บ้านศิลาแดง ตอนที่ 5
ขณะที่เดือนฉายนั่งอ่านแฟ้มเอกสารอยู่ที่โต๊ะ พรเพ็ญก็เดินถือจานผลไม้เข้ามาวางให้ที่โต๊ะ แล้วทำท่าจะเดินกลับไป แต่ฝ่ายแรกรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนลูก มานั่งก่อนสิลูก มาช่วยแม่ดูงานนี่หน่อย”
พรเพ็ญจำใจนั่งลง สีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที
“ลูกช่วยอ่านแล้วสรุปให้แม่ที แม่ลืมแว่นไว้บนห้องแน่ะ”
พูดพลางส่งแฟ้มให้ พรเพ็ญสีหน้ากังวล รับแฟ้มมาอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะก้มหน้าลงอ่าน สีหน้ายิ่งเครียดขึ้นกว่าเดิม เดือนฉายจ้องสังเกตดูท่าทีของลูกสาวตาไม่กระพริบ
พรเพ็ญเห็นแฟ้มเอกสารภาษาอังกฤษ ก็เริ่มหน้าเสีย ก่อนจะรีบหาทางเลี่ยง
“คือคุณแม่คะ พอดีหนูอุ่นอาหารไว้น่ะค่ะ เดี๋ยวหนูขอไปดูก่อนนะคะ”
ขาดคำก็รีบลุกพรวดขึ้นเดินหนีเข้าบ้านไปในทันที เดือนฉายยิ่งมั่นใจว่านั่นคือ “พรเพ็ญ” ไม่ใช่ “เพ็ญพร”
ทางด้านเพ็ญพรที่กำลังขะมักเขม้นกับการรีดผ้า ขณะที่ปากก็ร้องเพลงฝรั่งไปด้วย ครู่หนึ่งตรัยก็เดินเข้ามา พลางหยุดยืนมองยิ้มๆ
“อารมณ์ดีจังนะครับ ไม่ยักรู้คุณฟังเพลงพวกนี้ด้วย เตรียมชุดไปไหนเหรอครับ?”
“จะเข้าไปดูงานของบริษัทคุณพ่อน่ะ”
ตรัยตกใจ ตาโต
“ดูงานบริษัท น้องพรเนี่ยนะจะเข้าไปดูงานบริษัท หมู่นี้น้องพรดูแปลกไปมากนะ?”
เพ็ญพรรู้สึกตัว รีบทำแอ๊บใส
“คะ แปลกอะไร? แปลกตรงไหนคะ? น้องพรก็ยังคงเป็นน้องพรคนเดิมล่ะค่ะพี่ตรัยขา ก็ไม่เห็นจะแปลก”
ขาดคำอีกฝ่ายก็กระชากตัวมาไว้ในอ้อมกอดทันที 2 คนจ้องหน้ากัน เพ็ญพรตกใจตั้งตัวไม่ทัน
เขารีบเอามือแตะหน้าผากเธอ
“ไม่สบายรึเปล่า หาหมอมั้ย?”
เพ็ญพรได้สติกระทืบลงบนเท้าตรัยอย่างแรง ก่อนจะผลักกระเด็นแล้ววิ่งหนีไป
“ก็ไม่เห็นจะแปลก”
หมอรุจน์สรุปสั้นๆ ง่ายๆ เมื่อตรัยทำอาการแปลกๆ ของพรเพ็ญมาปรึกษา
“อะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนที่บางอย่างก็อธิบายได้ แต่บางอย่างก็อธิบายไม่ได้”
ตรัยทำหน้าเซ็ง
“ขอบใจ นึกว่าแกจะช่วยให้ฉันหายงงได้ สรุปช่วยอะไรไม่ได้เลยซักนิด”
“นี่ไง ตัวแกเอง ยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แล้วทำไมคุณพรเค้าจะมีอะไรแปลกๆ มั่งไม่ได้”
“แต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูกว่ะไอ้หมอ มันเหมือนกับเป็นคนละคนซะมากกว่า”
หมอรุจน์ชะงักนิดนึง ก่อนจะตั้งข้อสังเกต “หรือจะเป็นคน 2 บุคคลิกวะ?”
“อย่างนี้ฉันควรทำยังไงดีวะ?”
“ถ้าแกห่วงเค้ามาก แกก็พาเค้ามาปรึกษาหมอสิ เดี๋ยวหาหมอเก่งๆ ให้”
ตรัยถอนหายใจ พลางส่ายหน้า
“พูดบ้าๆ อยู่ๆ จะให้ฉันเดินไปบอกเค้าว่าไง คุณพร ผมว่าคุณไม่ปกตินะ ไปหาหมอกันดีกว่านะตัวเอง เค้าได้ถีบฉันกระเด็น แต่จะว่าไปฉันก็ชอบให้น้องพรเค้าสู้คนแบบนี้นะ ไม่ชอบให้เค้าติ๋มแบบเมื่อก่อน”
“ก็นี่ไง ตอนเค้าติ๋มก็อยากให้เค้าสู้ พอเค้าสู้ก็มานั่งงงอีก ฉันว่าฉันส่งแกไปหาหมอแทนคุณพรดีกว่ามั้ง”
ตรัยโดนเหน็บ ก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ
เชาว์เปิดประตูบ้านออกมาพลางมองซ้ายมองขวา ท่าทางลุกลี้ลุกลน ก่อนที่จะมีผู้ชายใส่หมวกเดินเข้ามาหา โดยทั้งคู่ไม่รู้ว่ามีสายตาจากภายในบ้านแอบมองอยู่
“พรุ่งนี้ฉันตามไปแน่”
เชาว์พูดอย่างมาดมั่น อีกฝ่ายรีบค้าน
“พี่รอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้านก็ได้”
“เฮ้ย ได้ไงวะ ฉันเป็นคนหาลูกค้ามาให้เจ้านาย งานนี้ฉันก็ต้องออกหน้าสิวะ คราวหน้าไม่ต้องมาที่นี่นะเว้ย เดี๋ยวมีคนเห็นแล้วยุ่ง”
ชายคนนั้นพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินหนีไป เชาว์มองซ้ายมองขวาอีกที ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน พลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี มาถึงก็เห็นวาทินียืนจ้องตาเขม็งอยู่
“ใครน่ะ?”
เชาว์ทำหน้าไม่รู้เรื่อง” ใครที่ไหนอะไรของเธอ”
“อย่ามาทำไม่รู้เรื่อง ฉันเห็นเห็นนะพี่คุยอะไรกับไอ้ผู้ชายท่าทางกุ๊ยๆ นั่น มีแผนจะทำอะไรทำไมไม่บอกฉันบ้าง”
“แผนบ้าแผนบออะไรกัน คิดไปเองทั้งนั้น”
เชาว์แกล้งทำเป็นโมโหกลบเกลื่อนก่อนจะเดินหนีไป วาทินีไม่ยอมแพ้พยายามเดินตามเซ้าซี้ไปตลอดทาง
สโรชาที่แอบมองอยู่ เดินออกมามองตาม สีหน้าและแววตาเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
วิทวัสหยิบเสื้อสูท พลางลุกขึ้น ทำท่าจะออกไปข้างรอก แต่ก็ช้ากว่าเลขาที่เข้ามาบอกว่าสโรชาโทร.มาขอนัดพบ
“คุณเช็คตารางเวลาให้ผมหน่อยล่ะกัน ถ้าว่างตอนไหนก็นัดคุณสโรชาเธอได้เลย”
เลขารับคำสั่ง แล้วจะเดินออกไป เขารีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนคุณเหมียว เดี๋ยวช่วยส่งสรุปยอดเข้าเมล์นี้หน่อยนะ”
พูดพลางเปิดกระเป๋านามบัตรส่งให้
“คุณแพร์รี่ ลูกสาวของคุณเดือนฉายใช่ไหมคะ? เธอดูคล่องแคล่วดีนะคะ จบนอกมาด้วย อย่างนี้ต้องเก่งน่าดูเลย”
วิทวัสพยักหน้ายิ้มนิดๆ จนเลขาเดินออกไป
“เก่งเหรอ?”
เพ็ญพรถือขนมกับแก้วน้ำเต็ม 2 มือ พลางเอาไหล่หนีบคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“ว่าไงพี่พร อืมๆ งาน? งานของคุณแม่น่ะเหรอ? โอ๊ย ไม่ต้องไปเครียดหรอก ให้อีตานั่นเค้าทำไปก็ได้ เอาน่าอย่าคิดมากน่า นี่ๆ เพ็ญก็จะไปดูงานที่บริษัทคุณพ่อแล้วนะ ว้าย..พี่พรแป๊บนะ อย่าเพิ่งวางหูล่ะ”
เพ็ญพรทำน้ำหก รีบลุกเดินออกไปหาผ้าขี้ริ้วหายเข้าไปในครัว คล้อยหลังไปอาภาพรที่เดินออกมา รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นหน้าจอขึ้นชื่อ “เจ๊ติ๋ม” เธอทำหน้าสงสัย พลางมองไปทางครัวอย่างระแวงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
“ฮัลโหล เพ็ญ เป็นอะไรหรือเปล่า? ฮัลโหล”
อาภาพรทำหน้าแปลกใจ เหมือนคุ้นกับเสียงที่ได้ยิน
“ทำอะไรน่ะ”
เพ็ญพรถือผ้าขี้ริ้วเข้ามา ตรงมากระชากโทรศัพท์คืนไป แล้วกดวางทันที
“ไม่เคยมีใครอบรมเรื่องมารยาทกับเธอเหรอ?”
“มันจะมากไปแล้วนะ นังพร”
พูดพลางเงื้อมือขึ้นจะตบ อีกฝ่ายเงื้อมือสู้
“ฉันไม่อยากจะลดตัว เสียมือ ไม่ใช่ว่ากลัวนะยะ”
อาภาพรทำหน้าเชิด เพ็ญพรหมั่นไส้ กระทืบเท้าใส่เหมือนขู่ ทำเอาอีกฝ่ายรีบวิ่งแจ้นไปเลย
อาภาพรเปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องของสโรชา ก่อนจะรีบบอกกับแม่อย่างร้อนรน
“ตะกี๊ภาไปเจออะไรแปลกๆ มาด้วยค่ะ ภาเห็นนังพรมันคุยโทรศัพท์ ภาได้ยินเสียงคนที่มันคุยด้วยน่ะสิคะ ภาว่ามันคุ้นมากเลย”
สโรชาทำหน้าสงสัย “เสียงใคร?”
อาภาพรครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ภาไม่แน่ใจน่ะค่ะคุณแม่ แต่ภาว่าเสียงเหมือนตัวนังพรมันเองนั่นล่ะ ภาพูดจริงๆ นะคะคุณแม่”
สโรชาส่ายหน้าหงุดหงิด
“แกว่าง แต่แม่ไม่ว่างหรอกนะ เฮ้อ!ปล่อยให้พ่อแกเพี้ยนคนเดียวก็พอนะ อย่าเพี้ยนตามพ่อ ฉันขอร้อง”
ขาดคำก็ลุกขึ้นเดินหนีออกจากห้องไป
พรเพ็ญถือแจกันดอกไม้ที่เพิ่งจัดเสร็จเดินยิ้มออกมา แต่พอเห็นวิทวัสก็ชะงัก ทำท่าจะเดินหนีกลับเข้าไป
“ผมไม่ใช่ผีนะคุณ แล้วนี่คุณเดือนกับคนอื่นๆไปไหนกันหมดล่ะ?”
“คุณแม่กับคุณตาไปซื้อของค่ะ ส่วนน้องกอล์ฟขอเข้าไปเล่นในสวน”
วิทวัสพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟา หยิบไอแพดออกมาเล่น
“ผมให้เลขาส่งสรุปรายงานเข้าเมล์คุณแล้วนะ คุณได้เช็คหรือยัง?”
พรเพ็ญสะดุ้งตกใจ “ยะ ยังเลยค่ะ พรว่าพรจะเช็คคืนนี้”
“เอ้า งั้นก็เช็คซะเลยสิ เอาของผมก็ได้”
พูดพร้อมกับยื่นไอแพดส่งให้ พรเพ็ญรับมาอย่างลังเล
“รายงานสรุปยอดน่ะ คุณลองตรวจเช็คดูอีกที แล้วตอบลูกค้าไปเลยก็ได้”
พรเพ็ญมองหน้าวิทวัสก่อนจะลงมือกดเช็คเมลล์ท่าทางกระวนกระวาย
“ไง เข้าไม่ได้เหรอ?”
พลางรีบดึงไอแพดกลับมาดู แล้วทำหน้าสงสัย เมื่อมองเห็นชื่อกับนามสกุลในเมลล์ “พรเพ็ญ ศิ...” แต่ก่อนที่จะได้ทันเห็นหมด พรเพ็ญก็รีบมาคว้ากลับไป
“ขอโทษค่ะ เดี๋ยวฉันค่อยเช็คคืนนี้ดีกว่า ฉันจะไปเตรียมทำกับข้าวรอคุณแม่นะคะ”
เธอรีบออกจากเมล์แล้วส่งไอแพดคืน ก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว
“พรเพ็ญเหรอ เขียนชื่อตัวเองยังผิดเลยเหรอเนี่ย เออว่ะ ท่าทางจะเพี้ยนจริงว่ะ”
ในเวลาเดียวกัน เพ็ญพรก็กำลังนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สายตากวาดไล่เช็คเมล์ไปเรื่อย ก่อนจะพิมพ์รายละเอียดต่างๆ ตอบลูกค้าไป
พลันเชาว์ก็เดินเข้ามา พร้อมกับจ้องมองด้วยแววตาเจ้าชู้ ก่อนจะเดินตรงมาหา
“ทำอะไรอยู่จ๊ะหนูพร?”
เพ็ญพรปรายตามามอง พลางแอบเบะปากแล้วหันไปแกล้งปิดหน้าเมล์ลงมา ทำทีเป็นเล่นคอมไปเรื่อยๆ
“คุณลุงมีธุระอะไรเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ลุงเห็นหนูนั่งอยู่คนเดียวกลัวหนูจะเหงา”
เพ็ญพรแกล้งพูดยั่ว “คุณลุงใจดีจังเลยค่ะ เป็นห่วงหนูด้วย”
“ลุงก็ใจดีแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะจ้ะ หนูพรไม่สังเกตเอง”
“เหรอคะ? หนูนี่แย่จริงมองข้ามหัวหงอกๆ ไปได้ยังไง”
เชาว์ชะงักทำหน้าแปลกๆ
“หนูพรพูดตรงดีจังเลยนะจ๊ะ”
“ค่ะ หนูก็เป็นคนตรงๆแบบนี้ล่ะค่ะ ใครดีมาก็ดีตอบ แต่ถ้าใครที่มันคิดร้ายกับตัวหนูหรือคุณพ่อ หนูก็จะเอาคืนมันเป็นเท่าตัวเลยล่ะค่ะ”
เชาว์อึ้งไป รีบเปลี่ยนเรื่องพูด ถามว่าทำอะไรอยู่ เพ็ญพรแกล้งบอกว่ากำลังดูสินค้าในเน็ต ทุกอย่างน่าซื้อไปหมด พลางแกล้งตีหน้าเศร้า ทำเสียงอ่อย
“แต่ติดตรงไม่มีเงินนี่สิคะ ยิ่งคุณพ่อเจ็บก็ต้องยิ่งประหยัดเข้าไปใหญ่”
“โถๆ ทำไมไม่บอกลุงล่ะจ๊ะ เรื่องแค่นี้เอง ไหนๆ มาดูซิ หนูอยากได้อะไร เดี๋ยวลุงซื้อให้”
พูดพลางฉวยโอกาสเอื้อมมือมาจับมือเพ็ญพรที่จับเมาส์อยู่ทำเป็นเลื่อนเมาส์ดูโน่นนี่ เธอเม้มปากแน่น พยายามอดทน กัดฟัน เพราะอยากล้วงความลับ
“จะดีเหรอคะคุณลุง คุณลุงเองก็ไม่ค่อยจะมี ยังต้องเกาะคุณน้ากินอยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ?”
“พูดอะไรอย่างนั้น ลุงไม่ได้เกาะอะไรน้าเค้าเลย เงินลุงเองทั้งนั้น ยิ่งช่วงนี้ไม่ต้องห่วง”
ไม่พูดเปล่า กลับล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมาฟ่อนหนึ่ง
“อุ๊ย คุณลุงไปเอาเงินมาจากไหนเยอแยะคะเนี่ย?”
เชาว์หัวเราะร่วน
“แหม ลุงก็ต้องมีธุรกิจของลุงบ้างสิ มาๆ มาดูต่อหนูพรอยากได้อะไรบอกลุงได้เลย”
เพ็ญพรมองเงินเป็นฟ่อนสลับกับมองหน้าเชาว์อย่างสงสัย
วิทวัสตักกับข้าวลงในจาน ก่อนจะตักขึ้นชิมแล้วทำสีหน้าพึงพอใจ พลางเอ่ยปากชมฝีมือการทำอาหารของเดือนฉาย แต่อีกฝ่ายรีบส่ายหน้า พร้อมกับบอกว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของพรเพ็ญ ในคราบเพ็ญพร จากนั้นก็หันไปยิ้มบอกกับทุกคน
“เก็บท้องไว้เผื่อขนมกันบ้างนะคะ ยัยเพ็ญเค้าทำเยลลี่เสาวรสเอาไว้”
กอล์ฟทำตาโต รีบกวาดข้าวในจานให้หมดไวๆ วิทวัสจ้องมองเพ็ญพรอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เยลลี่เสาวรส?”
พรเพ็ญยิ้มแหยๆ หลบตาซ่อนพิรุธ
เดือนฉายหัวเราะออกมา พลางโบกไม้โบกมือส่ายหน้า
“โธ่เอ๊ย ป้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ยัยเพ็ญแกไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่พ่อวัสคิดหรอก ไม่ต้องห่วง”
วิทวัสยังอดห่วงไม่ได้
“แต่ผมว่าเราลองพาเธอไปเช็คซักหน่อยก็ดีนะครับ เป็นเพราะตกน้ำคราวก่อนรึเปล่าก็ไม่รู้นะครับ”เดือนฉายรีบพูดแก้แทน
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกจ้ะ ยัยเพ็ญก็เป็นอย่างนี้ ปรู๊ดปร๊าดคาดเดาไม่ถูก วันนี้อยากจะลุกขึ้นไปเรียนทำกับข้าวก็ไปเรียน พรุ่งนี้นึกอยากเลิกก็เลิก ว่าแต่พ่อวัสเหอะ ชอบลูกสาวป้าแบบไหนล่ะ แบบตอนนี้หรือแบบเมื่อก่อน?”
วิทวัสทำหน้าไม่ถูกได้แต่ยิ้มแหยๆ เดือนฉายมองหน้าอีกฝ่ายแล้วอมยิ้ม พรเพ็ญแอบฟังอยู่อีกมุมอย่างหวั่นใจ กลัวแผนแตก
เพ็ญพรในชุดที่ปราดเปรียวตามสไตล์ ยืนบิดซ้ายบิดขวาอยู่ที่หน้ากระจก ก่อนจะเดินตรงมานั่งลงที่เตียงเอกสิทธิ์
“พ่อคะ วันนี้หนูขออนุญาตไปดูงานที่บริษัทพ่อนะคะ มีอีกหลายอย่างเลยที่หนูจะ ต้องรู้ หนูไม่อยู่ คุณพ่ออย่าดื้อป้าแจ่มนะคะ ทานข้าว ทานยา ทำกายภาพด้วยนะคะ หนูไปก่อนนะคะพ่อ เดี๋ยวเย็นๆ เจอกันค่ะ”
พูดพลางก้มลงไปกอดพ่อ พลางลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป ขณะเดียวกันนิ้วของเอกสิทธิ์ก็กระดิก พยายามรั้งมืออีกฝ่ายไว้
เพ็ญพรชะงักก้มลงมองดูมือของพ่อที่จับมือตัวเองอยู่
“คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะคุณพ่อ เพ็ญพรซะอย่าง ไปแล้วค่ะ”
เธอยิ้มให้พ่ออีกครั้ง ก่อนหยิบกระเป๋าจะเดินออกไป พร้อมกับที่ป้าแจ่มเดินถือถาดอาหารเข้ามาในห้อง
“ป้าช่วยดูแลคุณพ่อแทนเพ็ญซักวันนะจ๊ะ เดี๋ยวเย็นๆ เพ็ญจะรีบกลับ”
พูดพลางนึกเอะใจ เหลียวมามองถาดอาหารในมืออีกฝ่าย
“ป้า วันนี้อาหารของคุณพ่อมีอะไรน่ะ”
“อ๋อ เป็นซุปน่ะค่ะ คุณสโรชาเธอจัดไว้ให้เหมือนเดิม คุณหนูจะแบ่งไปทานไหมคะ?”เพ็ญพรส่ายหน้า แต่สายตายังคงจ้องที่อาหาร พลางทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะรีบเดินออกไป
เพ็ญพรเดินอย่างอารมณ์ดีมาที่รถ ก่อนจะเอ่ยปากกับลุงเติมที่ยืนรออยู่
“ลุงเติม ขอกุญแจหน่อยจ้ะ เดี๋ยววันนี้หนูจะขับไปเอง”
ลุงเติมทำหน้าอึดอัด “เอ่อ คุณหนูครับ คือ คือรถ...”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”
“มี”
ขาดคำสโรชาก็เปิดกระจกลง เผยให้เห็นว่าเธอนั่งอยู่ด้านใน พร้อมกับกับอาภาพร
“ปัญหาก็คือว่าฉันจะใช้รถคันนี้”
“วันนี้ภาจะไปกับคุณแม่ด้วย เธอโบกแท็กซี่หรือไม่ก็รถเมล์ไปก็แล้วกันนะ”
สโรชามองเยาะ
“อย่าไปสายล่ะ ฉันจะพาไปเปิดตัวทั้งที คงไม่ทำขายขี้หน้านะ”
ลุงเติมยืนลังเลหันมามองเพ็ญพรอย่างลำบากใจ
“ลุงไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวหนูไปเองได้”
ลุงเติมพยักหน้ารับตัดสินใจขึ้นรถ แล้วขับออกไป เพ็ญพรมองตาม
“คิดว่าแซบแล้วเหรอ นังแม่ลูกตัวอิจฉา?”
อ่านต่อหน้า 2
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 5 (ต่อ)
เพ็ญพรโบกแท็กซี่ให้ไปส่งที่บริษัท แต่โชเฟอร์ก็อ้างนั่นนี่ จะไม่ยอมไปส่งท่าเดียว ก่อนที่ฝ่ายแรกจะลงทุนทำหน้าที่เป็นโชเฟอร์ซะเอง พร้อมๆ กับที่เสียงมือถือดังขึ้นมา
ตรัยเดินโทรศัพท์หน้ามุ่ย ก่อนจะกดวางสาย แล้วลงนั่งอย่างหงุดหงิด พลางหยิบปืนที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสำรวจความเรียบร้อย
สุดาเดินลงมาเห็นพี่ชายกำลังตรวจเช็คปืนอยู่ก็ตกใจ
“วันนี้ต้องออกปฏิบัติเหรอพี่ตรัย?”
“พวกค้ายาน่ะ ยังสาวไม่ถึงตัวใหญ่ซักที”
“ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะพี่ตรัย บอกตามตรงเวลาพี่ออกไปลุยอะไรพวกนี้ทีไร ดาอดห่วงไม่ได้ทุกที”
ตรัยได้ยินก็ยิ้ม พลางขยี้หัวน้องสาวอย่างเอ็นดู
“พี่เป็นตำรวจนะ ยังไงมันก็ต้องเป็นหน้าที่พี่ที่ต้องกำจัดพวกชั่วๆ นี้ออกไปให้หมด”
พลางหยิบโทรศัพท์มาโทร. อีก แต่อีกฝ่ายไม่รับเหมือนเดิม
“ใครคะ? แฟนพี่เหรอ?”
“อือ..วันนี้เค้าจะไปดูงานที่บริษัทคุณลุงวันแรก ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง?”
สุดายิ้ม ท่าทางไม่ห่วงเท่าไหร่
“ดาว่าที่ต้องห่วงน่ะ ไม่ใช่แฟนพี่หรอก?”
เคนเดินอยู่ในสวน กำลังสำรวจตรวจตราผลไม้ โดยมีมีพรเพ็ญ ที่ใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ สวมรองเท้าบู้ทแบบชาวสวน ใส่หมวกสานแบบเท่ๆ แต่แอบหวานนิดๆ เกาะประคองแขนอยู่
“ปีนี้ท่าทางจะออกดอกออกผลเยอะทีเดียว พวกเสาวรสบ้านเรานี่เวลาเอาไปขายที่เมืองนอกเมืองนามันได้ราคาดีมากเลยรู้ไหม”
“ที่สวนของเรานี่ส่งออกหมดเลยเหรอคะคุณตา?”
“ก็มีทั้งในทั้งนอกล่ะลูก แม่เราเค้าเก่ง ขยายจนกิจการโตขึ้นเรื่อยๆ”
พรเพ็ญยิ้มกว้าง “คุณแม่เป็นคนดูแลทั้งหมดเลยเหรอคะ?”
“แม่เราน่ะเค้าดูแลมาตลอด ก็ตั้งแต่เลิกกับพ่อเรา”
เคนเงียบไปเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ตาว่าเราไปดูตรงโน้นซักหน่อยดีกว่า กิ่งมันชักจะเบียดกันหนาเกินไปแล้ว”
พูดพลางรีบเดินเลี่ยงไป พรเพ็ญมองตาม อย่างอยากจะรู้เรื่องราวต่อ แต่ก็ไม่กล้าถาม
สโรชาเดินเชิดหน้าเข้ามาที่บริษัทพร้อมกับอาภาพร
“ป่านนี้นังพรมันคงยืนแกร่วรอแท็กซี่อยู่มั้งคะคุณแม่ ภาล่ะหมั่นไส้มันจริงๆ นึกยังไงจะทำมาเป็นอยากรู้เรื่องในบริษัท”
ยังไม่ทันขาดคำดี เสียงรถแท็กซี่ก็เลี้ยวปร๊าดเข้ามาในลานจอด ข้างๆ 2 แม่ ลูก พร้อมกับที่เพ็ญพรเปิดประตูรถออกมา
อาภาพรกับสโรชาหันไปตามเสียงแล้วก็ต้องตกใจ
สโรชาที่นั่งเป็นประธานอยู่ที่หัวโต๊ะในห้องประชุม จิกยิ้ม ก่อนจะปรายตามองทุกคน
“ค่ะ วันนี้นอกจากเราจะมาประชุมกันตามปกติแล้ว ดิฉันก็มีคนคนหนึ่งจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักนะคะ คุณ..”
เพ็ญพรรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ดิฉันพรเพ็ญ ศิลาแดงค่ะ ลูกสาวที่ถูกต้องตามกฎหมายและสายเลือดแท้ๆ สายตรงของท่านประธานเอกสิทธิ์ ศิลาแดง”
สโรชากับอาภาพรหันมาจ้องหน้าเพ็ญพรอย่างหมั่นไส้ ก่อนที่ฝ่ายแรกจะพูดต่อ
“ค่ะ วันนี้หนูพรเค้าอยากจะเข้ามาดูงานของคุณเอกสิทธิ์ ก็เลยพามาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก ซะเลย”
“เอ๊ะ แล้วอย่างนี้คุณพรจะมาเข้ารับตำแหน่งไหนหรือเปล่าครับ?”
หนึ่งในผู้ร่วมประชุมถามขึ้นมา อาภาพรปรายตาไปมองเพ็ญพรแบบเย้ยๆ ก่อนจะหันมาตอบ
“ภาว่าให้รับตำแหน่งอะไรไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเค้าเรียนยังไม่จบ ม.6 เลย”
ทุกคนในห้องประชุมต่างหันไปซุบซิบนินทา
“น้องภา ไม่เอาอย่าพูดแบบนั้นสิลูก”
“ก็มันจริงนี่คะคุณแม่”
เพ็ญพรพยายามเก็บอารมณ์ หันไปยิ้มให้กับคนอื่นๆ
“ค่ะ หนูยังเรียนไม่จบเลย เพราะต้องออกมาดูแลคุณพ่อน่ะค่ะ คิดว่าถ้าคุณพ่อหายแล้วก็คงจะกลับไปเรียนต่อ”
“โถ ยังคิดว่าคุณลุงจะหายอีกเหรอนั่น นอนเป็นซากซะขนาดนั้น โอ๊ย เจ็บนะคะคุณแม่”
เพ็ญพรกำหมัดแน่น พยายามสูดหายใจ พร้อมกับสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิม
“สำหรับเรื่องรับตำแหน่งอะไร หนูคงยังไม่คิดหรอกค่ะ แค่อยากเข้ามาเรียนรู้งาน ในฐานะลูกสาวคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ลูกติด ลูกต่างสายเลือด แต่ถ้าทุกคนมีอะไรจะแนะนำก็ยินดีนะคะ”
สโรชารีบตัดบท
“น้าว่าตอนนี้หนูพรออกไปรอข้างนอกได้แล้วล่ะจ้ะ เดี๋ยวเราจะประชุมกันต่อ”
เพ็ญพรสวนขึ้นมาทันที
“ทำไมคะ หนูก็มีสิทธิ์จะรู้เรื่องบริษัทของคุณพ่อไม่ใช่เหรอคะ?”
“แต่ในนี้มีแต่หุ้นส่วนกับกรรมการนะจ๊ะ”
“หนูมั่นใจว่าหนูก็มีหุ้นอยู่ด้วยแน่นอนค่ะ หรือจะให้ตรวจสอบกันคะ?”
สโรชาโกรธจนหน้าแดง
“ก็ได้ หนูจะอยู่ก็ได้ งั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ช่วยสรุปรายงานการประชุมให้ด้วยนะจ๊ะ”
“ไม่มีปัญหา”
ทั้งคู่ต่างจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่สโรชาจะยอมหันกลับไปประชุมกันต่อ
“อ้อ หนูก็เห็นแล้วว่าเรามีกรรมการหลายคนที่เป็นชาวต่างชาติ ฉะนั้นเราจะประชุมกันเป็นภาษาอังกฤษนะจ๊ะ”
อาภาพรแอบยิ้มเยาะใส่ สโรชาหันกลับแล้วเริ่มประชุมทันที เพ็ญพรยักไหล่ พลางหันไปนั่งฟังการประชุม
เดือนฉายกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่กับกอล์ฟ จังหวะที่เคนกับพรเพ็ญเดินกลับเข้ามาพอดี
“ไงคะ ตาหลาน ไปเดินลุยสวนเป็นยังไงกันบ้าง”
เคนหันมายิ้มให้ลูกสาว
“เดี๋ยวพ่อไปล้างไม้ล้างมือก่อนจะได้มากินข้าวกัน”
เดือนฉายเดินมาโอบพรเพ็ญ พลางลูบหัวลูบเนื้อลูบตัว
“แดดร้อนไหมลูก ไปล้างมือไป แม่ทำกับข้าวไว้หลายอย่างเลย ไม่รู้ลูกจะชอบอย่างไหน”
พรเพ็ญมองหน้าเดือนฉายอย่างรู้สึกอบอุ่นใจ
“คุณแม่คะ คือ... ไม่มีอะไรค่ะ พรไปล้างมือก่อนนะคะ”
พรเพ็ญยิ้มให้แล้วเดินเข้าบ้านไป กอล์ฟเดินมามองเดือนฉายอย่างสงสัย
“คุณเดือน คุณเดือนไม่รู้เหรอครับว่าคุณเพ็ญเธอชอบกินอะไร?”
“ใช่ ฉันไม่รู้อะไรเลย”
เดือนฉายพูดพลางมองเหม่อออกไปไกลๆ
“เอาล่ะ คงต้องรบกวนให้หนูพรช่วยสรุปการประชุมให้เราฟังอีกทีล่ะ”
สโรชาพูดพลางหันมามองเย้ย
“ว่าไง คงไม่ได้สินะ ไม่เป็นไร ยังดีนะที่ยัยภาอยู่ด้วย น้องภา..”
แต่พอหันมาเห็นอาภาพรนั่งหลับสัปหงกอยู่ ก็ถึงกับหน้าเจื่อน รีบหยิกให้ตื่น
เพ็ญพรหันมายิ้มให้ทุกคน ก่อนจะเริ่มสรุปรายงานการประชุมเป็นภาษาอังกฤษแบบคล่องแคล่วและถูกต้อง กรรมการคนอื่นต่างพยักหน้าอย่างพอใจ
สโรชากับอาภาพร ตาโตอ้าปากค้าง หันมามองหน้ากันเองอย่างไม่เชื่อสายตา
สโรชากับอาภาพรเดินดมยาดมกันออกมาจากห้องประชุม ก่อนจะหันมาจ้องหน้าเพ็ญพร ทั้งโกรธทั้งเสียหน้า
“ฝีมือเพ็ญ พอใช้ได้ไหมคะคุณน้า?”
สโรชาโกรธจัดไม่ตอบอะไรได้แต่เชิดหน้าแล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป เพ็ญพรมองตามแล้วเบะปากใส่ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาหยิบโทรศัพท์ออกมาดู
“ตรัยๆๆๆ โทร. ระรัว ยังกะจะมีใครตาย”
บ่นพลางรีบกดโทร.ออก
ผู้ร้ายเดินพยักหน้าส่งสัญญาณ บอกที่หมายกัน พลางมองซ้ายมองขวา ก่อนจะพากันเดินหายเข้าไปในซอยเปลี่ยว
เชาว์ยืนอยู่กับหัวหน้าผู้ร้าย ที่ท่าทางลุกลี้ลุกลน ชะเง้อชะแง้เหมือนรอใคร
“จะให้รออีกนานไหม?”
“ใจเย็นครับนาย เดี๋ยวพวกมันก็มากันแล้ว”
“ไม่มีอะไรพลาดแน่นะ”
“รับรองเลยครับนาย ตำรวจมันคาดไม่ถึงอยู่แล้ว” เชาว์พูดอย่างมั่นใจ “นั่นไงครับนาย มากันแล้ว”
“อย่าให้ใครเห็นหน้า”
เชาว์พยักหน้ารับ ก่อนจะส่งสัญญาณกับคนอื่นๆ แล้วต่างก็พากันหยิบหมวกคลุมหน้าขึ้นมาใส่
อีกด้านหนึ่งตรัยกับพวกยืนซุ่มกันอยู่ ก่อนที่สายคนหนึ่งจะส่งสัญญาณให้ เขาพยักหน้ารับแล้วพากันเข้าประจำที่
กลุ่มคนร้ายอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา มองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
ตรัยส่งสัญญาณพร้อมจู่โจมทันที
ทันทีที่เพ็ญพรโผล่เข้ามาในบ้านของสุดา ฝ่ายหลังก็โผเข้ากอดทันที
“ใจเย็นๆ ก่อนแก”
สุดาหน้าเครียด “ฉันลองโทร. ไปหลายรอบแล้ว พี่ตรัยไม่ยอมรับเลย”
“ใจเย็นก่อนแก พี่แกเค้าอาจะประชุมหรืออะไรอยู่ก็ได้”
“แต่นี่มันก็นานแล้วนะ น่าจะโทร. กลับมาหากันบ้าง ฉันใจไม่ดีเลยแก ทุกครั้งที่รู้ว่าพี่ตรัยจะต้องออกไปทำอะไรแบบเนี้ย”
เพ็ญพรพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบมือสุดาไว้ พร้อมกับพูดปลอบ
“เอาน่า พี่ชายแกจะต้องไม่เป็นอะไร”
ขณะที่คนร้ายกำลังโยนแลกของกัน ตรัยกับพวกตำรวจบุกเข้าจู่โจมทันที ก่อนจะเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น บางส่วนก็วิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง
เชาว์ที่สวมหมวกคลุมหัวอยู่ ยืนเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะไปทางไหนดี ก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามคนอื่นไป ตรัยที่ซุ่มอยู่ตัดสินใจพุ่งเข้าชาร์จทันที ฝ่ายแรกพยายามขัดขัน แต่ด้วยวัยและสังขารทำให้พลาดท่าล้มลง ก่อนจะถูกเขาเข้าล็อกทันที
“อย่าคิดจะหนีอีก ไอ้เลว”
พูดพลางกระชากหมวกคลุมหน้าออกทันที เชาว์รีบก้มหน้ามุดหนียังไม่ยอมให้เห็นหน้า
“เงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
เขาตัดสินใจกระชากให้เชาว์เงยหน้าขึ้น จังหวะที่กำลังจะได้เห็นหน้า คนที่ถือปืนเล็งมาที่เขา ก็ลั่นกระสุนออกมาทันที
“ว้าย”
เพ็ญพรกับสุดาสะดุ้งหวีดร้องขึ้นพร้อมกัน
“หนังบ้าอะไรเนี่ย?”
เพ็ญพรรีบคว้ารีโมทมาจัดแจงมากดปิด ขณะที่สุดายังเป็นกังวล
“ฉันอยู่เฉยๆ ไม่ไหวแล้วแก ฉันจะไปหาพี่ตรัย”
ขาดคำก็ลุกพรวดขึ้นจะเดินออกไป เพ็ญพรรีบวิ่งไปดึงไว้
“แกจะบ้าเหรอ แกรู้เหรอว่าพี่แกเค้าออกไปจับไอ้พวกแก๊งนรกนั่นที่ไหน?”
สุดาส่ายหน้า น้ำตาคลอ
“แล้วแกจะไปตามเค้าได้ยังไง ใจเย็นก่อนสิแก”
“แกก็พูดได้นี่ ไม่ใช่พี่ชายแก แกก็ไม่ต้องห่วงนี่”
เพ็ญพรสวนกลับ “แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ห่วงเค้า”
สุดาตกใจหันมาจ้องหน้า เพ็ญพรก็ตกใจกับตัวเองเหมือนกัน
“ฉัน ฉันก็ห่วงเค้าในฐานะเพื่อนคนหนึ่งน่ะ ใจเย็นก่อนนะแก เชื่อฉัน เดี๋ยวถ้าคืนนี้ไม่ได้เรื่องยังไงเราไปที่สน.ที่พี่แกอยู่กัน”
สุดาพยักหน้าเข้าใจ แต่น้ำตายังคลออยู่ เพ็ญพรโล่งอก รีบพาอีกฝ่ายกลับมานั่งที่เดิม ก่อนจะกอดปลอบใจ พร้อมกับทำตาเหม่อลอย เพราะยังรู้สึกตกใจกับคำพูดตัวเองอยู่
ตรัยกลิ้งตัวหลบ โดยมีตำรวจคนอื่นๆ ช่วยยิงคุ้มกันให้ พลางเหลือบมองดูไหล่ของตัวเองที่มีเลือดไหลอาบอยู่
“เป็นไงบ้างครับหมวด”
“ตามต่อ ต้องจับพวกมันมาให้ได้”
“แต่หมวดโดนยิงนะครับ”
“แค่เฉียดน่ะ ไม่เป็นไรหรอก รีบไปดีกว่า ก่อนที่มันจะหนีไป”
ตรัยเอามือกดแผล ก่อนจะวิ่งนำตำรวจคนอื่นๆไป ฟากเชาว์ก็วิ่งหนีตาลีตาเหลือก พลางเหลียวซ้ายแลขวาหาทางเอาตัวรอด
ตรัยวิ่งกุมไหล่ตัวเองที่เลือดอาบมา พร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะตัดสินใจวิ่งนำคนอื่นๆ เข้ามาในโต๊ะสนุ้ก ทำเอาคนที่เล่นอยู่พากันแตกฮือ
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ความร่วมมือด้วย”
นักเลงคุมร้านรีบเดินปรี่เข้ามาหา
“อะไรกันครับคุณตำรวจ จะมาจับพวกผมข้อหาอะไรครับ”
ตรัยรีบบอก
“ฉันไม่ได้จะมาจับพวกนาย แต่คนร้ายมันหนีเข้ามาแถวนี้ เราจำเป็นต้องตรวจค้น นี่ห้องอะไร?”
“ก็ห้องเก็บของธรรมดา ไม่มีอะไร”
ตรัยมองอย่างไม่เชื่อ พลางเดินตรงไปที่หน้าประตู ก่อนจะเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู
ขณะที่เชาว์ที่แอบอยู่ในห้อง ยืนตัวสั่น
“ล็อกนี่ มีกุญแจไหม? เปิดหน่อยซิ”
นักเลงคุมร้านส่ายหน้าดิก “ไม่มี กุญแจหาย”
ตรัยหันมาจ้องหน้าเขม็ง แล้วตัดสินใจทุบประตูดังสนั่น
“ออกมานะไอ้เลว แกหนีไม่พ้นหรอก ออกมา”
อ่านต่อหน้า 3
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 5 (ต่อ)
เชาว์หน้าซีดมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเหลือบเห็นไม้ท่อนหนึ่งอยู่ที่พื้น พลางรีบก้มลงเก็บขึ้นมา แล้วถือกำไว้แน่นอยู่ในท่าเตรียมจะฟาด
“ออกมาให้จับซะดีๆ ยังไงแกหนีไม่พ้นอยู่แล้ว”
ตรัยทุบประตูรัวหนักกว่าเดิม จนนักเลงคุมร้านต้องมาห้าม
“โห คุณตำรวจ ทำแบบนี้ลูกค้าผมหายหมดแล้วนะเนี่ย”
“งั้นแกก็เอากุญแจมาสิ”
“ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่มี กุญแจมันหาย”
ตรัยยืนเท้าเอว ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กุญแจหายนะ อืม ไม่เป็นไร งั้นใช้กุญแจฉันล่ะกัน”
ขาดคำก็เอี้ยวตัวหันหลัง ก่อนจะหมุนตัวกลับมาถีบประตูอย่างแรง จนประตูพังเข้าไป
ประตูถูกถีบเข้ามาอย่างแรง เชาว์เงื้อมือที่ถือไม้ขึ้นสุดเตรียมฟาดเต็มที่ แต่แล้วอยู่ๆ ก็ต้องชะงักไป
“นาย”
พวกแก๊งค้ายากับหัวหน้ายืนจังก้ากันอยู่หน้าประตู ที่เพิ่งถูกถีบพัง
“ถ้าฉันไม่กลัวว่าเรื่องมันจะสาวมาถึงฉัน ฉันปล่อยให้แกตายไปแล้ว”
เชาว์กลืนน้ำลายดังเอื๊อก ยกมือไหว้หัวหน้าก่อนจะรีบเดินตามออกไป
ตำรวจพากันถือปืนกรูกันเข้าไปในห้อง ตรัยถือปืนเดินตามเข้าไป ก่อนจะพบว่าภายในห้องไม่มีร่องรอยของคนอยู่เลย
ตรัยเหลือบมองดูไหล่ตัวเองที่เลือดไหลมากกว่าเดิม ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเจ็บใจ
“หนีไปจนได้”
พรเพ็ญกำลังนั่งเหม่อจับปากตัวเองอยู่ ก่อนจะแอบอมยิ้มกับตัวเอง จู่ๆ วิทวัสก็เดินโผล่เข้ามาหาพลางเอ่ยปากชวน
“เออ..นี่ แถวนี้เค้ามีงาน ไปเที่ยวกันนะ ไม่ต้องห่วง ผมขออนุญาตแม่คุณแล้ว”
ที่ผับเล็กๆ ริมทาง เสียงดนตรีบรรเลงเพลงจังหวะสนุกสนาน ผู้คนเริงร่าเต้นรำอยู่บนฟลอร์
พรเพ็ญเอามืออุดหู ก่อนจะหันมาบอก “เสียงดังจังนะคะ”
“เอาเลยครับ สู้เค้าหน่อย”
“อะไรนะ? ฉันเต้นไม่เป็น”
วิทวัสหัวเราะขำ “อย่าแอ๊บ ผมเคยเห็นสเต๊ปคุณมาเเล้ว ไม่ธรรมดา เอาเลย”
พรเพ็ญชะงัก วิทวัสจ้องมองแบบจับสังเกต
ทันทีที่ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาในบ้าน เพ็ญพรกับสุดาที่นั่งอยู่ ก็ลุกพรวดขึ้น พร้อมกับชะเง้อมองออกไปนอกบ้านทันที
“รถพี่ตรัย” สุดายิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ
“ฉันบอกแกแล้วว่าพี่แกไม่เป็นอะไร”
ทั้งคู่หันมายิ้มพลางจับมือกัน ก่อนที่เพ็ญพรจะพูดขึ้นมา
“ฉันยังไม่อยากเจอพี่แกที่นี่อ่ะ ฉันแอบออกหลังบ้านนะ นะ”
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ”
เพ็ญพรไม่รอช้า รีบย่องออกไปอีกทางทันที เพื่อแอบไม่ให้ตรัยเห็น
ตรัยเปิดประตูลงมาจากรถ ที่ไหล่มีผ้าพันแผลอยู่ สุดารีบเดินเข้ามาหาด้วยอารามดีใจ
“พี่ตรัย เป็นห่วงแทบตาย โทรศัพท์ก็ไม่รับ”
“เห็นล่ะ โทรศัพท์แทบพัง โทร.มาเป็นร้อยสายเนี่ย”
“เอ๊ะ แล้วแขนพี่ไปโดนอะไรมาเนี่ย?”
ตรัยจับแขนตัวเอง ทำหน้าเหมือนไม่มีอะไร
“นิดหน่อยน่า กระสุนมันแค่ถากๆ ไป เข้าบ้านเถอะ เหนื่อย”
ทั้งคู่พากันเดินเข้าไปในบ้าน เพ็ญพรแอบอยู่ รู้สึกแปลกๆ กับตัวเองที่เป็นห่วงตรัยเหลือเกิน
พรเพ็ญนั่งหน้าหงิมๆ อยู่กับวิทวัส ที่ทำหน้าหมดอารมณ์สนุก
“ไป ไม่เต้นก็กลับ”
เธอยิ้มแฉ่ง รีบลุกทันที ทันใดนั้น ดีเจ. ก็ประกาศผ่านไมค์ออกมา
“และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะได้สนุกกันแล้วนะจ๊ะ มิตรรักนักเต้นทั้งหลาย จากนี้เรามา “แด๊นซิ่ง
ชิงรางวัล” กันนะจ๊ะ คู่รักนักเต้นคู่ไหนเต้นได้โดนใจดีเจ.รับไปเลย ตุ๊กตาน้องหมีที่รัก”
วิทวัสส่ายหน้า “ไป กลับเหอะ”
พรเพ็ญรีบกระชากมือไว้ ก่อนจะพูดหน้าตาย “ไม่กลับ กลับได้ไง? จะบ้าเหรอ? ตุ๊กตาหมี”
พลางกระชากมือวิทวัส ที่ทำหน้างงเดินตัวปลิวออกไปเต้นกลางฟลอร์หน้าตาเฉย จนที่สุดก็คว้าตุ๊กตาหมีเป็นรางวัล
พรเพ็ญดีใจลืมตัว กระโดดกอดวิทวัสแน่น 2 คนมองหน้ากัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะกระเด้งตัวออกมา หน้าแดงด้วยความเขิน ทำเป็นกอดตุ๊กตาหมีแทน
สโรชาอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะเรื่องที่พรเพ็ญยังไม่กลับบ้าน ป้าแจ่มที่กำลังตักข้าวให้ รีบอธิบายว่าเธอโทร. มาบอกแล้วว่าจะกลับค่ำ
ขณะเดียวกันณัฐพงษ์ก็เดินเข้ามาสมทบ ก่อนจะออกปากบอกขอให้เปิดบัตรเครดิตเพิ่มให้อีกใบสโรชาละสายตาจากจานข้าวขึ้นมามองหน้า
“พับเก็บไปได้เลย”
“ทำไมล่ะครับ?”
สโรชาปรายตาไปมองป้าแจ่มที่ยังยืนอยู่แถวนั้น แล้วหันไปสั่ง
“ป้าแจ่ม ไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเอาอะไรฉันเรียกเอง”
พอป้าแจ่มเดินลับไป ณัฐพงษ์ก็อ้อนต่อ
“คุณแม่แค่เซ็นกิ๊กเดียวก็ได้แล้ว”
“ฉันรู้สึกว่าหมู่นี้พวกแกจะได้อะไรกันง่ายเกินไปแล้ว งานการพวกแกก็ไม่เคยช่วย ดีแต่จะเอา”
อาภาพรยิ้มเยาะ
“พี่ณัฐน่ะน่าจะหัดทำตัวให้เป็นประโยชน์ซะบ้างนะคะ”
“แกก็เหมือนกัน วันนี้ก็ทำฉันขายหน้าไปทีล่ะ”
อาภาพรหุบยิ้มทำหน้างอทันที
“แกรู้ไหมว่าวันนี้มีแต่คนเค้าชมนังพร ทั้งหุ้นส่วนทั้งกรรมการ มีแต่คนบอกว่านังพรมันเก่งสมกับเป็นลูกไอ้แก่นั่น”
“เค้าก็ชมกันไปอย่างนั้นล่ะค่ะคุณแม่ เค้าคงไม่คิดจะเอาคนไม่จบ ม.6 มาร่วมงานหรอกค่ะ คุณแม่คิดมากไปแล้ว”
สโรชาหันมาตวาดเสียงดัง
“โง่ ตื้น แกคิดว่าใครมันน่าสนใจกว่าล่ะ ระหว่างเด็กยังไม่จบม.6 แต่พูดภาษาอังกฤษน้ำไหลไฟดับ สรุปงานได้เป็นขั้นๆ กับเด็กจบนอกแต่นั่งหลับอย่างแก แกสองคนฟังไว้เลยนะ ต่อไปนี้แกต้องมาช่วยงานฉัน ถ้าไม่ ก็อย่าหวังว่าจะได้อะไรจากฉันเลย”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินสะบัดหนีไป อาภาพรกับณัฐพงษ์หันมาทำหน้าเครียดใส่กัน พลางพูดโทษกันไปโทษกันมา
พรเพ็ญนั่งกอดตุ๊กตาหมีพลางอมยิ้มอยู่คนเดียว เมื่อนึกถึงวิทวัส พอหันมาเจอเดือนฉายก็ถึงกับสะดุ้ง
“ยังไม่ง่วงใช่ไหมลูก?”
“ยังค่ะ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เดือนฉายยิ้ม พลางก้มลงมองดูอัลบั้มรูปในมือ ก่อนจะค่อยๆ เปิดออก
“แม่จัดของนิดหน่อย เจอเล่มนี้เข้าเลยเอามาเปิดดูซักหน่อย นี่รูปลูกตอนเด็กๆ ไง ที่คุณตาอุ้มหนู จำได้ไหมจ๊ะ?”
พรเพ็ญก้มลงมองดูรูปอย่างสนใจ
“แล้วนี่ตอนที่ลูกแอบไปเล่นที่สวนจนตกท้องร่องได้แผลมาเต็มตัว จำได้ไหมจ๊ะ?”
พูดพลางส่งอัลบั้มให้ พร้อมกับคอยสังเกตท่าที พรเพ็ญรับมาดูอย่างสนใจ แต่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ“หนูจำไม่ได้หรอกค่ะ”
“นั่นสินะ ลูกยังเล็กอาจจะจำไม่ได้ เอ งั้นรูปนี้ล่ะ ลูกต้องจำได้แน่ ถ่ายก่อนลูกจะไปเรียนที่โน่น
ไม่กี่วัน”
พรเพ็ญดูรูปแล้วก็หันมามองเดือนฉายหน้าเจื่อนๆ
“ตอนเด็กๆ เพ็ญน่ะทั้งแสบทั้งซนเลย ใครไปใครมาเค้าก็ชมว่าแม่น่ะใจดี เอาลูกลิงมาเลี้ยงในบ้าน”
พรเพ็ญอมยิ้ม เปิดมองดูรูปไปเรื่อยฟังเดือนฉายเล่าไปเรื่อยจนเพลิน
“น้องซนขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
เดือนฉายชะงัก พรเพ็ญรู้ว่าเผลอตัว รีบพูดใหม่
“เอ่อ คือหนูซนขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“จ้ะ เพ็ญซนมาก”
“แหม พรอยากเห็นจัง อยากได้เล่นกับน้องตั้งแต่เด็...”.
พรเพ็ญรู้ตัว ค่อยๆ เงยหน้ามามองเดือนฉายที่ไม่พูดอะไร พลางเอามือลูบหัวลูกสาวแล้วลุกขึ้น
“แม่ว่าลูกเข้าตัวนอนดีกว่า เดี๋ยวแม่ก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน พรุ่งนี้จะได้เตรียมของใส่บาตรให้คุณตา”
พรเพ็ญมองตามเดือนฉาย ที่เดินออกไป ก่อนจะหันกลับมาก้มลงมองดูรูปในอัลบั้ม
เดือนฉายที่เดินออกมานอกห้อง แอบยิ้มทั้งน้ำตาอยู่คนเดียว
ฟากเพ็ญพรก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง พลางเดินตรงมาดูเอกสิทธิ์ด้วยความเป็นห่วง
“ขอโทษนะคะคุณพ่อ วันนี้มีเรื่องนิดหน่อย เพ็ญเลยไม่ได้ดูแลคุณพ่อเลย แต่วันนี้ที่บริษัทโอเค. นะคะ เพ็ญไม่ได้ทำอะไรให้พี่พรกับคุณพ่อต้องขายหน้าเลย คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ “ศิลาแดง” ของเราจะต้องเป็นของเรา เพ็ญไม่มีวันจะปล่อยให้ใครหน้าไหนมาฮุบไปได้ทั้งนั้น”
เธอยิ้มออกมา ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เอกสิทธิ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองลูกสาว
ขณะที่เพ็ญพรออกมาวิ่งออกกำลังกายยามเช้า พลันก็ได้ยินเสียงสุนัขร้องครางหงิงๆ อยู่ใกล้ๆ
เธอกวาดสายตาไปทั่วจนมาเจอกล่องใบหนึ่งวางอยู่ข้างต้นไม้ ในกล่องมีลูกสุนัขตัวหนึ่งกำลังเกาะขอบกล่องอยู่ เธอรีบเดินตรงไปทันที
“มาได้ไงเนี่ย ใครเอามาทิ้งเนี่ย?”
จังหวะกำลังจะอุ้มขึ้นมา ก็เห็นรถตู้คันหนึ่งขับมาจอดใกล้ๆ เธอเลยตัดสินใจนั่งแอบดูอยู่
พอประตูรถตู้เปิดออก ก็เห็นเชาว์เดินลงมาจากรถ ท่าทางสะบักสะบอม ก่อนที่เสียงคนด้านในรถจะดังตามมา
“คราวหน้าถ้าพลาดพาฉันไปซวยอีก แกตาย”
เชาว์ลนลานยกมือไหว้คนในรถตู้
“ขอโทษจริงๆ ครับนาย ผมไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ผมสัญญาคราวหน้าจะไม่ให้พลาดอีกแน่นอน”
ประตูรถตู้ปิดกระแทกอยางแรง ก่อนที่รถจะกระชากออกไปอย่างรวดเร็ว เชาว์ยืนถอนหายใจ โล่งอก ก่อนจะมองซ้ายมองขวา แล้วเดินโซเซกลับไปทางบ้าน
เพ็ญพรที่อุ้มลูกหมาแอบมองอยู่ มองตามอย่างสงสัย ก่อนจะรีบวิ่งเหยาะไปใกล้ๆ พลางพยายามจะดูหน้าอีกฝ่าย
“คุณลุงไปวิ่งจ๊อกกิ้งมาเหมือนกันเหรอคะ?”
“เอ่อ..ลุง..ลุงเพิ่งกลับน่ะจ้ะ”
เพ็ญพรทำเป็นพยักหน้ารับ แต่ก็แกล้งถามต่อแบบยียวน
“ตายจริง แล้วนี่ทำไมสารรูปคุณลุงเป็นอย่างนี้ล่ะคะ ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาคะเนี่ย?”
เชาว์ชักเริ่มรำคาญ “ลุงหกล้มนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวลุงเข้าบ้านก่อนล่ะ”
พูดจบก็รีบเปิดประตูเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพ็ญพรมองตามอย่างสงสัย ก่อนจะหันไปเล่นกับ
ลูกหมา
“ท่าจะมีอะไรให้เล่นอีกแล้วสิ ใช่มั้ยไอ้ตัวเล็ก”
กอล์ฟนั่งดูมิวสิกวีดีโอเพลงเต้นอยู่ พรเพ็ญก็เดินเข้ามา ก่อนจะอ้อมแอ้มๆ พูดถึงเพลงในทีวี.
“เต้นเก่งเนอะ”
กอล์ฟแกล้งโชว์ภูมิ “สอนมากะมือ แกะตามอาจารย์มาเป๊ะๆ”
“สอนมั่งได้มั้ยอ่ะ”
กอล์ฟทำหน้างง “สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำเนี่ยนะ”
“จระเข้น้ำกร่อยอ่ะดิ สอนหน่อยนะ”
“เอาจริงดิ?”
พรเพ็ญพยักหน้า “จริง”
จากนั้นกอล์ฟก็เริ่มต้นสอนพรเพ็ญให้เต้นตามจังหวะท่าทางยักแย่ยักยัน วิทวัสเดินผ่านมามอง เห็นจากไกลๆ ก็แอบยิ้มอย่างเอ็นดู นึกว่าเธอแกล้งเต้นไม่เก่ง
สโรชาเดินเข้ามาในห้องอาภาพร ก่อนจะกระชากหมอนกับผ้าห่มออก
“ลุกเดี๋ยวนี้”
อาภาพรกระฟัดกระเฟียดลุกขึ้นมานั่ง
“อะไรของคุณแม่เนี่ย มาปลุกอะไรแต่เช้าล่ะคะ?”
“ก็มาปลุกแกให้ไปอาบน้ำอาบท่าทำสวย เดี๋ยวจะพาไปพบกับว่าที่หุ้นส่วนใหม่ของแม่”
“งั้นคุณแมก็ไปทำสวยเองเถอะค่ะ หนูจะนอนต่อแล้ว”
พูดพลางทิ้งตัวลงจะนอนต่อ แต่อีกฝ่ายรีบดึงไว้
“ไม่ต้องเลยนะยัยภา ยังไงวันนี้แกก็ต้องไปกับแม่ หัดไปช่วยงานช่วยการซะบ้างสิ”
“เอาไว้วันอื่นเถอะค่ะ วันนี้ภาไม่ไหวแล้ว”
ขาดคำก็ทิ้งตัวลงนอนต่อจนได้ สโรชายืนจ้อง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างมีโมโห
“ดี ไม่ไปก็ไม่ไป งั้นแม่จะยกเลิกบัตรเครดิตแกทุกใบ แล้วก็จะตัดค่าใช้จ่ายรายเดือนแกด้วย”
พูดจบสโรชาก็เดินสะบัดออกจากห้อง พร้อมกับปิดประตูกระแทกเสียงดัง
อาภาพรลืมตาขึ้น สีหน้าครุ่นคิดก่อนจะลุกพรวด แล้ววิ่งตามออกไปทันที
พรเพ็ญ เดือนฉาย เคน ช่วยกันเก็บของที่เพิ่งใส่บาตรเสร็จ กำลังจะเดินเข้ามาในบ้าน พร้อมๆ กับที่กอล์ฟขี่จักรยานมาปาดหน้า
“คุณเพ็ญๆ ไปตลาดกัน กอล์ฟอยากกินหมูปิ้ง”
เดือนฉายรีบบอก “เสียใจจ้ะนายกอล์ฟ วันนี้คุณเพ็ญเค้าต้องไปธุระกับฉัน”
พรเพ็ญหันขวับมามองเดือนฉายอย่างระแวง
“ธุระที่ไหนคะ?”
“วันนี้แม่จะเข้าไปที่ออฟฟิศตาวัสจ้ะ ลูกก็ต้องไปกับแม่ด้วยจะได้ช่วยดูงานกัน เห็นตาวัสบอกว่ามีคนสนใจจะมาร่วมธุรกิจกับเรา”
พรเพ็ญอิดออด “แต่ว่าพรไม่ค่อยจะรู้เรื่องงานนะคะ”
“แม่ถึงต้องให้หนูรู้ไง”
พรเพ็ญมองหน้าเดือนฉายอย่างไม่เข้าใจว่าแม่คิดอะไรอยู่กันแน่
สโรชาเดินออกมาที่หน้าบ้าน พร้อมกับอาภาพรที่ทำหน้ามุ่ยอยู่ ขณะเดียวกันลูกหมาของ
เพ็ญพรก็วิ่งมาเห่ารอบๆ ตัวทั้งคู่
“ว้าย หมาของใครเนี่ย? มาจากไหน ไปๆ ชิ่ว”
เพ็ญพรเดินยิ้มเข้ามาอย่างยียวน
“จะไล่มันทำไมล่ะคะคุณน้า มันออกจะน่ารัก”
“นี่ แกเอาหมาเข้ามาเหรอ? เอาออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
อาภาพรทำท่ารังเกียจ
“อี๋ ดูสิคะคุณแม่ หมาพันธ์อะไรก็ไม่รู้ หน้าตาปริมณฑลมากเลย อี๋ไปไกลๆ ฉันนะ ชิ่วๆ”
เพ็ญพรรีบอุ้มลูกหมาขึ้นมา แล้วแกล้งทำเป็นเดินเข้าไปใกล้ สโรชากับอาภาพรพากันถอยกรูด
“คุณภาก็ ตอนนี้มันอาจจะดูชานเมืองไปหน่อย แต่เดี๋ยวพออยู่ไปๆ มันก็ดูเป็นผู้ดีขึ้นมาบ้างแหล่ะ แบบน้องภานี่ไง แล้วนี่ จะไปไหนกันเหรอคะ?”
สโรชาทำหน้าไม่พอใจ “ฉันต้องรายงานแกว่างั้น”
“ค่ะ รอฟัง”
เพ็ญพรยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว สโรชาได้แต่จ้องมองอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะหันไปสั่งลุงเติมให้เตรียมรถให้พร้อม
“คุณน้าคะ หนูแค่จะถามว่าไม่แวะพาคุณลุงสามีเก่าไปหาหมอด้วยเหรอคะ? เมื่อเช้าเพ็ญเห็นสารรูปแล้ว เหมือนไปฟัดกับอะไรมา ไม่ไหวนะคะแบบเนี้ย ยังไงก็พาไปหาหมอเถอะนะคะคุณน้า เดี๋ยวจะมาตายที่บ้านซะเปล่าๆ”
พูดจบเพ็ญพรก็อุ้มลูกหมาเดินหายเข้าไป สโรชากับอาภาพรพากันทำหน้าสงสัย
“..นี่เป็นภาพ จากกล้องวงจรปิดที่ได้ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ...”
เสียงตำรวจบรรยายภาพบนจอ ก่อนที่จะเห็นรูปของคนร้ายที่ถอดหน้ากากออกแล้วกำลังยืน
ลนลานหาทางหนีทีไล่อยู่
ตรัยเพ่งมองไปที่ภาพนั้นอย่างจดจ่อ ตำรวจนายนั้นรีบรายงานต่อ
“คนร้ายคนนี้เป็นคนที่หนีรอดไปได้ รวมกับคนอื่นๆ อีกไม่กี่คน ตอนนี้เรากำลังสอบปากคำพวกที่เราจับได้อยู่ คิดว่าเดี๋ยวคงสาวต่อไปถึงตัวการและคนอื่นๆ ได้”
หลังจบการประชุม ตรัยก็รีบบอกกับนายตำรวจคนที่รายงานเมื่อครู่
“เดี๋ยวจ่าช่วยส่งคลิปนี้มาให้ผมทีนะ”
สโรชาเปิดประตูพรวดเข้ามาพร้อมกับอาภาพร ก่อนจะเดินอาดๆ มาจ้องเชาว์ที่นั่งอยู่บนเตียง วาทินีที่นั่งทำแผลให้อยู่มองค้อนอย่างไม่พอใจ
“มีอะไรคุณ?”
“ฉันตะหากที่ต้องถามคุณมากกว่า ฉันจะคุยกับเขา เธออกไปก่อน”
สโรชาหันไปสั่ง วาทินีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แล้วมันเรื่องอะไรที่ฉันต้องไป นี่ก็ผัวเราเหมือนกันนะ”
“ออกไปเดี๋ยวนี้”
สโรชาสั่งเสียงเฉียบขาด จนเชาว์ต้องรีบพยักเพยิดให้วาทินีออกไป
“แกด้วย ยัยภา ออกไปรอแม่ข้างนอกก่อน เดี๋ยวนี้”
อาภาพรมองค้อนขวับๆ ก่อนจะเดินสะบัดตามวาทินีออกไป
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เชาว์รีบหลบตา “ก็ไม่มีอะไร อุบัติเหตุนิดหน่อย”
สโรชาเดินมากระแทกตัวนั่งลงที่เตียง พูดเสียงเบาจนแทบกระซิบ
“ฉันเห็นนะ ที่คุณคุยกับไอ้กุ๊ยที่หน้าบ้านเมื่อวาน คุณไปทำอะไรมากันแน่?”
“ไม่มีอะไร คุยเรื่องธุรกิจกันนิดหน่อย”
“ธุรกิจ? กับไอ้กุ๊ยเนี่ยนะ คุณเห็นฉันกินหญ้าแทนข้าวเหรอไง?”
เชาว์หันมาเจอกับสีหน้าเอาจริงของสโรชาถึงกลับกลืนน้ำลาย ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง
อ่านต่อหน้า 4
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 5 (ต่อ)
อาภาพรนั่งหาวหวอดๆ อยู่บนรถ ขณะที่สโรชานั่งหน้าเครียด คิ้วขมวด ก่อนจะนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่คุยกับเชาว์
“นี่คุณขายมันงั้นเหรอ?”
เชาว์เอามือจุ๊ปาก พยายามดึงอีกฝ่ายให้นั่งลง
“เบาๆ สิคุณ เดี๋ยวก็ได้ยินกันทั้งบ้านหรอก”
“ติดบ่อน ติดผู้หญิงยังไม่พอ นี่ยังจะไปยุ่งกับไอ้พวกนี้อีกเหรอ?”
“นิดๆ หน่อยๆ เองน่า เดี๋ยวได้เงินแล้วก็เลิก”
สโรชาจ้องหน้าเชาว์อย่างโกรธจัด ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า จัดแจงรื้อเสื้อผ้าเชาว์ออกมา
“ไปเลยนะ รีบเก็บข้าวของแล้วไปให้พ้นจากบ้านฉันเลยนะ เดี๋ยวฉันจะซวยไปกับคุณด้วย”
“ไม่เอาน่าคุณ มันไม่ขนาดนั้นหรอก”
“พาความซวยมาถึงบ้านแท้ๆ รีบเลยนะ เก็บของแล้วพากันระเห็จไปกับอีนังเมียใหม่ของคุณเดี๋ยวนี้เลย”
สโรชาไม่ฟังเสียง รื้อข้าวของอีกฝ่ายออกมากอง
“นี่คุณหยุด ผมบอกให้หยุด ถ้าไม่หยุดผมจะแฉทุกอย่างเหมือนกันนะ อย่ามาทำเป็นคนดีให้มากนักเลย คุณกับผมมันก็ชั่วไม่ต่างกัน เราก็ทำให้คนจะตายทั้งคู่”
“ใครจะตายจะอยู่ฉันไม่สน แต่ที่สนคือฉันจะต้องไม่เดือดร้อนไปด้วย”
“ก็ผมบอกแล้วไง ว่าคุณจะไม่เดือดร้อน ถ้าคุณให้ผมอยู่ที่นี่ แต่ถ้าคุณไม่ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง
เอาน่า ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้คุณต้องมาซวยไปด้วย คุณรู้ไหม ว่าไอ้พวกนี้นี่มันได้เงินเยอะแค่ไหน?”
สโรชาสะบัดตัวออกห่างอย่างรังเกียจ
“ผมแว่วๆ มาว่าคุณเองกำลังสนใจธุรกิจส่งออกนี่ จริงๆ ถ้าเรา...”
“หยุดเลยนะ ฉันรู้ว่าคุณจะพูดอะไร หยุดความคิดโง่ๆ ของคุณไว้ได้เลย ฉันไม่มีวันร่วมมือกับคุณเด็ดขาด”
“เอ้าๆ ไม่ร่วมก็ตามใจ เห็นเงินแล้วอย่ามาเปลี่ยนใจทีหลังแล้วกันล่ะ”
สโรชาจ้องหน้าเชาว์อย่างโกรธจัด ก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างเจ็บใจ
วิทวัสนั่งเซ็นเอกสารอยู่ที่โต๊ะ พลางยกแขนดูเวลา จังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ เดือนฉายจะเปิดประตูเข้ามา ตามด้วยพรเพ็ญที่กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง
“สวัสดีครับคุณเดือน”
“กำลังยุ่งอยู่หรือเปล่าจ๊ะ”
“อ๋อ ไม่เลยครับ”
พูดพลางมองไปยังเห็นพรเพ็ญยืนมองรอบๆ ห้องอย่างสนใจ
“ห้องทำงานคุณสวยดีนะคะ”
วิทวัสทำหน้าแปลกๆ พลางหันไปมองเดือนฉาย ที่ยิ้มอย่างปกติ
“ตลกตลอด ทำเป็นไม่เคยมาก่อน คราวที่แล้วยังแอบดูผมในห้องน้ำเลย”
พรเพ็ญหันขวับมาสีหน้าตกใจ หน้าแดงก่ำ
“ไม่ต้องมาทำหน้าแดงใส่ คุณยังไม่ได้เสียผีให้ผมเลยนะ”
“ตาวัสเค้าแซวเล่นน่ะลูก มานี่มา”
พรเพ็ญเดินมาหาเดือนฉาย หน้ายังแดงซ่าน ไม่กล้าสบตาวิทวัส
“คุณคนที่เค้าสนใจเรื่องสินค้าส่งออกของเรา เค้ามาหรือยังจ๊ะ?”
วิทวัสคิ้วขมวด พลางยกนาฬิกาขึ้นดู
“ยังเลยครับคุณป้า นี่ก็เลยเวลานัดมาแล้วด้วย แล้วนี่คุณป้าต้องรีบไปไหนหรือเปล่าครับ?”
“ป้าว่าจะไปธุระอีกที่น่ะจ้ะ”
“ถ้าคุณป้ารีบ เดี๋ยววันนี้ผมคุยกับเค้าไปก่อนก็ได้ครับ”
เดือนฉายพยักหน้ารับ
“ก็ดีจ้ะ แต่ป้าฝากเพ็ญให้อยู่ช่วยดูงานไปก่อนนะจ๊ะ”
พรเพ็ญหันมาหาแม่อย่างตกใจ
“อยู่เรียนงานไปก่อนนะลูก อีกหน่อยลูกก็ต้องเข้ามาช่วยดูแลเหมือนกัน ตาวัสช่วยสอนหน่อยนะ เริ่มใหม่ตั้งแต่แรกเลย”
“คงไม่ต้องแล้วมั้งครับคุณป้า ทำงานกันมาหลายครั้งแล้ว”
“ช่วยสอนด้วยนะจ๊ะ ตั้งแต่แรกเลย”
เดือนฉายย้ำชัด วิทวัสทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้ารับ
“งั้นเดี๋ยวป้าไปเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวเย็นๆ จะแวะมารับ”
พูดพลางหันมายิ้มให้พรเพ็ญ แล้วเดินอกจากห้องไป อีกฝ่ายหันมองตาม สีหน้าวิตกกังวลก่อนจะหันมาเห็นวิทวัสยักคิ้วยียวนให้ เลยได้แต่ก้มหน้าหลบสายตา
“ไงคุณ ความจำเสื่อมเหรอไง ถึงต้องมาเริ่มใหม่เนี่ย”
พรเพ็ญอึกอัก “คือ..ฉัน..ฉัน.. คุณเลิกแกล้งฉันซักทีเถอะค่ะ”
“ผมไปแกล้งอะไรคุณ กล่าวหากันชัดๆ มาเดี๋ยวจะหาว่าใจร้าย เริ่มจากไหนดีเนี่ย?”
“ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนค่ะ”
“ตามสบาย อ้าว จะไปไหนล่ะนั่น ห้องน้ำอยู่นี่”
พรเพ็ญที่ลุกพรวดไปที่ประตู หันกลับมามองวิทวัส พลางนึกถึงเรื่องที่เขาแซวแล้วก็หน้าแดง
“ฉันไปเข้าข้างนอกดีกว่า”
พูดพลางรีบเปิดประตูเดินออกไป วิทวัสได้แต่ยืนเกาหัวมองตาม พลางอมยิ้มเอ็นดู
พรเพ็ญเปิดประตูออกมายืนถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางมองหาห้องน้ำ กำลังจะเดินเลี้ยวไป
“เร็วๆเข้า เสียมารยาทมากเลยนะเนี่ย มาสายตั้งแต่แรกๆ”
น้ำเสียงที่คุ้นชิน ทำให้เธอหันไปมอง แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นสโรชาเดินมากับอาภาพร
“เพราะพ่อแกแท้ๆ เชียว ทำให้ฉันต้องมาสาย ขายหน้าเค้าแย่เลย”
พรเพ็ญรีบเดินหลบมุมรอจนทั้งคู่เคาะประตูห้องวิทวัสแล้วเดินเข้าไป สีหน้าของเธอทั้งแปลกใจและตกใจในคราเดียวกัน
ตรัยนั่งคิ้วขมวดมองดูภาพคนร้ายในไอแพดอย่างตั้งใจ ก่อนจะซูมเข้าไปดูใกล้ๆ จากนั้นก็รีบลุกพรวดขึ้น เก็บของเดินออกจากห้องไปทันที
ณัฐพงษ์นั่งดูทีวี พลางกดเปลี่ยนช่องไปมาอย่างหงุดหงิด พลันลูกหมาของเพ็ญพรวิ่งเข้ามาเห่าใส่ เขาโวยวายด่าลั่นว่าเป็นหมาบ้า พลางหยิบหมอนขว้างใส่
เพ็ญพรรีบวิ่งเข้ามาอุ้มลูกหมาไว้ อีกฝ่ายรีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหา ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“อ๋อ ของน้องพรเองเหรอจ๊ะ แหม น่ารักน่าอุ้มจัง”
พูดพลางเดินเข้ามา ทำทีท่าจะมาโอบ เธอขยับขาเตรียมพร้อม จนอีกฝ่ายต้องหุบขาหนีบกันเพราะกลัวเจอแบบคราวที่แล้ว
“แหม ใจเย็นสิจ๊ะ เห็นหมามันน่ารัก พี่ก็แค่อยากอุ้มมันก็นั้นเอง”
“ตะกี๊ยังว่ามันเป็นหมาบ้าอยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ?”
“พี่ก็แค่พูดเล่นแค่นั้นเอง น้องพรก็”
เพ็ญพรเบะปากใส่ พลางเดินหันหลังกลับ พอดีเห็นป้าแจ่มเดินเข้ามา ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบส่งลูกหมาให้
“ป้าจ๊ะ เดี๋ยวป้าช่วยเอาไอ้ตัวเล็กนี่ไปหน่อยนะจ๊ะ พามันไปเล่นข้างหลังก็ได้จ้ะ”
ป้าแจ่มเห็นอีกฝ่ายส่งสัญญาณมาให้ก็รีบรับมา แล้วเดินกลับเข้าไปข้างใน เพ็ญพรยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแกล้งหันกลับไปตีหน้าอ้อนๆ ใส่
“พี่ณัฐขา คือว่าน้องพรมีเรื่องจะรบกวนพี่ณัฐนิดนึงน่ะค่ะ”
พูดพลางเดินเข้าประชิดตัวเอามือโอบคอ อีกฝ่ายรีบหนีบขาเอามือกุมเป้าทันที
“แหม บอกแล้วไงคะ ว่าน้องพรไม่ทำแบบนั้นแล้ว พี่ณัฐจะกลัวทำไมล่ะคะ”
“แล้ว แล้วน้องพรมีอะไรล่ะจ๊ะ?”
เพ็ญพรแกล้งยิ้มหวาน ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบข้างหู จังหวะเดียวกับที่ตรัยเดินเข้ามาพอดี ถึงกับยืนอึ้งกับภาพที่เห็น
อาภาพรนั่งกดโทรศัพท์เล่นอย่างเซ็งๆ สโรชาหันมามองค้อนขวับๆ ก่อนจะแกล้งหันไปยิ้มให้วิทวัส
“น่าสนใจมากเลยค่ะ โปรเจ็กต์นี้”
“ครับ คุณสโรชาสนใจไหมล่ะครับ?”
สโรชารีบพยักหน้ารับ
“ดิฉันสนใจมากค่ะ แหม เรื่องเงินน่ะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ถือว่าเป็นการสนับสนุนผลไม้ไทยๆให้เป็นที่รู้จักด้วย”
“ต้องชมคุณเดือนครับ เธอปูทางไว้เป็นอย่างดี ทางโน้นเลยให้ความไว้วางใจเป็นอย่างมาก”
“น่าเสียดายจริงๆ เลยยังไม่มีโอกาสพบคุณเดือนอะไรนั่นเลย”
วิทวัสยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คราวหน้าก็ได้ จริงๆคุณเดือนเธอมากับลูกสาวเธอนะครับ แต่เอ่อ..พอดี
เอ็กซิเดนท์นิดหน่อย”
สโรชาทำทีเป็นสนใจ
“อ๋อเหรอคะ ดีเลยจะได้ทำความรู้จักกับยัยภาด้วย นี่ยัยภาแกก็เพิ่งจบมาจากนอกน่ะค่ะ คิดว่าน่าจะมาช่วยคุณวิทวัสได้เป็นอย่างดีเลย”
วิทวัสหันไปยิ้มให้ แต่อาภาพรนั่งกดโทรศัพท์เล่นไม่สนใจ จนสโรชาต้องสะกิดเตือน
“คุณแพร์รี่ ลูกสาวคุณเดือน เธอก็จบมาจากนอกเหมือนกัน วันนั้นก็ไปงานที่บ้านคุณสโรชานี่ครับ”
สโรชาทำหน้าแปลกใจ
“ตายจริง ดิฉันไม่ทราบมาก่อนเลย”
“ผมนึกว่ารู้จักกันมาแล้ว เห็นเธอยังไปช่วยอยู่ในครัวเลยนี่ครับ”
สโรชาหันไปมองหน้ากับอาภาพรอย่างแปลกใจ
“เหรอคะ? สงสัยวันนั้นดิฉันคงยุ่งมากเลยพลาดไปน่ะค่ะ เอ่อ ถ้ายังไงวันนี้ดิฉันกับลูกขอตัวก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวคงต้องหาเวลานัดกันมาเจอกับคุณเดือนซักที ถ้างั้นขอตัวก่อนนะคะ ยัยภา”
พูดพลางหันไปสะกิดลูกสาว
“จะกลับกันแล้วใช่ไหมคะ โอ๊ย กว่าจะเสร็จภาเมื่อยจะแย่”
สโรชาส่งสายตาดุๆ เป็นเชิงเตือน แล้วก็หันมายิ้มเจื่อนๆ กับวิทวัส
“ลูกคนนี้อย่างนี้ล่ะค่ะ อารมณ์ขันแกเยอะ ขอตัวนะคะ”
จากนั้นก็รีบลากอาภาพรออกไปทันที วิทวัสลุกขึ้นส่งแทบไม่ทัน
คล้อยหลังที่ 2 แม่-ลูกอกไป พรเพ็ญก็ค่อยๆเปิดประตูเข้ามา พลางมองไปข้างหลังอย่างระแวง
“ตะกี๊พวกคุณน้ามาทำไมคะ?”
วิทวัสทำหน้างง
“คุณน้า? หมายถึงคุณสโรชาน่ะเหรอ ก็มาคุยเรื่องงานน่ะสิ ว่าแต่ดูคุณจะสนิทกับคนบ้านนี้มากเลยนะเนี่ย คราวที่แล้วก็ไปขลุกอยู่ในครัว เอ๊ะ แต่จะว่าไปก็แปลกนะ ก็แล้วทำไมคราวที่แล้วคุณสโรชาเธอบอกไม่เห็นคุณล่ะ?”
พูดแล้วก็มองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัย พรเพ็ญได้แต่หลบสายตามองทางอื่นไป
เพ็ญพรเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี พอเห็นตรัยกำลังนั่งเล่นกับลูกหมาอยู่ ก็รีบพูดทัก
“อ้าว คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”
อีกฝ่ายกลับก้มหน้าเล่นกับลูกหมาต่อ ทำเหมือนไม่ได้ยิน
“นี่คุณ ถามว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? หูตึงเหรอไง แล้วแผลเป็นยังไง? เจ็บมากมั้ย?”
“แผลแค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องห่วง ไม่ถึงกับตาย”
เพ็ญพรชะงักมอง รู้สึกแปลกๆ
“ก็ดี นี่ๆ คุณลูกหมาฉันน่ารักไหม? ฉันเก็บมาจากข้างนอกโน้น ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลย คุณช่วยคิดหน่อยสิ”
ตรัยรีบตอบแบบห้วนๆ เพราะ อารมณ์ไม่ดี “ไม่รู้สิ”
“อะไร? ยังไม่ทันจะคิดเลย”
“เรื่องแค่นี้คิดเองไม่ได้เหรอไง?”
เพ็ญพรมองหน้าเขาอย่างงงๆ
“นี่คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย?”
“ผมก็เป็นของผมมาอย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว คุณต่างหากที่เพิ่งมาเปลี่ยน”
“ฉันก็เป็นของฉันย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกเหมือนกัน”
พูดไปก็จ้องตอบอย่างไม่ยอมแพ้
“เหรอ งั้นคงเป็นผมเองสินะ ที่โง่จนดูไม่ออกว่าจริงๆ แล้วคุณเป็นคนยังไง”
ตรัยลุกพรวดขึ้น หันไปบอกป้าแจ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา
“ป้าแจ่ม ผมกลับล่ะนะ ของนี่จัดให้คุณลุงด้วย ฝากบอกน้องภาด้วยล่ะกัน พรุ่งนี้ผมจะมารับออกไปทานข้าวกัน”
พลางแกล้งเดินมาใกล้ๆ เพ็ญพร ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงประชด
“สองต่อสอง”
พูดจบตรัยเดินออกจากบ้านไปทันที เพ็ญพรมองค้อน
“คนบ้า เชิญเถอะย่ะ จะไปไหนก็เชิญไปกินกันให้อร่อยเหอะ ผู้หมวดขี้เก๊ก”
ป้าแจ่มเอามือทาบอกหันมามองเพ็ญพรอย่างตกใจ
“ถ้าเปลี่ยนใจก็ตามมานะตาวัส”
เดือนฉายหันมาบอก ขณะที่วิทวัสเดือนมาส่งเธอกับเพ็ญพรที่หน้าออฟฟิศ
“ครับ เดี๋ยวถ้าเสร็จเร็วเดี๋ยวผมตามไป”
พรเพ็ญเหลือบตามองวิทวัส กล้าๆกลัวๆ
“ขอโทษนะ เพราะฉันแท้ๆ เลย คุณเลยต้องมาแก้งานเยอะแยะ”
วิทวัสถอนหายใจ
“เฮ้อ ทำงานผิดน่ะไม่เท่าไหร่ เมื่อเช้าดันแว่บหายแทนที่จะมาเจอลูกค้า”
เดือนฉายหันมาหน้ามองพรเพ็ญ
“คนที่บอกน่ะเหรอ? อ้าวก็นึกว่าไม่มาแล้ว”
“มาครับ มากับลูกสาว เห็นว่าเมื่อเช้ามีเอ็กซิเดนท์นิดหน่อยน่ะครับ”
เดือนฉายพยักหน้าเข้าใจ แล้วหันมาถามพรเพ็ญต่อ
“แล้วหนูไปไหนมาลูก ถึงไม่อยู่เจอ”
พรเพ็ญอ้ำๆอึ้งๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง
“เอาเถอะ ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน ป้าจะได้มาเจอเขาด้วย งั้นป้าไปละตาวัส ยังไงก็โทร.มาล่ะกัน”
วิทวัสยกมือไหว้ลาแล้วยืนมองอยู่หน้าบริษัท จนทั้งคู่เดินลับไป
อาภาพรนั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่ หน้าตาท่าทางระริกระรี้ สโรชามองอย่าหมั่นไส้
“คุยอะไรนักหนา ฉันชักรำคาญแล้วเนี่ย”
“หนูกำลังเมาท์กับเพื่อนอยู่ ที่พี่ตรัยเค้าจะพาหนูไปหาอะไรกินข้างนอกไงคะ พวกเพื่อนหนูเค้าก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แถมชี้เป้าโรงแรม...เอ่อ ร้านอาหารในโรงแรมมาให้ด้วย”
สโรชาจ้องหน้าลูกสาวตาเขียว
“ทำอะไรก็ให้มันรู้จักไว้ท่าหน่อยนะ ให้เค้ารู้ว่าเราก็ไม่ได้ง่าย ผู้ชายน่ะมันไม่ได้มีแต่นายตรัยหรอกนะ หัดมองอะไรที่มันสูงๆ ไว้บ้าง”
“ก็คือรวยใช่ไหมคะ เอาตรงๆ แค่นี้รู้เรื่อง”
สโรชายักไหล่ลอยหน้าลอยตา
“รู้ก็ดี รู้แล้วก็หัดฉลาดๆ หน่อย หาผู้ชายที่มันเหมาะสม”
“แบบนี้ใช่ป่ะคะ”
พูดพลางพยักเพยิดให้แม่ดู พร้อมกับที่เชาว์เดินเข้ามา โดยมีวาทินีช่วยพยุง
“อะไร? มีอะไรอีกล่ะ?”
เชาว์แกล้งตีหน้าเศร้าเดินมานั่งข้างๆ พร้อมวาทินี สโรชารีบเขยิบตัวออกห่าง
“พี่เชาว์เค้าเจ็บแผลน่ะ ท่าทางจะอักเสบ”
“ใช่จ้ะใช่ เนี่ย ระบมไปทั้งตัวเลย”
สโรชามองเมิน “แล้วไง?”
“แล้วไง ก็ต้องไปหาหมอสิ จะมาแล้วไงทำไม?”
“ที่รัก ขอยืมซักนิดซักหน่อยสิจ๊ะ”
สโรชาปรายตามองทั้งคู่แบบเหยียดๆ หัวจดเท้า
“ว่าแล้วเชียว หึ ทำธุรกิจได้เงินมาเยอะไม่ใช่เหรอ หาหมอแค่นี้ไม่มีปัญญาเหรอไง?”
เชาว์ทำตาปริบๆ อาภาพรรีบเดินไปหยิบเงินให้จำนวนหนึ่ง
“นี่ค่ะคุณพ่อ”
เชาว์ตาโต รีบรับมาอย่างดีใจ “ขอบใจมากจ้ะลูกรัก ลูกสาวพ่อทั้งสวยทั้งมีน้ำใจเลย”
จากนั้น 2 ผัว-เมีย ก็รีบลุกเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว สโรชาหันมาดุลูกสาวอย่างไม่พอใจ
“ยัยภา นี่แกให้มันไปทำไมน่ะ หา”
อาภาพรหันมาทำหน้าเซ็งๆ
“โอ๊ย คุณแม่ ก็พ่อเค้าจะเอาไปหาหมอก็ให้ๆ ไปเหอะ ภาขี้เกียจมานั่งฟัง รำคาญ”
“แต่ไอ้ที่แกหยิบน่ะ มันกระเป๋าเงินฉัน”
อาภาพรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ก็ใช่สิคะแล้วทำไมอ่ะ ภาว่าภาขึ้นข้างบนดีกว่าขี้เกียจเถียงกับคุณแม่”
พูดจบก็ก็ถอนหายใจลุกขึ้นเดินหนีไปอย่างรำคาญ สโรชาโมโห แต่ด่าไม่ออก
เดือนฉายพาพรเพ็ญมาเดินเข้าช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า พลางเลือกซื้อเสื้อผ้าให้กับลูกสาว
พรเพ็ญพยายามจะปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายไม่ยอม เลือกได้ก็รีบจ่ายเงินทันที
“จริงๆ เราไม่น่าซื้อของพวกนี้มาเลยนะคะ”
พรเพ็ญที่หอบข้าวของพะรุงพะรัง หันมาเปรยกับแม่
“ทำไมล่ะลูก ไม่ชอบเหรอ?”
“เปล่าค่ะ หนูแค่ไม่อยากสิ้นเปลือง เสื้อผ้าหนูก็มีอยู่แล้ว”
เดือนฉายยิ้ม พลางเดินมาโอบลูกสาว
“แม่เห็นหนูใส่อยู่ไม่กี่ชุดซ้ำๆ กันตลอด เสื้อผ้าในตู้ก็ไม่เห็นหยิบออกมาใส่เลย”
“ก็มันไม่ใช่ของพ..เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ.คือ..คือ...”
เดือนฉายมองพรเพ็ญยิ้มๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไปดูร้านอื่นต่อดีกว่า นั่นร้านนั้นรองเท้า สวยนะ”
พรเพ็ญพยายามรั้ง แต่อีกฝ่ายไม่ฟัง
“เถอะน่า แม่บอกแล้วไง ให้แม่ได้ทำหน้าที่ของแม่บ้าง”
พรเพ็ญมองอย่างชั่งใจ ว่าเดือนฉายจะรู้เปล่าความจริงเรื่องการสลับตัวหรือไม่ ? ขณะที่อีกฝ่ายพยายามเก็บความรู้สึกบางอย่างไว้ แล้วเดินนำไป
พอบุรุษพยาบาลเข็นวีลแชร์ออกมาส่งที่หน้าตึกโรงพยาบาลปั๊บ วาทินีก็หัมาตวาดใส่เชาว์ทันที
“ลุกขึ้นได้แล้วพี่ เลิกสำออยซะทีเหอะ อีแก่มันไม่ได้อยู่ตรงนี้ แล้วอีกอย่างฉันก็รู้ว่าพี่ไม่ได้เป็นอะไรมากมายหรอก ลุกซะทีเหอะ”
เชาว์มองไปที่คนอื่นที่จ้องมองมาอยู่ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ
“เธอกลับไปก่อนละกัน ฉันมีธุระนิดหน่อย”
วาทินีหันมาจ้องตาเขม็ง
“ธุระกะอีตัวไหนอีกล่ะ? ไม่ต้องเลยนะ มีเงินหน่อยไม่ได้เลย”
“ก็บอกว่าธุระๆ ไม่เชื่อฉันเหรอไง?”
“เชื่อพี่ฉันคงออกลูกเป็นลิง กลับบ้าน เงินอยู่ที่ฉันจะกลับหรือไม่กลับ”
เชาว์มองอย่างรำคาญ พลางบ่นอุบอิบ แต่ก็จำต้องเดินตามไป
เพ็ญพรทำหน้าเซ็งๆ คุยโทรศัพท์อยู่ มือหนึ่งก็อุ้มลูกหมาอยู่ด้วย
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่เฉียดๆ ชิ จริงๆ มันน่าจะให้กระสุนยิงเข้าอกอีตาบ้านั่นด้วยซ้ำ คนอะไร ก็มันจริงนี่ พี่พรไม่ต้องเข้าข้างเค้าหรอก ช่างมันเหอะเรื่องนั้น พูดเรื่องของเราดีกว่า เพ็ญว่าเพ็ญคงต้องเริ่มสืบอะไรจริงจังแล้วล่ะ เอาน่าตอนนี้เพ็ญก็พอจะมีช่องทางขึ้นบ้างแล้ว ไม่ต้องห่วง งั้นแค่นี้นะพี่พร”
จบประโยคก็กดวางสาย ก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนคิดอะไรได้
ทางด้านพรเพ็ญพอวางสายโทรศัพท์ ก็อดเป็นกังวลไม่ได้
“โธ่ พี่ตรัย เป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้”
จากนั้นก็เดินตรงไปที่รถ ขณะที่เดือนฉายกำลังเก็บของอยู่ พอหันมาเห็นสีหน้าของลูกสาวก็รู้สึกเอะใจ
“มีอะไรหรือเปล่าลูก?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวเรารีบกลับกันดีกว่า เริ่มค่ำแล้วด้วยสิ”
พูดพลางเร่งเก็บของแล้วให้พรเพ็ญขึ้นรถแล้วพากันขับออกไป
วาทินีนั่งทำหน้าเซ็งอยู่บนรถแท็กซี่ที่จิดติดไฟแดงอยู่ ปากก็พูดบ่นเรื่องรถติดไม่หยุด เชาว์ส่ายหน้าอย่างรำคาญ ก่อนจะหันมองไปทางหน้าต่าง
ทันใดนั้นรถของเดือนฉาย ก็ขับเข้ามาติดไฟแดงข้างๆ แท็กซี่คันที่ทั้งคู่นั่งอยู่ เชาว์ขยับตัวขึ้นมองเพ่งอย่างสนใจทันที
พอสัญญาณไฟจราจรก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว รถของเดือนฉายก็เคลื่อนออกไปตามด้วยรถของเชาว์
“เอ้าพี่ขับเร็วๆ หน่อยให้ทันรถคันหน้านั้นอ่ะ”
วาทินีมองอย่างสงสัย
“มีอะไรกันแน่ ใครอยู่ในรถคันนั้น”
เชาว์ชะเง้อมองไปมา ส่วนวาทินีก็ได้แต่ทำหน้าสงสัย พยายามยื่นหน้าจะเข้ามาดูด้วย
“จะเบียดเข้ามาทำไม กลับไปนั่งที่เธอโน่น”
“ก็ฉันอยากรู้ด้วยนี่”
“โธ่เอ๊ย น่ารำคาญจริงๆ”
พูดพลางผลักหัวอีกฝ่ายออก พลางชะเง้อมองตามรถเดือนฉายที่แซงออกไปด้วยความสงสัย
อ่านต่อตอนที่ 6