xs
xsm
sm
md
lg

บางระจัน ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บางระจัน ตอนที่ 1

เส้นทางที่มุ่งไปสู่กรุงกรุงอังวะ พระเจ้ามังระทรงว่าราชการ รับสั่งให้เนเมียวสีหบดีกับมังมหานรธา จัดทัพไปปราบกบฏเชียงใหม่และทวาย มีนายทหารหมอบเฝ้าอยู่เต็มท้องพระโรง

"เมื่อปีพุทธศักราช 2308 พระเจ้ามังระ แห่งกรุงอังวะ พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์อลองพญา ปรารถนาจะปราบราชอาณาจักรศรีอยุธยาให้ราบคาบ จึงส่งกองทัพใหญ่รุกเข้าแผ่นดินของคนไทยพร้อมกันถึงสองทาง เพื่อสะดวกแก่การรวบรวมไพร่พลและเสบียงอาหาร"
ทัพเนเมียวสีหบดีเคลื่อนออกจากกำแพงกรุงอังวะ
"ทัพเหนือมี เนเมียวสีหบดี เป็นแม่ทัพ นำทัพช้าง 100 ทัพม้า 1,000 ไพร่พลเดินเท้า 20,000 จากกรุงอังวะ เข้าตีหัวเมืองล้านนา ล้านช้าง แล้วยกลงมาเป็นสองทาง ตีตาก กำแพงเพชร ทางหนึ่ง ตีพิชัย สวรรคโลก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร ทางหนึ่ง มารวมทัพที่นครสวรรค์ แล้วเคลื่อนลงผ่านสิงห์บุรี อ่างทอง ตั้งค่ายใหญ่ที่ชานกรุงศรีอยุธยา ณ วัดป่าฝ้าย ปากน้ำประสบ มีกำลังพลที่รวบรวมได้ทั้งสิ้นกว่า 40,000 คน
ขบวนทัพมังมหานรธา เคลื่อนมาตามป่าชายทุ่ง โดยมังมหานรธา อยู่บนหลังช้าง โดยมีนายทัพต่างๆขี่ม้านำ
"ทัพใต้มี มังมหานรธา เป็นแม่ทัพ เกณฑ์ทัพช้าง 100 ทัพม้า 1,000 ไพร่พลเดินเท้า 20,000 ออกจากอังวะมาสมทบกับกำลังอีกส่วนหนึ่งที่หงสาวดี เมาตะมะ ตะนาวศรี มะริด และทวาย ได้กำลังพลกว่า 40,000 คน มุ่งเข้าตีเพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี มุ่งสู่กรุงศรีอยุธยา ตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านสีกุก และสามแยกบางไทร"

ในท้องพระโรงสรรเพชญ์ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงกริ้วเหล่าข้าราชบริพารที่ปฏิบัติราชการ สนองไม่ต้องพระประสงค์ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงประทับฟังด้วยพระอาการสงบ เนื่องจากเพิ่งทรงลาสิขาบทมา มีเที่ยงในชุดทหารอาทมาตหมอบเฝ้าอยู่แทบพระบาท
"ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาไม่ได้ส่งกองทัพออกไปต้านข้าศึกถึงชายแดน เพียงแค่รอตั้งรับอยู่แต่ในกำแพงพระนคร เป็นเหตุให้กองทัพอังวะมีความสะดวกที่จะออกปล้นสะดม กวาดต้อนชาวบ้านไทยไปเป็นเชลย ยื้อแย่งข้าวปลาอาหารไปเลี้ยงกองทัพ สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านไปทุกหย่อมหญ้า"
ในค่ายบางระจัน เหล่าวีรชนในค่ายบางระจัน อันประกอบด้วย พันเรือง / ผู้ใหญ่ทองเหม็น / ขุนสรรค์ / จันหนวดเขี้ยว / ทองแสงใหญ่ / แท่น / โชติ / อิน / เมือง / ทองแก้ว / ดอกไม้ / ทัพ / สังข์ / ขาบ / เฟื่อง / แฟง / สไบ / เคลิ้ม / เอิบ / ช่วง / ฟัก / นักรบชายฉกรรจ์ / นักรบหญิง / เหล่าชาวบ้านชาย-หญิง ต่างมีกิริยาฮึกเหิม พร้อมร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่
"ต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของกลุ่มชาวบ้านไทยธรรมดา ที่หาญกล้ารวบรวมกำลังกันขึ้นต่อต้านศัตรู เพื่อประกาศให้รู้ว่า คนไทยนั้นสู้ตาย หากใครหน้าไหนมาใช้อำนาจเข้าข่มเหงพ่อแม่...พี่น้องตัวย และย่ำยีแย่งแผ่นดินที่ใช้ปลูกข้าวกิน”

เดือนยี่ ปี พ.ศ. 2308 เงาพระอาทิตย์ยามเช้าสะท้อนลำน้ำกว้างเป็นสีขุ่นแดง จนเกือบจะเป็นสีเลือด เสียงม้าควบไล่กันมาดังใกล้เข้ามาเรื่อย คลื่นน้ำเริ่มพลิ้วเป็นระลอก พระอาทิตย์ค่อยๆแตกกระจายไป ด้วยฝีเท้าม้าของพันเรืองกระโจนลง จนน้ำกระจาย ม้าทั้งตัววิ่งออกไป โดยมีม้าของทหารอังวะควบไล่ออกไปอย่างรวดเร็ว
เนื้อตัวพันเรืองถูกโบยจนเป็นแผลเกือบทั้งตัว เขาพยายามควบหนีอย่างรวดเร็ว ด้วยความชำนาญบนหลังม้า ทหารอังวะแต่ละคนควบตามอย่างไม่ลดละ อาวุธที่ถือมาดูแปลกและน่ากลัว
พันเรืองพยายามควบหนี แต่ดูกำลังม้าจะตกลง ทหารอังวะตามมาทัน เขาหยุดม้าหันมาสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า ทหารอังวะแม้จะมากกว่า แต่ฝีมือดูจะด้อยกว่า พันเรืองพยายามป้องกันตัวอย่างเต็มที่
พันเรืองแย่งอาวุธจากทหารอังวะคนหนึ่งได้ จึงสังหารทหารอังวะไป 2-3 คน ทหารอังวะเหลืออีกสองคนจึงพยายามเร่งบุกอย่างเต็มที่
พันเรืองตัดสินใจกระโดดล้มม้าทหารอังวะลง แล้วสังหารจนเลือดแดงฉาน ทหารอังวะที่เหลืออีกคน พุ่งม้าเข้าใส่ พันเรืองตัดสินใจพุ่งอาวุธเข้าใส่ ทหารอังวะโดนอาวุธหงายตกม้าไป
เสียงม้าอีกพวกหนึ่งควบมา พันเรืองหันไปเห็น
ทหารหน่วยพิฆาตของอังวะ มีหน้ากากปิดบังใบหน้า ส่วนม้าก็สวมเกราะมิดชิด ต่างจากกองทหารอังวะแรกอย่างสิ้นเชิง ถืออาวุธพิเศษ ควบตรงมาที่พันเรือง เขารู้โดยสัญชาติญาณว่า สู้ไม่ได้แน่ จึงรีบวิ่งขึ้นม้า แต่ช้าไป ทหารพิฆาตอังวะเข้ามาล้อมกรอบ
พันเรืองเสียทีถูกทหารอังวะแทงด้วยหอก จนหอกหักกระเด็น แต่ไม่เข้า เขาพยายามสู้เอาตัวรอด แต่ทหารอังวะมีปืน พันเรืองจึงตัดสินใจควบหนี ทหารหน่วยพิฆาตเร่งม้าตามทันที

เช้าตรู่ พันเรืองเนื้อตัวเปียกชุ่มควบม้าลัดเลาะป่ามาอย่างรวดเร็ว เงาดำๆของทหารพิฆาตกับแสงแดงๆในยามเช้าลอดต้นไม้ลงมาเท่านั้น พันเรืองหนีไม่ทัน ถูกรุมล้อม แม้เขาจะพยายามสู้ แต่สู้ไม่ได้ เพราะทหารพิฆาตอังวะฝีมือเหนือเนื้อชั้นกว่า เขาพยายามหนี แต่ทหารอังวะอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาล้อมดักไว้ พันเรืองพยายามหนีแต่ก็ถูกหน่วยพิฆาตสกัดไว้อีก
พันเรืองหมดแรง สู้ไม่ได้ ตกลงจากหลังม้า กองทหารเข้ารุมล้อมเต็มไปหมด ในเวลาจวนเจียนนั้น ทันใดนั้น มีคนอีกกลุ่มหนี่ง วิ่งย้อนแสงเข้ามา คนหนึ่งขี่ควาย
ทหารอังวะที่ล้อมพันเรืองอยู่แตกออกรับการบุกโจมตีของคนกลุ่มใหม่ พันเรืองรอด เข้าสู้ใหม่
ถูกทหารอังวะถูกตีแยกออกเป็นกลุ่มๆ พ่อทองแสงใหญ่สู้กับทหารอังวะ และทหารหน่วยพิฆาตเข้าช่วย
ทองเหม็นควบควายเข้าขวางทหารพิฆาตไว้ได้บางส่วน จันหนวดเขี้ยวเข้าช่วยกันพันเรืองไว้
พันเรืองพยายามสู้ช่วยตัวเอง หกล้มหกลุกด้วยหมดแรง สุดท้ายฝ่ายอังวะสู้ไม่ได้ล่าถอยไป
ทองเหม็น ทองแสงใหญ่ จันหนวดเขี้ยว รวมตัวกันเดินมาหาพันเรืองที่ทรุดกองอยู่กับพื้น
ทองแสงใหญ่ถาม
" จำพวกข้ามิได้รึ พันเรือง"
" พ่อทองแสงใหญ่"
"เออ...พวกข้าเอง"
" พ่อทองเหม็น...พ่อจันเขียว"
"ข้านึกแล้วว่า สักวันพันเรืองจะต้องหนีพวกมันมาได้ คนอย่างพันเรืองคงมิยอมให้ อังวะมันจับตัวไว้ได้นานดอก"
"ข้ายอมตาย ดีกว่าตกเป็นเชลยมัน"
" พวกข้าคอยลาดตระเวนดูพวกอังวะมันอยู่ทุกวัน นี่มันรุกขึ้นมาถึงแขวงระจันแล้วรึ"
"ยัง...ค่ายเกียกกายมันยังอยู่ที่แขวงวิเศษชัยชาญ เพียงแต่ข้าหนีออกจากค่ายมันมาได้ เลยมุ่งกลับระจันบ้านเรา"
ทองแสงใหญ่ถาม
"ค่ายเกียกกายมันที่วิเศษชัยชาญเป็นอย่างไรบ้าง"
" เพลานี้มันพากันเก็บกวาดปล้นครัวไทยเอาเสบียงไปเลี้ยงกองทัพมันเป็นจำนวนมากจนแขวงวิเศษชัยชาญ สามโก้ เดือดร้อนกันไปทั่ว ใครมิยอมมันก็สังหารสิ้น บ้านระจันเราจะนิ่งดูดายกันอีกไม่ได้แล้วอีกไม่นานมันคงย้อนขึ้นมาปล้น เสบียงถึงระจันแน่
" เราไม่หนีกันดอกพันเรือง"
ทองเหม็นบอก
"ข้าก็ไม่ยอมหนี ข้าจะปักหลักสู้มันที่บ้านระจันนี่ ข้าเกิดที่นี่ ขอตายที่นี่"
"เรากำลังคิดกันว่าจะตั้งค่ายสู้กับมัน" จันหนวดเขี้ยวบอก
"ตั้งค่าย"
"ชาวระจันทุกคนเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าเราจะรวมตัวกันสู้ตาย" ทองเหม็นว่า
จันหนวดเขี้ยวประกาศอุดมการณ์
"แผ่นดินนี้มันของเรา เราจะไม่ให้ใครหน้าไหนมาแย่งไป"
"พันเรือง เรามาช่วยกันสร้างค่ายบางระจันสู้กับมันเถิด" ทองแสงใหญ่ว่า
ทั้งสี่คนยืนมองกันเหมือนให้สัญญา สาบาน ท่ามกลางแสงอาทิตย์สีแดงยามเช้า

พุทธศักราช 2308 แขวงวิเศษไชยชาญ เมืองอ่างทอง
ทุ่งนาข้าวสุดลูกหูลูกตา ข้าวกำลังออกรวงสุกเหลืองอร่าม กลุ่มชาวบ้านชาย หญิงต่างเร่งมือเกี่ยวข้าว ชาวบ้านหญิงหน้าตาสวยร้องเพลงขึ้น
"เกี่ยวเถอะนะพ่อเกี่ยว เกี่ยวเถอะนะพ่อเกี่ยว
อย่าทำชะแง้แลเหลียว เดี๋ยวเคียวจะบาดมือเอย"
ชาวบ้านหญิงกับชายต่างร้องรับ
"โอช้า เจ้าเอ๊ย เพลงเอ๊ยอย่าทำชะแง้แลเหลียว เดี๋ยวเคียวจะบาดมือเอย"
ชาวบ้านชายหญิงต่างยิ้มแย้ม เร่งมือเกี่ยวข้าว
เสียงเท้าม้าย่ำดังเข้ามาพร้อมเสียงเอะอะ ชาวบ้านชายหญิงต่างหันไปมอง ... เหล่าทหารอังวะ 10 คนกำลังควบม้าย่ำเข้ามาในนา
"ทหารอังวะ"
ชาวบ้านที่เป็นหญิงต่างพากันวิ่งหนีทันทีด้วยความกลัว ชาวบ้านชายจับเคียวแน่น พากันป้องกันชาวบ้านหญิง
"หนีไป หนีไป"
พวกผู้หญิงพากันรีบวิ่งหนีไป
ทหารอังวะควบม้าวิ่งเข้าหากลุ่มผู้ชายที่มีแค่เคียวในมือ ชายคนหนึ่งที่ดูกำยำกว่าเพื่อนตะโกนบอก
"สู้มัน สู้มัน"
ชาวบ้านชายพากันวิ่งเข้าไป ทหารอังวะควบม้า ถือดาบ ไล่ฟันชาวบ้านที่มีแต่เคียวในมือ จนล้มตาย เลือดอาบร่างชาวบ้าน กระเซ็นเลอะรวงข้าวเหลือง
ทหารอังวะอีก 3 คนควบม้าไล่ตามหญิงชาวบ้าน จนคว้าตัวผู้หญิงคนที่วิ่งหลังสุดไว้ได้ หญิงชาวบ้านในกลุ่มนั้น 4 คนวิ่งกลับมาช่วยดึงเพื่อน แต่กลับโดนทหารอังวะล้อมไว้ ชาวบ้านชาย 4 คนจะวิ่งกลับมาช่วย แต่โดนทหารอังวะฟันกลางหลัง ล้มลงทันที
ทหารอังวะโดดลงจากหลังม้า ล้อมกลุ่มผู้หญิงไว้
ชาวบ้านชายสู้ด้วยมือเปล่า แต่โดนทหารอังวะแทงดาบจนมิดร่าง ล้มลง
ทหารอังวะกระชากเสื้อหญิงชาวบ้านออก เขวี้ยงเสื้อไปตกลงบนนาข้าว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่โดนข่มเหง
"ช่วยด้วย ช่วยด้วย"
ทุ่งนาสีทองกำลังถูกทหารอังวะเปลี่ยนให้เป็นทุ่งนาสีเลือด

เสียงฝีเท้าม้าดีกำลังวิ่งอย่างเร็ว ทัพในชุดชาวบ้านกำลังควบอ้ายเลา ม้าคู่ใจผ่านป่าไปอย่างเร็ว

ทหารอังวะฟันชาวบ้านจนล้มลง ทหารอังวะดึงม้ามารวมกันกลางทุ่ง กำลังจะโห่ร้อง ก็เห็นทัพควบอ้ายเลาเข้ามา ทัพมองเห็นศพชาวบ้านชายที่ล้มลงตายในนา ทหารอังวะคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ฟันลงมาที่ทัพ แต่ทัพหลบ ปลายดาบเฉียดจมูก

ทหารคนเดิมตามมาจะฟันซ้ำ แต่ชั่วเสี้ยวนาที เมื่อทัพชักดาบคอของทหารอังวะก็ขาดกระเด็น
ทหารอังวะอีก 3 คนกรูเข้ามา จะรุมฟัน แทง แต่ทัพควงดาบมือเดียว เข้าตะลุยฟันทหารอังวะ บนหลังม้าตายไปอีก 3
ทหารอังวะ 3 คนเข้ารุมจนทัพตกจากหลังม้า ทหารอังวะที่เหลือพากันเข้ามาหมายจะฟัน แต่เจอฝีมือดาบของทัพ คอขาดกระเด็นไปอีก 2 ที่เหลือเข้ารุม ทัพทั้งถีบ เตะ ก่อนจะใช้ฝีมือเพลงดาบแทงทหารฝ่ายตรงข้ามตายทั้งหมด
ทัพมองทหารอังวะที่ตายทั้งหมด เหลือแค่เขากับอ้ายเลาที่ยืนกลางทุ่ง
ทัพมองไปในนา แล้ววิ่งไปดู เห็นศพชาวบ้านทั้งชายหญิง นอนตายเรียงราย ไม่มีใครรอด อีกด้านหนึ่ง มีเสียงร้องครางดังขึ้น ทัพวิ่งไปดู สายตาสลด เมื่อเห็นศพหญิงชาวบ้านที่โดนข่มขืน ถูกแทงตายหลายศพ เหลือเพียงหญิงอีกคนที่ยังมีลมหายใจรวยริน
ทัพรีบเอาเสื้อผ้าห่มร่างที่ถูกข่มเหงยับเยิน
"แข็งใจไว้ ข้าจะพาไปในหมู่บ้าน"
สาวชาวบ้านน้ำตาคลอทนพิษบาดแผลไม่ไหว ตายในอ้อมแขนที่ทัพพยายามจะช่วย เขามองสภาพชาวบ้านที่นอนตายท่ามกลางด้วยสายตาคั่งแค้น

“บ้านคำหยาด แขวงวิเศษไชยชาญ”
ฝีเท้าม้ามาหยุดหน้ากระท่อมเก่า ผุ ท้ายหมู่บ้าน นางจันทร์ไออย่างหนัก จวง ลูกสาววัย 18กำลังประคองป้อนยาหม้อให้แม่ ถึงกับตกใจ ทำถ้วยยาหลุดมือ ตัวสั่นกลัวมองคนที่กำลังเดินเข้ามา
นายกองสังข์ ทหารในกองคุณพระนายหมื่นศรี เดินมายืนจังก้าต่อหน้าสองแม่ลูก ด้านหลังถัดไปคือ หมู่ขาบ ทหารคู่ใจนายกองสังข์
สังข์ถามขึ้นด้วยเสียงตะคอกขู่เข็ญ
"ไอ้ทัพมันหนีไปซุกหัวอยู่ที่ใด"
จวงกอดแม่ที่ตกใจกลัวแน่น แววตาหวาดหวั่น

ในโบสถ์เก่าแห่งหนึ่ง ทัพกำลังก้มกราบพระเที่ยง ผู้เป็นพ่อ อดีตทหารนายกองอาทมาต ซึ่งเป็นทหารหน่วยกล้าตาย ที่มีความเชี่ยวชาญด้านอาคม และฝีมือดาบลือลั่นแห่ง อ.วิเศษไชยชาญ จ. อ่างทอง
พระเที่ยงเต็มไปด้วยรอยสักและบาดแผลเยี่ยงนักรบ มองลูกชายด้วยสายตาหนักใจ
"ทัพ เอ็งยังเป็นลูกข้าอยู่หรือเปล่า"
"ฉันรู้จ้ะหลวงพ่อ ว่าฉันคือไอ้ทัพ ลูกหมู่เที่ยง อดีตทหารอาทมาตฝีมือลือที่ศึกพม่า หาดหว้าขาว แต่เวลานี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับไปเป็นทหารตามหมายเกณฑ์กรุงศรี"
"ไอ้ทัพ ชั่ววันมะรืน ทุกครัวในทุ่งคำหยาดนี่ก็ต้องถูกต้อนเข้ากรุง หนีภัยศึกอังวะ เอ็งก็รู้ลูกหลานบ้านใดแตกทัพหนีไป คนในบ้านต้องถูกริบไปเป็นไพร่หลวง"
ทัพสีหน้าเครียด
"แล้วนังจวงน้องเอ็งกับแม่เอ็งจะทำอย่างไร คิดหรือไม่... ไอ้ทัพหรือเอ็งจะยอมได้ชื่อว่าเป็นลูกเนรคุณ"
ทัพมองพระผู้เป็นพ่อด้วยสายตาดื้อรั้น เด็ดเดี่ยว

ในเวลาเดียวกัน ณ กระท่อมของทัพ จวงถูกสังข์กระชากแขน นางจันทร์ร้องไห้
"จวง ... ข้าถามว่าไอ้ทัพมันหลบไปซ่อนที่ใด"
"ฉันไม่รู้ พี่สังข์จะฆ่าแกงฉันตรงนี้ ฉันก็บอกได้แต่ว่าไม่รู้"
"จวง พี่เตือนแล้ว ถ้าเอ็งกล้าโกหกนายกองสังข์ หัวเอ็งกับแม่จะหลุดจากบ่า" ขาบบอก
"ฉันไม่รู้จริงๆ พี่ขาบ"
จวงกับจันทร์ร่ำไห้ออกมาด้วยความกลัวจับใจ สังข์ขู่เข็ญ
"นี่เหรอวะครอบครัวทหาร เสียแรงไอ้ทัพเป็นเพื่อนยาก เรียนดาบมากับข้า แต่ศึกพระเจ้ากรุงอังวะคราวนี้ มันกลับหนี ทิ้งแม่ทิ้งน้องเพราะกลัวตาย"
นางจันทร์เหลืออด ถึงเรี่ยวแรงจะน้อยก็เถียงขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง
"ไม่จริง ลูกข้าไม่ยอมถูกเกณฑ์คราวนี้ เพราะไม่อยากรับใช้ทหารชั่ว เพื่อนทรยศอย่างเอ็ง ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ"
"หมู่ขาบ เอาตัวลงมา ทั้งแม่ทั้งลูก"
หมู่ขาบกับทหารพุ่งเข้าไปดึงสองแม่ลูกลงมาจากบ้าน จวงอ้อนวอน
"พี่สังข์อย่าทำแม่ฉัน พี่สังข์ เห็นแก่แม่ฉันบ้างเถิด แม่ฉันป่วยหนัก"
"บอกข้ามาสิ จวง ไอ้ทัพมันอยู่ไหน" สังข์ถาม
"ต่อให้พี่เอาดาบเชือดคอฉัน ตายตรงนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าพี่ทัพซ่อนอยู่ที่ไหน"
"นายกองสังข์ ยังไงลำพังสองแม่ลูกก็หนีไปไม่พ้น เรากลับไปก่อนเถิด รอว่าไอ้ทัพ มันอาจจะย้อนกลับมาหาแม่ หาน้อง จะได้จับตัวมันไปรับโทษคราวเดียวกัน"
นายกองสังข์ฟังแล้วคิด หันไปมองสองแม่ลูก
"ข้ามีเวลาให้ถึงวันพรุ่ง จวง เก็บข้าวของให้พร้อม ข้าจะมารับเอ็งกับแม่ไปจากที่นี่ก่อนที่ทัพอังวะจะเข้ามาตี แล้วเอาพวกเอ็งไปเป็นเชลยศึกส่งเสบียงเลี้ยงกองทัพมัน"
"ข้าไม่ไป ข้าคนทุ่งคำหยาด ข้าจะขออยู่ขอตายที่นี่" จันทร์บอก
"น้าจะตายที่นี่ก็ได้ น้าจันทร์ ... แต่จวงลูกสาวน้า ต้องไปเป็นเมียนายกองสังข์"
จวงที่ตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อได้ยินคำขาดของนายกองสังข์

เวลาต่อมา ทัพควบอ้ายเลามาอย่างเร็ว ณ บริเวณลานหมู่บ้าน ทหารหลวงกำลังคุมการกวาดต้อนคนไทยเข้าไปป้องกันกรุงศรีอยุธยา ทั้งชายหญิง ผัวเมีย พากันจูงลูกหลานหอบเสบียง ข้าวเปลือก ปลาแห้ง เนื้อเค็ม เกลือ กล้วย อ้อยขึ้นเกวียน
ทุกคนสีหน้าเศร้าหมองเพราะต้องทิ้งบ้าน ทิ้งที่นาที่ทำกิน
ทัพควบม้ามาเห็นก็ดึงให้อ้ายเลา หยุด มองแล้วรำพึงออกมา
"ทหารกรุง... อ้ายสังข์"
ทัพนึกได้ก็สั่งอ้ายเลา
"อ้ายเลา ... ห้อ"
อ้ายเลาหันหลัง ทัพควบม้าคู่ใจลัดเลาะไปอีกทางอย่างเร็ว

ทัพควบอ้ายเลามาถึงหน้ากระท่อม อ้ายเลายังไม่ทันหยุดดี ทัพที่ใจห่วงแม่และน้อง กระโดดลงจากหลังอ้ายเลา ทันที
"แม่ แม่ ฉันมาแล้ว"
ทัพร้องเรียก
"จวง พี่มาแล้ว"
ทัพไม่เห็นมีคนออกมาจากในกระท่อม ก็พุ่งเข้าไปดู เห็นหม้อชามในบ้านแตก สภาพถูกทำลาย ทัพวิ่งออกมามองหา
"แม่ จวง แม่"
ทัพกำลังจะโดดขึ้นอ้ายเลา เสียงเรียกดังมาจากชายทุ่งหลังบ้าน
"พี่ทัพ พี่ทัพ"
ทัพหันไปมองทันที เห็นจวงที่ซ่อนตัวอยู่กับจันทร์ในพงหญ้าสูงท่วมหัวกำลังเดินออกมา ทัพรีบวิ่งเข้าไปประคองแม่อย่างเร็ว
"แม่"

เวลาเย็นต่อเนื่องมา ทัพก้มลงกราบที่เท้าแม่ จันทร์ลูบหัวลูกชายคนเดียวด้วยความห่วงใย
ทัพกอดแม่ไว้ จันทร์สะอื้น จวงเล่าเสียงเศร้าสร้อย
"เอ็งกลับมาทำไม ทัพ คนทุ่งคำหยาดกำลังถูกต้อนเข้ากรุงศรี"
ทัพฟังแล้วบันดาลความโมโหเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บแค้น
"ให้พวกเราทิ้งที่เกิด ที่นา.. ถ้าโชคร้ายพวกเราเจอกองทัพพระเจ้ากรุงอังวะระหว่างทาง ไม่ตายก็ต้องถูกริบไปเป็นเชลย ไอ้ทัพขอยอมตายสิ้นชื่ออยู่ที่ทุ่งคำหยาดแผ่นดินเกิด"
จวงกับจันทร์ยิ่งฟังยิ่งกลัว
"กองทัพอังวะมีมากมายหรือลูก"
"มากสุดลูกลูกตาจ้ะแม่ ตามทางมาบ้าน ฉันเห็นทหารอังวะเข้าปล้นหมู่บ้าน ครัวไทยพากันหนีตายตลอดทาง พูดกันต่อๆ ว่าทัพอังวะกำลังตั้งค่ายมุ่งมาอยู่ที่วัดป่าฝ้าย ปากน้ำพระประสบ"
"ให้พวกมันยกมา ยังไงก็ทำอะไรกรุงศรีของเราไม่ได้"
จันทร์พูดด้วยความมั่นใจ แล้วไอโขลกเพราะโรคร้ายที่ปอดรุมเร้า ทัพประคองแม่ จวงเข้ามาใกล้
"ได้ยามามั้ยจ้ะพี่"
ทัพส่ายหน้า
"จนใจเหลือเกิน หมอท่านปิดบ้านหนีภัย ย้ายครัวขึ้นเหนือ หยูกยาหายากเต็มที"
"ถ้าฉันยอมล่ะ พี่ทัพ"
"เอ็งจะยอมอะไร จวง"
"เราอาจจะได้ยามาให้แม่ ถ้าฉันยอม.. เป็นเมียนายกองสังข์"
"ไอ้สังข์ ... ไอ้เพื่อนชั่ว ยังมีหน้ามาทำเลวกับเอ็งอีกหรือ"

ทัพคำรามด้วยความเจ็บใจ นึกถึงความหลัง

พุทธศักราช 2308 บริเวณสนามรบที่ทัพอังวะเดินทัพมาถึงนครสวรรค์ ทัพ สังข์ ขาบกับทหารกรุงศรีจำนวนหนึ่งกำลังบุกตะลุยฟันอยู่บนหลังม้า

"ต้านไว้ อย่าให้พวกมันผ่านไปได้ ฟันมันให้ละเอียด"
"พวกมันมีมากเหลือเกินไอ้ทัพ"
"มากก็ต้องต้านไว้ ให้มันอยู่ที่นครสวรรค์นี่ ลงไปถึงอยุธยาไม่ได้"
ทัพบอกแล้วพุ่งตะลุยฟันเข้าไปกลางวงข้าศึก สังข์กับขาบยืนกำดาบเลือดเหงื่อเลอะไปทั้งร่าง
ทหารอังวะโห่ร้องกรูกันเข้ามาอีกนับร้อยเสียงดังก้องไปทั่ว ทหารกรุงหลายคนเริ่มถอย
คุณพระนายเห็นแล้วตกใจ
"พวกเราถอย ถอยก่อน"
คุณพระนายควบม้าหนี ทหารบางคนตามไป
"อย่าถอย ฟันมัน...อย่าถอย"
สังข์หันมาทางขาบแล้วเริ่มถอย
"พวกมันมาอีกไม่ขาดสาย"
"ไอ้ทัพไม่ให้ถอย" ขาบบอก
"ไม่ถอยมึงก็ตายเป็นผีเฝ้าทุ่งตรงนี้นายเราคือจหมื่นศรีสรรักษ์ไม่ใช่ไอ้ทัพ คุณพระนายท่านสั่งให้ต้านไว้เท่าที่กำลังมี แต่ไม่ใช่ให้สู้จนตัวตาย"
สังข์พูดแล้วถอย ขาบมองละล้าละลัง เห็นทัพที่กำลังตะลุยเข้าไป
"ไอ้ขาบ ตามข้ามา เดี๋ยวไอ้ทัพมันก็ถอย" สังข์บอก
สังข์วิ่งไป ขาบตัดสินใจวิ่งตาม ทัพฟันข้าศึกล้มลง มองเห็นเพื่อนสองคนชักม้าถอยไปกับกลุ่มทหาร"ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ พวกมึงมันขี้ขลาด"
ทหารอังวะบุกเข้ามา ทัพฟันตะลุยบุกฟันอย่างไม่ยอมถอย แต่ท้ายสุดก็ต้านไม่อยู่
"พวกเราคนน้อย ต้านมันไม่อยู่แล้ว ถอยก่อน ถอย"
ทัพและทหารม้าอยุธยาบางคนควบม้าตามสังข์ไป

คุณพระนายจมื่นศรีสรรักษ์ นั่งมองสังข์ ขาบที่อยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านคือทัพที่กลับจากรบ
"ไอ้ทัพ ทหารเราน้อยกว่า มึงจะให้กูสั่งทุกคนสู้จนตัวตายที่ศึกหัวเมืองอย่างงั้นหรือ แล้วจะเหลือใครมาป้องกันกำแพงกรุงศรี"
"แต่หากหัวเมืองแตกพ่าย กรุงศรีก็จะมีภัยเหมือนกันขอรับ" ทัพบอก
"มึงกล้าเถียงกูหรือ ไอ้ทัพ"
สังข์บอก
"กราบท่านเสียไอ้ทัพ คุณพระนายท่านเป็นนายเรา เอ็งต้องฟัง"
สังข์เตือนเพื่อน ขาบมองอึ้งที่ทัพกล้าขัดคำสั่งนาย
"ไอ้ทัพ มึงมันกำแหง หัวแข็ง ไม่รู้จักทิศทางลม คนอย่างมึงไม่มีวันเจริญ"
คุณพระนายโมโห ลุกเดินปาดหน้า เท้าแทบจะเฉียดโดนหน้าทัพ ทัพก้มมอง สีหน้าอดทน
"ดีที่คุณพระนายท่านไม่สั่งเฆี่ยนเอ็งจนตาย" ขาบบอก
"ถ้าต้องโทษถึงตาย คนอย่างข้าก็จะตายอย่างคนรักษาความกล้า ความถูกต้องไม่ใช่หัวหด เอาแต่วิ่งหนี "
"ไอ้ทัพ มึงด่าคุณพระนาย"
ขาบดึงสังข์ไว้ ทัพมองเพื่อนสองคนด้วยสายตาไม่พอใจ
"พวกเราเป็นเกลอกัน ใจเย็นๆเถอวะ" ขาบบอก
ทัพลุกพรวด สังข์ ขาบ ลุกตาม
"มึงไม่น่ากลัวตาย จนหนีมาอย่างนั้นเลยไอ้สังข์ ไอ้ขาบ กูเป็นเพื่อนมึงมาแต่เล็กแต่น้อย ไม่คิดว่ามึงจะห่วงชีวิตมากกว่าแผ่นดิน เราเป็นทหาร ถ้าเรากลัวตายเสียคน ใครจะเป็นคนปกป้องแผ่นดิน ใครจะเป็นคนปกป้องพ่อแม่พี่น้องเรา"
ทัพมองจ้องเพื่อนสองคนด้วยสายตาผิดหวัง
"กูไม่ได้หนี แต่กูไม่อยากตายอย่างทหารเลว มึงเป็นทหาร มึงต้องฟังคำสั่งนาย ดูกูก็ได้ไอ้ทัพ เพราะกูเชื่อคุณพระนาย กลับมาครานี้กูถึงได้เลื่อนเป็นนายกอง" สังข์บอก
"อ้อ มึงอยากวิ่งกลับมาเป็นนายกองสังข์นี่เอง ถึงทิ้งให้เพื่อนตาย มึงด้วยใช่ไม๊ ไอ้ขาบ คงอยากเป็นนายกองขาบกับเค้าด้วย ถึงวิ่งหนีหางจุกตูด"
"ไอ้ทัพ กูก็เห็นอย่างไอ้สังข์ คนเราต้องรู้จักรักษาตัวรอด"
"ถ้ามึงสองคนคิดอย่างนี้ ไม่ต้องมานับกูเป็นเพื่อน"
"เออ ตอนนี้กูเป็นนายกองสังข์ นายกองอย่างกูไม่ต้องมีมึงเป็นเพื่อนหรอกโว๊ย"
ทัพกำหมัดแน่น สังข์ ขาบมองจ้องอย่างบาดหมางใจกันนับแต่วันนั้น

วันหนึ่ง ขณะที่จวงเดินถือตะกร้ากลับจากตลาด สังข์เดินเข้ามาใกล้ ขาบคอยระวังหลัง จวงหันมาเจอเข้ากับสังข์ที่คว้ามือ
"พี่สังข์ ปล่อยฉัน"
"ขอพี่คุยด้วยสักเดี๋ยวสิ จวง"
สังข์ดึงจวงเข้ามาใกล้ แนบอก จวงปัดป้องแรง
"พี่สังข์ ถ้าไม่ปล่อยฉันจะร้องให้คนช่วย"
ขาบบอก
"ร้องไป ก็ไม่มีใครช่วย ถ้านายกองสังข์ไม่ยอม"
จวงหันไปเห็นขาบถือดาบกันท่าชาวบ้านคนอื่นๆที่มองอยากจะเข้ามาช่วย
"เป็นเมียพี่เถอะนะจวง อย่าเล่นตัวให้ง้อนักเลย ยังไงเอ็งก็ไม่รอดมือพี่สังข์"
สังข์ดึงมือจวงจะพาออกไป แต่พอหันมา ก็เจอทัพถีบเข้ากลางอก สังข์กระเด็น ชาวบ้านแตกตื่น
"ไอ้ทัพ"
ทัพหันไปชูหมัด
"เข้ามาไอ้ขาบ"
ขาบชะงัก ยื้อๆจะเข้าไปก็กลัวฝีมือทัพ
สังข์ลุกได้ ก็ถีบขาบเข้าไป ทัพเหวี่ยงหมัดชกเข้าหน้าขาบเต็มๆ ขาบหงายหลังกลิ้งคลุกฝุ่น
"นังจวงมันน้องข้า" ทัพบอก
"เอ็งจะหวงให้น้องแก่ตายคาบ้านหรือยังไงไอ้ทัพ เป็นเมียข้า นายกองสังข์น่ะดีเท่าไหร่ พ่อแม่จะได้สบาย"
"บ้านข้าจน แต่ไม่เคยคิดอัปรีย์ ขายลูกสาวกิน"
"เอ็งว่าข้าอัปรีย์" สังข์เดือด
"เออ อัปรีย์ที่ข่มเหงผู้หญิง อัปรีย์ที่เอาอำนาจมาข่มเหงชาวบ้าน"
สังข์พุ่งแลกหมัดกับทัพ สองคนชกกันไม่มีใครยอมใคร จวงขาบมองที่จะเข้าไปช่วยรุม จวงคว้ากระบุงฟาดๆๆๆ จนขาบเข้าไปไม่ได้
ทัพลุกขึ้นมาแลกหมัดกับสังข์ จนสะบักสะบอมกันไปทั้งคู่ ทัพจะเข้าไปอีก จวงรีบเข้ามาดึงไว้
"เอ็งเป็นถึงนายกอง เป็นทหารแห่งกรุงศรี แต่ทำชั่วข่มเหงน้ำใจหญิงอย่างสันดานโจร ต่อไปอย่าอ้างตัวว่าเป็นทหารให้เป็นเสนียดแก่บ้านแก่เมือง"
ทัพกับสังข์จ้องกัน แววตาเดือดดาลเต็มที่

แววตาทัพวาบไปด้วยความเจ็บใจ จวงหน้าเศร้าแตะมือพี่ชาย
"เพราะฉัน ... พี่กับพี่สังข์ พี่ขาบถึงแตกกัน"
ทัพลูบผมน้อง จวงน้ำตาคลอ
"ไม่ใช่เพราะเอ็งหรอก จวง สันดานไอ้สังข์มันชอบเป็นใหญ่ อวดอำนาจวาสนา ไอ้ขาบมันก็นายว่าขี้ข้าพลอย"
สองพี่น้องสองคนมองแม่ที่หลับอยู่
"แล้วเราจะทำยังไงกันพี่ทัพ ถ้าพี่สังข์ พี่ขาบเอาทหารมาจับพี่ .. จับฉันกับแม่"
"พี่จะไม่ยอมถูกจับ จวง ต่อให้ต้องหนีไปจนตาย พี่ก็จะดูแลเอ็งกับแม่ ดูแลคนที่พี่รักทุกคนให้ดีที่สุด"

เวลาเย็น บริเวณตาล 5 ต้นซึ่งยืนต้นสูงอยู่กลางนา เฟื่องสาวชาวบ้านวัย 19 นั่งกอดเข่าอยู่ที่ใต้ต้นตาล เธอเป็นสาวสวยประจำหมู่บ้านทุ่งคำหยาด ชะเง้อมองไปไกล ใจจดจ่อ รอชายคนรัก เหมือนมีใครจ้องมองเธออยู่ข้างหลัง เธอหันไป
"อุ๊ย"
ยังไม่ทันร้องเรียกให้คนช่วย มือของทัพก็พุ่งเข้ามาปิดปากเฟื่องไว้
"พี่เอง เฟื่อง"
เฟื่องยิ้ม ทัพขยับมานั่งใกล้
"พี่ทัพ หยอกฉันอีกแล้ว พี่เป็นยังไงบ้าง เค้าว่านายกองสังข์ หมู่ขาบเอาทหารกรุงมาตามจับตัวพี่"
ทัพกุมมือเฟื่องไว้ สายตาเอาแต่มองคนรักอย่างคิดถึง เฟื่องอายแต่ก็อยากรู้
"เล่าให้เฟื่องฟังก่อนสิจ๊ะ พี่ทัพ"
"เจ้าถามพี่ด้วยแววตาด้วยรอยยิ้มหวานๆ จะให้พี่เสียเวลาพูดเรื่องไอ้สังข์มันทำไม"
ทัพกุมมือเฟื่องไว้อย่างนุ่มนวล ให้เกียรติผู้หญิง ถึงจะเป็นหนุ่มลูกทุ่งเหมือนกันแต่ก็ต่างจากกิริยาจ้วงจาบของสังข์
"ฉันถามด้วยความเป็นห่วง"
"พี่ก็ห่วงเจ้านักหนา เฟื่อง ถึงลอบมาหาตามนัด"
เฟื่องยิ้ม ทัพค่อยโอบประคองเธอเข้ามาในอก เฟื่องเอนตัวเข้าหา
"สิ้นศึกครานี้ พี่จะให้แม่มาสู่ขอเจ้าไปเป็นแม่เรือน"
เฟื่องซุกตัวลงในอกทัพ เขาขยับเชยคางเฟื่อง กำลังจะจูบประทับลงที่แก้ม แล้วลูกตาลตกลงมาบนหัวทัพตรงเผง
"โอ๊ย"
ทัพผงะเงยมองไม่เห็นอะไร
"ลูกตาลมันคงแก่ เลยตกลงมาน่ะจ้ะพี่ทัพ"
ทัพคลำหัว แล้วหันมาทางเฟื่อง เสียงดังตุ๊บทางด้านหลัง ทัพกับเฟื่องหันไปมอง เห็นร่างที่โดดลงมาจากต้นตาล กำลังวิ่งห่างออกไป
"ไม่ใช่ลูกตาลแก่หรอก เฟื่อง อาจจะเป็นพวกไส้ศึก"
ทัพวิ่งตามทันที
"พี่ทัพ"
เฟื่องเรียกได้แค่นั้นก็วิ่งตามไป

แฟง น้องสาวเฟื่องวิ่งตัดทุ่ง ห้าวหาญ คล่องแคล่วเกินหญิง ทัพวิ่งตาม ตัดทุ่งตามมาอย่างเร็ว
"มึงไอ้พวกสอดแนม...อย่าหนีนะ จับได้กูจะตีก้นมึงให้ลายเลย ถ้าลูกตาลโดนหัวกูคอหักมึงจะว่าไง"
แฟงวิ่งล้มลง ทัพวิ่งตามมาทัน คว้าตัวแฟงไว้
แฟงพลิกตัวหันหน้ามา
"ทำไม ฉันจะสอดแนมดูคนหน้าไม่อาย พลอดรักกันกลางทุ่ง แล้วจะทำไม "
หางเสียงแฟงประชดประชันอย่างเด็กสาว
"มานี่ .. กูจะจับตัวมึงไปให้แม่เฟื่องหวดเสียให้ก้นลาย"
"ฉันไม่ใช่เด็ก จะมาหวดก้นฉันได้ไง"

"เอ็งน่ะมันเด็ก เด็กดื้อ เด็กทะโมน นังแฟง"
ทัพคว้ามือแฟง จะดึงขึ้นมา แต่เจอแฟงกำดินในมือ เขวี้ยงใส่เต็มหน้า
"โอ๊ย"
ทัพเซ เฟื่องวิ่งตามมาทันเห็น
"นัง แฟง ผีบ้าเข้าหรือเอ็ง ถึงมาทำพี่ทัพ"
"ผีบ้าเข้าสิงพี่น่ะสิ พี่เฟื่อง ถึงเที่ยวหลบมานั่งพรอดรักกับผู้ชายในทุ่ง"
"นังแฟง"
"ไม่ต้องขึ้นเสียง ฉันจะฟ้องแม่ คอยดู ฉันจะไปฟ้องแม่"
"เอาสิ นังแฟง ข้าก็จะฟ้องเหมือนกันว่าเมื่อบ่ายเอ็งหนีงานในนา ไปดูชนไก่ที่ท้ายบ้าน"
"พี่เฟื่อง"
"ไม่ต้องขึ้นเสียง แฟง เอ็งมีปาก ข้าก็มีปากเหมือนกัน"

ทัพกรอกตาไปมา มองสองพี่น้องที่มองแบบไม่ยอมกันทั้งคู่

ในกระท่อมเฟื่อง ตอนกลางคืนทัพกราบนางเฟื้ยม แม่ของเฟื่องกับแฟงที่นั่งห่างกันคนละมุม

"เจอไอ้ฟัก พี่นังเฟื่องบ้างหรือไม่ พ่อทัพ" เฟี้ยมถาม
"ไม่เจอกันเลยจ้ะ อาเฟี้ยม"
เฟี้ยมสีหน้าห่อเหี่ยว ใจคิดถึงลูกชายที่หายไปกับทัพหลวง
"พี่ฟักถูกเกณฑ์ไปทัพหลวงนานแล้ว ไม่กลับเสียที" เฟื่องบอก
"พี่เฟื่องคิดไม่ดี พี่ฟักยังไม่ตายหรอก"
"นังแฟง ปากเอ็งน่ะ ที่จะโดนข้าตบ"
"แม่ก็เข้าข้างพี่เฟื่องทุกอย่าง เข้าข้างมาแต่เล็ก เข้าข้างตั้งแต่พี่เฟื่องยังอยู่ในท้องแม่"
"เอ๊ะ นังนี่ พูดจาไม่อายคน"
"อายทำไมล่ะแม่ พี่ทัพกับพี่เฟื่องต่างหากที่ต้องอายฉัน"
แฟงหันไปมองพี่สาวกับชายคนรักด้วยสายตาล้อเลียน
"ใช่มั้ย" แฟงแกล้งลากเสียงยั่ว "พี่แฟง คนงาม...แห่งบ้านคำหยาด"
นางเฟี้ยมหยิบขันเขวี้ยงไล่ แฟงโมโหวิ่งลงจากเรือนไปทันที เฟื่องมองทัพอย่างอายๆ
"พี่ทัพไม่น่าจะมาเห็นนังแฟงบ้า"
"พี่ไม่ถือหรอก เฟื่อง แฟงมันก็ตะบึงตะบอนไปตามประสาเด็กของมัน"
ทัพยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
"พ่อทัพถ้าเจอฟัก .. ฝากบอกมันที อาเป็นห่วงเหลือเกิน"
"จ้ะ อา"
ทัพรับปากเฟี้ยม สายตาหนักใจ

เวลาต่อเนื่องมา แฟงนั่งกอดเข่าข้างคอกควาย หน้าตาโมโห
"เป็นนังแฟง มันทำอะไรก็ไม่เคยดี"
เสียงควายนังดำส่งเสียงดังฟืดฟาด แฟงหันไปดุ
"ข้ายังไม่ได้ถามเอ็ง นังดำ"
แฟงมองเห็นทัพกับเฟื่องลงมาจากเรือน
บริเวณหน้าเรือน ทัพมองเฟื่องแล้วบอก
"ฟักไปทหารหลวง ... แต่พี่เป็นคนหนีทัพ ถ้าเจอกัน คงมีแต่ฟันกันละเอียดไปข้าง"
"พี่ทัพอย่าพูดเป็นลาง ฉันไม่อยากได้ยิน"
ทัพมองหน้าคนรัก แล้วยิ้มให้
"แม่เฟื่อง แม่ยอดดวงใจของพี่"
"ฉันคงไม่กล้าบอกให้พี่ยอมก้มหัวให้พวกนายกองสังข์ สุดแต่พี่ทัพจะตัดสินใจ อย่างไรฉันก็ยืนข้างพี่ ฉันจะรอพี่ทัพของฉันคนเดียว"
ทัพสปลาบปลื้ม กุมมือเฟื่องมาจูบเบาๆ
"พี่ก็จะรักเฟื่องยอดรักของพี่คนเดียว วันไหนที่ไอ้ทัพเปลี่ยนใจ วันนั้นคือวันที่ไอ้ทัพจะสิ้นลมหายใจ"
เฟื่องเอามือปิดปาก ทัพจูบมือเฟื่องอีกครั้ง แฟงมองภาพทั้งหมดด้วยสายตาแง่งอน
"รีบกลับมาหาฉันนะพี่"
"พี่จะกลับมาตามสัญญาของเรา"
ทัพปล่อยมือเฟื่องเดินหายไปในความมืด เฟื่องกำลังจะขึ้นบ้าน หันไปเห็นแฟงที่นั่งจ้องมาจากข้างคอกควาย
"แฟง นั่นเอ็งใช่มั้ย"
เฟื่องเดินเร็วมาหา แฟงกอดเข่า ก้มหน้าไม่ยอมมองพี่
"เข้าบ้านเถอะ หรือว่าจะนั่งให้ยุงกัดทั้งคืน"
"ไม่ต้องสนใจฉันหรอกพี่เฟื่อง อีกหน่อยพี่เฟื่องออกเรือนไป ฉันก็ต้องอยู่คนเดียว มียุงกับนังดำเป็นเพื่อน"
"พี่ออกเรือนแล้วเอ็งจะเลิกเป็นน้องพี่หรือ แฟง"
แฟงเงยหน้ามองพี่สาว สายตางอนๆ
"แค่เริ่มรักกับพี่ทัพ พี่ยังไม่ไปเที่ยวเล่นกับฉันเหมือนก่อน เอาแต่นั่งรอพี่ทัพใต้ตาล 5 ต้น อีกหน่อยพอเป็นเมียพี่ทัพ พี่คงลืมว่ามีน้องสาวชื่ออีแฟง"
แฟงปาดน้ำตาน้อยใจ วิ่งหนีขึ้นเรือนไป เฟื่องมองตามอ่อนใจ
"โธ่ แฟง เด็กหนอเด็ก กลัวไม่มีเพื่อนเที่ยวเล่น"

สังข์กับขาบที่อยู่ในกระโจมที่พักในค่ายกองทหาร ด้านนอกมีทหารเดินเวรยามรอบๆ 5คน
ทหารที่เหลือคนอื่นๆ ราว 30 คนนอนพักกันตามต้นไม้
ขาบรินเหล้าให้สังข์
"เกณฑ์คนเข้ากรุงศรีครานี้ นายกองอย่าลืมครัวนังเฟื่องด้วยนะ"
"ข้ารู้ใจเอ็งหรอก ไอ้ขาบ .. อยากจะเอาตัวนังเฟื่อง คนรักไอ้ทัพมานอนกอดล่ะสิ"
ขาบรีบรินเหล้าให้สังข์
"ฉันก็หวังพึ่งบารมีนายกอง ช่วยป้องฉันจากดาบไอ้ทัพ"
"ไม่ต้องกลัว ข้าจะบอกคุณพระนายหมื่นศรีว่าไอ้ทัพ มันหนีทัพ ไม่ยอมเป็นไพร่เกณฑ์สู้ศึก ก็เท่ากับไปเข้าข้างอังวะ ทีนี้เราก็เข้าริบครัวนังเฟื่อง นังจวง .. เอ็งก็เอานังเฟื่อง คนรักของไอ้ทัพไป ส่วนนังแฟง สาวรุ่น ข้าก็จะให้คอยรับใช้ข้า สลับซ้ายขวากับนังจวง น้องสาวไอ้ทัพ"
สังข์กับขาบหัวเราะชอบใจกับความคิดที่จะแบ่ง ครอบครองผู้หญิงของทัพทั้งคนรักและน้องสาว

ทัพที่พิงต้นไม้หลับซุ่มซ่อนตัวในความมืดของป่า เสียงม้าวิ่งมา ทัพหยิบดาบข้างตัวมาถือไว้ มองไปที่อ้ายเลาที่ถูกผูกไว้อย่างเตรียมพร้อม ทหารหลวง 20 นายบนหลังม้าที่วิ่งผ่านป่าไป
ทัพพอเห็นเป็นทหารหลวง ก็นอนแนบนิ่งกับพื้น ไม่คิดจะต่อสู้ฆ่าฟันกันให้เสียเลือดคนไทย
พอทหารพ้นไปหมด ทัพรีบลุก วิ่งมาดึงปลดเชือกอ้ายเลา
"ข้าไม่รบกับทหารกรุงศรีให้เสียเลือดเสียเนื้อคนไทยด้วยกัน เราหลบไปซ่อนให้ไกลจากนี่เถิด ... อ้ายเลา เพื่อนยาก"
ทัพปลดเชือกเสร็จ กำลังจะขึ้นม้า ก็เห็นเงาคนผ่านป่ากำลังเข้ามาใกล้ เขากระชับดาบแน่นในมือ เงาของคนบนหลังม้าที่เคลื่อนมาใกล้นั้นมีไม่ต่ำกว่า 10 คน
"เอ็งกับข้า คงหนีไม่พ้นป่านี้เสียแล้ว ตายอยู่คู่กันเถิด อ้ายเลา"
ทัพหันไปตบสีข้างอ้ายเลาปลุกปลอบใจกัน อีกมือกระชับดาบแน่น คนที่อยู่หน้าสุดควบม้ามาใกล้ ทัพกระชับดาบทันที
ชายร่างสูงพุ่งเข้ามา เงื้อดาบจะฟัน ทัพยกดาบขึ้นกัน ชายร่างสูงเสียหลัก ตกจากหลังม้ามา
ทัพพุ่งเข้าไป แต่ชายร่างสูงม้วนตัวขึ้นสู้ดาบทัพ ทัพกับชายแปลกหน้าประดาบกันทันที ท่ามกลางวงล้อมของชายบนหลังม้า ร่างกายกำยำทะมึนนับได้เกือบ 20 คนที่เข้ามาล้อมไว้รอบ
ทัพหลบคมดาบของชายร่างสูงได้หลายครั้ง จนอีกฝ่ายเริ่มเหนื่อยหอบ ทัพเห็นโอกาสพุ่งเข้าฟันอย่างรวดเร็ว จนชายนั้นเข่าอ่อน หมดแรง ล้มลง
ทัพพุ่ง จะปักดาบลงกลางอก แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าคู่ต่อสู้ชัดๆในระยะใกล้มาก
"ไอ้ฟัก"
ฟักเห็นหน้าชัดๆของทัพ ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

วันใหม่ ฉับกุงโบ และนายทัพ 4 นายยืนรอรับสุรินทจอข่องอยู่ที่ หน้าพลับพลาบัญชาการของค่ายใหญ่ฝ่ายเหนือ วัดป่าฝ้าย ปากน้ำประสบ ทหารอังวะเดินผ่านไปมาอยู่ในบริเวณค่ายอย่างเข้มแข็ง
สุรินทจอข่องแม่ทัพหน้าและอูจีนายทหารคนสนิทย่างม้าเข้ามากับทหารติดตาม 2 นาย ตรงมาที่ฉับกุงโบ
"ค่ายใหญ่ฝ่ายเหนือขอต้อนรับท่านสุรินทจอข่อง จากเมาะตะมะมาถึงทุ่งวิเศษไชยชาญนี้ เป็นยังไง"
" ว่าที่จริงทหารกรุงศรีใจเสาะเกินไป ข้าไม่เคยเห็นทหารที่ไหนแตกทัพง่ายเหมือนที่นี่เลย รบกันไม่ทันได้เหงื่อพวกมันก็แตกกระเจิงเหมือนแกลบปลิวลมแล้ว"
" แผนของมันคือหนีเข้าไปอยู่ในกำแพงเมืองแล้วปล่อยให้ค่ายเราถูกน้ำท่วมจนต้องถอยทัพ"
เนเมียวบอก
"แต่ข้าจะไม่มีวันยอมถอยเด็ดขาด"
ทั้งหมดหันไป ทรุดลงกราบ
"ท่านเนเมียวสีหบดีแม่ทัพ"
เนเมียวสีหบดีก้าวออกมาจากห้องบัญชาการ ในชุดนักรบงามสง่า
"ข้าจะไม่มีวันถอยทัพเพราะแค่กลัวน้ำท่วม กำแพงเมืองจะไม่ใช่ที่คุ้มภัยให้พวกอโยธยาอีกต่อไปแล้ว"
สุรินทจอข่องจ้องมองเนเมียวนิ่ง
"พระเจ้ามังระราชาธิราชของเรารับสั่งย้ำเป็นคำขาดว่า ศึกนี้จะต้องไม่มีราชธานีของมันเหลืออยู่อีกต่อไป"
"ท่านเรียกข้าพเจ้ามาเพื่อให้สนองพระราชดำริพระเจ้ามังระด้วยการใด"
"มันเปลี่ยนชื่ออโยธยามาเป็นอยุธยา ที่แปลว่าเมืองที่ไม่มีใครเอาชนะได้ แต่ข้าจะเอาชนะเอง ข้าต้องการเสบียงอาหารมาเลี้ยงกองทัพนับแสนที่นี้ จนกว่าน้ำจะแห้ง"
สุรินทจอข่องบอก
" อย่าห่วงเลยท่านแม่ทัพ ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บเกี่ยว ทุ่งวิเศษไชยชาญคือถิ่นเสบียงอาหาร ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ที่สุด ข้าจะกวาดต้อนมาเก็บไว้ให้ ทหารนับแสนของท่านมีกินตลอดสามเดือนได้แน่"
เนเมียวยิ้มพอใจ
" ดีมากสุรินทจอข่อง เวลานี้ไม่มีทหารกรุงออกมาอยู่นอกกำแพงเมืองแล้ว ท่านจงเร่งนำทหารไปขนข้าวปลาอาหารมาสะสมไว้ที่นี่ให้มากที่สุด หากมันผู้ใดขัดขืนข้าอนุญาตให้ท่านลงโทษมันได้เต็มที่"
"การนี้เป็นเกียรติยศแก่ข้าและตระกูลยิ่ง อูจีนายทหารคนสนิทข้าเขาเชี่ยวชาญการระดมเสบียงมาหลายศึก การแค่นี้รับรองว่าสำเร็จแน่"
เนเมียวมองอูจีอย่างมั่นใจ อูจีทำความเคารพยิ้มให้อย่างมั่นใจ

ท่ามกลางแสงเทียนในโบสถ์ ทัพมองฟัก และหมู่เคลิ้ม เจ้าเอิบ เจ้าช่วงกับกลุ่มทหารที่หนีออกจากทัพที่แตกพ่ายอังวะมา สภาพหน้าตา ร่างกายกำยำ เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล
เคลิ้มบอก
"พวกเราอยู่กองม้าพระพิเรนทรเทพ แตกพ่ายมากจากกาญจนบุรีถูกทหารอังวะเป็นพันไล่ต้อน พวกนายหมวดนายกองพากันหนีตายทั้งสิ้น"
"จริงหรือ ไอ้เคลิ้ม"
"จริงเหลือเกิน พี่ทัพ"
"นายกองเราพอได้กลิ่นศึก ก็คิดแต่จะล่าถ่ายเดียว หาใจสมทหารสักคน"
เอิบบอก
"ทหารอังวะมันถึงเผาโบสถ์วิหาร ลอกเอาอิฐ กระเบื้องไปสร้างกำแพงค่ายใหญ่โต"
"ศึกนี้ไพร่พลอังวะหลั่งไหลมายังกับสายน้ำ" ช่วงบอก
"ข้าหมู่เคลิ้ม ไอ้ฟัก ไอ้เอิบ กับพี่น้องตรงนี้ คิดว่าจะไม่กลับเข้าไปกรุงศรีแล้ว" เคลิ้มว่า
เอิบบอก
"กลับไปก็เท่ากับเราเป็นตัวล่อให้อังวะไล่ฟันสนุกมือเปล่า
"ข้าคิดว่าบ้านคำหยาดจะมีข้าคนเดียวที่เป็นคนหนีทัพ" ทัพบอก
"พี่เคลิ้มมีกองม้าอยู่ 30 ถ้าพี่ทัพมีกำลังคิดอ่าน เจอกองตระเวนอังวะที่ไหน พวกเราคงได้ฟันพวกมันกันละเอียดให้หนำใจ" ฟักบอก
"เอาสิ พี่น้อง ไอ้ฟัก หมู่เคลิ้ม ไอ้เอิบ ไอ้ช่วง ข้าเจ็บแค้นนัก พวกมันปล้นครัวไทย พ่อแม่ลูกเมียต้องพลัดพราก เลือดพี่น้องไทยไหลนองทาบทาผืนดิน ผืนนาของแม่โพสพ" ทัพบอก
ทุกคนนิ่งเงียบด้วยความสลดกับสภาพที่ทัพอังวะที่ไล่ย่ำยีคนไทย พระเที่ยงก้าวออกมามอง ทุกคนก้มลงกราบ
"พวกเอ็งเคยรับใช้กองทัพกรุงศรีอยุธยา ได้ชื่อว่าเป็นทหารแห่งองค์พระมหากษัตริย์ จะทำการใด อาตมาขอไตร่ตรองให้จงหนัก หากจะคิดหนีทัพลดเกียรติทหารกรุง ไปใช้ชีวิตอย่างโจร"

ทุกคนนิ่งเงียบอั้น ชั่งใจมองหน้ากันเมื่อได้ยินกับคำเตือนของพระเที่ยง
 
อ่านต่อหน้า 2

บางระจัน ตอนที่ 1 (ต่อ)

วันใหม่ ที่บ้านสามโก้ แขวงวิเศษไชยชาญกำลังถูกทัพอังวะ นำโดย นายกองอูจี เข้าบุกโจมตี

ทหารอังวะเข้าฟันชาวบ้านชายที่ถือ มีดพร้า ต่อสู้
ผู้ใหญ่แสงวิ่งออกมากับกลุ่มผู้ชาย ดอกรัก หลานชายผู้ใหญ่แสงถือดาบสองมือไว้
"หนีไปก่อนอาผู้ใหญ่ ทางนี้ฉันจะต้านพวกมันไว้เอง"
"ข้าไม่ไปดอกรัก ... ตายก็ตายที่นี่ด้วยกัน"
สไบ ลูกสาวผู้ใหญ่แสงวัย 18 วิ่งนำกลุ่มผู้หญิงกับเด็กมา ผู้ใหญ่แสงเห็นก็สั่ง
"สไบรีบพาผู้หญิงกับเด็กไปที่ซ่อน"
"จ้ะ พ่อ"
ทหารอังวะลุยเข้ามาอีก เสียงอูจีร้องสั่งทหาร
"อย่าให้ใครหนี"
"สไบ ไปเร็ว"
สไบรีบพาผู้หญิงกับเด็กวิ่งไปทางหลังหมู่บ้าน ทหารอังวะกรูเข้ามา ผู้ใหญ่แสงกับผู้ชาย คว้าดาบมีดเข้าสู้ ดอกรักตะลุยเข้าฟันม้าของอูจี ม้าร้องตกใจ อูจีหงายลงมา ดอกรักพุ่งเข้าไปจะแทง อูจีพริ้วตัวด้วยเชิงต่อสู้ที่เหนือกว่า ฟันเข้าที่ไหล่ดอกรักจนล้มลงจะแทง
แต่ดอกรักกลิ้งหลบดาบของอูจีไปอย่างเร็ว

สไบวิ่งนำชาวบ้านหญิงร่วม 30 คนที่หอบลูกจูงหลานมาอีกจำนวนหนึ่ง หญิงแก่หลายคนล้ม สไบเข้าไประคอง
"อีกนิดเดียวจ้ะยาย อีกนิดเดียว"
หญิงแก่แข็งใจลุกขึ้น หญิงชาวบ้านคนอื่นรีบพยุง พากันประคองวิ่งหนีไป
"เร็วๆจ้ะ เร็วๆ"
สไบหันไปมองทางหมู่บ้านด้วยความเป็นห่วง

ดอกรักลุกขึ้นจะสู้แต่เจออูจีถีบ ดอกรักไม่ยอมล้ม อูจีโดถีบเข้ากลางอกสองขาอีกที จนล้มคว่ำ อูจีจะแทงซ้ำ ดอกรักเตะดาบ พุ่งไปปักทหารอังวะตายคาที่
อูจีสีหน้าแค้น พุ่งเข้าชกดอกรักด้วยมวยพม่า ฝ่ายดอกรักซัดกลับด้วยชั้นเชิงมวยไทย สองคนต่างสู้กันมือเปล่า ไม่มีใครยั้งมือ
ดอกรักม้วนตัว จระเข้ฟาดหาง อูจีหน้าสะบัด ด้านหลังทหารอังวะเริ่มจุดไฟเผาบ้าน ดอกรักวิ่งพุ่งเข้าไปคว้าคบไฟจากมือทหารอังวะ
ลูกไฟกระจายกลางอากาศ
ทหารอังวะพากันเข้ามารุมทุบดอกรัก จนล้มกับพื้น แต่ดอกรักไม่สนใจความเจ็บที่เท้าทหารอังวะเหยียบบนร่างไว้ เขาเห็นแต่ไฟกำลังลุกติดหมู่บ้านวอดวายอยู่ในกองเพลิง

สไบนำกลุ่มผู้หญิงกับเด็กจำนวนมากเข้ามาหลบในถ้ำ
"อย่าออกไปไหนนะ ฉันขอคนอาสาเป็นยาม"
ผู้หญิง 4 คนยกมือทันที สไบสั่ง
"เฝ้าหน้าถ้ำไว้ 2 คน อีก 2 ไปเฝ้าทางออกหลังถ้ำ"
พวกผู้หญิงแยกกันทันที
"ฉันจะกลับหมู่บ้าน ไปพาพวกเราหนีมาซ่อนที่นี่"
สไบสั่งแล้วรีบวิ่งออกไปทันที ทุกคนมองด้วยความเป็นห่วง

สไบวิ่งเร็วมาในป่า ทหารอังวะ 5 คนถือดาบวิ่งตามหาคนที่หนีมาจากทางหมู่บ้าน สไบจะถอยหนี แต่ไม่ทันแล้ว เพราะทหารอังวะล้อมเธอไว้ เธอมองด้วยสายตาหวาดกลัว ทหารอังวะยิ้ม ตะโกนบอกกัน
"คนสวย ... จับให้ได้ จับให้ได้"
ทหารอังวะคว้าตัวสไบไว้ เธอทั้งดิ้น กัด ทุบ ทหารอังวะตบ จนเธอกลิ้งลงไปกับพื้น เธอพยายามจะคลานหนี แต่ทหารอังวะจับขาไว้ข้างละคน ทหารอีกคนเงื้อมือจะตบ
พรานใจ พรานหนุ่มวัย 20 พุ่งมาจากด้านหลัง เข้าหักแขนทหารอังวะที่กำลังจะตบสไบ
ทหารร้องลั่น ดิ้นพราดด้วยความเจ็บปวด
ทหารอีก 4 คนหันมาทางพรานหนุ่มทันที
สไบมอง เห็นพรานหนุ่มกระโดดเตะกลางอากาศทหาร 2 คนรวด ดาบหล่นพื้น สลบคาที่
ทหาร 2 คนยกปืนยิงทันที พรานหนุ่มกระโดดหลบ
สไบตกใจ พรานหนุ่มพุ่งตัวหลบกระสุน มาคว้ามือสไบ
"วิ่ง"
สไบกัดฟันเจ็บลุกขึ้นวิ่งตามพรานใจ ทหารยิงปืนไล่ เฉียดสไบกับพรานใจอย่างหวุดหวิด ทั้งสองไม่ยอมหยุดวิ่ง

ดอกรักเลือดโทรมกาย ใบหน้าปูดช้ำเพราะโดนรุม ถูกถีบมารวมกับผู้ใหญ่แสงที่ถูกมัดรวมกับ
ชาวบ้านชายอีกหลายคนที่เนื้อตัวหน้าตาแตกยับ
อูจีกับทหารล้อมวงมองสภาพคนไทยที่หมดทางสู้ ด้านหลังเปลวไฟยังลุกมอดไหม้ลามบ้าน
อูจีเข้ามาดึงผมดอกรักขึ้นจ้องหน้า
"ฆ่ากูซะ กูจะไม่ยอมเป็นขี้ข้าพวกมึง"
ดอกรักถุยน้ำลายใส่หน้า อูจีถีบดอกรักและเข้ามาเตะซ้ำ
ชาวบ้านชายลุกฮือ ทหารอังวะยกปืนยิง หลายคนถูกปืนล้มตายทันที
ผู้ใหญ่แสงทนไม่ไหว ตะโกน
"พอแล้ว อย่าฆ่าคนของฉัน จะเอาอะไร บอกมา"
อูจีที่ฟังภาษาไทยออก หันมามองผู้ใหญ่แสง ดอกรักตะโกน
"อย่าเป็นขี้ข้ามัน ฆ่ากูเลย ฆ่ากู"
อูจีหันมายกปืนเล็งไปที่ดอกรักทันที

ฝ่ายพรานใจกุมมือสไบวิ่งหนีกระสุน หลบทหารอังวะ หลายนัดเฉียดสองร่างไปอย่างหวุดหวิด
เธอเริ่มวิ่งไม่ไหว พรานใจฉุดมือให้โดดเนินดิน แต่สไบก้าวไม่พ้น ล้มลง ฉุดมือพรานใจล้มไปด้วย ร่างทั้งสองกลิ้งลงจากเนิน ทหารอังวะยังคงยิงไล่หลัง
ทหารอังวะ 2 คน เล็งปืนวิ่งตามลงมา พรานใจตกใจว่า ไม่รอดแล้ว
ทหารอังวะกำลังจะถึงตัวทั้งสอง
พรานป่าอีก 2 คนโดดลงมาจากต้นไม้สูง ลงมาจับคอทหารอังวะ พรานสองคน คนหนึ่งแก่ คนหนึ่งหนุ่ม จับคอทหารบิดกรึ๊บเดียว ทหารคอหักตายคาที่ทั้งคู่
สไบมองเห็นศพทหารอังวะที่ล้มลง ข้างตัวก็ถอยหนี ชนเข้ากับร่างพรานใจที่ยืนอยู่
พรานใจมองหน้าสไบในระยะแค่คืบ
พรานเจิด พรานหนุ่มวัย 25 มองแล้วถามขึ้น
"โดนยิงตรงไหนหรือเปล่า ใจ"
สไบได้สติ ถอยห่างออกมา
"ไม่โดน พี่เจิด"
สไบมองไปที่พรานอีกคน
พรานจาด พรานเฒ่า วัย 45 มองสไบ
"จับตัวผู้หญิงไป"
สไบตกใจ ถอยกรูด ห่างพรานทั้ง 3 ใจหายวาบที่หนีเสือปะจระเข้

อูจีที่เอาปืนมาจ่อหัวดอกรัก พูดภาษาไทยสำเนียงแปร่ง
"ฉันเห็น มีผู้หญิงหนีไป"
ดอกรักจ้องไม่ตอบ แววตาท้าทาย อูจียิ้มเหี้ยม
"ฉันรู้ว่าแกไม่ตอบ"
อูจีเลื่อนปืนมาที่แสง ดอกรักหน้าตาตื่น
"ผู้หญิงหนีไปไหน"
แสงบอก
"อย่าบอกมัน ... ดอกรัก"
"อาแสง"
อูจียิงไปที่ชาวบ้านชายคนหนึ่งข้างแสง เลือดกระเด็นใส่หน้าผู้ใหญ่แสง แล้วหันมาถามดอกรัก
"ผู้หญิงอยู่ที่ไหน"

สไบมองพรานทั้งสามที่เนื้อตัว หน้าตามอมแมมด้วยความกลัว
"อย่าฆ่าฉันเลย จะเอาอะไร ...ฉันจะให้"
พรานเจิดมองสไบแล้วเกาหัว
"ไม่เห็นจะมีอะไรติดตัว"
"ฉัน...ฉันมี"
"มีอะไร แก้วแหวนเงินทอง"
"ฉันไม่มีหรอก แก้วแหวนเงินทอง ฉันมี..."
สไบอึกอักแล้วตัดสินใจพูดออกมา
"มีตัว ถ้าอยากได้ฉัน"
"ไม่ ไม่ .. ไม่เอา เมียฉันดุ"
"อย่าฆ่าฉันเลย"
"พอแล้ว พี่เจิด อย่าแกล้งเลย" ใจบอก
สไบมอง พรานเจิดหัวเราะแบบคนขี้เล่น แต่พรานจาดหน้าตาเรียบๆนิ่งดูดุถาม
"จะไปไหน"
"ฉันจะกลับบ้าน"
"กลับไม่ได้"
พรานใจตอบเร็ว สองพรานกับสไบมอง
"หนีทหารมา แล้วจะกลับไปทำไม"

เวลาต่อมา ทหารอังวะกำลังเอากระชากผู้หญิงและเด็กออกจากถ้ำ เดินกลับหมู่บ้านกันเป็นขบวน

สไบรับน้ำจากกระบอกไม้ไผ่มาจากเจิด จิบน้ำ พรานจาดกับใจมอง
"ขอบใจพี่ๆที่ช่วยฉัน ฉันชื่อสไบ"
สไบมองพรานทั้ง 3 คน
"พรานสามคนเป็นพี่น้องกันเหรอ"
"นั่นพ่อฉัน พ่อจาด นี่พี่เจิด" พรานใจบอก
"นี่น้องชายฉัน .. ไอ้ใจ" เจิดบอก
สไบยิ้มมองสามคนด้วยความโล่งใจขึ้นบ้าง
"แล้วพวกพรานมาจากบ้านไหนกัน"
พรานสามคนนิ่งมองสไบ ไม่ตอบ

กลุ่มผู้หญิงกับเด็กที่ถูกต้อนกลับมารวมกลุ่มกับผู้ชาย ทุกคนแววตาแห้งโหย หวาดกลัว
ผู้หญิงหลายคนกอดสามีที่สภาพเลือดโทรมตัว
ทหารอังวะเข้ามาดึงผู้หญิงออกไป เสียงผู้หญิงกรีดร้องด้วยความกลัว สามีจะลุก แต่ทหารอังวะก็ถีบจนล้มคว่ำ ลูกเอื้อมมือคว้าหาแม่ ผู้เป็นแม่พยายามแตะมือลูก แต่โดนกระชากออกไป ลูกร้องไห้จ้า โผเข้ากอดพ่อ
สภาพสองพ่อลูกที่สะอื้นร้องไห้ด้วยความทุกข์สุดจะเปรียบ เพราะถูกพรากคนที่รักไปต่อหน้าต่อตา
ดอกรักแววตาสลดกับชะตากรรมของคนในหมู่บ้าน
"ไม่มีสไบ"
ดอกรักลอบมองไปรอบๆ แล้วหันมาทางแสง
"ใช่ อาแสง สไบหายไป"
แสงกับดอกรักสีหน้าผ่อนคลายลง แต่อูจีเอ่ยถามเสียงดัง
"ผู้หญิงหายไป คนสวยๆ หายไปไหน"

แสงกับดอกรักหน้าเสียทันที

สไบรับน้ำจากกระบอกไม้ไผ่มาจากพรานเจิด จิบน้ำแล้วคืนให้ พรานสองพี่น้องมองเธอ

"ขอบใจพี่ๆที่ช่วยฉัน แต่ยังไงฉันก็ต้องกลับไปช่วยลูกบ้านที่เหลือ โชคดีคราหน้าคงได้เจอพี่ๆอีก"
"อย่าไป รอก่อน ให้ค่ำค่อยไป" พรานใจว่า
ใจห้ามไว้ จาดมองน้องคนเล็กที่พยายามห้ามสไบ
"ไม่ได้หรอก หมู่บ้านฉันกำลังถูกทัพอังวะปล้น พ่อฉัน ผู้ใหญ่แสง พี่ดอกรัก กับพวกผู้ชายกำลังต้านไว้ มีผู้หญิงกับเด็กที่ฉันต้องกลับไปช่วยพาออกมา ไม่อย่างนั้น จะถูกพวกมัน .. ข่มเหง"
ปลายเสียงสไบเต็มไปด้วยคั่งแค้นใจ
"ให้เราไปช่วยด้วยคน" พรานใจบอก
พ่อและพี่ชายไม่รู้ว่า ใจจะยื่นมือช่วยสไบทำไม
"ไม่ใช่เรื่องของเรา ไอ้ใจ"
"ช่วยเค้าเถอะพี่เจิด พ่อจาด"
พรานใจมองขอร้องพ่อและพี่ชาย แล้วหันไปบอกสไบ
"เราจะพาไปสไบซ่อนตัว"
พรานจาดเตือน
"อย่ายุ่ง ใจ"
"ที่พี่ช่วยฉันจากพวกทหาร ฉันก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว ฉันไหว้นะจ๊ะ ฉันไปก่อน พ่อจาด พี่เจิด พี่ใจ"
สไบยิ้มให้ทุกคน แล้วตัดสินใจรีบเดินออกไป ใจมองตามอย่างเป็นห่วง เอ่ยขอร้องพ่อกับพี่ชาย
"ช่วยสไบเถอะ พ่อ พี่เจิด ปล่อยกลับไป สไบก็ต้องกลายเป็นเชลย"

สไบวิ่งมาที่ถ้ำ แต่ไม่เห็นมีชาวบ้านเหลืออยู่เลยตกใจ
"หายไปไหนหมด"
สไบหันกลับมาเจอทหารอังวะที่ซุ่มรออยู่ 2 คนโผล่ออกมา เธอคว้าไม้มาไว้ในมือทันที ทหารทั้ง 2 คนพุ่งเข้าหา สไบฟาดไม้ไปเข้าหัวคนหนึ่ง อีกคนจะเข้ามา สไบหันไปเหวี่ยงไม้ใส่ คนแรกลุกขึ้นได้ พุ่งเข้าจะรวบตัวจากด้านหลัง สไบดิ้น หันมาทุบตี ทหารอังวะชกเข้าที่ท้องจนจุก เธอดิ้นไม่ยอม
"ปล่อย"
ทหารแบกสไบขึ้นบ่า รีบพาตัวออกไปทันที
อีกด้านหนึ่ง พรานใจวิ่งมามองหาในถ้ำ แล้วออกมาสมทบพ่อและพี่ชาย
พรานเจิดถามน้องชายที่สีหน้าวุ่นวายใจมาก
"เอ็งจะมาตามผู้หญิงคนเดียวทำไมวะ ไอ้ใจ เค้าต้องกลับไปหาพ่อแม่พี่น้อง หาคนรักเค้า หรือไม่..ไอ้ใจมันก็ต้องชะตาน้องสไบเสียแล้ว"
พรานใจสีหน้าเปลี่ยนเพราะโดนพรานเจิดกระเซ้าตรงใจ แต่พยายามกลบเกลื่อนไม่แสดงออก
หันไปบอกเหตุผลกับพ่อ
"คนอย่างฉัน ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด"
"มันไม่ใช่เรื่องของเรา ใจ"
พรานจาดเสียงเข้ม จนพรานใจต้องหยุด หันสายตามองไปอีกทางด้วยความเป็นห่วง

สไบถูกแบกบ่ามาที่หมู่บ้านสามโก้ ดอกรักกับแสงที่ถูกจับลุกพรวด ทหารทัพอังวะคุมตัว
อูจียิ้มทันทีที่เห็นสไบ
ดอกรักถาม
"สไบ พวกมึงทำอะไรสไบ น้องกู"
ดอกรักลุกขึ้นมา อูจีหันไปกระแทกดาบใส่หน้า จนดอกรักหงาย
แสงบอก
"ปล่อยลูกสาวข้า"
แสงจ้อง อูจีมองประเมินแล้วสั่งทหารเป็นภาษาพม่า
"วางลง"
ทหารทัพอังวะวางสไบลง ดอกรัก ผู้ใหญ่แสงรีบเข้ามา ดอกรักช้อนร่างสไบไว้ เขย่าเบาๆ
"สไบ สไบ"
สไบรู้สึกตัวมองหน้า
"พ่อ .. พี่ดอกรัก"
อูจีมองมาที่สามคน
"ยอมเป็นเชลยของเราซะ"
อูจีชักดาบขึ้น ทหารหลายคนชักดาบออกจากฝัก จ่อมาที่ชาวบ้านเตรียมพร้อม
ชาวบ้านกลัว ผู้ใหญ่แสงมอง ดอกรักตะโกนทันที
"ไม่... กูยอมตายดีกว่าเป็นขี้ข้าพวกมึง"
ทหารเข้ามาเตะจนดอกรักหงาย สไบจะรีบเข้าไป อูจีกระชากแขนไว้
"ปล่อย"
อูจีหัวเราะ มองสไบ ผู้ใหญ่แสงจะช่วยลูก แต่ทหารเข้ามา ดอกรักลุกจะคลานเจอทหารเตะเสย แล้วเหยียบกลางอกไว้
"อย่ายอมมันนะ อาแสง อย่ายอมเป็นขี้ข้ามัน"
สไบดิ้นแต่มืออูจีเหมือนคีม บีบไม่ยอมปล่อย มองชาวบ้านทุกคนแล้วประกาศ
"เราจะไม่ทำอะไร จะดูแลอย่างดี มีทองมาให้แลกกับข้าว "
อูจีจ้องหน้าทุกคน
"อย่าขวางกองทัพเราที่จะไปตีโยธยา"
ทุกคนมองอูจีที่พูดไทยสำเนียงพม่า
"แล้วก็สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อพระเจ้ามังระ สิริสุธรรมมหาราชาธิบดี"
"ไม่ กูคนกรุงศรี กูไม่ใช่คนอังวะ กูไม่ยอมเป็นเชลยมึง" ดอกรักบอก
อูจีจ่อดาบมาที่สไบ
ทหารทัพอังวะทุกคนจ่อดาบ เตรียมฟันคอชาวบ้าน
ผู้ใหญ่แสงมองอย่างกดดัน สไบมองแล้วกลัวใจพ่อ
"อย่านะจ๊ะ พ่อ เราเป็นคนไทย ต่อให้ตาย ฉันก็ดีใจที่จะเป็นคนไทย ไม่เป็นขี้ข้าใคร"
อูจียกดาบขึ้นจะฟันสไบ ผู้ใหญ่แสงทนไม่ไหว
"ยอมแล้ว"
"พ่อ"
"อา"
"เราจะดูแลคนโยธยาอย่างดี ไม่ให้อดอยาก ไม่ทำร้ายเด็ก ผู้หญิง พวกแกแค่ส่งข้าวปลาให้เรา แลกกับทอง"
อูจีหัวเราะ ทหารทัพอังวะลดดาบ ผู้ใหญ่แสงก้มหน้า สไบสะบัดแรงเข้ามาหาพ่อ
ผู้ใหญ่แสงมองเห็นแววตาผิดหวังของลูกสาว
"พ่อไม่ได้ห่วงแต่เจ้า ... สไบ"
สไบมองตามสายตาพ่อที่มองชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดง
"พ่อต้องรักษาชีวิตลูกบ้านไว้... เป็นเชลยยังมีลมหายใจ ดีกว่าต้องตายกันหมด"
สไบสายตาทดท้อ ขมขื่น ไม่ต่างจากดอกรัก
อูจีมองสไบด้วยสายตาโลมเลีย แต่สไบกำลังเสียใจ ไม่ทันมองเห็น

ในโบสถ์เก่า ทัพนั่งฟังหมู่เคลิ้มกับพวกเล่า
เคลิ้มบอก
"พวกฉันสังกัดกองม้าของพระพิเรนทรเทพ พอแตกพ่ายจากกาญจนบุรี ก็บ่ายหน้ากลับมาบ้าน ตลอดทางเห็นแต่ทหารทัพอังวะเข้าตี ปล้น ริบทรัพย์ จับเชลย อนาถใจเหลือเกินพี่ทัพ"
"พ่อ แม่ ลูกพลัดพราก จากเป็น ... จากตาย" เอิบบอก
"เดี๋ยวมันคงมาถึงบ้านคำหยาดของเรา"
ทัพลุกพรวด
"ข้าจะไปฟันไอ้พวกข้าศึกให้ละเอียด"
เคลิ้มบอก
"ฉันมีกองม้าซุ่มอยู่ 30 พอจะเป็นกำลังคิดอ่านได้ พี่ทัพจะนำไปทางไหนก็นำเถิด"
ทุกคนมองหน้าทัพอย่างยกให้เป็นผู้นำ พระเที่ยงก้าวออกมามอง
"พวกเอ็งคิดดีแล้วหรือที่จะรบเยี่ยงโจร มิใช่ทหาร"
ทุกคนหันไปมองพระเที่ยงที่เอ่ยเตือนสติ
"โดยเฉพาะเอ็ง ทัพ เอ็งเป็นลูกอาตมา นายทหารอาทมาตแห่งวิเศษไชยชาญ"
"ฉันไม่เคยลืมว่าฉันเป็นลูกทหาร ตัวเองก็เคยเป็นทหาร ...แต่หลวงพ่อก็รู้ว่าฉันต้องกลายเป็นคนหนีเกณฑ์เพราะใคร"
ทัพมองพ่อ แววตานึกถึงอดีต

ทัพ สังข์ ขาบในชุดทหารที่เพิ่งกลับจากรบ หน้าตามอมแมม เนื้อตัวเลอะเทอะ กำลังควบม้าผ่านเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับทหารชายคนอื่นอีก 2- 3 คน
เสียงเฟื่องดังเข้ามา
"พี่ทัพกลับมาแล้ว"
ทัพหันไปมอง เห็นเฟื่องวิ่งเข้ามากับชาวบ้านหลายคน ทุกคนมองอย่างดีใจ ทัพโดดลงจากหลังม้ามายืนข้างเฟื่องที่สีหน้าดีใจเมื่อได้เห็นคนรัก
ขาบมองเฟื่องตาปรอย แต่เฟื่องไม่เห็น เพราะมัวดีใจกับทัพ
"พี่ทัพได้กลับบ้านแล้ว"
"คิดถึงเฟื่องใจจะขาด"
แฟงที่เดินมามองแล้วพูดขึ้น
"ก็บอกไปซี้ พี่ทัพ ว่าพี่จะไม่ทิ้งเฟื่องไปรบอีกแล้ว จะขออยู่แล้วก็ตายลงในตักแม่เฟื่อง แม่ยอดยาใจ"
แฟงลากเสียงล้อเลียน ชาวบ้านพากันขำ เฟื่องอาย
"นังแฟง เอ็งมันน่าเอาไม้ดีดปาก"
"ไม้มันแรงไม่พอหรอก เฟื่อง เอาดาบพี่ดีกว่า" ทัพว่า
ทัพแกล้งยกดาบล้อๆ แฟงขึงขัง
"เข้ามาเลย คนอย่างนังแฟง บ้านคำหยาด ไม่เคยกลัวหน้าไหน"
ทัพหัวเราะ
"อย่าให้มันกล้านัก แฟง"
"พี่ทัพเค้าล้อเล่น เอ็งนี่ไม่รู้จักดู"
เฟื่องยิ้มหวาน
"พี่ไปหาน้าจันทร์ก่อนเถอะจ้ะ"
ทัพหันมามองแฟงที่ทำหน้ายักษ์ใส่ ทัพหัวเราะ จูงอ้ายเลาเดินออกไป เฟื่องมองตาม
แฟงหันมาเห็นสายตาขาบที่มองตามแฟงแล้วแหย่
"พี่ขาบจะมองให้พี่เฟื่องเปลี่ยนใจจากพี่ทัพเลยเชียวหรือ"
ขาบหน้าม้าน สังข์หันมาดุแฟง
"เอ๊ะ นังแฟง เอ็งนี่มันหมาบ้า"
"เออ ทำไมล่ะ พี่สังข์ อย่ามาเข้าใกล้แล้วกัน ฉันกัดไม่เลือก"

แฟงสะบัดเดินออกไป สังข์มองตาม ตาวาววับ แต่แฟงมัวแต่โมโห เลยไม่ทันรู้ตัว

ทัพ ประคองแม่ จวงเอาถ้วยยามาส่งให้ ทัพประคองแม่ป้อนยา จันทร์กินยาแล้วสำลัก ทัพเช็ดปากแม่อย่างนุ่มนวล จวงรีบเข้ามาดูอาการใกล้ๆ

"แม่เป็นไข้ สะท้านตั้งแต่หัวรุ่งทุกวัน ไปบอกหลวงพ่อเที่ยงที่วัด ท่านให้ยาต้มมากินหลายหม้อแล้วก็ยังไม่หาย"
จันทไอไป พูดไป
"แม่ไม่เป็นไรหรอก ทัพ เห็นหน้าเอ็งเดี๋ยวก็หาย"
"โธ่ แม่จ๋า ฉันอยากพาแม่ไปรักษา ไม่อยากเห็นแม่ทรมานอยู่อย่างนี้"
ทัพกอดแม่ไว้ สายตาหม่นหมอง

ในอดีตสังข์ ขาบที่กำลังคุยอยู่กับผู้ใหญ่เทิดที่ท่าทางนักเลง
"ทางกรุงศรีให้ฉันกับนายกองสังข์ เอาใบบอกเรียกเกณฑ์ทหารมาให้น้าเทิด เพราะเพลานี้ทัพพระเจ้ากรุงอังวะยกลงมาถึงนครสวรรค์แล้ว" ขาบบอก
"พวกอังวะลงมาถึงเมืองนครสวรรค์แล้วหรือ"
"ใช่ ฉันก็ไปรบตลุมบอนมาแล้ว ไอ้ทูนลูกน้าเทิดปีนี้มันถึงเกณฑ์พอดี" สังข์ว่า
ทูนแอบฟังอยู่ใกล้ๆหน้าซีด
"ไอ้ทูนมันเป็นลูกชายคนเดียวของน้า มันไม่เคยจับดาบเลยนะ"
สังข์กับขาบมองผู้ใหญ่เทิด
"พ่อสังข์พ่อขาบเป็นลูกน้องคนสนิทคุณพระนาย พอช่วยคนบ้านเดียวกันได้ไม๊"
สังข์ ขาบหันมามองหน้ากัน เทิดเปิดกำปั่นใกล้ๆหยิบถุงไถ้มาส่งให้
"นี่ก็..น้ำใจเล็กๆน้อยๆ ช่วยน้องมันหน่อยเถอะนะ"
เทิดวางถุงเงินลงหน้าสังข์ ขาบ
"น้าขอเถอะนะพ่อสังข์พ่อขาบ น้ามีลูกชายคนเดียว อย่าเกณฑ์มันไปเลยนะ"
สังข์กับขาบมองหน้ากัน แล้วมองไปที่ลูกชายผู้ใหญ่ที่หลบอยู่ด้านใน
"ฉันก็มองไม่เห็นทางอื่นดอก นอกจากจะหาคนไปออกศึกแทนลูกชายน้าเทิดเท่านั้น" ขาบบอก
เทิดพยักหน้า สังข์แววตาเจ้าเล่ห์

ในตลาดหมู่บ้านคำหยาด ทัพที่เดินเข้าหาสังข์ สีหน้าไม่สบายใจ ด้านหลังคือแฟง เฟื่อง จวง
"ข้าขอพาแม่ไปรักษาก่อนเถอว่ะ สังข์ เค้าว่ามีพระรักษาเก่งๆที่สุพรรณ"
สังข์ยืนอยู่ข้างขาบ
"ไม่ได้หรอกไอ้ทัพ เอ็งจะเห็นแก่แม่มากกว่าไปศึกไม่ได้ ขืนข้าช่วยเอ็งให้เลี่ยงศึก ข้าก็เดือดร้อน"
"พี่ทัพไปชั่วไม่กี่วัน รอหน่อยเถอะพี่สังข์ พี่ขาบ" เฟื่องบอก
"คุณพระนายท่านสั่งมา ข้ารอไม่ได้ ต้องตามที่ท่านสั่ง" สังข์ว่า
"งั้นก็ให้คนอื่นไปบ้างสิ ลูกชายลุงเทิดล่ะ ไอ้ทูนมันก็ถึงเกณฑ์ไปได้" แฟงบอก
สังข์ ขาบตกใจที่แฟงพูดขึ้น สังข์ดุเสียงดัง
"ยุ่งน่ะ เฟื่องแฟง เป็นผู้หญิง ก็อยู่ส่วนผู้หญิง ไปหุงข้าวต้มแกงอยู่ก้นครัวโน้นไป"
"เรื่องก้นครัว พี่เฟื่องกับฉันไม่เคยบกพร่องอยู่แล้ว ว่าแต่พี่สังข์พี่ขาบเถอะ บกพร่องเรื่องของตัวหรือไม่ เห็นชาวบ้านเขาว่าวันก่อนขึ้นเรือนลุงเทิด หายไปนานสองนานแล้วไอ้ทูนก็รอดเกณฑ์ไม่ต้องไปเป็นทหาร ได้มาคนละกี่อัฐล่ะ"
ทุกคนมองสังข์กับขาบ
"เอ็งพูดอะไรนังแฟง "
ทัพถาม
"จริงหรือไอ้สังข์ มึงรับอัฐช่วยลูกน้าเทิดหรือ แต่กับกูมึงไม่เห็นใจ"
"มึงจะเชื่อลมปากนังแฟงมากกว่าเพื่อนหรือ นังแฟงมันใส่ความข้าช่วยเอ็ง"
"ถ้าฉันปด ขอให้ฟ้าผ่าฉันตายเสียตรงนี้"
ขาบถาม
"ฟ้าที่ไหนจะผ่ากลางวันแสกๆฮะ นังแฟง"
อยู่ๆเสียงฟ้าคำราม ลมฝนพัดมา ท้องฟ้าดำมืด สังข์กับขาบตกใจ
"สาบานสิ พี่สังข์ พี่ขาบ สาบานว่าพี่ไม่ได้เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อน" จวงบอก
เสียงฟ้าคำราม ลมพัดปลิว ชาวบ้านยังไม่หนีพากันมอง ทัพจ้องสังข์กับขาบ
สังข์จวนตัว กลัวตายเพราะคำสาบาน ชักดาบออกมา
"กู นายกองสังข์ ... มึงเป็นแค่ทหารปลายแถวใต้บังคับหลวง ต้องเชื่อฟังกู ไอ้ทัพ"
"มึงเป็นนายกองได้เพราะฝีมือ หรือ ฝีปากไอ้สังข์ กูเพิ่งรู้ว่าลิ้นมึงตวัดได้ยาวถึงหู เพียงเพราะน้าเทิดทำอัฐเล็กๆน้อยๆกระเด็น"
"หยุดะไอ้ทัพ มึงกำลังด่านายกองทหารกรุงศรี" ขาบบอก
"มึงกล้าใช้คำนี้หรือ รบที่นครสวรรค์มึงสองคนก็หนีหัวหด ทั้งๆที่สู้ได้"
ทัพไม่ตั้งตัว โดนสังข์ถีบกระเด็น พวกผู้หญิงตกใจ วี๊ดว๊าย ชาวบ้านเอะอะ สังข์ตามมาเตะซ้ำ ทัพกลิ้งไป แฟงหันไปมองหาไม้ฟืนท่อนใหญ่บนพื้นมาคว้าไม้
"ลุกขึ้นมา แล้วไปกับกูดีดี ไม่งั้นกูจะรายงานว่ามึงจงใจหนีทัพ"
"กูไม่ไป คนอย่างกูขอรับใช้นายที่ดีมีความยุติธรรม ไม่ใช่นายชั่ว รักตัวกลัวตายเห็นแก่อัฐ เห็นแก่ยศถาบรรดาศักดิ์ บ้านเมืองจะพินาศก็เพราะคนมีอำนาจสันดานเลวอย่างมึง"
"ไอ้ทัพ"
สังข์โมโหจะฟัน แฟงโยนไม้ไปทางทัพ
"พี่ทัพ"
ทัพหันไปคว้าไม้ที่แฟงโยนมาให้ สังข์ฟันลงมา ทัพเอาไม้รับ ไม้ขาดสองท่อน แต่ทัพม้วนตัวเอาท่อนที่เหลือในมือ โดดขึ้นฟาดลงกลางหลังสังข์ ขาบเข้ามา ทัพยกขาตั้งฉาก ถีบขาบกระเด็น
"ไอ้ทัพ มึง"
สังข์กับขาบเข้ามาลุย ทัพทั้งเตะถีบ เอาท่อนไม้รับดาบปกป้องตัว พวกผู้หญิงตกใจ แฟงเห็นขาบเข้ามาข้างหลัง
"พี่ทัพ ระวัง"
ทัพหันไป ขาบเอาดาบกระแทกหน้า ทัพเลือดกระฉูด สังข์จะเข้ามาฟัน แฟงปาฟืนโดนหัวสังข์ จนหงาย ล้มลงกับพื้น
ขาบหันไปทางแฟง เฟื่องเข้าขวาง
"จะเลวถึงขั้นทำร้ายผู้หญิงเชียวหรือ พี่ขาบ"
ขาบชะงักไม่กล้า เพราะเกรงใจเฟื่อง รีบหันไปพยุงสังข์ที่เลือดอาบหน้าเหมือนกัน
เฟื่องหันไปสั่งจวง
"พาพี่ทัพไป ... เร็ว จวง ไป"
จวงรีบเข้ามาประคองทัพออกไป เฟื่องกับแฟงมองกังวล
สังข์ถึงกับลุกไม่ขึ้น ขาบต้องคอยประคอง สังข์กุมหัวมองตามทัพ ตะโกนไล่หลัง
"ไอ้ทัพ กูจะตามจองล้างจองผลาญมึง กูจะจองเวรมึง มึงต้องไม่มีที่ซุกหัวบนแผ่นดินนี้"

จันทร์กอดลูกชายคนเดียวที่หัวเลือดอาบ จวงรีบเก็บข้าวสารใส่ห่ออยู่ด้านหลังเพื่อให้ทัพเป็นเสบียงยามหนี เสียงแม่สะอื้นไห้อย่างน่าเวทนา
"ทัพ เอ็งต้องเดือดร้อนเพราะแม่แท้ๆ รีบหนีไปซะ ไปซ่อนตัวในป่าก่อน"
"ฉันเป็นห่วงแม่ กับจวง"
"ไม่ต้องห่วงแม่ห่วงน้อง โทษครั้งนี้เอ็งถึงตาย ไปซะลูก ... รีบไป"
จวงเอาห่อผ้ามาให้พี่ชาย น้ำตาไหลพราก
"ข้าว เกลือ ปลาแห้ง ฉันเอาให้พี่ทั้งหมด .. พี่ทัพอย่าให้พี่สังข์ พี่ขาบมันจับพี่ได้"
"จวงดูแม่ด้วย พี่จะหายามาให้แม่"
"จ้ะพี่"
สามแม่ลูกกอดกัน ร้องไห้กับชะตากรรมที่ต้องแยกจากกัน ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
"รีบไปซะ ทัพ ไปหาหลวงพ่อเที่ยง ท่านต้องช่วยเอ็งได้ รีบไปก่อนไอ้สังข์ ไอ้ขาบ มันจะเอาทหารกรุงมาจับเอ็ง"
ทัพก้มลงกราบแม่แทบเท้า
"วันนึงความดีจะต้องพิสูจน์ว่าเอ็งไม่ผิด"
ทัพตัดใจลุกออกมา
"ทัพ ..ลูกแม่"
ทัพหันมามอง เสียงแม่ดังเสียดแทงใจ ภาพแม่และน้องสาวจดจำในสายตาทัพ
ทัพน้ำตากลบตามองภาพแม่กับน้องด้วยความทรมานใจ
พระเที่ยงมองทัพ ทุกคนฟังแล้วสงสาร ทัพเงยมองพ่อ
"ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ มันทำให้เราบ้านแตกสาแหรกขาด แล้วจะให้ฉันไปเป็นข้ารับใช้มันอีกหรือหลวงพ่อ"
เคลิ้มบอก
"ข้าล่ะเกลียดนัก ไอ้พวกเอายศเอาศักดิ์มารังแกกดหัวคนไทยกันเอง"
"เดี๋ยวนี้มันแบ่งก๊กใครก๊กมัน เสียจนไม่รู้จะอยู่ตรงกลางได้ยังไงแล้ว"
"ไหนจะพวกโจรที่ดักปล้นคนไทยกันเองตามในป่าอีก คนเดือดร้อน ก็ซ้ำเติมกันเอง" ช่วงว่า
พระเที่ยงบอก
"บ้านเมืองไม่ปกติ .. เพราะความโลภเป็นใหญ่ ทั้งๆที่สุดท้ายก็ต้องตาย เหลือแค่เถ้ากระดูกกองเดียวกันทุกคน พอพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนทรงผนวช ข้าจึงตั้งใจเอาร่มพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง ลาภ ยศ อัฐ ทั้งหลายมันคือสิ่งที่เราสมมติขึ้น แต่ยังมีบางคนยอมตายเพื่อมัน อนาถใจนักเอ็งแน่ใจนะว่าจะไม่อยู่ใต้บังคับหลวงอีกต่อไป"
"ฉันตัดสินใจแล้วจ้ะหลวงพ่อ พวกฉันจะสู้เยี่ยงโจร" ทัพบอก
ทัพมองพระเที่ยงผู้เป็นพ่อด้วยแววตามุ่งมั่น
"ฉันจะเป็นโจรที่ไม่หวังทรัพย์สินใดใด เพียงแค่อยากจะรักษาที่อยู่ที่กินของพ่อ ปกป้องเอาชีวิตสังเวยแม่พระธรณี พระแม่โพสพ ให้รู้ว่าคนไทยไม่มีวันยอมยกแผ่นดินให้ใครหน้าไหนมาแย่งเอาไปได้ง่ายๆ"
ทัพสีหน้าฮึกเหิมเช่นเดียวกับทุกคน

ยามเย็น ยอดตาลเอนไหวตามแรงลมกลางทุ่ง เฟื่องนั่งอยู่ใกล้ต้นตาล 5 ต้นที่ยืนต้นเรียงกัน สายตาทอดมองไปไกล สีหน้าเศร้าเมื่อคิดถึงคนรัก
แฟงวิ่งตะโกนมา
"มาแล้ว พี่เฟื่อง มาแล้ว"
"อะไรกัน แฟง ใครมา"
แฟงหอบ
"ที่บ้าน พี่ไปดูที่บ้าน"
เฟื่องตกใจ มองแฟงที่สีหน้าตื่นเต้น

ในกระท่อมเฟื่อง ฟักก้มลงกราบตักแม่ นางเฟี้ยมกอดลูก เฟื่องวิ่งเข้ามา
"พี่ฟัก"
เฟื่องเข้ามา ฟักยิ้มดีใจ แฟงเข้ามาคนสุดท้ายยืนหอบ
"พี่ฟักกลับบ้านแล้ว" แฟงบอก
"พี่เจ็บตรงไหนมั่ง อยากกินอะไร บอกฉันเลยนะพี่" เฟื่องว่า
"พี่ไม่เป็นไร สบายดี เอ็งล่ะ เฟื่อง"
"ถามฉันมั่งสิ พี่ฟัก"
แฟงแง่งอนลงมานั่งข้างพี่ชาย ฟักขยี้หัว แฟงยิ้ม
"ข้าก็เห็นเอ็งเป็นลิงเป็นค่างเหมือนเดิม"
"พี่ฟักนะพี่ฟัก รู้งี้นังแฟงไม่สวดมนต์ไหว้พระให้ทุกคืนเสียก็ดี"
ฟักยิ้ม เฟื่องมองแล้วถามขึ้น
"แล้วพี่ทัพล่ะจ้ะ พี่ทัพมาด้วยหรือเปล่า"
"พี่เฟื่องก็ห่วงแต่คนรัก พี่ทัพเค้าไม่ตายง่ายๆเสียหน่อย หนังหนายิ่งกว่านังดำ" แฟงบอก
เฟื่องตีเผียะลงแขนน้อง
"เจ็บนะพี่"
เฟี้ยมว่า
"ถ้าไม่หยุดทั้งสองคน ข้าจะเอาไม้หาบหวดให้หลังลาย"
สองพี่น้องหยุดทะเลาะกันทันที เฟื้ยมหันมาทางฟัก
"เจอทัพมันแล้วใช่มั้ย"
"เจอแล้วจ้ะ พี่ทัพบอกให้ฉันมาลาแม่"
"ลาแม่ ลาไปไหน ฟัก เอ็งจะลาแม่ไปไหน"

แฟงถามรัวเร็วอย่างเด็กอยากรู้

ทัพควบอ้ายเลามาหยุดหน้าบ้านที่ปิดเงียบ

"จวง แม่"
ภายในบ้าน จวงกับจันทร์ถูกมัดปาก มีทหาร 2 คนของสังข์ ยืนคุมพร้อมดาบในมือ
ทัพมองไปรอบๆ บรรยากาศเงียบผิดปกติ แล้วเห็นนายกองสังข์นำขาบกับลูกน้อง ดึงม้าออกมาจากที่ซ่อนรอบบ้าน ล้อมทัพไว้
ทัพมองเห็นตัวเองเสียเปรียบทุกทางเพราะตกอยู่กลางวงล้อมของทหารกรุงศรี
"วางดาบของเอ็งลงซะ ไอ้ทัพ แล้วข้าจะช่วยเอ็งในฐานะเพื่อน" สังข์บอก
"ข้าไม่เคยขอให้เพื่อนชั่วอย่างเอ็งมาช่วยข้าเลย ไอ้สังข์"
"หรือเอ็งอยากถูกกุดหัว"
"นายกองสังข์บอกคุณพระนายหมื่นศรีไปแล้วว่า เอ็งหนีทัพ มีใจเข้าข้างอังวะ" ขาบบอก
"เอ็งจะต้องโดนกุดหัวเสียบประจานในฐานะขบถ ไอ้ทัพ ทางเดียวที่เอ็งจะรอดคือยอมก้มกราบข้าขอชีวิต"
ทัพหันไปมองเห็นจวงกับแม่ถูกทหารพาออกมาจากในบ้าน
"จวง ... แม่"
"ยอมซะ ไอ้ทัพ ก้มกราบนายกองสังข์ซะ ข้าจะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเราไว้ชีวิต แม่กับจวง น้องสาวเอ็ง" ขาบว่า
ทัพมองแม่กับจวง จวงส่ายหน้า ทัพหันกลับมา เดินมาใกล้ สังข์ยิ้มลำพองคิดว่า ทัพจะก้มลงกราบ ชั่วเสี้ยวนาที ทัพกระชากสังข์ตกลงมาจากหลังม้า ทุกคนตกใจ
"นายกองสังข์"
ขาบกับทหารชักดาบ
แต่ช้ากว่าทัพที่ถีบสังข์ไปกลางลาน ทัพชักดาบขึ้นมา
"ถ้าเอ็งเห็นแก่ความเป็นเพื่อน ก็หยิบดาบออกมาฟันกับข้าให้ละเอียดอย่างลูกผู้ชาย ไอ้สังข์"
ทัพมองไปรอบๆ
"แล้วถ้าใครหน้าไหนคิดจะช่วยนาย รุมเข้ามา ... ข้าก็จะฟันให้พวกเอ็งแบกเศษศพนายกองสังข์กลับไปกันคนละชิ้น"
ขาบมองห้ามทหาร
สังข์ชักดาบ กระโจนเข้าฟัน ทัพสู้ เพื่อรักสองคนเข้าฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

เฟื่อง แฟง เฟี้ยมมองฟักที่เอ่ยบอก
"พี่ทัพไม่ยอมเป็นข้ารับใช้นายกองสันดานเห็นแก่ตนอย่างไอ้สังข์ พวกฉัน หมู่เคลิ้ม ไอ้เอิบ ไอ้ช่วง ที่แตกทัพกันมา ก็คิดจะตามพี่ทัพไปดักปล้นค่ายพม่า"
"แต่พี่จะกลายเป็นไพร่หนีเกณฑ์ไปด้วย"
"ตอนนี้จะทหารกรุง หรือ ทหารป่าอย่างพี่ ก็จับดาบฆ่าทหารทัพอังวะได้ไม่ต่างกันหรอก เฟื่อง"
"ไปเลย พี่ฟัก ไม่ต้องห่วงฉันจะดูแม่กับพี่เฟื่อง" แฟงบอก
เฟี้ยมปราม
"ชะ นังแฟง ให้มันเบาๆหน่อย"
"ฉันไม่กลัวหรอกแม่ ถ้าฉันเป็นชาย ฉันก็จะตามพี่ฟักไปฟันกับทหาร"
"แม่รีบเก็บข้าวของเถิด ฉันจะมารับแม่หนีขึ้นไปหลบภัยที่บ้านอากำนันพัน"
"อากำนันพัน พ่อเรือนที่กระทุ่มด่าน สุดแขวงวิเศษไชยชาญ" แฟงบอก
"ไกลโขอยู่นะ ฟัก"
"ไกลก็ต้องไปแล้วจ้ะ แม่ พี่ทัพจะพาน้าจันทร์กับจวงไปด้วย เราจะไม่ยอมให้ไอ้สังข์มันต้อนครัวไปกรุงศรี"
ฟักเสียงเข้มแข็ง มองทุกคนด้วยสายตาเตรียมพร้อม

ทัพฟันกับสังข์ ต่างคนต่างฝีดาบดีไม่มีใครยอมแพ้ จวงกับจันทร์มองเป็นห่วง
ขาบมองระวัง กลัวสังข์พลาด ทัพโดดฟันลงกดดาบเกือบถึงคอสังข์ สังข์คำรามใส่
"เอ็งฆ่าข้า เท่ากับฆ่าทหารกรุงศรี โทษหนักแค่ไหน เอ็งก็รู้นะ ไอ้ทัพ"
"ถ้าข้าจะฟันเอ็ง ก็เพราะความเลวของเอ็ง ทหารเลวก็เหมือนศัตรู เอามาแต่ความฉิบหายวายวอด ไม่ควรอยู่เป็นเสนียดแก่บ้านแก่เมือง"
ทัพกดดาบลงใกล้คอสังข์
จวง จันทร์มองหวาดเสียว ขาบพุ่งเข้าด้านหลังทัพ หวังช่วยสังข์ แต่ฟักพุ่งเข้ามา ถีบขาบที่กำลังจะฟันลงกลางหลังทัพ ขาบหันมาสู้ฟัก แฟงกับเฟื่องวิ่งมา ขึ้นไปจะช่วยจันทร์กับจวง ทหารไม่ยอม เฟื่องดึงแฟงที่ใจร้อนไว้ก่อน
ด้านล่างขาบฟันอยู่กับฟัก สังข์สู้กับทัพ ทหารตีวงล้อมเข้ามา ทัพจับสังข์ได้ก็เอาดาบจ่อคอย ทุกคนหยุด
แฟงกับเฟื่องรีบช่วยแก้มัดจันทร์กับจวง
"สัญญาสิไอ้สังข์ สัญญาอย่างลูกผู้ชาย"ทัพว่า
"กูไม่สัญญา"
ทัพกดดาบลงไป สังข์เสียวคมดาบจะปาดคอตัวเอง
"สัญญาต่อหน้าทุกคน"
สังข์มอง ทัพพูดใกล้
"เอ็งจะไม่แตะน้องข้า แม่ข้า ไม่แตะทุกคนในครัวเฟื่อง สัญญา"
"ถอยออกไปจากที่นี่"
สังข์สั่ง ทหารพากันถอย
"นายกองสังข์"
ทัพกดดาบใกล้ สังข์ตะโกน
"ถอยไป ไม่ต้องเอาตัวครัวนางจันทร์ นางเฟี้ยม"
"แต่ว่า" ขาบว่า
"ข้าสั่งให้กลับไป"
ทหารพากันถอยไปรอ ทัพพูดกับสังข์ให้ได้ยินสองคน
"อย่ามาที่นี่อีก เพราะคราหน้าคมดาบข้าจะดื่มเลือดเอ็ง คอเอ็งจะขาดกระเด็น เป็นผีอยู่ที่นี่ .. ไอ้เพื่อนรัก"
ทัพผลักสังข์ออกไป ขาบมารับ สังข์โมโห
"เอาไง นายกอง"
"กลับ"
สังข์ขึ้นม้า รีบออกไปไม่อยากทนอยู่ด้วยความอับอาย ขาบกับทหารพากันออกตามไป
ทัพมองตามด้วยสายตาเจ็บใจ

ในบ้านสามโก้ สไบช่วยโปะยา พันแผลให้กับชาวบ้านที่เจ็บจากการต่อสู้กับทหารทัพอังวะ ซึ่งนอนเรียงรายอยู่
อูจีกับทหารนั่งมองจากเรือนใหญ่ของแสง จิบเหล้าด้วยความสำราญ สายตาอูจีมองมาแต่สไบ
ดอกรักคุยเบาๆกับผู้ใหญ่แสง
"ให้ฉันลอบเข้าไปฆ่ามันเถอะ อาผู้ใหญ่"
"อย่า ดอกรัก ที่อายอมเพราะไม่อยากให้เสียเลือดเสียเนื้อกันอีก"
ดอกรักฮึดฮัด แสงเตือนอย่างรู้จักหลานดี
"อย่าใจร้อน ดอกรัก .. เรามีลูกเด็กเล็กแดงตั้งมาก ข้าไม่ได้อยากเป็นเชลย แต่เพื่อจะรักษาชีวิตลูกบ้าน ข้าก็ต้องยอม"
สไบเดินมาหาพ่อ
"ฉันจะไปตักน้ำที่ลำธารมาให้คนป่วยจ้ะ พ่อ"
"พี่ไปเป็นเพื่อน"
ดอกรักลุกขึ้นเดินประกบสไบด้วยความเป็นห่วง อูจีมองดอกรักกับสไบที่เดินไป อย่างไม่วางตา

บริเวณริมน้ำ สไบกำลังเอากระชุตักน้ำ ดอกรักช่วยอยู่ใกล้ๆ
"สไบ .. พี่จะพาสไบหนี"
"พ่อล่ะจ้ะ คนอื่นๆอีก"
"หรือสไบจะยอมเป็นเชลย"
"ฉันไม่อยากเป็นขี้ข้ามัน แต่ฉันก็จะไม่หนีไปคนเดียว"
ดอกรักสีหน้าขัดเคือง สไบหันมา สีหน้าตกใจ อูจีก้าวมาตรงหน้า ดอกรักไม่ทันระวัง โดนเตะ ถีบ เอาดาบฟาด จนดอกรักล้มลง
ทหาร 2 คนเข้าจับสไบ
"หยุดไอ้ชั่ว หยุด"
อูจีไม่ฟัง ชกดอกรักจนโงนเงน ดอกรักพุ่งเข้าหาแต่เจออูจีถีบเต็มแรงจนดอกรักหงายหลังตกลงไปกลางน้ำ
"พี่ดอกรัก พี่ดอกรัก"
สไบกรีดร้อง ร่างดอกรักลอยตามน้ำไปทันที
อูจีหัวเราะชอบใจที่คู่แค้นไม่รอด
"แกสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรพวกเรา"
อูจีหันไปสั่งทหาร
"ไม่ต้องพากลับหมู่บ้าน เอาตัวมันไปที่ค่าย"
อูจีเดินนำไป สไบกรีดร้อง
"อย่านะ อย่า ปล่อยฉัน .... ปล่อย"
ทหารลากสไบออกไปจากตรงนั้นอย่างเร็ว

ทัพสั่งจวง นางจันทร์นอนหลับอยู่ ไอเสียงแห้ง ฟัก แฟง เฟื่องนั่งอยู่อีกด้าน ทุกคนอยู่ในกระท่อมของทัพ
"พี่กับ ฟัก หมู่เคลิ้ม ไอ้เอิบ ไอ้ช่วงกับกองม้า 30 คน จะพาเราสองครัวไปกระทุ่มด่านคืนนี้"
เสียงนางจันทร์ไอแห้งๆขึ้นมา ทุกคนมองกังวล
"หัวรุ่งได้มั้ยพี่ทัพ ฉันกลัว เดินทางกลางคืน น้ำค้างลงหนัก แม่จะไม่ไหว"
ทัพสีหน้ากังวล เฟื่องพูดขึ้น
"ไอ้สังข์ ไอ้ขาบมันคงไม่กล้ามารังแกพวกเราแล้ว"
"วันนี้น่าจะตัดคอทิ้งเสีย พี่ทัพใจดีเกินไป" แฟงบอก
"ตัดคอทหารกรุง .. ไม่ใช่พี่ทัพตายคนเดียว พวกเราจะตายกันทั้งหมด" เฟื่องบอก
"ถ้ารู้ว่าจะโตมาหักหลังเพื่อน เสียแรงจะไม่ไหว้ให้เปลืองมือ"
"ใจเย็นก่อน แฟง เอ็งก็เอาแต่อารมณ์"
"จะว่าฉันเด็กอีกหรือพี่ทัพ"
"แฟง .. อย่ามาทะเลาะให้หนวกหู"ฟักปราม
แฟงหน้าง้ำพอโดนพี่ดุ ฟักหันไปทางทัพ
"หัวรุ่ง เราค่อยเดินทางกันเถอะพี่ทัพ คืนนี้เรากลับไปบอกพวกหมู่เคลิ้มที่วัดกันก่อน"
"เตรียมตัวให้พร้อมนะ จวง เฟื่อง แฟง พอรุ่งสางพวกพี่จะมารับ"
"หลวงพ่อจะไปกับเราด้วยมั้ยพี่"
จวงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล

พระเที่ยงกำลังสวดมนต์ ลงอาคมให้กับเครื่องรางของขลังตรงหน้า ทัพ ฟัก เคลิ้ม ช่วง อาบและอดีตทหารชาย 30 คน นั่งพนมมือไหว้อยู่ด้านหลัง
โบสถ์หลังเก่า จุดแสงเทียนสว่าง จนดูขลัง
พระเที่ยงกำลังลงเลขยันต์ให้กับชายชาตรีทุกคนเริ่มจากทัพ...
พระเที่ยงที่รดน้ำมนต์ให้ทุกคน
ชายฉกรรจ์ทุกคนนำโดยทัพ พนมมือ มองพระเที่ยงที่สีหน้าขรึมขลัง เอ่ยเสียงกังวาน
"ในเมื่อพวกเอ็งหมายจะรักษาแผ่นดินเกิดของปู่ย่าตายาย และจะเป็นแผ่นดินตายของลูกหลานเอ็ง นับแต่นี้ไป..ข้าก็ขอให้พวกเอ็งแคล้วคลาดจากคมหอกคมดาบ และกระสุนศัตรู ขอให้หัวใจที่แข็งแกร่งของพวกเอ็ง อย่าหวั่นไหวไปกับสิ่งชั่วที่จะเข้ามาทำลายแผ่นดินเกิด แผ่นดินที่พวกเอ็งและลูกหลานจะใช้ทำกินต่อไป"
ทัพและชายฉกรรจ์ทุกคนมองพระเที่ยงด้วยสายตามุ่งมั่นแน่วแน่
เอิบกับช่วง รีบคลานเข้ามากราบพระเที่ยงใกล้ๆประหงกๆ
"จะเอาของขลังอะไรเป็นพิเศษ ข้าไม่มีให้แล้ว"
เอิบว่า
"ข้าไม่มีอะไรจะขอดอก แต่ข้ากับไอ้ช่วงน้องชายยังไม่เคยบวชให้แม่เลย ข้าสองคนมัวแต่เที่ยวเล่นไม่เป็นโล้เป็นพาย"
ช่วงรีบพูดต่อ
"เสร็จศึกครั้งนี้จะขออาราธนาหลวงพ่อเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ แม่แกจะได้เห็นผ้าเหลืองของข้าสองคนเสียที"
"เออ...ดี ถ้าเสร็จศึกเมื่อไหร่ให้รีบกลับมา ข้าจะบวชให้...เอา เอานี่ไปท่องก่อน"
พระเที่ยงหยิบสมุดใบลานบทสวดเล่มเล็กๆ ส่งให้เอิบกับช่วง
"ยามว่างก็ท่องบทสวดไว้"
เอิบกับช่วงรีบกราบประหงกๆ แล้วคลานกลับมานั่งที่เดิม
"ขอให้เลือดให้เนื้อและหัวใจของพวกเอ็งที่สละแล้ว จงมีชัย ขับไล่ข้าศึกออกไปให้พ้นแผ่นดินเถิด"
แสงเทียนวับแวมส่องใบหน้าทุกคนในโบสถ์นั้น

สไบที่ถูกลากตัวเข้ามาในค่ายย่อยที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เธอเงยขึ้นมองเห็นดวงไฟจากคบที่ถูกจุดยาวสุดลูกหูลูกตา
ค่ายพม่ามีการสร้างค่ายอย่างแข็งแรง กำแพงก่ออิฐจากโบสถ์วิหารของวัดไทย สไบมองแล้วลุกวาบไปทั้งร่าง
ทหารพม่านับพันเต็มพื้นที่ เชลยไทยหลายคนถูกมัดมือ โยงลากกันไว้ที่มุมหนึ่ง สภาพทุกคนล้วนอิดโรย หิวโหย เนื้อตัวมีริ้วรอยถูกคมดาบฟัน แผลปริแตก หลายคนน้ำเหลืองไหล
อูจีเดินนำไปที่กระโจมที่พัก สไบถูกกระชากไป ตลอดทางทหารทัพอังวะจ้องมองเธอด้วยสายตาเป็นมัน แต่ทุกคนไม่กล้ามากกกว่านั้น เมื่อเห็นเธอมากับนายกองอูจี
สไบมองเชลยที่ถูกมัดโยงไว้ตามจุดต่าง ทหารทัพอังวะทุบตีผู้ชาย เธอน้ำตาไหลออกมากับสภาพอเนจอนาถของคนไทย เธอหวาดหวั่นกับชะตาชีวิตตัวเอง

แสงเทียนที่ส่องเห็นเงาหน้าของชายฉกรรจ์ที่พร้อมจะทวงคืนแผ่นดินแม่จากข้าศึก เสียงพระเที่ยงยังดังกังวาน
"ศึกครั้งนี้ พระเจ้ากรุงอังวะหมายยึดกรุงศรีอยุธยาให้ได้ .. หมายจะให้คนไทยต้องตกอยู่ภายใต้เศวตฉัตรของพระเจ้ามังระ"
"พวกฉันขอสาบานด้วยเลือดเนื้อ ไม่ว่าทหารอังวะกี่พันกี่หมื่นคน พวกฉันก็สละชีวิตแล้วที่จะสู้ พวกมันจะได้รู้ว่าคนไทยหวงแหนแผ่นดินแม่มากกว่าชีวิต มากกว่าลมหายใจตัวเอง ถึงจะเหลือไทยเพียงคนเดียว คนเดียวนั้นก็จะไม่ยอมให้มันย่ำยีแผ่นดินไทยได้"
เสียงเฮจากทุกคนที่ฮึกเหิมเหมือนเป็นสัจจะที่ให้ต่อหน้าพระปฏิมาว่า จะยอมสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดิน

อูจีมองสไบที่ถูกทหารโยนเข้ามาในที่พัก สไบถูกมัดมือไว้ อูจีเข้ามาเชยคาง สไบถุยน้ำลายใส่หน้า อูจีตบสไบกลิ้งไปกับพื้น แล้วตรงเข้าไปฉีกเสื้อ เธอกรีดร้องดัง
"อย่า"

เฟื่องกำลังห่มผ้าให้แม่ เสียงกระดานลั่นจากด้านนอกเรือน
"ฟักหรือเปล่า เฟื่อง"
"พี่ฟักบอกจะมาตอนหัวรุ่งนี่จ้ะ แม่"
เสียงประตูถูกผลักออกอย่างแรง
เฟื่องมองหน้าคนที่บุกเข้ามาด้วยความตกใจ

ฝ่ายแฟงหันหลังให้ตัวบ้าน กำลังสุมไฟไล่ยุงให้นังดำที่ร้องดังขึ้น แฟงยังเอาฟางสุมไฟ
"จะร้องทำไม นังดำ ข้ากำลังสุมไฟไล่ยุงให้อยู่นี่"
ดำร้องดังขึ้นอีก แฟงเอะใจหันไปมองทางตัวบ้าน แล้วตกใจ

"พี่เฟื่อง"
 
อ่านต่อหน้า 3

บางระจัน ตอนที่ 1 (ต่อ)

ในที่พัก สไบดิ้นรนจากอูจีที่กำลังก้มลงซุกไซร้

"ปล่อย"
อูจีเงยขึ้นมอง ตวาด
"อย่าดิ้น"
สไบได้โอกาส เขวี้ยงหมัดเข้าเบ้าตา อูจีร้อง
"โอ๊ย"
สไบยกขาทั้งสองยันถีบเต็มแรงจนอูจีกระเด็น พอเงยขึ้นจะตาม เจอสไบเอาไหเหล้าที่ตั้งอยู่
ฟาดเข้าหัว จนอูจีหงาย
สไบวิ่งไปจะออกด้านหน้า นึกได้ว่ามีทหาร
สไบมองหา เห็นดาบก็คว้าเอากรีดกระโจมด้านหลัง พุ่งออกไปทันที
อูจีเงยขึ้นมาโงนเงน ร้องสั่งทหาร
"มันหนีไปแล้ว จับมัน"

เฟื่องกับเฟี้ยมโดนทหารลากออกจากบ้าน แฟงวิ่งเข้ามา เฟื่องหันไปเห็นน้องก็ส่ายหน้า ว่าอย่าเข้ามา ขาบออกมาคนหลังสุด
"แฟงหายไปไหน"
เฟื่องรีบหันมาตอบทันที ตะโกนดังอย่างจงใจให้แฟงได้ยิน
"แฟงไม่อยู่ แฟงไปนอนบ้านลุงเปี่ยม"
แฟงชะงัก ได้ยินเสียงเฟื่องตั้งใจตะโกนก็หลบหลังพุ่มไม้มอง
"ปล่อยฉันเถอะ พี่ขาบ เราไม่มีเรื่องผิดใจ อย่าหักหาญกันอย่างนี้"
ขาบมองแล้วเอ่ยบอก สีหน้าขาบเองก็อึดอัดที่ต้องทำ
"พี่ต้องทำนะเฟื่อง นายกองสังข์สั่ง พี่มันผู้น้อย ไม่ทำก็จะเดือดร้อนกันยิ่งกว่านี้ อย่าดิ้นเลย พี่จะไม่ให้เอ็งเจ็บ"
ขาบหันไปสั่งทหารลูกน้อง
ขาบสั่ง "มัดปาก"
ทหารมัดปาก 2 คนแม่ลูกอย่างเร็ว
"ยกโทษให้พี่ด้วยเถิด เฟื่อง"
ขาบเอาเฟื่องขึ้นม้า นางเฟี้ยมถูกพาขึ้นม้าของทหารอีกคน ขาบควบม้าออกไปกับทหารอย่างเร็ว
เฟื่องที่อยู่บนหลังม้า เหลียวมามองน้องด้วยสายตาฝากความหวัง
แฟงที่ยืนหลบมองในความมืด
"พี่เฟื่อง...แม่... ไม่ต้องกลัว พวกมันเอาตัวแม่กับพี่เฟื่องไปได้ไม่เกินทุ่งคำหยาด"
แฟงหันหลังวิ่งเร็วออกไปทันที เพื่อไปตามทัพกับฟักพี่ชายมาช่วย

สไบถือดาบวิ่งเร็วฝ่าความมืดข้ามา ด้านหลังทหารอังวะไล่ตามเธอมา สไบตัดสินใจเลี้ยวหลบไปทางที่มืดสนิทเพื่อพรางตัว สไบวิ่งเร็วขึ้นๆ จนมองไม่เห็นทหารตามหลัง ก็หยุดมองเห็นเป็นที่เลี้ยงม้าด้านหลังค่าย ผู้ชายกลุ่มหนึ่งโผล่มาขวาง เธอตกใจ ... เชลยไทยหลายคนที่ถูกมัดมือ รวมกลุ่มกันอยู่
เชลยคนหนึ่งท่าทางอ่อนล้า แต่แววตาเด็ดเดี่ยว เนื้อตัวมีแต่รอยเลือดและรอยแผลถูกฟัน
เชลย 1 ถามสไบ
"หนีทหารมาหรือ"
"ใช่ พวกมันปล้นบ้านฉัน จับฉันมา"
สไบเอาดาบตัดเชือกให้เชลย ทุกคนดีใจ
"หนีเร็วพี่"
"พี่ขอดาบเจ้าเถิด"
สไบมองงง ชายชาวบ้านท่าทางเด็ดเดี่ยวเอ่ยบอก
"ทัพอังวะปล้น ฆ่า เผาหมู่บ้านพี่จนราบ ขอดาบที่เจ้าถือ เอาไปฟันพวกมันให้หายแค้น หนีไป ถึงรอดก็คงตายตาไม่หลับ"
"พวกมันมีหลายคน"
"ดีสิ น้องสาว เรามีน้อยแต่ทำให้พวกมันตายได้มากกว่า ก็ไม่เสียชาติเกิด"
เชลย 2 บอก
"น้องสาวรีบหนีไป ลัดป่าขึ้นไปทางเหนือ อย่าเลาะลงไปตามน้ำ พวกมันจะจับได้"
สไบมอง เชลยทั้ง 5 สีหน้าตัดสินใจแล้ว สไบยื่นดาบให้
"ฝากพี่ชำระแค้นแทนพ่อแม่พี่น้องไทยที่ถูกเข่นฆ่า ฉันจะกลับไปบอกพ่อว่าทหารอังวะมีมากมายสุดลูกหูลูกตา เราต้องรวบรวมคน ไล่มันออกไป"
เชลย 1รับดาบมา
เสียงทหารอังวะ ดังมา เชลย 1 เร่งสไบ
"รีบไป"
สไบวิ่งถอยออกมา หลบมอง เชลยชายชาวบ้านทั้งหมดหลบเข้าไป พอทหารอังวะวิ่งมา
เชลย 1 ใช้ดาบพุ่งเข้าฟัน จนทหารอังวะคอขาดกระเด็น
เชลยที่เหลือพุ่งออกมาเข้าถีบเตะต่อย แย่งดาบ ฟัน ทหารอังวะ
สไบมองเห็นเชลยชาย 2 ที่ถูกทหารอังวะ 2 คน รุมฟันจนล้มลง ชายชาวบ้านที่เหลือเข้าช่วย
สไบตัดสินใจวิ่งไปจากตรงนั้นอย่างเร็ว
ทหารอังวะตายไป 8 เหลือแค่ 2 คนที่ไล่ตามหลังสไบไวไวในความมืด

แฟงที่วิ่งลัดเลาะตัดทุ่งมาอย่างเร็ว เพื่อมาหาฟัก ความมืดทำให้แฟงสะดุดล้ม แฟงเงยมองเหนือกิ่งไม้ เห็นหลังคาโบสถ์เก่า
"พี่ฟัก พี่ทัพ"
แฟงจะลุกขึ้น เห็นเงาดำของชายฉกรรจ์ ร่างกายกำยำล้อมเข้ามารอบตัว แฟงตกใจ

สไบวิ่งเร็วเข้ามาจนมองเห็นแม่น้ำ ทหารอังวะ 1 คนตามมาดักหน้า ทหารบีบเข้าหาสไบ ชักดาบในมือ หน้าตาเหี้ยมเกรียม
ทหาร1บอก
"ฆ่า มัน"
ทหาร 2 บอก
"เสียดาย"
"ฟันขา จะได้ไม่วิ่งหนีอีก" ทหาร 1 บอก
ทหารทั้งสองย่างเข้าหา
สไบฟังภาษาอังวะไม่ออก แต่เห็นจากสีหน้ากับดาบในมือทหารอังวะก็รู้ว่าคงจะไม่ปรานี สไบจะพุ่งหนี แต่ทหารกระชากตัวได้ ผลักลงไป อีกคนเงื้อดาบจะแทงลงที่ขาสไบ
จังหวะนั้น พรานใจโผล่เข้ามา โดดสูงฟันศอกลงกลางกระหม่อมทหาร 1 สไบคลานหนี ทหาร 2 จับสไบล็อกคอเป็นตัวประกัน
สไบพอเห็นพรานใจก็บอก
"พี่ใจ หนีไป"
พรานใจไม่ถอย เดินเข้าหา จ้องหน้า ทหารอังวะเห็นพรานใจท่าทางเอาจริง ก็รัดคอสไบแน่น
กำลังจะกดดาบ พรานใจวัดใจ พุ่งเข้าหา ทหารตกใจที่พรานใจกล้าพุ่งมา
ทหารจะฟัน พรานใจคว้ามีดสั้นข้างตัวปาออกไป มีดสั้นนั้นผ่านหน้าสไบเฉียดฉิว พุ่งเข้าปักคอทหารล้มลงขาดใจตาย
สไบที่ทั้งตกใจ ล้มร่วงลงกับพื้น
"พี่ใจ ..ช่วย .. ฉันอีกแล้ว"
สไบเห็นพรานใจเลือนรางแล้วดับวูบไป พรานใจเข้ามาช้อนร่างที่หมดสติได้ทัน
"สไบ สไบ"

พรานใจประคองกอดร่างสไบที่หมดสติไว้ด้วยความเป็นห่วง

แฟงตัวสั่นมองเงากลุ่มชายฉกรรจ์ที่เข้ามาใกล้ เธอควานมือหาบนพื้น กำหินก้อนใหญ่ไว้ในมือ

แฟงเอาหินทุบไปข้างหน้าสุดแรง โดนหัวเอิบ
"โอ๊ย"
แฟงได้ยินเสียงเป็นคนไทย มองเห็นหน้าเอิบชัดๆ หมู่เคลิ้มกับพวกเข้ามาดู
"ผู้หญิงบ้านไหน"
แฟงรีบลุกขึ้นยืนประจันหน้าทุกคน
"ฉันแฟง น้องพี่ฟัก"
"เอ้า คนกันเอง"ช่วงบอก
"กันเอง แต่เล่นซะหัวปูด .. มือหนักจริง น้องสาว" เอิบบอก
"แห่กันมาเงียบๆ ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่ามาดีมาร้าย"
"โห...มือว่าหนักแล้ว ปากยังกล้าดี"
แฟงมองไปที่หมู่เคลิ้ม
"ฉันมาหาพี่ฟัก มีเรื่องด่วน พี่ฟักอยู่ในโบสถ์ใช่มั้ย"
"ฟักไม่ได้อยู่ในโบสถ์" เคลิ้มบอก
"พวกพี่อย่ามาโกหก พี่ฟักบอกฉันว่าซ่อนอยู่ที่นี่กับพี่ทัพ ถ้าพวกพี่ไม่เชื่อใจ คิดว่าฉันเป็นพวกหลวงอย่างไอ้ขาบไอ้สังข์ ก็รีบเอาตัวฉันไปสาบานต่อหน้าพระ แล้วปล่อยตัวฉัน ฉันต้องเจอพี่ฟักตอนนี้"
ผู้ชายทุกคนเงียบอึ้ง ได้แต่ฟังแฟงที่พูดเร็ว ไม่ยอมมีช่องว่างให้ใครจะเถียงได้
"พูดเร็วยิ่งกว่าพายุเสียอีก" เอิบบอก
"เปิดทางให้ฉันเข้าไป"
"ใจเย็นก่อนน้องสาว ฟังพี่"
"ฉันยืนฟังมานานแล้ว พวกพี่ก็เหมือนกัน จะขวางไว้ทำไม ฉันบอกว่า ฉันมาหาพี่ฟัก"
"ไอ้ฟักไม่ได้อยู่ที่นี่" เคลิ้มบอก
"แล้วอยู่ที่ไหน พวกพี่อย่ามาอมพะนำ ธุระของฉันสำคัญ ถึงคอขาดบาดตาย"
แฟงสีหน้าโมโห ดุเอาเรื่องเมื่อยังไม่ได้เจอพี่ชายสักที

ทัพหยุดม้าลงหน้าเรือน ฟักดึงให้หยุดตาม แล้วมองเห็นหม้อไหที่ตกแตกกระจายหน้าบ้าน ก็สังหรณ์ใจ
สองคนลงจากม้า วิ่งมาดูในบ้าน เห็นสภาพบ้านที่ข้าวของล้มระเนระนาด ไม่มีคน
"แม่ข้ากับจวง"
ทัพหันมาฟักที่สีหน้าไม่ดี
"แล้วแม่กับน้องข้าละ"
สองคนสีหน้าเครียด

ขบวนกวาดต้อนคนไทยจำนวนหนึ่งราว 50 คนเข้ากรุงเพื่อไปเป็นไพร่รบกับทหารอังวะ และเป็นกำบังให้กรุงศรี สังข์กับขาบอยู่บนม้านำขบวน ด้านหลังคือเกวียนเทียมวัวที่มีเฟื่องและจวง พร้อมแม่ของทั้งคนคือจันทร์กับเฟี้ยมนั่งกันคอพับคออ่อน ทุกคนถูกมัดมือไว้แน่นหนา
ถัดไปคือขบวนเกวียนของชาวบ้าน มีทหารคอยขนาบข้างราว 20 คน คุมเป็นแนวยาวไปทั้งขบวน
สังข์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คอยหันไปมองในเกวียน จวงที่นั่งด้านหน้ากับเฟื่อง มองกลับมายังสังข์กับขาบด้วยสายตาเกลียดชัง แต่สังข์ไม่สนใจ ตรงขามกับขาบที่สีหน้ากังวล
"ไอ้ทัพต้องตามเรามาแน่ๆ" ขาบว่า
"ต่อให้ติดปีก ก็ตามไม่ทันหรอก กว่ามันจะรู้ตัว พวกเราก็เลยบ้านพรานไปแล้ว"
สังข์ตอบด้วยความมั่นใจเต็มที่ หันไปมองเกวียนที่มีเฟื่องกับจวงด้วยความลำพองใจว่าตัวเองเอาคืนทัพได้อย่างสาสม

ทัพวิ่งเข้ามาในโบสถ์ ฟักตามหลัง เห็นหมู่เคลิ้มกับพวกที่ยืนบ้าง นั่งบ้างอย่างเป็นห่วง รออยู่
ทัพรีบเข้าไปหาพระเที่ยงที่อยู่ด้านหน้าพระประธาน
"แม่กับจวงหายไป...หลวงพ่อ"
"พวกมันเหมือนหมาลอบกัด"
ทัพหันไป มองเห็นแฟงก้าวออกมาจากกลุ่มหมู่เคลิ้ม
"แฟง"
" เอ็งไม่ได้ถูกพวกมันจับไปด้วย"
แฟงก้าวเข้ามาหาทัพกับฟัก
"ฉันเห็นตอนไอ้ขาบมันเข้าบุกเข้ามาจับพี่เฟื่องกับแม่ ฉันจะไปช่วยแต่พี่เฟื่องยอมโดนจับไปคนเดียว ทิ้งให้ฉันมาบอกพวกพี่"
"ข้าจะไปตามพวกเรากลับมา"
ทัพกำลังจะออกไป หมู่เคลิ้มถามขึ้น
"แล้วที่เราจะไปกระทุ่มด่านล่ะ พี่ทัพ"
ทัพนิ่งอั้นไป มองเห็นสายตาทุกคนที่เตรียมการไว้แล้ว
"พวกไอ้สังข์ ไอ้ขาบมันลงไปกรุงศรี แต่เราจะขึ้นเหนือ" ช่วงว่า
แฟงมองทัพที่กำลังตัดสินใจ
"พี่ทัพ พี่เฟื่องรอพี่ไปช่วยอยู่นะ"
ทัพยังไม่ทันตอบ เฟื่องตะบึงตะบอน คิดไปเองว่าทัพจะไม่ช่วยพี่สาว
"ทำไมถึงไม่บอกว่าจะไปช่วยพี่เฟื่อง ทำไมต้องคิดล่ะ พี่ทัพ พี่เฟื่องเค้ารอให้พี่ไปช่วยอยู่ทุกนาที หรือพี่กลัวคมดาบไอ้สังข์ ไอ้ขาบ ถึงไม่ตัดสินใจ"
"แฟง ฟังก่อน"
"ไม่ฟังแล้ว รู้หรือเปล่าฉันมุ่งมาหาพี่ หวังว่าพี่จะมุ่งไปช่วยพี่สาวกับแม่ฉัน ไม่ใช่มายืนคิดลังเล เสียแรง ฉันรอพี่มา พี่ฟักก็เหมือนกัน ..จะมัวยืนบื้อใบ้รอให้คนเก่งแต่ปากอย่างพี่ทัพนำอยู่ได้ ฉันไปช่วยพี่เฟื่องเอง ... ฉันไปเอง"
แฟงวิ่งเร็วพรวดพราดออกไปด้วยความน้อยใจ ฟักมองทัพ
"ฉันไปคุยกับนังแฟงเอง" ฟักบอก
"ไม่ต้อง เด็กอย่างนังแฟงมันต้องโดนข้ากำราบ"
ทัพวิ่งตามออกไปอย่างเร็ว ฟักกับทุกคนมองอย่างไม่รู้จะออกหัวออกก้อย

แฟงวิ่งเร็วออกมายังด้านนอกโบสถ์เก่า ทัพตามมาด้านหลัง
"แฟง หยุด"
แฟงไม่ยอมวิ่งเร็วขึ้น ทัพวิ่งตามมากระชากแขน แฟงไม่ยอม ดิ้น ทัพรวบตัวไว้ แฟงกัดแขน ทัพเจ็บแต่ทน
"พอใจเอ็งหรือยัง"
แฟงสะบัดตัวออกห่างทัพที่มองด้วยสายตาเข้มๆ
"ยังไม่สาแก่ฉันสักนิด"
"งั้นเอ็งก็เอาดาบฟันข้าซะ จะได้ไม่ต้องมีคนไปช่วยเฟื่องกับจวง"
"พี่อย่ามาท้าฉัน"
"ข้าไม่ได้ท้า แฟง ข้าต้องไปช่วยอยู่แล้ว แต่ความใจร้อน เจ้าแง่แสนงอนของเอ็ง จะทำให้ทุกอย่างพัง"
"พังยังไง ฉันสู้วิ่งบุกป่าฝ่าดงมาบอก แทนที่จะเห็นพี่ควบอ้ายเลาออกไป พี่กลับมาคิดว่าจะไปกระทุ่มด่านหรือจะไปช่วยพี่แฟง ทุกเวลาที่พี่หยุดคิด มันหมายถึงชีวิตพี่เฟื่อง จวงกับแม่ของเรา"
"แล้วเอ็งรู้หรือไม่ เวลาที่หยุดคิด ข้าคิดถึงชีวิตใครอีกบ้าง"
ทัพมองจ้องแฟงที่เถียงไม่ออก
"ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงเฟื่อง จวง กับแม่ทั้งสอง สำหรับพี่ เสียเฟื่องก็เหมือนเสียชีวิต"
แฟงมองทัพที่เอ่ยออกมาด้วยแววตาจริงจัง ตรงกับคำที่พูด
"แต่พี่กับหมู่เคลิ้ม แล้วก็สมัครพรรคพวกทุกคนที่เอ็งเห็น วางแผนไว้แล้วพวกว่า เราจะไปกระทุ่มด่าน ระหว่างทาง เจอค่ายทหารอังวะที่ใด เราจะปล้นค่ายศัตรู ฆ่าพวกมันตัดกำลังให้สิ้น ทางไปกรุงศรีกับกระทุ่มด่านมันคนละทาง"
ทัพมองแฟง อธิบายด้วยเสียงเข้ม จริงจัง อย่างคนเป็นผู้ใหญ่กว่า
"เฟื่องเป็นหัวใจของพี่ แต่พวกหมู่เคลิ้มก็เป็นมิตรที่จะร่วมเป็นร่วมตายกัน จะไม่ให้พี่หยุดคิดสักนาทีเลยหรือ ว่าควรทำยังไงถึงจะรักษายอดดวงใจไว้ได้ แล้วก็ไม่เสียมวลมิตรไปด้วย"
"รีบคิดเถอะพี่ทัพ ฉันกลัวเราจะตามไอ้สังข์ ไอ้ขาบไม่ทัน"
แฟงเสียงอ่อนลงอย่างเข้าใจ ทัพนิ่งคิดแล้วมองแฟง
"แฟง เอ็งต้องทำตามที่พี่บอก อย่าเพิ่งขัดขืน อย่าเพิ่งคิดว่าพี่ไม่รักไม่ห่วงเฟื่อง ขอให้รู้ หัวใจพี่อยู่กับเฟื่องทุกเวลา เอ็งต้องไปกับฟักกับพวกหมู่เคลิ้ม ไปรอพี่ที่กระทุ่มด่าน พี่จะไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่าเอ็งจะไม่ปลอดภัย พี่สาบาน พี่จะเอาตัวเฟื่องกับจวงและแม่ของพวกเรากลับมาให้ได้"

ทัพสีหน้าแน่วแน่ จนแฟงต้องยอมอ่อนลง เชื่อฟัง

ขบวนของสังข์และขาบเดินทางเป็นขบวนยาว ในเกวียน เฟื่องกับจวงมองกัน นางเฟี้ยมกับนางจันทร์นอนพิง เกวียนเทียมวัวที่ขโยกเขยก หญิงชราสองคนท่าทางอ่อนล้า

เฟื่องหันไปปรึกษากับจวง
"ถ้าเราถ่วงเวลาพวกมัน พี่ทัพต้องตามมาทัน" เฟื่องว่า
"รีบเถอะ พี่เฟื่อง แม่อาการไม่ดีเลย" จวงว่า
เฟื่องทำท่าคิด ก่อนจะยื่นหน้าไปตะโกน
"พี่ขาบ"
ขาบหันมามองทันที สังข์มองตาม ขาบดึงม้ามาที่ข้างเกวียน
"มีอะไร เฟื่อง"
"นี่จะเดินทางไม่พักกันเลยหรือ แม่ฉันหิวหมากเหลือเกินแล้ว"
ขาบมองไป สังข์ดึงม้ามาอีกด้าน
"มีอะไร"
จวงโผล่หน้ามา สังข์มอง
"แม่ฉันไอไม่หยุด คงสะเทือนเพราะเดินทางตั้งแต่ยังไม่สว่าง"
ขาบมองสังข์ ไม่กล้าตัดสินใจเอง
"พักสักหน่อยมั้ยนายกอง จากนี้ไป ทางก็ไม่ลำบาก คงถึงกองด่านตามที่กะไว้"
สังข์มองจวง จวงแสร้งทำหน้าเศร้าๆ
"สงสารแม่ฉันเถิด แกกำลังเป็นไข้"
"พักกินน้ำกินท่ากันก่อน" สังข์บอก
ขาบตะโกนบอกทหาร
"พัก"
ทหารหยุดม้า กองเกวียนหยุด เฟื่องทำพูดขึ้น
"นี่คงจะมัดมือฉันจนถึงกรุงศรี"
สังข์หันไปสั่งขาบ
"แก้มัด"
ขาบท่าทีลังเล สังข์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
"คิดจะหนี ก็ไปไม่เกินทุ่งนี้หรอก เจอทัพอังวะจับไป สวยๆอย่างนี้คงพาไปไม่ถึงค่ายใหญ่ เห็นมานักต่อนัก นอนเป็นผีริมป่า เสื้อผ้าถูกฉีกทึ้ง ไม่มีติดตัวสักชิ้น"
สังข์ขู่ทั้งรอยยิ้ม เฟื่องกับจวงฟังแล้วกลัว
ขาบเอามีดตัดเชือกให้ เฟื่องกับจวงรีบเข้าไปประคองแม่
ขาบดึงม้ามาใกล้สังข์
"ฉันจะเฝ้าไว้"
"อย่าให้หลุดมือไปได้ ข้าล่ะอยากจะกอดนังจวงนัก กอดแน่นๆให้ไอ้ทัพ เพื่อนรักข้ามันกระอักเลือด"
ขาบกับสังข์มองไป เฟื่องกับจวงหันมาเห็นสายตาสองคนก็รีบหลบตาด้วยความกลัว

ที่โบสถ์เก่า ทัพถือดาบยืนอยู่หน้าชายฉกรรจ์ทั้งหมด พระเที่ยงมองอยู่ด้านหน้าพระประธาน
ด้านหลังคือแฟงที่มองทัพด้วยสีหน้าชื่นชมในความองอาจ
"พี่น้องทุกคนจงฟัง ข้าชื่อไอ้ทัพ คนบ้านคำหยาด"
ทุกคนสีหน้าเห็น ทัพกวาดตามองทุกคนด้วยความฮึกเหิม
"ตอนนี้ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นหัวอกอันหนึ่งอันเดียว และจะร่วมทำการกันต่อไป พวกเอ็งเลือกข้าเป็นหัวหน้า ข้าก็จะขอร่วมตายทุกมื้อ แผลเดียวของน้องข้าคนหนึ่งคนใดที่ถูกฟันจากมืออื่น แผลนั้นจะเสมือนเป็นแผลข้าถูกฟันเหมือนกัน"
ฟัก เคลิ้มและทุกคนมองทัพด้วยสายตานับถือ
"ฟังเถอะน้องข้าทุกคน ข้าขอประกาศว่าเราเป็นกองโจรแต่เดี๋ยวนี้ โจรที่จะหาใส่ปากใส่ท้องชั่วมื้อหนึ่ง โจรที่จะปล้นกองทัพศัตรูที่มารุกรานบ้านเกิด ไม่ใช่โจรที่จะปล้นเพื่อนไทยด้วยกันเอง เมื่อใครไม่เห็นงาม เมื่อน้องข้าคนหนึ่งคนใดไม่เห็นชอบ หรือว่าน้องคนไรยังไม่เชื่อฝีมือ ก็ฟันข้าเสียเถอะ"
ทัพเอ่ยให้ทุกคนทบทวน ฟักพูดขึ้นคนแรก
"ข้าเชื่อ ข้าจะขอตามพี่ทัพไปตายทุกแห่ง"
ทุกคนบอก
"ข้าจะขอตามพี่ทัพไปตายทุกแห่ง"
ทุกคนชูดาบพูดขึ้น ร้องเสียงก้องดัง ทัพยิ้ม มองทุกคนอย่างเพื่อนตาย พระเที่ยงมองด้วยสายตาสงบ อย่างเป็นกำลังใจ แฟงยิ้มหน้าชื่น มองทัพด้วยสายตาศรัทธาเชื่อมั่นจากใจทั้งหมด

ขบวนเกวียนชาวบ้านที่พักอยู่ริมทาง เฟื่องกับจวงกำลังดูแลแม่ ขาบเอาหมากพลูที่เจียนแล้ว ยื่นส่งให้เฟื่อง
"รับไปเถอะ น้าเฟี้ยมคงหิวหมากเต็มที ตอนออกมาก็ไม่ได้หยิบอะไรติดตัวมาด้วย"
"จะให้หยิบคว้าอะไร ถูกโจรขู่เข็ญพาตัวมา"
"พี่รู้ว่าเอ็งไม่เต็มใจ แต่อีกไม่นานทัพอังวะก็จะถึงบ้านคำหยาด อยู่ไปก็ตายเปล่า"
"ฉันก็ยังดีใจ ได้ตายกับคนรัก"
เฟื่องมองขาบด้วยสายตาแน่วแน่ในความรักที่มีต่อทัพ จนขาบกำดาบแน่น จวงเห็นไม่ดีก็รีบพูดขึ้น
"พี่ขาบ เราต้องไปอีกไกลแค่ไหน"
ขาบปลดมือจากดาบหันไปมองสังข์ที่เดินเข้ามา
"เหนื่อยนักก็ไปนั่งม้าพี่สิ จวง นั่งสบายๆ มีอกอุ่นๆของพี่ให้พิง"
สังข์กะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามา
"ฉันกับพี่เฟื่องเต็มใจนั่งเกวียน"
"คงคิดว่าไอ้ทัพจะมาช่วยไว้ทัน" สังข์บอก
สองสาวเงียบ ไม่ยอมให้สังข์กับขาบล่วงรู้ความในใจ
"ป่านนี้ยังไม่เห็นหัว ... มันจะกล้าตามมาตะลุยกับทหารกรุงศรีก็เอา แล้วอย่าหาว่าพี่ใจร้าย"
เฟื่องบอก
"พี่กับพี่ทัพเป็นเกลอรักกันมา ทำไมถึงต้องมาฟาดฟันกันให้ตายไปข้างด้วยเรื่องผู้หญิงอย่างฉัน"
"เอ็งเข้าใจผิดแล้วเฟื่อง .. ไม่ใช่เรื่องเอ็งที่ทำให้ข้ากับไอ้ทัพผิดใจกัน ผู้หญิงคนเดียวทำให้เพื่อนแตกกันไม่ได้ ไอ้ทัพมันโง่ ไม่ยอมก้มหัวให้กับเจ้านายถึงไม่มีความเจริญก้าวหน้า พี่ชายเอ็งมันต้องเป็นโจรเพราะสัตย์ซื่อเกินไป" สังข์บอก

ทัพขึ้นม้า มองไปที่คนอื่นๆที่เตรียมพร้อมบนหลังม้าแล้ว พระเที่ยงยืนมองจากหน้าโบสถ์ แฟงก็อยู่บนหลังม้าอีกตัว ใกล้ๆฟัก
"แยกกันเดินทาง แล้วข้าจะตามไปสมทบให้เร็วที่สุด ระวังตัวกันให้ดี"
"รีบไปเถอะพี่ทัพ ฉันรู้ว่าพี่ต้องมาทันพวกเรา" เคลิ้มบอก
"พาน้องสาวคนสวยกลับมาให้ได้นะพี่" ช่วงบอก
ทัพยิ้มไม่ถือสาเมื่อเห็นรอยยิ้มขี้เล่นของช่วง หันไปทางฟัก
"ไม่ต้องห่วง ฟัก พี่จะพาเฟื่องกับน้าเฟี้ยมกลับมาหาเอ็ง"
"พี่ทัพน่าจะให้ฉันไปด้วย" ฟักบอก
"เอ็งต้องคอยช่วยหมู่เคลิ้ม เจ้าเอิบ เจ้าช่วง เผื่อเจอทัพอังวะกลางทาง ลำพังไอ้สังข์ ไอ้ขาบ พี่คงไม่ฆ่าให้ตาย .. แต่จะสั่งสอนให้มันรู้ว่า อย่าเอาอำนาจเอายศมากดหัวคนอื่น ดาบของเรามีไว้ฆ่าศัตรู ไม่ใช่หันคมเข้าหาคนไทยด้วยกันเอง"
"จ้ะ พี่ทัพ ... พวกเราจะไปรอพี่ที่กระทุ่มด่าน"
แฟงยิ้มให้ ทัพมองทุกคนที่แววตาเชื่อมั่น ดึงอ้ายเลาแล้วกระตุกเชือก
"ห้อ"
อ้ายเลาม้าคู่ใจพุ่งทะยานออกไป ทุกคนมองเห็นทัพที่ควบอ้ายเลาออกไปอย่างเร็ว แฟงมองตามด้วยสายตาชื่นชมบูชา และฝากความหวังไว้เต็มเปี่ยม

เฟื่องกับจวงมองสังข์กับขาบด้วยสายตาหมิ่น
"พี่ทัพต้องมาช่วยเราจากคนเห็นแก่ตัวอย่างพี่"
"มันมา มันก็ตาย"
"เสียแรงฉันเคยนับถือพี่ คนบ้านคำหยาดเหมือนกัน คนไทยใต้พระบรมโพธิสมภารเหมือนกัน แต่ให้ความโลภมาแบ่งแยกเรา ศัตรูอยู่ถึงหน้าบ้านแล้ว ยังไม่รักไม่สามัคคีกัน ก็เท่ากับว่าพวกเราเองนั่นแหละที่ยกแผ่นดินให้ศัตรู" เฟื่องบอก
สังข์กับขาบนิ่งอั้น สังข์สีหน้าไม่ยอมรับมากกว่า
"ปิดปากของเอ็งให้สนิท เฟื่อง ด้วยบุญญาธิการของพระเจ้าแผ่นดิน กรุงศรีจะไม่มีวันอยู่ใต้ร่มเงาอังวะ ไป เดินทางต่อได้แล้ว"
ขาบกำลังจะสั่งทหาร จวงกับเฟื่องสบตากัน จวงแกล้งทำเป็นตัวงอ
"โอย"
"จวง จวงเป็นอะไร" เฟื่องถาม
"ปวดท้องเหลือเกินพี่เฟื่อง ปวด"
"เอาไงนายกอง รออีกพักมั้ย"
"ไม่รอ ปวดก็ต้องไป"
สังข์ตวาดเสียงแข็งเข้าไปกระชากจวงขึ้นมา เฟื่องไม่ยอม ดึงไว้
"มานั่งกับข้า"
"ฉันจะดูแลจวงเอง" เฟื่องบอก
สังข์ยื้อจวง ชาวบ้านพากันมอง
ขาบเห็นสายตาชาวบ้านที่มองมาอย่างดูแคลนในการกระทำของสังข์ที่ยื้อยุดผู้หญิง
"นายกอง ปล่อยจวงมันเถอะ จวงมันเป็นผู้หญิงไทยนะ ไม่ใช่พวกอังวะ"
ขาบเอ่ยเตือน สังข์มอง เห็นชาวบ้านที่จ้องพากันหลบไปที่เกวียน ซุบซิบกัน
สังข์จำใจปล่อยมือจวง จวงรีบเข้าไปหาเฟื่อง
"เอ็งสองคนอย่าพี้ริพิไร"
สังข์หันมาสั่งทุกคนด้วยเสียงกราดเกรี้ยว
"เดินทาง"
สังข์กลับไปขึ้นม้า ขาบมองเฟื้องกับจวง
"เงียบๆไว้เถอะ เฟื่อง จวง ไอ้ทัพมันตามมาช่วยพวกเอ็งไม่ได้หรอก ทำใจซะแต่บัดนี้"
"ฉันไม่เชื่อหรอกพี่ขาบ ฉันไม่ใช่พวกขี้กลัว ยอมก้มหัวให้คนบ้าอำนาจเหมือนพี่ พี่ทัพต้องมาช่วยพวกเราออกไป พี่ทัพต้องมา"
เฟื่องแววตาเชื่อมั่นจนขาบหัวเสีย เดินออกไป

จวงกับเฟื่องมองกัน เชื่อมั่นว่า ยังไงทัพก็ต้องมาช่วยออกไปจนได้

ทัพควบอ้ายเลามาในป่าอย่างเร็ว ทะยานไปข้างหน้าเพื่อช่วยคนรัก

ในป่าใกล้ค่ายอังวะ ตอนกลางวัน พรานใจที่นั่งมองสไบอย่างเป็นห่วง จนเธอเพิ่งฟื้นขึ้นมา
"พี่ใจ"
"สไบ เป็นยังบ้าง ถูกจับไปที่นั่นได้ยังไง"
"พวกมันหักหลังเรา ทหารอังวะโกหก มันฆ่าพี่ดอกรัก.. ฉันเกลียดมัน ฉันเกลียดทหารอังวะ"
สไบท่าทางร้อนใจ
"พี่ใจฉันอยากกลับไปที่หมู่บ้าน ฉันห่วงพ่อ"
สไบลุก พรานเจิด พรานจาดเดินถือนกที่ไปยิงมาได้ สไบยกมือไหว้พรานจาด พรานจาดมองดุๆ
"หิวหรือยัง สไบ" เจิดถาม
พรานเจิดเริ่มก่อไฟ สไบมองร้อนใจ
"หิวจ้ะ แต่ฉันต้องกลับบ้าน ฉันห่วงพ่อ ฉันหนีมาจากค่ายทหารอังวะ"
พรานเจิดบอก
"จะกลับไปได้ยังไง ป่านนี้ทหารเต็มหมู่บ้านแล้ว"
"ยังไงฉันก็ขอไปตายกับพ่อ ฉันลาพี่เจิดนะจ้ะ .. ฉันลา พ่อจาด" สไบพูดพลางยกมือไหว้ลา
สไบหันไปทางพรานใจ
"ขอบใจนะพี่ใจ"
"สไบ อย่าไปเลย" พรานใจห้าม
"ฉันจะไม่หนีตายไปคนเดียว มันฆ่าพี่ดอกรักไปคนนึงแล้ว พ่อต้องรอฉัน บุญของฉันที่ได้เจอพวกพี่" สไบน้ำตาคลอ
สไบมองทุกคนแล้ววิ่งออกไป พรานเจิด พรานจาดมองพรานใจ
"จะตามไปใช่มั้ย ยังไงก็ต้องตามไปช่วยทุกครั้ง" พรานเจิดบอก
"พี่เจิด ฉันห่วงสไบ ยังไงหมู่บ้านสไบก็ต้องถูกปล้น ทหารไม่ปล่อยเอาไว้"
พรานจาดมองแล้วเอ่ยเตือนลูกชายคนเล็ก
"มันไม่ใช่หน้าที่ที่เราจะช่วยทุกคนได้ ใจ"
"แต่ฉันขอ คนนี้คนเดียว ขอให้ฉันได้ช่วย สไบ"
พ่อและพี่ชายไม่เห็นด้วยอย่างมาก

หมู่บ้านสามโก้กำลังถูกเผา ผู้ใหญ่กับชาวบ้านถูกทุบตีพาออกมารวมกัน อูจีที่มีแผลตรงหน้าผากเพราะสไบเอาไหเหล้าฟาด
"ผู้หญิงที่หนีออกมาจากค่าย มันอยู่ที่ไหน"
เสียงร้องไห้ดังระงม จากชาวบ้าน
"แกสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายพวกเรา"
"ไม่มีสัญญา ฉันไม่เคยสัญญาอะไรกับพวกแก"
ผู้ใหญ่แสงบอก
"ไอ้สับปลับ พวกแกมันไม่รักษาคำพูด"
อูจีพุ่งเข้ามาเตะ ผู้ใหญ่แสงจนล้มหงายลงไปกับพื้น ชาวบ้านกรีดร้อง
"เผามัน"
ทหารจับตัวผู้ใหญ่แสงไว้ ชาวบ้านจะเข้าไปช่วย ก็โดนถีบออกมาทั้งหมด
"เผามันให้หมด"
สไบวิ่งมา ผู้ใหญ่กำลังถูกมัดรวมกับชาวบ้าน
"พ่อ"
"หนีไป สไบ หนีไป"
"จับมัน"
ทหารพากันสไบถูกทหารลากตัวมา
"มันฆ่าพี่ดอกรัก พ่อ มันฆ่าพี่ดอกรัก"
"ไอ้จัญไร"
อูจีบอก
"เผามัน เผามัน ทั้งพ่อ ..ทั้งลูก"
สไบถูกลากมามัดรวมกับผู้ใหญ ทหารไปจุดคบไฟมาจากกระท่อมที่กำลังไหม้ อูจีแสยะยิ้ม
สไบมองจ้องอูจี แววตาเด็ดเดี่ยวแม้รู้ว่าอาจจะไม่รอดไปได้อีกแล้ว

ทัพขี่ม้ามา เห็นเปลวไฟและควันดำลอยมาจากหมู่บ้านก็รู้ทันที
"ทหารอังวะเผาหมู่บ้าน"
ทัพรีบเร่งทะยานอ้ายเลาไปที่หมู่บ้านอย่างเร็ว
"อ้ายเลา ...ห้อ"

อูจีรับไม้ติดไฟมาจากทหาร กำลังยื่นไปจะโยนใส่สไบกับพ่อ รวมทั้งชาวบ้านที่กำลังโดน
ทหารล้อมอยู่
"ฉันขอสาปแช่ง แกมาปล้น มาทำลายบ้านคนอื่น บ้านแกก็ต้องวายวอด"
อูจีหน้าตาโมโหมาก กำลังจะโยนไฟไปที่สไบ
ทัพทะยานอ้ายเลาเข้ามา ฟันทหารอังวะที่ล้อมชาวบ้านล้มตาย อูจีโยนไฟไปที่สไบ ไม้ติดไฟกำลังจะมาถึงตัวสไบ
ทัพยกดาบ ฟันไม้ติดไฟกระเด็นไปห่างร่างสไบ เธอตกใจ มองทัพอย่างตกตะลึง ทัพฟันทหารที่เข้ามาขวาง สไบกับผู้ใหญ่ และชาวบ้านรีบลุก
"พ่อ หนีไป พาพวกเราหนีไป"
สไบผลักพ่อ ผู้ใหญ่กำลังสับสน
ทหารอังวะคนหนึ่งเข้ามาจะฟันสไบจากด้านหลัง ดาบกำลังจะถึงตัว พรานใจโผล่เข้ามา ปามีดผ่านเฉียดหน้าสไบปักอกทหารด้านหลัง
"พี่ใจ"
พรานใจผลักสไบ
"หนีไป หนีไป สไบ ไป"
พรานใจผลักสไบแล้วหันไปถีบทหารอังวะที่พุ่งเข้ามา
"พี่ใจ"
สไบมองพรานใจ ผู้ใหญ่แสงเห็นโอกาส กระชากมือลูกสาววิ่ง
"ไป...สไบ"
สไบมองพรานใจที่เตะเข้าก้านคอทหารสลบกลางอากาศ
ผู้ใหญ่ สไบ กับชาวบ้านพากันวิ่งหนีเข้าไปทางป่า พรานใจหันมองสไบแวบเดียว แต่พอหันกลับมา เจอทหารอังวะแทงดาบเข้ามา พรานใจหลบ ทหารอีกพวกเข้ารุมล้อม
ทัพฟันทหารรอบตัวจนล้มตายทั้งหมด
"เลือดมึงต้องชดใช้ให้เลือดไทย"
อูจีหน้าตาเหลือกลาน ทัพเงื้อดาบ
สไบวิ่งหนีมากับกลุ่มพ่อและชาวบ้าน ทั้งหมดวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลาน สไบมองไปรอบๆ ไม่รู้จะหนีทางไหน พรานจาด พรานเจิดโผล่มา ทุกคนตกใจ
"ทางนี้"
พรานเจิดวิ่งนำไป ผู้ใหญ่กับชาวบ้านมองไม่แน่ใจ สไบรีบบอกทุกคน
"ไปจ้ะ ไป ตามพี่เจิด ลุงจาดไป"
"ทางนี้"

พรานจาดวิ่งนำ ผู้ใหญ่กับชาวบ้านทุกคนวิ่งตามอย่างเร็ว สไบกับพรานเจิดรั้งท้าย
 
อ่านต่อหน้า 4

บางระจัน ตอนที่ 1 (ต่อ)

กลางลานหมู่บ้าน พรานใจโดนทหารรุมเข้ามาฟัน พรานใจหลบหลีกว่องไว ทัพเงื้อดาบจะฟัน อูจีชักม้าหลบแผล็ว พ้นคมดาบทัพไปได้อย่างฉิวเฉียด

อูจีดึงม้ามาทางพรานใจ ทหารกำลังจะฟันพรานใจ เขาโดดเตะทหารน็อกกลางอากาศ อูจีบังคับม้าพุ่งเตะเข้าที่พรานใจล้มลง
อูจีเอาดาบปักลงมา พรานใจม้วนตัวหลบแต่ไม่พ้น ดาบแทงลงที่น่องขวา พรานใจดิ้น
อูจีกำลังจะแทงซ้ำ พรานใจมองเห็นดาบที่กำลังจะแทงลงมาที่อก
ทัพพุ่งม้ามาด้านหลัง ฟันคออูจีขาดกระเด็น
พรานใจมองทัพตะลึง ทัพลงจากม้าเข้ามาดึงพรานใจ ที่ขาเลือดไหลจากน่องขึ้นมา
"ถ้าไม่ได้พี่ .. ฉันคงตายเป็นผีอยู่ตรงนี้ ฉันชื่อใจ"
"ข้าชื่อทัพ คนทุ่งคำหยาด"
"ไอ้ใจเป็นหนี้ชีวิตพี่ทัพแล้ว"
"ไม่เป็นไร ใจ เลือดไทยไม่เคยทิ้งกัน"
ทัพมองไปรอบๆหมู่บ้านที่ถูกเผา ไฟยังคุกรุ่นด้วยสายตาหดหู่
"อีกกี่หมู่บ้านที่ต้องถูกปล้น ถูกเผา"
ทัพสีหน้าหดหู่จนพรานใจมองสลด
"รีบไปจากที่นี่ซะ ใจ"
"พี่ทัพจะไปที่ไหน"
"กรุงศรี"
"พี่ทัพเป็นทหาร"
"ข้าไม่ใช่ทหาร ข้าเป็นโจร โจรที่จะเอาชีวิตปกป้องแผ่นดิน"
ทัพโดดขึ้นอ้ายเลา พรานใจมองทัพด้วยสายตาทึ่ง ทัพยิ้มมองพรานใจ
"รีบตามคนรักของเอ็งไป ข้าก็จะไปตามคนรักของข้าเหมือนกัน"
ทัพดึงอ้ายเลาออกไป พรานใจมองตามทัพด้วยสายตาทึ่ง ชื่นชมในความกล้าหาญ แน่วแน่

สไบกับพวกผู้ใหญ่ที่
พรานเจิด พรานจาดวิ่งนำสไบ และพวกผู้ใหญ่ มองไปรอบๆ
"พักตรงนี้ก่อน"
ทุกคนนั่งลง สไบกับพรานเจิดมองไปรอบ
พรานใจวิ่งขโยกเขยกมา เลือดไหลที่แผลน่องขวา สไบมองเห็น
"พี่ใจ"
พรานใจวิ่งมา พอเห็นสไบก็ยิ้มดีใจ ผู้ใหญ่แสงมอง
"พี่ใจจ้ะ พ่อ .. พี่ใจเคยช่วยฉันไว้หลายครั้ง"
สไบมองขาพรานใจเห็นหยดเลือด
"พี่ใจ ขาพี่เป็นอะไร"
พรานใจที่กัดฟันวิ่งมา เซ พรานเจิดเข้ามาประคองน้อง
"ฉันโดนฟัน ...แต่รอดมาได้ เพราะพี่ชายคนนึงชื่อทัพ"

ทัพควบม้าเร็วมา สีหน้าร้อนใจ เพราะห่วงเฟื่องกับแม่ที่ไปไกลแล้ว

ในป่าริมทุ่งนา ขบวนอพยพที่สังข์กับขาบนำ ขบวนเกวียนยาวเลาะตามทุ่งนา ภายในเกวียน นางจันทร์กับนางเฟี้ยมหลับคอพับคออ่อน
เฟื่องกับจวงดูคนแก่ทั้งสอง สีหน้ากังวล
"ทำไมพี่ทัพยังมาไม่ถึง"
"ไม่ต้องห่วงหรอก จวง พี่ทัพต้องมาช่วยเรา"
เฟื่องยังแววตามั่นใจ

ทัพควบอ้ายเลามา อ้ายเลาเหนื่อยจนหยุดวิ่ง ทัพกอดคออ้ายเลา
"อ้ายเลา"
ทัพพยายามกอดปลอบอ้ายเลา
"อีกนิดเดียว ทนอีกนิดเดียว อ้ายเลาเพื่อนยาก .. ข้ารู้ว่าเอ็งเหนื่อย"
อ้ายเลาสะบัด ทัพก้มลงกอด กระซิบข้างๆ ลูบหัวม้า
"ใจข้าก็แทบหมดแรงเหมือนเอ็ง แต่พอคิดถึงหน้าทุกคนที่รอ แม่ข้า น้องสาวข้า น้าเฟี้ยม เฟื่อง.. หญิงที่เป็นหัวใจ"
ทัพกอดอ้ายเลา ปลอบด้วยความรัก
"อ้ายเลาเอ๋ย ... พวกเค้ากำลังรอให้เราไปช่วย อ้ายเลาเพื่อนยาก .... เมตตาข้าด้วยเถิด อ้ายเลา"
อ้ายเลาสะบัดจมูก ทัพมอง อ้ายเลาเหมือนรู้ ยกขาเตรียมพร้อม แล้วทะยานไปข้างหน้าต่อ
ทัพยิ้ม ดีใจที่ไปต่อได้อีกครั้ง

ในป่าลึก พรานใจนั่งให้พรานเจิดโปะสมุนไพรที่แผล สไบมองอย่างเป็นห่วง พรานจาดกับผู้ใหญ่นั่งอยู่ห่างออกมา บอกจาด
"ฉันซึ้งน้ำใจพี่จาดกับลูกชายสองคนนัก เสียดายแต่หลานชายฉัน ไอ้ดอกรัก มันเตือนแล้วว่าอย่ายอมเป็นขี้ข้าพวกอังวะ พวกมันไม่ได้มีเมตตากับเราจริงๆ"
"แล้วนี่จะพากันไปไหน"
"ฉันได้ยินว่า พวกเราหนีภัยไปรวมกลุ่มกันที่กระทุ่มด่าน"
"ไปถึงกระทุ่มด่าน แล้วทหารกรุงศรีไม่มาตั้งค่ายช่วยเลยหรือ"
"ยังไม่เห็น บ้านเมืองปั่นป่วน ศึกอังวะมาประชิด ทหารกรุงศรีก็ต้องเกณฑ์ไปรบศึกใหญ่ๆ พวกเราชาวบ้านไม่กี่หยิบมือ ก็ต้องดูแลกันเอง"
พรานจาดนิ่งฟัง ผู้ใหญ่ทั้งสองมองไปที่สไบกับใจ
สไบกำลังมองใจที่เจิดพันแผลที่ขาให้เสร็จเรียบร้อย
"พี่ใจเดินไหวมั้ยจ๊ะ"
เจิดยิ้ม
"คงไม่ไหว สไบอุ้มน้องชายพี่ไปหน่อยสิ"
"ให้สไบแบกพี่ใจไปก็ได้ พี่ใจเสี่ยงช่วยชีวิตสไบไว้ทุกครั้ง"
ใจมองสไบอึ้งๆ เจิดหัวเราะ
"พูดแบบนี้ ไอ้ใจมันคงไม่อยากหาย เอ้า...ลุก..ไอ้ใจ อย่าสำออย ..ไปต่อ"
เจิดพยุงใจขึ้น สไบมอง
"ไปไหวแล้วหรือ พี่ใจ"
"พี่ไปไหว สไบ"
พรานเจิดกับสไบมองพรานใจที่ยิ้มสู้
"เราคงต้องแยกกันตรงนี้"
"ไม่รู้เมื่อไหร่ ฉันจะมีโอกาสเจอพวกพี่อีก"
"ก็ตอนที่สไบโดนข่มเหงน่ะสิ พวกพี่จะตามไปช่วย ใช่มั้ยใจ"
สไบยิ้ม พรานใจมองทอดสายตาไปที่สไบ เหมือนไม่อยากจะจากกันเลย สไบเห็นพรานจาดกับพ่อเดินมา
"ได้เวลาจากกันจริงๆแล้ว"
พรานใจกับสไบมองกันเงียบๆ ไม่กล้าแสดงความรู้สึกอะไรออกมามากกว่านั้น พรานจาดมองทั้ง 3 คนแล้วพูดขึ้น
"เราจะไปกับผู้ใหญ่แสง...ไปเจอกับคนอื่นๆที่ซ่อนตัวอยู่กระทุ่มด่าน"
พรานใจกับพรานเจิดมองพ่อ นึกไม่ถึงว่าพ่อจะตัดสินใจไปกับขบวนของสไบ
พรานใจกับสไบมองสบตากัน รอยยิ้มผุดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

เวลากลางคืน แฟงกับฟักที่มากับกลุ่มของหมู่เคลิ้ม ชักม้ามาหยุดหน้าเรือนกำนันพัน กระทุ่มด่าน
กำนันพันออกมาพร้อมกับลูกบ้าน เป็นชายฉกรรจ์หลายคน ในมือมีก้อนไต้คบไฟ
แฟงกับฟักดึงม้าออกมาข้างหน้า กำนันพันมอง
"แฟง"
แฟงกับฟักลงจากม้ามาไหว้ กำนันพัน
"อาพัน"
"เออ..พระคุ้มครอง พี่เฟี้ยมล่ะ แฟง"
"แม่.. แม่"
"แม่เอ็งล่ะ ฟัก"
ฟักมองแฟงที่สีหน้าไม่ดี แล้วหันมาบอกกำนันพัน
"แม่โดนต้อนครัวไปกรุงศรีจ้ะ อา"
"ข้าศึกมันตั้งใจตีกรุงศรีให้แตก ไม่เหมือนคราก่อนที่ยกมา แล้วพระเจ้าอลองพญาโดนปืน พากันยกทัพกลับไปเสียก่อน"
"อากำนันไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ พี่ทัพ กำลังพาแม่กับพี่เฟื่อง ตามขึ้นมาที่นี่แล้วจ้ะ"
แฟงสีหน้ามั่นใจเต็มที่

บริเวณหมู่บ้านระหว่างวิเศษไชยชาญทางเข้ากรุงศรีอยุธยา ตอนเย็น กองเกวียนจอดพักลง ก่อไฟเป็นกลุ่มๆ
ทัพดึงอ้ายเลาหยุดห่าง ลงจากหลังอ้ายเลา
"รอข้าอยู่ที่นี่"
ทัพแตะบอกอ้ายเลา แล้วค่อยๆลอบเข้ามา ทัพมาใกล้ กำดาบไว้ในมือเตรียมพร้อม มองว่าตรงไหนคือที่พักของขาบกับสังข์
ทัพมองไปไกล เห็นมีทหารเดินเวรยามอยู่ที่กระโจมหนึ่ง
"ไอ้สังข์... ข้าจะมาทวงคนรักของข้าคืน"

ทัพขยับจะเดินไป แต่เห็นดาบมาจ่อที่คอจากด้านหลัง ทัพชะงัก คมดาบวาววับแตะอยู่ข้างคอทัพแบบพร้อมจะฟันคอให้ขาดได้ทันที

แฟง ฟักและพวกหมู่เคลิ้มที่นั่งอยู่ตรงหน้ากำนันพัน ด้านหลังคือเมียกำนันพัน

"พี่ทัพกำลังจะพาแม่กับพี่เฟื่องมาอาศัยหลบภัย ที่บ้านอากำนัน"
กำนันพันสบตากับเมีย ก่อนมองไปที่กลุ่มของหมู่เคลิ้ม

ดาบของขาบยื่นมาแตะคอทัพ ทัพนิ่ง แววตาไม่สะทกสะท้านต่อความตายที่จ่ออยู่ปลายลมหายใจ
"กลับไปซะทัพ ข้าจะไม่บอกนายกองสังข์ว่าเอ็งมาที่นี่"
"ข้าต้องกลับไปพร้อมกับแม่กับน้อง แล้วก็คนรักของข้า"
ทัพหันขวับ ขาบผงะ
"ฆ่าข้าเลยก็ได้ไอ้ขาบ ถ้าเอ็งกลัวจะมีผิดติดตัว"
"เอ็งอย่าท้าข้า"
"ข้าไม่ท้า ถ้าข้าต้องตายเพราะคมดาบเพื่อน เพื่อรักษาชีวิตคนที่ข้าบูชา ข้าก็จะไม่เสียดาย"
ทัพมองจ้องวัดใจขาบที่มือกำดาบสั่น

แฟงกับฟักมองกำนันพันและเมียที่ท่าทางอึดอัด
"พี่เฟี้ยมเคยส่งข่าวฝากคนมาบอกว่าจะพาลูกเต้ามาเยี่ยม แต่ข้าไม่คิดว่า จะมากันตอนเวลาศึกอย่างนี้ แล้วพวกที่มาด้วยเป็นใครกันบ้าง"
"ฉันกับหมู่เคลิ้ม เจ้าช่วง เจ้าเอิบ เราเป็นพวกที่หนีเกณฑ์ไพร่จ้ะ อา" ฟักบอก
กำนันพันกับเมียยิ่งสีหน้าไม่ดีหนัก
"หนีเกณฑ์ไพร่"

ทัพมองดาบขาบที่จ่อออยู่กลางอก
"ให้ข้าเป็นผีเฝ้าที่นี่เพราะดาบเอ็งก็ได้ไอ้ขาบ ถ้าจะแลกกับชีวิตแม่ น้องสาว แล้วก็คนรักของข้า"
"ข้าช่วยเอ็งได้แค่นี้ ทัพ ถ้าเอ็งฝืนเข้าไป นายกองสังข์สั่งทหารฟันคอเอ็งแน่"
"ข้าก็จะถือว่าตายด้วยมือเพื่อน"
"อย่าบังคับให้ข้าต้องทำเลย ทัพ"
"เอ็งจะลงมือก็ได้ ขาบ เพราะไม่มีข้า เอ็งก็หมดศัตรูในความรัก"
"เอ็งรู้"
"ข้ารู้ ขาบ เอ็งรักเฟื่อง"
"แต่เฟื่องรักเอ็ง เทิดทูนเอ็ง ไอ้ทัพ"
"เอ็งก็ฆ่าข้าเสีย เผื่อเฟื่องจะเปลี่ยนมารักเอ็ง แต่ข้าคิดว่าไม่ หญิงอย่างเฟื่อง ใจคอหนักแน่น เอ็งจะได้แต่ร่าง เพราะหัวใจรักของเฟื่องจะอยู่กับวิญญาณข้า"
"ไอ้ทัพ"
ขาบกำดาบแน่นพุ่งเข้าหา ทัพหลบแล้วศอกเข้าหน้าขาบที่พุ่งเข้ามา ขาบถึงกับเซ
ทัพโยนดาบลง กำหมัดแน่น
"มาสู่กันแบบลูกผู้ชายเถอะ ขาบ ข้าไม่อยากฟันเอ็งถึงตาย"
ขาบทิ้งดาบ กำหมัด พุ่งเข้าชก แต่ทัพหลบด้วยความว่องไว ขาบเข้าชกอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ทัพหลบซ้ายขวาอย่างเร็ว ขาบเตะสูงโดนทัพล้ม ขาบตามมายกเท้ากระทืบแต่ทัพจับขาไว้ แล้วถีบกลับ ขาบหงาย
ทัพพุ่งเข้าจะชก ขาบกลิ้งหลบ แล้วตลบหลังคว้าคอทัพ ทัพศอกใส่หน้าขาบหงายแล้วหันมาเตะเข้ากลางตัว ขาบพุ่งเข้าสู้
ทัพโดดเตะจระเข้ฟาดหาง ขาบร่วงลงไปสลบเหมือดกับพื้น ทัพดึงดาบตัวเองขึ้นมา
"ไอ้ขาบ เอ็งรู้ไว้ คนอย่างข้า ไอ้ทัพทุ่งคำหยาด ไม่มีวันฆ่าเพื่อน"
ทัพกำดาบเดินเข้าไปทางค่ายของสังข์ ทิ้งร่างขาบที่สลบไว้ตรงนั้น

แฟงกับฟัก มองกำนันพันกับเมียที่มีสีหน้าอึดอัดมาก
"พวกไพร่หนีเกณฑ์ ทางกรุงศรีสั่งลงโทษหนัก"
"อาจะไม่ช่วยพวกพี่เค้าหรือจ๊ะ"
เมียกำนันบอก
"พี่พันเป็นกำนัน ถ้าหลวงรู้ว่าช่วยพวกไพร่หนีเกณฑ์ จะเดือดร้อนกันหมดทั้งเรือน"
"ไม่เป็นไรหรอก กำนัน พวกฉันเข้าใจดี"
"อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย"
"ไม่เป็นไร อากำนัน พวกฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ให้เดือดร้อนคนอื่น ชั่วแค่มาส่งแฟงให้ปลอดภัย แล้วจะไปซุ่มกันอยู่ในดง" ฟักบอก
กำนันพันถามกลับ
"ซุ่มอยู่ในดง นี่พวกเอ็งคิดจะทำอะไร"
ทุกคนมองกัน แววตาเด็ดเดี่ยว
"ไพร่หนีเกณฑ์อย่างพวกฉัน ถือว่าเป็นโจร" ช่วงบอก
สีหน้าเมียกำนันพันเริ่มหวาดกลัว เอิบมองแล้วยิ้มอย่างคนขี้เล่น
"แต่โจรอย่างพวกฉันไม่ปล้น ไม่ทำร้ายคนไทยด้วยกันเองหรอกจ้ะ"
"เราจะซุ่มอยู่ในดง คอยดักปล้นทัพอังวะ" เคลิ้มบอก
กำนันพันถาม
"พวกเอ็งไม่กลัวตายหรือ"
"คนเราเกิดมาก็ต้องตาย ทำไมจะตายเสียเปล่าๆ สู้เอาลมหายใจไปแลกกับข้าศึกไล่ศัตรูให้พ้นไปจากแผ่นดินไม่ดีกว่าหรือ"
ฟักมองด้วยสายตาแน่วแน่เหมือนคนอื่นๆ กำนันพันถอนใจหนัก ๆ
"หัวหน้าพวกเอ็งเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน"
"พี่ทัพจ้ะ ... พี่ทัพ ไอ้เสือทุ่งคำหยาด"
แฟงเอ่ยด้วยน้ำเสียงภูมิใจมาก

ทัพลอบใกล้เข้ามาทางกระท่อมหลังหนึ่ง ที่มีทหารยามเฝ้าด้านหน้า 3- 4 คน
"ไอ้สังข์มันจัดทหารเวรเฝ้า คงขังเฟื่องกับทุกคนไว้ที่นี่"
ทัพมองทหารที่เฝ้าอยู่ เตรียมพร้อมจะบุกเข้าไป

เฟื่องกับจวงกำลังดูแลนางจันทร์กับเฟี้ยมอยู่ในกลุ่มชาวบ้านประมาณ 10 คนที่นอนพักผ่อนอยู่ มีทหาร 4 คนเฝ้าอยู่
จวงสีหน้าไม่ดี
"พี่ทัพไปอยู่เสียที่ไหน" จวงว่า
"หนีกันไปตอนนี้เถอะ จวง" เฟื่องบอก
"หนียังไงล่ะพี่เฟื่อง"
ชาวบ้านที่เป็นหญิง 2-3 คนมีอายุที่อยู่ใกล้เฟื่องกับจวงได้ยินก็พูดขึ้น
"ถ้าจะหนีก็รีบไปเถอะ ค่อยๆเลาะไปด้านหลังนั่น ทะลุออกชายป่า ข้าจะช่วยดูให้"
"หนีไปด้วยกันมั้ยพี่" เฟื่องถาม
"ไม่หรอก พี่ไปด้วย พวกเอ็งจะไม่รอด"
"พี่อยู่นี่ ถ้าพวกมันรู้ว่าช่วยเรา พี่ก็ไม่รอดเหมือนกัน"
"พ่อทัพเคยช่วยลูกชายพี่ไว้ ไม่ให้นายกองสังข์มันเตะต่อย ไปเถอะ พวกเราจะช่วยถ่วงเวลาให้"
เฟื่องมองหาทางหนี ใช้ความมืดช่วยอำพรางตัวได้
"ปลุกแม่ จวง"
จวงหันไปเขย่าตัวนางจันทร์กับนางเฟี้ยม
จวงเตือน
"แม่ อย่าเอ็ดไปนะ"
เฟี้ยมกับนางจันทร์มองลูกสาว เฟื่องบอกเบาๆ
"เราจะหนี"
สายตาเฟื่องกับจวงมีแววเอาจริง
"บ้านฉันเป็นหนี้ชีวิตพี่"
"ไปเถอะ ไปหาพ่อทัพ พ่อทัพเป็นคนดี"

เฟื่องกับจวงยกมือไหว้ชาวบ้านตรงนั้น ชาวบ้านผู้หญิงพากันขยับมาใกล้ บังเฟื่องกับจวงที่กำลังพาแม่หลบมุดลัดเลาะไปทางด้านหลัง

แฟงมองฟักกับพวกหมู่เคลิ้มที่กำลังลงจากเรือน ทั้งกำนันพันกับเมียยืนมองอยู่

"พี่ฟัก"
ฟักหันมามองน้องสาว
"ไม่ต้องห่วงพี่นะ แฟง เอ็งเป็นผู้หญิง อยู่กับอากำนันที่เรือนนี่แหละ"
"แล้วพวกพี่จะไปอยู่ที่ไหน ในป่าหรือ"
"พี่ต้องไป...ถ้าพี่อยู่นี่ก็เท่ากับอากำนันให้ที่หลบกับคนผิด" ฟักบอก
"พวกเราเคยเป็นทหาร กินกลางดินนอนกลางป่ามาหลายศึกแล้ว" เคลิ้มบอก
เอิบบอก
"แต่กลางดึก น้ำค้างลงแรง นอนหนาวๆ ก็อยากได้ผ้าห่มเนื้อนิ่มๆ"
เอิบกับช่วงหัวเราะกัน มองล้อแฟง ฟักกระแอมขึ้น เอิบกับช่วงรีบลงเรือนไปก่อน เคลิ้มตามไป ฟักมองกำนัน
"ฝากแฟงด้วยนะจ๊ะ อากำนัน"
"พระคุ้มครองนะ ฟัก"
ฟักยกมือไหว้
"จ้ะ อา"
"ถ้าแม่กับพี่เฟื่องมาล่ะพี่ เราจะไปตามหาพี่ที่ไหน"
"ไม่ต้องตาม ถ้าพี่ทัพพาแม่กับเฟื่องกลับมา บอกว่าให้รอที่นี่ พี่จะรีบกลับมาส่งข่าว"
ฟักลงจากเรือนไป แฟงมองตาม ใจหาย กังวลไปทุกอย่าง

ทัพลอบเข้ามา ทหารยาม 4 คน เดินเวรยามอยู่ด้านหน้า ทัพเข้ามาใกล้ ทหารคนหนึ่งหันมา ทัพฟันด้วยศอก จนทหารสลบเหมือดลงไปกับพื้น เสียงดัง
ทหารอีก 3 คนหันมา ทัพเตะสูงเข้าก้านคอ อีกสองคนเจอหมัด 4 คนสลบเหมือดอยู่กับพื้น
ทัพวิ่งขึ้นไป เปิดประตูกระท่อมออก พุ่งเข้าไป
ในความมืด ทัพเห็นร่างทั้ง 4 นอนตะคุ่มอยู่ที่พื้น ทัพรีบเข้าไปหา
"แม่"
ปรากฏว่า ร่างทั้ง 4 คือทหารของสังข์ ทุกคนลุกขึ้น 2 คนรุมจับทัพ อีก 2 คนทั้งเตะ ต่อย
ทัพที่ถูกหลอกหน้าสะบัด โดนยำจนทรุดล้มลง สังข์ก้าวเข้ามา ทัพเงยมอง
"เอ็งคิดว่าจะแน่กว่าข้าไปได้ทุกครั้งหรือ ไอ้เพื่อนยาก"

เฟื่อง จวง เฟี้ยม จันทร์ต่างลอบหลบกำบังความมืด เลาะมาตามแนวป่าด้านหลังอย่างระแวงระไว จวงเป็นคนนำ นางจันทร์กุมมือนางเฟี้ยมกลั้นใจอดทนความเจ็บเดินตาม
เฟื่องเดินปิดท้ายในมือมีท่อนไม้กำไว้เป็นอาวุธ

ทัพถูกทหารคุมตัว เงยมองจ้องสังข์
"เอ็งเอาแม่กับน้องข้าไปไว้ที่ไหน ไอ้สังข์"
"ไม่ต้องห่วง ไอ้ทัพ ข้าจะดูแลจวงอย่างดี จะเลี้ยงดูให้สบาย ไม่อดไม่อยาก"
"ข้าถามว่าแม่ข้าน้องข้า อยู่ไหน"
"ก็เอ็งเลือกทางเป็นโจรมากกว่าเป็นลูกน้องข้า แล้วเอ็งจะมาถามหาพ่อแม่พี่น้องอีกทำไม"
"ถ้าจะเกณฑ์ข้าไปรับใช้นายที่ดีสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน ข้าก็ยอมตายถวายชีวิต ไม่ใช่ไปเป็นข้ารับใช้ริ้นเหลือบ อ้างอำนาจหลวง"
"มึงด่ากู"
"หรือเอ็งจะบอกว่าเอ็งสัตย์ซื่อ ไม่เคยเอาอำนาจหาประโยชน์ ช่วยลูกคนมีอัฐ"
"ข้าไม่เคยทำ"
"ผิดบาปดีชั่ว ไม่ต้องรอฟ้าตัดสินหรอก เอ็งย่อมรู้อยู่แก่ใจ"
สังข์จ้องทัพที่มองไม่ลดละสายตา
"ฆ่าข้าซะ สังข์ เพราะยังไงข้าก็ต้องพาแม่ข้า น้องข้า คนรักข้ากลับไปให้ได้"
"ข้าไม่ฆ่าเอ็งหรอก ไอ้ทัพ อย่างน้อยก็ตอนที่ข้ายังต้องพาจวงไปกรุงศรี ...มัดมันไว้"
ทหารจับทัพลุกขึ้นแต่ทัพอาศัยแรงและความไว เหวี่ยงทหาร 2 คนที่จับเข้ากระแทกกันเอง
ทหารอีก 2 คนเข้ามาทันที แต่ทัพถีบกระเด็น สองร่างทะลุฝากระท่อม ออกไปทันที
สังข์ตาเหลือกด้วยความตกใจ
ร่างทหารทั้ง 2 ทะลุกระท่อมออกมา ตกลงบนพื้น กลุ่มเฟื่องที่กำลังเลาะมา ตกใจ เห็นร่างทหารนอนดิ้น เฟื่องมองไปที่กระท่อม สังหรณ์ใจทันที
"พี่ทัพ"

ทัพหันมา สังข์ชักดาบ ฟันลงมา ทัพหลบวืด ก้มลงคว้าดาบของตัวเองบนพื้นขึ้นมา ชักดาบออกจากฝัก
"ไอ้ทัพ ถ้าเอ็งฆ่านายกอง เอ็งก็ไม่พ้นค่ายนี้"
"ลองดูว่าใครกันแน่จะไม่รอด"
"เอ็งคิดว่าเอ็งเก่งกว่าข้า"
"ไม่เลย สังข์ เอ็งเป็นเพื่อน ความเป็นเพื่อน ข้ายอมให้ได้ แต่ข้าจะไม่ยอมให้เอ็งเอายศศักดิ์มาเหยียบย่ำคนเหมือนกัน เอ็งเปลี่ยนไปเพราะอำนาจในมือ หยุดเถอะ สังข์ หยุดก่อนที่อำนาจมันจะควบคุมเอ็ง"
"ข้าไม่หยุด ข้าเป็นถึงนายกองสังข์ ทำไมต้องเชื่อไพร่เลวอย่างเอ็ง"
สังข์พุ่งเข้าฟัน ทัพหลบหลีก เอาดาบยันไว้ ไม่ได้คิดจะฟันเพื่อน สังข์กดดาบลง แต่ทัพยันกลับด้วยถีบจนสังข์กระเด็น ทัพรอเชิง พุ่งเข้ามา
ทัพเอาดาบกระแทกลงกลางหลัง สังข์จุก ทัพเตะเสย สังข์เซ
"คนอย่างไอ้ทัพ ไม่ฆ่าเพื่อน แต่ทุกคนที่ถูกเอ็งข่มเหงจะลงโทษเอ็งด้วยดาบอีกหลายร้อยเล่ม"
ทัพเข้าพุ่งชกหน้าสังข์อย่างแรง สังข์น็อกกลางอากาศล้มลง นอนเหยียดยาวกับพื้น
ประตูกระท่อมเปิดออก
ทัพหันไปจ่อดาบคิดว่าเป็นทหาร แต่กลับเป็นเฟื่องที่เปิดประตูเข้ามา
"เฟื่อง"
ทัพเก็บดาบวิ่งเข้าไปกอด
"เฟื่อง ..เฟื่องของพี่"
เฟื่องมองสังข์บนพื้น ทัพหันมอง
"ยังไม่ตาย แต่อีกนานกว่าจะฟื้น"
"รีบไปเถอะพี่"
เฟื่องคว้ามือทัพวิ่งออกไปอย่างเร็ว

จวง จันทร์ เฟี้ยมที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ค่อยๆโผล่ออกมามอง
"แม่"
ทัพวิ่งลงมาทรุดกราบเท้าแม่ จันทร์ประคองลูกชายไว้
"ทัพ"
ทัพกอดแม่ จวงยิ้มดีใจ
"พี่เฟื่องบอกแล้ว พี่ทัพต้องมาช่วยเรา"
ทัพกอดแม่กับน้องไว้คนละด้าน
"เราต้องรีบไป ทหารไอ้สังข์ต้องเข้ามาตามนายมัน"
ทัพมองเฟื่อง
"เกวียนอยู่ที่ไหน"
เฟื่องชี้ไปทางที่ขบวนเกวียนพักอยู่
"ทางโน้นจ้ะ"
"เฟื่องไปกับพี่ จวงเฝ้าแม่กับอาเฟี้ยมไว้ ได้ยินเสียงพี่ผิวปากค่อยออกมา"
"จ้ะ พี่ทัพ"
จวงพาแม่กับอาหลบไปหลังพุ่มไม้ ทัพกับเฟื่องวิ่งเร็วไปทันที

ทั้งคู่หลบกันมา เห็นขบวนเกวียนเปล่าที่ผูกอยู่ ทหารยาม 2 คนเฝ้าอยู่ แต่นั่งหาว คนหนึ่งสัปหงก อีกคนนั่งตบยุง ทั้งคู่ลอบเข้าไปใกล้ ทัพเอาดาบตัดเชือกที่มัดร้อยเกวียนไว้ด้วยกัน
เฟื่องค่อยๆดึงเกวียนออกมา ทัพแยกไปทางทหารยามคนที่นั่งตบยุง ย่องเข้าด้านหลังแล้วฟันลงที่สันคอจนสลบกลางอากาศ
ทัพหันมาเจอทหารคนที่สัปหงกกำดาบพุ่งเข้ามา เฟื่องเอาไม้ฟาดลงกลางหัวทหารที่กำลังจะถึงตัว ทัพยิ้มชอบใจ

เกวียนเทียมวัวที่มีจันทร์ เฟี้ยม จวงนั่งกันมา ส่วนทัพกับเฟื่องอยู่บนหลังอ้ายเลา ทัพกอดกระชับเฟื่องไว้แนบอก พระจันทร์สวย ส่องสว่างลงที่คู่รัก
"คิดถึงบ้างมั้ย เพื่อง"
"ไม่คิดถึงเลยสักนิด"
"ไม่เป็นไร นี่คิดถึงเฟื่องคนเดียวก็พอ"
ทัพกระชับกอดแน่น จนเฟื่องยิ้ม หนทางคดเคี้ยว ทัพบนหลังม้ากอดคนรัก นำเกวียนที่มีแม่กับน้องสาวเดินทางลัดเลาะไปในความมืด

กลุ่มชาวบ้านราว 20 คนที่พากันนอนพักกลางป่า ผู้ใหญ่แสงกับพรานจาดนอนกันคนละมุม
เจิดนั่งเป็นยามอยู่กับใจ
"พ่อเค้าจะไปกับชาวบ้านพวกนี้จริงๆเหรอวะ ใจ"
"ก็ดีสิพี่เจิด"
"คนที่ว่าดีคงมีเอ็งคนเดียว เพราะได้ใกล้ชิดน้องสไบ"
"ฉันแค่เป็นห่วงสไบ"
พรานใจหันไปมองเห็นสไบนอนหันหลังให้ อยู่ข้างผู้ใหญ่ เขาถอนสายตากลับมา
แต่ใจไม่เห็นว่าสไบนอนลืมตา อมยิ้มฟังอยู่
"เราเป็นพรานนะใจ ไม่ใช่ชาวบ้าน ข้าไม่อยากโดนจับเป็นเชลย" พรานเจิดบอก
"ถึงถูกจับ เราก็ไม่ตาย"
ใจหันมาทอดสายตามองสไบ
"แต่พวกเค้าไม่เหมือนเรา เค้าเป็นแค่ชาวบ้าน ทำมาหาเลี้ยงตัวไปวันๆ"
"ก็เหมือนพรานอย่างเรา ใจ .. ชาวบ้านพวกนั้นเหมือนเรา ทำงานของตัวเอง"
เจิดมองจ้องหน้าใจ
"ไปถึงกระทุ่มด่านเมื่อไหร่ ก็ต้องแยกย้ายกัน"
พรานใจมองพี่ชายแววตาเจิดเข้มกว่าปกติ เขาไม่พูดอะไรต่อ มองไปไกล สีหน้าขรึมลงทันที

บนเรือนของกำนันพัน แฟงเดินไปเดินมา มองไปทางเข้าเรือน
"พี่เฟื่องจะเป็นยังไงบ้าง"
เมียกำนันพันเดินออกมา มองสงสารแฟง
"ยังไม่มากันอีกหรือ"
แฟงหันกลับมามองทางเมียกำนัน
"ยังจ้ะ แต่ต้องมาแน่ๆ"
"มีทั้งผู้หญิงทั้งคนแก่ หนทางมาก็ลำบากอยู่นะ แฟง"
"ยังไงพี่ทัพก็ต้องพาแม่ พาพี่เฟื่อง พี่จวงมาจนได้จ้ะ"
เมียกำนันแค่ยิ้มให้แล้วเดินไปทางห้องนอน
แฟงไหล่ห่อ รอยยิ้มของความมั่นใจลดลงทันทีที่อยู่คนเดียว
"แฟง"
แฟงได้ยินเสียงพี่สาวก็สะดุ้งผุดลุกขึ้น
"พี่เฟื่อง"
แฟงหันไปมองทางเข้าบ้าน เห็นเฟื่องนั่งมากับทัพ ถัดไปคือเกวียนของแม่ แฟงวิ่งลงบันไดมาอย่างเร็ว
"แม่ พี่เฟื่อง"
จวงดึงวัวให้เกวียนหยุดลง เฟื่องลงมาจากอ้ายเลา แฟงวิ่งมากอดพี่สาวไว้ ทัพลงจากม้า ไปช่วยจวงพาเฟี้ยมกับจันทร์ลงมาจากเกวียน แฟงวิ่งมากอด
"แม่"
เฟี้ยมยิ้มกอดลูกสาว
"จะร้องไห้ทำไม นังแฟง ข้ายังไม่ตายสักหน่อย"
"ก็ฉันดีใจ"
ทัพแหย่
"ดีใจก็ต้องยิ้มสิ แฟง ดีใจแล้วร้องไห้ เอ็งท่าจะเป็นบ้า"
แฟงมองทัพ แหวขึ้นด้วยเสียงแง่งอนทันที
"ทำไม พี่ทัพ ฉันดีใจต้องเหมือนคนอื่นเค้าด้วยหรือ ฉันจะดีใจแล้วร้องไห้ พี่มาห้ามฉันทำไม หรือว่าถือเป็นบุญคุณพาแม่ พาพี่เฟื่องกลับมาได้ เลยกะเกณฑ์ สั่งฉันให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้"
"เอ้า เอ้า อะไรของเอ็ง นังแฟง ข้าแหย่หน่อยเดียว โมโหเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนี้ อีกหน่อยข้าจะไม่พูดด้วย"
"พี่ก็ไม่ต้องพูดกับฉันซะเลยตอนนี้"
"แฟง พี่ทัพเค้าก็ยั่วเล่นๆ จะหน้าบึ้งไปทำไม ยิ้มสิ ไม่ดีใจหรือแม่กับพี่กลับมา"
เฟื่องปลอบน้อง แฟงกอดพี่สาวด้วยความคิดถึง
"คิดถึงสิ ฉันทั้งคิดถึงทั้งห่วงแม่กับพี่เฟื่องใจจะขาด ถ้าเป็นผู้ชายจะขอตามไปฟันหน้าไอ้สังข์ไอ้ขาบให้หายแค้น มันสองคนเป็นยังไงบ้างพี่เฟื่อง"
เฟื่องมอง ทัพยิ้ม
"ไม่เป็นอะไรเลย"
"ไม่เป็นอะไรเลย ทำไม ..พี่ทัพ พี่น่ะสิ เป็นบ้ามากกว่าฉัน ที่ปล่อยไอ้เพื่อนทรยศสองคน"
แฟงโวยวาย ตรงข้ามกับทัพที่เอาแต่ยิ้ม

สังข์ที่มองกลุ่มชาวบ้านเตรียมพร้อมเดินทางต่อ ขาบอยู่บนม้าใกล้ๆ สีหน้าเครียด
"ไอ้ทัพมันหยามข้านัก ไม่ฆ่าก็เหมือนฆ่า ปล่อยให้ได้อาย"
"ข้าว่าเรารีบไปกรุงศรีก่อนเถอะ นายกอง ช้ากว่านี้ อาจจะเจอทัพอังวะ เรื่องไอ้ทัพ .. ค่อยกลับมาจัดการ"
"ข้าไม่ไป"
"นายกองจะขัดอาญาหลวง"
"อาญาหลวงคือตามริบไพร่ที่หนีเกณฑ์ ข้าต้องตามจับไอ้ทัพให้ถึงที่สุด ข้าจะได้ความดีความชอบ"

สังข์แววตาแค้นคุโชน

ทัพที่นั่งอยู่ตรงกลาง มองกำนันพัน ส่วนกลุ่มผู้หญิงนั่งห่างมา

"ฉันจะไม่รบกวนให้อากำนันเดือดร้อน"
"เอ็งจะเข้าป่าไปสมทบพรรคพวกที่เหลือ ก็เท่ากับเป็นชุมนุมโจรนะ ทัพ ตรองดูให้ดี"
"เป็นโจรก็ต้องเป็น"
เฟื่องกับแฟงมองทัพด้วยสายตากังวล
"แต่ฉันจะเป็นโจรที่ปล้นค่ายอังวะเท่านั้น ไม่คิดจะปล้นพี่น้องไทยด้วยกัน เหมือนก๊กอื่นหมู่อื่น"
ทัพแววตาเคร่งขรึมเมื่อนึกถึงสิ่งที่เห็นผ่านมาตลอด
"ถึงได้ชื่อว่าเป็นโจร เพราะฉันไม่ยอมก้มหัวให้คนเลว แต่ใจรักชาติของโจรอย่างฉันก็ไม่ด้อยกว่าทหารกรุงคนไหน ฉันตั้งใจแล้วว่าจะรวมคนกล้าลอบปล้นค่ายอังวะ เอาเสบียงมาแจกจ่ายพี่น้องไทยที่กำลังอดอยาก มันคิดจะปล้นแผ่นดินเรา ฉันก็จะปล้นพวกมันเอาคืนให้หนักยิ่งกว่า"
ทุกคนมองทัพที่จิตใจอาจหาญ เฟื่องมองคนรักด้วยสายตาเป็นห่วง ตรงข้ามกับแฟงที่มองชื่นชมทัพเหมือนวีรบุรุษ

ในป่า กลุ่มชาวบ้านที่มีผู้ใหญ่แสงนำทางมากับพรานจาด ด้านหลังเจิด ใจ และสไบคอยปิดท้าย
ชาวบ้านพากันเหนื่อยเปลี้ย หลายคนนั่งลง ผู้ใหญ่แสงมองไปรอบๆป่า
"นี่เราหลงทางกันหรือเปล่า"
"พูดแบบนี้ เหมือนดูถูกพ่อฉัน" เจิดบอก
"ไม่ได้คิดจะดูถูกอะไรเลย พ่อเจิด แต่ทางมันไกล ฉันเองไม่เคยลัดเลาะมาเส้นนี้"
จาดยืนยัน
"มาถูกแล้ว ถ้าไปอีกทางจะเจอทหาร"
"อีกไกลมั้ยจ๊ะ พ่อจาด" สไบถาม
"ชั่วเย็นก็น่าจะถึง"
ผู้ใหญ่มองไปที่ชาวบ้าน
"เร่งเดินเถอะ ถ้าเจอทหารอังวะกลางทาง เราจะไม่รอด"
ชาวบ้านพากันพยุงลุกขึ้น พรานทั้ง 3 มองหน้ากัน ใจหันไปทางสไบที่ปาดเหงื่ออยู่
"ทนหน่อยนะ สไบ"
"จ้ะ ฉันทนได้แผลที่ขาพี่ล่ะ"
"ไม่เป็นไร พี่เจิดพอกยาให้เมื่อเช้าแล้ว"
"เอ้า ไป ไป คืนนี้จะได้ไปกินข้าวปลาอาหารที่กระทุ่มด่านให้อิ่มหนำ"
เจิดนำทางบ้าง ทุกคนเดินตาม ใจกับสไบยิ้มให้กัน เดินเคียงกันไป

บนเรือนกำนันพัน ทัพก้มลงกราบแม่ จันทร์แตะหัวลูก จวงนั่งมองเป็นห่วงพี่ชาย
"ไปดีมาดีนะ ทัพ แม่จะรอเอ็งกลับมาที่นี่"
ทัพกราบแทบเท้าแม่ มองด้วยสายตาสุดรัก
"ฉันจะกลับมาหาแม่จ้ะ"
ทัพหันไปทางจวง
"จวง เอ็งต้องดูแลแม่ให้ดี"
"จ้ะ พี่ทัพ"
ทัพเข้าไปกอดแม่กับน้องสาวไว้ แววตามุ่งมั่น
"ไม่ต้องห่วงฉันนะ แม่ ฉันจะต้องรอดปลอดภัย คุณพระจะต้องคุ้มครองให้ฉันไล่ศัตรูออกไปจากแผ่นดิน"

ฝ่ายเฟื่องที่ยืนรออยู่ข้างอ้ายเลา ทัพเดินลงจากเรือน ตรงมาที่เฟื่อง
"พี่ทัพ"
เฟื่องน้ำตาคลอ ทัพเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
"อย่าร้องสิ เฟื่อง เอ็งต้องอวยชัยให้รอยยิ้มกับพี่"
"ฉันกลัว พี่ทัพ"
"ไม่ต้องกลัว คนรักของเฟื่อง ฝีมือดาบเลื่องลือ ไหนจะฝีมือหมัดมวย"
"แต่ข้าศึกมีมากมาย ฉันกลัว"
"จำสัญญาที่ตาล 5 ต้นของเราได้มั้ย"
ทัพมองด้วยสายตารัก เฟื่องหลบตาอายๆ ทัพขยับมาใกล้
"พี่จะมีเฟื่องเป็นหญิงอันเป็นที่รัก เป็นแม่เรือน เป็นแม่ของไอ้ตัวเล็กๆ เป็นแม่ยอดชีวิตของพี่เพียงคนเดียว"
"พี่ทัพต้องรักษาตัว กลับมาหายอดรักของพี่คนนี้นะจ๊ะ"
"จ้ะ เฟื่อง พี่จะกลับมารับเฟื่องตามสัญญา ไม่ว่าจะโดนคมดาบของศัตรูหน้าไหน พี่ก็จะกลับมานอนซบลงในตักเฟื่องยอดรัก"
เฟื่องรีบเอามือปิดปากทัพ
"ไม่จ้ะ ไม่พูดอย่างนี้"
ทัพจูบมือเฟื่องเบาๆ เฟื่องดึงมือออกด้วยความเขินอาย
"รอพี่นะ เฟื่อง รอพี่คนเดียว"
"จ้ะ พี่ทัพ พี่ไปกำจัดศัตรูให้สาแก่ใจ ไม่ต้องพะวงว่าใจฉันจะเปลี่ยนหัวใจของเฟื่องจะมีพี่ทัพเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว"
ทัพมองเฟื่องด้วยสายตาชื่นใจ เฟื่องมองส่งทัพด้วยสายตาสุดรักเช่นกัน
ทัพขึ้นม้า ดึงอ้ายเลาห่างออกไป
เฟื่องมองตามจนสุดสายตาด้วยใบหน้าที่มีแต่ความรักและเต็มใจที่จะรอคอย

ทัพชักอ้ายเลา ม้าคู่ใจ มาจนจะพ้นเขตบ้านเข้าสู่เขตป่า แฟงโผล่พรวดออกมาจากพุ่มไม้ ขวางหน้า ทัพดึงอ้ายเลาหยุดแทบไม่ทัน
"แฟง"
ทัพมองแฟงที่ยืนขวางอย่างฉุนๆ
"มาขวางไว้ทำไม เดี๋ยวอ้ายเลาตกใจ มันจะเตะเอ็งเอวเคล็ด"
"พี่ฟักบอกให้พี่รอ แล้วจะมาส่งข่าว"
"ข้าใจเย็นรอไม่ไหวหรอก แฟง"
"พี่รู้เหรอ พี่ฟักจะไปที่ใด"
ทัพยิ้ม แฟงใจร้อน มองรอยยิ้มของทัพแล้วโมโห
"พี่ฟัก อย่ามัวแต่ยิ้ม"
ทัพยังยิ้ม แฟงเข้ามาดึงเชือกอ้ายเลา
"เฮ้ย เฮ้ย เดี๋ยวพี่ก็หล่นพอดี แฟง"
"จะบอกไม่บอก"
"บอกจ้ะ บอกแล้ว"
แฟงมอง ทัพยิ้มแบบยอมแพ้แล้ว
"พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ฟักมันอยู่ที่ไหน แต่คิดว่าน่าจะหาได้ไม่ยาก ค่ายอังวะอยู่ที่ไหน พี่ก็ไปที่นั่น"
"พี่จะกลับมาอีกเมื่อใด"
"วะ .. พี่จะรู้หรือแฟง ยังไม่ได้ออกเดินทางเลย เอ็งนี่ใจร้อนจริง"
"ให้ฉันไปด้วยได้มั้ย"
"ไม่ได้"
แฟงเสียงออดอ้อน
"พี่ทัพ"
"ไม่ต้องคิด ... เลิกคิด เอ็งเป็นหญิง"
"แล้วหญิงมันรักบ้านรักเมือง ไปรบกับข้าศึกไม่ได้หรือ"
"ไม่มีใครห้ามผู้หญิงหวงแหนแผ่นดิน แต่หน้าที่จับดาบรบมันของผู้ชาย แฟง .. อย่าห้าวหาญให้เกินหญิง อย่ารั้นให้เฟื่องปวดหัว อยู่ดูแลแม่ที่นี่ มีอะไรหยิบจับได้ ก็ต้องช่วย"
ทัพมองแฟงอย่างตั้งใจสอน
"อีกหน่อยที่นี่จะมีคนหนีภัยศึกมาเพิ่มขึ้น แฟงต้องช่วยหุงหาดูแลคนพวกนั้น"
ทัพกำลังจะไป แฟงเดินตาม
"จะตามมาทำไมเล่า แฟง กลับไปช่วยเฟื่องป้อนยาแม่ซะ"
"ฉันจะบอกพี่ว่า ..."
แฟงนิ่งอั้นไป ไม่รู้ว่าควรพูดหรือเปล่า
"จะบอกอะไรพี่"
"คือ ..."
"บอกมา"
"ขอให้พระคุ้มครองพี่ทัพ"
ทัพยิ้ม เอามือลูบหัวแฟง ขยี้ผมเหมือนเอ็นดูเด็ก แล้วดึงม้าออกไป แฟงขยับมองตาม รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า มือแตะผมที่ทัพเพิ่งลูบ อมยิ้มมองตามด้วยหัวใจพองโต

ตะวันตรงหัว กลุ่มของใจเดินทางกันมานาน ท่าทางชาวบ้านหิวน้ำ ปากแห้ง ผู้ใหญ่แสงเองก็หมดแรง สไบประคองพ่อที่กำลังจะล้ม
ใจเข้ามาช่วยประคองผู้ใหญ่นั่งลง สไบยิ้มให้ ใจเดินไปหาพ่อกับพี่ชาย
"เราพักกันอีกเดี๋ยวได้มั้ย"
"ไม่ได้แล้ว พักอีก จะไปไม่ถึง"
"มีทั้งผู้หญิง คนแก่ คนป่วย คงไปเร็วกว่านี้ไม่ได้" เจิดบอก
"ต้องไป ไม่งั้นจะเจอ" จาดบอก
จาดยังพูดไม่ทันจบ ทหารลาดตระเวนของอังวะโผล่ผ่านพุ่มไม้เข้ามา ทุกคนตกใจ
"จับให้หมด"
"ไป หนีไป" ใจบอก
ใจ เจิดเข้ามาขวาง
สไบดึงพ่อ ชาวบ้านพากันลูกวิ่งหนีกระจัดกระจายด้วยความกลัวตาย ทหารอังวะจะเข้าล้อมสไบกับพ่อ ใจโดดเตะจนทหารล้ม
"ไป.... สไบ วิ่ง"
สไบกุมมือพ่อวิ่งไปจากตรงนั้น แต่เห็นเจิด จาด ใจกำลังโดนทหารอังวะล้อมไว้

สไบวิ่งมากับพ่อ พร้อมชาวบ้านอีก 4-5 คนวิ่งตามมา ทัพควบอ้ายเลาผ่านมา สไบกับผู้ใหญ่หยุดมอง สไบจำได้ว่าเคยเห็นที่หมู่บ้าน
"คนที่เคยช่วยเรา ช่วยด้วยจ้ะพี่" สไบชี้มือไป "ตรงนั้นในป่า เราถูกทหารอังวะล้อม พี่ชายช่วยด้วยเถิด ช่วยด้วย"

ทัพดึงม้าพุ่งไปทันที สไบมองตามด้วยความเป็นห่วงใจกับพวก
 
อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น