บ้านศิลาแดง ตอนที่ 3
สุดาหน้าเหวอ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นขำก๊าก จนสำลักขนมที่เคี้ยวคาปากอยู่ เพ็ญพรตกใจรีบตบหลังเพื่อนจนอาการดีขึ้น
“ฉันรู้ว่าไอ้เรื่องที่ฉันเล่าให้แกฟังน่ะ มันฟังดู..”
เพ็ญพรนึกคำพูดไม่ออก สุดารีบตะปบไหล่เพื่อน
“เฮ่ย ใครบอก? เรื่องที่แกเล่าให้ฉันฟังน่ะ..”
“แกเชื่อใช่มั้ย? ดีใจที่สุดเลย ฉันเลือกคนไม่ผิดจริงๆ ฉันดีใจที่สุดที่มีแกเป็นเพื่อน”
“ฉันก็ดีใจที่สุด ฉันเลือกคนไม่ผิดเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าไอ้เพื่อนต๊องๆ อย่างแกมันจะพล็อตนิยายได้แซ่บมากๆ”
เพ็ญพรชะงัก มองหน้าเพื่อนงงๆ “นิยาย? แซ่บ? อะไรของแกหา?”
“จะอะไร? ก็ไอ้นิยาย “ฝาแฝดอภินิหาร” ของแกน่ะสิ แฝดพี่น้องถูกจับแยกให้พลัดพรากจากกกัน โดยทั้งคู่ยังมีสื่อสัมพันธ์กัน พี่เจ็บน้องก็เจ็บด้วย โอ๊ยๆ ขอบใจมากนะเพื่อน พล็อตนี้ถ้าฉันส่งไปสำนักพิมพ์นะต้องมีผู้จัดฯ มาซื้อไปทำละครแน่ๆ เน่าสนิทซะขนาดนี้ เย้ๆ”
สุดาเริงร่า ดีใจ ตรงข้ามกับเพ็ยพรที่หน้าหงิก
“ นี่แกไม่เชื่อฉันเหรอกวะ? ที่เล่าไปทั้งหมดน่ะ มันชีวิตฉันจริงๆ ไม่ใช่พล็อตละครน้ำเน่า”
เพ็ญพรพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ตะปบหัวใจตัวเองแล้วรู้สึกเหนื่อยหอบ
“เฮ่ยๆ เป็นไรเนี่ย? เชื่อก็ได้ ฉันเชื่อก็ได้ แหม แค่นี้ไม่เห็นต้องโกรธแรง”
เพ็ญพรนึกถึงพรเพ็ญ “เจ๊ติ๋ม”
สุดามองหน้าเพื่อนอย่างฉงน “ใครวะ เจ๊ติ๋ม?”
“พรเพ็ญพี่สาวฉันน่ะสิ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ต้องเป็นอะไรแน่ๆ”
สุดาหน้าแหย “เฮ่ย..สรุปว่าจริงเหรอวะเนี่ย?”
เอกสิทธิ์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง หลังจากที่หมอรุจน์ตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว พรเพ็ญนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเป็นห่วง
“คุณลุงท่านคงจะหลับไปอีกพักใหญ่เลยล่ะครับ คุณเองก็ต้องถือโอกาสนอนพักด้วยเลยนะครับ”
พรเพ็ญส่ายหน้า “ยังมีงานบ้านต้องทำอีกเยอะเลยค่ะ”
“ต้องทำอีกเยอะ? เมื่อกี๊ก็เป็นลมไปแล้วเนี่ยนะครับ ไม่เอาล่ะ ผมให้ยาคุณทานหน่อยดีกว่า ให้หลับซักนิดก็ยังดี”
“ไม่ได้นะคะ ถ้าฉันหลับแล้วใครจะดูคุณพ่อล่ะคะ?”
หมอรุจน์ถอนใจ
“ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมคุณถึงไม่จ้างพยาบาลพิเศษมาช่วยดูแลคุณลุงครับ?”
พรเพ็ญก้มหน้านิ่ง ไม่ตอบคำถาม พลันเสียงของสโรชาก็แหวขึ้นมา
“เป็นไงมั่งคะ? คุณหมอ”
หมอรุจน์มองพรเพ็ญอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปตอบสโรชาที่เดินเข้ามา
“เรียบร้อยแล้วครับ ให้ยาท่านแล้วด้วย น่าจะเกิดจากความเครียดก็เลยมีอาการเกร็งขึ้นมาน่ะครับ”
สโรชาจิกตาร้ายใส่พรเพ็ญ
“เฮ้อ! จะเครียดอะไรนักหนา? ดูแลกันยังไง? พ่อลูก?”
“คุณพรเพ็ญคนเดียวคงจะเหนื่อยมากนะครับ เมื่อกี๊ก็เป็นลม แต่ยังอุตส่าห์โทร.หาผมได้ทัน”
“เป็นลม?”
สโรชามองพรเพ็ญอย่างเอาเรื่อง
เพ็ญพรทิ้งตัวลงนั่งแบบสบายๆ พลางสูดดมยาดมปื๊ดๆ มีสุดาช่วยพัดวีอยู่ข้างๆ
“ดีขึ้นยัง?”
“ แกต้องช่วยจัดการเรื่องพี่สาวฝาแฝดของฉันนะ”
สุดาตาโต “เฮ่ย..ฉันเนี่ยนะ
“แกเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ เพราะฉะนั้นแกต้องช่วยฉัน และจำไว้ห้ามเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด ถ้าแกช่วยฉันได้สำเร็จเมื่อไหร่ ฉันจะยกพล็อตนิยายเรื่องนี้ให้แกไปเลยฟรีๆ ไม่เอาเปอร์เซ็นต์? ดีล?“
พูดพลางชูมือรอ สุดาตีมือรับ “ดีล”
“จากนี้ก็เตรียมลุย ตามแผนของแพร์รี่”
พรเพ็ญถูกสโรชาเฉดหัวอย่างโมโห ก่อนจะด่าว่าสำออย โดยมีอาภาพรช่วยด่าเสริม
“พรเปล่านะคะคุณน้า”
“ใครเชื่อแกก็กินหญ้าแล้วย่ะ แหม แกล้งเป็นลม โทร.อ้อนให้คุณหมอรุจน์มารักษา แถมยังเอาคุณพ่อแกมาอ้างว่าชักกระตุก บาปกรรมจริงๆ”
อาภาพรมองค้อน ก่อนจะปรี่เข้ามาทำท่าจะตบ แต่ป้าแจ่มรีบพุ่งเข้ามา แกล้งบอกว่าตรัยโทร. มา พลางรีบกันพรเพ็ญออกไป อาภาพรจะตามไปด้วย แต่สโรชาห้ามไว้
“เอ๊ะ! คุณแม่นี่ ใจคอจะปล่อยให้นังพรมันไปอ้อนพี่ตรัยต่อหน้าต่อตาภาเนี่ยนะคะ?”
“ใครเคยบอกว่าฉันจะปล่อยมัน? ฉันไม่ปล่อยมันแน่!! และฉันก็จะไม่ปล่อยแกด้วย ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ย ว่าให้อยู่ห่างๆ อีตาตำรวจนั่น รึแกอยากเห็นพ่อแกแม่แกพี่ชายแกโดนมันรวบเข้าคุกกันหมด หัดฉลาดให้ได้เท่านังพรมันมั่งก็ดีนะ ดูซิ ไม่ทันไรก็ส่งตาหวานให้คุณหมอรุจน์เค้าแล้ว นังนี่มันรู้จักเลือกจริง ถ้าลูกฉันมันตาแหลมอย่างนังพรบ้าง ป่านนี้ฉันคงได้ลูกเขยรวยๆ ไปแล้ว ถ้าหาเองไม่เป็น ก็อยู่เฉยๆ แล้วฉันจะหาให้”
อาภาพรเถียงไม่ทัน ได้แต่อ้าปากค้าง
ป้าแจ่มพาพรเพ็ญหลบมา ก่อนจะหาข้ามต้มให้กิน พลางรีบออกปากขอโทษที่จำต้องโกหกว่าตรัยโทร. มา แล้วก็ถอนหายใจเฮือก หันไปบ่นกับลุงเติม
“อีกไม่กี่วันนี่ก็จะมีงานใหญ่อีก เฮ้อ! ไม่รู้นางจะจัดเพื่ออะไรของนาง?”
“นางก็บอกออกลั่นบ้านว่าเป็น งานประกาศศักดา”
ป้าแจ่มทำหน้าเซ็ง
“ศักดาบ้าอะไร? ลำบากพวกเราน่ะสิ ชิ บ้านหลังตั้งใหญ่โต มีขี้ข้าอยู่แค่ 2 คน ฉันกะแก เฮ้อ! ลำพังไม่จัดงานก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด นี่ดันจะลุกมาจัดงาน มีหวังร่างแหลกกันล่ะ ตาเติมเอ๋ย”
พรเพ็ญวางช้อนลง ก่อนจะรีบพูด
“ป้าจ๋า อย่าลืมสิจ๊ะ ว่ายังมีหนูอยู่อีกคนนึง”
“ตายล่ะ คุณหนูของแจ่ม คุณหนูเป็นคุณหนูนะคะ อย่าลดตัวมาปะปนกับพวกเรานะคะ ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้ จำไว้เลยนะคะ คุณหนูเป็นทายาทแต่ผู้เดียวของคุณท่าน คุณหนูคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของตัวจริงของบ้านศิลาแดงหลังนี้”
พรเพ็ญ อมยิ้มนิดๆ เมื่อนึกถึงเพ็ญพร พลางคิดในใจ
“ผิดละค่ะป้าแจ่ม หนูไม่ได้เป็นทายาทแต่ผู้เดียวของคุณพ่อ และเจ้าของตัวจริงของบ้านศิลาแดงก็ไม่ใช่หนูคนเดียวหรอกค่ะ”
เพ็ญพรมาส่งสุดาที่บ้าน พลางมองซ้าย-ขวา ก่อนที่จะถูกฝ่ายหลังเดินมาดึงตัว
“เข้ามาๆ แหม อุตส่าห์มาส่งถึงบ้าน เข้ามาเม้าท์มอยก่อนสิ นี่ พี่ชายฉันอยู่พอดีเลย จะได้ทำความรู้จักกันไว้ซะหน่อย เผื่อจะ...”
พูดพลางทำตาวิบวับ แต่อีกฝ่ายไม่เอาด้วย
“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาทำตัวเป็นแม่สื่อ เรื่องเนี้ยไม่ต้องช่วยฉัน ช่วยเรื่องที่ฉันอยากให้ช่วยก็พอ โอเค้?”พลันตรัยก็ส่งเสียงตะโกนลงมาจากข้างบน
“สุดา กลับมาแล้วเหรอ?”
“มาแล้ว พี่ตรัย ลงมาหน่อย เค้าพาเพื่อนมาด้วย สวยนะ พูดเลย”
เพ็ญพรทำหน้ายักษ์ย่นใส่ ก่อนจะเหลือบไปมองเห็นรูปคู่ของตรัยกับสุดาที่วางอยู่แถวนั้น แล้วก็ถึงกับตาโตตกใจ
“ซวยล่ะ”
เพ็ญพรหันรีหันขวางก่อนจะพุ่งเข้าห้องน้ำไป พร้อมกับที่ตรัยเดินลงมาพอดี
“อ้าว! ไหนล่ะ เพื่อนคนสวยของเราน่ะ?”
สุดาหันมา แล้วก็ทำหน้าเหรอ
“ก็นี่ไง อ้าว เฮ้ย เพ็ญ ไอ้เพ็ญ”
เพ็ญพรยืนเอาหน้าแนบแอบฟังอยู่ในห้องน้ำแบบหวั่นๆ
“หนุกมั้ย? อำพี่ หนุกมั้ย?”
“เปล่าอำนะพี่ ไอ้เพ็ญเพื่อนซี้ที่อังกฤษที่เค้าเคยเล่าให้ฟังไง มันมาส่งเค้า เค้าเลยอยากให้เจอพี่ไง เผื่อพี่จะ..”
“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาทำตัวเป็นแม่สื่อ”
“นั่น เนื้อคู่กันแน่ๆ พูดประโยคเดียวกันเป๊ะ”
ตรัยส่ายหน้า
“เพ้อเจ้อ ไม่เอาล่ะ พี่จะออกไปซื้อของ เออจริงสิ! ว่างมั้ย ไปช่วยพี่เลือกเสื้อผ้าหน่อยสิ”
“เสื้อผ้า? ให้ใคร?”
ตรัยทำหน้าเขิน
“ก็มีอยู่คนเดียวน่ะยังจะมาถาม อีกไม่กี่วันที่บ้านศิลาแดง จะมีงานพี่ก็อยากให้เค้าแต่งตัวสวยๆ”
เพ็ญพรแอบฟังอยู่ ก็ตกใจ “บ้านศิลาแดง? จะมีงาน?”
“ท่าจะรักจริงหวังแต่งนะคนนี้? ป๋าถึงได้ทุ่มสุดตัวเลย”
“จะไปหรือไม่ไป?” ตรัยถามย้ำ
“จะไปได้ยังไงก็เพื่อนมาบ้าน”
“ไหนล่ะเพื่อน?”
“เออ นั่นสิ ตะกี๊มันก็ยืนอยู่ตรงนี้นี่นา”
“ห้องน้ำรึเปล่า?”
ตรัยพูดพลางจะเดินตรงไป เพ็ญพรสะดุ้งโหยง ก่อนจะแกล้งทำเสียงผายลมดังลั่น อีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งโหยง
“เพื่อนเธอไปกินอะไรมา? ไม่เอาล่ะ ดูเพื่อนเธอล่ะกัน พี่ไปก่อนล่ะ ดูเพื่อนเหอะ ป่านนี้สลบคาส้วมไปแล้ว ไปนะ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป เพ็ญพรที่แอบฟังอยู่ทำหน้าย่นใส่ ก่อนจะค่อยๆ แง้มๆ ประตูออกมอง
“ไปแล้วเหรอ? พี่แก”
“เออ ไปแล้ว”
เพ็ญพรยังไม่อยากจะเชื่อ “คนตะกี๊ พี่ชายแกจริงๆ เหรอ?”
“ก็เออสิ พี่ตรัย พี่ชายฉัน นี่แกเป็นไรอ่ะ? หาหมอมั้ย?”
เพ็ญพรส่ายหน้ายิ้มๆ
“ชีวิตจริงนี่มันยิ่งกว่าละครน้ำเน่าสุดๆ สุดา ฟังนะ แผนที่1ของเรากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แผนบุกบ้านศิลาแดง”
ตรัยยื่นถุงเสื้อที่ซื้อมาให้พรเพ็ญ พลางพูดยิ้มๆ
“บ้านศิลาแดงกำลังจะมีงานเลี้ยง พี่อยากเห็นน้องพรใส่เสื้อผ้าสวยๆ”
พรเพ็ญถอนใจ “ใส่อยู่ในครัวเหรอคะ?”
“มันก็ต้องมีเดินออกมาบ้างแหละ น้องพรครับ พี่แหย่เล่น ขอโทษนะ อย่าโกรธนะ พี่มันปากไม่ดี”
พูดพลางทำท่าจะตบปากตัวเอง อีกฝ่ายรีบคว้ามือไว้
“อย่าค่ะพี่ตรัย ไม่นะคะ”
ทั้งคู่มองสบตากันอย่างซาบซึ้ง พลันเสียงของอาภาพรก็ดังขึ้นมา
“ ทำอะไรกันน่ะ”
ทั้งคู่สะดุ้งผละออกจากกันทันที ก่อนที่อาภาพรในชุดนอน จะปรี่เข้ามาผลักพรเพ็ญออก
“นี่มันอะไรกัน ดึกดื่นป่านนี้แทนที่จะไปนั่งเฝ้าคุณลุง กลับมานั่งจ้องตาผู้ชาย ป่านนี้พ่อเธอไม่ชักกระตุกตายไปแล้วเรอะ”
พรเพ็ญตกใจ “คุณภา”
“น้องภาครับ ทำไมต้องพูดจาขนาดนี้ด้วย”
อาภาพรยิ้มเยาะ “ขนาดนี้มันยังน้อยไปนะคะพี่ตรัย เมื่อเช้าน้องพรผู้อ่อนหวานของพี่ตรัยก็จ้องตาคุณ หมอรุจน์จนแทบทะลุไปคนนึงแล้วนะคะ น้องภาไม่อยากจะพูด”
ตรัยหันมามองหน้า เพ็ญพรรีบปฏิเสธ
“ไม่จริงนะคะพี่ตรัย คุณภาเข้าใจผิดแล้วนะคะ”
“เข้าใจผิด? ไม่เชื่อก็ถามคุณแม่ได้เลยค่ะพี่ตรัย ผู้หญิงอะไร เผลอไม่ได้ เป็นต้องอ่อยผู้ชายตลอด นี่ถ้าน้องภาเป็นพี่ตรัย น้องภาจะไม่ทนหรอกค่ะ”
พรเพ็ญไม่อยากโต้เถียง รีบลุกขึ้น
“ทิ้งคุณพ่อมานานแล้ว พรขอตัวนะคะพี่ตรัย”
ตรัยยื่นถุงเสื้อให้ “เดี๋ยวน้องพร อย่าลืมใส่วันงานนะครับ”
อาภาพรกระชากถุงมาทันที ก่อนจะเปิดดู แล้วทำตาวาว
“อะไรอ่ะคะ พี่ตรัย ชุดสวยจังเลย น้องภาช้อบชอบ ขอบคุณมากนะคะพี่ตรัย”
“พี่ซื้อมาให้น้องพรครับ”
อาภาพรชะงักกึก
“ซื้อมาให้น้องพร? แล้วน้องภาล่ะคะ? ไม่เป็นไรค่ะน้องพรกะน้องภาก็พี่น้องกันให้น้องภาใส่ก่อนแล้วค่อยแบ่งให้น้องพรใส่ทีหลัง”
“อย่าเลยครับ น้องภาก็มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่เยอะแยะแล้ว ชุดนี้ก็ไม่ได้แพงอะไร คงไม่เหมาะกับน้องภาเท่าไหร่ คืนให้น้องพรเถอะครับ”
อาภาพรโมโห พลางขยำชุด แล้วขว้างชุดใส่พรเพ็ญ
“เอาไปเลย เอาไป”
ก่อนจะหันหลังเหมือนจะเดินออกไป พลางคิดแค้นในใจ
“ฝันไปเถอะนังพร ถ้าฉันไม่ได้ใส่ ก็อย่าหวังว่าแกจะได้ใส่เลย นังกระจอก”
ขณะที่ตรัยค่อยๆ ก้มเก็บชุดยื่นให้พรเพ็ญ
“เห็นมั้ยครับ ถ้าเราสู้บ้าง เค้าก็ต้องถอย”
พรเพ็ญยังกังวลเรื่องหมอรุจน์ “พี่ตรัยคะ เรื่องคุณหมอรุจน์”
ตรัยสวนขึ้นมาทันที
“สัญญากับพี่ว่าจะใส่ชุดนี้วันงานนะครับ พี่ก็อยากเห็นน้องพรสวย สวยกว่าใครๆ”
“ ค่ะ ขอบคุณมากนะคะพี่ตรัย”
พูดพลางมองสบตาอีกฝ่ายอย่างซึ้งใจ
เพ็ญพรนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง สุดท้ายก็ทนไม่ไหว รีบคว้ามือถือโทร. หาพรเพ็ญ
“เจ๊ บ้านเจ๊จะมีงานเหรอ?”
พรเพ็ญที่กำลังนั่งมองชุดที่ตรัยซื้อให้ถึงกับงง “ใช่ รู้ได้ไง?”
“รู้ละกันน่า เจ๊เหอะ เป็นไง? โดนใครรังแกอีกรึเปล่า?”
พรเพ็ญอึกอัก “เอ่อ ไม่มี”
“โกหก เมื่อเช้าเป็นอะไร? บอกมา”
“ก็เป็นลมนิดหน่อยเอง น้องรู้ได้ไง?”
“จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ? ฉันก็วูบ แทบจะหน้าทิ่ม นี่ ไม่ไหวละนะเจ๊ ฉันปล่อยให้เจ๊เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ล่ะนะ เจ๊เจ็บฉันก็เจ็บด้วยตลอดอ่ะ”
พรเพ็ญเสียงอ่อย “พี่ขอโทษ”
“มันใช่ความผิดของเจ๊ที่ไหนล่ะ ถ้าจะผิดมันก็ต้องแม่-ลูกตัวอิจฉาพวกนั้นตะหาก เอ่อ พ่ออ่ะ พ่อเป็น
ไงมั่ง”
พรเพ็ญปรายตามองเอกสิทธิ์ “นอนหลับอยู่ ไม่ต้องห่วง”
“งั้นเจ๊นอนเหอะ แล้วเจอกัน”
พูดจบก็วางสายไปหน้าตาเฉย ทำเอาพรเพ็ญถึงกับงง
“แล้วเจอกัน?”
เพ็ญพรวางสายไป พร้อมกับคิดในใจอย่างเอาเรื่อง
“ติ๋มๆ อย่างเจ๊อยู่เฉยๆ เหอะ พวกมันต้องเจอแซบๆ อย่างแพร์รี่”
พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้นมาอีก เธอรีบกดรับ โดยไม่ทันได้มองชื่อคนโทร.
“ก็บอกแล้วไงให้นอนๆ”
แต่กลายเป็นวิทวัสที่พูดมาทางปลายสาย
“ก็มันนอนไม่หลับอ่ะ นี่คุณ หายไปเลยนะ สรุปงานการน่ะไม่ทำแล้วใช่มั้ย? ถ้าคุณแม่มาด่าผมล่ะคุณรับผิดชอบด้วยละกัน”
“งานอะไรล่ะ? ก็ไม่เห็นจะโทร.มาบอก”
“แน่ะ นั่งรอโทรศัพท์ผมทั้งวันเลยสิ?” วิทวัสพูดล้อๆ ก่อนจะเข้าประเด็น “โอเคๆ ที่โทร.มาเนี่ยจะชวนไปงาน พอดีลูกค้ารายใหญ่เค้าชวนผมไป ก็เลยอยากชวนคุณไปด้วยเผื่อจะได้คอนเนกชั่นไว้บ้าง”
“งานอะไร? งานวัดเหรอยะ?”
“ฟังชื่อแล้วก็น่าจะประมาณนั้นนะ งานบ้านศิลาแดง”
เพ็ญพรอึ้งตกใจ “ว่าไงนะ?”
“ชื่อบ้าน ไม่ใช่ชื่อวัด ตกลงไปด้วยกันนะ”
เพ็ญพรรีบบอกปัด “เอ่อ ไม่ได้ ไม่ไป ไม่ว่าง แค่นี้นะ ง่วงนอนแล้ว”
พูดจบก็รีบวางสาย ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“ชีวิตของแพร์รี่จะมีอะไรบังเอิญกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย? เฮ้อ งานบ้านศิลาแดง ท่าทางจะสนุกน่าดูล่ะ?”
พรเพ็ญสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ว่ากำลังจะจมน้ำ แต่เพ็ญพรมาช่วยไว้ได้ทัน พลางมองไปที่เตียงเอกสิทธิ์ที่ยังนอนไม่รู้สึกตัว
“น้องเขาจะมาช่วยหนูแล้วใช่มั้ยพ่อ”
พลันเสียงเคาะประตูห้องก็ดังรัว เธอรีบลุกไปเปิดประตู สโรชาเดินเข้ามาหน้าตาขึงขัง
“รู้หน้าที่ตัวเองหน่อยสิ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่างานนี้เป็นงานใหญ่ ตื่นซะสายขนาดนี้ ถ้าเย็นนี้งานออกมาบกพร่อง ฉันเอาเรื่องเธอแน่”
พรเพ็ญหน้าเจื่อน “ขอโทษค่ะ เดี๋ยวหนูพลิกตัวคุณพ่อแล้วก็จัดการเรื่องอาหารเสร็จจะรีบไปช่วยค่ะ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง เธอรีบจัดการตัวเองแล้วก็ไปช่วยในครัวได้ล่ะ ทำไม มองฉันอย่างนั้นทำไม? ฉันเมียพ่อเธอนะยะ กลัวฉันจะแอบบีบคอพ่อเธองั้นเหรอ?”
“เปล่าค่ะ เอ่อ ถ้างั้นหนูขออาบน้ำแป๊บนึงแล้วจะตามออกไปนะคะ”
“อย่านานล่ะ อ่อเรื่องอาหารกับยาของพ่อเธอฉันจะจัดการเอง”
สโรชาพูดจบก็เดินออกจากห้องไป
พรเพ็ญปิดประตูลง ก่อนจะหันกลับไปมองเอกสิทธิ์อย่างเป็นห่วง
สโรชา อาภาพร ณัฐพงศ์ นั่งกินข้าวต้มพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่ที่ห้องอาหาร ก่อนที่ฝ่ายแรกจะพูดแกมประชดขึ้นมา
“ฉันนึกว่าชาตินี้จะไม่มีทางได้ร่วมโต๊ะกินข้าวเช้ากับพวกแกซะละ”
“แหม คุณแม่บ้านเราจะมีงานทั้งที หนูก็ต้องเตรียมพร้อมหน่อยสิคะ ผมต้องทำ หน้าต้องแต่ง มันก็ต้องแต่เช้าหน่อย”
ณัฐพงศ์ยิ้มขำ “เตรียมพร้อมล่อใครไม่ทราบ เห็นทั้งงานมีแต่รุ่นคุณแม่ทั้งนั้น”
“น้องภาไม่คิดจะล่อใครหรอกค่ะ คนเดียวที่น้องภาหมายมั่นคือพี่ตรัยเท่านั้น”
“ ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าไอ้ตำรวจขี้เก๊กนั่นมันน่าอะไรตรงไหน แต่เอาเถอะ ถ้าแกจะมีความสามารถเขี่ยไอ้นั่นออกจากน้องพรได้ ฉันก็ว่าโอ”
สโรชาหันขวับไปมองลูกชายอย่างเอาเรื่อง “ตาณัฐ นี่แกคิดอะไรของแกอยู่”
“คุณแม่ก็อย่าซีเรียสสิครับ คิดซะว่าเด็กในบ้าน ผมก็เอาไว้แก้เครียดสนุก ๆ”
“อย่าก่อความเดือดร้อนอะไรให้ฉันเครียดกว่าเดิมก็แล้วกัน”
ขาดคำวาทินีก็กอดแขนเชาว์เดินนวยนาดออกมาแล้วถือวิสาสะดึงเก้าอี้ออกมานั่งชูคอเฉย อาภาพรไม่พอใจกระแทกช้อนลงที่ชามเสียงดัง
“คุณแม่คะ หนูไม่นั่งร่วมโต๊ะกับคน...อ้อ ไม่ใช่คนอะไรค่ะพูดผิด กับผู้หญิงประเภทอย่างเธอ”
พูดพลางหันไปมองจ้องวาทินีอย่างชิงชัง ฝ่ายหลังลุกพรวดทำท่าจะเล่นงาน แต่ เชาว์ดึงมือไว้ พร้อมๆ กับที่สโรชาลุกพรวดขึ้นยืน
“อยู่บ้านนี้กรุณาทำตัวให้เป็นผู้ดีหน่อย อ้อ เชาว์บ่ายนี้ตอนมีงานจะมีธุระข้างนอกก็เชิญนะ ฉันไม่ต้องการให้มีขยะสกปรกรกหูรกตาในงานบ้านฉัน”
พูดจบก็เดินออกไป อาภาพรรีบเดินตามไป ส่วนณัฐพงศ์ได้แต่หัวเราะแล้วตักข้าวใส่ปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วาทินีกระแทกตัวนั่งที่เก้าอี้อย่างหงุดหงิด เชาว์นั่งนิ่ง อย่างใช้ความคิด
สโรชาเจ้ากี้เจ้าการออกคำสั่งให้พรเพ็ญจัดเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อย แล้วก็เดินลอยหน้าลอยตาเข้าบ้านไป ด้วยมาดคุณนาย ป้าแจ่มเหลืออดอยากจะเข้าไปตบสักฉาด
พรเพ็ญทำหน้าเศร้า
“ป้าแจ่ม อย่าให้อะไรๆ แย่ไปกว่านี้เลย”
ทางด้านวาทินีก็พูดจาเหน็บแนมหาว่าเชาว์ไม่รีบดำเนินการอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ อีกฝ่ายยิ้มร้าย ก่อนจะพูดด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ทำอะไร จำไว้นะ เวลาเสือมันจะตะครุบเหยื่อมันต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ย่อง แล้วก็แบบนี้ๆ”
พูดพลางทำท่าตระครุบเมีย
อาภาพรรื้อค้นเสื้อผ้าจะใส่ไปงานอย่างหงุดหงิด เพราะไม่เจอชุดถูกใจ ก่อนจะหันมาโวยวายกับ
สโรชา
“ เห็นมั้ยเพราะคุณแม่คนเดียว ไม่รู้จะขี้เหนียวไปถึงไหน ขอเงินซื้อชุดใหม่ก็ไม่ยอมให้”
ณัฐพงศ์รีบเสริม
“จริงๆ จะจัดงานใหญ่ทั้งที ทุ่มงบให้ลูกซักคนละ 4-5 หมื่นก็ไม่ได้”
สโรชาทำท่ากระซิบ
“พอเลยทั้งพี่ทั้งน้อง แม่น่ะยังไม่ได้รวยอย่างที่พวกแกคิดหรอกนะ ทำตัวดีๆ อย่าดื้อ แม่สั่งให้ทำอะไรก็ทำ รอให้ไอ้แก่นั่นมันตายเมื่อไหร่ แม่จะแจกให้ไม่อั้น”
อาภาพรเบ้ปาก “กว่ามันจะตาย หนังเหนียวยังกะหนังสติ๊ก”
“ก็รอดูไป เอาน่ะๆ มีชุดอะไรก็ใส่ๆ ไปก่อน ลูกแม่น่ะสวยอยู่แล้ว ใส่ชุดอะไรก็สวย วันนี้แม่อุตส่าห์ทุ่มทุนจ้างช่างแต่งหน้าทำผมมืออาชีพมาตั้งแต่งให้เรา 2 คนเชียวนะ รับรองน่า ว่าลูกสาวแม่ต้องสวย อ่ะ!! แม่ไปดูความเรียบร้อยก่อน ป่านนี้นังพรมันอู้งานแย่แล้ว”
พูดจบสโรชาก็เดินออกไป อาภาพรหันมาทางพี่ชายทันที
“นังพร? จริงสิ พี่ณัฐ ฉันมีอะไรสนุกๆ ให้เล่นอยากเล่นด้วยป่ะ?”
ณัฐพงศ์เลิกคิ้วสนใจ
พรเพ็ญค่อยๆ หยิบชุดที่ตรัยซื้อให้มามองยิ้มน้อยๆ ป้าแจ่มเห็นชุดยับก็ออกปากจะเอาไปรีดให้ 2 พี่-น้องอาภาพรกับณัฐพงศ์แอบดูอยู่ หันมองหน้ากัน หน้าตายิ้มร้ายแบบมีแผน
ป้าแจ่มกำลังรีดชุดพรเพ็ญอยู่อย่างขะมักเขม้น พลันก็ได้ยินเสียงเหมือนของแตกดังมาจากด้านนอก จึงรีบวางเตารีดตรงที่พักเตารีดแล้ววิ่งออกไป
อาภาพรโผล่เข้ามาในห้อง มองซ้ายขวาแล้วหยิบเตารีดมาวางลงบนชุดที่อีกฝ่ายรีดค้างไว้แล้วรีบผลุบออกจากห้องไป
ป้าแจ่มเดินเข้ามาเห็นณัฐพงษ์ทำแจกันแตกก็ตกใจ
“ตายแล้ว คุณณัฐทำตกเหรอคะ งั้นเดี๋ยวป้าให้ไอ้เติมมาช่วยเก็บนะคะ พอดีป้ารีดผ้าคุณพรค้างอยู่”
ณัฐพงศ์พยักหน้าหงึก ๆ มองตามป้าแจ่มที่วิ่งออกไปแล้วยิ้มอย่างสะใจ
ลุงเติมเดินทำจมูกฟุดฟิดอยู่หน้าห้องซักรีด ก่อนที่ป้าแจ่มจะเดินเข้ามา พลางบอกให้ไปช่วยเก็บเศษแจกัน
“คุณณัฐแกทำแจกันหล่นแตก แกช่วยไปเก็บหน่อยสิ ฉันรีดผ้าคุณพรค้างอยู่”
“แกว่าแกรีดผ้าค้างไว้เหรอ?”
ทั้งคู่มองเข้าไปในห้อง แล้วก็สะดุ้งตกใจแทบจะกระโดดเข้าไปทันที
ป้าแจ่มนั่งร้องไห้กระซิกๆ อยู่ติดกับลุงเติม พรเพ็ญนั่งหน้าเศร้าอยู่ใกล้ๆ
“ป้าไม่ได้ทำนะคะคุณหนู ป้าสาบานได้ ป้าจะหลงวางเตารีดบนชุดใหม่คุณหนูได้ยังไง คุณหนูเชื่อป้านะคะ”
พรเพ็ญยังไม่ทันตอบอะไร อาภาพรกับณัฐพงศ์เดินเข้ามาในห้อง
“แจกันแตกทำไมยังไม่มีใครเก็บกวาด มากองอะไรกันที่ห้องนี้กันยะ อ้าว..นั่นมัน ตายจริง ชุดพี่ตรัยนี่ ตาย ๆ ๆ แล้วงานนี้จะใส่อะไรล่ะคะน้องพร ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ
ณัฐพงศ์ทำตากรุ้มกริ่ม
“เราออกไปหาซื้อชุดใหม่กันมั้ยจ๊ะ เอาให้แซบกว่าของไอ้ตำรวจนั่น แต่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนนะ”
ป้าแจ่มหน้าเจื่อน “คุณหนูคะ หักเงินเดือนป้าก็ได้ค่ะ แต่ป้าไม่ได้ทำจริงๆ นะคะ”
“ช่างมันเถอะป้า อีกอย่างหนูก็คงอยู่แต่หลังบ้าน ไม่ต้องใส่ชุดแบบนี้หรอกจ้ะ”
อาภาพรปรายตายิ้มเยาะ ก่อนจะเดินออกไปพร้อมพี่ชาย พรเพ็ญหันมาทางป้าแจ่ม
“หนูเชื่อ ว่าป้าไม่ได้ทำ”
ป้าแจ่มน้ำตาไหล “คุณหนูเชื่อป้า ขอบคุณคุณหนูมากค่ะ”
ลุงเติมรีบสะกิดถาม “งั้นแกว่าใครทำ?”
พูดพลางมองตาม 2 พี่-น้องไป
“ก็จะใคร้?”
พรเพ็ญมองชุดในมืออย่างเหนื่อยใจ
เพ็ญพร ปลอมตัวเป็นแพร์รี่ ใส่วิกผมสีบรอนด์ แต่งหน้าเข้ม เดินถือกระเป๋าอุปกรณ์แต่งหน้าทำผมเข้ามา ในฐานะลูกมือที่จะมาแต่งหน้าให้กับสโรชากับอาภาพร
“ซา-หวัด-ดีค่า คุณนาย กะลูกคุณนาย”
สโรชาได้ยินก็แทบกรี๊ด “อร้าย ฉันบอกแล้วไง อย่าเรียกคุณนาย ให้เรียกคุณผู้หญิง”
“โอ้ว ซอรี่ค่า คุณพูยิ่ง”
อาภาพรจิกมองอย่างไม่พอใจ “นี่อะไร? ทำไมต้องไปเอานังฝรั่งดองนี่มาเป็นลูกมือด้วย”
ช่างแต่งหน้ารีบบอก
“ฝรั่งดองที่ไหนกันคะ แพร์รี่นี่เค้ามาจากร้านทำผมชื่อดังในลันดั้นเลยนะคะ ร้านที่ทำผมให้เจ้าหญิง,ไฮโซผู้ดีอังกฤษทั้งนั้น”
สโรชาถามสวนขึ้นมาทันที
“ทำผมให้เจ้าหญิงซะขนาดนั้น แล้วทำไมถึงมาเป็นลูกมือกระจอกๆ แบบนี้?”
แพร์รี่รีบแก้ตัวแบบไหลลื่น
“โอ้ว! แพรี่อยากมาหาประสบการณ์น่ะค่า อยากรู้ว่าผมคนไทย คนเอเชีย แตกต่างกับคนอังกฤษยังไงน่ะค่ะ แต่-อเมซิ่งมั่กๆ ค่า แค่มองดูก็รู้เลยว่าคุณพูยิ่งกะคุณลูกผู้ยิ่งซวยมาก”
ช่างหน้า ช่างผมรีบช่วยพูดแก้ “สวยมากอ่ะค่า”
2 แม่-ลูกบ้ายอ ยิ้มพอใจ
แพร์รี่ หรือเพ็ญพรแอบมองทั้งคู่อย่างชิงชัง ก่อนจะค่อยๆ สอดส่ายสายตาไปรอบๆ อย่างสังเกตสังกา
สุดานั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่ร้านกาแฟ ใกล้ๆ กับบ้านศิลาแดง พลางชะเง้อชะแง้มองอย่างกังวลใจ
“ยัยเพ็ญเอ๋ยยัยเพ็ญจะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้ ฉันนี่ก็ไม่น่าบ้าไปกะแกด้วยเล๊ย ดันไปฝากแกให้กับพี่ช่างหน้า
ช่างผมเค้า ถ้าความแตกล่ะ เค้าเอาฉันตายแน่”
“เอ้านั่งพูดคนเดียว ไปหาหมอมั้ยครับ?”
สุดาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นหมอรุจน์ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างหน้า
“นี่ เป็นหมอ อย่าพูดจาซี้ซั้ว”
“เจอก็ดี ขอเบอร์เจ้าตรัยหน่อยสิ โทรศัพท์แฮ้งค์ ข้อมูลหายเกลี้ยงเลย”
สุดามองค้อน ก่อนจะกดโทรศัพท์ แล้วยื่นส่งให้ หมอรุจน์รับไปเมมเบอร์ ก่อนจะกดโทร. ออก พร้อมกับ
ที่มือถือสุดาก็ดังขึ้น
“อันนี้เบอร์พี่นะ ที่มิสคอลลไปอ่ะ”
สุดาทำหน้างง “ใครอยากได้”
“ฝากให้เจ้าตรัย เบอร์ใหม่ พี่เปลี่ยนเบอร์ คิดอะไรเข้าข้างตัวเองนะเราเนี่ย แล้วไม่ต้องส่งข้อความอะไรมาล่ะเป็นเด็กเป็นเล็ก ไว้รอโตก่อน”
พูดจบก็เดินออกไปเลย สุดาพูดไม่ออก แต่แอบมองมือถือตัวเอง แล้วอมยิ้ม
ขณะที่ช่างแต่งหน้า-ทำผมมะรุมมะตุ้ม 2 แม่-ลูกสโรชากับอาภาพร โดยมีเพ็ญพรคอยช่วยถืออุปกรณ์อยู่ใกล้ๆ พลางแอบจับจ้องทั้งคู่อย่างจับผิด
“คุณน้องนี่สวยได้แม่มาจริงๆ เลยนะคะเนี่ย ผิดขาวใสเด้งสุดๆ โชคดีจังค่ะ”
อาภาพรกับสโรชายิ้มปลื้มถูกใจ
“ก็โชคดีที่ได้แม่ เพราะถ้าได้พ่อคงไม่ไหวทั้งพ่อจริง ทั้งพ่อเลี้ยง”
เพ็ญพรหูผึ่ง ช่างหน้า ช่างผมตาวาว สโรชารีบทำเสียงปราม
“ยัยภา”
“ก็จริงนี่ค่ะคุณแม่ ผิวคุณพ่อย้าบหยาบสู้ผิวคุณแม่ไม่ได้ซักนิด ยิ่งผิวอีตาแก่นั่นทั้งเหี่ยวทั้งยับทั้งย่น แหวะ”
เพ็ญพรที่กำลังช่วยติดกิ๊บให้โมโห แกล้งทิ่มกิ๊บดำปักเข้าไปในหัวอาภาพรอย่างแรง
“อีบ้า อีฝรั่งดองบ้า แกจะปักหัวฉันให้ทะลุเลยใช่มั้ยอีกบ้า”
เพ็ญพรทำหน้าแบ๊ว “ใช่ค่ะ”
อาภาพรลุกขึ้นเงื้อมือจะตบ ช่างหน้าผมช่วยกันจับไว้ ก่อนจะหันมาดุเพ็ญพร
“ทำไมเธอทำอย่างนี้?”
“ตอนทำให้เจ้าหญิงก็ต้องปักให้แน่นๆ แบบนี้ค่า แพร์รี่อยากให้คุณพูยิ่งสวยกว่าเจ้าหญิงก็เลยต้องปักให้แน่นๆ ค่า”
อาภาพรค่อยยิ้มออก
“เออ งั้นก็แล้วไป แต่ไม่ต้องแน่นเกินนะ ฉันเอาสวยกว่าเจ้าหญิงนิดเดียวก็พอ”
เพ็ญพรแอบแสยะยิ้มใส่อย่างสะใจ
ทางด้านพรเพ็ญก็ช่วยป้าแจ่มกับลุงเติมเตรียมอาหารอยู่ในห้องครัว ที่มีแค่ของกินเล่นประเภทถั่ว ข้าวเกรียบ ตามประสาคนงก
ทั้งคู่เห็นพรเพ็ญค่อยยิ้มได้ก็สบายใจขึ้น แต่ไม่วายแอบห่วง
“เห็นคุณหนูยิ้มได้ แจ่มค่อยมีแรงสู้หน่อยค่ะ”
“น่าเสียดายนะครับ ถ้าคุณหนูเป็นคุณหนูสู้คน แบบด่ามาด่ากลับ ตบมาตบกลับ ศอกมาศอกกลับ เข่ามาเข่ากลับ”..
ป้าแจ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับผัว ก่อนจะพูดเสริม
“แต่ก็จริงของไอ้เติมมันนะคะ ถ้าคุณหนูลุกขึ้นสู้ขึ้นมาจริงๆ ก็ดีสิ แจ่มจะขอร่วมด้วยจะเอาให้นังแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงนั่นกระเจิงไปเลย”
พรเพ็ญส่ายหน้าช้าๆ
“ทำไงได้คะป้า หนูคงเกิดมาเป็นคนแบบนี้”
“แหม เติมว่า นี่ถ้ามีคุณหนูอีกซักคนก็คงจะดีนะครับ เอาแบบคุณหนูสู้คน เอาแบบตาต่อต่อ ฟันต่อฟัน ถ้ามียังงั้นขึ้นมาจริงๆ เมื่อไหร่ล่ะก็ สนุกกันละทีนี้”
ป้าแจ่มนึกสนุกตาม “เออ จริงว่ ฉันเอาด้วยนะตาเติม”
2 ผัว-เมียหัวเราะกันคิกคัก พรเพ็ญหน้าแหยๆ เพราะมันมีจริงๆ ซะด้วยสิ
ทางด้านเพ็ญพรก็ยังสนุกกับการแกล้งอาภาพร ทำเอาอีกฝ่ายทนไม่ไหว ลุกขึ้นจะเอาเรื่อง วาทินีเข้ามาพูดแดกดันซ้ำอีก 2 แม่-ลูกสโรชากับอาภาพรเลยหันเป้าหมายไปเล่นงานฝ่ายหลังแทน 2 ฝ่ายทะเล่าะตบตีกันชุลมุน
พรเพ็ญในคราบแพร์รี่ยืนมองอย่างสะใจ กว่าที่เชาว์จะแยกวาทินีออกมาได้
สโรชาหอบแฮ่กๆ ก่อนจะชี้หน้าด่า
“เอามันออกไป เอาอีนังสก็อยนี่ออกไปให้พ้น”
วาทินีสวนกลับทันที
“ฉันไม่ออก แกนึกว่าแกไฮโซนักรึไงอีนังคุณนาย ไส้เน่าๆ ของแกกี่ขดๆ ฉันรู้หมด อยากให้ฉันแฉมั้ยล่ะ”
เพ็ญพรหันขวับจ้องมองสโรชา ที่โดนจี้ใจดำจนหน้าจ๋อย
“ไง? จะให้แฉตอนนี้เลย รึจะรอไว้แฉในงานทีเดียวเลย?”
สโรชาอึกอัก เพ็ญพรจ้องมองอยากรู้ อาภาพรโกรธแทนแม่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
วาทินีหัวเราะหึๆ อย่างเหนือกว่า ก่อนจะเดินสะดิ้งมานั่งแทนที่สโรชา พลางลอยหน้าลอยตาพูด
“แต่งหน้าทำผมฉันให้เด้งเลยนะ เอาให้เด้งกว่าทุกคน”
พูดพลางหันไปจิกตาใส่เพ็ญพรที่ยืนทำหน้างง
“ยูนั่นแหละ ฝรั่งนั่นน่ะ มาทำให้ไอมาเร็วๆ ควิกๆ”
เพ็ญพรยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วทำกระแดะเอาใจทันที
“โอเค.ค่า คุณพูยิ่ง”
สองแม่ลูกยืนกัดฟันกรอดๆ เหมือนอกจะแตกตาย เชาว์ยืนเกาหัวแกรกๆ ทั้งรำคาญ ทั้งขำ
อ่านต่อหน้า 2
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 3 (ต่อ)
ขณะที่พรเพ็ญ ป้าแจ่ม และลุงเติม กำลังช่วยกันจัดโต๊ะบริเวณห้องโถงที่จะจัดงานเลี้ยง ครู่หนึ่งตรัยก็โทร. เข้ามือถือ
“เป็นไงบ้างครับน้องพร เหนื่อยมั้ย?”
“ไม่ล่ะค่ะ”
ตรัยพูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน
“เหนื่อยแน่ๆ ใช่มั๊ย? พี่อยากไปช่วยมากเลย แต่ทำไงได้ คุณน้าสโรชาไม่เอ่ยปากชวนซักคำ ขืนไปคงโดนไล่กลับ”
“ขอโทษแทนคุณน้าด้วยนะคะ แต่พรไม่มีสิทธิ์จริงๆ”
ตรัยยิ้มอย่างให้กำลังใจ เหมือนอีกฝ่ายนั่งคุยอยู่ตรงหน้า
“จริงๆ น่ะมี แต่น้องพรไม่ลุกขึ้นสู้เอง ช่างเถอะๆ ว่าแต่น้องพรใส่ชุดที่พี่ซื้อให้รึเปล่าครับ? ใส่พอดีมั้ย? ถ่ายรูปส่งให้พี่ดูบ้างนะครับ”
พรเพ็ญอึกอัก “เอ่อ...”
“ทำไมล่ะครับ? ไม่ชอบเหรอครับ?”
“ชอบค่ะ ชอบมาก แต่..แต่พรต้องรีบไปเตรียมงานต่อแล้วล่ะค่ะพี่ตรัย ขอโทษนะคะ สวัสดีค่ะ”
พูดจบก็รีบวางสายทันที ด้วยความสงสารตรัย
วาทินีแต่งหน้าประหลาดๆ ผมตลกๆ แบบตัวการ์ตูนญี่ปุ่นๆ นั่งอยู่หน้ากระจก 2 แม่-ลูก สโรชากับอาภาพรเห็นแล้วถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ ขณะที่เพ็ญพรรีบพูดนำเสนอ
“ซวยจริงๆ ค่ะ ฝรั่งคอนเฟิร์ม เทรนด์นี้ที่ยุโรปกำลังอินมาก มาแร้งมากค่ะ เชื่อฝรั่ง”
วาทินีได้ยิน ก็ยิ้มปลื้ม ก่อนจะหันไปเชิดใส่ 2 แม่-ลูก จังหวะนั้นณัฐพงศ์ก็โผล่เข้ามาในสภาพยับเยิน สโรชาหันไปมองอย่างตกใจ
“ตาณัฐ นั่นไปโดนหมาที่ไหนฟัดมา?”
อาภาพรแอบเหน็บ “ไปฟัดกะหมาละมั้ง”
สโรชามองอย่างระอา “ไปไหนมาหา ตาณัฐ?”
“ไม่ได้ไปหนาย ก็จิบๆ พอให้ได้ฟิล ซ้อมๆ ก่อนงานเริ่มน่ะครับแม่”
“นิดนึงก็เอา เผลอไม่ได้ มั่วได้เป็นมั่วเหมือนพ่อ”
พูดพลางหันมาบอกช่างหน้า ช่างผม “แต่งให้ลูกชายฉันด้วย”
“แต่ตอนแรกบอกว่ามาแต่งแค่ 2 คนนะคะ? ปกติเราจะคิดค่าบริการเป็นคนๆ ไปนะคะ”
สโรชาโวยวายเสียงดังทันที
“อะไรกัน? นิดๆ หน่อยๆ แต่งให้ผู้ชาย มันก็ไม่ได้จะแต่งอะไรมากนี่”
“แต่ตะกี้ก็..”
ช่างผมปรายตามองไปที่วาทินี
“เอ๊า! แม่คนนั้นเค้าเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ อยากแต่งก็จ่ายเองสิยะ”
วาทินีเชิดมใส่ “จ่ายเองก็ได้ ถ้าคิดว่ามันจะคุ้มกันกับการแฉ”
เพ็ญพรมองอยากรู้ว่าแฉอะไร? สโรชารีบพูดตัดบท
“ฉันจ่ายเอง แต่ขอราคาเหมานะ”
ช่างหน้า-ช่างผม ส่ายหน้าเกี่ยงกัน เพ็ญพรรีบเสนอตัว
“แพร์รี่เองค่า”
พูดพลางเดินไปจับณัฐพงศ์มานั่งลงอย่างแรง
“โอ้ว รุนแรง ชอบ ต่างชาติ”
ไม่พูดเปล่า ยังใช้มือจับก้นเพ็ญพรหมับ อีกฝ่ายทำตาโต ก่อนจะคว้าสเปรย์ฉีดผมฉีดใส่หน้าเต็มๆ
ณัฐพงศ์ร้องจ๊าก เอามือกุมหน้าดิ้นพราดๆ ความโกลาหลบังเกิดอีก สโรชารีบวิ่งไปดูลูกชายทันที
“ตาณัฐๆ”
อาภาพรหันมาตวาดใส่ “นังฝรั่ง ทำไมแกซุ่มซ่ามยังงี้”
“เปล่านะคะ แพร์รี่ตกใจ เค้ามาจับก้นแพร์รี่ แพร์รี่บ้าจี้”
“ยัยภา มาช่วยพี่ก่อน มาช่วยกันก่อนเร็ว”
อาภาพรรีบมาช่วยสโรชาลากณัฐพงศ์ออกจากห้องไป ทุกคนในห้องมองเพ็ญพรอย่างงงๆ
รอบบ้านศิลาแดงภายนอก ประดับประดาด้วยดวงไฟสว่างไสว ไม่มืดมิดสนิทอย่างเคย บรรดาแขกเหรื่อคุณนายไฮซ้อเริ่มทยอยเข้ามา สโรชายืนยิ้มแย้มต้อนรับอยู่กับอาภาพรที่ทำหน้าเซ็ง
“น่าเบื่อจะตายแขกของคุณแม่แต่ละคนซิ้มซ้อทั้งนั้น ไม่เห็นจะมีไฮโซหนุ่มหล่อซักคน หนูจะชวนพี่ตรัย
ของหนูมาก็ไม่ยอม”
สโรชามองค้อน
“จะชวนให้มันมาลากคอพ่อแก แม่แกเข้าคุกรึไงหา? เชื่อฉันเถอะน่ะ ไว้ฉันจะหาผู้ชายที่คู่ควรกับแกให้เอง”
พูดพลางหันไปจ๊ะจ๋ากับแขกเหรื่อ ปล่อยให้อาภาพรเบะปาก ทำหน้าเบื่อ
อีกมุมหนึ่งวิทวัสเดินเข้ามาหยุดๆ เมียงๆ มองๆ ก่อนที่คุณนายลี่เจียนจะรีบพุ่งไปหา
“มาถึงเร็วดีนะฮ้า แหม แต่งตัวโก้มาเลย แล้วไหนล่ะฮ้าลูกสาวอาคุงเดือนฉายที่บอกจะมาล่วยกัง”
“พอดีเขาติดธุระด่วนก่อนน่ะครับ ว่าแต่ตกลงนี่มันงานอะไรกันแน่ครับเนี่ย ดูงง ๆ”
คุณนายลี่เจียนมองรอบๆ แล้วป้องปากกระซิบ
“อย่าว่าเม้าท์เลยนะฮ้า เศรษฐีใหม่ฮ้า อาคุงสามีอีป่วย อีเลยฮุบบ้าน ฉลองป่าวประกากว่าตัวเองมีสิทธิ์ในบ้านนี้ ชิ”
วิทวัสพยักหน่าเข้าใจ พร้อมกับที่สโรชาเดินเข้ามา
“คุณนายลี่เจียน โถ อุตส่าห์สละเวลามา”
พอหันมาเห็นวิทวัส ก็เกิดสะดุดตาขึ้นมาทันที
“อาคงนี้ไงคะที่บอกจะแนะนำให้คุงสโรชารู้จักไว้ นี่คุงวิทวัสนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงที่กำลังดังอยู่
ตอนนี้ไง”
วิทวัสยกมือไหว้ พลางหยิบนามบัตรออกมายื่นให้
“บ้านกว้างขวาง ดูคลาสสิคดีนะครับ”
“ก็แค่บ้านเก่า ๆ น่ะค่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้น่าอวดอะไร แต่พอดีลูกชายกับลูกสาว เพิ่งกลับจากเมืองนอกมา
ทั้งคู่เลยถือโอกาสเปิดบ้านสังสรรค์ แนะนำตัวกันซักนิดนะค่ะ”
พูดพลางมองวิทวัสตาวาวอย่างสนใจ
“ขอโทษะนะครับ ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางไหนครับ”
“ทางนั้นค่ะ”
วิทวัสยิ้มรับก่อนจะเดินแยกออก สโรชาหันมาทางคุณนายลี่เจียนทันที
“หล่อนะคะ ดูดี๊ดี”
“รวยมั่กๆ ด้วยค่า”
สโรชาได้ยินก็ถึงกับตาลุกวาว
เพ็ญพรในคราบแพร์รี่ค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามาในห้องโถง พลางเหลือบมองซ้าย-ขวา สำรวจภายในบ้าน
พอเห็นปลอดคนก็ค่อยๆ ย่องๆ แล้วเดินสำรวจช้าๆ แบบนักสืบ โดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งแอบมองมาจากอีกมุม
เธอกวาดสายตาสำรวจซอกมุมของบ้านศิลาแดง จนไปเจอประตูเล็กๆ บานหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ
ย่องๆ เข้าไปที่ประตูนั้น พร้อมๆ กับเจ้าขอวสายตาคู่นั้นเริ่มเขยิบเข้าใกล้
เพ็ญพรตัดสินใจคว้าลูกบิดประตูจะเปิด ทันใดนั้นเจ้าของสายตาคู่นั้น ก็คว้าหมับจับเข้าที่มือของเธอ
“คุณ”
วิทวัสจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “คุณจะทำอะไรครับ?”
เพ็ญพรตกใจ จน ลืมไปว่าตัวเองปลอมตัวอยู่ “เอ่อ เอ่อ”
“อ่อ ขอโทษครับ พูดไทยได้มั้ยครับ?”
เธอนึกได้ รีบพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้าดิกๆ
“อ่าว ตกลงยังไงกันแน่เนี่ยคุณ พูดได้หรือไม่ได้”
เพ็ญพรรีบส่ายหน้าดิกๆ
“พูดไทยไม่ได้ อ่าวเฮ้ย แล้วทำไมฟังภาษาไทยออกอ่ะ?”
เธอรีบปั้นเสียงดัดจริตใส่
“ได้นิดโหน่ย” พลางทำมือว่านิดหน่อยจริงๆ
วิทวัสชี้ป้ายตัว M เล็กๆ ที่ติดอยู่หน้าประตู
“คือ..นี่มันห้องน้ำผู้ชายน่ะครับ ฟอร์ เมน ครับ ของผู้หญิงเลดี้อยู่ตรงโน้นครับ”
“โอ้ว ซอรี่ๆๆ แต้งกิ้วๆ ขอบคุณค่า”
พูดพลางรีบหันหลังให้ เพราะไม่อยากเห็นหน้านาน จากนั้นก็วิ่งจู๊ดหนีไปเลย วิทวัสมองอย่างงงๆ
“เฮ่ย! ยัยฝรั่งดองนี่ถ้าจะต๊อง เอ..ทำไมมันคุ้นๆ หว่า? เหมือนเคยเห็นที่ไหน?”
เพ็ญพรวิ่งหนีออกมา พลันก็ได้ยินเสียงจานแตกก็เลยหันไปมอง ก่อนจะเห็นพรเพ็ญ ป้าแจ่ม และลุง
เติม รวมถึงทนายสมศักดิ์ กำลังช่วยงานกันอยู่ในครัว เธอรีบย่องไปแอบดู
ป้าแจ่ม กับลุงเติม รีบช่วยกันเก็บกวาดจาน
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะคุณหนู ก็บอกแล้วว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่แจ่มเอง”
“ขอโทษนะคะป้าแจ่ม หนูรีบไปหน่อย แขกเริ่มมากันแล้ว เดี๋ยวจะเสิร์ฟไม่ทัน”
ลุงเติมถอนหายใจ พลางบ่นว่ามีกัน 3 คนยังไงก็เสริฟ์ไม่ทัน ทนายสมศักดิ์รีบเสนอตัวว่ายังมีเขาอีก 1
คน
เพ็ญพร แอบดูอย่างตั้งใจ ป้าแจ่มรีบบอก
“ไอ้เติมทำเป็นขี้เม้าท์ เดี๋ยวนางก็โผล่มาหรอก ยิ่งได้ยินเสียงจานแตกนี่โผล่มาไวนัก โผล่มาหัก
เงินเดือน”
“แต่ครั้งนี้หนูเป็นคนทำจานแตก ต้องเป็นความผิดหนูนะคะ”
ป้าแจ่มรีบห้าม
“ไม่ด้ายค่ะ แจ่มรับเองค่ะ อยากจะหักก็หักไปเพราะไม่มีจะให้หักแล้ว”
ขาดคำ ป้าแจ่ม ลุงเติม กับทนายสมศักดิ์ก็หัวเราะขำกันใหญ่ พรเพ็ญอดยิ้มขื่นๆ ด้วยไม่ได้
เพ็ญพรมองพี่สาวอย่างสงสาร
ป้าแจ่มพูดต่ออย่างหมั่นไส้
“คนอะไรน่าไม่อาย บ้านของคุณท่านกะคุณหนูแท้ๆ แต่มีหน้าเอาไปอวดว่าเป็นของตัวเอง ช่างกล้า
คุณทนายค่ะ ถามจริง คุณหนูจะต้องโดนแย่งบ้านศิลาแดงไปจริงๆ เหรอคะเนี่ย?”
ทุกคนรอฟังคำตอบ รวมทั้งเพ็ญพร ทนายสมศักดิ์อึดอัดใจพูดไม่ออก พรเพ็ญรีบตัดบท
“ไปช่วยงานกันเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณน้าจะโมโห”
พูดจบก็คว้าถาดเครื่องดื่มออกไปทันที ป้าแจ่มมองตามอย่างเซ็งๆ ก่อนที่ทุกคนจะช่วยถือของตาม
ออกไป
เพ็ญพรแอบฟังอยู่ก็ยิ่งขัดใจ
“เชิญเจ๊เป็นคนดีไปคนเดียวเถอะนะ นังพวกนั้นมันต้องเจอคนอย่างฉัน”
นอกจากป้าย “Welcome to บ้านศิลาแดง” แล้ว บนเวทีเล็กๆ มีเพียงคีย์บอร์ดตั้งอยู่เพียงตัวเดียว
บรรยากาศงานดูง่อยๆ กระจอกๆ เพราะสโรชาที่หน้าใหญ่ แต่ขี้งก ไม่ยอมลงทุน
นักดนตรีเล่นคีย์บอร์ดไปแบบแกนๆ ส่วนเจ้าของงานก็ยิ้มร่าอยู่กับแขกเหรื่อที่แอบทำหน้าเบื่อ วิทวัสยืน
อยู่กับคุณนายลี่เจียน ที่บ่นเรื่องไม่มีของกิน นอกจากถั่วกับข้าวเกรียบ เขาจึงอาสาเดินออกไปหาอาหารมาเพิ่มให้
ขณะที่พรเพ็ญกำลังเสิร์ฟอยู่กับแจ่ม อาภาพรก็แกล้งเรียกจิกหัวใช้
“นังเด็กเสิร์ฟ นังเด็กเสิร์ฟ”
ณัฐพงศ์มองตาสโรชา ก่อนจะช่วยอาภาพรเล่นงาน ด้วยการปรี่เข้าไปจับคางพรเพ็ญ
“เด็กเสิร์ฟบ้านนี้หน้าตาดีจุงเบย”
พรเพ็ญรีบปัดมือออก “อย่านะคุณณัฐ”
“ขึ้นเสียงเหรอ? นี่มันบ้านของฉันนะ”
ทนายสมศักดิ์รีบปรี่เข้ามาช่วย “คุณณัฐ เดี๋ยวงานจะไม่สนุกสมใจคุณแม่นะครับ”
อาภาพรแว้ดขึ้นมาอีก
“จะยืนเซ่ออยู่ทำไม? คอแห้ง ไปเอาน้ำมาเสิร์ฟเพิ่มสิยะ”
พรเพ็ญก้มหน้างุดๆ รีบเดิน ออกไปกับป้าแจ่ม เพ็ญพรยืนแอบมองอยู่อีกมุม ด้วยความสงสารแฝดพี่
ก่อนจะหันกลับมามองอาภาพรกับณัฐพงศ์ ด้วยสายตาเอาเรื่อง
“คอแห้งนักเหรอแก เดี๋ยวได้ชุ่มคอสมใจแกแน่ นังว่อก”
ทางด้านเชาว์ก็นั่งรอวาทินีแต่งตัวอย่างหงุดหงิด แต่พอเห็นอีกฝ่ายโผล่หน้ามาด้วยชุดสวย ก็ถึงกับ
ตะลึง
“ไงล่ะ คุ้มค่าการรอคอยไหม บอกแล้วหาตังค์มาให้ฉันเยอะ ๆ ฉันก็จะได้แต่งสวยอวดพี่ได้บ่อยๆ ไงล่ะ”
“แหม นี่ถ้าไม่ดื้อนะ รักตายเลย”
พูดพลางดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดอย่างหมั่นเขี้ยว
“ดื้อที่ไหน ฉันนี่แหละจะทำให้พี่ได้ตังค์ เขาเรียกฉลาดต่างหาก พอ ๆ ใจเย็นสิพี่ คืนนี้จะเปิดตัวเราทั้งที สมาชิกบ้านศิลาแดง มันต้องจัดเต็มกันหน่อย”
เชาว์มองวาทินีแบบหลงใหล พลางรีบดึงมือผลักประตูห้องออกไป
“งั้นก็รีบออกไป ขอพาเมียไปอวดหน่อย”
พรเพ็ญค่อยๆ ทรุดนั่งอย่างเหนื่อยใจ วิทวัสเดินผ่านไปแล้วชะงักกึก พลางขยี้ตามองอีกที แล้วอมยิ้ม
กรุ้มกริ่ม
“แสบจริงๆ แม่คุณ ทำเป็นเล่นตัวบอกไม่มา แล้วนี่โผล่มาเจ๋อเฉยเลย ต้องแกล้งซะหน่อย”
คิดพลางค่อยๆ ย่องๆ ไปโผล่ แล้วจะโกนใส่หู
“ตัวแสบ”
พรเพ็ญสะดุ้งตกใจ “คุณพระช่วย”
วิทวัสถึงกับหัวเราะก๊าก
“คุณพระช่วย? คุณเนี่ยนะอุทานว่าคุณพระช่วย? แอ๊บเว่อร์อ่ะ”
พรเพ็ญขยับจะลุกหนี แต่อีกฝ่ายรีบดักหน้าไว้
“ยังไงล่ะ? ไม่เถียง ไม่ด่าก่อนล่ะ?? วันนี้มาโหมดไหนอีกล่ะคุณ? จะมาก็ไม่บอก? แล้วนี่มาไงเนี่ย? อ๋อ
รู้แล้ว นี่ลงทุนจะมาเซอร์ไพรส์ผมเชียวเหรอ เสียใจด้วย แผนแตกซะก่อน”
พูดพลางมองชุดซอมซ่อของพรเพ็ญ
“แล้วนี่ โห นึกยังไงใส่เสื้อผ้าซะ กะจะไม่ให้ผมจำได้งั้นสิคุณเพ็ญ?”
พรเพ็ญชะงักกึก “เพ็ญ?”
“มาเลย มานี่เลย เดี๋ยวผมพาไปแนะนำให้รู้จักคุณสโรชาเจ้าของบ้าน เดี๋ยวจะได้เริ่มคุยกันยาว ๆ ซะทีว่าเขาสนใจจะมาร่วมอะไรกับเรา”
พรเพ็ญตกใจ รีบฝืนตัวไว้แล้วสะบัดมือออกจากวิทวัส
“ไม่ล่ะ ฉันขอตัวนะคะ”
วิทวัสรีบไปยืนดักหน้าไว้อีก
“ทำตัวประหลาดอีกล่ะ อย่างกับไม่ใช่คุณเพ็ญจอมแก่นงั้นแหละ”
“ก็ไม่ใช่...”
วิทวัสก้มหน้าลงเกือบชิดหน้าอีกฝ่าย “ไหน ให้ผมดูใกล้ ๆ ซิ ไม่ใช่ยังไง”
พรเพ็ญใจเต้นรัว วิทวัสก้มลงมองจ้องตา พลันก็รู้สึกว่าไม่ใช่ลูกตาดวงเดิมของเพ็ญพร เขาเคลิ้มมองตาหวาน ขณะที่อีกฝ่ายหวาดหวั่น ก่อนจะฉวยโอกาสผลักเขาจนหงายหลังก้นจ้ำเบ้าแล้วหนีไปทันที
“ โอย ยัยตัวแสบ ผีเข้าผีออกเร็วจริงเว้ย แต่เมื่อกี๊ ทำไมมัน มันไม่ใช่อ่ะ”
วิทวัสครุ่นคิดอย่างงวยงง
มือคีย์บอร์ดบรรเลงเพลงเปิดตัว พร้อมกับประกาศเสียงดัง
“และ ณ บัดนี้ขอเชิญทุกท่านพบกับคุณผู้หญิงแห่งบ้านศิลาแดง คุณสโรชา ศิลาแดง”
แขกเหงื่อบ้างก็ปรบมือ บ้างก็กระซิบกระซาบนินทา สโรชานวยนาดขึ้นเวทีคว้าไมค์มาพูด
“สวัสดีค่ะท่านแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน วันนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาร่วมสังสรรค์
และชื่นชมบ้านศิลาแดงอันโอ่อ่าของดิฉันค่ะ ปรบมือ”
พูดพลางปรบมือนำร่อง แขกทุกคนเลยจำต้องปรบมือตาม เพ็ญพรแอบซุ่มมองอยู่มาที่เวทีตาเขม็ง
“บ้านศิลาแดงของดิฉัน?”
อีกด้านหนึ่งพรเพ็ญ เดินมากับป้าแจ่ม ลุงเติม และทนายสมศักดิ์ 2 ผัว-เมียอ้าปากจะถามทนายซ้ำ
เรื่องกรรมสิทธิ์ของบ้านศิลาแดง แต่พรเพ็ญรีบทำเสียงปราม
สโรชาบนเวทียิ้มอย่างมีจริต ก่อนจะพูดต่อ
“อุ๊ยตาย จริงสิคะ ดิฉันพูดผิดไป บ้านศิลาแดงแห่งนี้ไม่ใช่ของดิฉันคนเดียวหรอกนะคะ แต่ในอนาคต
บ้านศิลาแดงแห่งนี้คงจะต้องตกเป็นของเขาทั้ง 2 คนนี้”
เพ็ญพรกับพรเพ็ญลุ้นรอฟังอยู่คนละมุม
“ณัฐพงศ์และอาภาพร ลูกชายและลูกสาวสุดที่รักของดิฉันเองค่ะ”
สิ้นเสียงประกาศ อาภาพรกับณัฐพงศ์ ก็เดินยิ้มร่าขึ้นเวที เพ็ญพรมองอย่างไม่พอใจ ขณะที่พรเพ็ญ
ถอนใจเฮือก
ทนายสมศักดิ์รีบหันมาพูดปลอบ
“คุณหนูต้องเข้มแข็งไว้นะครับ วันเวลาจะพิสูจน์ทุกอย่าง”
“หนูไม่ต้องการพิสูจน์อะไร หนูแค่ไม่อยากให้คุณพ่อต้องเสียใจไปมากกว่านี้น่ะค่ะ”
เพ็ญพรลอบมองพี่สาวอย่างสงสาร ก่อนจะตวัดสายตาไปจิกมองบนเวที
“ดิฉันและทายาททั้ง 2 หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะมีความสุขกับงานในค่ำคืนนี้นะคะ”
แขกเหรื่อแอบเบ้หน้า วิทวัสยิ้มเจื่อนๆ
ณัฐพงศ์หัวเราะร่วน “ผมว่า เรามาดื่มฉลองกันหน่อยดีมั้ยครับ” พลางตะโกนมาทางที่พรเพ็ญยืนอยู่
“หนูๆ เด็กเสิร์ฟ เอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟหน่อยซิ”
พรเพ็ญหน้าจ๋อย ตรงข้ามกับเพ็ญพรที่ตาวาวอย่างเอาเรื่อง
“ฉลองเหรอ? จัดให้”
พูดจบก็ย่องไปที่ถาดเครื่องดื่มที่ลุงเติมวางไว้ข้างๆ ตัว ขณะที่ทุกคนคุยกันอยู่
ป้าแจ่มกับลุงเติมรีบห้ามพรเพ็ญไม่ให้ถือถาดขึ้นไป โดยลุงเติมเป็นคนเดินถือขึ้นไปเอง เพ็ญพรแอบ
ยิ้มอย่างสะใจ
3 แม่-ลูกบนเวที ยกแก้วขึ้นชูสูง “เชียรส์” ก่อนจะชนแก้วกันอย่างเริงร่า พลางยกแก้วขึ้นซด ก่อนจะ
ทำหน้าตาพิกล เพราะรู้สึกมีอะไรแปลกๆ อยู่ในปาก พอชูแก้วเครื่องดื่มขึ้นดู ก็เห็นลูกอ๊อดแหวกว่ายอยู่ในแก้ว 3 แม่-ลูก
แทบอ้วก รีบพ่นเครื่องดื่มออกมา พลางร้องโวยวายลั่น
แขกเหรื่อรวมทั้งวิทวัส และกลุ่มของพรเพ็ญยืนมองอย่างงงๆ
มีเพียงเพ็ญพรเท่านั้นที่หัวเราะร่าอย่างสาแก่ใจ
หลังจากจบงาน สโรชาก็โวยวายเอาเรื่อง พรเพ็ญรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่นะคะคุณภา พวกเราไม่รู้เรื่องจริงๆ พวกเราไม่ได้ทำ”
ณัฐพงศ์จิกตาร้าย “ยังจะเถียง? พวกเธอไม่ทำแล้วใครมันจะทำ”
“ใช่ นอกจากพวกเธอแล้วมันจะมีใครที่คิดอิจฉาพวกฉัน” สโรชาพูดพลางตวัดตาไปมองวาทินี
“เอ๊ะ หรือจะมี? ซักวันฉันจะต้องลากตัวไอ้คนที่มันฉีกหน้าฉันในงานคืนนี้ออกมาให้ได้ อย่าให้ฉันรู้เชียวนะ ว่ามันเป็น
ใคร?”
พรเพ็ญล้างจานอยู่หลังบ้านตามลำพัง ครู่ใหญ่เชาว์ก็เดินย่องเข้ามา ในอาการมึนเมา ก่อนจะคว้าจับมือของเธอไว้
“มาจ้ะลุงช่วย”
พรเพ็ญตกใจรีบชักมือกลับทันที พลางเงยหน้าจ้องหน้าอีกฝ่ายสีหน้าหวาดกลัว เชาว์พยายามเอื้อมมือมาแย่งจานในมือ แล้วถือโอกาสแต๊ะอั๋งไปด้วย
“อย่าค่ะคุณลุง”
“ทำอะไรกันน่ะ”
วาทินีเดินโวยวายเข้ามา เชาว์สะดุ้ง รีบดึงมือออกมาเลยปัดโดนจานตกแตกดังเพล้ง
“ทำอะไรกันน่ะ”
พูดพลางจ้องหน้าเชาว์สลับกับหน้าพรเพ็ญ พร้อมๆ กับที่อาภาพรรีบดึงสโรชาเข้ามา
“คุณแม่ พี่พรเค้าแกล้งทำจานแตกค่ะคุณแม่”
พรเพ็ญหน้าซีด “เปล่านะ ก็คุณลุง”
อาภาพรยิ้มเยาะ “เปล่าอะไรคะ ก็เห็นอยู่เต็มตา”
“ใช่ เห็นอยู่เต็มตาว่าแกกำลังอ่อยผัวฉัน”
สโรชาทำหน้าระอา
“หยุดโวยวายกันซะที อะไรกัน บ้านนี้มีแต่ความวุ่นวาย เพราะมีคนอย่างพวกแก” ชี้วาทินี “พวกแก”
ชี้พรเพ็ญ “จะสร้างความอับอายให้ฉันไปถึงไหนหา?”
พรเพ็ญก้มหน้าก้มตา น้ำตาเริ่มคลอเบ้า สโรชารีบเดินเข้ามากระชากคว้ามือมาดู
“ไหน? เจ็บมากมั้ย?”
พูดพลางแกล้งบีบมืออีกฝ่ายอย่างแรง
“ฉันถามว่าเจ็บมากมั้ย?”
“คุณน้า พรเจ็บ”
สโรชายิ้มร้าย “เจ็บเหรอ ถ้าเจ็บก็หัดจำ แล้วก็เจียมเนื้อเจียมตัวให้มากกว่านี้สิ”
ป้าแจ่มรีบวิ่งเข้ามาห้าม สโรชาหันมาจ้องหน้า ก่อนจะสะบัดมือพรเพ็ญออกอย่างแรง
“จะยืนเซ่ออยู่ทำไม? ช่วยกันเก็บกวาดให้หมดเร็วๆ เข้า”
จากนั้นก็ปรายตาไปมองเชาว์
“นี่ก็ด้วย เก็บหางให้มันมิดๆหน่อยนะ อย่าเที่ยวมาแกว่งรุ่มร่ามในบ้านนี้”
“หึงเหรอคะ โอ๊ะ จริงสิ คุณสโรชาไม่ค่อยมีหางแกว่งมาโดนนี่ ก็อย่างว่าละน้า”
วาทินีพูดพลางเดินกรีดกรายไปเกาะแขนเชาว์ แล้วลอยหน้าลอยตาใส่สโรชา ที่พยายามสะกดอารมณ์ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไป มีอาภาพรวิ่งตามไปติดๆ
วาทินีลอยหน้าลอยตาใส่สโรชาก่อนจะหันขวับกลับมาจ้องพรเพ็ญ
“แกก็ด้วยเหอะอยู่ให้ห่างๆ ผัวฉัน ไม่งั้นฉันตบหน้าแตก ไปพี่เชาว์”
พูดจบก็ลากแขนเชาว์เดินไป พรเพ็ญจับแขนตัวเองขึ้นมาลูกคลำ น้ำตาไหลริน ป้าแจ่มทอดถอนใจด้วย
ความสงสาร
วิกผมสีชมพู และเสื้อผ้าชุดปลอมตัววางกองๆ สุมๆ อยู่ข้างๆ ขณะที่เพ็ญพรนั่งให้สุดาล้างหน้าลอก
คราบให้
“แกจะควักลูกตาฉันเลยป่ะล่ะไอ้สุดา อูย”
เพ็ญพรโวยวายลั่น เมื่ออีกฝ่ายดึงขนตาปลอมดังหนึบ
“โทษๆ แหม ก็มันแค้นแทนคุณพี่แฝดของแกนี่หว่า ยิ่งฟังแกเล่าก็ยิ่งของขึ้น นังแม่เลี้ยงเลวนรก เลวยิ่ง
กว่าในละครน้ำเน่า”
“นังแม่เลี้ยงคนเดียวซะที่ไหน? เลวทั้งโคตร ฮึ่ม เจ็บใจจริงๆ แทนที่จะเป็นลูกอ๊อด ฉันน่าจะเอายาฆ่า
แมลงให้พวกมันกินแทน”
“จะบ้า? ฆ่าคนตายโดยเจตนาเลยนะเว้ย”
เพ็ญพรมองค้อน “ย่ะ รู้ย่ะว่าพี่เป็นตำรวจ”
สุดากระชากขนตาที่เหลืออีกข้าง เพ็ญพรร้องลั่น
“ไอ้บ้า นี่ก็เกือบจะฆ่าคนตายโดยเจตนาแล้วนะไอ้สุดา อูย”
“เห็นป่ะล่ะ แค่นี้แกยังเจ็บเลย แล้วแกจะให้พวกนั้นมันกินยาพิษเนี่ยนะ?”
เพ็ญพรค้อนให้อีกวง
“แม่พระ ถ้าพวกนั้นมันคิดเป็นแบบนี้มั่งก็ดีสิ ไม่ใช่พวกมันเกิดเอายาพิษให้พ่อฉัน พี่ฉันกินขึ้นมาล่ะ
ฉันจะทำยังไงเนี่ย?”
สุดาส่ายหน้าเซ็ง
“เว่อร์ล่ะ พล็อตนี้เก็บไว้ให้ฉันเขี้ยนนิยายส่งสำนักพิมพ์เหอะแก”
“มันก็ไม่แน่นะเว้ย สมัยนี้คนใจดำยิ่งกว่าอีกาจริงๆ นะเว้ย พี่แกเป็นตำรวจน่ะ ไม่เคยเล่าให้ฟังมั่งเหรอ
เออจริงดิ พี่แกจะกลับมายังเนี่ย? ขืนโผล่มาตอนนี้ซวยแน่”
สุดารีบบอก
“อีก 2 วันจะกลับป่ะยังไม่รู้เลย เห็นบอกว่าต้องไปทำคดีที่ต่างจังหวัด เออ แกนอนค้างกะฉันเลยเหอะ
ดึกแล้วขี้เกียจขับไปส่งคอนโดแก”
เพ็ญพรพยักหน้า แต่ไม่วายย้ำว่าตรัยไม่กลับมาแน่ เมื่ออีกฝ่ายยืนยัน เธอก็หาวหวอดๆ แล้วล้มตัวลง
นอนทันที
ตรัยกลับมาถึงบ้านกลางดึก พบว่าประตูไม่ได้ล็อก ก็นึกเป็นห่วงน้องสาวทันที พลางรีบควัก
ปืนขึ้นมา ค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาอย่างระแวดระวัง เห็นไฟในบ้านเปิดสว่างโร่ เขาค่อยๆ ย่องเดินดูมุมนู้นนี้ จนสายตา
มาสะดุดกึกกับกองวิก, เสื้อผ้าปลอมตัวของเพ็ญพรที่วางกองอยู่เกลื่อนเต็มห้อง จากนั้นก็ตัดสินใจค่อยๆ ย่องขึ้นด้านบน
ช้าๆ ย่องเข้ามาใกล้ห้องสุดา
เพ็ญพรเริ่มยุกยิก ก่อนจะงัวเงียหลับตาลุกขึ้นหงุดหงิด
“ปวดฉี่เว้ย”
จากนั้นก็ลุกพรวดไปเข้าห้องน้ำ พร้อมกับที่ตรัยเปิดประตูผลัวะเข้ามา กระชากผ้าห่มออกทันที
“สุดา”
แล้วก็เห็นสุดานอนคุดคู้อยู่บนเตียงคนเดียว
สุดางัวเงีย ตวาดลั่น “เสียงดัง ตกใจ”
“สุดา ไม่เป็นไรนะ”
สุดาหลับตา พลางเอามือผลักหน้า จนอีกฝ่ายหน้าหงาย
“บอกว่าตกใจ” พอมองเต็มตาก็ยิ่งตกใจหนัก “ว้าย พี่ตรัย ว้าย แย่แล้ว”
พลางหันไปมองข้างๆ นึกว่าเพ็ญพรยังนอนอยู่ตรงนี้
“เฮ่ย หายไปไหนอ่ะ?”
ตรัยมองจ้องสงสัย “หายอะไร? ใครหาย?”
สุดาไหวพริบดี รีบตะโกนเสียงดัง “แย่แล้วๆ พี่ตรัยๆ”
เพ็ญพรที่นั่งฉี่อยู่ในห้องน้ำถึงกับสะดุ้ง หน้าตาตื่น
“นี่มันอะไรกันสุดา? เอาใครมานอนในบ้าน? ทำไมน้องสาวพี่กลายเป็นคนอย่างนี้กล้าเอาผู้ชายมา
นอนในบ้านแล้วเหรอ?”
สุดาขำกลิ้ง
“บ้า พี่ตรัย พูดอะไรอ่ะ น้องเสียหายหมดนะ ผู้ชายที่ไหนมันจะยอมมานอนบ้านเรา มีแต่เราแหละต้อง
ไปนอนบ้านมัน”
“ไม่ตลก สารภาพมาว่าเกิดอะไรขึ้น จะบอกดีๆ หรือจะให้พี่หาคำตอบเอง”
พูดพลางลุกขึ้นพรวดเตรียมจะสำรวจห้อง สุดารีบลุกมาขวาง
“เฮ่ยๆ ใจเย็นค่ะคุณตำรวจ คือไม่มีจริงๆ ค่ะ คือว่าเอ่อ สุดาก็นอนของสุดา นอนคนเดียวคนเดียวจริงๆ”
ตรัยมองอย่างไม่ค่อยเชื่อ “แน่ใจ?”
สุดาพยักหน้าหงึกๆ “ใครจะกล้าโกหกคุณตำรวจ”
ตรัยกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างสำรวจแล้วไปหยุดสายตาที่ห้องน้ำ ขณะที่เพ็ญพรอั้นฉี่อย่างสุด
ทน
สุดากลัวตรัยไปดูในห้องน้ำ รีบชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
“เออ ไหนพี่ตรัยบอกว่าจะไปต่างจังหวัด ทำไมรีบกลับล่ะคะ?”
“ภารกิจยกเลิก ทำไม? รีบกลับไม่ดีเหรอ?”
“ดีสิคะ ดีมาก แหม น้องอยู่บ้านคนเดียว น้องกลัว มีพี่ชายอยู่ด้วย แถมเป็นตำรวจอุ่นใจค่า”
ตรัยมองพิรุธของน้องสาว แต่ก็แกล้งทำตีเนียน
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ไปนอนได้แล้ว”
สุดาถอนหายใจโล่งอก
ตรัยกำลังจะออกจากห้อง ทันใดนั้นเสียงฉี่ก็ดังแว่วมา เขารีบหันขวับกลับมาทันที ก่อนจะพุ่งไปที่
ห้องน้ำทันที บิดลูกบิดประตู ที่ปิดล็อกอยู่
“ใคร? ใครอยู่ข้างในออกมาเดี๋ยวนี้ บอกให้ออกมาเดี๋ยวนี้ จะออกมาดีๆ หรือจะให้พังเข้าไป? ไม่ออก
ใช่มั้ย?”
ขาดคำก็ถีบประตูเปรี้ยง พอประตูเปิดออก ก็เห็นเพียงห้องน้ำว่างเปล่า สุดาหัวใจจะวาย
“พี่ตรัยทำงานเหนื่อยไปป่ะ พักซะหน่อยมั้ย?”
ตรัยกวาดสายตามองไปเจอหน้าต่างบานเล็กๆ เปิดอยู่ก็ชะงัก มองแบบรู้ทัน
“น้องว่าไปอาบน้ำนอนดีกว่าป่ะ?”
ตรัยทำท่าเหมือนไม่ติดใจอะไร
“นั่นสิ สงสัยพี่จะทำงานหนักเกิน อาบน้ำนอนอย่างสุดาบอกก็ดี แต่น้ำห้องพี่ไม่ไหล ขออาบห้องนี้นะ?”
สุดาอ้าปากค้าง เช่นกันกับเพ็ญพรที่ปีนไปนั่งตัวลีบอยู่นอกหน้าต่าง
ตรัยอาบน้ำถูสบู่อย่างสบายอารมณ์ ขณะที่เพ็ญพรนั่งตัวลีบอยู่ที่เดิม หน้าตาเซ็งเกินบรรยาย
พออาบน้ำเสร็จ เขาก็เดินมาแปรงฟัน ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ เดินมายืนแปรงตรงหน้าต่าง ทำเอาอีกฝ่าย
สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงแปรงฟันอยู่ใกล้ๆ พอเหลือบตาขึ้นมองเหนือหัว เห็นเขายืนแปรงฟันก็ตาเหลือก ตกใจ
ตรัยแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ บ้วนฟองแปะเต็มหัว ก่อนจะกลั้วคอแล้วบ้วนน้ำตามไปอีก จนหัวของเพ็ญพร
เปียกชุ่ม ก่อนจะผละออกไป ยังไม่วายเทน้ำในแก้วที่เหลือใส่อีกฝ่ายเต็มๆ
ทางด้านพรเพ็ญก็เอาผ้าห่มห่มให้เอกสิทธิ์ที่ลืมตามองลูกสาวอยู่อย่างเป็นห่วง
“คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ งานเลี้ยงเรียบร้อยดี แต่เสียงดังหนวกหูคุณพ่อไม่ชอบใช่มั้ยคะ?”
พอเห็นพ่อมองรอยแดงช้ำที่มือ เธอก็รีบเอาหลบ พลางฝืนยิ้ม ทั้งที่น้ำตาคลอ
“พรซุ่มซ่ามน่ะค่ะแต่พรไม่เจ็บนะคะ พรไม่รู้สึกอะไรเลย พรเป็นห่วงคุณพ่อมากกว่า ทำไมหมู่นี้ผอมซูบ
ลงไปอีก อาหารที่คุณน้าทำให้ไม่ถูกปากเหรอคะ?”
แววตาของเอกสิทธิ์หวาดระแวง เมื่อพูดถึงอาหาร
“ถ้างั้นพรจะพูดกับคุณน้า ขอเป็นคนทำอาหารให้คุณพ่อเองดีกว่านะคะ ยาล่ะคะ? ได้ทานครบมั้ยคะ?
คุณน้ายุ่งๆ จะลืมให้ยาคุณพ่อบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้”
ขาดคำ เสียงสโรชาก็ดังแว้ดเข้ามาเลย
“เธอว่าใครลืม? นินทาคนอื่นลับหลังมันไม่งามเลยนะคะ ลูกสาวคนดีของคุณเนี่ย เฮ้อ! พ่อแม่ไม่
สั่งสอน”
พรเพ็ญไม่พอใจ “คุณน้าคะ จะว่าก็ว่าหนู อย่าว่าไปถึงพ่อแม่ของหนู”
“ทำไม? ทำไมจะว่าไม่ได้ สูงส่งขนาดไหนเชียว โดยเฉพาะแม่เธอ”
“คุณน้า”
เอกสิทธิ์ไม่พอใจ เริ่มจะมีอาการกระตุก
“เชอะ แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เชียว ทำเป็นของขึ้น อ่ะๆ กินๆ ซะยาเนี่ย จะได้รีบๆ สิ้นเรื่องสิ้นราว
กันไปซะที”
พรเพ็ญชะงัก กับถ้อยคำที่แปร่งหู
“ฉันหมายถึง จะได้เสร็จๆ ได้ไปหลับไปนอนกันได้ซะที เหนื่อยสายตัวแทบขาดมาทั้งวันแล้ว
อ่ะ คุณ ฝืนใจทานยาหน่อยนะคะ”
เอกสิทธิ์มีอาการกลัว ไม่อยากกินยา พยายามหลบหน้าหนี แต่สุดท้ายสู้แรงไม่ได้ โดนสโรชากรอก
ยาจนหมด
“ก็แค่นี้”
พอสโรชาเดินออก พรเพ็ญก็รีบปรี่ไปกอดพ่อที่สำลักค่อกแค่ก
“ไม่ต้องกลัวนะคะ หนูอยู่นี่ อีกหน่อยคุณพ่อก็หายนะคะ อีกหน่อยพวกเราจะต้องได้อยู่พร้อมหน้า
พร้อมตากันอย่างมีความสุขนะคะ”
เพ็ญพรนั่งหน้าตูม พลางบ่นกระปอดกระแปดกับสุดาที่ช่วยเช็ดผมให้
“ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่ชายแกนะ ฉันจะตะปบ ลากคอ มาฉีกเนื้อให้เป็นชิ้นๆ เลยจริงๆ”
“เออๆ เข้าใจ แต่อย่าโกรธพี่ฉันเลยนะ เค้าไม่รู้นี่ว่าแกปีนไปแอบอยู่ตรงนั้นน่ะ”
เพ็ญพรค้อนปะหลับปะเหลือก
“เออก็จริง เอ๊ะ!! แต่เหมือนรู้นะ ถุยๆๆ ลงตรงหัวฉันเป๊ะๆ หรือว่าพี่ชายแกรู้วะ?”
“บ้า ไม่มีทาง ระดับสุดา ความลับไม่เคยหลุด”
เพ็ญพรพยักหน้าหงึกๆ
“เออดีแล้ว ความลับบ้านศิลาแดง ห้ามหลุดเด็ดขาดนะเว้ยเพื่อน หาว ง่วงแระ นอนเหอะ ฮัดเช้ย หวัง
ว่าพี่แกจะไม่เข้ามาป่วนอะไรอีกนะ”
“ไม่มี้ ป่านนี้นอนหลับปุ๋ยไปแล้ว”
“ดี งั้นนอน”
เพ็ญพรยิ้มแฉ่ง พลางดึงผ้าห่มมาคลุมโปงทั้งตัวเองและเพื่อน ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังลั่น
“สุดา สุดา เปิดหน่อย”
ทั้งคู่ลุกพรวดออกจากผ้าห่มที่คลุมโปงทันที
“แย่แล้ว ทำไงดีวะ?”
เพ็ญพรรีบคลานมุดไปซ่อนใต้เตียง สุดารีบวิ่งไปเปิดประตูให้ตรัย
“พี่ตรัยมีอะไร? ทำไมยังไม่นอน?”
“นอนไงไหว? แอร์ห้องพี่เสีย ร้อนจะตาย นอนไม่ได้อ่ะ คืนนี้ขอนอนด้วยนะ”
ขาดคำก็เดินกอดหมอนข้างดุ่มๆ มาโดดนอนลงบนเตียงทันที สุดาจำใจมานอนข้างๆ พี่ชาย ทั้งใจ
ระทึกห่วงเพื่อน
เพ็ญพรตาเหลือกอยู่ใต้เตียง มุบมิบด่า ก่อนจะคัดจมูก พยายามกลั้นฮัดเช้ย แต่ไม่ไหว จามออกมา
เสียงดัง
ตรัยลืมตาพรึ่บ ก่อนจะถามโพล่งขึ้นมา
“เสียงใคร?”
สุดาตาเหลือก รีบทำเป็นฮัดเช้ยซ้ำ
“เสียงสุดาเอง จะเสียงใคร ก็อยู่ด้วยกัน 2 คน สุดาเป็นหวัด”
“อ๋อเหรอ? ไปตากฝนที่ไหนมาล่ะ?”
“เออๆ อ๋อๆ ใช่ๆ เมื่อเช้าตากฝน”
ขาดคำเพ็ญพรฮัดเช้ยอีก สุดาต้องรีบฮัดเช้ยรับ
ตรัยแอบอมยิ้ม “ท่าจะเป็นเยอะ พรุ่งนี้หาหมอฉีดยาซะหน่อยนะ นอนๆๆ”
พูดพลางทำเป็นนอนขยับตัวแรงๆ ให้เตียงมันเอี้ยดอ้าด ก่อนจะทำทีเป็นนอนดิ้น เอาเท้าห้อยลงมา แทบจะตรงหน้าเพ็ญพรที่หลบอยู่ใต้เตียง ฝ่ายหลังจึงจำต้องนอนมองเท้าเขาอยู่ตรงนั้น
พลางทำหน้าเบ้ ปากเบะ เหมือนอยากจะร้องไห้
อ่านต่อหน้า 3
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 3 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น ตรัยเดินลงมาจะออกไปทำงาน ส่วนสุดาก็ทำทีเป็นลุกขึ้นเต้นแอโรบิกท่าทางมีพิรุธ
“โห เมื่อคืนนอนสบายสุดๆ เลย ไงเนี่ย? วันนี้คุณนายตื่นสายดันตื่นเช้าได้ สงสัยจะมีแผ่นดินไหว
ครั้งใหญ่”
สุดามองค้อน
“ว้าย!พี่ตรัย ปาก แหม..คนเรามันก็ต้องมีพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่ากันมั่งสิคะ”
ตรัยฟังแล้วก็นึกถึงพรเพ็ญขึ้นมา
“จริง นี่ถ้าน้องพรลุกขึ้นเปลี่ยนมั่งก็คงจะดี”
พูดพลางก็เดินผละออกไป สุดาวิ่งตามไปชะเง้อดูให้แน่ใจ ก่อนจะหันมาหน้าตายิ้มแฉ่งเจ้าเล่ห์
“ปลอดโปร่งโล่งเคลียร์ ออกมาได้แล้ว”
เพ็ญพร ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากมุม ก่อนจะวิ่งจู๊ดไปเกาะประตูดูให้แน่ใจ
“ไปแล้วชัวร์นะ ไว้ใจไม่ได้เลยพี่ชายแก”
สุดายิ้มขำ “ไม่แน่น้า ซักวันเค้าอาจจะเป็นคนที่แกอยากจะไว้ใจไปตลอดชีวิตก็ได้ ฉันเห็นมาเยอะแล้ว ในนิยายก็แยะ พระเอกนางเอกต้องกัดกันงี้แหละ สุดท้ายก็ได้กัน”
เพ็ญพรเบ้ปาก
“เยอะละแก นี่ มัวแต่มโนรีบมาเริ่มแผนที่เราคิดกันไว้เถอะ”
พรเพ็ญเตรียมจะทำข้าวต้มมื้อเช้าให้เอกสิทธิ์ แต่ป้าแจ่มรีบท้วงว่าสโรชาเตรียมให้แล้ว
“เธอลุกขึ้นมาจัดแจงแต่เช้า อยู่ในหม้อน่ะคะ เธอสั่งว่าให้อุ่นแล้วตักให้คุณท่าน แถมสั่งห้ามใครมายุ่ง
กับอาหารหม้อนี้ด้วยนะคะ”
พรเพ็ญแปลกใจ “เมื่อคืนก็เลิกกันดึก แต่คุณน้ายังขึ้นมาเตรียมแต่เช้าเหรอจ๊ะ”
“ถ้าจะมีข้อดีสักข้อ ก็คงเป็นข้อนี้ล่ะมั้งคะ”
เพ็ญพรยิ้มรับ ก่อนจะเดินตักข้าวต้มใส่ชาม โดยไม่ระแวงสงสัย
“โอเค. เรียบร้อย”
สุดายิ้มอย่างภูมิใจในฝีมือการแต่งหน้า เพ็ญพรค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในลุกใหม่ แต่งหน้าเปรี้ยวจี๊ด ไม่เหลือเค้าโครงเดิม พลางหันซ้ายหันขวาดูหน้าตัวเองในกระจก
“มันไม่แรงไปเหรอแก”
สุดาส่ายหน้า พร้อมกับเก็บเครื่องสำอางไปพลาง
“แหม แก จะปลอมเป็นพนักงานขายเครื่องสำอาง จะมาแต่งจืดๆ ได้ไงยะ มันต้องแบบนี้แหล่ะ ถึงจะ
อูมามิอิไตๆ”
จากนั้นก็เดินไปหยิบชุดมาให้เพื่อน
“แล้วก็นี่ ไปเปลี่ยนซะ แล้วเดี๋ยวเอากระเป๋าเครื่องสำอางไปด้วย เร็วๆ เลยแก เดี๋ยวจะได้ไปลุยกัน ฉันอยากจะลุยเต็มแก่แล้ว”
สุดายืนกอดอกยิ้มๆ มองตามเพ็ญพรที่หายเข้าไปเปลี่ยนชุด
สโรชานั่งเป็นประธานอยู่ที่หัวโต๊ะอาหาร ครู่หนึ่งอาภาพรเดินหาวหวอดๆ ลงมา
“โอ๊ย ง่วงจังเลยค่ะคุณแม่ งานเมื่อคืนเล่นเอาซะเพลียเลย”
จากนั้นเชาว์เดินตามมาติดๆ สโรชาสหันไปมองค้อน
“แล้วเมียชั้นสองของคุณไปไหนล่ะ? หรือว่าไม่กล้ามาร่วมโต๊ะแล้ว”
“ดีแล้วล่ะค่ะคุณแม่ ภาไม่อยากร่วมโต๊ะกับนังสก๊อย กินข้าวไม่ลง”
อาภาพรทำท่าขยะแขยง เชาว์รีบปราม ก่อนจะบอกว่าวาทินีจะกินข้าวในห้อง พลางหันไปสั่งป้าแจ่มให้ยกอาหารขึ้นไปเสิร์ฟ
สโรชาโวยทันที “มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ เป็นแค่อีคนอาศัย สะเออะมาทำแบบนี้”
“เอาน่าๆ เธอก็ไม่อยากจะร่วมโต๊ะกับเค้าอยู่แล้วนี่”
“แล้วทำไมไม่ไปรับประทานกับเธอในห้องซะเลยล่ะ”
เชาว์ทำไม่รู้ไม่ชี้ แอบปรายตาไปมองพรเพ็ญที่ตักอาหารอยู่
“ก็ไม่มีอะไร ก็แค่อยากดูอะไรให้มันสดชื่นบ้างอะไรบ้าง”
สโรชารู้ทัน รีบหันมาพูดกับเพ็ญพร
“ ไม่ไปดูพ่อเธอเหรอ? จัดการป้อนข้าวป้อนน้ำหรือยังล่ะ”
ป้าแจ่มรีบตอบแทน “คุณหนูเพิ่งให้คุณท่านทานยาค่ะ”
สโรชาปรี๊ดขึ้นมาอย่างลืมตัว
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะเป็นคนให้ยาคุณเอกสิทธิ์เอง”
ก่อนจะรู้ตัว รีบเปลี่ยนท่าที
“เอ่อ ฉันเป็นเมียนะ ฉันก็อยากทำหน้าที่เมียที่ดี จำไว้เลยนะ ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หน้าที่ทำอาหารและป้อนยาเป็นหน้าที่ของฉันคนเดียว”
พรเพ็ญก้มหน้านิ่ง เหมือนรับทราบ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปพร้อมป้าแจ่ม
วิทวัสเปิดแฟ้มเอกสารตรวจงานอยู่ในห้องทำงาน พลันเดือนฉายก็โทร. เข้ามือถือมา “สวัสดีครับคุณเดือน ครับผมเรียบร้อยดีครับ อ๋อ ผมก็ชวนไปงานลูกค้านะครับ” “แหม เด็กคนนี้นี่แย่จริงๆ ว่าแต่คุณวิสไปงานลูกค้าที่ไหนเหรอคะ?”“บ้านศิลาแดงครับ”บังเอิญสัญญาณโทรศัพท์ไม่ดี เดือนฉายจึงฟังไม่ชัด “ฟังไม่ชัดเลย ฮัลโหลๆ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่รบกวนคุณวัสแล้ว ขอบใจมากจ๊ะ”
เดือนฉายฟังโทรศัพท์เดินยิ้ม กดวางโทรศัพท์ แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะกับเคน กอล์ฟนั่งอยู่ข้างๆ คอยหยิบขนมเข้าปาก
เคนหันมายิ้มขำ
“ไง ยัยหลานสาวตัวแสบของพ่อไปก่อเรื่องอะไรเข้าอีกล่ะ”
“ก็ไม่ได้อะไรมากหรอกค่ะ ดื้อคุณวัสนิดหน่อย มันน่านัก กลับมาต้องตีซะบ้างแล้ว เสียงานเสียการ เดี๋ยวเสียลูกค้ากันหมด คงจะดีถ้ายัยเพ็ญจะเรียบร้อยเหมือน.....”
พอเคนเหลือบมองหน้า เดือนฉายก็รีบหลบตา มองไปที่อื่น สีหน้าสลดลง
วิทวัสวางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะ พลางนั่งอมยิ้มเหมือนคิดอะไร ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู
“ต้องป่วนซะหน่อย อยากรู้วันนี้จะเล่นมุกไหน?”
สโรชาเดินมาที่หน้าบ้านพร้อมกับอาภาพร ก่อนจะรีบบอกให้ฝ่ายหลังอยู่เฝ้าเอกสิทธิ์ อาภาพรถึงกับโวยลั่น
“โอ๊ย จะเฝ้าอะไรกันนักกันหนาคะแม่ เดี้ยงซะขนาดนั้น จะคลานยังไม่มีแรงเลย จะหนีไปไหนได้”
“แกนี่มันหัดฉลาดให้ได้เหมือนฉันได้ไหมเนี่ย อยู่เฝ้าเค้าบ้าง คนอื่นเค้าจะได้มองเราในแง่ดี ไม่ได้มาเพื่อหวังสมบัติอย่างเดียว”
“แต่ก็หวังกันจริงๆ นี่คะแม่”
สโรชามองหน้าลูกสาว พลางถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบเงินปึกหนึ่งส่งให้
“จะเลิกโวยวายได้หรือยัง”
อาภาพรตาโต รีบคว้าเงินมาทันที
“โอเค. แม่จะไปไหนก็ไปๆเหอะ หนูอยู่เอง”
สโรชามองตามอาภาพรที่เดินนับเงินอย่างดีใจหายเข้าไปในบ้าน ก่อนจะเดินไปขึ้นรถ ลุงเติมหันมาถาม
“วันนี้จะไปไหนครับ?”
“ไปตามที่ฉันบอกแล้วกัน ไม่ต้องถามมาก”
ในเวลาเดียวกัน รถของสุดาก็แล่นมาจอดที่กำแพงข้างๆ บ้านศิลาแดง ก่อนที่เจ้าของรถจะเปิดประตูลงมา พร้อมกับเพ็ญพรที่แปลงโฉมแล้ว ท่าทางเก้ๆ กังๆ
“ไม่ใส่ไม่ได้เหรอ ไอ้ส้นสูงเนี่ย”
“ไมได้ คนขายเครื่องสำอางต้องสวย ต้องจัดเต็มย่ะ ไปเหอะน่า ฉันรู้แกทำได้”
พูดพลางดันเพ็ญพรจะให้เดินไปที่หน้าบ้าน แต่ยังไม่ทันจะขยับตัว ประตูบ้านก็เปิดออก พร้อมกับรถที่
สโรชานั่งเคลื่อนออกมา ทั้งคู่รีบหันขวับไปทางอื่น มองโน่นมองนี่ จนรถเลยไป จากนั้นสุดาก็ยื่นกระเป๋าเครื่องสำอางกับแคตตาล็อกมาให้ เพ็ญพรอิดออด
“จะไหวมั้ยวะเนี่ย?”
“ฟังฉันนะ แก ทำ ได้ 5 4 3 2 แอ็คชั่น”
ขาดคำของสุดา เพ็ญพรก็สะบัดผมเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะเดินอย่างมาดมั่นไปหน้าบ้านศิลาแดงทันที
วิทวัสโทร. หาเพ็ญพร แต่ไม่ติด พลางคว้าเสื้อสูทกำลังจะออกข้างนอก แต่ยังช้ากว่าเลขาที่เดินเข้ามาบอกว่าลูกค้าขอเลื่อนนัดเร็วขึ้นมาชั่วโมงหนึ่ง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า พลางวางเสื้อสูท เดินไปนั่งตามเดิม
“รอดไปได้นะยัยตัวแสบ ตอนเย็นไม่ปล่อยแน่”
ทางด้านพรเพ็ญที่กำลังทำกายภาพให้เอกสิทธิ์อยู่ จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
“มีใครบางคนเค้าอยากมาเยี่ยมคุณพ่อนะคะ คุณพ่อจะต้องดีใจแน่เลยถ้าได้เจอเค้า”
เอกสิทธิ์มองอย่างสงสัย
“คุณพ่ออยากรู้ใช่ไหมล่ะคะว่าใคร? หนูเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าอยู่ๆ เราจะได้มาเจอกันอีกกับ...”
เพ็ญพรพูดค้างอยู่แค่นั้น เพราะเสียงกดออดรัวๆ ที่หน้าบ้านดังขึ้นมาขัดจังหวะ เธอทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะช่วยขยับเอกสิทธิ์ให้นอนเข้าที่
“เดี๋ยวหนูไปดูก่อนนะคะคุณพ่อว่าใครมา”
เอกสิทธิ์ครุ่นิดอย่างสงสัย พลางพยายามจะขยับปากเหมือนจะพูดอะไรออกมา
พรเพ็ญเดินตามออกมาหน้าบ้าน ก็เห็นอาภาพรยืนเท้าเอวจ้องหน้าเพ็ญพรที่ปลอมตัวเป็นเซลล์ขายเครื่องสำอาง
เพ็ญพรเห็นอีกฝ่ายโวยวายไม่เลิก ก็เลยแกล้งพูดยอ
“อุ๊ย ตายแล้ว เวลาคุณน้องยกคิ้วเวลาโกรธนี่ คิ้วคุณน้องดูได้รูปมากเลยนะคะ ดูผิวหน้าสิ ไม่เคยเห็นใครหน้าเนียนแบบนี้มาก่อนเลย ผิวดีแบบนี้ แก้มใสๆ แบบนี้ ถ้าได้บรัชออนสีสวยๆ อมชมพูนิดๆ จะเหมือนเด็กม.ต้นเลยนะคะเนี่ย”
อาภาพรเริ่มเคลิ้ม “จริงเหรอ?”
“จริงสิคะ เนี่ยแล้วตาสวยๆ คมๆ แบบคุณน้องเนี่ย ถ้าได้อายไลเนอร์เส้นคมๆ วาดลงไปซักนิด รับรอง เกรียวกราวกันทั้งซอย”
อาภาพรแอบเอามือแตะหน้าตัวเอง พลางเชิดหน้าขึ้น
“แล้วมีอะไรบ้างล่ะ?”
“ทุกเซ็ทที่จะช่วยเสริมความงามของคุณน้องให้เด่นกว่าเดิมค่ะ”
อาภาพรอมยิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะพยักหน้าให้เพ็ญพรเดินตามเข้าบ้าน ระหว่างที่ฝ่ายหลังเดินตาม บังเอิญสายตาไปประสานกับพรเพ็ญที่ยืนมองอยู่ เธอถึงกับทำตาโตดีใจ อ้าปากจะทัก แต่เสียงของอาภาพรแว้ดขึ้นมาก่อน
“เอ้าตามมาเร็วๆ สิ เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจซะหรอก”
เพ็ญพรแกล้งหันไปยิ้ม ก่อนจะเดินตามไป
“ยัยพรยืนเซ่ออยู่ทำไม ไปเอาน้ำส้มมาให้ฉันเสร็จแล้วก็ไปซักผ้า”
เพ็ญพรถึงกับตกใจที่ได้ยินอาภาพรจิกหัวใช้งานพรเพ็ญ ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร
“มันเกินไปแล้ว ไม่ไหวแล้วเว้ย”
อาภาพรปิดดูแคตตาล็อกอย่างสนอกสนใจ ขณะที่เพ็ญพร มัวแต่กวาดสายตาดูรอบๆ บ้านอยู่ตลอดเวลาครู่หนึ่งพรเพ็ญก็ถือน้ำส้มเดินเข้ามาเสิร์ฟให้ เพ็ญพรเหลือบจ้องมองแฝดพี่อย่างสงสาร
“เดี๋ยวตอนขึ้นไปเอาเสื้อมาซัก เอาผ้าปูไปเปลี่ยนให้ห้องฉันด้วยเลยละกัน ฝุ่นมันเยอะล่ะ เริ่มคัน”
เพ็ญพรหันขวับไปมองหน้าอาภาพรอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันมามองพรเพ็ญ ที่เอาแต่ก้มหน้า เดินถือถาดเปล่าออกไป
วาทินีเดินออกมา พอรู้ว่าเซลล์มาขายเครื่องสำอาง ก็สนใจ แต่อาภาพรรีบพูดกันท่า ด้วยการแกล้งบอกว่าเธอเหมาหมดแล้ว ฝ่ายแรกมองค้อน ก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปทันที
เพ็ญพรมองตามไปอย่างสนใจ อยากรู้ว่าใครเป็นใคร
“เอ่อ คุณน้องคนสวยคะ ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางไหนคะ?”
อาภาพรทำหน้ารำคาญ ชี้มือไปทางด้านหลัง
“ห้องน้ำคนใช้อยู่ข้างหลังโน่น อย่าทำห้องน้ำบ้านฉันเลอะเทอะล่ะ”
เพ็ญพรแกล้งยิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปข้างหลังทันที
สุดานั่งกระสับกระส่ายรอเพ็ญพรอยู่ในรถ พักใหญ่ตรัยก็โทร. เข้ามือถือมา
“ฮัลโหล ว่ายังไงพี่ตรัย อ๋อๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปซื้อให้เอง ว่าแต่พี่จะไปไหนเหรอ? อ๋อ จะไปบ้านศิลาแดง
เฮ้ย! จะไปบ้านศิลาแดง หา ตอนนี้เนี่ยนะ”
“ก็ตอนนี้น่ะสิ พอดีพี่ต้องไปแถวนั้นพอดี เลยจะแวะเข้าไปเยี่ยมคุณลุงด้วย ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น โอเค. เดี๋ยวพี่ออกล่ะ อย่าลืมไปซื้อของให้ด้วยนะ”
สุดาวางสาย พลางชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในบ้านศิลาแดงอย่างเป็นกังวล
เพ็ญพรเดินย่องๆ มองซ้ายมองขวามาทางด้านหลัง บังเอิญเห็นพรเพ็ญถือตะกร้าเสื้อผ้าเดินสวนมา ก็รีบเข้าไปคว้ามือมาหลบมุม
“อะไรกันคะคุณ?”
“คุณเคินอะไรอะไร ฉันเอง เจ๊ติ๋มก็..”
พรเพ็ญได้ยินคำว่าเจ๊ติ๋มก็เข้าใจทันที
“น้องเพ็ญ? อะไรเนี่ย? ต้องลงทุนทำแบบนี้เลยเนี่ยนะ เดี๋ยวใครจับได้ล่ะแย่แน่ๆ”
“พี่ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ตัวพี่เองเหอะ นี่พี่ต้องมาคอยรับใช้คนพวกนี้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
พรเพ็ญตอบไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าก้มตา หลบหน้าเพ็ญพร
“จะทำไงได้ล่ะ คุณพ่อก็ยังป่วยอยู่ พี่ไม่เป็นอะไรหรอก น้องเพ็ญรีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวถ้าใครรู้เข้าล่ะเรื่องใหญ่ มีคนมาแล้ว รีบไปเร็ว”
พูดพลางรีบจูงมือเพ็ญพรให้เดินหลบไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เชาว์จะเดินถือเสื้อผ้าของตัวเองเข้ามา พลางออกปากฝากให้พรเพ็ญพรช่วยซัก แต่ไม่วายแต๊ะอั๋งด้วยการหลอกจับมือ อีกฝ่ายตกใจรีบกระชากมือกลับ แล้วเดินหนีไป
เพ็ญพรที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
เพ็ญพรเดินกลับมาพลางพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ ก่อนจะฝืนยิ้มให้อาภาพร ที่อวดรวยด้วยการออกปากเหมาเครื่องสำอางทั้งหมด
“เอาหมดเลยเหรอคะ แหม คุณน้องนี่รวยจัง”
อาภาพรเชิดหน้า พลางหยิบน้ำส้มขึ้นมาดื่ม
“แน่นอน พ่อเลี้ยงฉันรวย ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด เดี๋ยวรอให้ตายเมื่อไหร่ฉันยิ่งใช้สบายกว่านี้อีก”
เพ็ญพรกำแคตตาล็อกในมือแน่นจนกระดาษแทบขาด
“แล้วจะเอาของมาส่งให้ฉันเมื่อไหร่ล่ะ?”
เพ็ญพรพยายามข่มใจ “พรุ่งนี้ค่ะ”
“งั้นพรุ่งนี้เอามาส่งแล้วค่อยเก็บเงินทีเดียวละกัน วันนี้หล่อนก็กลับๆ ออกไปได้ล่ะ”
พูดพลางนอนไขว้ห้าง ยกเล็บมือขึ้นมาดู ไม่สนใจเพ็ญพร ที่ก้มหน้าก้มตาทยอยเก็บของ ก่อนจะนึกแผนร้ายขึ้นมาได้ พลางรีบเสนอโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้า VIP.
“แต่งหน้าให้ฟรีๆ เลย จัดเต็มจัดแน่นเลย ชนิดที่ไม่เคยแต่งให้ใครมาก่อน แต่งให้เฉพาะลูกค้าเวรี่เวรี่ VIP คนเดียวเท่านั้นค่ะ”
อาภาพรตาโต
“คนเดียวเท่านั้น? เอาสิ จัดมา ฉันจะได้สวย สวยแบบเวรี่เวรี่ VIP. คนเดียวเท่านั้น ยืนเซ่ออยู่ทำไม? รีบแต่งสิยะ”
เพ็ญพรแกล้งยิ้มหวาน “แต่งเลยค่ะ มา”
จากนั้นก็แกล้งจับหน้าอาภาพรหันมาอย่างแรง โบกรองพื้นหนา เขียนคิ้ว ทาตา ปัดแก้ม กลายเป็นตัวตลก
สุดายืนกระวนกระวายอยู่ด้านนอก ครู่หนึ่งรถตรัยก็ขับตรงมา เธอรีบหันหลังหลบขวับทันที
“แย่แล้ว แพร์รี่”
เพ็ญพรแกล้งแต่งหน้าใหม่ให้อาภาพรออกมาเหมือนน้องหมา พลางยิ้มอย่างพอใจในผลงาน แต่พออีกฝ่ายขอดูกระจก ก็แกล้งอิดออด อ้างว่าอย่าเพิ่งดู เพราะอยากให้เซอร์ไพรซ์ “แหม นี่ถ้าแฟนคุณน้องได้เห็นโฉมหน้าของคุณน้องล่ะก็ คุณพี่รับรองค่ะว่าเซอร์ไพรซ์แน่ๆ”
อาภาพรยิ้มปลื้ม ยกมือแตะหน้าตัวเอง
“จริงเหรอ? ฉันสวยขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
ขาดคำ ก็ชะงักมองไปทางหน้าบ้าน แล้วก็ยิ้มแฉ่ง ตะโกนลั่น “พี่ตรัย”
เพ็ญพรชะงักกึก พร้อมๆ กับที่ตรัยเดินตรงเข้ามา
อาภาพรกวักมือเรียกหยอยๆ “พี่ตรัยๆ น้องภาสวยมั้ยคะ?”
ตรัยเดินเข้ามาใกล้ๆ มองอีกฝ่ายเต็มตาก็ตะลึงอึ้ง
“ตะลึงเลย น้องภาสวยมากใช่มั้ยคะ? คุ้มจริงๆ ไม่เสียแรงที่เหมาเครื่องสำอางของเธอหมด” พูดพลางจับเพ็ญพรหันให้ตรัยดูหน้า “นี่ค่ะ ฝีมือยัยคนนี้แต่งหน้าให้น้องภา”
ตรัยมองจ้องเพ็ญพร อีกฝ่ายรีบหลบหน้า พลางจะเดินเลี่ยงไป
“เอ่อ พี่ต้องไปล่ะ”
ตรัยรีบคว้าแขนไว้ “เดี๋ยว”
เพ็ญพรถึงกับตาเหลือก “มีอะไร?”
“นี่มันอะไรกันครับคุณ?”
เพ็ญพรอึกอัก อาภาพรแอบหึง รีบดึงมือตรัยกลับ
“พี่ตรัย ก็ไม่มีอะไรนี่คะ นางเป็นคนขายเครื่องสำอาง น้องภาเหมาหมด นางเลยแต่งหน้าสเปเชี่ยลให้สำหรับลูกค้าเวรี่เวรี่ VIP. อ่ะค่ะ“
อาภาพรพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ เพ็ญพรฉวยโอกาสวิ่งจู๊ดไปทันที ตรัยมองตามอย่างสงสัย
สุดาเห็นเพ็ญพรเดินออกมา ก็รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างดีใจ
“เรียบร้อยไหมแก เป็นไงบ้าง?”
เพ็ญพรทำหน้าเซ็ง “จะไม่เรียบร้อยก็ตอนเจอพี่ชายแกนี่ล่ะ”
“ฉันก็ลืมไปว่าพี่ตรัยเขาเป็นขาประจำของบ้านนี้อยู่แล้ว”
“เดี๋ยวไปคุยกันที่คอนโดฉันเหอะแก มีเรื่องจะเมาท์เยอะเลย”
พูดพลางพากันรีบขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที
ตรัยเดินเข้ามาเยี่ยมเอกสิทธิ์ในห้อง อาภาพรทำหน้ายู่ เดินเกาะแจตามมาด้วย
“วันนี้คุณลุงดูสดชื่นนะครับ คุณลุงต้องพยายามกายภาพตามที่หมอสั่งนะครับ อีกไม่นานก็จะเป็นเหมือนเดิม”
อาภาพรเบ้ปาก
“โอ๊ยพี่ตรัย สารร่างอย่างนี้ยังคิดว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเหรอ?”
ตรัยหันมาทำเสียงดุ “น้องภา”
อาภาพรสะบัดสะบิ้งมองไปที่เอกสิทธิ์อย่างรำคาญ ขณะที่อีกฝ่ายเผลอฉี่ราดออกมา เธอกรีดร้องอย่างขยะแขยง ตะโกนเรียกป้าแจ่มเสียงลั่นให้เข้ามาจัดการ พรเพ็ญเดินตามเข้ามา ก่อนจะอาสาดูแลเอง
“เดี๋ยวผมช่วยเองครับ”
อาภาพรทำหน้ายี้ “อย่านะคะพี่ตรัย น่ารังเกียจจะตาย อี๋”
พรเพ็ญรีบบอก “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำเองอยู่ทุกวัน”
“เห็นไหมคะ น้องพรเค้าทำของเค้าเองได้ น้องพรเค้าถนัดเรื่องของสกปรกๆ อยู่แล้ว”
ตรัยหันมาปราม “น้องภาครับ”
อาภาพรทำหน้าขยะแขยงเบ้ปากใส่พรเพ็ญ
-
“นี่พวกนั้นทำกับพี่สาวแกขนาดนี้เลยเหรอ?”
สุดาที่นั่งอยู่บนรถ เป็นเดือดเป็นแค้นแทนที่ได้ฟังเรื่องราวจากเพ็ญพร
“ใช่ เลวกันทั้งบ้าน ไม่รู้พี่พรทนได้ยังไง?”
“พี่แกเค้าเป็นคนยังไงวะ”
“เท่าที่สัมผัสได้ ก็เรียบร้อย อ่อนหวาน ทำงานบ้านเก่ง แล้วก็เจ้าน้ำตา”
สุดาส่ายหน้า
“งั้นก็ตรงข้ามกับแกหมดเลยสิวะ กะโหลกกะลา ทะลึ่งตึงตัง งานบ้านไม่แตะ แล้วก็โหดซาดิสม์ แล้วนี่แกจะทำยังไงต่อ?”
เพ็ญพรยิ้มอย่างมีแผน
“อย่างพี่พรน่ะไม่เหมาะกับคนบ้านนั้นหรอก กับคนเลวๆ พวกนั้นมันต้องเจอฉันนี่”
“แกหมายความว่าไงวะ แกอย่าบอกนะว่าแกจะ...”
ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เปลี่ยนตัว”
อาภาพรนั่งดูทีวีอยู่ด้วยสีหน้าเซ็งๆ สโรชาเพิ่งกลับจากข้างนอกเข้ามา เดินมานั่งที่โซฟา พลางเรียกหาน้ำส้มจากป้าแจ่ม
“ทำไมคุณแม่ไม่เรียกนังพรล่ะคะ ปล่อยให้สบายๆ ทำไม”
“เวลานี้มันคงดูแลพ่อมันอยู่ ปล่อยๆมันไปบ้าง”
ครู่หนึ่งณัฐพงษ์ก็เดินผิวปากสบายใจเข้ามา 2 คนพี่-น้อง อดไมได้ที่จะพูดแขวะกันไปมา จนสโรชาระอา พลันเชาว์ก็เดินลงมา เตรียมจะออกไปนอกบ้าน
“จะออกไปไหน?”
สโรชาหันขวับไปถามทันที
“แค่คิดก็สนุกแล้วอ่ะแก แผนแกอ่ะ”
สุดาหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินแผนการจากเพ็ญพร ขณะนั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟ
“แน่นอน ยิ่งถ้าได้ลงมือล่ะก็ แซบเว่อร์”
ขาดคำวิทวัสก็ถือแก้วแล้วก็จานขนมของตัวเอง พลางถือวิสาสะย้ายมานั่งโต๊ะเดียวกับเพ็ญพร
“ใครจุดธูปเชิญยะ”
“ไม่มี มาเอง อยากมาหลอกคนขี้เกียจชอบอู้งาน”
เพ็ญพรมองค้อน “ทุเรศ มาทำไม?”
“อ้าว ก็คุณเล่นไม่รับโทรศัพท์ผมนี่”
เพ็ญพรเบะปากทำไม่สนใจ ทำทีเป็นเปิดเมนูแล้วเรียกเด็กเสิร์ฟมาสั่ง แต่พอเงยหน้าขึ้นมา เห็นสุดามองวิทวัสยิ้มๆ แล้วเขาก็ยิ้มตอบ ก็แกล้งกระแทกเมนูเสียงดัง
“แกจะกินอะไรไหม หิวไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่กินฉันจะขึ้นห้องไปนอนล่ะ”
สุดาทำหน้าเซ็งๆ รีบดึงเมนูไปดู วิทวัสนั่งอมยิ้ม
“คุณนี่ก็ผีเข้าผีออกเหมือนเดิมนะ กลางคืนล่ะทำหงิมเชียว”
“หงิมอะไร?”
“ก็งานบ้านศิลาแดงไง”
เพ็ญพรถึงกับสะดุ้งเฮือก
อ่านต่อหน้า 4
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 3 (ต่อ)
สโรชาหยิบหมอนที่หล่นอยู่ขึ้นมาเขวี้ยงใส่เชาว์
“คนบ้านนี้นี่มันยังไงนะ?? จะหาดีไม่ได้เลยใช่มั้ย? หนอย พอกันทั้งพ่อทั้งลูก ลูกเข้าพ่อก็จะออก นี่มันจะหาดีไม่ได้เลยใช่ไหมคนบ้านนี้ จะไปไหนก็ไปเลย แล้วอีเมียเก็บแกล่ะ ไม่เอามันไปด้วยเหรอ?”
“หลับไปแล้วจ้ะ”
สโรชามองค้อน “สบายจริงนะ ชีวิตมีแต่กินกับนอน มีแต่คนคอยผลาญทั้งนั้น”
อาภาพรรีบพูดแทรกขึ้นมา
“จะผลาญเท่าไหร่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะคุณแม่ ของคุณลุงยังมีอีกตั้งเยอะ”
“คิดอย่างพวกแกมันก็ดักดานอยู่แค่นี้ไง”
สีหน้าสโรชาดูร้ายกาจขึ้นมาทันที
เพ็ญพรกับสุดาหันมามองหน้ากันงงๆ ก่อนที่ฝ่ายแรกจะแกล้งเออออไปด้วย
“อ๋อ ใช่ๆ บ้านศิลาแดง”
“เป็นปลาทองเหรอไงเนี่ย แค่นี้ทำลืม แล้วนึกไงล่ะ ไปขลุกอยู่แต่หลังบ้าน รู้จักเค้ามาก่อนหรือไง?”
เพ็ญพรนึกเอะใจ “อยู่แต่หลังบ้านเหรอ?”
“ก็ใช่สิ นี่ถ้าไม่รู้จักคุณมาก่อน ผมต้องคิดว่าคุณเป็นยัยแจ๋วของบ้านนั้นแน่ๆ”
เพ็ญพรได้ยินก็ขึ้งโกรธ
“อะไรๆ แค่นี้ไม่พอใจ เดี๋ยวก็กอดให้เข่าอ่อนแบบเมื่อคืนซะเลย”
สุดาเอามือปิดปากตกใจ ส่วนเพ็ญพรหันขวับมาจ้องหน้าวิทวัสทันที
“นี่นายกอด นาย..นายกอดฉันเหรอ? ไอ้โรคจิต”
ขาดคำก็บีบคอวิทวัสแล้วเขย่าอย่างแรง
“โอ๊ย คุณ หายใจไม่ออก”
สุดาอายคนในร้าน รีบกระชากเพ็ญพรออกมา
หมอรุจน์ตรวจอาการของเอกสิทธิ์ที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียง ก่อนจะหันมาบอกพรเพ็ญ ที่ยืนมองอยู่ข้างๆ
“เคสแบบนี้ อันที่จริงน่าจะให้นอนโรงพยาบาล”
พรเพ็ญถอนหายใจ “ภรรยาคุณพ่อท่าน อยากดูแลเองน่ะค่ะ”
หมอรุจน์มองเธออย่างเข้าใจ พลางหยิบนามบัตรส่งให้
“ถ้ามีอะไรดูท่าไม่ดี โทร. หาผมได้เลยนะครับ”
ตรัยรีบพูดดักคอ “ โทร. หาผมเลยก็ได้ เผื่อหมอมันยุ่ง”
พรเพ็ญยิ้มรับ พลางหันไปดึงผ้าห่มคลุมให้เอกสิทธิ์ หมอรุจน์ยืนมองอย่างชื่นชม
“ไม่เหนื่อยบ้างเหรอเนี่ย? เห็นตรัยบอกคุณต้องดูแลคุณพ่อทุกวัน”
พรเพ็ญส่ายหน้า
“ดูแลคุณพ่อไม่เหนื่อยหรอกค่ะ มีความสุขด้วยซ้ำที่ได้ทำอะไรให้ท่าน”
หมอรุจน์ถอนหายใจ ไม่พูดอะไร ได้แต่มองหน้าพรเพ็ญ ด้วยสายตาที่อ่อนโยน ขณะที่ตรัยรีบพูดปลอบ“ผมชอบตอนที่น้องพรร่าเริงมากเลยรู้ไหม เวลาน้องพรร่าเริงเข้มแข็งนี่ คุณโอเค. มากเลย”
พรเพ็ญนิ่งคิดและเข้าใจทันทีว่าตรัยคงเจอกับเพ็ญพร
“นั่นสิคะ ถ้าฉันเข้มแข็งได้อาจจะดีกว่านี้”
“น้องพรทำได้ พี่เชื่อ”
พรเพ็ญส่ายหน้ายิ้มๆ พลางยืนขึ้นเก็บถ้วยชามของเอกสิทธิ์ หมอรุจน์มองตามอย่างชื่นชม โดยไม่สนว่าตรัยจะหวง
เพ็ญพร สุดา วิทวัส ต้องหลบสายตาคนในร้าน ออกมายืนกินกาแฟกันด้านนอก ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกกัน วิทวัสมองตามเพ็ญพรที่เดินเข้าคอนโด แล้วก็แอบยิ้ม
“ยัยบ๊องเอ๊ย น่ารักได้ไม่ทันข้ามวันเลย”
บรรยากาศยามเช้า ณ บ้านสวนเสาวรส
เดือนฉายนั่งจัดดอกไม้อยู่ที่โต๊ะ สีหน้าท่าทางอารมณ์ดี พักหนึ่งเคนกับกอล์ฟก็เดินถือถาดที่เพิ่งใส่บาตรเข้ามา
“วันนี้ดูอารมณ์ดีนะลูก”
เดือนฉายยิ้มรับ
“ค่ะ เมื่อคืนฝันดีนิดหน่อยค่ะ หนูฝันว่าเจอของที่หายไป”
เคนพยักหน้ารับ เดินมานั่งข้างๆ
“อืม อาจจะเป็นลางดี ใช่ไหมเจ้ากอล์ฟ”
กอล์ฟยืนสัปหงกโงนเงนสะดุ้งตกใจ ทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะข้างๆ
“แล้วเมื่อไหร่คุณเพ็ญจะกลับมาล่ะครับ? คุณเพ็ญไม่อยู่ กอล์ฟไม่ได้ไปไหนมาไหน ไม่มีอะไรแผลงๆ มาเล่นเลย”
เดือนฉายกับเคนหัวเราะขำอย่างเอ็นดู
“ยัยเพ็ญจะกลับมาวันไหน?”
“คงไม่กี่วันมั้งคะ เมื่อวานก็โทร. มางอแงจะกลับ แต่หนูบอกให้ช่วยงานตาวัสไปก่อน ไม่รู้จะแผลงฤทธิ์หรือเปล่า?”
เพ็ญพรเปิดประตูรถลงมาในชุดแบบเมื่อวาน สุดาก้มๆ เงยๆ หยิบกลองใบหนึ่งออกมาจากในรถส่งให้
“เอ้า ของแก พร้อมลุยไหม?”
เพ็ญพรพยักหน้ารับ
“อยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นอะไรๆในบ้านนั้น ฉันยิ่งอยากจะจัดการให้เร็วที่สุด”
“แล้วพี่สาวแกเค้าจะยอมเล่นด้วยเหรอวะ?”
“ก็ต้องลองดู ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยให้รู้เรื่อง”
พูดพลางชูสองนิ้วให้สุดา ก่อนจะสะบัดบ๊อบเดินเชิดหน้าไปที่หน้าประตูบ้านศิลาแดง
สโรชาเตรียมจะออกไปข้างนอก พลางบอกกับอาภาพรว่าจะออกไปคุยธุรกิจ พร้อมทั้งเอ่ยปากชวนลูกสาวไปด้วย แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเหี่ยว
“ไม่อ่ะค่ะ เชิญคุณแม่ตามสบาย”
“พวกแกเนี่ยนะ ไม่คิดจะทำอะไรให้มันงอกเงยขึ้นมาเลยหรือไง? แต่คนที่ฉันจะไปหาวันนี้ เป็นนักธรกิจหนุ่มหล่อชื่อดังเชียวน้า วันนั้นก็มางานบ้านเรา”
อาภาพรนั่งทาเล็บต่อ ทำไม่สนใจ
“หนูสนแต่พี่ตรัยคนเดียว”
“นี่ บอกกี่ครั้งแล้วให้อยู่ห่างๆ อีกตาตำรวจคนนั้น ฉันว่าแกหันมาจับนักธุรกิจอย่างคนที่ชื่อวิทวัสนั่นก็จะดี กว่าเยอะ”
พูดพลางชะเง้อมองไปที่หน้าบ้าน
“ผู้หญิงที่ไหนมายืนทำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าบ้าน”
“สงสัยเป็นยัยเซลล์ขายเครื่องสำอางมั้งคะ คงเอามาส่ง เมื่อวานหนูสั่งไว้”
สโรชาโวยวายใส่ทันที
“ตายล่ะ นี่แกซี้ซั้วให้พวกเซลล์ พวกคนแปลกหน้าเข้าบ้านเหรอ? แล้วถ้าเกิดเป็นโจรมาปล้น มาปล้ำแกจะทำยังไง”
อาภาพรยักไหล่ ทำเหมือนไม่แคร์
“ก็จัดโซฟาให้พร้อม คุณแม่ก็คิดมากไป ก็อีแค่เซลล์ธรรมดาๆ เท่านั้นล่ะ”
“เออ รอให้มันมายกเค้าไปหมดบ้านก่อนแล้วจะรู้สึก ฉันไม่เถียงกับแกละ ฉันไปล่ะ”
อาภาพรเห็นสโรชาทำท่าจะออกไป ก็รีบแบกมือขอเงิน ฝ่ายหลังถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบเงินยัดใส่มือ แล้วเดินสะบัดออกไป
ทันทีที่ประตูรั้วอัตโนมัติเปิดออก เพ็ญพรก็ถือกล่องเครื่องสำอางเดินเข้ามา สโรชาที่ขับรถสวนออกมา รีบหยุดรถ พลางเปิดกระจกเลื่อนลง ก่อนจะหันมามองเพ็ญพรที่ปลอมตัวหัวจรดเท้า อีกฝ่ายมองจ้องตอบกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง
เลขาสาวเข้ามาแจ้งกับวิทวัสว่าสโรชาจะเข้ามาขอพบตอน 11 โมง เขาหวนคิดถึงคำพูดของลี่เจียน ที่พูดถึงอีกฝ่ายเมื่อวันงานบ้านศิลาแดง แล้วก็ครุ่นคิดอยู่คนเดียว
“แล้วคุณนายนั่นจะมาหาเราทำไม?”
พรเพ็ญถือแก้วน้ำส้มเข้ามาเสิร์ฟให้อาภาพร พอเห็นเพ็ญพรปลอมตัวเข้ามาอีก ก็ชะงัก แต่อีกฝ่ายกลับแอบยิ้มให้
“เท่าไหร่ล่ะ?”
พรเพ็ญมองหน้าแฝดน้องอย่างเป็นห่วง ก่อนจะเดินออกไป พร้อมกับที่เพ็ญพรแกล้งหยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมากดส่งๆ
“ ทั้งหมดรวมแล้ว ลดแล้วก็ห้าพันพอดีค่ะ เศษนิดหน่อยฉันปัดขึ้นให้ค่ะ”
อาภาพรทำปากขมุบขมิบ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินออกมานับแล้วส่งให้
“ขอบพระคุณมากนะคะคุณน้อง สวยๆ หนาๆ อย่างคุณน้องรับรองเกิดแน่ค่ะ”
พูดพลางลอบมองแก้วน้ำส้มที่วางอยู่
“ค่ะ งั้นฉันกลับล่ะนะคะ”
จากนั้นก็แกล้งทำท่าจะลุกขึ้น หยิบกระเป๋าขึ้นมา แต่แกล้งเหวี่ยงไปโดนแก้วน้ำส้มจนหกรดอีกฝ่าย
“อีบ้า แกทำอะไรของแกเนี่ย?”
“ต๊ายตาย ขอโทษนะคะคุณน้อง ดูสิเลอะหมดเลย มาค่ะคุณพี่ช่วย”
“ไม่ต้อง แกกลับออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว รีบๆ ไปเลยไป”
อาภาพรก้มลองดูชุดตัวเองก่อนจะกระฟัดกระเฟียดเดินหายขึ้นไปข้างบน เพ็ญพรยิ้มออกมาอย่าง เจ้าเล่ห์ ก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วเดินหายเข้าไปทางด้านหลัง
“พี่พร พี่พร”
เพ็ญพรเดินมองหาไปเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพรเพ็ญ ก่อนจะตัดสินใจแง้มๆ เปิดประตูมองเข้าไป พลางมองกวาดเข้าไปในห้อง จนมาสะดุดที่เตียงที่เอกสิทธิ์นอนหลับอยู่
ทันทีที่เห็นพ่อ สีหน้าก็เธอเปลี่ยนเป็นเศร้า
“ทำอะไรน่ะคุณ?”
เพ็ญพรสะดุ้งรีบเปลี่ยนสีหน้าให้ปกติก่อนจะหันกลับมา “คือฉัน ฉัน”
ป้าแจ่มมองอย่างสงสัย
“คือฉันจะมาหาคุณผู้หญิงอีกคนน่ะ เอาลิปสติกมาให้”
“คุณหนูเธอไม่แต่งหน้านี่ เธอไม่ซื้อคุณหรอก”
เพ็ญพรรีบปดต่อ “เปล่าค่ะ พอดีอันนี้เป็นตัวเทสต์น่ะ อยากให้คุณเค้าได้ลอง”
“คุณหนูเค้ารดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน”
“เหรอคะ งั้นเดี๋ยวฉันขอเอาไปให้เธอลองนะคะ”
เพ็ญพรยิ้มหวานให้ ก่อนจะรีบปลีกตัวออกไป
เพ็ญพรเดินออกมาที่สวน เห็นพรเพ็ญยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ ก็กำลังจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ต้องชะงักเพราะเห็นเชาว์เดินมา เธอเลยรีบไปแอบอยู่ใกล้ๆ
เชาว์เดินกะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาด้านหลังพรเพ็ญ ก่อนจะฉวยโอกาสเข้ามาเกาะไหล่
“ทำอะไรจ๊ะหนูพร”
พรเพ็ญสะดุ้งหันกลับมา พอเห็นเป็นเชาว์ก็ตกใจพยายามถอยหนี “คุณลุง”
“ตกใจอะไรจ๊ะ มาเดี๋ยวลุงช่วย”
พูดพร้อมกับพยายามโอบด้านหลังเอื้อมมือไปช่วยจับสายยาง พรเพ็ญพยายามขืนตัวออก เพ็ญพรที่แอบมองอยู่ นึกโกรธขึ้นมาทันที
“ทำอะไรกันน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
วาทินีโวยวายลั่นสวน ก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาดึงเชาว์ออกมา แล้วหันไปชี้หน้าด่าพรเพ็ญ
“แกยุ่งอะไรกับผัวฉัน”
“ฉัน ฉันเปล่า ก็คุณลุง”
วาทินีหันขวับไปจ้องหน้าเชาว์ ที่แกล้งทำหน้าเหรอหราไม่รู้เรื่อง
“ฉันเปล่านะ อะไรกันหนูพร ก็หนูเองเป็นคนบอกให้ลุงมาช่วย บอกว่าอยากเปียกไปกับลุงไม่ใช่เหรอ?”
พรเพ็ญหน้าเสีย ส่ายหน้า น้ำตาคลอ ทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะถูกวาทินีปรี่เข้าไปง้างมือตบแบบไม่ยั้งมือ เพ็ญพรที่ยืนแอบมองอยู่ ทำทีเป็นวิ่งเข้าไปแทรกกลาง
“อย่าตีกันค่ะ อย่าตีกัน”
พูดไปก็ทำท่ากันวาทินี แต่กลับจับมือพรเพ็ญ ตบหน้าอีกฝ่ายหลายครั้ง จากนั้นก็จับมือเชาว์มาล็อกแขนวาทินีเอาไว้
“ไม่เอาสิคะ คุณขา อย่าตีกันค่ะ”
เพ็ญพรพูดไปพร้อมกับมือพรเพ็ญตบวาทินีตลอด ซ้ำเเอบช่วยกระทืบขาด้วย ครู่หนึ่งเชาว์ก็ตั้งสติได้
“เฮ้ย ใครวะ?”
วาทินีหลุดออกมา ก็ยืนจ้องหน้าเพ็ญพร
“แกมาขายเครื่องสำอางแล้วเข้ามาถึงนี่ได้ไง?”
“นั่นสินะคะ คือ รักสงบค่ะ เห็นคนตีกันอดห้ามไม่ได้ เลอะหมดเลย โทษนะคะ โทษนะคะ ล้างให้”
พูดพลางเดินอ้อมไปดึงสายยางกลับมาที่ตัวเองก่อนจะฉีดไปที่วาทินีกับเชาว์จนเปียกปอน รีบวิ่งเตลิดเข้าไปในบ้าน
เพ็ญพรมองตาม พลางหันกลับมามองพรเพ็ญด้วยความสงสาร ก่อนจะโอบกอดอีกฝ่ายไว้แน่น
เพ็ญพรจับหน้าพรเพ็ญ เห็นรอยแดงจากการโดนตบเป็นปื้น
“ทำไมพี่ไม่สู้มันบ้างล่ะ ปล่อยให้มันทำอยู่ได้”
“ช่างเถอะ พี่ไม่อยากมีเรื่อง ถ้าคุณพ่อรู้ท่านอาจทรุดลงไปอีก”
เพ็ญพรรีบถาม “คุณพ่อ ที่นอนอยู่ในห้องด้านหลังใช่มั้ย?”
“เจอคุณพ่อแล้วเหรอ?”
“แค่บังเอิญ ยังไม่ได้เข้าไปหาท่านเลย พี่พร สภาพท่าน อยู่ แบบ.. พวกนั้น เพราะพวกนั้นใช่ไหม?”
พรเพ็ญหน้าสลดเศร้า เพ็ญพรตาวาวด้วยความโกรธ
“เลวที่สุด”
“ถือซะว่าเป็นเวรเป็นกรรม”
“เวรกรรมอะไรล่ะพี่? คนเลวแบบนั้นฉันจะทำให้พวกมันได้รับกรรมเอง พี่ฟังฉันนะ ที่ฉันกลับเข้ามาอีกวันนี้ ฉันมีเรื่องจะมาคุยกับพี่ แบบจะๆ”
พรเพ็ญมองหน้าแฝดน้องอย่างสงสัย
“ที่มาหาคุณวิทวัสวันนี้ ก็ว่าจะมาคุยเรื่องธุรกิจน่ะค่ะ ทราบว่าคุณวิทวัสมีธุรกิจอยู่หลายอย่างใช่ไหมคะ?”
สโรชขาที่นั่งอยู่ต่อหน้าวิทวัสพูดเข้าประเด็นทันที
“ครับ ก็นิดหน่อย คุณสโรชาสนใจเหรอครับ?”
“เอาตรงๆ เลยนะคะ สนใจอยู่ค่ะ ก็เลยว่าจะมาปรึกษาคุณวิทวัสนี่ล่ะค่ะ”
วิทวัสพยักหน้ารับ ทำหน้าครุ่นคิด
“ยินดีครับ คุณสโรชาอยากรู้อะไรก็ถามมาได้เลยครับ”
สโรชายิ้มหวาน พลางจับจ้องวิทวัสอย่างพอใจ
-
“ไม่ได้นะเพ็ญ พี่ทำอย่างนั้นไม่ได้”
พรเพ็ญปฏิสธเสียงสั่น พลางรีบเดินหนี เมื่อได้ยินแผนการของแฝดผู้น้อง
“ทำไมล่ะพี่พร?”
“คุณพ่อไง ถ้าพี่ไปแล้วใครจะดูแลท่าน”
“ก็ฉันนี่ไง ฉันดูแลคุณพ่อเอง หรือว่าพี่ไม่ไว้ใจฉัน? พี่ไม่อยากเจอแม่เหรอ? ฉันจะพาพี่ไปหาแม่”
พูดพลางดึงมือพรเพ็ญไปกุมไว้
“พี่พร ฉันสัญญาว่าจะดูแลคุณพ่อให้ดีที่สุด เชื่อฉันเถอะนะ แล้วที่เราทำเนี่ย ก็เพื่อคุณพ่อด้วย ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป คนพวกนั้นจะทำอะไรอีกก็ไม่รู้”
พรเพ็ญอึกอัก อย่างลำบากใจ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ต้องห่วงเพ็ญอยู่ดี”
“ไม่ต้องห่วง แพร์รี่ซะอย่าง ไม่ปล่อยให้พวกปรสิตพวกนั้นมาทำให้ระคายเคืองหรอก นะ พี่พรนะ เราจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้หรอกนะ นะพี่”
เพ็ญพรพยายามขอร้องออดอ้อน อีกฝ่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาถาม
“แล้ว แล้วเราจะต้องทำยังไง?”
“ทำตามแผนฉันไง พรุ่งนี้ฉันจะกลับมาหาพี่อีก แล้วเราจะเริ่มแผนกันเลย”
เพ็ญพรพูดด้วยแววตามุ่งมั่น ตรงข้ามกับพรเพ็ญที่เต็มไปด้วยความกังวล
หลังจากคุยธุรกะกันเรียบร้อยแล้ว วิทวัสก็เดินตามมาส่งสโรชาที่หน้าห้อง
“คราวหน้าถ้ามีโอกาส ผมจะแนะนำให้รู้จักกับหุ้นส่วนใหญ่อีกคน เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งมากที่เดียวครับ”
“เหรอคะ ชักอยากเจอเธอซะแล้วสิ”
วิทวัสอธิบายต่อ
“ตอนนี้เธออยู่ต่างจังหวัดครับ ลูกสาวของเธอมาดูแลอยู่ ไว้มีโอกาสคงได้เจอกัน”
“ค่ะ ว่าแต่ถ้าว่างๆ ก็เชิญมาทานข้าวที่บ้านนะคะ จะได้ช่วยแนะนำงานกับน้องภาลูกสาวดิฉันด้วย ถ้างั้นขอตัวก่อนนะคะ”
สโรชาแอมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินออกไป
เชาว์กับวาทินีเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดผมเผ้าในห้อง ฝ่ายหลังนึกเคืองเพ็ญพร ขณะที่ฝ่ายแรกกระเหี้ยนกระหือรือว่าจะต้องจัดการพรเพ็ญให้ได้ในเร็ววัน
วาทินีเห็นท่าทาง และได้ยินคำพูดของเชาว์ ก็หยิบของที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งเขวี้ยงใส่
“อะไรเล่า เจ็บนะโว้ย”
“เออ เจ็บสิดี หนอย แก่ขนาดนี้ยังจะไปยุ่งกับเด็กมันอีก”
เชาว์รีบพูดให้ตัวพ้นผิด “ก็เด็กมันยั่ว”
“แล้วถ้าพี่ไม่ไปยุ่งมันจะทำอะไรได้”
เชาว์กระฟัดกระเฟียด เบือนหน้าหนี
“พูดมากน่ารำคาญ”
วาทินียิ้มเยาะ “แล้วจะทำไม อย่านะ อย่าคิดมามีปัญหากับฉันนะ พี่ก็รู้นะว่าจะเป็นยังไง?”
ณัฐพงษ์เปิดตู้โชว์ของเอกสิทธิ์ที่สะสมไว้ ก่อนจะเลือกหยิบออกมาชิ้นหนึ่ง พลางทำหน้าตายิ้มกริ่ม พลันเสียงของป้าแจ่มก็ดังแทรกขึ้นมา
“คุณจะเอาไปไหนคะนั่น? นั่นของเก่าหายากของคุณท่านนะคะ”
“ก็แค่อยากเอามาดู มีอีกตั้งหลายชิ้น”
“แต่คุณท่านสะสมเอาไว้ค่ะ”
ณัฐพงษ์ยักไหล่ อย่างไม่แคร์
“แล้วทำไม ตอนนี้คุณลุงลุกขึ้นมาชื่นชมไหวไหมล่ะ นี่ฉันเอาไปช่วยชื่นชม คุณลุงต้องขอบคุณฉันสิถึงจะถูก”
ป้าแจ่มพูดไม่ออก ทันใดนั้นเสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้าน เขาจึงฉวยจังหวะไล่ให้ไปดูที่หน้าบ้าน พร้อมกับที่อาภาพรเดินยิ้มร่าเข้ามา
“อุ๊ย พี่ตรัยมา”
ตรัยที่เดินเข้ามา หันมายิ้มให้พอเป็นพิธีแล้วหันไปสั่งป้าแจ่ม
“เดี๋ยวเอาซุปไปจัดใส่ถ้วยนะป้าแจ่ม แล้วเอาให้คุณลุงทาน”
“งั้นป้าเอาไปให้คุณหนูเลยนะคะ กำลังจะเตรียมอาหารให้คุณท่านพอดี”
“น้องพรอยู่ในครัวเหรอ?”
ป้าแจ่มกำลังจะตอบ แต่อาภาพรพูดแทรกขึ้น
“มาถึงก็ถามหากันเลยนะคะ แล้วไอ้ที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ไม่คิดจะถามถึงบ้างเหรอคะ?”
“ก็เห็นอยู่แล้ว จะถามทำไมล่ะน้องภา เดี๋ยวพี่ขอตัวไปเยี่ยมคุณลุงก่อนนะ”
พูดจบก็เดินตามป้าแจ่มเข้าไปด้านใน อาภาพรหน้าเสีย ทั้งโมโห ทั้งเจ็บใจ
พรเพ็ญยืนเตรียมอาหารอยู่ที่หน้าอ่างล้างจาน ตรัยเดินเข้ามา แล้วก็อมยิ้มหวาน
“หอมจัง”
พรเพ็ญหันขวับกลับมาทำหน้างงๆ “คะ?”
“อาหารน่ะครับ”
พรเพ็ญพยักหน้า ทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูด
“พรุ่งนี้พี่ตรัยว่างไหมคะ?”
“ว่างครับ พรุ่งนี้ผมหยุดมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คือพอดีพรต้องไปซื้อของให้คุณพ่อเพิ่มน่ะค่ะ ถ้าไปเองกลัวจะนาน เลยว่าจะขอรบกวนพี่ตรัย”
ตรัยยิ้มกว้าง เดินเข้ามาใกล้พรเพ็ญ
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ดีใจที่น้องพร เรียกใช้บริการพี่ ถ้างั้นพรุ่งนี้ให้พี่มารับกี่โมงดี”
พรเพ็ญยังไม่ทันตอบ เสียงอาภาพรก็แว้ดขึ้นมาก่อน
“จะไปไหนกันคะ?” พลางเดินเข้ามาดึงตรัยมาเกาะแขนไว้ แล้วจิกตาไปมองพรเพ็ญ
“จะออกไปซื้อของใช้ของคุณลุงน่ะ”
อาภาพรเบะปาก ทำเชิดหน้าใส่
“ถ้างั้นน้องภาไปด้วยค่ะ”
พรเพ็ญทำหน้าตกใจ ตรัยหันไปมอง ก็นึกเอะใจ
ทางด้านเพ็ญพรก็โทร.ไปบอกเดือนฉายว่าจะกลับบ้านพรุ่งนี้ เพราะทนคิดถึงแม่กับตาไม่ไหว พอวางสายจากแม่ ก็กดต่อหาสุดาทันที
“ฮัลโหลแกสุดา โทร. มาคอนเฟิร์มแผน ตกลงพรุ่งนี้พี่สาวฉันเขาจะติดรถพี่ชายแกออกมาตอนสายๆ นะ แกก็รับพี่สาวฉันมาที่คอนโดนี้เลย ดูแลพี่ฉันด้วยล่ะ อ๋อ คุยกับแม่แล้ว เดี๋ยวมะรืนแม่จะมารับกลับเอง ไม่ต้องห่วง ฉันวางแผนไว้ทุกอย่างเป๊ะๆ ที่เหลือก็แกอ่ะ อย่ามาสายละกัน เออๆ แทงกิ้วย่ะ”
พอกดวางสาย ก็กระเด้งตัวขึ้นนั่ง ทำท่าตื่นเต้นดีใจ
“พรุ่งนี้แล้ว พรุ่งนี้แล้ว”
อ่านต่อตอนที่ 4