xs
xsm
sm
md
lg

นายตำรวจผู้มีดนตรีในหัวใจ : หมวดแวน-ร.ต.ท.กรวิก จันทร์แด่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพลักษณ์ของผู้ที่ดำรงอาชีพ ‘ตำรวจ’ อย่างแรกสุด ก็คงจะหนีไม่พ้น ความมีสง่าผ่าเผย, ความเคร่งขรึมในการวางตัว, ความเป็นสุภาพบุรุษในการพบปะผู้คน หรือ ความเอาใจใส่ในการปฏิบัติหน้าที่ (ในบางเวลา) และอีกมากคำจำกัดความทั้งหลายแหล่ สำหรับผู้ที่ดำรงสถานะเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่คนทั่วไป และทั้งเราๆ ท่านๆ ได้มองเห็น ยามที่ได้นึกถึง สิ่งที่เรียกว่าอาชีพ “ตำรวจ” นี้

แต่ขณะเดียวกัน หากตำรวจคนหนึ่งจะกำลังกลายสภาพจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ให้กลายเป็นนักดนตรีคนหนึ่ง ที่มีลีลาการวาดลวดลาย ด้วยลักษณะที่ “เกรียน” “ซ่าส์” “บ้า” และ “เพี้ยน” บนเวที ให้ผู้ชมบนผืนล่างได้สุนทรีย์กับบทเพลงที่สื่อสารออกไป สลับกับความตลกขบขัน และความฮาที่มีเสียงหัวเราะบ้างล่ะ เป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร ???

ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง หมวดแวน หรือ ร.ต.ท.กรวิก จันทร์แด่น นายตำรวจหนุ่มไฟแรง เจ้าของบทเพลง “ABC ชักกระตุก” ซาวด์แทร็กชวนขยับทุกเทศกาล จากภาพยนตร์ระดับ 300 ล้าน อย่าง ‘ไอฟาย...แต๊งกิ้ว...เลิฟยู้’ ที่สร้างความฮือฮาไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จนแทบจะเรียกได้ว่า เกรียนได้ เกรียนดี เต้นได้เกรียนจริง กันจริงๆ

นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งนายตำรวจของเมืองไทยแล้ว เขาคนนี้ก็ยังคงสถานะเป็นสมาชิกของวงดับเบิลแท็ป (Doubletap) ดูโอดนตรีที่มีคุณลักษณะที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครที่กล้าเหมือน ซึ่งหมวดแวนผู้นี้ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สามารถทำ 2 สถานะให้คู่ขนานพร้อมกันได้อย่างน่าทึ่งอีกต่างหาก

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้คำนิยามว่า “ตำรวจผู้มีดนตรีในหัวใจ” ให้กับผู้หมวดแวนคนนี้ มันก็คงจะใจร้ายไปหน่อยแล้วล่ะ กับภารกิจทั้ง 2 ลักษณะ 2 แบบที่เป็นอยู่นี้...

• ซิงเกิลเพลง “ABC ชักกระตุก” มันเหมือนกับการตอบโจทย์รสนิยมจังหวะดนตรีของคนไทย

คือผมรู้สึกสงสัยกับรถสองแถวน่ะครับ ว่าทำไมเปิดเพลงบีตอื่นไม่เป็นเลย สังเกตมั้ยว่ารถสองแถวบ้านเราจะชอบเปิดแบบแนวเดโม ฟังกี้ หรือแบบอาร์ซีเอไม่เป็นเลย ต้องเปิดแต่ลักษณะนี้เท่านั้น ผมรู้สึกว่าอันนี้น่าจะใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของคนไทยที่สุดแล้ว เพราะว่า คงไม่มีวินมอเตอร์ไซค์คนไหนเอาเงินไปซื้อเหล้าในฟังกี้ เขาก็ต้องดนตรีที่ง่ายที่สุด นอกจากยูทูป และก็รถสองแถว ซึ่งผมขอเรียกว่าผับเคลื่อนที่ละกัน

เพราะว่า แนวคิดในการทำเพลงนี้ คือเอาสิ่งใกล้ตัว ดนตรีที่ใกล้ตัวคนไทยที่สุด เอามาทำให้สนุกขึ้นโดย จังหวะก็ยังเป็นจังหวะไทยๆ นั่นแหละครับ ก็ยังเป็นสามช่าไวๆ เพียงแต่ว่า เราเอามาเพิ่มความทันสมัยให้มัน ด้วยการใส่ซาวนด์ดนตรีแบบอีดีเอ็ม (EDM) เข้าไป เพราะฉะนั้น คุณจะได้ยินเสียงประเภทไฟฟ้าเยอะ แต่ก็ไม่เยอะจนแบบเราเสพไม่ได้ มันจะพอดีกลางๆ ครับ เหมือนเจอกันคนละครึ่งทาง ประมาณนั้น

• เหมือนกำลังจะบอกว่า เป็นการเปิดโลกทัศน์ในเรื่องเพลงให้ขยายวงกว้างมากขึ้น

จะเรียกแบบนั้นก็ได้ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศก็มีฟังกัน แต่อย่างที่รู้กันว่า กรุงเทพฯ มันเป็นเมืองหลวง เพราะฉะนั้น อะไรที่มันล้ำๆ ก็จะอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ว่าต่างจังหวัด เขาก็จะเสพคนละอย่างต่างจากเมืองหลวง การที่เอามาผสมกัน ผมคิดแล้วว่า ถ้าเอามาทำ 100 เปอร์เซ็นต์ ต่างจังหวัดเค้าจะงง (หัวเราะ) เราก็เลย เอาแบบรถสองแถวนี่แหละ ท่วงทำนองแบบตึ๊ด มาเจอกันคนละครึ่งไป แล้วก็ใส่คำที่มันไม่มีสาระ เป็นคำจำนั่นคือ ชักกระตุกแล้วกัน เพราะตอนที่ทำ เราก็คิดคำนี้ขึ้นมา และเราก็เต้นของเราไปด้วย แฟนเราก็ยังห่าว่าเราบ้าเลย (หัวเราะ)

• เทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมา ไม่แน่ว่าเพลงนี้อาจจะถูกเปิดอย่างกระหึ่มก็ได้

ตอนทำไมคิดว่ามันจะมาช่วงสงกรานต์เลย เพราะคิดว่าเพลงนี้มันถูกเปิดเป็นประจำตามรถสองแถวอยู่แล้วแหละ แต่ ณ ตอนนี้ พอทำไปปุ๊บ ณ ปัจจุบัน ยอดไป 8 ล้านวิว เราว่าช่วงสงกรานต์มันต้องมา มาแน่ๆ และน่าจะกระจายในวงกว้างด้วย

• ความสนใจครั้งแรกกับแนวดนตรีฮิปฮอป (Hip-Hop)

ผมมีความชอบในดนตรีแนวนี้ มาตั้งแต่ปี 2004 ช่วงนั้นก็เริ่มสนใจการเป็นดีเจ ที่ใช้แผ่นเสียงจริงๆ เอามาถูให้มันเกิดเสียงแปลกๆ ที่เรียกว่า สแครตช์น่ะครับ ก็ฝึกไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2004 ถึง 2008 จนได้แชมป์ประเทศไทย 2 รายการของ ไพโอเนียร์ กับของโซดาสิงห์ แต่ด้วยที่เราเป็นคนที่ไม่หยุดค้นคว้า บวกกับ จัดสรรเรื่องเวลาได้ เราก็เลยเอาเวลาที่เราว่างมาศึกษาค้นคว้า หาวิธีการทำเพลงแล้วก็บีตบ็อกซ์ มันก็เลยพัฒนามาจนเป็นปัจจุบัน

จริงๆแล้ว ผมเป็นคนไม่ฟังเพลงฮิบฮอปเมืองนอกเลยครับ แปลกมาก (หัวเราะเบาๆ) คือช่วงที่เริ่มสนใจก็เป็น ก้านคอคลับ ก่อน แต่กลับกลายเป็นว่า เรามาฟังเพลงของ ครูสุรพล สมบัติเจริญ, ท่านเพลิน พรหมแดน หรือ เพลงอีสานเก่าๆ มากกว่า เพราะว่าด้วยจริตเราเป็นคนไทย แล้วเพลงของครูเพลงเหล่านั้น เค้าจะมีคำคล้อง เหมือนเพลง rap เพลง hiphop เลย เราก็เลยไม่ได้ไปศึกษาของฝรั่งเลย

• น่าแปลกมากที่สนใจฮิปฮอป แต่มาศึกษาเพลงไทยลูกทุ่งเก่าๆ ด้วย

เพราะว่า วัตถุดิบของเราแล้วเนี่ย นอกจากที่จะทำดีเจแล้ว ก็เป็นช่วงที่แข่งแร็ปสดด้วย เพราะฉะนั้น การแข่งขัน ก็จำเป็นจะต้องมีคำที่เราจดไว้เยอะๆ เพื่อที่ว่า ตอนที่แข่งแร็ปสู้กับฝั่งตรงข้าม จะได้ดึงคำที่อยู่ในหัวสมองออกมาเยอะๆ ถ้าเราจะหาวัตถุดิบคำ เราก็ต้องหาจากไหน ก็ต้องเป็นภาษาไทย เพราะว่า เราแข่งแร็ปเป็นภาษาไทย ก็เลยไปหาฟังเพลงเก่าๆ ของคนไทยเลย เพราะว่ามีคำคล้องที่เรียกว่า โจ๊ะเลยน่ะครับ หรืออย่างเพลงของแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ เช่น ''กับข้าวเพชฌฆาต' เขาจะมีคำคล้องที่มันก็คือแร็ปน่ะครับ แต่เป็นแร็ปสมัยก่อน เขาจะมีคำแบบ ไม่คิดว่ามันจะโผล่มาได้นะ

• แต่พอขยับมาที่ดีเจ ก็มาศึกษาถึงแก่นแท้อย่างจริงจังเลย

พอขยับมาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่เริ่มทำซิงเกิล ก็กลับกลายเป็นว่า ไปหาฟังเพลงจากเมืองนอกซะเยอะ เพื่อดูโครงสร้างของเพลง เช่น ก็ฟังไปตั้งแต่แนวอีดีเอ็ม ไปจนถึง ป็อป แต่ไม่ได้ฟังเนื้อร้อง เพราะว่าเราเป็นคนฟังภาษาอังกฤษไม่ออก เราจะไปฟังโครงสร้างดนตรีอย่างเดียว ฟังตั้งแต่ พิตบูลล์ (Pitbull), สกิลเลกซ์ (Skrillex) ยันแนวคันทรีเลย เพื่อจะดูโครงสร้างเพลง ยุคที่ทำดีเจ กลับกลายเป็นว่า ผมจะทำเพลงแนว โอลด์สคูล หรือเพลงแบบนี้ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก อันนั้นคือแก่นของเรา แต่พอหน้างานจริงๆ แล้ว เราไม่ได้เปิดเพลงเพื่อความสุขของเราอย่างเดียว เราต้องเพลงให้ลูกค้า ให้คนฟังฟัง แล้วแบบ เราเลยจำเป็นที่จะต้องเปิดเพลงพวกในผับที่เค้าเปิดไปปริยาย

• แน่นอนว่าการเป็นดีเจก็ถือว่าหนักอยู่ แล้วบวกกับการที่เราทำงานด้วย ถือว่าหนักเพิ่มคูณสอง

หนักมากเลยนะ แต่ว่ามันกลับกลายเป็นไม่เหนื่อย อันนี้ขอย้อนกลับไป มันจะเป็นช่วงที่เรียนอยู่ ตอนนั้นจำได้ว่า ปิดเทอม ขอแม่ลงเรียนคอร์สภาษาอังกฤษเลย แต่เพื่อจะได้มีเวลาว่าง ไม่ต้องไปช่วยที่บ้าน และซ้อมการเป็นดีเจ (หัวเราะ) วงจรนาฬิกาชีวิตมี 24 ชั่วโมง ตื่นมายังไม่แปรงฟันเลย ก็สแครชก่อน พอรู้สึกหิวแล้วค่อยไปแปรงฟัน เสร็จแล้วก็กินข้าว แล้วไปเรียนที่เป็นคอร์สเรียนพิเศษ พอกลับมาก็สแครตช์ต่อ วนอยู่อย่างนี้ครับ การเรียนคอร์ส มันเรียนประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วถ้าเกิดผมนอนแค่ 6 ชั่วโมง ที่เหลือก็มีแต่สแครตช์และกินข้าว แค่นั้นเองฮะ

• ถ้าให้ประมาณ มันเหมือนกับ “คลั่งไคล้” ประมาณนั้น

มันเรียกว่าหลงใหลดีกว่าครับ พอมาคิดในตอนนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองแม่งโชคดีชิบหายเลยที่แบบ รู้ว่าชอบอะไร เมื่อประมาณ 10 ปี ก่อน แต่ไม่รู้ว่ามันจะมาประกอบอาชีพได้ เพราะใครจะคิดว่า เฮ้ย ดีเจ ทำดนตรีบีตบ็อกซ์ อาชีพเต้นกินรำกินแบบนี้มันยั่งยืนเหรอวะ ณ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่า มันคงเลี้ยงเราไม่ได้หรอก แต่พอโตแล้ว เรารู้สึกดีใจมากเลยที่รู้ว่าชอบมันตั้งแต่ตอนนั้น เพราะว่าพอย้อนกลับมาดู วันนั้นที่สแครตช์ประมาณ 12-16 ชั่วโมง ต่อวันเลยนะ แต่พอมาดูตอนนี้ ไม่มีใครทำได้หรอก ถ้ามันไม่รักจริงๆ

แล้วไอ้ตรงความชอบตรงนั้น มันทำให้เรารู้สึกกระหายที่อยากจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เราชอบทุกทุกวัน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่เลย ตื่นเช้ามานี่แบบ ไอ้นี่ต้องทำยังไงวะ สมมุติว่า ถ้าเราชอบปลูกต้นไม้ เราจะยอมเสียสละทั้งหมด อาจจะแบบไม่นอน 2-3 วัน เพื่อที่จะหาข้อมูลของปุ๋ย เพื่อที่จะให้ต้นไม้ของเราแม่งเจ๋งที่สุด เหมือนกันครับ มันก็เลยแบบรู้สึกว่า น้องๆ คนไหนที่รู้สึกว่าตัวเองชอบอะไร ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะบางคนเรียนจบมาก็ยังไม่รู้ว่าชอบอะไร แค่รู้ว่าเราเรียนไอ้นี้ได้ดีเฉยๆ พอไปทำงานบริษัทจริงๆ แล้วก็ไม่มีความสุข เพราะมันไม่ได้ชอบ พอเจอปัญหาหนักๆ ก็ทำให้แก้ปัญหาแค่ให้มันผ่านไป

• จากการที่รักในสิ่งเนี้ย แน่นอนว่ามันต้องโดนครหาบ้าง ตอนนั้นรู้สึกยังไง

เรื่องนี้เราโดนบ่อยเลย เพราะสังคมที่อยู่ ซึ่งด้วยอาชีพที่มันต้องเท่ต้องขรึม และก็ทำให้น่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้นการมาทำอะไรแบบนี้ ในเมื่อ 10 ปีก่อน จะเป็นอะไรที่ถูกต่อต้านมากๆ ก็เป็นมาตั้งแต่เราอยู่ปี 1 เราก็โดนกดดันตั้งแต่นั้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่กดดันเรา มันจะมีส่วนหนึ่ง ทีนี้ สิ่งที่เราต้องทำ เราก็โดนครหา เช่น ทำบ้าอะไรวะ ปัญญาอ่อน ไปเป็นตัวตลกให้คนอื่นหัวเราะทำไม ไม่เห็นเก่งเลย ไม่ได้เรื่อง โดนหมดเลยครับ แต่เราก็มีวิธีการจัดการ บางคนเค้าไม่ชอบ ไม่ใช่แค่ว่าอย่างเดียว บางทีก็มาแบบรังเกียจเราด้วย แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว ในช่วงนั้น เราเป็นคนค่อนข้างที่จะไม่ได้สนใจคำพูดของคนเลย มันเป็นเพราะว่า (นิ่งคิด) เดี๋ยวมันก็ผ่านช่วงวัยรุ่นแล้วป่ะวะ แม่งถ้าไม่ได้ทำตอนนี้ เวลามันย้อนกลับมาไม่ได้ เราจะมานั่งเสียใจทีหลัง แล้วมันคุ้มมั้ยล่ะ ถ้าตอนนี้ทำได้ก็ทำไปก่อน

เพราะว่าทุกครั้งที่เราฝึกฝนน่ะครับ กลายเป็นว่าเราจะเดินไปข้างหน้า แต่คนที่เค้าครหาเรา ยังยืนย่ำอยู่ที่เดิมอยู่เลย แล้วสิ่งหนึ่งที่ดีที่สุดก็คือ คือเวลาที่โดนคนด่าหรือดูถูกเรา เขาทำได้แค่ว่าพูดดูถูกแล้วก็จากไป เหมือนแบบเจอกันสองคน โดนพูดใส่และว่าเรา แต่พอพูดเสร็จก็จะไม่จำอะไรหรอกครับ แล้วก็เดินจากไป แต่เราอย่าเอาคำพูดเหล่านี้ อย่ากอดมันไว้ แล้วก็เอาไปฝึก เพราะขนาดคนพูด เขายังเดินจากไปเลย แล้วเราจะเก็บมาคิดทำไมวะ แล้วคำพูดนั้น เราก็ไม่ควรเก็บมาคิดเหมือนกัน เราก็ควรเดินหน้าของเราต่อ

แต่ในความฝัน แน่นอน มันต้องมีการสะดุดในอุปสรรคอยู่

ใช่ครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราเอาเงินไปลงทุนทำมิวสิกวิดีโอชื่อ ซิกแพก แต่มันตรงกับช่วงเหตุการณ์บ้านเมืองพอดี ปรากฎว่าเงินที่เราเก็บมาทั้งหมด หายเกลี้ยง เพราะว่าเราทำเองหมด คือ ไม่มีโปรดักชั่น ไม่มีอะไรเลย พอเอ็มวีเพลงนี้เผยแพร่ไป ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ผมก็ท้อมาก แต่ตอนสมัยเราเป็นนักเรียน เราเคยเจอสิ่งที่ทำให้เราท้อมาตลอด ตอนนั้นเหลือตังค์อยู่ 3000 บาท แล้วไม่รู้ว่าจะต้องใช้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเหตุการณ์จะดีขึ้น เราเลยตัดสินใจว่า เราทำ MV คัฟเวอร์ เพลง เธอ ของ วงค็อกเทล ฮะ ด้วยตัวเงินที่มีอยู่แค่นั้น

ด้วยความที่เราเป็นคนไม่รอความช่วยเหลือ ถ้าอันไหนทำได้เราก็ทำไปก่อน เราเลยทำเพลงเลย เพราะเรารู้สึกว่า เราแค่แบบใช้ความรู้ความสามารถของเราที่มี พอเราทำเสร็จ เราก็ไปขอร้องให้พี่ๆ ที่เรารู้จักมาช่วยขาย ปรากฏว่าช่วงนั้นมันมีงานชิ้นหนึ่งเข้ามาพอดี เราก็อยากพิสูจน์ตัวเองว่า มันจะท้อรึเปล่าวะ มันจะล้มลงมั้ย แล้วถ้าเกิดมันต้องล้มลงจริงๆ ขอให้มันล้มแบบสวยที่สุดแล้วกัน ปรากฏว่ามันก็รอดมาได้ ได้เงินประมาณซัก หมื่นกว่าบาทเองมั้ง เอาไปจ่ายค่าทำเอ็มวี เหลือเงินอยู่ไม่เท่าไหร่เอง แต่ว่าอย่าทำอย่างผมนะครับ อันนั้นก็บ้าเกินไป (หัวเราะ)

• จากเหตุการณ์นี้ได้ให้บทเรียนอะไรมาบ้าง

ความฝันมันไม่ได้สวยงามเสมอไปหรอก บางครั้งความฝันหรือเป้าหมายในชีวิตของเรา มันก็ชอบสร้างบททดสอบที่โหดร้ายขึ้นมา เพื่อจะดูว่า เรารักมันแค่ไหน เราซื่อตรงกับมันมั้ย ถ้าเราไม่ซื่อตรงต่อมัน เราก็คงทิ้งมันไปแล้วแหละ แต่ว่าวันที่เรามีเงิน 3,000 บาท เรากลับเลือกที่จะไม่ทิ้งมันและกอดมันไว้ เหมือนมีแฟนแหละมั้ง แล้วแบบในวันที่เราไม่มีเงิน ก็คงแบบลองใจเรา ในวันที่เราจนที่สุด ว่ายังจะรักเราอยู่รึเปล่า เพราะฉะนั้น เราต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า ต่อให้ล้มละลายยังไง ฉันจะไม่มีทางทิ้งเธอแน่นอน เหมือนกับความฝันละครับ ผมเลยตัดสินใจที่จะเอาเงินก้อนสุดท้าย ไปลงทุนทำสิ่งที่พอจะทำได้ในตรงนั้น มันจะไม่มีเงินกินข้าวแล้วนะ กาแฟหนึ่งแก้ว ยังไม่กล้าซื้อกินเลย เพราะว่าแพง ใครจะไปซื้อวะ เราแบบดูเลยว่า ใจเราไหวมั้ย ปรากฏว่าผ่านมาได้ เราก็เลยเชื่อว่า ถ้าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ แล้วเป็นคนธรรมดา เค้าคงบอก พอเหอะ เอาเงินไปทำอะไรก็ไม่รู้ เอาเงินไปทิ้งเปล่าๆ ทำไปแล้วได้อะไรก็ยังไม่รู้เลย ประมาณนั้นละครับ (หัวเราะ)

จากนั้นมาพอเราเจอความลำบาก หรือ ความฝันทดสอบเราแล้ว ในสิ่งที่โหดร้ายที่สุดของศิลปินคือ ในช่วงเวลาที่แทบจะไม่มีกิน เพราะศิลปิน ไม่ได้มีเงินเดือนประจำ อีกอย่างนึง เราก็มีงานประจำ เพียงแต่ว่า ณ ตอนนั้นก็มีค่าใช้จ่ายประจำอยู่แล้ว ที่จะต้องโดน ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างพนักงาน คือเงินเดือนของงานประจำของเรา แม่งหมดทุกเดือนเว้ย จากความลำบากตรงนั้นมา จากที่ความฝันมันทดสอบเรา เราเชื่อได้เลยว่า ต่อจากนี้ เราแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จากแต่ก่อนเราคิดว่าหนทางศิลปิน แม่งสบาย มีคนออกเงินให้ ช่วยเราผลิตเอ็มวี แต่ลองในวันที่ไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีใครให้ เราแม่งยังกล้าควักเงินตัวเองซึ่งเป็นเงินประทังชีวิตก้อนสุดท้าย ซึ่งไม่รู้จะได้อยู่อีกนานเท่าไหร่ เอามาลงกับความฝันเราเลย เราเลยแบบสบายมากเว้ย เราไม่ย่อท้อ

ในตอนนั้น ทุกวันที่เราตื่นมา เราตอบคำถามของที่บ้านไม่ได้ เพราะที่บ้านก็ถามว่า เอาเงินไปทำตรงนั้นแล้วมันได้อะไร เอาเงินไปทิ้งทำไม เพราะตอนนั้น ยูทูป ยังไม่มีระบบนับยอดรายได้ คือสิ่งที่วงทำมา 3-4 ปีทั้งหมด เอาเงินไปทำมิวสิกวิดีโอเอง มันเหมือนกับเอาเงินไปละลายทิ้ง ถ้ามองในแง่ธุรกิจ แม่งโคตรเฟลเลย เอาเงินไปเทแล้วไม่ได้อะไรกลับมา ตอนนั้นเรากำลังคิดอยู่ เป็นช่วงที่การทดสอบจิตใจจริงๆ เพราะว่า พอที่บ้านเค้าเอ่ยถามมาว่า ทำอะไรอยู่ คือทำแล้วไม่ได้ตังค์อ่ะผู้ใหญ่เค้าก็มองว่า มึงลงทุนทำอะไรอยู่ เราเหมือนกลายเป็นว่า ถ้าเราไม่ทำเอ็มวีตัวนี้เพื่อพิสูจน์ตนเอง เราจะกลายเป็นอะไร ระหว่างหนึ่ง เด็กที่เล่นขายของ แล้วคิดว่าตัวเองเป็นนักร้องที่ดัง แล้วก็ฝันไปวันวัน กับสอง คนที่แม่งลงมือทำความฝันจริงๆ ตื่นมาพร้อมกับคำถามพวกนี้ สุดท้ายเราเลือกที่จะแบบทำมัน เพราะเรารู้สึกว่า ถ้าเอ็มวีตัวนี้เป็นเอ็มวีสุดท้าย ซึ่งเราคิดอย่างนั้น มันอาจจะสิ้นสุดเส้นทางของเราแล้วก็ได้ เพราะมันไม่มีเงิน วงก็อาจจะแตก ถ้าเราจะหมดหนทางหรือตายในเส้นทางอาชีพนี้ และในสิ่งที่เรารักจริงๆ เราจะขอเลือกตายในท่าที่เรากำลังเดินอยู่ เราจะไม่นอนรอความตายแบบเฉยๆ แล้วรอให้มันผุพังไป

• โดยรวมแล้ว แนวทางของ DoubleTap คือ

วงเราเป็นวงที่แสบอย่างหนึ่ง คือ มีวิธีเกาะเขาดังแบบเนียนๆ เว้ย อย่างคลิปของ น้องเบล ทอมดี้ น้องเจน หรือแม้แต่น้องแอมมี่ เราก็เกาะเขาดังแล้วเอามาล้อเลียน คือการที่จะล้อเลียนใคร เราต้องชอบและรักในตัวของเค้าก่อน อย่างเราชอบน้องเบล เพราะตอนที่ว่าพวกผู้ชาย หรือตอนที่พูดไวๆ เหมือนกับแร็ปเลย เราชอบน้องเจนเพราะว่าทำได้หลายเสียง เราชอบน้องเอมมี่เพราะว่า ด่าพวกก๊อปเฟซได้สะใจ เราชอบ เราก็เลยเอาคลิปเค้ามาล้อเลียน กลับกลายเป็นว่า คนดันชอบด้วย มันก็เลยเกิดการแชร์ไป มันก็กลายเป็นว่าสิ่งที่เราทำกลายเป็นมอบความสุขกับคนดูโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกิดจากความชอบของเราก่อน การที่เราเอาเขามา เราพิมพ์ไปขออนุญาตเค้า ซึ่งเค้าก็ให้นะ ส่วนที่ไม่ตอบรับ แต่เค้าไม่ตอบ ซึ่งเราก็ถือว่า ถ้าไม่ตอบ ก็คือไม่ห้าม ก็ทำเลยละกัน

• ก็ยังคงรับใช้สังคม ตามสไตล์ Hip-Hop เลยละสิ

เราเสียดสีเหมือนกัน เราเสียดสีสังคมโดยเอาปัญหาที่ทุกคนเจอในโลกปัจจุบันมาทำ ก็ยังอิงตามวิถีฮิปฮอป หรือพูดอีกทางหนึ่งก็คือดูว่าตอนนี้ในโลกของเรา ทุกคนมันเจอปัญหาอะไรวะ อย่างในระยะหลังๆ เราแกะรหัสออกได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจะขอยกตัวอย่างที่เห็นชัด คือ เพลงก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่คนที่หน้าตาดีบนเฟซ โดนก๊อปเฟซและแอบอ้างหมด เราชอบจุดนี้ แล้วน้องเอมมี่ ก็ทำคลิปออกมาพอดีเป๊ะ ตอนที่เค้าออกมาด่าพวกที่ก๊อปเฟซ แบบที่จะเอาเฟสเค้าไปทำเรื่องไม่ดีทั้งหลาย เราก็เลยแบบ เฮ้ย นี่มันเรื่องที่ทุกคนโดนนี่ แล้วมันเป็นเรื่องที่สังคมส่วนใหญ่โดนอีก บวกกับเราชอบน้องเขา เราก็เลยเอาตรงนี้มาขยายความละกัน ก็ยังเป็นฮิปฮอปที่ยังเสียดสีสังคมอยู่ ใช้สิ่งที่สังคมโดนกระทำมา เอามาเล่าในแบบของเพลง ให้มันตลกไม่ให้มันเครียดไป ทุกคนสามารถเสพได้ อาจจะเรียกว่า comedy hiphop ก็ได้นะ เพราะว่าพื้นฐานของวง ไม่ใช่คนเครียด แล้วชอบเล่าอะไรที่มันตลก ฟังเพลงเรา เหมือนไปเล่าเรื่องตลกให้เค้าฟังอ่ะ คุณจะรู้สึกเลยว่า ถ้าดูปุ๊บ วงเรา เหมือนเพื่อนกูเลย มึงพูดในสิ่งที่กูคิดพอดี แต่แทนที่มึงจะพูด มึงกลับร้อง แค่นั้นเอง เราก็เลยรู้สึกอย่างงั้น

• สำหรับงานประจำ (อาชีพตำรวจ) นี่คือยังไงครับ

มันเป็นการสร้างคืนความสุขโดยปริยายเลย ถ้าเป็น 10 ปีก่อน มันเป็นเรื่องไม่ควร แต่ในยุคปัจจุบัน การที่มีบุคลากรประเภทนี้ กลับเป็นให้ภาพลักษณ์ของตำรวจดีขึ้นเฉยเลย อันนี้เราดูจากคอมเมนต์ เขาก็บอกว่า อยากให้มีคนอย่างพี่อยู่แถวบ้านจังเลย ให้พี่มาอยู่แถวสี่แยกแถวบ้านเลย ผมคงจะฮาน่าดู กลายเป็นไม่ขัด และมองเราแล้วมันฮาว่ะ คือเขาแยกแยะได้ ไม่ได้เหมารวมทั้งหมด และสิ่งที่เราทำมันคือการคืนความสุขให้ประชาชนโดยไม่รู้ตัว ภาพลักษณ์มันก็ดีขึ้นด้วย มีคนชอบเยอะ เพราะว่า ปัจจุบันนี้เวลาเดินไปเจอใคร แล้วถ้าเขาจำได้ เขายังขอให้บีตบ็อกซ์ก่อนเลย บางทียังอยู่ในเครื่องแบบด้วยซ้ำ ซึ่งตามธรรมชาติ ปกติเราจะต้องกลัวคนอาชีพนี้ใช่ป่ะ แสดงว่าเค้าไม่ได้กลัวแล้วนี่ ภาพลักษณ์มันก็ดีขึ้นแล้ว เหมือนเราไปทลายกำแพงใจเค้าโดยไม่รู้ตัว

• นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่กำแพงระหว่างตำรวจและประชาชนค่อยๆ กร่อนลงเรื่อยๆ

ดีขึ้นมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว ก็ยังมีพี่ๆ อีกหลายคน รวมถึงตอนนี้ทางที่ทำงาน อย่างที่เราเห็นตามสื่อโซเชียล ทางตำรวจเริ่มทำคลิปเกี่ยวกับสื่อโซเชียลมากขึ้น ก็คิดว่ามันจะช่วยทำให้เรากับประชาชน แทนที่จะเป็นตำรวจกับประชาชน ก็น่าจะเป็นเพื่อนกัน คุยกันง่ายๆ รักกัน เคารพกันมากขึ้น

• แสดงว่าทุกคนทั้งเพื่อนร่วมงาน เขาก็เข้าใจเราแล้ว

เขาใช้งานเราด้วยซ้ำ แบบงานที่พบปะประชาชน ก็ยังเอาเราไปเล่นด้วยซ้ำ เพราะว่า สิ่งที่ประชาชนเห็นก็คือว่า พอเห็นว่าตำรวจทำอย่างงี้ แล้งเค้าก็แบบว่า มีดนตรีแบบนี้ด้วยเหรอ ก็กลายเป็นว่า เป็นการทลายกำแพงตั้งแต่แรกเลย เจ๋งเลย ใช้งานเรานะ ประมาณนั้น






เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา

กำลังโหลดความคิดเห็น