บางระจัน ตอนที่ 4
เฟื่องดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนขาบ
"อย่าทำฉันเลย พี่ขาบ อย่าทำฉัน เห็นแก่พี่ทัพเถอะ"
"เงียบ"
"ฉันไม่ได้รักพี่ ไม่ได้รัก"
ขาบเหวี่ยงเฟื่องไปห่าง เฟื่องตัวสั่นมองขาบที่แววตาเจ็บช้ำ
"ไม่ต้องบอก ข้ารู้อยู่แล้วว่าเอ็งไม่เคยรักข้า เอ็งรักแต่ไอ้ทัพ"
เฟื่องยกมือไหว้ด้วยความกลัว
"เมตตาฉันเถอะ อย่าทำอะไรฉันเลย"
ขาบมองเฟื่องด้วยแววตาเสียใจ
"ไม่ต้องขอข้าขนาดนี้หรอกเฟื่อง เอ็งไม่รักข้า ข้าก็รู้อยู่แก่ใจ จะให้บังคับขัดขืนแล้วได้แต่ตัวเอ็ง .... ข้าไม่อยากได้"
เฟื่องมองขาบอย่างนึกไม่ถึง ขาบมองเมินหน้าไปด้านนอก ไม่อยากให้เฟื่องเห็นความเสียใจ
"ข้าต้องจำใจเอาเอ็งมา ให้ทุกคนเข้าใจว่าเอ็งเป็นของข้าแล้ว ต่อไปจะได้ไม่มีใครรังแกเอ็ง"
"พี่ขาบ"
"หลับซะ ข้าจะนั่งเฝ้าให้ ก่อนสว่างข้าจะออกไปเอง"
เฟื่องมองขาบที่เป็นสุภาพบุรุษด้วยสายตาซึ้งใจ
"ขอบน้ำใจนัก...พี่ขาบ"
"ข้าควรจะดีใจสินะ อย่างน้อยเอ็งก็ยังมองข้าเป็นคนดีบ้าง"
"ฉันรู้ว่าพี่เป็นคนดี และขอให้พี่รักษาความดีข้อนี้ของพี่ไว้ให้นานที่สุด"
"เพื่อเอ็งจะได้กลับไปหาไอ้ทัพ"
เฟื่องเงียบเป็นคำตอบ ไม่อยากพูดอะไรออกมาให้ขาบฉุนเฉียวจนอาจจะเปลี่ยนใจได้
ขาบมองเฟื่องที่นั่งซุกตัว ด้วยสายตาเศร้า
"เอ็งทนอีกไม่นานหรอก เฟื่อง ... ศึกนี้ทหารอังวะมากันมากมาย ไม่รู้กรุงศรีจะต้านได้นานแค่ไหน .. ข้าเป็นทหาร ยังไงก็คงได้ตายในสนามรบ สิ้นลมข้าเมื่อไหร่ เอ็งจงรีบกลับไปหาไอ้ทัพ"
เฟื่องมองขาบที่สั่งด้วยเสียงจริงจัง
"หรือหากไอ้ทัพมันตามมาเจอเอ็งเสียก่อน ข้าจะหาทางช่วยให้เอ็งรอดออกไปเจอ คนรัก ข้าสัญญา"
เฟื่องยกมือไหว้ขาบ ด้วยสายตาซาบซึ้งอย่างมาก ขาบยิ้มเศร้านิดเดียว มองเฟื่องด้วยสายตารักและหวังดีจากใจจริง
ทัพถูกมัดมืออยู่ท่ามกลางชุมโจรเสือปิ่นที่มีห้างไม้ไผ่บนกิ่งไม้เป็นที่นอน อ้ายเลาถูกผูกไว้ที่ต้นไม้
ทัพมองไปรอบๆ เห็นเสือปิ่น ร่างสูงใหญ่กำยำอยู่ท่ามกลางลูกน้อง
"พวกเอ็ง ... เป็นโจร"
"เออ สิวะ หรือเห็นพวกข้าเป็นทหาร"
ลูกน้องเสือปิ่นพากันหัวเราะ
"ข้าไม่มีสมบัติ"
ชิดบอก
"ม้าเอ็งสวย"
ทัพฮึดฮัด พวกลูกน้องพากันหัวเราะ คนหนึ่งเดินเข้าไปลูบ อ้ายเลาสะบัด
"อย่ายุ่งกับม้าของข้า"
ทัพหันไปทางเสือปิ่นทันที
"เอ็งจะเอาอะไร จับข้ามา ข้าก็ไม่มีสมบัติให้เอ็ง"
"เอ็งนี่ท่าทางจะเป็นทหาร" ปิ่นบอก
"ข้าไม่ใช่ทหาร"
"แล้วเอ็งควบม้ามุ่งไปทางกรุงศรีทำไม"
"ข้าจะไปตามหาแม่ น้องสาวกับคู่ชิ้นข้า"
ปิ่นกับพวกลูกน้องได้ยินเข้าก็ระเบิดหัวเราะหยามๆ
"เสี่ยงตายไปตามหาผู้หญิง ถุย... ใครที่กล้าโกหกเสือปิ่น รู้มั้ยว่าคอมันต้องหลุดจากบ่า"
ปิ่นชักดาบมาจ่อที่คอทัพ พร้อมฟันฉับ แต่ทัพมองนิ่ง แววตาไม่หวาดกลัวเลย ปิ่นมองจ้องแววตา ท่าทีทัพแล้วค้างดาบไว้ ลูกน้องมองลุ้นที่ลูกพี่ยังไม่ฟันคอทัพ
"เอ็งไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แววตาเอ็งมันกล้า ไม่กลัวตาย ข้าถามว่าเอ็งเป็นใคร" ปิ่นถาม
"ข้าชื่อทัพ เป็นคนทุ่งคำหยาด ข้าไม่มีสมบัติ มีชีวิตเดียว เอ็งฆ่าก็ตายเปล่า"
ทัพดิ้น แต่ลูกน้องปิ่นรุมเข้ามา ทัพเตะ ไม่ยอมให้จับ ปิ่นเข้าไป ชกเข้าหน้า ทัพยังจ้องตา ไม่สลบ ปิ่นเอาด้ามดาบกระแทกเข้าที่หัว ทัพคอพับไป ลูกน้องปิ่นเข้ามาใกล้
ปิ่นบอก
"ข้าไม่เชื่อว่ามันเป็นชาวบ้าน มันน่าจะเป็นทหารกรุงศรี ที่ถูกส่งมาลอบสืบข่าวพวกก๊กโจรอย่างเรา"
"ฟันคอมันซะก็สิ้นเรื่อง พี่ปิ่น" ชิดบอก
"อย่าเพิ่ง เก็บมันไว้สักพัก ขอข้าคิดก่อนว่ามันจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง"
ปิ่นมองทัพที่สลบด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นทหาร ทัพที่ถูกจับคุมตัวอยู่ท่ามกลางก๊กโจร
เฟื่องที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
"พี่ทัพ"
เฟื่องมองไปรอบๆ นึกได้ว่าตัวเองถูกจับมา
"ไอ้สังข์ ... ไอ้ขาบ"
เฟื่องมองไปรอบๆไม่เห็นใครเลย เลยรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูออกไปอย่างเร็ว
เฟื่องออกมาเห็นชาวบ้านกระจายกันอยู่ตามร่มไม้ มีที่พักหลับนอนกันง่ายๆใกล้เกวียน
ทหารกรุงศรีอยุธยาเดินตรวจตรา บางกลุ่มก็นั่งพักอยู่ห่างๆ เฟื่องมองห่างออกไป เห็นจวงนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่กำแพงหิน
เฟื่องรีบวิ่งเข้าไปหา จวงพอเห็นเฟื่องก็โผเข้ากอด
"พี่เฟื่อง"
เฟื่องกอดไว้ จวงสะอึกสะอื้น
"ไอ้สังข์ ..เมื่อคืนไอ้สังข์ มันข่มเหงฉัน"
เฟื่องใจหาย กอดจวงแน่น
"พี่เฟื่อง ไอ้ขาบ ไอ้ขาบมัน"
เฟื่องยังไม่ทันตอบ สังข์กับขาบเดินมาตรงหน้า จวงหลบหน้าหนีสังข์ เฟื่องมองขาบนิ่งๆ
"เป็นยังไง เมียรัก ทำไมไม่มองหน้าผัวละจ๊ะ จวง"
สังข์เข้ามาดึงจวง เฟื่องไม่ยอม ดึงจวงไว้
"เอ๊ะ เฟื่อง เอ็งนี่ยังไง ผัวเมียเค้าจะกอดกัน ไอ้ขาบมาเอาเมียมึงออกไป"
สังข์สั่ง ขาบจำใจต้องเข้ามาดึงเฟื่อง สวมบทเป็นผัว
"มานี่ เฟื่อง"
ขาบสบตาเฟื่อง เฟื่องจำใจต้องปล่อยจวง จวงกระเถิบหนี สังข์รีบเข้ามาโอบกอดแล้วจูบแก้ม
จวงผลักแต่สังข์ไม่ปล่อย
เฟื่องมอง อยากจะช่วย แต่ขาบเอื้อมมือโอบแกมดึงเฟื่องไว้ เฟื่องมองสังข์แล้วจำต้องหยุด
สังข์หันไปสั่งลูกน้องที่ยืนอยู่แถวนั้น
"ข้าจะพาเมียกลับเรือนนอน อย่าให้ใครไปกวน พวกเอ็งหุงหาอาหารรอไว้ให้แม่จวงเมียข้าด้วย"
"ขอรับนายกอง"
สังข์หันมาทางขาบ
"เอ็งก็ดูแลเมียรักของเอ็งด้วยนะไอ้ขาบ ขาดเหลืออะไรก็สั่งให้พวกมันไปหา"
"ขอบใจจ้ะ นายกอง"
สังข์ดึงจวงออกไป จวงสู้แรงสังข์ไม่ได้ ก็ต้องเดินตามไปอย่างหมดทางหนี
เฟื่องมองตามจวงด้วยความสงสาร พอเห็นสังข์เดินโอบจวงไปไกลแล้ว ขาบปล่อยมือจากไหล่เฟื่อง
เฟื่องหันมามองขาบด้วยแววตาอึดอัด
ขาบยื่นผ้าสไบกับโจงกะเบนสีเก่าแต่สภาพดีให้เฟื่องที่หน้ากระท่อม
"เปลี่ยนซะ"
เฟื่องยังไม่ยอมแตะ ขาบต้องเอ่ยบอก
"พี่ไปขอมาจากชาวบ้าน"
เฟื่องดึงผ้ามาถือไว้
"ขอบใจนะพี่ขาบ แต่ไม่ต้องเอาอะไรมาให้ฉันหรอก ฉันไปหาเองได้"
"อยู่แต่ที่นี่นะ เฟื่อง อย่าออกไปเดินให้นายกองสังข์เห็น พี่จะหาคนมาอยู่เฝ้า"
"ให้จวงมาเฝ้าฉันได้มั้ย"
"อย่าเพิ่งเลย เดี๋ยวนายกองสังข์จะระแวงว่าพากันหนีอีก"
ขาบหันหลังจะออกไป เฟื่องถามขึ้น
"ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน"
"สะแกโทรม ใกล้จะถึงกรุงศรีแล้ว นายกองสังข์สั่งให้พักรอที่นี่ก่อน แต่ได้ตัวจวงมาแล้ว เดี๋ยวก็คงเคลื่อนไปบ้านพราน"
เฟื่องสลด ขาบมองแล้วอ่านใจออก
"เอ็งก็จะไกลบ้าน ไกลทุ่งคำหยาด ไกลกระทุ่มด่านออกไปทุกที"
"ฉันห่วงแม่ ห่วงน้อง"
"แฟงคงดูแลน้าเฟี้ยมได้ เอ็งไปอยู่หลังกำแพงกรุงศรี คงรอดปลอดภัย ได้กลับมาพบหน้าพี่น้อง พบไอ้ทัพอีก"
ขาบมองเฟื่องแบบน้อยใจแต่ก็ไม่พูดอะไร เดินออกไปทันที เฟื่องหันไปมององค์พระพุทธรูปใหญ่กลางลาน พนมมือ สีหน้าเศร้าหมอง
"สาธุ ขอคุณพระรัตนตรัยช่วยดลบันดาลให้พี่ทัพตามลูกเจอทีเถอะ"
เฟื่องนึกไปถึงภาพทัพกอดกับแฟงแล้วน้ำตาคลอ
ขบวนเกวียนหยุดพักในป่า ฟักกับหมู่เคลิ้ม นำด้านหัวขบวน ท้ายขบวนมีเอิบกับช่วงที่คุยกัน
"เอ็งว่าเรามาถูกทางหรือเปล่าวะ"
"ข้าก็ไม่รู้ พี่ฟักก็ท่าทางไม่รู้นะเอ็ง คืบก็ป่า ศอกก็ป่า"
"ข้าว่าเราหลงว่ะ"
"เดี๋ยวก็คงหาทางตัดออกไปจิกโพรงเจอน่ะแหละ ขออย่าเจอดงโจรเข้าเสียก่อน"
ทุกคนหยุดพักเติมน้ำ สไบกับแฟงพากันลงจากเกวียน เดินมาที่ริมน้ำ
ชาวบ้านหญิงพากันตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ ปิดด้วยเศษผ้าเพื่อใช้กินระหว่างเดินทาง ด้านหลังขบวน กลุ่มโจร ราว 10 คนขี่ม้าพุ่งพรวดเข้ามา ชาวบ้านหญิงหวีดร้องแตกตื่น
กลุ่มผู้ชายหันไป เอิบ ช่วง ยังไม่ทันฟัน เจอโจรถีบตกหลังม้า
ฟัก หมู่เคลิ้มกับกลุ่มชายฉกรรจ์ ควบม้าตะลุยไปฟันกับโจรที่ฝีมือเชี่ยวชาญ พวกผู้หญิงตกใจ หวีดร้อง แฟงทิ้งกระบอกไม้ไผ่ในมือ วิ่งตะโกน
" โจร โจรปล้น .. ผู้หญิงหลบไป หลบไปก่อน"
ชาวบ้านหญิงพากันหอบลูกจูงหลานวิ่งเข้าไปทางในป่าเพื่อซ่อนตัว สไบรีบจูงนางเฟี้ยม นางจันทร์ลงจากเกวียน วิ่งตามสบทบไปกับชาวบ้าน ผู้ใหญ่แสงชักดาบวิ่งไปรวมกับพวกหนุ่มๆพร้อมสู้
แต่กำนันพันพันกับนางเยื้อน เมียกำนันหอบสมบัติวิ่งตามกลุ่มเด็กและผู้หญิงไป
"มาทางนี้ตาพัน เดี๋ยวได้ตายหรอก ตายๆๆ คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย"
"แสงเฮ้ย...มาทางนี้ เอ็งแก่แล้ว"
สไบหันมาเห็นตกใจ ตะโกนเรียก
"พ่อ..พ่อหนีมาทางนี้"
"เอ็งพาลูกบ้านหลบไป พ่อจะกันพวกมันไว้"
สไบจะวิ่งไปหาพ่อ เฟี้ยมกับจันทร์ฉุดไว้
"อย่าไปลูก อยู่กับแม่นี่ เราเป็นผู้หญิงสู้กับเขาไม่ได้ดอก" จันทร์บอก
เฟี้ยมกับจันทร์ช่วยกันฉุดสไบเข้าป่าไป
แฟงมองกลุ่มผู้ชายที่เข้าฟันกลุ่มโจรแล้วต้อนเด็กกลุ่มสุดท้ายวิ่งตามไป
สไบกับพวกผู้หญิงและพัน เยื้อน เฟี้ยม จันทร์ วิ่งหนีมาซุ่ม ซ่อนตัวในพงหญ้าสูง ทุกคนสีหน้าตื่นกลัว ในกลุ่มผู้หญิงนี้มีกำนันพันคนเดียวที่เป็นผู้ชาย
แฟงพาเด็กกลุ่มสุดท้ายวิ่งมาสมทบ ทุกคนเงียบนิ่ง ซุ่มในพงหญ้าสูง
พันกับเยื้อนหน้าตาตื่นมาก มองไปรอบๆมีเด็กๆอยู่หลายคน
"ไอ้เด็กพวกนี้ มึงอย่าส่งเสียงดังนะ เดี๋ยวพวกมันได้ยินเป็นตายกันหมด" เยื้อนบอก
ทางด้านหลัง โจรอีก 10 คนที่ดักอยู่ โอบเข้ามา เสียงม้าควบมาใกล้ โจรที่กรูเข้ามา พวกผู้หญิงต่างกรีดร้อง เยื้อนตกใจดึงพันหลบไปอีกทาง แฟงลุกพรวดขึ้น โจรพากันมอง
"แฟง อย่า แฟง"
แฟงมองโจรที่พากันมองหัวเราะ
"สวยว่ะ"
โจรคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ชาวบ้านหญิงกรี๊ด สไบร้องเรียก
"แฟง"
แฟงมองจ้องม้าที่ใกล้เข้ามา รีบคว้ากิ่งไม้มาถือตั้งท่าสู้อย่างไม่เกรงกลัว ม้าโจรควบเข้ามา แฟงรอจังหวะ พอโจรเข้ามาใกล้ แฟงหวดไม้เข้าขาหน้าม้า ม้าเสียหลักล้มลงทันที โจรอีกคนควบม้าตรงเข้าหาแฟง สไบตัดสินใจคว้าไม้วิ่งเข้าไปหวังช่วยแฟง
เฟี้ยมกับจันทร์เห็น ร้องเสียงหลง
"พี่พัน ช่วยหลานด้วย" เฟี้ยมบอก
พันตกใจทำอะไรไม่ถูก เยื้อนฉุดไว้
"อย่าออกไปนะ เดี๋ยวได้ตายอีกคน"
โจรควบม้ามากระโจนเข้ารวบตัวสไบล้มลง ร้องสุดเสียง
โจรอีก 2 คนควบม้ากระโดดลงเข้าตบตีแฟงกับสไบอย่างไม่ปรานี
"อีสองคนนี่พยศนัก เอาแม่มันให้ตายดีไม๊"
เฟี้ยมร้องเสียงหลง จะออกไปช่วยลูก จันทร์ฉุดไว้
"อย่าไป เราสู้มันไม่ได้ดอก อย่า"
เฟี้ยมบอก
"แฟง แฟงลูกแม่ พี่พันช่วยหลานด้วย ช่วยหลานด้วย"
พันทำอะไรไม่ถูก เยื้อนจับไว้แน่น
"อย่านะตาพัน แกตายแน่"
โจรตบตีแฟงกับสไบอย่างไม่ปรานี จนสองสาวกระเด็นล้มกลิ้งไม่เป็นท่า แฟงได้ทีกระชากดาบออกจากฝัก ถือจังก้า โจรพากันล้อมแฟงไว้ แฟงมองสายตาสู้ตาย
ฟัก กับกลุ่มหมู่เคลิ้มที่ต่อสู้กับโจร ฟักหันไปเห็นแฟง
"แฟงหนีไป อย่าสู้กับมัน"
แสงแม้จะแก่ แต่ก็ยังมีเชิงของนักเลงหนุ่มอยู่ สู้ยิบตา หันไปเห็นสไบกำลังถูกทำร้าย พยายามฝ่าไปหา
"สไบ..ลูก ระวัง"
สองกลุ่มฝีมือที่ทัดเทียมกัน โจรฆ่าชายฉกรรจ์กับชาวบ้านชายตายไปหลายศพ ฟักกับเคลิ้ม เอิบ ช่วง ที่กำลังตะลุยฟันโจรล้มตายลงหลายศพเช่นกัน
ฝ่ายโจรมองแฟงที่กำดาบแน่น โจรหัวเราะแฟงกล้าถือดาบสู้
"ไอ้พวกเดรัจฉาน คนไทยเดือดร้อนเพราะข้าศึกก็ลำบากพอแล้ว พวกมึงยังมาซ้ำเติม ปล้นคนไทยด้วยกันอีก"
โจรหัวเราะ ไม่สนใจ พากันตรงเข้าฟันกับแฟงอย่างไม่คิดว่าเป็นผู้หญิง จนแฟงจะเสียที พันตัดสินใจชักดาบวิ่งออกมา เยื้อนตกใจร้องเสียงหลง
"มึงทำหลานกู มึงตาย"
พันพุ่งเข้าฟันกับโจรอย่างไม่นึกถึงสังขาร
"ไอ้แก่นี่ไม่อยากตายดีเสียแล้ว"
หัวหน้าโจรพุ่งม้าเข้าหา แฟงพยายามสู้
"ฤทธิ์ดีนัก"
แฟงเงื้อดาบจะฟัน แต่หัวหน้าโจรดึงม้าให้ยกขาสูง เตะใส่ แฟงล้มลงกับพื้น
"แฟง" พันร้อง
หัวหน้าโจร วนม้ากลับมา ลงมากระชากร่างแฟง หิ้วขึ้นหลังม้า พันเข้าขวางโดนเลยม้าชนกระเด็น หัวหน้าโจรพาแฟงฝ่าไปได้ พันพยายามลุกขึ้นจะตามไป
โจรอีกคนควบม้ามาข้างหลัง พันหันหน้าไปโดนฟันฉับเข้าเต็มหน้า พันล้มลงนิ่ง เยื้อนหวีดร้องวิ่งออกไปหา โจรอีกสองคนควบม้าเข้ามากระชากห่อสมบัติจากเยื้อน เยื้อนไม่ยอม จึงถูกโจรฟันล้มลง แย่งห่อสมบัติไปได้
หัวหน้าโจรควบม้าออกไป ทุกคนที่เหลือรีบตาม สไบพยายามเข้าขัดขวาง พวกโจรจึงไล่จับตัว สไบวิ่งหนี
"ของไม่ได้ ก็เอานังนี่ไปอีกคน"
แฟงที่ถูกพาตัวไปบนม้า กลุ่มโจรควบม้าเร็วข้ามน้ำด้วยชำนาญเส้นทาง พุ่งหายเข้าไปในป่าทึบ
ฟักกับเคลิ้มสู้กับโจรอยู่ เห็นแฟงถูกจับตัวไป
"แฟง แฟง"
ฟักชักม้าตามพวกโจรที่จับตัวแฟงไปทันที เคลิ้ม เอิบ ช่วง พยายามสกัดโจรไว้อย่างเต็มที่
"พ่อแสงล่ะ"
สไบพยายามวิ่งหนีสุดชีวิต พวกโจรควบม้าตามไม่ลดละ เด็กน้อยคนหนึ่ง เดินร้องไห้เงื้อดาบจากพงไม้ข้างทาง โจรควบม้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่มีทีท่าจะหลบเด็ก สไบตัดสินใจวิ่งกลับมาช่วยเด็ก
โจรควบม้าตรงเข้าหาสไบ แต่ก่อนม้าจะถึงสไบ แสงก็วิ่งออกมาจากข้างทางกระโดดฟันโจรคนแรกตกม้าลงมานอนนิ่ง
โจรอีกกลุ่มควบม้ากลับมาตรงเข้าหาสไบ สไบพยายามอุ้มเด็กวิ่ง แต่ดูแล้วไม่มีทางหนีรอด แสงตัดสินใจขว้างดาบออกไปปักอกโจรคนแรกตกม้าไป
โจรอีกคนที่ควบม้ามาด้านหลังตรงเข้าฟันแสงจากข้างหลังทันที แสงไม่อาจหลบได้ ถูกฟันอย่างแรง
โจรอีกคนที่พุ่งม้ามาจากด้านหน้า ฟันแสงซ้ำเข้าไปอีก
สไบอุ้มเด็กอยู่ล้มลง ตกใจ
"พ่อ...พ่อ"
สไบอุ้มเด็กวิ่งไปหาพ่อด้วยความตกใจ
"พ่อ พ่อ"
ฟักควบม้ามาถึงกลางน้ำ มองหา ตะโกนเรียก
"แฟง แฟง แฟง"
ฟักตะโกนก้องมองหาน้องสาวด้วยใจร้อนรน
กลุ่มชาวบ้านชายที่เหลือช่วยกันฝังศพคนตายอยู่ที่ริมน้ำ สไบนั่งร้องไห้อยู่หน้าหลุมศพพ่อ เฟี้ยมเองก็เสียใจไม่แพ้สไบ มีจันทร์นั่งปลอบใจอยู่
"เวรกรรม เวรกรรมอะไรของฉัน ลูกสาวมาถูกโจรลักไปทั้งสองคน นังเฟื่อง นังแฟง"
นางเฟี้ยมครวญได้แค่นั้นก็เป็นลมพับ
ฟักกำดาบ สีหน้าเครียดอยู่ข้างแม่ เสียใจที่ช่วยใครไม่ได้
กลุ่มชาวบ้านหญิงที่เหลือช่วยกันจัดกองเกวียน
เคลิ้ม เอิบ ช่วง จูงม้าเข้ามาหาฟัก
"เราคงต้องรีบเดินทางต่อ"
"ยังไงต้องเอาคนจำนวนมากไว้ก่อน"
ฟักมองทุกคน สีหน้ากดดันเต็มที่
"ฉันอยากไปตามหาแฟง" ฟักบอก
"แต่เราพักตรงนี้ไม่ได้ พวกมันอาจย้อนมา เราไม่ชำนาญทางเท่าพวกมัน ไปต่ออีกหน่อยเถอะ"
"พาชาวบ้านไปหาที่ตั้งเกวียน พักค้างคืนก่อน แล้วพวกเราจะช่วยเอ็งออกตามหาแฟงกัน" เอิบบอก
ฟักฟังแล้วจำยอม พยักหน้า
"เอาพวกเรา เร่งมือ เร่งมือ เราต้องไปแล้ว" ช่วงว่า
ทุกคนแยกย้ายกันไปช่วยดูแลชาวบ้านเพื่อเตรียมเดินทาง สไบน้ำตาคลอ เมื่อต้องจากพ่อ
อ่านต่อหน้า 2
บางระจัน ตอนที่ 4 (ต่อ)
ป่าไผ่เขตบ้านศรีบัวทอง ตอนกลางคืนแฟงที่ถูกเหวี่ยงลงกลางดิน กลุ่มโจรลงจากหลังม้า หัวหน้าโจรหน้าตาโหดเหี้ยมเดินเข้าหาแฟง โจรทุกคนกระจายตัวมองรอบๆ
"ได้นังคนสวยนี่มาสักคน ก็ยังดี ไม่เหนื่อยเปล่า"
หัวหน้าโจรเลื่อนมือไปที่ปมสไบเหนืออกของแฟง โจรทั้งหมดมองกะเหี้ยนกะหือรือ
"พวกมึงรอก่อน"
โจรตาวาว หันมาเถียงกันว่าใครจะเป็นคนต่อไป
"กูคนต่อไป"
"กูโว๊ย กู ... ต้องกู"
หัวหน้าโจรก้าวไปคร่อมร่างที่สลบไม่ได้สติ กำลังจะกระชากสไบ ปรากฏกลุ่มชายฉกรรจ์ 4 คน คืบคลานเข้ามาด้านหลัง พวกเขาคือ นายอิน นายเมือง นายแท่น นายโชติ และกลุ่มชาวบ้านบ้านศรีบัวทอง 4 คน ที่พุ่งเข้ามา
นายแท่น นายโชติ กำดาบเข้าเชือดคอ นายอิน นายเมืองแทงทะลุหลังลูกน้องโจรอย่างรวดเร็ว โจรที่เหลือเอะอะ หันไป แต่เจอดาบที่แทงจาก 4 คน เข้าตัดคออย่างไม่ทันตั้งตัว
หัวหน้าโจรกำลังจะลุกมาคว้าดาบ แต่นายโชติปักดาบยาวกระซวกเข้ากลางอก แล้วดึงออก
นายโชติถีบหัวหน้าโจรล้มลงหงายขาดใจตายข้างร่างแฟง ผู้ชายทั้ง 4 คนที่ก้าวเข้ามาก้มมองแฟง ที่นอนสลบอยู่
เฟื่องสะดุ้งเมื่อเห็นเงาของขาบเปิดประตูกระท่อมเข้ามา เธอถอยไปสุดมุมแคร่ ขาบมอง แล้วเดินไปเอนตัวลงนอนที่เสื่อมุมกระท่อม
เฟื่องมองด้านหลังขาบที่หันให้ ลอบถอนใจเบาๆ ที่ขาบรักษาสัญญา
ขาบพยายามอดทนกับความต้องการของตัวเอง ทั้งที่อยากจะกอดเฟื่องให้สมกับความรักที่มีมาเนิ่นนาน
ทางด้านทัพ มองกลุ่มเสื่อปิ่นที่กำลังกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน เมามาย ทัพพยายามดึงเชือกที่รัดมือแน่น เสือปิ่นหันมาเห็น
"จ้องกูทำไม"
"กูจ้องหน้าไอ้โจรชั่ว สุขสำราญบนคราบน้ำตาชาวบ้าน"
"ปากมึงนี่วอนตาย"
เสือปิ่นชกเข้าปากทัพ ลูกน้องเฮ
ทัพคอพับ เลือดกบปาก หันมามองเสือปิ่นที่หัวเราะใส่หน้าด้วยความสะใจ
แฟงที่พรวดพราดได้สติขึ้นมา ลุกขึ้นมองไปรอบๆ แฟงเห็นตัวเองอยู่บนแคร่ในหมู่บ้าน ผู้ชาย 4 คนกำลังนั่งประชุมกันห่างออกมา ทุกคนหันมามองแฟง
แฟงกลืนน้ำลายมอง ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
นายแท่น หัวหน้าของทุกคน หน้าตาอ่อนโยน มีไมตรี ยิ้มให้กับแฟงก่อน
"ไม่ต้องกลัว น้องสาว พวกข้าไม่ทำอะไรเอ็ง" แท่นบอก
"พวกพี่..ไม่ใช่โจรพวกนั้นหรือ"
"พวกโจรมันตายอยู่ในป่าศรีบัวทองหมดแล้ว"
"พวกพี่ฆ่ามัน"
"พวกข้าไปเดินเวรยามนอกหมู่บ้านพอดี เห็นพวกมันกำลัง ..จะ"
แท่นไม่อยากพูด แฟงสีหน้าเข้าใจ
"ข้าชื่อแท่น"
"พี่แท่น"
"ข้าชื่อโชติ"
"ข้าชื่ออิน"
"ข้าชื่อเมือง"
แฟงยกมือไหว้ทุกคนด้วยสายตาตื้นตัน
"พี่แท่น พี่โชติ พี่อิน พี่เมือง พวกพี่ช่วยชีวิตฉันไว้"
"พวกข้าคนบ้านศรีบัวทอง"
"ฉันชื่อ แฟง คนบ้านทุ่งคำหยาดจ้ะ หนีทัพอังวะมากับหมู่พี่น้อง แต่เจอก๊กโจรเข้าเมื่อวาน"
"ก๊กโจรมันระบาดไปทั่ว พวกมันก็หนีศึกเหมือนกัน .. อดยากจนต้องปล้นฆ่ากันเอง"
"ตอนนี้ต้องรวมกลุ่มกันไว้ ถึงจะต้านได้ทั้งข้าศึกทั้งโจร"
แฟงฟังด้วยสีหน้าสลด แท่นมองแล้วถามขึ้น
"ข้าย้อนกลับไปดู ก็ไม่เห็นขบวนเกวียนที่ไหน"
"ฉันคงถูกพามาไกล ไม่รู้พวกแม่จะเป็นยังไงบ้าง"
เมืองบอก
"ก็คงเปลี่ยนทาง หลบก๊กโจรไปทางอื่นแล้ว"
ทุกคนมองแฟงที่สีหน้าไม่ดี แฟงกัดฟันอั้นน้ำตาไว้ภายใน
"ฉันนี้มีกรรมจริงๆ พลัดพี่พลัดน้อง บ้านแตกสาแหรกขาดหมด"
ทุกคนมองแฟงที่สีหน้าเด็ดเดี่ยว นายแท่นมองแล้วชวนขึ้น
"ถ้าเอ็งไม่มีที่ไป ก็อยู่กับพวกข้าก่อน"
โชติบอก
"พวกเราชาวศรีบัวทองมีกองกำลังช่วยผลัดกันเป็นเวรยาม คอยซุ่มตีทัพอังวะที่มาแถวนี้ รับรองปลอดภัย"
แฟงได้ยินเข้าก็แววตาตื่นเต้น
"ฉันก็ไม่มีที่ไปแล้ว ขอฉันอยู่กับพวกพี่แท่น พี่โชติ พี่อิน พี่เมืองเถอะนะ อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ช่วยพวกพี่สู้กับพวกอังวะก็ยังดี"
อินท้วงขึ้
"ไม่ต้องถึงขั้นนั้นก็ได้ เอ็งมันเป็นผู้หญิง"
"ถึงเป็นผู้หญิงแต่พร้อมตายเพื่อปกป้องผืนดินเหมือนพวกผู้ชายได้"
เสียงแฟงหนักแน่นจนทุกคนต้องหยุดฟัง
"ให้ฉันอยู่ช่วยอะไรก็ได้ ฉันไม่เกี่ยง แต่อย่าไล่ฉันไปเลย ฉันพลัดแม่พลัดพี่น้อง พลัดครอบครัวมาอย่างเหลือเชื่อ พระท่านคงอยากให้ฉันมาที่นี่ มาช่วยพวกพี่เอาชีวิตข้าศึกที่เข้ามารุกรานแผ่นดินเรา มาเซ่นไหว้ศพพี่น้องไทยที่ต้องตาย"
แฟงมองทุกคนด้วยแววตาเข้มแข็งแน่วแน่
"ฉันสัญญา ฉันจะทำเพื่อพ่อแม่พี่น้องศรีบัวทองเหมือนเป็นบ้านเกิดของฉันเอง พร้อมจะปกป้องแผ่นดินนี้ด้วยชีวิตของฉัน"
นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมืองที่มองแฟงด้วยสายตาชื่นชม แฟงสีหน้าเด็ดเดี่ยว ไม่เกรงกลัวเลยสักนิดกับอนาคตที่กำลังเปลี่ยนไป
ภายในค่ายเชลยไทยที่วิเศษไชยชาญของสุรินทจอข่อง มีทหารอังวะประจำหน้าที่อยู่เต็ม
แถวเชลยไทยชาย-หญิงหลายคนถูกคุมตัวเข้าประตูค่ายมา พร้อมทั้งลากเข็นเกวียนใส่ข้าวของที่ปล้นได้มาด้วย แล้วจึงเห็นฉับกุงโบ เดินดูบริเวณค่ายด้วยความพอใจ มีสุรินทจอข่องและอากาปันญีเดินตามหลังเยื้องไปทางซ้ายขวา และมีนายกองอังวะเดินตามอารักขา 4 นาย
สุรินทจอข่องบอก
"ท่านแม่ทัพหน้ามาเยี่ยมค่ายของข้าวันนี้ คงได้เห็นแล้วว่า ทหารของเราทำการได้สมคำบัญชาของท่านเนเมียวสีหบดีทุกอย่าง"
"ดีมาก สุรินทจอข่อง อากาปันญี ถ้าท่านทั้งสองล้างทุ่งวิเศษไชยชาญได้สะอาด เหมือนกับที่ข้าล้างเมืองพิชัย สวรรคโลก และสุโขทัยแล้วละก็ ข้าจะรายงานท่านแม่ทัพเนเมียวให้ท่านได้ความชอบแน่ๆ" ฉับกุงโบว่า
อากาปันญีบอก
"พวกมันอ้วนพีมีสุขกันมานาน จับดาบไม่เป็นแล้ว ขืนสู้ก็มีแต่ตายสถานเดียว"
"ใครฮึดสู้ เราฆ่า ส่วนใครหนี เราก็ตามจิกหัวกลับมาฆ่าให้พวกมันดู พวกมันถึง ไม่กล้ากำแหง" สุรินทจอข่องบอก
ฉับกุงโบยิ้มพอใจ
"งั้นข้าก็เบาใจ เพราะงานใหญ่ของเรากำลังลุล่วงไปด้วยดี กองทัพฝ่ายใต้ของท่านมังมหานรธา เสนาบดีสงคราม ก็ได้มาตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่สีกุกบางไทรแล้ว และจะขยายกำลังโอบล้อมกรุงมาถึงทุ่งภูเขาทอง เมื่อไหร่ที่เรามีชัยเหนือกรุงศรีอยุธยาแล้ว ทุกคนใต้ท้องฟ้านี้ก็จะยกย่องเราว่า..."
เสียงทองแก้วตะโกนต่อคำพูดของฉับกุงโบ
"ไอ้สันดานโจร"
ฉับกุงโบสะดุ้ง ทุกคนหันไปมองทางคอกขังเชลยชายไทยที่อยู่ใกล้ๆ เห็นนายทองแก้วและนายดอกไม้ยืนเกาะรั้วคอกตะโกน
"นี่หรือวะ กองทัพนักรบอันยิ่งใหญ่ ถุย กูว่า โจรชั้นสวะมากกว่า" ทองแก้วบอก
ดอกไม้ถาม
"บ้านมึงไม่มีอะไรจะกินแล้วหรือวะ ถึงได้ยกโขยงมาปล้นบ้านกู"
สุรินทจอข่องตะโกนลั่น
"ไอ้เชลยปากสามหาว เฮ้ย... ทหาร"
ทหารอังวะวิ่งกรูกันเข้าไปที่คอก เชลยชายคนอื่นแตกถอยหนี เหลือแต่ทองแก้วและดอกไม้ยังตะโกนก้อง
"มึงจะรบก็รบกันไปซี่โว้ย รบกับทหารกรุงโน่น ทำไมต้องมาเหยียบย่ำบ้านกูด้วย กัดไม่เลือกอย่างนี้ มันหมาบ้านี่หว่า" ทองแก้วตะโกนใส่
อากาปันญีบอก
"ช้าอยู่ทำไมวะ ลากลิ้นมันมาสับเลยเซ่"
ทหารอังวะขยับเข้าไป แต่ฉับกุงโบตะโกนห้าม ทหารชะงัก
"หยุด อย่าฆ่ามัน แค่สั่งสอนมันก็พอ"
ทหารอังวะกลุ่มนั้นส่งดาบให้เพื่อน แล้วเข้าคอกเชลย เดินตรงเข้าหาทองแก้วและดอกไม้ด้วยมือเปล่า แล้วเข้ารุมซ้อมทันที ทั้งคู่พยายามปิดป้อง แต่ก็โดนหลายหมัดจนล้มลุกคลุกคลาน ส่วนเชลยอื่นยืนมองดูห่างๆ
ดอกไม้บอก
"เฮ้ย ช่วยกูด้วยซี่โว้ย ช่วยกูที"
เชลยอื่นได้แต่มองหน้ากัน ไม่กล้าช่วย เพราะเกรงกลัวทหารอังวะ ปล่อยให้ทั้ง 2 คนถูกรุมซ้อมจนทรุดอยู่กับพื้น หน้าตาเปรอะไปด้วยเลือด จนฉับกุงโบตะโกนห้าม
"พอแล้ว พอ เอาตัวมันมาที่นี่ ข้าจะพูดกับมัน"
ทั้งคู่ถูกนายกองอังวะเหวี่ยงลงมานอนกลิ้งอยู่ที่ลานหน้ากองบัญชาการเบื้องหน้าฉับกุงโบ และนายทัพทั้งสอง โดยมีนายกอง และทหารอังวะยืนล้อมอยู่
"เอ็งสองคนชื่ออะไรวะ " ฉับกุงโบถาม
ทั้งสองไม่ตอบ ยันตัวขึ้นนั่งอยู่คู่กันบนพื้นดิน หน้าตายังเปรอะเลือด
อากาปันญีตวาด
"ตอบท่านแม่ทัพสิวะ ไอ้เชลย ตอบ"
"กูชื่อทองแก้ว บ้านโพธิ์ทะเล"
"กูมาจากบ้านตลับ ชื่อดอกไม้"
สุรินทจอข่องบอก
"มันเป็นคนวิเศษไชยชาญด้วยกันทั้งคู่ ท่านแม่ทัพ"
"เอ็งปากกล้าดีนี่หว่า ไม่กลัวตายรึไง" ฉับกุงโบว่า
"ตายช้า ตายเร็ว มึงก็ต้องฆ่ากูอยู่ดี แล้วกูจะไปกลัวทำไม"
อากาปันญีขยับเข้ามา
"หนอย อวดดี กระทืบแม่ง"
"อย่า อย่าทำมัน ข้าจะฟังมันพูด เอ้า พูดไป" ฉับกุงโบบอก
"ชาวบ้านเราไปทำอะไรให้มึง มึงถึงมาฆ่าเอาเสียหลายโคตร ...ยกทัพมาอย่างเจ้าละกูไม่ว่าหรอก แต่นี่มาอย่างโจร ใครเขาจะยกย่องมึง"
ดอกไม้เสริม
"คนจะทำสงครามเขาต้องรู้ว่าถ้ายกทัพใหญ่ใช้คนมาก มันต้องเตรียมเสบียงมาให้พอ ไม่ใช่มากวาดเก็บเอาตามรายทาง ฆ่าฟันชาวบ้านเขาตายอย่างนี้"
ฉับกุงโบหัวเราะ
"ก็นี่มันสงคราม ถ้าพวกเอ็งยอมยกข้าว ยา ปลา เกลือ เนื้อหมู เนื้อวัว ให้กองทัพของข้าซะดีๆ มันก็ไม่ตายหรอก"
ทองแก้วถาม
"แล้วลูกเมียเขาอยู่กันดีๆ มึงจับมาทำไม"
"จับซี่ ถ้าข้าไม่มีตัวประกันพวกเอ็งจะยอมทำงานให้กองทัพข้าหรือ แต่ทหารข้ามันเหน็ดเหนื่อยมานาน ก็ต้องขอเอาไว้บำรุงใจพวกมันหน่อย ฮ่ะๆๆ"
ฝ่ายอังวะพากันหัวเราะ ทองแก้วโมโหจะลุกเข้าใส่ แต่นายดอกไม้กันตัวไว้ แล้วพูดดีเหมือนนึกอะไรออกมาได้
สุรินทจอข่องบอก
"แล้วถ้าพวกเอ็งหาสาวๆคนไทยมาแทนได้ ข้าก็จะปล่อยพวกเอ็งไป"
ทองแก้วนิ่งคิดก่อนพูด
"ที่พูดนี่แน่นะ"
"คนอย่างข้าพูดคำไหนคำนั้น"
"งั้นข้าจะพาพวกเอ็งไปหาสาวๆ ข้าพอรู้ว่าบ้านไหนมีสาวๆเยอะ"
"อะไรนะ เอ็งจะช่วยอะไรข้าหรือ" ฉับกุงโบว่า
"เอ็งคิดจะเอาตัวรอดอย่างนี้หรือไอ้ทองแก้ว ไอ้คนเห็นแก่ตัว" ดอกไม้บอก
คำพูดของนายทองแก้ว ทำให้ฉับกุงโบนิ่ง ขณะที่สุรินทจอข่องและอากาปันญีหันมองหน้ากัน
ทองแก้วแฝงแววเจ้าเล่ห์
"ถ้าข้าพาพวกเอ็งไปเจอพวกสาวๆ พวกเอ็งต้องทำอย่างที่พูดนะ"
"กูไม่คิดเลยว่ามึงจะเป็นคนอย่างนี้"
ฉับกุงโบหันมายิ้มกับสุรินทจอข่องอย่างพอใจ
"ก็ไม่หนักหนานะสุรินทจอข่อง หากท่านจะจัดทหารพามันไปหาผู้หญิงมาสักห้าหกคน เราคงไม่รบกันวันนี้พรุ่งนี้ดอก"
กองบัญชาการค่ายเสบียงอังวะ วิเศษไชยชาญ เวลากลางคืน สุรินทจอข่องนั่งเป็นประธานในงานเลี้ยงที่มีหญิงพม่าหลาคนคอยดูแลอย่างดี ส่วนลานด้านล่าง มีกลุ่มทหารชั้นผู้น้อยนั่งล้อมวงกินอีกมากมาย มีกลุ่มกลองยาวสร้างความคึกครื้น ทหารบางคนเมาได้ที่ก็ลุกขึ้นมาเต้นรำอย่างเมามัน
นายกองคนหนึ่งคุมเชลยหญิงไทยยกอาหารมาดูแลเหล่านายทัพต่างๆที่นั่งอยู่บนศาลาบัญชาการ
สุรินทจอข่องบอก
"ท่านฉับกุงโบ..สั่งให้เรากวาดต้อนเชลยและเสบียงส่งไปให้ทัพหลวงเนเมียวสีหบดีให้มากพอที่จะล้อมกรุงโยเดียเลยหน้าน้ำหลาก ฉะนั้นจงขอให้ท่านทั้งหลายทำงานให้เต็มความสามารถ อยากได้อะไรกวาดต้อนมาให้หมด แม้แต่ผู้หญิงไทย... ท่านฉับกุงโบก็มิห้าม ฮะๆๆ"
อากาปันญีดึงเชลยสาวเข้ามากอดจูบ เชลยคนนั้นพยายามปัดป้อง แต่ก็ไม่อาจฝืนแรงของอากาปันญีได้ ทุกคนหัวเราะชอบใจ
"ถ้าเอ็งยอมเป็นเมียข้า เอ็งไม่ต้องไปนอนในกรงเหม็นๆดอกนะ...ฮะๆๆ"
เสียงหญิงเชลย
"ปล่อยข้า...ปล่อยข้าเถิด ปล่อยข้า"
ทุกคนหันไปมองที่ลานหน้าศาลากองบัญชาการ
ทหารอังวะผู้หนึ่งอุ้มเชลยหญิงไทยหายออกไปจากกลุ่มที่นั่งกินเลี้ยงกันอยู่ ทุกคนหัวเราะชอบใจ
อย่างมีความสุข ชายไทยที่ถูกขังอยู่ในกรงต่างตะโกนด่าด้วยความเจ็บแค้น
"ไอ้ทหารโจร เก่งจริงอย่าเอาแต่รังแกผู้หญิง มานี่..มาสู้กับกูนี่ ปล่อยกูซิวะ"
อากาปันญีบอก
"ตามใจชอบเถิดพวกเรา อีกมินานแผ่นดินนี้ก็จะกลายเป็นของเราแล้ว...ดื่มๆๆ"
ทุกคนชูแก้วขึ้นดื่มอย่างสนุกสนาน
ทหารที่ตีกลองยาว ต่างเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
ดอกไม้ยังถูกมัดอยู่ที่เดิม ค่อยๆฟื้นขึ้นมา ทองแก้วอยู่ในกรงนั่งคอยเวลาบางอย่าง เสียงเพลง กลองยาวจากในค่ายดังมาแว่วๆ
ทหารอังวะเดินยามเพียงไม่กี่คน ทองแก้วลุกขึ้นมาเกาะลูกกรงตะโกน
"พวกเอ็งคงอยากเข้าไปสนุกกับพวกข้างในมั่งซินะ"
ทหารอังวะหยุดหันมามองทองแก้ว
"ข้าว่าพวกเอ็งก็น่าจะได้สนุกแบบพวกข้างในบ้างนะ"
ทหารอังวะไม่พอใจเดินเอาหอกมาทิ่มจ่อทองแก้วไว้
"อย่าทำข้านะ...ข้าเห็นใจพวกเอ็ง เดินทัพมาไกลเอ็งก็คงอยากเจอผู้หญิงบ้าง ข้าจะบอกที่ที่พวกผู้หญิงหนีไปซ่อนให้พวกเอ็งรู้"
ทหารยามอังวะหันมามองหน้ากัน ก่อนจะลดหอกลงมาคุยกับทองแก้ว
"ถ้าพวกเอ็งบอกที่ซ่อนสาวๆได้ ข้าจะไม่ให้เอ็งทำงานหนัก"
ทองแก้วนิ่งคิดก่อนพูด
"ที่พูดนี่แน่นะ"
"คนอังวะอย่างข้าพูดคำไหนคำนั้น"
"งั้นเข้ามาใกล้ๆข้าซิ ข้าจะบอกให้"
ทหารยามสองคนเริ่มเอะใจ ไม่กล้าเข้า
ดอกไม้ที่ฟังอยู่ไม่พอใจ
"เอ็งคิดจะเอาตัวรอดอย่างนี้หรือไอ้ทองแก้ว ไอ้คนเห็นแก่ตัว"
"ถ้าพวกเอ็งไปเจอพวกสาวๆตามที่ข้าบอก พวกเอ็งต้องทำอย่างที่พูดนะ"
ดอกไม้โมโห
"กูไม่คิดเลยว่ามึงจะเป็นคนอย่างนี้"
"เอ็งจะยอมให้มันทรมานเอ็งอย่างนี้จนตายก็แล้วแต่เอ็ง ข้าไม่ทนแล้ว"
"แต่กูยอมตาย ให้กูตายดีกว่าทรยศพวกเดียวกัน"
ทองแก้วรีบกวักมือเรียกทหารยามให้เข้ามาหา
"เร็วๆ ผู้หญิงพวกนั้นเป็นคนบ้านเดียวกับไอ้ดอกไม้มัน"
"ไอ้ทองแก้ว..ถ้ากูหลุดไปได้ กูจะฆ่ามึงก่อนเป็นคนแรก..คอยดู"
ทหารอังวะที่มีพวงกุญแจเดินเข้าไปหาทองแก้ว ทองแก้วทำท่าจะกระซิบ แต่แล้วเปลี่ยนเป็นรัดคอติดกรงขัง
"เร็ว ช่วยกัน" ทองแก้วบอก
ทหารอังวะอีกคนตกใจ ถือหอกวิ่งตรงเข้าจะแทงทองแก้ว แต่ช้ากว่าเชลยอีกคนที่วิ่งมาคว้าหอกจากทหารคนที่ 1 แทงสวนออกไปถูกทหาร 2 ล้มลงทันที
"ล้วงปะแจมันออกมา"
เชลยต่างช่วยกันพัลวัน จนได้กุญแจมาไข ทหารยามบนหอประตูเห็น ส่งเสียงดัง
"เชลยหนี...เชลยหนี จับมัน"
"เร็ว พวกมันแห่กันมาแล้ว" ดอกไม้บอก
ทองแก้วออกมาได้รีบหาดาบมาเฉือนเชือกมัดให้ดอกไม้ คนอื่นๆต่างไปช่วยกรงอื่นๆ
"กูปล่อยมึง มึงจะฆ่ากูหรือเปล่า"
"กูรู้ว่าคนอย่างมึงไม่ทรยศกันเองดอก...ไป"
ทองแก้วกับดอกไม้วิ่งออกไปที่สะพาน
นายทหารอังวะ 4 คนวิ่งนำทหารอังวะคนอื่นๆออกมา ทองแก้ว ดอกไม้ และเชลยคนอื่นๆต่างคว้าอาวุธของใกล้ตัวออกมาสู้ ทั้งคู่ฆ่าทหารตายไปหลายคน เชลยไทยบางคนไม่มีฝีมือ ถูกทหารอังวะฆ่าไปหลายคนเหมือนกัน
"เร็ว พวกเรา มาทางนี้"
ทองแก้ววิ่งนำ ดอกไม้กับเชลยไทยที่เหลือลุยน้ำไปอีกทาง นายทหารอังวะกลุ่มใหม่ตามออกมา อย่างโกรธจัด
"ไปจับตัวมันมาให้ได้"
ทหารอังวะวิ่งลุยน้ำตามพวกทองแก้วออกไปทันที
เช้าวันใหม่ อากาปันยีโกรธ ยืนอยู่ในศาลาบัญชาการ มีนายทหารอังวะที่สะบักสะบอมหมอบอยู่ใกล้ๆ
"พวกเอ็งมันโง่ ปล่อยเฉลยหนีไปได้อย่างไร ข้าอยากจะตัดหัวพวกเอ็งทิ้งเหลือเกิน"
มยิหวุ่นที่นั่งฟังอยู่ ไม่พอใจ
"ข้าขออาสานำทหารออกตามจับมันเองมันคงยังหนีไปได้ไม่ไกล"
"เอ็งจะทำผิดซ้ำอีกหรือ ขืนมัวตามจับไอ้พวกเชลยเหลือแดนแค่ไม่กี่คน เสบียงที่ข้าต้องนำส่งให้ทัพหลวงในวันพรุ่งนี้อีกพันเกวียน มีหวังไม่ทันคราวนี้ไม่ใช่พวกเอ็งเท่านั้นที่จะตาย ข้าก็จะถูกจับใส่ตระกร้อถ่วงน้ำด้วยปล่อยมันไป พวกเอ็ง...ไปกวาดต้อนเอาเสบียงเพิ่มมาแก้ตัวให้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าตัดหัวเอ็งแน่"
นายทหารอังวะ 2-3 คนนั้นรีบไหว้ออกไป
มะยิหวุ่นยังนั่งมองอากาปันยีนิ่ง
"มยิหวุ่นแล้วอย่าให้เรื่องนี้รู้ถึงหูท่านเนเมียวเด็ดขาด"
อ่านต่อหน้า 3
บางระจัน ตอนที่ 4 (ต่อ)
เที่ยงวัน ตะวันตรงหัว แสงแดดแรงสาดส่องไปทั่วบริเวณ ทัพถูกมัดมือไพล่หลังติดกับต้นไม้ เหงื่อแตกไปทั้งร่าง มีลูกน้องหน้าเหี้ยมของเสือปิ่นเฝ้าอยู่ 2 คน
ทัพถูเชือกเส้นใหญ่ที่รัดแน่นกับต้นไม้ เชือกบาดข้อมือทัพ เห็นเลือดซิบ แต่สีหน้าทัพไม่แสดงความเจ็บ
ทัพมองจ้องลูกน้องเสือปิ่นที่กินเหล้า หน้าแดงก่ำเมามาย ไม่ค่อยมีสติ ห่างออกไป...อ้ายเลาถูกผูกไว้
กลุ่มเสือปิ่นเพิ่งปล้นเข้ามา ชิด คนที่ดูเป็นหัวหน้าต่อจากเสือปิ่น กำลังคุมลูกน้องหลายคนแบกหีบสมบัติที่ปล้นจากคนไทยด้วยกัน
เสือปิ่นเดินเข้ามา
"เห็นมั้ย ทรัพย์สมบัติมากมาย เอ็งยังเปลี่ยนใจได้ ถ้าคิดจะมาเป็นโจรกับข้าฝีมือดาบเอ็งดี เราจะช่วยกันทำมาหากิน"
ทัพไม่รอจนเสือปิ่นพูดจบ ก็ถุยลงตรงหน้าเสือปิ่น
"ถุย เอ็งกล้าพูดว่าทำมาหากิน"
เสือปิ่นกับลูกน้องหน้าตากะเหี้ยนกะหืออยากจะฟันทัพ แต่ทัพจ้องมอง แววตาไม่กลัว จนทุกคนเกรงๆ
"ทำมาหากินอย่างเอ็งช่างเลวบัดซบ ปล้นฆ่า ฉกฉวยสมบัติไม่ต่างกับข้าศึกปล้นแผ่นดิน แต่เอ็งชั่วช้ากว่าข้าศึกหลายเท่าเพราะเอ็งปล้นคนไทยด้วยกัน"
ทัพพูดขึ้นด้วยเสียงที่ทุกคนฟังแล้วสะท้าน เสือปิ่นโกรธจัด ชักดาบเงื้อขึ้น
"ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษจะสาปแช่งลูกหลาน ที่มันทรยศแผ่นดิน"
เสือปิ่นตาวาวด้วยความโกรธสุดขีด ฟันดาบลงมาทันที ทัพมองนิ่ง สายตาไม่สะทกสะท้าน กับเงาดาบของเสือปิ่นที่ลงมาใกล้
ทองแก้ว ดอกไม้ และเชลยวิ่งลัดป่าไผ่นอกเขตหมู่บ้านศรีบัวทอง มาเจอแฟงที่กำลังขุดหน่อไม้อยู่ ต่างตกใจมองหน้ากัน
"ไม่ใช่พวกอังวะนี่" แฟงว่า
"ก็ไม่ใช่นะซิ" ทองแก้วว่า
ดอกไม้บอก
"หนีเร็ว...พวกอังวะกำลังตามข้ามา"
แฟงกระฉับเสียมขุดหน่อไม้มั่น ไม่กลัว
"พวกพ่อนั่นแหละ หนีไป...เร็ว"
ทองแก้วกับดอกไม้มองหน้ากัน...งง
"ไปซิ ข้ามีแผน"
ทองแก้ว ดอกไม้มองหน้ากัน ก่อนจะพาเชลยวิ่งออกไป
แฟงก้มหน้าก้มตาขุดหาหน่อไม้ต่ออย่างใจเย็น ทหารอังวะเดินย่ำใบไผ่เสียงดังกรอบแกร็บ
แฟงยังคงขุดหน่อไม้ ไม่สนใจใยดีใดใด
ทหารอังวะเดินมามองแฟงที่กำลังขุดหน่อไม้อยู่ต่างระริกระรี้
"เฮ้ย"
แฟงหันมา ทำทีตกใจ ทิ้งของวิ่งหนี
"ไม่ได้ผู้ชาย ก็เอาผู้หญิงไป"
ทหารอังวะต่างวิ่งไล่จับ แฟงวิ่งหนี ทองแก้วที่ซุ่มอยู่ออกมาเตะทหารอังวะกระเด็น
ดอกไม้ช่วยทองแก้วสู้ ต่างสู้กันอุตลุด
ทัพมองปลายดาบที่กำลังจะถึงคอ
เสียงอ้ายเลาร้องดังขึ้น ปลายดาบเสือปิ่นชะงัก ก่อนถึงคอทัพแค่คืบ อ้ายเลาร้องดัง กระชากเชือก พยายามจะวิ่งเข้ามาหาทัพ ลูกน้องเสือปิ่นเข้าไปดึงแต่เจออ้ายเลาเตะใส่
ลูกน้องพากันกรูเข้าไป อ้ายเลาทั้งร้อง ทั้งเตะ หลายคนกลิ้งลงกับพื้น
ชิดชักดาบ
"ไอ้ม้าเวร ดูสิจะทานดาบกูได้มั้ย"
ทัพร้องห้าม
"อ้ายเลา หยุดเถอะ อ้ายเลาเพื่อนยาก"
อ้ายเลาพอได้ยินเสียงทัพก็หยุดทันที
"เอ็งอย่าดิ้นรนช่วยข้าเลย อ้ายเลาเพื่อนยาก ชะตาข้าต้องตายด้วยมือโจร ก็ปล่อยให้ข้าตายเถิด เอ็งจงรักษาชีวิตไว้ไม่ต้องตายตามข้าไปด้วย"
อ้ายเลามองทัพด้วยความจงรักภักดี เสือปิ่นกับพวกมองอย่างไม่เชื่อสายตา อ้ายเลาน้ำตาไหล ทัพมองม้าคู่ใจด้วยสายตาอาลัย
แฟงวิ่งหนี มีทหารอังวะ 6 คนไล่ตามมา จนกระทั่งถึงแนวพุ่มไม้ป่าละเมาะขวางหน้า แท่น / อิน / เมือง / โชติ วิ่งออกมาจ้องดาบเผชิญหน้าทหารอังวะ บุกเข้าฟันโดยไม่รอช้า
ทหารอังวะไม่ทันตั้งหลักถูกฟันตายในไม่กี่เพลงดาบ
เสือปิ่นตัดสินใจลดดาบลง
"ใจมึงมันเด็ดเดี่ยวเกินชาวบ้าน
"ข้าก็ชาวบ้านธรรมดานี่แหละ ได้ชื่อว่าโจรเหมือนพวกเอ็งด้วยซ้ำ"
เสือปิ่นกับพวกมองเลิ่กลั่ก นึกไม่ถึง
"ข้าเป็นโจรหนีทัพ ทหารกรุงต้องการตัวข้าไม่ต่างจากพวกเอ็ง มันจับข้าไม่ได้ เลยต้อนครัวข้าไปรับโทษที่กรุงศรี"
"ทำแบบนั้นเท่ากับเอ็งวิ่งไปหาคมดาบทหารกรุงศรีหรือไม่ก็พวกอังวะที่มันเพ่นพ่านอยู่ทุกหัวระแหง เอ็งอยากตายนักรึ"
"ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายทั้งนั้น แต่ข้าขอเลือกตายเพื่อคนที่ข้ารัก"
ทัพพูดให้เสือปิ่นกระตุกใจคิด
ทองแก้วกับดอกไม้ สู้กับพวกอังวะอยู่ แท่น/ อิน / เมือง / โชติ เข้าไปช่วยฆ่าพวกอังวะตายทั้งหมด แฟงวิ่งถือเสียมกลับมาเห็นทหารอังวะตายหมดก็รู้สึกเสียดาย
"โธ่...ไม่เหลือให้ข้าสักคนเลยหรือ"
"ไม่ต้องเสียดายดอกแม่แฟง ยังมีไอ้พวกอังวะให้เราฟันคออีกมากนัก"
"แล้วพี่สองคนนี่เป็นใคร"
"ข้าชื่อดอกไม้ บ้านกรับ แล้วนี่พ่อทองแก้ว บ้านโพธิ์ทะเล เราสองคนถูกพวกมันจับไปเป็นเชลยอยู่ที่ค่ายวิเศษชัยชาญ พวกมันปล้นเรือนข้าจนไม่มีอะไรเหลือ"
"พวกข้าตัดสินใจแหกค่ายเชลยมันออกมา ตั้งใจแล้วว่าจะยอมตายดีกว่าไปเป็นเชลยมัน"
โชติยิ้มอย่างภูมิใจ
"งั้นดีเลย ข้าชื่อโชติ พวกเรากำลังรวบรวมครัวไทยที่แตกพลัดเข้าเป็นกลุ่มเป็นกองจะได้สู้กับไอ้พวกโจรอังวะได้ถนัดมื นี่พ่ออิน พ่อเมือง พ่อแท่น แล้วนั่นแม่แฟงสาวบ้านคำหยาด"
"แม่แฟงนี่กล้านัก กล้าเกินหญิง ยอมเป็นตัวล่อตาข้าศึกให้เราฆ่ามาหลายศพแล้ว"
ทองแก้วดีใจ
"พ่อโชติเป็นผู้นำชาวเมืองสิงห์ เข้าสู้กับพวกมันยังงั้นหรือ"
"ไม่ใช่ข้าหรอก พ่อแท่น พ่อบ้านศรีบัวทองนี่ต่างหากเป็นผู้นำตอนนี้เรามีครัวไทย อยู่ที่ศรีบัวทองมากโขอยู่ พ่อสองคนจะเอาด้วยไม๊"
"ดีนะดอกไม้ เรามารวมกับชาวศรีบัวทองสู้กับพวกอังวะดีกว่า ในเมื่อกรุงศรีก็ไม่ดูแลเรา ทิ้งเราแล้ว"
"งั้นขอข้าสองคนกลับไปตามครัวที่บ้านกรับกับโพธิ์ทะเลมารวมด้วยดีกว่าขืนทิ้งไว้ เห็นจะตายกันหมดเสียเปล่า"
ทัพยังถูกมัดมือ ชิดมองอยู่ตะโกนขึ้น
"ฆ่ามันเลยพี่ สิ้นเรื่องสิ้นราวไป"
"ไม่ต้อง มันกล้า ข้าชอบ" ปิ่นบอก
ชิดกับลูกน้องพากันฮึดฮัดแต่ก็ต้องฟัง เสือปิ่นมองทัพ
"ข้าจะเก็บเอ็งไว้ ถ้าทหารกรุงศรีมาเจอ ข้าจะส่งเอ็งให้ไปรับโทษแทนพวกข้า"
เสือปิ่นกับพวกถอยออกไป ทัพได้แต่มองตามด้วยความเจ็บใจ
วันใหม่ แฟงและดอกไม้ ทองแก้ว กับชาวบ้านกรับ และโพธิ์ทะเลร่วม 20 คน และชาวบ้านศรีบังทองนั่งล้อมวงฟังพวกนายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมืองพูดอยู่ที่ลานบ้านอย่างภูมิใจ
นายแท่นที่เป็นหัวหน้า เอ่ยขึ้น
"ตอนนี้พวกอังวะมันรุกขึ้นมาทั่วแขวงวิเศษไชยชาญ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ บ้านไหนไม่ยอมส่งเสบียงสวามิภักดิ์ พวกมันก็จะพรากลูกพรากเมีย ฆ่าเสียให้ป่นปี้เผาเรือนจนวอดวาย"
ทุกคนฟังแล้วสลดใจกับสภาพความพินาศที่ศัตรูเข้ามาย่ำยี
เมืองบอก
"จะมีไทยคนไหนดูดายอยู่ได้ ข้าจะไปบอกให้พี่น้องไทยลุกฮือต้านมัน เจอที่ไหนกุดหัวพวกมันให้สิ้น"
"คิดเสียก่อน ไอ้เมือง ทหารอังวะมากันมากมายเกินจะนับ เรามีแค่มีดแค่พร้า ปืนสักกระบอกยังหายาก เด็กเล็ก ผู้หญิง คนเฒ่าคนแก่จะพากันตายหมด" แท่นว่า
"ทำอย่างพี่แท่นว่า แผนนี่แหละดี ให้ผู้หญิงหลอกล่อพวกทหารเลวออกมา แล้วเราก็ลอบฆ่า ตัดกำลังมันเสีย" โชติว่า
"แต่ไม่นานหรอก โชติ พวกมันจะจับทางได้ ไม่หลงกลเราอีก" แท่นบอก
"กว่าจะถึงตอนนั้นพวกมันก็ต้องตายเพราะฝีมือดาบของพี่แท่น พี่โชติ พี่อิน พี่เมือง จนนับไม่ถ้วน พวกพี่ก็เห็นความกล้าของฉันแล้ว ขอให้ฉันเป็นตัวหลอกล่อพวกมันทุกครั้งไปเถิดนะจ๊ะ" แฟงบอก
"เอ็งนี่มันห้าวจริงๆ แฟง" โชติบอก
อินบอก
"เป็นน้องเป็นนุ่ง ... ข้าคงปวดหัว"
"ใครๆก็พูดกับฉันแบบนี้ล่ะจ้ะ"
แฟงยิ้มห้าวหาญ ทุกคนยิ้มขำกับความห้าวของแฟง
ดอกไม้ถาม
"ไม่กลัวตายเลยหรือ แฟง"
แฟงยิ้ม
"ไม่เลยจ้ะ ฉันกลัวเพียงอย่างเดียว"
ทุกคนมองแฟงอย่างสงสัย
"กลัวชาตินี้จะไม่ได้เจอหน้าแม่ หน้าพี่ชาย พี่สาวอีก"
สายตาแฟงหม่นลง แฟงเอ่ยด้วยเสียงเศร้า
"ฉันอยากจะให้พี่สาวที่ฉันรักที่สุดในชีวิตอภัยให้ฉันก่อนตาย ฉันทำผิดต่อพี่เฟื่อง ถ้าชาตินี้พอมีบุญ นังแฟงคนนี้ก็อยากกลับไปกราบพี่เฟื่อง ขอให้พี่เฟื่องยกโทษให้สักครั้ง กับความผิดที่นังแฟงทำให้พี่เฟื่องต้องถูกจับไปตกระกำลำบาก หากฉันทำอะไรที่จะชดใช้ความผิดครั้งนี้ได้ ขอให้บอก ถึงตายฉันก็ยินดีจะทำ"
แท่นและเหล่านักรบแห่งบ้านศรีบัวทอง ต่างมองแฟงด้วยสายตาภูมิใจ
กองคาราวานในหมู่บ้านสะแกโทรม เฟื่องกำลังช่วยชาวบ้านเลี้ยงเด็กอยู่ที่พักแรมอยู่ มีทหารเฝ้าเดินไปมามากมาย ขาบเดินกลับจากตรวจตรามากับทหารกลุ่มหนึ่ง
เฟื่องรีบตักน้ำมาส่งให้ขาบที่กำลังถอดหมวก ขาบมอง เฟื่องยื่นให้
"ฉันเห็นพี่เดินลาดตระเวนตั้งแต่เช้า"
ขาบรับขันน้ำมาดื่ม แล้วทอดสายตามองไปที่เฟื่อง
"ชื่นใจนัก เฟื่อง"
เฟื่องรับขันเอากลับไปวาง ขาบเดินมานั่ง เฟื่องเดินมาใกล้
"เราต้องอยู่ที่นี่อีกนานหรือ พี่ขาบ"
"ยังไม่มีคำสั่งให้เราไปต่อ"
"ที่นี่มีแต่กองเกวียนชาวบ้าน ทหารก็แค่หยิบมือ ถ้าทหารอังวะบุกเข้ามาพี่จะสู้ไหวหรือ"
"ก็เอาเลือดแลกเลือด ฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง"
"คนประมาท จะนำมาแต่ความพินาศ"
ขาบมองเฟื่องทันที เฟื่องเอ่ยน้ำเสียงหยามหยันสังข์
"นายกองสังข์ได้ดิบได้ดี มียศเพราะพูดจาเข้าหู รู้ทางเข้าหาเจ้าหานาย ไม่ใช่ฝีมือ"
"สังข์มันก็เก่งดาบนะเฟื่อง ไม่มีแต่ไอ้ทัพคนเดียว"
เฟื่องหน้าเศร้าลง ขาบน้อยใจที่เฟื่องคิดถึงแต่ทัพ ลุกขึ้น
"พี่ขาบ ... พี่ไม่คิดจะไปจากที่นี่ก่อนอังวะมันจะมาเจอหรือ"
"คิด แต่ทหารผู้น้อยต้องทำตามคำสั่ง ยังไม่มีใบบอกให้เคลื่อน เราก็ต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน ไม่ต้องกลัวหรอกเฟื่อง คนอย่างพี่ถึงจะเก่งไม่เท่าไอ้ทัพคนรักเอ็ง แต่ดาบพี่ก็ลับคมไว้เสมอ คงพอจะปกป้องเอ็งจากศัตรูได้อยู่หรอก"
ขาบมองเฟื่องด้วยแววตาน้อยใจ แล้วเดินออกไปเลย เฟื่องได้แต่มองตาม พูดอะไรออกมาไม่ได้อีก
ทัพที่ถูกมัด มองเห็นเสือปิ่นกับลูกน้องดื่มกินกันจนเมามาย ทัพบอกไปรอบๆว่า ลูกน้องเสือปิ่นอยู่ที่จุดใดบ้าง
ชิดถือน่องไก่ที่กำลังกินเดินอาดๆเข้ามาหาทัพ เยาะเย้ย
"มึงไม่รอดแน่ กูนี่แหละจะฆ่ามึง กูไม่เก็บ กูไม่กลัวทหารกรุงศรี กูไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว ถ้ากูเป็นใหญ่กูจะปล้นไม่เลือกหน้า กูต้องสบายกว่านี้"
ชิดตาวาวโรจน์ เมามายจนไม่มีสติ พูดในสิ่งที่ใจคิด ทัพไม่ได้ต่อความอะไร
ชิดเดินกลับไปรวมกลุ่มลูกน้องที่กินเหล้าจากไหต่ออย่างเมามาย
ทัพมองตาม แล้วเลื่อนสายตาไปมองเสือปิ่นที่ทิ้งตัวหลับลงไปแล้ว
ทัพมีแต่ความอดสูใจ พยายามถูเชือกกับต้นไม้ต่อไปอย่างไม่ให้ใครสังเกตเห็น
ขบวนของสไบกับชาวบ้านกระทุ่มด่านที่เดินทางตัดทุ่งและแม่น้ำเชี่ยว ฟักกับกลุ่มเคลิ้ม เอิบ ช่วง เป็นคนคอยดูแลขบวนอพยพ สไบคอยช่วยคนแก่ กับเด็กให้ข้ามแม่น้ำไป
ดอกรักมาช่วยจับ แต่สไบสะบัดมือ เดินหนี ดอกรักมองไม่พอใจ ฟักคอยดูแลปิดท้ายขบวน สีหน้ากังวล สไบเอ่ยถามขึ้น
"ป่านนี้ไม่รู้ว่าพี่เฟื่องกับแฟงจะเป็นยังไงบ้างนะจ๊ะ"
"พี่ทัพคงจะไปช่วยเฟื่องไว้ แต่แฟง..."
"คนดีผีคุ้ม"
สไบมองฟักอย่างเชื่อมั่น
"แฟงจะต้องไม่เป็นอะไร ฉันเชื่อว่าวันนึง ไม่ว่าที่ไหน .. เราจะต้องได้เจอแฟง"
ฟักฟังแล้ว รู้สึกดีขึ้นบ้าง ยิ้มให้สไบ สไบมองไปไกลแววตาคิดถึงเพื่อน
กองคาราวานตอนกลางคืน ทหารยามเดินไปมา ชาวบ้านนอนหลับกันไปบ้างแล้ว
เฟื่องที่นั่งมองพระจันทร์ลอยเด่น ขาบเดินเข้ามาในกระท่อม เฟื่องสะดุ้ง ขาบมองแล้วปิดประตูกระท่อม
เฟื่องถอยไปนั่งห่างด้วยสัญชาติญาณผู้หญิง ขาบเดินมาใกล้
"กลัวข้ามากหรือ เฟื่อง"
เฟื่องใจดีสู้เสือ
"ฉันรู้ว่าพี่ขาบเป็นคนดี"
"บางทีข้าก็ไม่อยากเป็นคนดี"
ขาบวางดาบลงอย่างแรง เฟื่องไม่สบายใจ ขยับถอย
"เรือนเล็กแค่นี้ เอ็งจะหนีแค่ไหน ก็ไม่พ้นมือข้าหรอก"
เฟื่องสะดุ้ง ลุกพรวด ระวังตัว ขาบเข้ามาใกล้ เฟื่องเตรียมกระโจนวิ่งไปที่ประตู ขาบขวางไว้ เฟื่องชนเข้าในอกขาบอย่างแรง ขาบจับไหล่ เฟื่องดิ้นทันที
"อย่านะพี่ขาบ .. พี่สัญญาแล้วว่าจะไม่ข่มเหงฉัน"
ขาบที่มองเฟื่องเต็มไปด้วยความรัก ความเสน่หา
"พี่สัญญาแล้วว่าจะให้ฉันกลับไปหาพี่ทัพ"
ขาบพอได้ยินแบบนี้ แววตาก็เปลี่ยนเป็นกระด้างขึ้นทันที
"ลมหายใจเอ็ง หัวใจเอ็งไม่เคยมีให้ใครอื่น นอกจากไอ้ทัพบ้างเลยหรือ เฟื่อง สายตาเอ็งไม่เคยมองเห็นหัวใจของคนที่รักเอ็งบ้างเลยหรือ"
เฟื่องอึ้งมองขาบด้วยความกลัว
ฝ่ายสังข์เมามายกำลังเดินเข้าหา จวงน้ำหูน้ำตาร่วง ไม่รู้จะหนีได้ยังไง สังข์จับไหล่ ยื่นหน้าจนชิด
"จะร้องไห้ไปทำไมล่ะ จวง"
"อย่าทำอะไรฉันเลย นายกอง"
"หื้อ...เรียกนายกองทำไม เรียกผัวสิ .. ผัวจ๋า"
สังข์ยื่นมาซุกไซร้ จวงหลบหน้าหนี สะอื้นออกมา สังข์ชะงัก
"เอ็งจะร้องทำไม จวง"
จวงเอาแต่สะอื้น สังข์โมโห เหวี่ยงจวงลงไปที่แคร่ จวงถอยหนี สังข์โผพุ่งเข้าไปชิด
"ร้องไป ก็ไม่มีใครมาช่วยเอ็งได้หรอกจวง เมียรัก"
จวงเบือนหน้าหนีสังข์ที่ใบหน้าอยู่ห่างแค่คืบ
ขาบดึงไหล่เฟื่องเข้ามาชิด
"บอกสิว่าเอ็งไม่เคยเห็นใครดีกว่าไอ้ทัพ"
"พี่ขาบ .. อย่าทำอะไรฉันเลย"
"ทำไมข้าต้องรักษาเอ็งไว้ให้คนอื่นมาเชยชม"
"พี่สัญญากับฉันแล้วนะ"
เฟื่องเสียงแข็ง ถึงกลัวแค่ไหนก็พยายามให้เหตุผลเตือนสติขาบ
"เอ็งรู้จักผู้ชายน้อยไปเฟื่อง ต่อให้เป็นไอ้ทัพ คนดีของเอ็งมาอยู่แบบข้า มันก็คงไม่คิดจะรักษาสัญญา"
เฟื่องเริ่มไม่แน่ใจ แววตาขาบมีแต่ความปรารถนาจนเฟื่องหวั่นใจ
"หรือพี่อยากจะเป็นคนไม่รักษาสัตย์ หรือพี่อยากจะให้ฉันเกลียดพี่ไปจนวันตาย"
"ไม่เป็นไรหรอก เฟื่องถ้าเอ็งจะเกลียด ก็ในเมื่อทำยังไงเอ็งก็ไม่วันรักข้าอยู่แล้ว"
ขาบมองจ้องเฟื่องที่แววตาหวาดกลัวขึ้นมาเมื่อเห็นความปรารถนาของขาบที่กำลังจะทำลายสัญญา
สังข์กดไหล่จวงลงไปกับแคร่ ก้มลงซุกไซร้ จวงสะอื้น
"หยุดร้อง"
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ จวงสะอื้นแรง สังข์ออกอาการโมโห
"เอ็งจะร้องทำไมจวง ข้าผัวเอ็ง ไม่ใช่โจรห้าร้อยที่ไหน"
สังข์ไม่สนใจ ก้มลงจะจูบต่อ
เสียงทุบประตูดัง สังข์ตะโกนออกไป
"ใคร"
เสียงทุบประตูดังไม่หยุด สังข์หงุดหงิด ผละจากจวงที่รีบลุกขึ้นทันที สังข์กระชากประตูเปิดออก
"อะไรวะ"
ทหารกรุงศรีอยุธยายืนทุบประตูอยู่ สังข์มองผ่านคนมาทุบประตูไปถึงกับชะงัก
หมื่นศรีสรรักษ์ยืนเด่นอยู่ที่ชานเรือน มีทหารคุ้มกันอยู่ 2 นาย
"คุณพระนาย"
จวงมองเห็นสังข์ทรุดลงคุกเข่าพนมมือต่อหน้าจมื่นศรีฯที่มาพร้อมกับทหาร
บริเวณวัดร้างสะแกโทรม เฟื่องกับจวงยืนอยู่ห่าง กำลังมองไปที่เรือนหลังหนึ่ง เห็นสังข์ ขาบกำลังประชุมอยู่กับจมื่นศรีฯ หรือเรียกตามคำสามัญว่า "คุณพระนาย" ทหารของคุณพระนายเฝ้าอยู่รอบๆ
คุณพระนายบอก
"เราเห็นจะไม่จำเป็นต้องพาครัวพวกนี้เข้าไปในกำแพงกรุงศรีแล้ว"
"ทำไมละคุณพระนาย" สังข์ถาม
"ตอนนี้ในกำแพงกรุงศรีแน่นไปด้วยคน จนจะเหยียบกันตาย ปล่อยพวกนี้ไปเสีย ขนแต่เสบียงเข้าไปก็พอ"
ขาบตกใจ รีบแย้ง
"แต่คนพวกนี้มันคนบ้านเดียวกับกระผมนะขอรับ กระผมจะทิ้งพวกเขาได้ยังไง"
"ไอ้ขาบ มึงอย่าเพิ่งสอด"
ขาบจึงต้องเงียบ
"ขอกระผมพาเข้าไปเถอะ กระผมจะดูแลเขาเอง ข้าวปลาพวกนี้กระผมจะขอแบ่งไว้พอกินแค่ช่วงน้ำหลากเท่านั้น พอพวกอังวะถอยทัพ กระผมก็จะรีบพาเขากลับคำหยาด"
"ฉันเตือนพวกแกแล้วนะ ถ้าเข้าไปแล้วอดตาย อย่ามาแย่งข้าวคนอื่นกินให้ข้าเห็นแล้วกัน"
เฟื่องกับจวงนั่งมองอยู่ไกลๆไม่ได้ยินเสียง
"คุณพระนายมาถึงกลางดึกอย่างนี้ ต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก"
"เราคงต้องอพยพต่อแล้วใช่มั้ย พี่เฟื่อง"
เฟื่องกับจวงมองหน้ากันด้วยสายตาสลด
"เข้าไปอยู่กรุงศรี แล้วเมื่อไหร่ถึงจะกลับมาเจอแม่ เจอพี่ทัพได้อีก" จวงบอก
"ไม่ต้องห่วงไปหรอก จวง พี่ทัพ..เค้ามีคนดูแลอยู่แล้ว"
"พี่ทัพไม่มีใคร นอกจากพี่เฟื่อง" จวงยืนยัน
"มีสิ"
"ใคร"
เฟื่องเงียบไป จวงมองแล้วถามขึ้น
"พี่ทัพเขาไม่สัตย์ซื่อเหมือนเก่า เขาเห็นนังม้าดีดกระโหลกดีกว่า"
"แฟงน่ะหรือ"
"ใช่"
"เป็นไปไม่ได้หรอก พี่เฟื่อง...พี่ทัพไม่ใช่คนใจโลเล พี่ทัพรักแต่พี่เฟื่อง"
"จวงไม่ได้เห็นอย่างที่พี่เห็น ถ้าใจพี่ทัพยังมั่นคง ป่านนี้พี่ทัพจะต้องตามมาช่วยเรา เหมือนครั้งก่อนแล้ว"
"พี่ทัพกำลังมา"
จวงเสียงยืนยัน เฟื่องมองสีหน้าไม่มั่นใจ
อ่านต่อหน้า 4
บางระจัน ตอนที่ 4 (ต่อ)
ฝ่ายทัพเงยหน้าพิงต้นไม้ มองพระจันทร์อย่างเหม่อลอย
"เฟื่อง.. ไม่ว่าเอ็งอยู่ที่ไหน ขอให้รู้ว่าพี่คิดถึงเอ็ง ห่วงเอ็งทุกลมหายใจ รักษาใจ รักษากายไว้นะ เฟื่อง อดทนไว้ พี่จะต้องไปรับเอ็งและทุกคนกลับมาให้ได้"
ทัพมองพระจันทร์ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
จันทร์ดวงเดียวกันที่ลอยเด่นบนฟ้า เฟื่องมองเศร้า
"เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ที่พี่ทัพจะมาถึง ถ้าหัวใจพี่ทัพอยู่ที่นี่ กายพี่ทัพจะต้องมาถึงแล้ว"
เฟื่องน้ำตาคลอด้วยความน้อยใจ จวงมอง
"นอกเสียจาก พี่ทัพหมดรัก หมดอาลัย ปล่อยให้หัวใจดวงนี้มีแต่ความหวัง หวังลมๆแล้งๆ ว่าจะได้พ้นไปจากอ้อมแขนของชายอื่น"
เฟื่องน้ำตาหยดลงมาด้วยความเศร้า มองเห็นขาบยังคุยอยู่กับสังข์และคุณพระนาย
คุณพระนายบอก
"ถ้าประตูกรุงศรีจะปิด ฉันจะส่งทหารมาแจ้งให้พวกเอ็งรู้ ยามศึกอย่างนี้เอ็งช่วยใครไม่ได้หรอก แต่ถ้าอยากเป็นภาระก็อย่าหาว่าข้าใจจืดใจดำก็แล้วกัน"
คุณพระนายและนายทหารเดินไปขึ้นม้าควบออกไป
สังข์ได้แต่ยืนมองด้วยความผิดหวัง
"คนที่มึงหวังได้ลาภยศจากเขานะ มันต้องเหลือเศษเหลือเดนเขาก่อน มันถึงจะกระเด็นมาโดนมึง ใครที่ไหนมันจะจริงใจเท่ากับคนบ้านเดียวกัน กูถึงยอมมึงทุกอย่าง"
ขาบไม่พอใจสังข์อย่างมาก เดินออกไป สังข์เสียใจสุดๆ แต่ยังไม่ยอมฟังเหตุผล เฟื่องทอดอาลัยไปไกลกับชะตากรรมของตัวเอง
วันใหม่ ตะวันตรงหัว ทัพเงยมอง สายตาพร่า ปากแห้งเพราะอดข้าว อดน้ำมาหลายมื้อ อ่อนแรง เห็นเสือปิ่นที่ยืนจังก้า
"แก้มัดมันออกซิ"
"อะไรกันพี่"
ชิดไม่พอใจ ไม่เห็นด้วย
"ดูสภาพมัน .. จะตายอยู่แล้ว หนีไปได้สองสามก้าวก็คงหมดลม"
เสือปิ่นหัวเราะหยามๆ ไม่คิดกลัวอะไรกับสภาพทัพ ตรงข้ามกับชิดที่แววตาไม่พอใจ ลูกน้องเสือปิ่นเข้ามาปลดเชือกให้ ทัพแกล้งล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง
"เอาน้ำให้มันกิน อย่าให้มันตาย"
ลูกน้องชิดเอาน้ำมาเทกรอกปาก ทัพสำลักน้ำ ทุกคนมองหัวเราะ ยกเว้นชิดที่สีหน้าไม่พอใจ
"กินข้าวซะ ไอ้ทัพ ข้ายังไม่อยากให้เอ็งตาย"
เสือปิ่นหัวเราะ ทัพทำมอง เห็นลูกน้องเสือปิ่นเอาข้าวกับเนื้อในใบตองมาวางให้ ทัพทำเป็นรีบกินอย่างหิวโหย เสือปิ่นเดินห่างกลับไปคว้าเหล้าจากไหกินต่ออย่างมีความสุข
ชิดเดินกลับไปใกล้เสือปิ่น ทัพกินข้าวไป เหลือบมองสังเกตทุกอย่างรอบตัวเพื่อรอเวลาหนี
พระยารัตนาธิเบศร์นั่งเป็นประธานที่ประชุมในศาลาลูกขุน กรุงศรีอยุธยา คุณพระนายหมื่นศรีนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่หลายคน
พระยารัตนาธิเบศร์ถาม
"ทัพพระเจ้ากรุงอังวะตั้งค่ายล้อมกรุงเราไว้ทุกด้าน เราส่งกองทหารไปกี่ทัพก็พ่ายกลับมา น้ำเหนือก็กำลังหลาก ไม่เห็นทีท่าว่ามันจะถอยทัพอย่างที่พวกเราคิดเลย"
คุณพระนาย รีบทำหน้าขึงขัง เพื่อกลบเกลื่อนความกลัวภายใน
"พวกชาวบ้านที่ทัพอังวะผ่าน มันพากันเอาตัวรอด ยอมส่งเสบียงให้ข้าศึก ทำให้ข้าศึกมีกำลังเข้มแข็งขึ้น"
พระยาธรรมา กรมคลัง กล่าวว่า
"แต่ที่สายสืบข้าส่งมา แจ้งว่าทัพอังวะที่ยกมาทั้งสองทัพมีเป็นแสน และมันคิดจะตั้งค่ายข้ามฤดูฝน จึงต้องการเสบียงอาหารจำนวนมาก แต่ชาวบ้านไม่ยอมมันจึงทั้งปล้น ฆ่า เผาหมู่บ้าน ข่มขู่สารพัด แล้วยังจับพวกผู้ชายไปเป็นเชลย ส่วนพวกเด็กสาวๆมันก็เอาไปปู้ยี่ปู้ยำเหมือนเขาไม่มีพ่อมีแม่"
คุณพระนายบอก
"พวกอังวะมันมาเยี่ยงโจร"
พระยารัตนาธิเบศร์บอก
"จมื่นศรีสรรักษ์ กองทัพอังวะมีไพร่พลนับแสน ช้างม้า ปืนใหญ่มากมาย ยกมาทั้งเหนือใต้ อย่างนี้ท่านยังกล้าเรียกว่าโจรได้หรือ ข้ารู้แล้วว่าทำไมทัพของท่านจึงแพ้ศึก เพราะมองข้าศึกเป็นมดปลวก ทั้งๆที่เค้าเป็นราชสีห์"
คุณพระนายเหงื่อตก พยายามหาข้อแก้ตัว
"ที่กองทหารข้าไม่อาจจะชนะได้ เพราะทหารไม่รู้เห็นเป็นใจ และคำสั่งจากเบื้องบนก็ไม่เด็ดขาด"
พระยาพลเทพ กรมนาบอก
"นั่นสิ กรุงศรีเราเพลานี้ระส่ำระส่ายไปหมด เพราะเจ้านายแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า จนเราผู้น้อยไม่รู้จะฟังใคร"
พระยาธรรมาบอก
"เราควรจะเร่งปิดกำแพงเมือง ถ้าทัพอังวะมันเข้ามาประชิดกำแพงกว่านี้เราจะป้องกันเมืองไม่ทัน"
"แล้วชาวบ้านรอบนอกที่เขากำลังอพยพมาไม่ถึงจะทำยังไง" พระยารัตนาธิเบศร์บอก
คุณพระนายบอก
"ตอนนี้ในกำแพงกรุงศรีเต็มไปด้วยชาวบ้านอพยพ ไม่มีที่จะอยู่แล้ว ยังไงๆเราก็ให้เข้ามาเพิ่มอีกไม่ได้"
"ออกคำสั่งปิดประตูเมืองเถิดท่านเจ้าคุณ รักษาพระนครไว้ก่อน ชาวบ้านรอบนอก อย่าเพิ่งไปสนใจ ยังไงๆ เขาก็เอาตัวรอดได้" พระยาพลเทพบอก
พระยาธรรมาธิเบศร์ และเสนาคนอื่นๆต่างมีความเห็นเดียวกัน ทุกคนต่างจงรักภักดีและห่วงบ้านเมือง คุณพระนายเห็นทางเอาตัวรอด ก็ขยับไปทางกลุ่มเสนาบดีทั้ง 4 เอ่ยขึ้นอย่างเอาหน้า
"กระผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่านเจ้าคุณพลเทพว่าการป้องกันพระนครนั้น จำเป็นต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง หากโลเลจะเอาทั้งสองทางเราอาจจะเสียพระนครได้ เร่งปิดประตูกำแพงพระนครเถิด รอจนหน้าน้ำ ข้าศึกล่าถอยไป เราค่อยหาทางฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ แต่หากเสียพระนครเสียแล้ว เราจะฟื้นฟูบ้านเมืองขึ้นมาได้อย่างไร"
พระยารัตนาธิเบศร์รู้สึกหนักใจมาก ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร
ระหว่างทางไปบ้านพราน ขบวนอพยพเข้ากรุงศรีอยุธยาเดินทางต่อ สังข์นำกลุ่มทหารที่คอยดูแลตลอดขบวนเกวียน ท่ามกลางแดดร้อน เฟื่องกับจวงนั่งชิดกันมาในเกวียนเดียวกันทางด้านหน้า ที่ดูไม่เบียดเสียด สบายกว่าชาวบ้านด้านหลัง
ขาบบนหลังม้าเอากระบอกน้ำมาส่งให้เฟื่อง
"ทนหน่อย บ้านพรานอยู่ไม่ไกล เราจะไปหยุดพักที่นั่น ก่อนเข้ากรุง"
เฟื่องกับจวงสีหน้าเศร้า ขาบมองแล้วสีหน้าไม่พอใจ
"คุณพระนายไปไหน พี่ขาบ ฉันไม่เห็นตั้งแต่ตอนออกเดินทาง"
"ท่านไปแล้ว ล่วงหน้าไปก่อน" ขาบบอก
"ทำไมถึงไม่ไปพร้อมๆกัน"
"ท่านต้องรีบไปเข้าเฝ้า" ขาบบอก
ขาบบอกแค่นั้นแล้วดึงม้าไปดูด้านหลังขบวน เฟื่องกับจวงโยกเยกไปตามเกวียนที่เคลื่อนไปด้านหน้า
เฟื่องรำพึงขึ้น
"ใกล้กรุงศรีเข้าไปทุกที"
"เราจะพ้นภัยจากพวกอังวะไม๊ พี่เฟื่อง" จวงถาม
"คงไม่เป็นอะไรจวง ถ้าเราได้เข้าไปอยู่ในกำแพงพระนคร เราต้องปลอดภัยจากข้าศึก เพียงแค่ห่างบ้าน ไกลออกไปทุกที ทุกที..เท่านั้น"
เฟื่องน้ำเสียงปลอบใจจวง แต่แฝงความเศร้า ความอาลัย
ขบวนอพยพของครัวไทยที่กำลังเดินเข้ากรุงศรีอยุธยา สีหน้าของทุกคนมีความหวัง ยกเว้นเฟื่องกับจวงที่ไม่มีความสุขไปด้วย เพราะหนทางยิ่งห่างไกลจากบ้าน จากคนรัก จากครอบครัว
แฟงกับหญิงชาวบ้านเดินกระเดียดกระจาดเก็บของป่าไผ่ นอกเขตบ้านศรีบัวทอง กำลังพูดคุย ยิ้มหยอกเย้ากันมา ทุกคนมีแต่ความสดชื่น แช่มช้อย
ทหารอังวะทั้งกลุ่มที่มองตาม กลุ่มแฟง และหญิงชาวบ้าน สายตานั้นโลมเลียไปตามเรือนร่างของแฟงและหญิงชาวบ้าน
กลุ่มทหารเดินตามกันไปอย่างไม่รู้ตัวว่ากำลังก้าวสู่กับดัก
ทัพกินข้าวยังไม่หมด แต่กินน้ำ แล้วลุกขึ้น เสือปิ่นมองนิ่งๆ แต่ชิดชักดาบระวังเต็มที่ ทัพหยิบห่อข้าวกับกระบอกน้ำขึ้น เดินมาที่อ้ายเลา ป้อนข้าวให้ อ้ายเลาที่กินอย่างหิวโหยเหมือนกัน
ทัพทำเป็นไม่สนใจสายตาใคร ลูบหัวกระซิบกับอ้ายเลา
"กินซะ...อ้ายเลาเพื่อนยาก กินให้อิ่มหนำ ไม่เกินวันสองวันนี้ เราต้องเดินทางไกล"
ทัพมีแผนการเตรียมจะหนีไปจากซ่องโจร
แฟงและกลุ่มนักรบกำลังสู้กับทหารอังวะ ทหารอังวะสู้ไม่ได้ล้มตายลง จนไม่มีใครรอดสักคน
ปลายดาบและเนื้อตัวของ 6 ผู้นำ แท่น / โชติ / อิน /เมือง / ดอกไม้ / ทองแก้ว เต็มไปด้วยเลือด
แฟงกับหญิงชาวบ้านยืนอยู่ห่าง ทุกคนสีหน้ายิ้มแย้ม ที่แผนการล่อหลอกตัดกำลังศัตรู
"เดือน 3 ข้างขึ้น ชาวบ้านพากันหนีภัย อพยพสู่บ้านระจันเป็นจำนวนมาก"
ชาวบ้านที่กำลังอพยพเข้าไปในค่าย ชาวบางระจันจำนวนหนึ่งออกมาต้อนรับอย่างดีใจ
“ชาวบางระจันรวมตัวกันสู้ศึก โดยมีพันเรืองเป็นพ่อค่าย นายทองเหม็นเป็นผู้คุมกองกำลัง ช่วยกันก่อร่างสร้างค่ายขึ้นป้องกันภัย”
พันเรืองช่วยชาวบ้านสร้างหอกลองอยู่
บรรยากาศค่ายบางระจัน เชิงเทิน ระเนียดค่าย หอคอย ป้อมใหญ่ค่าย ถูกสร้างขึ้นจากหยาดเหงื่อและหัวใจของชาวบ้านระจัน
ค่ายเสร็จเรียบร้อย ชาวระจันพร้อมรบ
พวกระจันพากันออกมายืนเต็มลาน ดีใจที่ค่ายเสร็จ พากันโห่ร้องดีใจกันคึกคัก
ทองเหม็นบอก
"ชาวระจันจะไม่ยอมให้ฝ่าตีนข้าศึกเข้ามาเหยียบถึงบ้าน หญ้าบ้านระจันไม่ได้มีให้ช้างศึกหรือ ม้าศึกอังวะมาเหยียบ มากิน ใช่ไม๊พวกเรา"
"ใช่....เฮฮ"
"ชาวระจัน สู้ตาย"
ชาวค่ายฮึกเหิมพร้อมใจกัน
"ชาวระจันสู้ตาย ๆ ๆ"
ขบวนอพยพที่นั่งพักกลางป่าจิกโพรงห่างลำธาร ผู้หญิงกำลังหุงหาอาหารง่ายๆ สไบหยิบกระชุ แล้วหันไปบอกนางเฟี้ยม
"ฉันจะไปตักน้ำก่อนนะจ๊ะ น้าเฟี้ยม" สไบบอก
"ระวังนะ สไบ ให้ฟักมันตามไปด้วยสิ" เฟี้ยมว่า
ดอกรักบอก
"ฉันไปเอง"
สไบหันไปมอง ดอกรักที่รอท่าอยู่แล้วรีบเดินมาหา สไบเดินหนีอย่างเร็วออกไป ดอกรักตามออกไปทันที
สไบเดินเร็ว ดอกรักเดินตามติด
"สไบ รอพี่ด้วย"
สไบไม่สนใจ ดอกรักวิ่งตาม
"สไบ"
ดอกรักคว้ามือ สไบสะบัดออกทันที
"จะไม่พูดกับพี่เลยสักคำใช่มั้ย"
สไบมองเมินทางอื่น
"รักมัน คิดถึงมันมากนักใช่มั้ย ไอ้ใจน่ะ"
"ใช่"
"สไบ"
สไบมองท้าทาย
"พี่ดอกรักอย่ามายุ่งกับฉันเลย"
"จะไปคิดถึงมันทำไม มันไม่กลับมาหาแล้ว"
"ถึงชาตินี้ฉันไม่เจอพี่ใจอีก ฉันก็จะคิดถึงเค้า"
สไบสะบัดหน้าเดินหนีลงไปที่ริมน้ำ ดอกรักมองโมโห มองอยู่อย่างเจ็บใจ สไบก้มลงตักน้ำ แต่สายตามองไปเห็นร่างที่คว่ำหน้าอยู่กลางแม่น้ำ
สไบลุกพรวด เดินเข้าไป ดอกรักมองแล้วรีบตามมา
"สไบ ระวัง สไบ"
สไบไม่ฟังเดินลุยน้ำไปพลิกร่างที่หน้าคว่ำหงายขึ้น ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ
"พี่ใจ"
ดอกรักที่ตามหลังมาผงะ สไบเขย่าร่าง ใจหน้าซีดขาวเผือด
"พี่ใจ ... พี่ใจ"
ใจรู้สึกตัว ลืมตามองเห็นหน้าสไบ รำพึงออกมา
"สไบ"
"ฉันเอง พี่ใจ ฉันเอง พี่เป็นอะไร"
"สไบ"
ใจพูดได้แค่นั้นแล้วสลบลงในอ้อมแขนสไบ
ดอกรักมองเจ็บใจที่ต้องเจอคู่ปรับเข้าอีกจนได้ ต่างจากสไบที่ห่วงใยกอดใจไว้ในอ้อมแขน
เวลาต่อมา กองไฟที่ก่อขึ้น ใจนอนอยู่ใกล้ๆสไบ ฟักเอาผ้ามาคลุมให้ใจ ดอกรักยืนมองไม่พอใจ
"ยังไม่รู้สึกตัวเลยเหรอ" ฟักบอก
"ยังเลยจ้ะ พี่ฟัก"
"ไม่มีแผลตามตัว"
"ดูทั่วแล้วไม่มี"
"สไบเฝ้าไว้ ฟื้นเมื่อไหร่ค่อยถามให้รู้ความ"
ฟักเดินออกไป ปล่อยให้สไบดูแลใจ ดอกรักเดินหนีไป สไบนั่งมองใจที่กำลังหนาวสั่น ไม่รู้สึกตัว
กองไฟที่ก่อไว้ สไบนั่งพิงต้นไม้หลับ ใจรู้สึกตัวขยับมอง เอ่ยเรียกเบาๆ
"สไบ"
สไบรู้สึกตัว
"พี่ใจ"
ใจพยุงตัวขึ้น สไบรีบเข้ามาประคอง ใจกับสไบสบตากันในระยะใกล้
สไบเขินอาย ประคองใจนั่งพิงต้นไม้
"พี่ใจเป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงไปอยู่ตรงนั้น"
"พี่เจอทหารอังวะ มันทุบตีพ่อกับพี่เจิด พวกเราสู้ มันถีบพี่ตกน้ำ หลังจากนั้น พี่ก็ไม่รู้อะไรอีก"
"โธ่"
สไบพูดได้แค่นั้น ใจสีหน้ากดดัน
"ไม่รู้พ่อกับพี่เจิดเป็นยังไงบ้าง"
สไบมองใจด้วยสายตาเห็นใจมาก
"เรากำลังอพยพ พี่ใจไปกับพวกเราก่อนมั้ยจ๊ะ บางทีเราอาจจะเจอ พ่อกับพี่เจิด ระหว่างทาง"
ใจหันมามองสบตาสไบที่มีแต่ความห่วงใย
"ขอบใจนะ สไบ .. ขอบใจมากที่ช่วยพี่ พี่ดีใจที่สไบเป็นคนเจอพี่ .. ดีใจที่สุด"
ใจเลื่อนมาแตะมือสไบเบาๆ ทอดสายตาผูกพัน ด้านหลังในเงามืด ดอกรักมองจ้องใจ แววตาน่ากลัว ใจยิ้มมอง ไม่คิดว่าจะได้พบกับสไบอีกครั้ง
บริเวณบ้านพราน ใกล้กองเกวียน กองไฟที่ก่อขึ้น เฟื่องกำลังเช็ดตัวให้จวงที่เหงื่อแตกทั้งร่าง นอนตัวงอ สังข์กับขาบมองอยู่ใกล้ๆ
สังข์ถาม
"จวงเป็นอะไร เฟื่อง"
สังข์สายตาห่วงใยจริงใจ มองจวงที่กุมท้อง บิดตัว เอาแต่คราง
"โรคของผู้หญิง"
"อะไรวะ เฟื่อง ... โรคของผู้หญิง เอ็งนี่พูดไม่รู้เรื่อง"
"ปวดระดู"
เฟื่องกระแทกเสียง สังข์กับขาบมองแล้วเก้อๆ
"เออๆ งั้นเอ็งดูแลแล้วกัน"
"เดี๋ยวจะให้คนต้มน้ำไว้ให้" ขาบบอก
สังข์กับขาบเดินห่างออกไป
เฟื่องหันมามองจวงที่บิดตัว ปวดท้อง คอยซับเหงื่อดูแลใกล้ชิด
กลางคืน กองไฟที่ดับมอดลง ทัพที่ก้มหัวพิงต้นไม้เหมือนสัปหงกหลับค่อยๆลืมตาขึ้นมอง เห็นกลุ่มเสือปิ่นเมาเหล้าหลับกันระเกะระกะ แววตาทัพวาบขึ้น ทัพค่อยๆเคลื่อนไปที่ร่างลูกน้องเสือปิ่นคนหนึ่ง หวังจะหยิบดาบ ลูกน้องเสือปิ่นกอดดาบไว้แน่น ทัพมองไม่เห็นโอกาส ก็ตัดสินใจค่อยๆย่องไปทางอ้ายเลา
ทัพจุ๊ปาก
"เงียบๆ"
อ้ายเลายืนนิ่ง รู้คำสั่ง ทัพแกะเชือกที่ผูกอ้ายเลา
"ไอ้ทัพ"
ทัพหันขวับไปมอง เสือปิ่นที่โซเซเดินออกมาจากพงหญ้า
"ไอ้ทัพ"
ทัพมองตะลึง เสือปิ่นก้าวมาอีกสองสามก้าว ทัพมองเห็นมีดปักอยู่ที่ท้องเสือปิ่น
เสือปิ่นล้มทรุดลงตรงหน้า ทัพถอย
"ช่วย .. ช่วยข้าด้วย"
เสือปิ่นดึงขาทัพไว้ ทัพมองไปที่อ้ายเลา ลังเลใจทันที
บนเรือนแท่น บ้านศรีบัวทอง เสียงเกราะตีดังๆติดๆกันดังก้อง แฟงที่กำลังนอนอยู่ในกระท่อมกับผู้หญิงคนอื่นลุกขึ้นทันที
"เกราะเตือนภัย"
แฟงลุกพรวด เปิดประตูออกไป
ทางด้านทัพตะลึงมองเสือปิ่น
"อย่าทิ้งข้า ช่วยข้าด้วย ทัพ"
ทัพสีหน้าตัดสินใจอย่างหนัก มองเสือปิ่นที่เลือดกำลังไหลจากแผลที่มีมีดปักอยู่กลางท้อง
ชิดเดินโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ชิดแววตาโหด มองทัพแบบพร้อมจะฆ่าไปอีกคน
"ศพต่อไปคือเอ็ง ไอ้ทัพ"
ทัพมองชิดที่ชักดาบยาวออกมา ตรงเข้ามาหา
บริเวณลานหมู่บ้านศรีบัวทอง คบไฟที่ถูกจุดขึ้น แฟงวิ่งมา แท่น / อิน / โชติ /เมือง ดอกไม้ ทองแก้ว อยู่กลางลาน ชาวบ้านพากันล้อมรอบ สีหน้าวิตก
แท่นพูดขึ้นด้วยเสียงดังก้อง
"ทหารอังวะรู้แล้วว่าพวกเราลอบฆ่าพวกมันตายไปหลายศพ มันกำลังข้ามน้ำมุ่งมาที่นี่"
ชาวบ้านเสียงฮือฮา สีหน้าหวาดกลัว
"เราต้องหนีเดี๋ยวนี้"
"หนีไปไหน พี่แท่น"
"บ้านระจัน"
"บ้านระจัน"
"คนไทยอพยพกันไปรวมตัวอยู่ที่นั่น เราต้องไปกันตอนนี้ ก่อนที่พวกข้าศึกจะมาเผาที่นี่ ไปเก็บของ เอาแต่จำเป็น แล้วรีบมารวมกัน"
ชาวบ้านทุกคนพากันกระจายตัว รีบกลับไปที่เรือนเพื่อหยิบฉวยสมบัติที่พอจะติดตัว
แฟงยืนอึ้ง ทวนคำ ขึ้น
"หนีไป... บ้านระจัน"
อ่านต่อตอนที่ 5