xs
xsm
sm
md
lg

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พรายพยากรณ์ ตอนที่ 4

ชายชุดดำ 2 คน ที่ไล่ล่าภูมินทร์กับพิณชนิดาที่อพาร์ตเม้นต์ ยืนคุยอยู่กับชายลึกลับ ที่ยืนหันหลังอยู่ในเงามืด
 
“ให้ผมพวกผมสืบว่าคนที่ช่วยคุณภูมินทร์เป็นใครเหรอครับ?”
ชายลึกลับพยักหน้า แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“สืบประวัติมันให้ละเอียด ดูว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับไอ้ภูมินทร์”
พิณชนิดากับภิชาสินีนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง พลันก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังรัว 2 พี่-น้องสะดุ้งตื่น พลางหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องนอน

พิณชนิดากลั้นใจเปิดประตู ทั้งๆ ที่กลัวจนตัวสั่น แต่กลับเห็นหนึ่งยืนอยู่ ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
2 พี่-น้อง ยิ้มโล่งอก
หนึ่งคว้าพิณชนิดาเข้ามากอดแน่น จนฝ่ายถูกกอดตกใจ
“พี่พิณเป็นยังไงบ้าง? ได้ข่าวว่าถูกไล่ยิง เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ?”
พิณชนิดารีบดันตัวหนึ่งออก
“อย่าบอกนะ ว่าที่มาทุบประตู ปัง ๆ หยั่งกับไฟไหม้ เพื่อจะมาถามแค่นี้”
“ครับ ผมเป็นห่วงพี่พิณมาก ห่วงจนจะขาดใจอยู่แล้ว นี่พี่คงจะขวัญเสียมากใช่มั้ยครับ โถๆ ไม่ต้องกลัวนะครับ”
หนึ่งยังพูดไม่จบ พิณชนิดาก็ปิดประตูใส่หน้าดังปัง
“ถ้าผมอยู่ ผมจะดูแล ปกป้อง ไม่ให้พี่พิณต้องเจออะไรแบบนี้”

2 พี่- น้อง กำลังเดินกลับห้องนอน พลันภิชาสินีก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์พังยับของพิณชนิดา แล้วก็นึกได้
“จะทิ้งโทรศัพท์ไว้แบบนั้นเหรอ?”
พิณชนิดาหันไปมองตาม พลางบอก “ว่าจะลองหาช่างซ่อมดู”
“พังยับแบบนั้น ใครจะซ่อมได้ ซื้อใหม่เถอะพี่ อย่าประหยัดนักเลย”
พูดจบก็เดินหาวเข้าห้องไป พิณชนิดาเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือ แล้วก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ ก่อนจะถูกไล่ยิง ที่เธอถ่ายรูปชายชุดดำ 2 คนนั้นไว้ พลางมองซากโทรศัพท์ที่ยับเยิน แล้วครุ่นคิด
“ลืมสนิทเลย ว่าถ่ายรูปคนร้ายเอาไว้ได้ แต่เยินขนาดนี้ จะกู้ภาพได้รึเปล่า?”

2 พี่-น้อง มาใส่บาตรพระที่หน้าอพาร์ตเม้นต์ พอรับพรจากพระเสร็จ หันกลับมาก็เห็นขวัญทิพย์กับแพนเค้ก ยืนอยู่ตรงหน้า
“พี่จะรบกวนน้องพิณไปคุยกับแฟนให้พี่ค่ะ”
พิณชนิดาทำหน้างง “แฟน?”
“คุณภูมินทร์ ไฮโซ เซเลป คนดังไงคะ”
พิณชนิดารีบสวนทันควัน “นายนั่นไม่ใช่แฟนพิณนะคะ”
แพนเค้กกับขวัญทิพย์ไม่ฟังเสียง รีบออกปากขอร้องให้ไปห้ามภูมินทร์ว่าอย่าเอาเรื่องที่เคยโดนทั้งคู่ด่าเรื่องทำเครื่องซักผ้าพังไปฟ้องร้อง
พิณชนิดาส่ายหน้าหงุดหงิด
“คนไม่เห็นหัวใคร บ้าเงินแบบนั้น ไม่เสียเวลามาฟ้องร้องคนธรรมดาอย่างพวกเราหรอกค่ะ”
พูดจบ 2 พี่-น้องก็เดินออกไป 2 ผัว-เมียหันมากระซิบกัน ทำนองว่าพิณชนิดาคงโดนภูมินทร์เขี่ยทิ้งแล้ว

พิณชนิดาหันไปบอกภิชาสินีให้เดินกลับห้องไปก่อน ส่วนตัวเธอเดินเลี่ยงมาหาอรรถพรที่ห้อง
“มีอะไรครับคุณพิณ ?”

จากนั้นทั้งคู่ก็มาคุยกันที่บริเวณสวนหย่อม พิณชนิดารีบยื่นซากโทรศัพท์ให้อรรถพร
“ก่อนถูกไล่ยิง ฉันถ่ายรูปคนร้ายเอาไว้ได้”
อรรถพรทำสีหน้าตื่นเต้น “จริงเหรอ ? ทำไมถึงเพิ่งมาบอก”
“ก็ฉันมัวแต่ดูแลนายไข่เจียว เอ๊ย นายภูมินทร์อยู่ที่โรงพยาบาล เลยลืมไปสนิท”
อรรถพรมองโทรศัพท์ แล้วทำหน้าเครียด
“สภาพแบบนี้ จะกู้ภาพได้รึเปล่า? คุณจำหน้าคนร้ายได้รึเปล่า ?”
พิณชนิดาพยักหน้า “ทำร้ายฉันขนาดนั้น จำได้ขึ้นใจ”

“ถ้างั้น ผมก็น่าจะตามหาตัวคนร้ายได้ไม่ยาก”

จากนั้นอรรถพรก็พาพิณชนิดาเข้ามาในห้อง พลางเปิดโน้ตบุ๊คให้ดูรูปอาชญากรในแฟ้มทีละคน แต่กลับไม่เจอรูปคนร้ายในแฟ้ม
 
“แสดงว่าคนร้าย อาจจะไม่ใช่พวกที่เคยต้องคดีมาก่อน”
“ว่าแต่ หมวดก็ยิงกับพวกนั้น จำหน้าไม่ได้รึไง?” พิณชนิดาย้อนถาม
“ผมเห็นแว้บ ๆ ไม่ชัด เลยจำไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณคงต้องไปที่สถานี เพื่อให้เจ้าหน้าที่สเก็ตภาพคนร้าย”
พิณชนิดานึกแปลกใจ “แล้วนายภูมินทร์ไม่พูดถึงหน้าตาคนร้ายให้หมวดฟังบ้างเหรอ?”
“นอกจากไม่เล่าอะไรแล้ว ยังบอกไม่แจ้งความ ไม่เอาเรื่องอีกต่างหาก”
พิณชนิดาถึงกับอึ้ง “ รึว่าจะถูกยิงหัวจนเพี้ยนไปแล้ว”
“เค้าให้เหตุผลว่า กลัวมีข่าว แล้วหุ้นของบริษัทจะตก”
พิณชนิดาตบโต๊ะปัง
“ไอ้คนหน้าเงิน ชีวิตคิดแต่เรื่องเงิน ชาตินี้ไม่มีทางมีความสุข”

ฟ้ารุ่งที่อยู่ในคอนโดของเอก เห็นข่าวภูมินทร์ในหนังสือพิมพ์ ก็นึกย้อนไปตอนที่เจอกันในห้าง และพิณชนิดาแนะนำว่าเป็นแฟน
“เป็นไปไม่ได้”
เอกที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จ เดินออกมา เห็นหน้าฟ้ารุ่งก็แปลกใจ
“ตกใจอะไร ?”
“ดูนี่สิคะ ผู้ชายคนนี้ใช่แฟนยัยพิณ ที่เราเจอวันนั้นรึเปล่า?”
เอกยื่นหน้าไปดูภาพภูมินทร์ชัด ๆ
“หน้าเหมือนมาก น่าจะใช่ ทำไมเหรอ ?”
ฟ้ารุ่งตาวาวด้วยความอิจฉา
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ มหาเศรษฐีระดับนี้ ไม่มีทางคว้าผู้หญิงกระจอกๆอย่างยัยพิณเป็นแฟน ไม่มีทาง”

แสงโชติกับสัญชัยนั่งคอยที่โต๊ะอาหารในบ้านของภูมินทร์ ครู่หนึ่งเปรมสุดาก็ถือถ้วยโจ๊ก ที่ซื้อมา แต่มาอุ่นไมโครเวฟทำทีว่าเป็นคนทำเอง มาวางที่ตำแหน่งภูมินทร์ โดยมีปูเปรี้ยวกระวีกระวาดช่วยวางเครื่องปรุงข้างๆ พอภูมินทร์เดินเข้ามา เธอก็รีบปราดเข้าไปหา
“สุดาทำโจ๊กปูมาให้ค่ะ รับรองว่าอร่อยที่สุดในสามโลก”
ภูมินทร์มองเมิน
“ผมคงทานไม่ได้ ต้องรีบเข้าบริษัท ช่วงที่ผมไม่อยู่ บริษัทคงรวนไปไม่น้อย”
สัญชัยรีบบอก “ไม่รวนอะไรหรอก อาจัดการเรียบร้อย”
ภูมินทร์ทำเป็นนึกได้
“อ้อ สงสัยผมจะลืมบอกคุณอาไป ต่อไปนี้ คุณอาไม่ต้องมาทานข้าวที่นี่แล้วนะครับ ให้คนทำอาหารไปส่งให้ที่บ้านเล็ก ผมไม่ได้รังเกียจคุณอานะครับ เพียงแต่ผมไม่ค่อยทานอาหารเช้า ส่วนตอนเย็น ผมก็คงจะทานจากข้างนอกแล้วค่อยกลับมา ขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
พูดจบก็เดินออกไป
 
แสงโชติกำด้ามช้อนแน่นด้วยความไม่พอใจ พลางทุบโต๊ะเสียงดัง จนสัญชัยต้องหันไปมองห้าม แม่นมนวลกับป่านแก้วหันไปมองแสงโชติด้วยความตกใจ

เปรมสุดาวิ่งตามภูมินทร์ออกมาที่รถ พลางเซ้าซี้ชวนให้ไปดินเน่อร์ตอนเย็น แต่กลับถูกอีกฝ่ายปรายตามองหัวจรดเท้า แล้วถอนใจ
 
“คราวหน้าถ้าจะมาหาผม ช่วยเปลี่ยนสเปรย์ฉีดผม กับน้ำหอมด้วย กลิ่นฉุนปนกัน ผมเวียนหัวไปหมดแล้ว”
พูดจบก็ขึ้นรถไปทันที พร้อมกับที่ก้องภพที่ทำหน้าที่คนขับรีบเคลื่อนรถออกไป เปรมสุดาส่ายหน้าอย่างขัดใจ
พอภูมินทร์ก้าวเท้าเข้ามาในบริษัท พนักงานทั้งหลายต่างก็พากันกลัวจนลนลาน รีบแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อย เพราะรู้กิตติศัพท์ความเจ้ายศเจ้าอย่าง และเจ้าระเบียบของเจ้านายเป็นอย่างดี
ขณะที่เอ๋เลขา มัวแต่แต่งหน้าหน้าทำผม ฝึกท่าโพสอ่อยผู้ชาย ไม่ทันเห็นว่าเจ้านายตัวเองเดินมา จนก้องภพต้องกระแอมเตือน พอเธอหันไปเห็นภูมินทร์ ก็ตกใจแทบช็อก
“บอกกี่ทีแล้ว ขาใหญ่ อย่าใส่กระโปรงสั้น นึกถึงจิตใจฉันบ้าง ต้องทนเห็นขาใหญ่ๆ ของเธอทั้งวันมันเป็นภาพที่ทรมานมากรู้รึเปล่า รีบหากระโปรงมาเปลี่ยนเดี๋ยวนี้”
พูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้เอ๋ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ ก้องภพหันมองอย่างเห็นใจ
“เพราะปากแบบนี้ไง ถึงได้มีศัตรูเต็มบ้านเต็มเมือง”

ครู่หนึ่งสัญชัยกับแสงโชติก็เดินเข้ามาในบริษัท สัญชัยดูแตกต่างจากภูมินทร์อย่างเห็นได้ชัด เพราะพูดจากับพนักงานด้วยภาษาสุภาพ เห็นอกเห็นใจ และมีน้ำใจกับทุกคน จนพนักงานอดที่จะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้
“ไอ้ภูมันจะรู้บ้างมั้ย ว่าพนักงานเกลียดมันเข้าเส้นเลือด ใคร ๆ ก็อยากให้พ่อเป็นประธานบริษัททั้งนั้น”
แสงโชติยิ้มเหยียดๆ ขณะที่หันมาคุยกับผู้เป็นพ่อ
“มันไม่สำคัญว่าเราจะอยู่ตำแหน่งไหน สำคัญที่ว่าเราทำอะไรได้บ้างต่างหาก”
“ถ้าลุงไม่ยกบริษัทให้มัน คนไร้ความสามารถอย่างไอ้ภู ไม่มีทางได้เป็นประธาน”
สัญชัยรีบปราม “อย่าดูถูกพี่เค้าแบบนั้น”
“เมื่อไหร่พ่อจะเลิกเข้าข้างมัน”
“พ่อไม่ได้เข้าข้าง แค่อยากจะสอนแกไว้ คนฉลาด ไม่เคยมองใครโง่”
แสงโชติชักสีหน้า
“นี่พ่อด่าผมโง่เหรอ ผมลูกพ่อนะ ไอ้ภูมันแค่หลาน ทำไมพ่อถึงได้เห็นมันดีกว่า”
สัญชัยส่ายหน้าอย่างเอือมระอาที่ลูกชายยังคิดไม่ได้ พลางรีบเดินผละไป แสงโชติมองตาม
ด้วยแววตาร้าย

พิณชนิดากับภิชาสินี มาซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ห้าง จากนั้น 2 พี่-น้อง ก็เดินดูเสื้อผ้ากันต่อ
พิณชนิดาหันมองไปอีกด้าน เห็นร้านที่เคยมาซื้อของกับภูมินทร์ ซึ่งตอนนั้นมีลูกค้าหญิงกำลังเอาเสื้อทาบกับลูกค้าชาย ที่ส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด
“ไม่มีรสนิยม แพง ๆ ดี ๆ กว่านี้ ไม่มีรึไง?”
พิณชนิดาทนไม่ไหว รีบเข้าไปหาลูกค้าหญิงกับชายทันที
“แฟนอุตส่าห์เลือกให้ ซื้อให้ ทำไมไม่พูดกับเค้าดี ๆ เป็นผู้ชาย เรื่องมากวุ่นวาย อะไรนักหนา หน้าตาอย่างนาย ใส่ของแพง คนก็มองว่าของตลาดนัด”
ลูกค้าชายทำหน้างง “อยู่ ๆ มาด่ากันทำไม บ้ารึเปล่า?”
“แกนั่นแหละ ประสาท ไอ้ผู้ชายเรื่องมาก เฮงซวย หยิ่ง จองหอง ปากดี ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคน”
ลูกค้าชายกับลูกค้าหญิงทำหน้าเหวอ ภิชาสินีเห็นท่าไม่ดี รีบดึงพี่สาวออกไป พิณชนิดาเริ่มได้สติรีบออกปากกับน้องสาวว่าจะขอไปเข้าห้องน้ำ พอเดินแยกมา ก็เจอกับเอกเข้าพอดี เธอถึงกับถอนหายใจเฮือก
“ทำไมซวยแบบนี้”
เอกรีบเดินเข้ามาทัก “ไม่เจอกันตั้งนาน เป็นยังไงบ้าง?”
พิณชนิดาจะเดินเลี่ยงหนี แต่อีกฝ่ายรีบเดินมาจับแขนเอาไว้
“จะไปไหน คุยกันก่อน ทำไมต้องทำท่ารังเกียจเอกขนาดนั้น ?”
“รู้ว่ารังเกียจก็ปล่อย”
พูดพลางพยายามดึงมือออก แต่เอกยื้อเอาไว้แน่น ฟ้ารุ่งเข้ามาเห็น ก็รีบถลาเข้าไป ดึงแขนเอกทันที
“ไม่มีที่ไปรึไง ถึงได้กลับมาแย่งแฟนฉัน”
ขาดคำก็จะปราดเข้าไปตบ แต่ภิชาสินีพุ่งเข้ามาก่อน พร้อมกับชี้หน้าสวนกลับ
“หยุด ถ้าแตะพี่สาวฉันแม้แต่ปลายเล็บ ได้เจ็บแน่”
ฟ้ารุ่งเห็นท่าทีเอาจริงของภิชาสินี ก็ชะงักมือ
“ถ้าไม่อยากมีปัญหา ก็ดูแลพี่สาวดี ๆ อย่าให้มาเที่ยวอ่อยแฟนคนอื่น”
ภิชาสินีสวนกลับ
“ทำไม กลัวกรรมที่เคยแย่งแฟนคนอื่นจะย้อนเข้าหาตัวรึไง ? ไม่ต้องห่วง สปีชีส์ตระกูลฉันฉลาดกว่าเธอเยอะ ไม่มีทางกลับไปคว้าผู้ชายเลวๆ แบบนี้มาทำพืชทำพันธุ์ ถ้าหวงมาก ก็ล่ามโซ่เอาไว้ที่บ้าน จะได้ไม่เหนื่อยเที่ยวเห่าหอน ขู่ชาวบ้าน ให้รำคาญหู”
พิณชนิดาอึ้งที่น้องสาวด่าเป็นชุด ฟ้ารุ่งแทบกรี๊ด แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้
“ไหนแฟนเธอล่ะพิณ? วันนี้ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”
พิณชนิดาตั้งสติได้ รีบแก้ตัว
“เค้าไปทำธุระที่ยุโรป อีกไม่กี่วันก็กลับ”
ฟ้ารุ่งยิ้มหยัน
“จริงเหรอ? ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามหาเศรษฐีหน้าตาดี คุณสมบัติพร้อมขนาดนั้นจะคิดสั้น คว้าเธอเป็นแฟน”
พิณชนิดาหน้าเจื่อน แต่ยังทำปากเก่ง
“ผู้ชายบางคน เค้าไม่ได้มองผู้หญิงที่ภายนอก เค้ามองผู้หญิงที่ใจ”
“ จ้า แม่คนประเสริฐ มีแฟนเพอร์เฟ็คจนน่าอิจฉา ถ้างั้นงานแต่งยัยเก๋พาแฟนไฮโซของเธอมาด้วย ถ้าแกพามาไม่ได้ ก็แสดงว่าโกหก”
พิณชนิดาสวนกลับทันที
“เค้าเป็นแฟนฉัน ทำไมฉันจะพาไปไม่ได้ เจอกันที่งาน”
แต่พอคล้อยหลังที่ฟ้ารุ่งกับเอกเดินไป พิณชนิดาก็ทำหน้าเซ็ง

“แย่แล้ว ไม่น่าเลย”

พอกลับมาถึงอพาร์ตเม้นท์ พิณชนิดาก็ยังเครียดไม่หาย
 
“ดันไปรับปากยัยฟ้าร่วงว่าจะพาแฟนไปงานแต่งงาน แล้วพี่จะพาแฟนที่ไหนไป พี่จะทำยังไงดี”
ภิชาสินีหันมองพี่สาวแบบปลงๆ “เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ นายภูมินทร์ประกาศตัดเป็นตัดตายกับพี่ขนาดนี้ ไม่ว่าพี่จะใช้วิธีไหน เค้าก็ไม่มีทางช่วยพี่แน่ นอกเสียจาก..”
พิณชนิดารีบถามอย่างตื่นเต้น “อะไร ?”
“ไม่ต้องไปงานแต่งงาน เปลี่ยนเบอร์มือถือ ย้ายที่อยู่ เพื่อนทรยศพี่จะได้ตามตัวพี่ไม่ได้”
พิณชนิดาถอนหายใจ
“นั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แค่ยัยฟ้าร่วงประจานพี่ลงเฟซบุค เค้าก็รู้กันทั่วแล้วว่าพี่โกหกเรื่องที่มีแฟนเป็นถึงอภิมหาเศรษฐีพันล้าน”
“ถ้างั้นก็เหลืออีกวิธี” ภิชาสินีพูดอย่างจริงจัง “ทำใจ”

พิณชนิดาใส่ชุดราตรีแบบโหลๆ เนื้อผ้าถูกๆ รวบผมตึง แต่งหน้า-แต่งหน้าแบบไม่ค่อยเข้ากัน เดินมาตามทางเดินในโรงแรมตามลำพัง ด้วยสีหน้าตื่นเต้น พอเดินมาเห็นฟ้ารุ่งกับเพื่อนๆ กำลังถ่ายรูปกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ในบรรยากาศสนุกสนาน ก็กลืนน้ำลายเอื๊อก พลางสูดลมหายใจเต็มปอด แล้วกลั้นใจร้องทัก ฟ้ารุ่งกับเพื่อนๆ และเจ้าบ่าวเจ้าสาวหันมาเห็น ก็ยิ้มแย้มทักทาย
“ยินดีด้วยนะเก๋”
เจ้าสาวยิ้มกว้าง
“แต๊งจ๊ะ แล้วไหนล่ะแฟนเธอ เห็นฟ้าบอกว่าเธอจะพามาเปิดตัว”
พิณชนิดาแกล้งทำเป็นเสียใจ
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ พอดีคุณภูติดงานด่วน ก็เลยมาไม่ได้”
เจ้าสาวทำหน้าเสียดาย ขณะที่เพื่อนอีกคน รีบบอก
“รุ่นเราเหลือเธอคนเดียวแล้วนะพิณ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน”
พิณชนิดาหน้าเสีย แต่รีบพูดกลบเกลื่อน
“ใครว่า ยังมีฟ้าอีกคน ใช่ปะ”
เจ้าสาวรีบบอก “นี่เธอยังไม่รู้เหรอ ว่าฟ้ากำลังจะแต่งงาน แล้วก็จะพาแฟนมาเปิดตัววันนี้เหมือนกัน”
พิณชนิดานิ่วหน้าสงสัย พลางเหลือบไปเห็นภูมินทร์ในชุดสูทอย่างหล่อเดินมา เธอยิ้มอย่างโล่งใจ แต่ฟ้ารุ่งกลับเดินเข้าไปควงแขนภูมินทร์ทันที ทำเอาเธอหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“นี่ไงจ๊ะ ว่าที่เจ้าบ่าวของฉัน คุณภูมินทร์”
ภูมินทร์หันไปยิ้มทักทายเพื่อนทุกคน แต่พอหันมาเจอหน้าพิณชนิดา กลับยิ้มมุมปากแบบร้ายๆ ใส่ ทำเอาเธอยืนช็อก ฟ้ารุ่งยิ้มเยาะ
“พิณ ขอโทษด้วยนะ อะไรที่เป็นของเธอ ฉันต้องได้”
พิณชนิดารู้สึกอับอาย เพื่อนๆมองด้วยสายตาดูถูก และซุบซิบกันสนุกปาก

พิณชนิดาสะดุ้งลืมตาตื่น เหงื่อแตกพลั่ก ภิชาสินีที่พลอยตื่นตามมา รีบเปิดไฟข้างเตียง
“เป็นไรพี่พิณ”
พิณชนิดาหน้าซีด “ไม่มีอะไร พี่แค่ฝันไม่ดี”

พิณชนิดาเปิดไพ่ยิปซี แล้วก็ทำหน้าเครียด เพราะเปิดกี่ครั้ง ไพ่ที่ออกมา ก็เป็นไพ่ประจำตัวของภูมินทร์ทุกครั้ง
“ตกลงนายภูมินทร์ปากร้ายเป็นคู่ฉันจริงๆเหรอเนี่ย?”
ปิ่นเพชรที่นั่งอยู่ด้วย รีบบอก “แสดงว่าเจ๊ตัองแต่งงานกับผู้ชายคนนี้น่ะสิ”
“ถ้าฝืนดวง เจ๊จะต้องไร้คู่ไปตลอดชีวิต และถ้าเป็นอย่างนั้น เจ๊จะเป็นคนเดียวในรุ่นที่ไม่ได้แต่งงาน นังฟ้าร่วงต้องหัวเราะเยาะเจ๊แน่ เจ๊ทนไม่ได้ ทนไม่ได้”
“เค้าว่าเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เจ๊ต้องรีบคิดนะว่าเจ๊จะทำยังไงให้นายปากร้ายยอมไปงานแต่งงาน”
พิณชนิดาหันขวับทันที “นี่แอบดูความฝันของเจ๊อีกแล้วเหรอ?”
“เค้าไม่ได้ตั้งใจ เค้าเห็นเจ๊นอนกระสับกระส่าย เค้าเป็นห่วง”
พิณชนิดาถอนใจ

“เฮ้อ เจ๊มองไม่เห็นทางซักนิดว่าจะทำยังไง ให้ไอ้หมอนั่นยอมไปงานแต่งงานกับเจ๊?”

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ขวัญทิพย์เดินเอาขยะออกมาทิ้ง แล้วเห็นถุงกระดาษดูดีใบหนึ่งวางอยู่ พอเปิดดูก็ชะงัก ก่อนจะรีบหยิบตุ๊กตาเซรามิคเด็กผู้หญิงแนววินเทจ ที่มีรอยบิ่นแตกนิดหนึ่งขึ้นมา ด้วยดวงตาเป็นประกาย
 
“น่ารักจุงเบย ใครกันที่ใจร้ายเอาหนูมาทิ้งไว้ ท่าทางจะแพงซะด้วยนะเนี่ย มาอยู่กับพี่เนอะ”

รุ่งเช้าภิชาสินีเดินออกมาจากห้องนอน เห็นพิณชนิดายังนั่งนิ่งอยู่ในท่าฟุบหน้ากับโต๊ะ ก็รีบเข้าไปเขย่าตัว พลันร่างของพิณชนิดาก็ร่วงตกเก้าอี้โครม ปิ่นเพชรตกใจ
“เจ๊ตายแล้ว”
ภิชาสินีรีบเข้ามาจับชีพจรที่ข้อมือ
“ยังไม่ตาย แค่เป็นลม”
ภูมินทร์ขอบตาคล้ำนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่อาหารคนเดียว ครู่หนึ่งแม่นมนวลก็เอาข้าวต้มมาวางตรงหน้า
“นอนไม่หลับอีกแล้วเหรอคะ ไปหาหมอมั้ยคะ ? ”
ภูมินทร์ส่ายหน้า
“หาไปก็เท่านั้น ไม่ว่ายานอนหลับขนานไหน ก็ช่วยภูไม่ได้ วันนี้ภูว่าจะลาครึ่งวันเช้า จะลองนอนตอนกลางวันดู เผื่อจะหลับ”
แม่นมมองภูมินทร์อย่างเห็นใจ ปูเปรี้ยวเดินผ่านมาพอดี ได้ยินที่ทั้งคู่คุยกัน ก็ตาลุกวาว รีบแอบไปโทรศัพท์บอกเปรมสุดาทันที
“ขอบใจที่โทรมาบอก”
เปรมสุดาวางสาย แล้วก็ยิ้มมุมปาก ปณิตาเดินเข้ามาพอดี
“ลูกแม่ทำหน้าตาแบบนี้ แสดงว่าต้องมีแผนเด็ดอะไรอยู่ในหัวแน่ๆ เลยใช่มั้ยคะ”
เปรมสุดายิ้มเจ้าเล่ห์ “คุณแม่นี่รู้ใจสุดาจริงๆ นะคะ”

อรรถพรในชุดตำรวจกำลังสาวเท้ารีบเดินออกจากอพาร์ตเม้นท์ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีเด็กผู้หญิงแต่งตัวเหมือนตุ๊กตาเซรามิคที่ขวัญทิพย์เก็บมายืนมอง ก่อนจะเดินตามเขาออกไป
พออรรถพรเดินเข้ามาในโรงพัก จ่าก็มองยิ้มๆ
“วันนี้พาหลานมาด้วยเหรอครับหมวด”
อรรถพรถึงกับชะงัก “หลาน?”

เด็กปิ่นเพชรเอายาดมให้พิณชนิดาดม ไม่นานเธอก็ฟื้นขึ้นมา ปิ่นเพชรดีใจโผเข้ากอดแน่น
พิณชนิดาลุกขึ้นนั่ง
“ภิล่ะ?”
“ไปเรียน เจ๊ภิฝากให้เค้าดูแลเจ๊ เจ๊โอยัง”
พิณชนิดาพยักหน้า ปิ่นเพชรรีบบอก
“เรื่องนายไข่เจียวของเจ๊ เค้ามีทางช่วยแล้วนะ”
พูดพลางหยิบนาฬิกาออกมายื่นไปตรงหน้าพิณชนิดา
“นาฬิกาของนายปากเสีย ?”
“ เจ๊คงรู้นะว่าต้องทำยังไงต่อไป”
พิณชนิดามองนาฬิกาผู้ชายแล้วก็ยิ้ม

ภูมินทร์นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง พักหนึ่งก็ทนไม่ไหว ลุกพรวดขึ้นมา
“ทำไมถึงเห็นแต่โซฟาตัวนั้น โซฟาตัวนั้นอยู่ที่ไหน? ทำไมคิดไม่ออก”
จังหวะนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น ภูมินทร์หยิบมือถือมากดรับสาย
“ว่าไงก้อง มีเอกสารด่วนจะให้ฉันเซ็น ได้ เอาเข้ามาเลย”
ภูมินทร์วางสาย พร้อมๆ กับเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่เปรมสุดาจะเดินเข้ามาพร้อมกับหิ้วตะกร้ามาด้วย
“เข้ามาได้ยังไง?”
เปรมสุดามองอ้อนๆ “ภูขา พูดซะหยั่งกับเราเป็นคนอื่นคนไกลกันอย่างนั้นแหละ”
ภูมินทร์รีบลุกจากเตียง
“ถึงเราจะสนิทกัน แต่คุณเป็นผู้หญิงไม่ควรเข้าห้องผู้ชาย มันน่าเกลียด”
เปรมสุดาวางตะกร้าบนโต๊ะ
“ไม่น่าเกลียดหรอกค่ะ เพราะอีกไม่นานเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว”
“เหรอ ทำไมผมไม่รู้”
เปรมสุดาหน้าเจื่อน รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ที่สุดามาหาภูวันนี้ เพราะสุดามีวิธีทำให้ภูนอนหลับนะคะ”
พูดพร้อมกับหยิบน้ำมันอโรมาออกมาจากตระกร้า
“น้ำมันอโรมา จะช่วยให้ภูหลับค่ะ”
“ผมเคยลองแล้ว มันไม่ได้ผล”
เปรมสุดาแอบยิ้ม

“นั่นเพราะภูดมอย่างเดียว แต่ถ้าภูได้ลองนวดด้วยน้ำมันอโรมา สุดามั่นใจว่าภูจะนอนหลับสนิทแน่นอน สุดาเพิ่งไปเรียนนวดมา สุดาจะมาทำให้ภูค่ะ”

พิณชนิดาตัดสินใจมาหาภูมินทร์ที่บริษัท แต่กลับถูก รปภ. กันไว้ เพราะไม่ได้นัดล่วงหน้า ที่สำคัญภูมินทร์ยังไม่มาทำงาน พูดจบก็เดินผละออกไป พิณชนิดาถอนหายใจเฮือก ครู่หนึ่งก้องภพก็เดินออกมากับพนักงานคนหนึ่ง
 
“ฉันจะเอาเอกสารไปให้คุณภูมินทร์เซ็นที่บ้าน”
พิณชนิดาได้ยินก็ถึงกับหูผึ่ง จากนั้นก้องภพก็เดินไปที่รถ บังเอิญมีมอเตอร์ไซด์รับจ้างแล่นมาพอดี
พิณชนิดารีบโบก
“จอด จอด ตามรถคั้นนั้นไป”

อรรถพรทำหน้าประหลาดใจ เพราะทุกคนที่เห็นเขาต่างก็ทักถามเขาถึงเด็กผู้หญิงที่มาด้วยกัน ไม่เว้นแม้แต่แม่ค้าขายข้าวแกง ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งหน้าซีด ปากคอสั่นไปหมด
จากนั้นเขาก็ตัดสินใจไปหาภิชาสินีถึงที่มหาวิทยาลัย
“หมวดอรรถ ทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้น ไม่สบายเหรอ?”
อรรถพรขยับมาใกล้ “คุณเห็นอะไรรึเปล่า ?”
ภิชาสินีมองไปรอบๆ พลางส่ายหน้า “ไม่เห็น”
“ไม่เห็นแน่นะ เฮ้อ แสดงว่าไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด”
อรรถพรยิ้มอย่างสบายใจ พลันภิชาสินีก็ทักขึ้นมา
“คุณพาเด็กที่ไหนมาด้วย”
อรรถพรผงะ หน้าถอดสี “เด็กผู้หญิงใช่มั้ย?”
ภิชาสินีพยักหน้า ทำเอาอรรถพรร้องลั่น รีบวิ่งมาหลบข้างหลัง พลางกอดแขนภิชาสินีแน่นด้วยความกลัว
“ก็เนี่ยแหละที่ฉันถาม ใครๆก็เห็น แต่ฉันไม่เห็น มันหมายความยังไง ?”
ภิชาสินีชะงัก ก้มมองเด็กผู้หญิงอีกครั้ง แล้วก็เห็นว่าขาของเด็กลอยเหนือพื้น เมื่อเงยหน้ามองอีกครั้ง ก็เห็นว่าเด็กผู้หญิงหน้าเศร้ามาก

เปรมสุดาเอาน้ำมันอโรมาเทใส่ที่มือ แล้วนวดขมับให้ภูมินทร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเบามือ พลางเอื้อมมือไปเปิดเพลงยั่วยวนดังขึ้น ก่อนจะแกะรัดผมออก แล้วสยายผมอย่างเซ็กซี่ จากนั้นก็ปลดกระดุมหนึ่งเม็ด แล้วเปิดคอเสื้อให้กว้าง อ้างว่าร้อน พลางพยายามเต้นยั่วยวน พอภูมินทร์ลุกขึ้นเดินมาหา เธอก็ยิ้มดีใจ แต่เขากลับลุกมาหยิบรีโมทมากดปรับลดอุณหภูมิแอร์
“ผมลดอุณหภูมิแอร์ให้แล้ว กรุณาติดกระดุมด้วย แล้วอีกอย่าง ผมว่าวิธีของคุณ ท่าจะไม่ได้ผล เชิญกลับไปซะ ผมจะพักผ่อน”
พูดจบก็หันหลังเดินกลับไป เปรมสุดาส่ายหน้าอย่างหัวเสีย แล้วก็คิดออก ทำทีเป็นร้องเสียงดัง พอภูมินทรหันมา ก็แกล้งทำเป็นเซ พลางคิดในใจ
“ภูต้องเข้ามารับเราแน่ๆ เนื้อแนบเนื้อ รับรองสปาร์ค”
จากนั้นก็หันมาพูดเสียงอ่อยๆ
“สุดาจะเป็นลม”
พูดพลางทิ้งตัวเต็มแรง แต่อีกฝ่ายกลับยืนเฉย จนเธอล้มตึงไปกองกับพื้น
ส่วนที่หน้าห้อง ปูเปรี้ยวยืนแอบฟังอยู่อย่างสอดรู้ ป่านแก้วเดินถือไม้ขนไก่ขึ้นมาเห็น ก็นิ่วหน้ามองสงสัย
“สาระแนทำอะไรอยู่ที่หน้าห้องคุณหนู”
ปูเปรี้ยวหันมาตวาด “ไม่ใช่เรื่องของแก”
พลางเอาหูแนบกับประตูฟังต่อ ป่านแก้วแกล้งเอาไม้ขนไก่ปัดไล่
“หยุดนะนังป่านแก้ว ฉันบอกให้หยุด”
ป่านแก้วไม่หยุด ปูเปรี้ยวถอยไปจนชนประตูห้อง จังหวะที่ภูมินทร์เปิดประอกมาพอดี ทำเอาปูเปรี้ยวถึงกับหงายหลังล้มไปบนพื้น ทั้งคู่มองภูมินทร์อย่างหวาดๆ พลางรีบคุกเข่าบนพื้น

“มาก็ดีแล้ว ช่วยพาคุณเปรมสุดา ไปส่งที่รถที”

ทางด้านพิณชนิดาก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์ตามรถของก้องภพมาถึงบ้านของภูมินทร์ พลางมองอย่างตื่นตะลึง
 
“แม่เจ้า บ้านหรือวังเนี่ย? ใหญ่มาก”
เมื่อมองเข้าไปข้างในไม่เห็นคน ก็ตัดสินใจเดินเข้าไป บังเอิญเห็นเปรมสุดากับปูเปรี้ยวกำลังจะเดินออกจากบ้าน พิณชนิดารีบหาที่หลบ พลางมองหน้าเปรมสุดา แล้วก็นึกออก
“นี่มันคนที่เราเคยไปดูดวงให้ที่บ้าน ทำไมถึงอยู่ที่นี่?”
ฟากเปรมสุดาก็หันมาเอาเรื่องกับปูเปรี้ยว
“เพราะแกแท้ๆ ที่วางแผนบ้าๆให้ฉัน แล้วเป็นไง ภูไม่สนใจ แถมไล่ฉันออกมาจากห้อง ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกแล้ว อารมณ์เสีย”
จากนั้นก็เดินมาขึ้นรถด้วยอรมณ์หงุดหงิด แล้วก็ขับออกไปทันที พิณชนิดามองตามจนเหลียวหลัง แล้วก็รู้สึกเอะใจ นึกย้อนกลับไปตอนที่ปณิตาถามถึงเรื่องเนื้อคู่ของเปรมสุดา
“คนที่ยัยนั่นถามคือนายภูมินทร์จอมปากเสียเหรอเนี่ย? แต่เสียใจด้วยนะ เค้าเป็นเนื้อคู่ฉัน ไม่ใช่เนื้อคู่คุณ”
พอเธอหันกลับมาก็ตกใจ สะดุ้งโหยง เพราะเจอแม่นมนวลยืนอยู่
“คุณเป็นใคร? เข้ามาได้ยังไง?”

ภูมินทร์เซ็นเอกสารเสร็จ ก็ส่งแฟ้มเอกสารคืนให้ก้องภพ
“คุณภูไม่ได้นอนอีกแล้วเหรอครับ ? น่าแปลกนะครับ ช่วงที่คุณหายตัวไป ผมไม่รู้ว่าคุณไปอยู่ที่ไหนมา แต่ผมรู้สึกว่าช่วงนั้นคุณคงจะนอนหลับสนิท”
“รู้ได้ไง?” ภูมินทร์ย้อนถาม
“สีหน้าคุณตอนที่ผมเจอที่โรงพยาบาล ดูเหมือนคนนอนหลับเต็มอิ่มน่ะสิครับ”
ภูมินทร์นิ่งคิด แต่ยังไม่ทันพูดอะไร แม่นมนวลก็เดินเข้ามา
“คุณหนูคะ มีคนมาขอพบคุณหนูค่ะ”

พอหันไปเห็นพิณชนิดายืนอยู่ ภูมินทร์ก็ถึงกับชะงัก

พิณชนิดาถูกภูมินทร์ผลักจนกระเด็น ก้องภพกับแม่นมนวลที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับตกใจ
 
“นายผลักฉันออกมาทำไม?”
“เพราะฉันรู้ว่าเธอต้องการอะไร คิดจะมาไถเงินฉันล่ะสิ ฝันไปเถอะว่าฉันจะให้ กลับไปซะ”
พิณชนิดากำหมัดแน่นอย่างโกรธจัด “ไอ้บ้า”
ภูมินทร์สะดุ้งโหยง
“เธอน่ะสิบ้า ออกไป ก่อนที่ฉันจะโทรเรียกตำรวจ”
“ ที่ฉันมา เพราะนายลืมของไว้ที่ห้องฉัน”
ก้องภพกับแม่นมนวลหันมามองหน้ากันอย่างแปลกใจ พิณชนิดาเอานาฬิกาจากในกระเป๋ายื่นไปตรงหน้า ภูมินทร์มองนาฬิกา พลางเดินมาประจันหน้า
“กำลังจะขอบคุณฉันใช่มั้ย ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้ต้องการคำขอบคุณ ฉันแค่ต้องการ...”
พิณชนิดายังพูดไม่ทันจบ ภูมินทร์ก็กระชากนาฬิกาไปจากมือ พลางหันไปทางก้องภพ
“ก้อง เอาเงินค่ารถให้เค้าไป”
พิณชนิดาอ้าปากค้างแต่ภูมินทร์กลับหันหลังเดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่ไยดี
“ไอ้คนไม่มีมารยาท ไอ้คนไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคน ไอ้คนเฮงซวย ทั้งๆ ที่ฉันเป็นคนช่วยชีวิตนาย ให้นายอยู่คอนโด ทำกับข้าวให้นายกิน พานายไปซื้อเสื้อผ้า แล้วนายทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง?”
พอสังเกตเห็นว่าก้องภพกับแม่นมนวลยืนมองอยู่ พิณชนิดาก็รีบสงบปากสงบคำ
“ผมชื่อก้องภพ เป็นผู้ช่วยคุณภูมินทร์ มีเวลาคุยกับผมซักครู่มั้ยครับ ?”

ภูมินทร์โยนนาฬิกาลงบนโต๊ะในห้องนอนอย่างหัวเสีย
“แค่เอานาฬิกามาคืน นึกว่าฉันจะซาบซึ้งเหรอไง ?”
พลันก็นึกขึ้นมาได้ เมื่อเห็นภาพตัวเองนอนบนโซฟา และเห็นพิณชนิดาในภาพนั้น
“ที่แท้ก็เป็นโซฟาของยัยนั่น”

ก้องภพกับแม่นมนวลรุมยิงคำถามใส่พิณชนิดาอยู่ที่ห้องรับแขก
“คุณเป็นคนช่วยคุณภูเอาไว้?”
“ที่แท้ก็คุณนั่นเองที่คุณหนูบอก”
พิณชนิดาทำหน้าบึ้ง “เค้าคงไม่ได้พูดถึงฉันในแง่ดีนักหรอกใช่มั้ยคะ ? ความจริง อย่าบอกว่าช่วยเลยดีกว่า เหตุการณ์มันพาไป ทำให้ฉันต้องช่วยเค้า ถ้าฉันเลือกได้ ฉันก็คงไม่ช่วยผู้ชายปากเสียอย่างไอ้หมอนั่นหรอกค่ะ ฉันขอโทษ ที่พูดตรงๆ ก็เค้าเป็นแบบนั้นจริงๆ”
ก้องภพยิ้มเจื่อนๆ แม่นมนวลรีบช่วยพูดแก้ตัว
“อย่าถือสาคุณหนูเลยนะคะ ที่เธอทำตัวร้ายกาจ เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าจริงๆ เธอเป็นคนอ่อนแอมากแค่ไหน ? ถ้าคุณเปิดใจ ทำความรู้จักกับคุณหนูให้มากกว่านี้ ก็จะรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น”
พิณชนิดาแบะปาก
“ไม่มีวันนั้นหรอกค่ะ คุณหนูของคุณไม่อยากเจอหน้าฉันอีกแล้ว”
ก้องภพหันมาถามต่อ “ว่าแต่คุณแค่เอานาฬิกามาคืนให้คุณภูเท่านั้นเหรอครับ?”
พิณชนิดาวางหน้าเชิด
“ค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดพลางยกมือไหว้นวลจันทร์ แล้วลุกขึ้นยืนหันหลังจะเดินออกไป แต่เสียงภูมินทร์ดังขึ้นมาก่อน
“เดี๋ยว”
พลางเดินมาตรงหน้า พิณชนิดากลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยความหวาดระแวง ก้องภพกับแม่นมนวลก็กังวลไม่แพ้กัน
“ฉันต้องการซื้อโซฟาของเธอ”
พิณชนิดาทำหน้างง “พูดว่าอะไรนะ”
“ยังไม่ทันแก่ หูตึงแล้วเหรอ ฉันบอกว่า ฉัน-จะ-ซื้อ-โซฟา-ของเธอ”
“ จะซื้อโซฟาฉันทำไม? คิดอะไรอยู่ หรือว่ามีแผนจะแกล้งอะไรฉัน ?”
ภูมินทร์หน้าตึง
“ฉันไม่ใช่เธอ จะได้มีแผนตลอดเวลา โซฟาของเธอ ทำให้ฉันนอนหลับ ขายเท่าไหร่ ว่ามาเลย”
“อย่าคิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง ฉันไม่ขาย”
ภูมินทร์ยิ้มเยาะ “หนึ่งล้าน”
พิณชนิดายืนนื่ง
“นึกแล้วว่าเธอต้องเปลี่ยนใจ”
“ที่เงียบ ไม่ได้จะขาย แต่อึ้ง ที่มีคนไร้สติอย่างนาย ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายซื้อโซฟาเก่าๆ ราคาเป็นล้าน” ภูมินทร์ตวัดตามองอย่างไม่พอใจ
“ไม่ต้องมาว่าฉัน ตกลงจะขายหรือไม่ขาย”
พิณชนิดายิ้มเชิด “พูดเลย ไม่ขาย ชัดปะ”
“ห้าล้าน แลกกับโซฟา เธอจะไม่มีโอกาสนี้ที่ไหนอีกแล้ว”
พิณชนิดายิ่งฟังก็ยิ่งโมโห
“จำไว้ว่าคนอย่างพิณชนิดา ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน”
พูดจบก็หันหลังจะเดินออกไป แต่แล้วก็หยุดเดิน ภูมินทร์ยิ้มเยาะ
“สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ”
“ฉันจะให้โซฟาตัวนั้นกับนายก็ได้ แต่ไม่ได้แลกด้วยเงิน”

ทั้งภูมินทร์ ก้องภพ และแม่นมนวลมองด้วยความสงสัย

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ภิชาสินีมองหน้าเด็กผู้หญิงตรงหน้าด้วยความสงสาร ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับมาหาอรรถพรที่ยืนอยู่
 
“ตกลงน้องเค้าตามฉันมาทำ... “
ยังพูดไม่ทันจบ ภิชาสินีก็ฟาดฝ่ามือใส่หน้าเต็มแรง
“ฉันไม่นึกว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”
อรรถพรมองจ้องภิชาสินีแบบงงๆ “แบบไหน ?”
“ไม่มีความรับผิดชอบ รักสนุก ปล่อยให้ผู้หญิงทุกข์อยู่คนเดียว คุณทำให้เค้าเกิดมา คุณก็ต้องเลี้ยงดู ไม่ใช่ทิ้งขว้าง ทำเหมือนเค้าไม่มีชีวิต”
“เดี๋ยวก่อน ผมงงไปหมดแล้ว ที่พูดมา หมายความว่ายังไง ?”
“เด็กผู้หญิงที่ตามคุณ เค้าเป็นลูกของคุณ”
อรรถพรตกใจ แทบช็อก

“ให้ฉันไปงานแต่งงานเพื่อนเธอ กับเธอ ?”
ภูมินทร์ภามย้ำอย่างแปลกใจ เมื่อได้ฟังเงื่อนไขของพิณชนิดา
“ครั้งเดียว แล้วโซฟาจะเป็นของนาย”
ภูมินทร์รีบพยักหน้า “ตกลง แต่การที่คนอย่างนายภูมินทร์ อัครมโหฬาร ออกงานคู่กับใคร คนๆนั้นจะต้องไร้ที่ติ”
พิณชนิดาก้มมองตัวเอง “ฉันก็ไร้ที่ติอยู่แล้ว”
แต่ภูมินทร์กลับปรายตามองอย่างดูถูก ทำเอาเธอเสียความมั่นใจ
“จะให้ทำไร ก็ว่ามา”

ขวัญทิพย์กำลังเช็ดตุ๊กตาเซรามิคด้วยความถะนุถนอม แพนเค้กในชุดรปภ.เดินมาเห็น เมื่อรู้ว่าขวัญทิพย์เก็บตุ๊กตามาจากกองขยะ ก็หน้าเสีย
“เก็บมาทำไม โบราณเค้าถือรู้รึเปล่า เก็บของจากกองขยะ เกิดเป็นของคนตายจะว่ายังไง”
“ปากเสีย บางทีมันอาจจะเป็นแค่ของที่คนเค้าไม่อยากได้แล้วก็ได้”
ขวัญทิพย์ไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดตุ๊กตาต่อ

ภิชาสินีจ้ำเดินมาตามทาง สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว อรรถพรเดินตามมาติดๆ แล้วปราดมาดักหน้า
“ต้องให้ผมบอกกี่ครั้งว่าผมไม่มีลูก ผมไม่เคยทำใครท้อง”
“แล้วต้องให้ฉันบอกอีกกี่ครั้งว่าเด็กโกหกไม่เป็น เค้ายืนยันว่าคุณเป็นพ่อ ทางที่ดีคุณควรจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับลูกของคุณซะ เค้าจะได้ไปเกิด ไม่ต้องเกาะหลังคุณอยู่แบบนี้”
อรรถพรหน้าซีด หันขวับไปทางด้านหลัง แล้วก็หันมาทางภิชาสินี
“ตอนนี้เค้าเกาะหลังผมอยู่?”
“ใช่ รู้สึกหนักๆ มั้ยล่ะ?”
อรรถพรกลัวจนลนลาน รีบเข้ามากอดแขนภิชาสินี
“คุณต้องเชื่อผม ผมไม่ได้ใช่พ่อของน้องเค้าจริงๆ”
ภิชาสินีแกะมืออรรถพร แล้วเดินเข้าไปในอพาร์ตเม้นท์ พลางมองเขาด้วยสีหน้าผิดหวัง
อรรถพรเดินตามภิชาสินีมาติดๆ จนเธอรำคาญ
“อย่ามายุ่งกับฉันอีก”
“ไม่ได้ เพราะคุณเป็นคนเดียว ที่จะช่วยผมได้”
พูดพลางจับมือภิชาสินี พร้อมกับส่งสายตาวิงวอน

“ผมกลัว กลัวจริงๆ”

ภิชาสินีเหลือบไปเห็นตุ๊กตาเซรามิคที่วางบนเคาน์เตอร์ ก็ถึงกับชะงัก
 
ก่อนจะหันไปมองเด็กผู้หญิงที่เกาะหลังอรรถพร เห็นว่าใส่ชุดเดียวกัน พลางนึกเอะใจ รีบดึงมือออกจากอรรถพร แล้วรีบเดินไปหาขวัญทิพย์กับแพนเค้ก
“ตุ๊กตาตัวนี้ของใครคะ?”
“ของพี่เอง น่ารักใช่มั้ยล่ะ “
“พี่ขวัญซื้อมาจากไหน”
แพนเค้กรีบตอบแทน “ไม่ได้ซื้อ เก็บได้จากกองขยะหน้าอพาร์ตเม้นท์”
ภิชาสินีได้ฟัง ก็ตกใจ
“ขอยืมตุ๊กตาตัวนี้ก่อนนะคะ”
พูดจบก็คว้าตุ๊กตาแล้วเดินออกไปทันที อรรถพรรีบตามไปติดๆ ขวัญทิพย์ถึงกับเหวอใส่

ภิชาสินีเอาตุ๊กตามาวางบนโต๊ะ อรรถพรนั่งข้างๆ หน้าตาตื่น
“หมายความว่า ผีเด็กผู้หญิงมากับตุ๊กตาตัวนี้ ? “
พูดพลางยกมือไว้ประหลกๆ
“ไปที่ชอบที่ชอบเถอะนะครับ น้องอยากกินอะไร พี่จะทำบุญไปให้ ขออย่างเดียว อย่าตามพี่อีกเลย”
ภิชาสินีมองไปที่ด้านหลังอรรถพร “เค้าหายไปแล้ว”
พลันก็ได้ยินเสียงปิ่นเพชรดังมา ภิชาสินีรีบคว้าตุ๊กตา แล้วก็เดินออกไป อรรถพรหันไปมองตามด้วยความสงสัย

ภิชาสินีเดินถือตุ๊กตามาที่ระเบียง เห็นเด็กปิ่นเพชรกำลังคุยกับเด็กผู้หญิง ด้วยท่าทางเขินอาย
“เค้าชื่อปิ่นเพชร ตะเองชื่อไรอ่ะ”
แต่เด็กผู้หญิงเอาแต่ยืนเงียบ หน้าเศร้า
“พูดไม่ได้เหรอ ไม่เป็นไร เค้ารู้จักภาษามือ ไอเลิฟยู ยูเลิฟไอมั้ย”
ภิชาสินีรีบเดินเข้ามา
“ปิ่นเพชร ไปเล่นที่อื่นก่อนไป”
พอปิ่นเพชรเดินออกไป ภิชาสินีก็ย่อตัวตรงหน้าเด็กผู้หญิง
“ใครให้ตุ๊กตาตัวนี้หนูมาจ๊ะ”
เด็กผู้หญิงตอบเสียงเศร้า “พ่อ”
ภิชาสินีนิ่งคิด อรรถพรที่เดินมาด้วย เริ่มหงุดหงิด
“นี่ไม่ใช่เวลามาถามเรื่องตุ๊กตา ช่วยฉันก่อนสิ”
ภิชาสินีหันขวับ
“คุณไม่สังเกตเหรอว่าชุดที่ตุ๊กตาใส่กับชุดเด็กผู้หญิงเป็นชุดเดียวกัน”
อรรถพรส่ายหน้า “ผมจะเห็นได้ไงล่ะ”
ภิชาสินีครุ่นคิดในใจ
“หมวดอรรถพูดเหมือนไม่เคยเห็นตุ๊กตาตัวนี้มาก่อน”
จากนั้นก็ก้มหน้าคุยกับเด็กผู้หญิง
“หนูแน่ใจนะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นพ่อของหนูจริงๆ เพราะอะไรหนูถึงมั่นใจ ? ”
“พ่อของหนูเป็นตำรวจ”

ภิชาสินีหน้าเครียด อย่างใช้ความคิด

อรรถพรยืนมองภิชาสินีที่กำลังคุยกับความว่างเปล่าตรงหน้า พลันมีมือเล็กๆ มาสะกิดแขน พร้อมกับเด็กปิ่นเพชรโผล่หน้ามา แล้วก็กลายร่างเป็นตุ๊กแกต่อหน้าต่อตา
 
ทำเอาอรรถพรตาเหลือก ล้มหงายหลังตึงทันที

อรรถพรสะดุ้งตื่นขึ้นมา พลางหันไปทางภิชาสินี ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ฉันฝันเห็นตุ๊กแกกลายร่างเป็นเด็ก”
พอปิ่นเพชรยื่นหน้าเข้ามา อรรถพรก็รีบกระโดดมาหลบหลังภิชาสินี
“ไอ้ตัวนี้แหละที่ฉันเห็น”
ภิชาสินีหันมาทำเสียงดุ “ปิ่นเพชร เลิกแกล้งได้แล้ว”
“เค้าไม่ได้แกล้งซักกะติ๊ด พี่ตำรวจกลัวไปเอง”
อรรถพรกลัวจนหน้าซีด
“ไอ้เรื่องเห็นผี ยังพอน่าเชื่อ แต่ไอ้เรื่องที่ตุ๊กแกแปลงร่างเป็นเด็ก มันเหลือเชื่อจริงๆ”
ภิชาสินียิ้มแห้งๆ
“อยู่ๆไป เดี๋ยวก็ชิน ฉันขอโทษที่ตบหน้าคุณ เด็กผู้หญิงคนนั้น เสียพ่อไปตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ภาพที่น้องเค้าจำได้ก็คือ พ่อใส่ชุดตำรวจ เค้าก็เลยเข้าใจว่าคุณเป็นพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ตามหาพ่อให้เค้าสิ”
ภิชาสินีส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก เพราะว่าพ่อน้องเค้า ตายไปแล้ว”
พูดพลางหันไปมองหน้าเด็กผู้หญิงด้วยความเห็นใจ


พิณชนิดาฮัมเพลงอารมณ์ดีกลับเข้ามา เจอภิชาสินีนั่งอยู่ที่โซฟา ก็รีบถลามานั่งข้างๆ
“ยัยภิ อีตาภูมินทร์ปากเสีย รับปากว่าจะไปงานแต่งงานกับพี่แล้วนะ”
ภิชาสินีนิ่งไปซักพัก แล้วก็หยิบตุ๊กตาขึ้นมา พลางหันไปทางพิณชนิดา
“ตุ๊กตาตัวนี้ เป็นของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กคนนี้อายุ 8 ขวบ พ่อเค้าเสียตั้งแต่เค้ายังจำหน้าพ่อไม่ได้ เค้าไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าไม่มีพ่อ ก็เลยโกหก สร้างเรื่องว่าพ่อเป็นนักธุรกิจที่รวยมาก ทำให้ไม่มีเวลามางานวันพ่อที่โรงเรียน จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนก็รู้ความจริงว่าพ่อของน้องเค้า เป็นตำรวจยศจ่า ที่โดนคนร้ายยิงตาย”
พิณชนิดาฟังอย่างตั้งใจ

ภาพเหตุการณ์ในอดีต ขณะที่เด็กผู้หญิงอยู่ในวงล้อมของเพื่อนๆ
“ที่แท้พ่อของเธอก็เป็นแค่ตำรวจกระจอกๆ และที่สำคัญก็ตายไปแล้ว ยัยขี้โกหก”
เด็กผู้หญิงหน้าเศร้า รีบยกมือขึ้นมาอุดหู

เด็กผู้หญิงร้องไห้โฮ พลางกอดขาแม่ที่กำลังจะเอาตุ๊กตาเซรามิคไปทิ้ง
“แม่อย่าเอาของพ่อหนูไปทิ้ง”
“มันแตกแล้ว จะเก็บไว้ทำไม”
เด็กผู้หญิงพูดทั้งน้ำตา “มันเป็นของพ่อ ถ้าพ่อกลับมาแล้วไม่เห็น พ่อจะเสียใจ”
“พ่อของลูกตายไปแล้ว ลูกต้องยอมรับความจริงซักที”
แม่ไม่สนใจ เอาใส่ถุงกระดาษแล้วเดินออกไป เด็กผู้หญิงร้องไห้โฮลั่น

เด็กผู้หญิงเดินมาเห็นถุงใส่ตุ๊กตาที่แม่เอามาทิ้ง ก็ยิ้มดีใจ กำลังจะเดินมาเก็บ แต่ขวัญทิพย์ออกมาทิ้งขยะและเก็บตุ๊กตาไป เด็กผู้หญิงวิ่งข้ามถนนโดยไม่ได้มอง จนถูกรถอย่างจัง จนร่างลอยกระเด็นไปไกล

พิณชนิดาทำหน้าตระหนกกับเรื่องที่ภิชาสินีเล่า
 
“เด็กคนนั้น ตายรึเปล่า ?”
“ไม่ตาย แต่หมอบอกว่าสมองของเธอได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง อาจจะไม่ฟื้น”
พิณชนิดาหน้าเศร้า “แล้วทำไมตุ๊กตาตัวนี้ถึงอยู่กับภิ?”
“พี่ไม่ต้องรู้หรอก ว่าแต่พี่บอกนายภูมินทร์รึเปล่าว่าต้องไปงานนี้ในฐานะแฟนของพี่”
พิณชนิดาส่ายหน้า
“เปล่า แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงเค้าก็รับปากว่าจะไปกับพี่ พี่จะได้ลบคำสบประมาทของยัยฟ้าร่วงได้ซักที”
ภิชาสินีมองพี่สาวอย่างเป็นห่วง
“.แค่นี้ก็สะใจแล้วเหรอ ? ภิไม่อยากให้พี่เป็นเหมือนเด็กคนนี้ เด็กคนนี้ไม่ยอมรับความจริงเรื่องพ่อ ทำให้เค้าต้องโกหก ทำให้เค้าต้องเสียเพื่อน ทำให้ชีวิตเค้าก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ ภิยอมรับว่าการโกหก มันทำให้เรามีความสุข แต่มันเป็นความสุขแค่ชั่วครู่เท่านั้น”
พูดจบก็ลุกเดินออกไป ทิ้งให้พิณชนิดานั่งนิ่งอึ้ง
“แต่พี่โกหกไปแล้ว จะให้ทำไง?”

ภูมินทร์ออกปากว่าจะเป็นไปรับพิณชนิดาด้วยตัวเอง ทำเอาก้องภพกับแม่นมนวล ถึงกับประหลาดใจ จนต้องแอบซุบซิบกัน
“ คุณหนูเนี่ยนะคะอาสาไปรับหนูพิณด้วยตัวเอง? คุณก้องคิดอะไรอยู่คะ”
“ยี่สิบปีที่ผมรู้จักคุณภู ไม่เคยเห็นคุณภูเป็นแบบนี้มาก่อน คนเดียวที่คุณภูทำแบบนี้ด้วย คือแฟนคนแรกที่หักอกคุณภู”
แม่นมนวลมองหน้าก้องภพ “คุณก้องคิดว่าคุณหนูสนใจแม่หนูพิณคนนั้น?”
ปูเปรี้ยวเดินผ่านมาได้ยินพอดี ก็ตาโตด้วยความตกใจ

“อย่าเข้าใจผิดคิดว่าฉันสนใจเธอ”
ภูมินทร์ พูดใส่หน้าพิณชนิดาทันทีที่มาถึงอพาร์ตเม้นต์ขวัญทิพย์
“ที่ฉันมารับ เพราะฉันต้องควบคุมการดูแลทุกขั้นตอน ฉันไม่ชอบความผิดพลาด ขึ้นรถได้แล้ว รีบไป จะได้รีบกลับ ฉันมีธุระที่สำคัญอีกมากที่ต้องทำ”
พูดจบก็เดินไปที่รถเปิดประตูขึ้นไปนั่ง พิณชนิดาเบ้หน้า แล้วก็เปิดประตูด้านหลัง
“ฉันไม่ใช่คนขับรถของเธอ ขึ้นมานั่งข้างหน้า”
พิณชนิดาทำหน้ากวน “อุ๊ย โทษที ลืมน่ะ”

จากนั้นก็แกล้งปิดประตูเสียงดัง ก่อนจะเปิดประตูด้านข้างคนขับเข้าไปนั่ง ภูมินทร์หันไปมองอย่างไม่พอใจ แล้วก็กระชากรถออกไปอย่างแรง ทำเอาอีกฝ่ายหน้าแทบคะมำ

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ขึ้นรถมาได้เพียงครู่เดียว พิณชนิดาก็นั่งสัปหงก เพราะเพลงบรรเลงที่ภูมินทร์เปิดในรถ เขาหันกลับมามองด้วยความแปลกใจ
 
“ทำไมหลับง่ายแบบนี้? นี่ นี่”
แต่พิณชนิดากลับนอนหลับสบาย จนอีกฝ่ายต้องหันมามองซ้ำ
“น่าอิจฉาจริงๆ หลับได้ทุกที่ หลับได้ตลอดเวลา”
จู่ๆ พิณชนิดาก็เอนตัวลงมา ซบกับไหล่ของภูมินทร์ จนเขาถึงกับชะงัก

ภิชาสินียื่นตุ๊กตาเซรามิคให้แม่ของเด็กผู้หญิง โดยมีอรรถพรยืนข้างๆ ขณะที่เด็กผู้หญิงกำลังนอนให้ออกซิเจน มีสายระโยงระยางเต็มตัว
แม่ของเด็กเห็นตุ๊กตา ก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาดังลั่น
“เพราะฉันแท้ๆ ที่ทิ้งตุ๊กตาตัวนี้ ถึงทำให้แกโดนรถชน แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ”
พลางนั่งลงข้างเตียง เอาตุ๊กตาวางข้างเด็กผู้หญิง และก้มหน้าร้องไห้ ภิชาสินีกับอรรถพรพลอยเศร้าใจไปด้วย พลันภิชาสินีก็เห็นเด็กผู้หญิงยืนข้างแม่ เอามือลูบหลังแม่ตลอด
“ตอนนี้น้องยืนอยู่ข้างๆคุณแม่นะคะ”
แม่เด็กหันขวับ “คุณพูดจริงเหรอ?”
“ค่ะ คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ฉันเป็นคนมีเซ้นต์ น้องเค้ารู้สึกผิดกับคุณแม่มากนะคะ เค้าฝากให้ฉัน
ขอโทษคุณแม่ แล้วเค้าก็รู้สึกเสียใจที่เค้าต้องโกหกเพื่อนๆว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่”
“เค้าอยู่ตรงไหน ?” แม่เด็กถามด้วยเสียงเจือสะอื้น
“ด้านขวาของคุณแม่ค่ะ”
แม่เด็กรีบหันไปทางขวามือ
“แม่ไม่เคยโกรธลูกซักนิด แล้วเพื่อนๆของลูกทุกคน ก็ไม่มีใครโกรธลูก เมื่อวานพวกเค้าก็มาเยี่ยมลูกที่นี่ เค้าอยากให้ลูกกลับไปเรียนหนังสือ ลูกกลับมาหาแม่นะ”
เด็กผู้หญิงหน้าเศร้า ภิชาสินีกับอรรถพรได้แต่ถอนหายใจ

“คุณว่าน้องเค้าจะฟื้นมั้ย ?”
อรรถพรหันมาถามภิชาสินี ขณะเดินอยู่ด้วยกันที่หน้าโรงพยาบาล
“ไม่รู้สิ ฉันตอบไม่ได้ เหมือนวิญญาณของน้องเค้า ยังติดห่วงอะไรอยู่”
จู่ๆ ภิชาสินีก็เห็นตำรวจคนหนึ่งเดินสวนมา เธอถึงกับชะงัก จนอรรถพรแปลกใจ
“หยุดเดินทำไม? เห็นอะไรอีกแล้วเหรอ?”
ภิชาสินีพยักหน้า พลางมองไปที่ตำรวจคนนั้น เห็นรอยมีดฟันที่คอ ก่อนที่ร่างนั้นจะเดินทะลุตัวของเธอออกไป ทำเอาภิชาสินีเกือบล้มทั้งยืน อรรถพรรีบเข้ามาประคอง ภิชาสินีหันหลังกลับไป เห็นเด็กผู้หญิงนั่งคอตกที่หน้าห้องไอซียู วิญญาณตำรวจหยุดตรงหน้า พอเด็กเงยหน้าเห็นวิญญาณตำรวจ ก็รีบโผเข้ากอดทันที
ภิชาสินียิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“ตกลงคุณเห็นอะไร ? บอกผมด้วยสิ”
“น้องเค้าเจอพ่อแล้ว”
อรรถพรยิ้มดีใจ
“จริงเหรอ ? เดี๋ยวนะ วิญญาณพ่อน้องเค้ามาที่นี่ ไม่ใช่จะมาเอาตัวน้องไปนะ”
ภิชาสินีตกใจหันขวับไปมองอรรถพร พอหันกลับไปที่หน้าห้องอีกครั้ง ก็ไม่เจออะไรแล้ว
“ฉันมองไม่เห็นพวกเค้าแล้ว”
ทันใดนั้นแม่เด็กผู้หญิงวิ่งหน้าตาตื่นออกมา ภิชาสินีกับอรรถพรตกใจ แม่หันมาเห็นทั้งคู่ก็รีบเดินมาหา
“ลูกฉันฟื้นแล้ว ขอบคุณคุณสองคนมากนะคะ ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”
ภิชาสินียิ้มทั้งน้ำตา
“อย่าขอบคุณพวกเราเลยค่ะ คนที่ช่วยให้น้องฟื้น คือพ่อของน้องค่ะ”

แม่ของเด็กหญิงร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ทว่าเป็นน้ำตาแห่งความตื้นตัน ภิชาสินีกับอรรถพรยิ้มอย่างโล่งใจ

พิณชนิดาหลับมาตลอดทาง กระทั่งภูมินทร์ขับรถมาถึงศูนย์บริการความงามครบวงจร
 
จากนั้นเขาก็รีบพาเธอเข้าไปด้านใน พลายืนกอดอกมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบเหยียดๆ โดยมีพนักงานยืนอยู่ คอยจดตามที่เขาบอก
“ผมหยาบกร้าน แห้ง ฟู หน้ามันตรงทีโซน สิวหัวช้างเม็ดเป้งที่ซอกหูซ้าย”
พิณชนิดาตกใจ รีบเอามือจับที่ซอกหูทันที ภูมินทร์พูดต่อ
“ริมฝีปากแห้ง มีรอยแตก ข้อศอกด้าน ขาลาย เข่าแตก เล็บนิ้วโป้งขวาขบ อ้อ สุดท้าย สำคัญที่สุด หน้าอกคล้อยไปซักนิด”
พิณชนิดามองหน้าภูมินทร์ทั้งฉุน ทั้งอาย “ไอ้ ไอ้...”
ภูมินทร์รีบชี้นิ้วสั่ง
“หยุด บอกแล้วไง ถ้าอยากให้ฉันออกงานคู่กับเธอ เธอต้อง ”ไร้ที่ติ” จัดการด้วย ผมมีเวลาให้คุณสามชั่วโมง”
พนักงานรีบรับคำ แล้วเดินนำพิณชนิดาออกไป จากนั้นก็เริ่มต้นเนรมิตรความงามให้เธอตั้งแต่หัวจดเท้า

ทางด้านเปรมสุดาก็งัวเงียตื่นขึ้นมาตอนเที่ยง พลางรีบหยิบมือถือที่วางข้างเตียงขึ้นมาดู
“นังปูเปรี้ยวโทรมาทำไมเป็นสิบมิสคอล หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับภู ?”
จากนั้นก็รีบโทร. กลับมาหาปูเปรี้ยว ที่แอบมารับสายในห้องน้ำ
“ไม่ทันแล้วล่ะค่ะคุณสุดา มัวแต่นอนกินบ้านกินเมืองแบบนี้ ก็ไม่ต้องสู้ใครเค้าแล้วล่ะค่ะ”
เปรมสุดาตวาดกลับ “นี่ ฉันเป็นเจ้านายแกนะ พูดจาให้มันดีๆ”
“ขอโทษค่ะ”
เปรมสุดาถอนใจ “ที่แกพูดว่าไม่ต้องสู้ใครเค้าแล้ว หมายความว่าไง?”

เปรมสุดากรีดร้องโวยวายเสียงดัง จนปณิตาตกใจ
“อะไรอีกคะลูกขา”
“นังปูเปรี้ยวมันโทร. มาบอกว่าภูมีกิ๊กค่ะ”
“ว่าไงนะ ตาภูมีกิ๊ก นังนั่นมันเป็นใคร ลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ไหน ?”
เปรมสุดาส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ นังปูเปรี้ยวบอกแค่นั้น”
ปณิตาหน้าเครียด พลางเดินเป็นหนูติดจั่น
“มันจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ลูกต้องทำอะไรซักอย่าง”
“แม่จะให้สุดาทำยังไง? แม่ก็เห็นว่าภูไม่สนใจสุดาซักนิด อุตส่าห์ใช้มารยาหญิงร้อยแปดเล่มเกวียน ก็ยังไม่ได้ผล”
ปณิตานิ่งอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออก
“ในเมื่อเข้าทางภูไม่ได้ผล ก็ต้องสืบหาให้เจอว่ากิ๊กภูเป็นใคร แล้วเราก็เล่นงานนังนั่นแทน”

เปรมสุดามองปณิตาอย่างเห็นด้วย

ครบ 3 ชั่วโมงตามที่ภูมินทร์ตั้งมือถือจับเวลาไว้ปั๊บ พนักงานก็จูงมือพิณชนิดาออกมา
 
“เสร็จแล้วค่ะคุณภูมินทร์”
ภูมินทร์พยักหน้ารับ พลางลุกขึ้นยืน แล้วมองไปที่ประตู พอเห็นพิณชนิดาเดินออกมา ก็ถึงกับชะงัก
พิณชนิดาแอ่นอกตึง จนภูมินทร์สะดุ้ง พลางส่ายหน้า
“ทำตั้งนาน ได้แค่เนี้ย”
พิณชนิดาแทบล้มทั้งยืน

จากนั้นภูมินทร์ก็พาพิณชนิดามาเข้าร้านทำผม ทำเล็บมือเล็บเท้า ซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนม เพื่อเนรมิตอีกฝ่ายให้สวยสมกับเป็นคู่ควงของเขามากที่สุด

ทางด้านเปรมสุดา ก็ดอดเอาขนมมาฝากสิรวิทย์ถึงที่สำนักงาน พลางแกล้งตะล่อมถาม
“สุดารู้มาว่าภูมีกิ๊กค่ะ”
สิรวิทย์ตกใจ
“ไอ้ภูเนี่ยนะครับไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่คนแบบนั้น คุณสุดาต้องเข้าใจผิดแน่ๆ”
แต่เปรมสุดายืนยัน
“แต่แหล่งข่าวที่บอกสุดา น่าเชื่อถือมากนะคะ สุดาไม่สบายใจ ถ้าเกิดภูมีกิ๊กจริงๆ แล้วสุดาจะทำยังไง วิทย์ช่วยสืบเรื่องนี้ให้สุดาทีนะคะ”
พูดพลางจับมือสิรวิทย์ แล้วทำหน้าออดอ้อน

พิณชนิดาเดินออกมาในชุดสีขาว กระโปรงยาวกรอมเท้า คอเสื้อเป็นรูปตัววี คว้านลงมาถึงหน้าอก แต่มีผ้าลูกไม้ปิดเอาไว้ ภูมินทร์ยืนมอง ด้วยสีหน้าไม่ค่อยถูกใจ พลางหันไปทางพนักงาน
“ดูตันไปหน่อยนะผมว่า”
พนักงานรีบแย้ง “ไม่ตันหรอกค่ะ”
พอพิณชนิดาหมุนตัวหันหลัง ภูมินทร์ถึงกับตะลึง อึ้ง เพราะด้านหลังคว้านลึกเกือบถึงเอว จากนั้นเธอก็หันหน้ากลับมา แล้วก็เอามือตวัดกระโปรง ที่ผ่าสูงมากจนเห็นต้นขา พลางยื่นขาเรียวยาวออกมา
“แบบนี้โอเหรอยังคะ”
ภูมินทร์กลืนน้ำลายเอื๊อก

พอกลับมาถึงที่ห้อง พิณชนิดาก็เอาชุดมาแขวนที่หน้าตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเดินออกไป ปราชญ์ กานต์กมล พัณทิพา ปิ่นเพชร ปรากฎตัวขึ้นมามองด้วยความตื่นเต้น แต่จู่ๆ ปราชญ์ก็นึกเอะใจ
“อยู่ดีดีไอ้หมอนั่นก็ยอมไปงานกับยัยพิณ พายัยพิณไปซื้อของ มันต้องคิดมิดีมิร้ายกับลูกแน่ๆ”
แต่ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจฟัง เพาะทุกคนเอาแต่รุมดูชุดด้วยความชื่นชม
“ตกลงไม่มีใครคิดจะทำอะไรเลยใช่มั้ย ? ผมทำเองคนเดียวก็ได้”

หนึ่งหน้าเครียด เพราะถึงกำหนดที่จะต้องจ่ายค่าอพาร์ตเม้นท์ให้ขวัญทิพย์แล้ว แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวกลับมีเงินเหลืออยู่แค่ไม่ถึง 300 บาท เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พลางกดหาชื่อ “แม่” แล้วก็นั่ง
ชั่งใจอยู่นานว่าจะโทรหรือไม่โทรดี ที่สุดก็ก็ตัดสินใจกดโทร. ออก ไม่นานก็มีเสียงผู้ชายตอบกลับมาทางปลายสาย
“มีอะไรก็รีบพูดมา ตอนนี้เราอยู่ญี่ปุ่น”
หนึ่งผงะ พลางกำโทรศัพท์แน่น “แม่อยู่ไหน?”
“ แม่แกไม่ว่าง ยุ่งกับน้องอยู่”
พลันเสียงเด็กร้องไห้งอแงก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงของแม่
“ตกลงๆ แม่จะซื้อไอติมให้ทาน เลิกร้องไห้ได้แล้วนะคะ”
ขาดคำเสียงเด็กก็เงียบไป หนึ่งหน้าเศร้า เสียงแม่ดังขึ้นมาอีก
“ใครโทรมาที่รัก”
“ลูกชายคุณ”
หนึ่งกดวางสายทันที แล้วก็ปามือถือทิ้งด้วยความโมโห พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา พอเขาเดินไปเปิดประตู ก็เห็นอรรถพรยืนอยู่
“พี่ซื้อบะหมี่จับกังมาฝาก”
หนึ่งนึกขึ้นมาได้ รีบคว้ามืออรรถพรมากุมแน่น
“พี่อรรถที่รักของผม ผมมีเรื่องเดือดร้อน อยากให้พี่ช่วย”

อรรถพรมองสีหน้าที่ย่ำแย่ของอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

อรรถพรยื่นเงินแบงค์พันห้าใบให้หนึ่ง ที่ยิ้มกรุ่มกริ่ม พลางรีบเก็บเงินใส่กระเป๋า
 
“พี่ขอถามอะไรอย่างได้มั้ย ? ตั้งแต่พี่มาอยู่ที่นี่ ไม่เคยเห็นพ่อแม่แกเลย เค้าอยู่ต่างจังหวัดเหรอ”
หนึ่งทำหน้านิ่ง ก่อนที่จะเปิดปากเล่า
“พ่อผมอยู่สวรรค์ แม่ผมอยู่กรุงเทพนี่แหละ แต่มีครอบครัวใหม่แล้ว”
อรรถพรหน้าเสีย “พี่ขอโทษว่ะ”
“ไม่เป็นไรพี่ ทำไมต้องขอโทษ พ่อผมตายตั้งแต่ผมเด็กๆ ส่วนแม่ก็แต่งงานใหม่นานแล้ว ผมชินแล้วล่ะ ผมเอาเงินไปจ่ายพี่ขวัญก่อนนะพี่”
หนึ่งฝืนยิ้มร่าเริงและเดินออกไป แต่กลับไปยืนพิงประตูห้อง แล้วร้องไห้เงียบๆ คนเดียว

ปราชญ์ยืนมองบ้านภูมินทร์ด้วยสีหน้าเอาเรื่อง พลางกำลังจะเดินทะลุประตูเข้าไป ทันใดนั้นมีรปภ.เจ้าที่สองคนปรากฎร่างขึ้นมา พร้อมยื่นกระบองมาตรงหน้า
“ห้ามเข้า”
ปราชญ์ยิ้มแห้งๆ “ขอผมเข้าหน่อยเถอะ ผมมีธุระกับเจ้าของบ้าน”
รปภ.อีกคนรีบบอก “เจ้าจะมีธุระได้ยังไง ในเมื่อเจ้าเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อน”
“ พูดจาแบบนี้ ระวังปากนะท่าน ผมไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อน ผมมีคนทำบุญไปให้”
พูดพลางจะเดินเข้าไป แต่กลับถูกผลักกระเด็นออกมาอย่างแรง จนตัวลอยไปไกล ล้มก้นจ้ำเบ้า
“มีฝีมือแค่นี้เองน่ะเหรอ ?”
ปราชญ์ลุกขึ้นยืน มองรปภ.เจ้าที่สองคน หน้าตาเอาจริง

“โอ๊ย”
ปราชญ์ร้องโอดโอยเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด หน้าตาบวมปูด เต็มไปด้วยร่องรอยฟกช้ำ กานต์กมลกำลังทำแผลให้อยู่ พัณทิพายืนมองอย่างหมั่นไส้
“สมน้ำหน้า ทำอะไรไม่คิดทำไม มันก็สมควรแล้วที่ต้องเจอแบบนี้ จะได้หายปากเก่งซักที”
กานต์กมลพยักหน้าเห็นด้วย
“กานต์ว่าปราชญ์เลิกยุ่งเรื่องลูกเถอะนะคะ เราเป็นแค่วิญญาณ เราทำอะไรไม่ได้”
“แต่เราเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครอบครัวของยัยพิณ ถ้าเรารู้ว่าลูกเราจะเจอคนไม่ดี เราก็ต้องขัดขวาง”
พัณทิพาถอนหายใจ “แล้วจะขัดขวางยังไง เราจะทำอะไรได้”
“เราทำไม่ได้ แต่ภิทำได้”

จากนั้นวิญญาณของพ่อ แม่ ป้า ก็เข้ามามะรุมมะตุ้มพลางพูดอ้อนวอนให้ภิชาสินีช่วยขัดขวาง ไม่ให้พิณชนิดาติดต่อกับภูมินทร์ แต่ลูกสาวคนเล็กกลับส่ายหน้า
“ชีวิตใคร ชีวิตมัน เราไปขีดเส้นให้ใครเดินไม่ได้”
ปราชญ์มองอย่างไม่พอใจ
“แต่นี่มันชีวิตพี่ของเรา ไม่ใช่ชีวิตคนอื่น แกเป็นน้องยัยพิณ แกต้องช่วยพี่สาวแกสิ ยัยภิ อย่าทำเป็นไม่ได้ยินที่พ่อพูดนะ”
ภิชาสินีสุดทน ตบโต๊ะดังปัง จนทุกคนสะดุ้ง
“พ่อเลิกยุ่งกับพี่พิณซักทีได้มั้ยคะ”
กานต์กมลรีบปราม “ยัยภิ ลูกพูดแรงไปรึเปล่า ?”
“ภิพูดไม่แรงไปหรอกค่ะ ภิเหนื่อย แล้วก็เบื่อมากที่ตัองมานั่งฟังทุกคน ใครๆ ก็มองภิเป็นคนประหลาดที่ชอบพูดอยู่คนเดียว พ่อ แม่ ป้าทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว นี่มันเป็นเรื่องของคน ไม่ใช่เรื่องของผี”
ปราชญ์สุดทน ตบหน้าภิชาสินีเต็มแรง
“ลูกไม่รักดี พูดกับพ่อแม่ป้าแบบนี้ได้ยังไง ที่พวกเราทำ ก็เพราะเป็นห่วงลูกสองคน”
ภิชาสินีน้ำตาคลอ
“ภิเชื่อว่าแม่กับป้าห่วงเราสองคนพี่น้อง แต่พ่อห่วงใครกันแน่ แค่พี่พิณคนเดียวรึเปล่า ? อย่านึกว่าภิไม่รู้ว่าพ่อรักพี่พิณมากว่าภิ”
ปราชญ์ถึงกับพูดไม่ออก ภิชาสินีน้ำตานองหน้า ก่อนจะรีบลุกเดินเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูดังปัง ปราชญ์มองตามอย่างรู้สึกผิด
ส่วนกานต์กมล กับพัณทิพา รีบหายตัวเข้ามานั่งประกบภิชาสินีในห้องนอน
“ไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่รักลูกตัวเอง เพียงแต่ภิเป็นคนเข้มแข็ง รู้จักแยกแยะดีชั่วมากกว่ายัยพิณ พ่อเค้าถึงเป็นห่วงยัยพิณมากกว่า”
ภิชาสินีปล่อยโฮออกมา กานต์กมลกับพัณทิพาได้แต่กอด แล้วลูบหลังปลอบใจ

“เมื่อวานสุดามาหาผม เค้ามาบอกผมว่าภูมีกิ๊ก”
สิรวิทย์หันมาพูดกับก้องภพ ขณะทั้งคู่กำลังไดร์ฟกอล์ฟด้วยกัน
“กิ๊กเนี่ยนะครับ?”
สิรวิทย์พยักหน้า “อือ แต่ผมไม่เชื่อ คนอย่างนายภู ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหน?”
“มันก็ไม่แน่นะครับ”
สิรวิทย์หันขวับทันที “พูดงี้ หมายความว่าไอ้ภูมีกิ๊กจริงๆ”
“อย่าเรียกว่ากิ๊กเลยครับ เรียกว่าผู้หญิงที่คุณภูสนใจดีกว่า”

สิรวิทย์ประหลาดใจ “ใคร?”
 
จบตอนที่ 4 
กำลังโหลดความคิดเห็น