักษณ์และเสื้อผ้าของเจ้า เราเชื่อว่าท่านมาจากดินแดน
อันแสนไกลจริงๆ”
“ท่านเข้าใจถูกต้อง” รัตนากรย้ำ
“เจ้าได้กระบอกแผนที่มาแล้ว”
“กระบอกแผนที่ของท่านเป็นทองเหลือง สลักลวดลายโบราณลงอาคมด้วยเลือดของท่าน
สองคน”
“ท่านพบกระบอกแผนที่แล้วจริงๆ” พี่ชายประหลาดใจมาก
น้องชายเดินเข้ามาในบ้าน เห็นพี่ชายนั่งอยู่กับอัศวินและรัตนากร มีอาหารเลี้ยงตรงหน้า
“พี่ท่านคิดจะทำอะไร”
“ใจเย็นๆ ก่อนน้องพี่ นั่งก่อน เราต้องให้โอกาสผู้คน”
น้องชายเคร่งเครียด แต่ยอมนั่งลงโดยดี
โจซิงส่องกล้องดู แปลกใจเมื่อเห็นแต่อัศวินกับรัตนากรนั่งอยู่กันสองคนตรงลานเล็กๆ ในป่า แต่เหมือนพูดอยู่กับใคร
“แปลกมาก ผู้กองกับผู้หญิงนั่นเหมือนกำลังนั่งคุยอยู่กับใคร”
“อาจจะคุยกับวิญญาณที่พรานอองข่านบอกก็ได้” อังโซะพูดขำๆ
“อืม หรือว่าสองคนนั่นเล่นลูกไม้ตบตาเรา” โจซิงสงสัย
สองพี่น้องยังนั่งคุยกับอัศวินและรัตนากรอยู่
“ท่านบอกว่ากระบอกแผนที่เปิดได้เอง” น้องชายถาม
“ใช่ อยู่ดีๆ ก็เปิดออกด้วยตัวเอง แต่แล้วก็ปิดด้วยตัวเอง”
“กระบอกแผนที่ไม่ได้ปิดด้วยตัวเอง จะปิดก็ต่อเมื่อมีดาวโจรหรือดาวชั่วเข้ามาสัมผัส”
อัศวินกระซิบเบาๆ กับรัตนากร
“ไอ้เฮนรี่แน่ๆ”
“ตอนที่เปิดอยู่ในมือของท่านรึ” พี่ชายถาม
“คือบังเอิญมีการต่อสู้แย่งชิงกัน โชคดีศัตรูถอยหนีไป เราจึงหยิบส่งให้น้องสาว น้องสาวเป็นคนเห็นว่ากระบอกแผนที่เปิดแล้ว”
สองพี่น้องต่างมองหน้ากัน
“มีวิธีหนึ่ง ที่จะรู้ว่าท่านพูดจริงหรือเท็จ” คนน้องบอก
“มีชีวิตของท่านสองคนเป็นเดิมพัน” พี่ชายพูดต่อ
อัศวินกับรัตนากรได้แต่มองหน้ากัน
“เชิญท่านตามเรามา”
น้องชายนำเดินออกไป
โจซิงเห็นอัศวินกับรัตนากร ลุกขึ้นมา
“สองคนนั่นเคลื่อนไหวแล้ว ทุกคนพร้อม เราจะลองตามไปดูซะหน่อย”
โจซิงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า อังโซะและทุกคนต่างขยับตัวเคลื่อนตามไป
อัศวินกับรัตนากร เดินตามสองพี่น้องกับนักดาบนับสิบ มาจนถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง รัตนากรมอง
รอบๆ โจซิงกับพวกซุ่มดูอยู่ เห็นอัศวินกับรัตนากรยืนอยู่หน้าถ้ำแค่สองคนเท่านั้น
“สองคนนี้จะไปไหนกันแน่ อยู่ๆ ก็พาเรามาที่ถ้ำ”
“ระวังจะเป็นกับดัก”
โจซิงจ้องเขม็ง
รัตนากรกระซิบอัศวิน
“รัตนรู้สึกคุ้นๆ นะ”
“ระวังตัว”
สองพี่น้องกับนักดาบเดินนำเข้าไป อัศวินกับรัตนากรเดินตาม
“หรือว่าในถ้ำมีอะไรเกี่ยวกับการเดินทาง” โจซิงชะงักคิด
“รออยู่ข้างนอกดีกว่า” อังโซะท้วง
“เกิดมีทางออกอีกทาง เราเท่ากับว่าถูกหลอกเต็มๆ อย่างนี้ต้องตามเข้าไปดูกันหน่อย”
โจซิงกับทุกคนเคลื่อนตัวตามไป
อ่านต่อตอนที่ 11