ภพรัก ตอนที่ 1
“Love is composed of a single soul inhibiting two bodies”
“ความรักคือหนึ่งวิญญาณที่แบ่งอยู่ในสองร่าง”
อริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีก
น้ำริน หญิงสาวผู้โฉบเฉี่ยว กำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าบรรจงแต่งแต้มสีสันในใบหน้าอยู่ในห้องแต่งตัวภายในเวดดิ้งสตูดิโอ
น้ำรินโพสต์ท่าถ่ายรูปชุดแต่งงานสวยงาม พลางยิ้มแย้มให้กับผู้เป็นมารดา
“ชุดนี้ผ่านมั้ยคะคุณแม่”
ธาราที่กำลังคุยกับลุกสาวผ่านทางเฟซไทม์ตอบกลับมา “แม่ว่ามันโป๊ไปหน่อยนะ”
“แหม ไม่หรอกค่ะ พี่ธรน่าจะชอบชุดนี้”
“ลองเปลี่ยนเป็นอีกชุดดีกว่า ขอแบบที่มันดูหวานๆ กว่านี้สักหน่อยแบบนี้เปรี้ยวเกินไปนิด”
น้ำรินพยักหน้ายิ้มๆ “ก็ได้ค่ะ น้ำยอมเพราะเป็นคุณแม่นะคะ”
จากนั้นก็เดินออกมาจากมุมถ่ายภาพ พร้อมกับหันไปบอกช่างเสื้อ
“ขอลองชุดที่เลือกไว้แบบที่สาม คุณแม่ยังเหลือเวลาคอมเม้นท์ชุดให้น้ำอยู่รึเปล่าคะ”
ในจอของคอมพิวเตอร์ iMac ขนาดใหญ่ ธารากำลังหันไปเซ็นเอกสารสำคัญอยู่
“หมดเวลาแล้วจ้ะ ต้องรีบเข้าประชุมเรื่องสาขาสมุยแล้ว”
น้ำรินทำน้ำเสียงออดอ้อน “แหม คุณแม่ ดูให้น้ำอีกสักชุดไม่ได้เหรอคะ นะคะ.. นะคะ อีกแป๊บเดียว”
“ไม่ได้จริงๆ จ้ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวน้ำเอารูปมาให้แม่ดูตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ตกลงมั้ย”
น้ำรินถอนหายใจ “คุณแม่สัญญาแล้วนะคะว่าจะช่วยน้ำเลือก อย่าผิดสัญญานะคะ”
“แม่สัญญา ปล่อยให้แม่ไปประชุมได้รึยัง”
น้ำรินทำหน้างอน “ก็ได้ค่ะ น้ำรักแม่นะคะ”
จากนั้นน้ำรินก็เดินมาปิดหน้าจอคอมฯ แล้วเดินออกไป อีกด้านหนึ่งธาราก็ปิดหน้าจอคอมฯ ของตัวเอง แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานเช่นเดียวกัน
CUT /
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ ธารานั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ ด้วยท่าทางมีอำนาจ ภพธรกับนับดาวนั่งอยู่ข้างๆ กัน ธาราหันมามองภพธรด้วยสายตาตำหนิ
“ทำไมวันนี้ไม่ไปลองชุดแต่งงานกับน้ำริน เธอเป็นเจ้าบ่าวนะภพธร”
ภพธรหน้าเจื่อน
“โรงแรมเรามีปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับที่ดินของชาวบ้าน ข้างรินธารารีสอร์ทที่สมุยครับ”
“ปัญหาอะไร บอกแล้วไงว่าถ้าชาวบ้านคนไหนมีปัญหา ก็ให้ใช้เงินซื้อไป”
นับดาวช่วยพูดแก้แทน
“พี่ธรติดต้องตรวจเอกสารเข้าประชุมวันนี้ด้วยค่ะ กลัวว่าเจ้าหน้าที่จะเตรียมไม่เรียบร้อย”
ธารามองนับดาวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“เธอก็เหมือนกัน แทนที่จะไปกับเพื่อน ปล่อยให้น้ำรินไปคนเดียวได้ยังไง”
นับดาวก้มหน้าไม่กล้าเถียง ธาราหันมาพูดกับภพธร
“เดี๋ยวช่วงพักการประชุมออกไปโทรหาน้ำรินด้วย น้องจะได้ไม่คิดมาก”
“ครับคุณอา”
“แล้วค่ำนี้ไปเลือกดูชุดแต่งงานกับน้ำริน”
ภพธรรับคำ จากนั้นธาราก็เริ่มประชุม
“เรื่องสาขาที่สมุย ฉันต้องการเปิดให้ทันปลายปีนี้”
ภพธรทำหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
ขณะที่น้ำรินยังคงโพสต์ท่าถ่ายรูปในชุดแต่งงานอย่างคล่องแคล่ว ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามาบอกช่างภาพ
“เร่งมือหน่อยนะคะ น้ำมีนัดทานข้าวเย็นกับเจ้าบ่าวตอน 6 โมงเย็น”
“ทันแน่นอนค่ะ”
“รับปากกับน้ำแล้วนะ พี่ต้องรับผิดชอบถ้าน้ำไปไม่ทันนัด”
น้ำรินพูดด้วยน้ำเหมือนทีเล่น แต่แววตาเอาจริง
เส่งที่นั่งอยู่กลางห้องสอบสวน จ้องหน้าไปที่เหยี่ยวอย่างไม่กลัวเกรง
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำ ฟังภาษาคนไม่ออกเหรอ”
“งั้นอธิบายให้ฟังหน่อย”
เหยี่ยวพูดพลางโยนท้อปบู้ตโครมลงที่โต๊ะ เศษทรายเศษดินกระจาย
“เศษทรายกับดินที่ติดอยู่ใต้ท้อปบู้ตของแกเนี่ย มันมาจากไหน”
“เดินไปที่ไหนก็ติดมา แปลกตรงไหน”
เหยี่ยวจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“ตรงที่ตรวจสอบแล้ว มีสารเคมีตั้งต้นของการทำยาเสพติดชนิดร้ายแรงที่เราเพิ่งยึดมาได้จากโกดังริมน้ำ”
เส่งหน้าจ๋อย แต่ยังปากแข็ง “ยังไงกูก็ไม่ยอมรับ มีปัญญาก็ฟ้องไปสิ”
เหยี่ยวเหลืออด กระชากตัวเส่งขึ้นมาจ้องหน้า
“มีหลักฐานขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรับ มึงอยากลองของใช่มั้ย เลือกเอา รับสารภาพ หรือตายคาตีน”
ที่มุมหนึ่งของห้องมีกระเป๋าเอกสารของทนายวางอยู่ กระเป๋าใบนั้นมีกล้องขนาดเล็ก ที่กำลังแอบถ่ายเหยี่ยวอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ตัว
เหยี่ยวเดินเข้ามาตามทางเดินยาวในสำนักงานสืบฯ จ่านกน้อยเดินเข้าประกบแบบคุ้นเคย
“แหมๆ ระรื่นชื่นใจแบบนี้ ดีใจล่ะสิที่ทำให้ไอ้เส่งรับสารภาพได้”
“มันอึดน้อยกว่าที่คิด “
นกน้อยตกใจ “อย่าบอกนะว่าหมวดใช้วิธีเดิม”
เหยี่ยวไม่ตอบ แต่ยิ้มเหี้ยมๆ แบบมีเลศนัย
“แต่ผู้การเคยเตือนไว้แล้วนะหมวด”
“ไม่มีพยานหลักฐาน ใครจะรู้”
เหยี่ยวยักไหล่อย่างไม่แคร์ แล้วก็เดินออกไป นกน้อยส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น น้ำรินที่ถ่ายชุดสุดท้ายเสร็จพอดี รีบรับสาย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เปลี่ยนชุดแล้วจะรีบออกไปเลย ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
น้ำรินกดวางสาย จากนั้นก็เดินออกไป
สงครามหมุนตัวมาชี้หน้าเหยี่ยวด้วยความไม่พอใจ
“เตือนแล้วใช่มั้ยว่าอย่าใช้กำลัง”
“ท่านสั่งปล่อยตัวไอ้เส่งได้ยังไง”
สงครามไม่ตอบ แต่กลับกดปุ่มโน้ตบุ๊คตรงหน้า แล้วหมุนหน้าจอให้เหยี่ยวดู ในจอเป็นภาพที่เหยี่ยวกำลังซ้อมผู้ต้องหา ซึ่งถูกโพสต์ไว้ในโซเซียลเน็ตเวิร์ค พร้อมข้อความ “ซ้อมผู้ต้องหา”
“ภาพนี้กระจายไปทั่วโซเซียลเน็ตเวิร์คเมื่อชั่วโมงที่แล้ว”
เหยี่ยวฉุกคิดนิดหนึ่ง “ต้องเป็นไอ้ทนายแน่ๆ มันซ่อนกล้องไว้ในห้องสอบสวน”
สงครามชี้หน้าเหยี่ยว แล้วสั่ง “พักงานสองอาทิตย์ คุณถูกถอนออกจากคดีนี้”
“แต่ว่า”
“ไม่มีคำว่าแต่ กี่คดีมาแล้วที่ต้องล้มเพราะความระห่ำของคุณ “
เหยี่ยวหน้าสลดลงนิดหนึ่ง
“จะทำอะไรคิดถึงพ่อตัวเองบ้าง วิหคจะเสียใจแค่ไหนถ้ารู้ว่ามีลูกชายไม่ได้เรื่องแบบนี้”
เหยี่ยวเครียดขึ้นทันทีเมื่อสงครามพูดถึงพ่อ
ขณะที่เหยี่ยวเดินอยู่บนทางเดินในสำนักงานสืบฯ ก็หันไปเห็นข่าวโทรทัศน์ปรากฏภาพข่าวอุบัติเหตุรถยนต์น่าสยดสยอง มีเจ้าหน้าที่ฯ หลายคนกำลังมุงดูข่าวอยู่
“รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้โดยสารบนรถเสียชีวิตทั้งคู่ นับเป็นข่าวอุบัติเหตุจากความประมาทอีกครั้งบนถนนหลวงสายนี้”
เหยี่ยวเมินหน้าไม่อยากดู แล้วหยิบรีโมทที่วางอยู่ใต้โทรทัศน์ปิดหน้าตาเฉย เจ้าหน้าที่ ที่ล้อมวงดูอยู่ต่างหันมามองหน้าอย่างไม่พอใจ เหยี่ยวทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็เดินออกไปจากตรงนั้นทันที เจ้าหน้าที่หันมาคุยกัน
“ปมชีวิตเค้า ปิดทุกครั้งที่มีข่าวรถชน”
เหยี่ยวนั่งอยู่ในห้อวงทำงาน พลางมองภาพถ่ายครอบครัวพ่อแม่ลูกในวัยเด็กบนโต๊ะ ในภาพวิหคบิดาของเหยี่ยวแต่งเครื่องแบบตำรวจยศพลตำรวจเอก นกน้อยเดินเข้ามาตบไหล่ปลอบใจ
“แฮททริก หมวดทำเจ๊งสามคดีรวด นับถือๆ”
เหยี่ยวเหลือบสายตามองดุๆ นกน้อยยังระรื่นตามสไตล์
“จะเครียดไปทำไม ถือว่าได้พักร้อนน่า ยังไงซะผู้การสงครามก็ฟันหมวดไม่ลงหรอก เพราะหมวดเป็นลูกชายเพื่อนซี้”
เหยี่ยวไม่พูดด้วย ผลุนผลันลุกขึ้นจากเก้าอี้คว้าแจ็กเก็ตมาสวมแล้วเดินออกไปด้วยแววตาเครียด
น้ำรินเลือกแบบชุดใหม่เรียบร้อยดูสวยงาม กำลังสะพายกระเป๋าจะเดินออกไป ช่างเสื้อรีบบอก
“พี่จะสั่งผ้าที่ดีที่สุดจากอิตาลี่ แล้วจะโทรบอกให้มาเลือกดูอีกทีนะคะ”
“ดีที่สุดนะคะ อย่าทำให้น้ำผิดหวัง”
ช่างเสื้อแอบเซ็ง แต่ปั้นหน้ายิ้มไว้
น้ำรินเชิ่ดหน้าเดินออกไป ช่างเสื้อเดินไปส่ง ช่างแต่งหน้ารีบเดินออกมา
“คุณน้ำ ลืมสร้อยค่ะ”
น้ำรินรับสร้อยล็อกเก็ตสัญญลักษณ์ P&N อันหมายถึงภพธร&น้ำริน มาสวมที่คอ พร้อมๆ กับที่เสียงมือถือดังขึ้น
“ค่ะคุณแม่ เรียบร้อยแล้วค่ะ แบบดอกไม้ห้องจัดเลี้ยงที่คุณแม่ส่งมาให้ถูกใจน้ำมาก เหมือนขนดอกกุหลาบขาวมาทั้งสวนเลย คงมีแต่แม่กับพี่ธรเท่านั้นที่รู้ใจน้ำที่สุด”
น้ำรินพูดมือถือพร้อมเดินเชิดหน้าออกไปด้วยท่าทางหยิ่งๆ และมั่นใจในตัวเอง
น้ำรินเดินมาขึ้นรถสปอร์ตที่จอดอยู่หน้าสตูดิโอ พร้อมกับก้าวเข้าไปยังที่นั่งคนขับ กำลังจะขับออกไป เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีก
“ขาพี่ธร น่ารักจังเลยอุตส่าห์โทรมาเตือนให้ทานยา เกือบลืมแล้วนะคะเนี่ย ขอบคุณค่ะ รักนะคะ”
น้ำรินกดวางสาย ก่อนจะหยิบยาที่อยู่ในรถมาทาน แล้วจึงขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
เหยี่ยวเดินมาที่จักรยานเมาเทนไบค์ของตัวเอง จากนั้นก็หยิบหมวกมาใส่ กำลังจะขี่รถออกไป
นกน้อยเดินตามเข้ามาหา
“เอาน่าหมวด คิดซะว่าได้พักไปหาแฟน”
“หามาทำไมให้ปวดหัว ทุกวันนี้มีปัญหาน้อยไปเหรอ”
นกย้อยยิ้มขำ “เผื่อความรักจะทำให้หมวดใจเย็นลง จิตใจอ่อนโยนขึ้นไง”
เหยี่ยวส่ายหน้าช้าๆ “ความรักคือภาระ แฟนคือตัวถ่วง”
“อย่าพูดอย่างนั้น ทำยังกับไม่เคยรักใคร ลืมหมวดแนนไปแล้วเหรอ”
เหยี่ยวมองหน้านกน้อย แล้วจูงจักรยานกำลังจะขี่ออกไป นกน้อยมองจักรยาน แล้วอดถามไม่ได้
“หมวด เมื่อไหร่จะกล้าขับรถซะที มันเร็วกว่าจักรยานเยอะเลยนะ”
เหยี่ยวเงยหน้ามองนกน้อยด้วยแววตาดุๆ
“ฝากบอกยายนวลว่าคืนนี้มีนัดที่เดิมนะหมวด ที่เดิม จุดเริ่มต้นของความรวย”
เหยี่ยวส่ายศีรษะเบื่อหน่ายในความไร้สาระของนกน้อย จากนั้นก็ขี่จักรยานออกไป
น้ำรินขับรถมาตามถนนสวยในบรรยากาศใกล้ค่ำ พร้อมกับเปิดวิทยุเสียงดัง ครู่หนึ่งก็มีเสียงเรียกเข้าของเฟซไทม์เข้ามา
น้ำรินกดรับ เมื่อเห็นจอภาพในมือถือที่ติดไว้ในรถเป็นภพธรนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ก็ยิ้มอย่างอามรมณ์ดี
“ว่าไงคะ มีอะไรอีกคะ”
ภพธร ที่นั่งคุยอยู่ที่โต๊ะทำงาน ย้อนถามกลับมา “ถึงไหนแล้วจ๊ะ”
“ถนนวงแหวนรอบนอก อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงเจอกันค่ะ”
“มาเร็วๆ นะ พี่คิดถึง”
น้ำรินยิ้มเขินๆ ยังไม่ทันตอบอะไร ก็ต้องเหยียบเบรกกะทันหัน จนหน้าแทบคะมำ เพราะจู่ๆ ก็มีรถสปอร์ตอีกคันหนึ่งแล่นเข้ามาปาดหน้าหน้า
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรค่ะ เดี๋ยวเจอกันค่ะพี่ธร”
น้ำรินกดปิดเฟซไทม์ พร้อมกับมองไปทางเบื้องหน้าด้วยแววตาไม่พอใจ
“ท้าแข่งเหรอ?”
พูดพลางตบเกียร์ เหยียบคันเร่งเครื่องยนต์เต็มแรง พุ่งเข้าใส่รถสปอร์ตข้างหน้าแบบไม่ยอมแพ้ ต่างคนต่างปาดกันไปมาแบบไม่ยอมกัน
เหยี่ยวขี่จักรยานเมาเท่นไบค์มาตามถนนฝ่าการจราจรที่ติดขัด ด้วยอารมณ์เหงาๆ พอเห็นพ่อแม่ลูกขี่จักรยานไปพร้อมๆกัน สวนมา ก็มองตามอย่างคนที่โหยหาความอบอุ่นนั้น
เหยี่ยวขับผ่านแผงป้ายคัทเอาท์รณรงค์เมาไม่ขับ เห็นเป็นภาพรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุน่าหวาดเสียว
ก็เมินหน้าหนี พยายามลืมความหลังในวัยเด็ก แล้วขี่จักรยานต่อไปตามทาง
น้ำรินขับรถด้วยท่าทีที่ทะมัดทะแมงเอาเรื่อง ชลชาติที่ขับรถอีกคันอยู่ พยายามขับปาดไปมาอย่างไม่ยอมแพ้
น้ำรินตบเกียร์อย่างรวดเร็ว รถพุ่งทะยานแซงขึ้นไปหน้าคู่กรณี แล้วปาดหน้าไป พร้อมกับหัวเราะสะใจ ชลชาติหัวเสียรีบตบเกียร์ เหยียบคันเร่งไล่ตามแบบไม่ยอมกัน
น้ำรินปาดขึ้นหน้ารถชลชาติได้ แล้วแกล้งเหยียบเบรกเต็มแรง ชลชาติตกใจรีบหักพวงมาลัยหลบ รถเสยเข้ากับราวกั้นบึงน้ำขนาดใหญ่
น้ำรินหันขวับไปมองด้วยสีหน้าตกใจ ที่เห็นรถสปอร์ตของชลชาติลอยคว้างกลางอากาศ แล้วพุ่งตรงตกลงไปยังบึงน้ำ
ชลชาติหลุดออกมาจากรถที่ตกไปในบึงตายคาที่ น้ำรินตกใจ แต่พอเธอหันหน้ากลับมาก็ยิ่งตกใจมากกว่า
“ว้าย”
เหยี่ยวขี่จักรยานมาตามถนน จู่ๆ ก็มีความรู้สึกวูบจี๊ดเข้าไปในหัวใจโดยไม่รู้สาเหตุ พลางเอามือจับที่หน้าอกตัวเองไว้ พร้อมๆ กับที่เสียงวิทยุสื่อสารที่เหน็บอยู่บนแฮนด์จักรยานดังขึ้น
“ศูนย์วิทยุรับแจ้งเหตุ เกิดอุบัติเหตุรถตกบึง บริเวณ... แจ้งผู้เกี่ยวข้องทราบ”
เหยี่ยวหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจกลับรถจักรยาน แล้วขี่ออกไปในบริเวณที่รับแจ้งเพราะอยู่ใกล้กับพื้นที่ตัวเอง
ตำรวจและกองพิสูจน์ฯ กำลังลากรถชลชาติที่ตกน้ำขึ้นมา มีคนมุงดูอยู่เต็มไปหมด
เหยี่ยวกำลังตรวจดูเหตุการณ์อยู่กับเจ้าหน้าที่และตำรวจ พลางหันไปสั่งตำรวจด้านข้าง
“เก็บหลักฐานให้ครบนะ”
“ครับหมวด”
“เจ้าของรถเป็นยังไงบ้าง”
เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ช่วยกันอุ้มร่างของชลชาติที่ถูกห่อผ้าขาวผูกมัดปิดสนิทผ่านเหยี่ยวและเจ้าหน้าที่
“ตายคาที่ครับ”
เหยี่ยวพยักหน้ารับรู้ เดินไปตรวจดูที่ริมบึงน้ำขนาดใหญ่ มองไปรอบๆ เหมือนกำลังเก็บหลักฐาน
น้ำรินเดินเข้ามาด้วยท่าทางงงๆ พลางมองไปที่รถคันที่จมน้ำ ท่าทางเธองงๆ เหมือนจำอะไรไม่ได้
“คุณคะ ที่นี่ที่ไหนคะ”
ทว่าไม่มีใครตอบ ทุกคนทำเหมือนมองไม่เห็นเธอ น้ำรินหันไปถามตำรวจที่กำลังกางเส้นเหลืองอยู่
“คุณตำรวจคะ เกิดอะไรขึ้น”
ตำรวจไม่ตอบ น้ำรินตัดสินใจเดินผ่านแนวกั้นเข้าไปที่รถคันที่จมน้ำนั้น สีหน้าและท่าทางเธอดูงงๆ เหมือนจะจำอะไรไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
เหยี่ยวเดินเข้ามาเห็นด้านหลังของน้ำรินที่ยืนละล้าละลังอยู่
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคุณ”
น้ำรินหันมา แล้วรีบถาม“เอ้อ คุณตำรวจคะ ที่นี่ที่ไหนคะ”
เหยี่ยวตอบสถานที่ แล้วย้อนถามต่อ “คุณไม่รู้แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
ตำรวจคนหนึ่งหันมา โดยไม่รู้ว่าเหยี่ยวกำลังคุยอยู่กับน้ำริน
“หมวดครับ เชิญทางนี้หน่อยครับ”
เหยี่ยวหันไปทางตำรวจแล้วหันมาสั่งน้ำริน “คุณทะเล่อทะล่าเข้ามาในนี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็ตรงนี้มันเขตปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
ไทยมุงและตำรวจที่อยู่ห่างออกมาหันไปมอง แล้วงก็ทำหน้าเหวอที่เหมือนเหยี่ยวกำลังพูดกับใครก็ไม่รู้
“ออกไปก่อน”
เหยี่ยวกับน้ำรินสบตากันชั่วขณะ เหมือนเวลารอบตัวหยุดไปความรู้สึกบางอย่างมันผุดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ มันเหมือนดีใจ อิ่มใจ ปลื้มใจที่ได้เจอคนคุ้นเคย ทั้งๆที่ไม่เคยเจอกัน
“ออกไป อยู่ตรงหลังแนวต้นไม้นั่น อย่าเข้ามาจุ้นจ้าน”
เหยี่ยวเดินนำน้ำริน ที่เดินตามแบบงงๆ ให้ออกไปอีกทางหนึ่ง
ไทยมุงและตำรวจ เห็นเหยี่ยวเดินคนเดียว แต่ทำท่าเหมือนกำลังเดินนำใครออกไป
เหยี่ยวเดินนำน้ำรินออกมาในบริเวณที่จอดรถจักรยานของตัวเอง
“ออกมาตรงนี้เลย แล้วอย่าเข้าไปยุ่งตรงนั้นอีก”
พูดจบก็เดินออกไป น้ำรินมองตาม
เหยี่ยวเดินกลับเข้ามากำชับกับตำรวจและเจ้าหน้าที่
“ดูแลอย่าให้ใครเข้ามาในเขตนี้ เดี๋ยวจะเป็นการทำลายหลักฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจ”
เหยี่ยวพูดพลางหันไปชี้ให้ตำรวจดู แต่ไม่เห็นอะไรแล้ว
“อ้าว หายไปไหน เมื่อกี้ยังยืนอยู่ตรงนั้นอยู่เลย”
“แต่ผมไม่เห็นใครมาตั้งแต่ต้นแล้วนะครับหมวด”
เหยี่ยวนิ่วหน้ามองหา แต่เมื่อมองไม่เห็นก็ไม่ติดใจอะไร เดินกำชับตำรวจตรวจดูหลักฐานต่อไป
ภพธรกำลังหยิบรูปถ่ายคู่ระหว่างตัวเองกับน้ำรินขึ้นมาดู สีหน้าและแววตานิ่งเรียบ พลันเสียงโทรศัพท์ มือถือก็ดังขึ้น
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่มั้ย ดีแล้ว ขอบใจมาก”
ภพธรหันไปกดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงาน แล้วสั่งการ
“เร่งงานสร้างรินธารารีสอร์ทที่สมุยให้เร็วที่สุด ผมต้องการเปิดให้ได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้”
ภพธรวางหูโทรศัพท์ แล้วหยิบภาพถ่ายคู่ระหว่างตัวเองกับน้ำรินที่เหลือเก็บลงในโต๊ะทำงาน จากนั้นก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปทางห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกัน แล้วก็ถึงกับชะงักเมื่อเห็นจานใส่อาหารเย็นแบบง่ายๆ พร้อมแกงจืดและน้ำวางเตรียมไว้ให้อย่างสวยงาม
นับดาวยิ้มแย้มเดินเข้ามาหา ด้วยท่าทางสนิทสนม
“เห็นว่าค่ำมากแล้ว เลยเตรียมอาหารค่ำไว้ให้พี่ธร”
ภพธรส่ายหน้ายิ้มๆ “ขอบคุณมาก แต่พี่ยังไม่หิว”
“ทำไมดูพี่ธรไม่สบายใจเลย”
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”
นับดาวเดินไปแตะตัวภพธรอย่างคนคุ้นเคย
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะคะ ดาวยินดีช่วยทุกอย่าง คนใกล้แต่งงานก็แบบนี้แหละ ทำใจให้สบายเถอะค่ะ ในฐานะเลขา ดาวไม่อยากให้เจ้านายเครียดเกินไปนะคะ”
ภพธรที่ท่าทางยังคงเครียดอยู่ ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เชื่อดาวเถอะค่ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะต้องเป็นเรื่องดีเสมอ”
นับดาวพูดพลางจับมือภพธรไว้
“ยิ้มไว้สิคะพี่ธร พี่ธรต้องยิ้มนะคะ”
เหยี่ยวเดินกลับมาที่จักรยาน หยิบหมวกขึ้นมาใส่ แต่แล้วกลับมองเห็นสร้อยเส้นหนึ่งตกลงบนพื้นข้างจักรยานที่จอดอยู่ พลางหยิบขึ้นมาจ้องดู เห็นสร้อยสัญญลักษณ์ P&N
เขาชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วจึงเอาสร้อยล็อกเก็ตใส่กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตติดไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะขี่จักรยานออกไปจากบริเวณนั้น
คล้อยหลังที่เหยี่ยวขี่จักรยานออกไป พลันบังเกิดลมพัดพลิ้วเข้ามาหอบใหญ่ ใบไม้ปลิวกระจาย
ยายนวลนั่งอยู่ท่ามกลางนกน้อย , ปลาทู, ปูอัด และชาวบ้านอีกสองสามคน ทั้งหมดกำลังลุ้นกับการขูดต้นกล้วยหาหวยอยู่ในดง ท่ามกลางบรรยากาศวังเวง จู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอน ลมพัดแรง
ปูอัดมองซ้ายมองขวาชักกลัว “ทำไมต้องมาขูดที่หลังป่าช้าด้วยวะ”
ลมพัดแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงหมาหอนดังประสานเสียงกันมากขึ้น ยายนวลชักหวั่น
“จะไหวมั้ยไอ้นกน้อย เพื่อนเอ็งร้องทักใหญ่แล้วนะ”
“พี่จ่า จริงรึเปล่าที่เค้าบอกว่าหมาหอนเพราะมันเห็นผี”
ปลาทูหันมาถาม ปูอัดรีบพูดต่อทันที
“แล้วถ้าหมาหอนมากๆ เพราะมันเห็นผีตายโหงหลายตัว”
นกน้อยเผลอตัวตอบว่าจริง แล้วก็นึกได้
“เฮ้ย ! ไม่ใช่ พวกมึงอย่าทักดิวะ กูยิ่งหวาดๆ อยู่ มันจะหอนหาบิดาอะไรนักหนาวะ”
หมาหยุดหอนทันที พร้อมๆ กับที่ตุ๊กแกตัวหนึ่งตกลงมาที่กลางวง ทั้งหมดตื่นตกใจผวา จากนั้นก็ตกตามกันลงมาที่กลางวงอีกระนาวเป็นสิบตัว ทั้งหมดร้องลั่นด้วยความตกใจและกลัว
ทั้งหมดแตกกระเจิงกันออกไป ไม่เว้นแม้แต่ยายนวล กระทั่งมาถึงทางเปลี่ยวหลังป่าช้า ที่วังเวงเป็นอย่างยิ่ง นกน้อยประคองยายนวลที่หอบเหนื่อยวิ่งตามมาทางด้านหลัง โดยมีปลาทูกับปูอัดวิ่งนำหน้ามาก่อน ทันใดนั้นเสียงหมาหอนระงมอีกครั้ง ทั้งหมดสะดุ้งกันอีกหน มองซ้ายมองขวาแบบหวาดๆ
ยายนวลทำจมูกฟุตฟิตๆ
“ข้าได้กลิ่นแปลกๆ เหมือนกลิ่นดอกมะลิ กลิ่นธูป มาทางขวานี่แหละ”
พูดพลางชี้มือไปทางขวา ทุกคนหันหน้าไปมอง ก็เห็นเงาทอดยาวมาบนทางเดินดูน่ากลัว เสียงหมาหอนประสานกันระงม
“เฮ้ย ! ผีหลอก !”
ทุกคนวิ่งหนีผีออกไปคนละทิศละทาง เหลือแต่ยายนวลที่เก้ๆ กังๆ ไปไม่ถูกว่าจะไปทางไหน จู่ๆ ก็มีมือมาจับ ยายนวลร้องลั่น
“เย้ย อย่าทำอะไรข้าเลย ไปผุดไปเกิดเถอะไอ้ผี จะมาหลอกข้าทำไม เอ็งจะแหกหูแหกตา แหวะไส้ แหกพุง ทำยังไงข้าก็มองไม่เห็น”
เหยี่ยวรีบบอกทันที
“อะไรยาย ผมยังไม่ตาย จะไล่ให้ไปเกิดแล้วเรอะ รู้งี้ไม่เดินมาตามหรอก”
ยายนวลคลำๆ ที่มือที่มาจับที่มือเหยี่ยว ที่ถือถุงใส่พวงมาลัยจะเอามาถวายพระ จนคลำไปไปที่หน้าแล้วถอนหายใจโล่งอก
“ไอ้เหยี่ยว ไอ้เวร”
เหยี่ยวมองยายนวลอย่างอารมณ์ดี
บ้านไม้ของเหยี่ยวอยู่ภายในสวนร่มรื่นและเงียบสงบหลังวัด ยายนวลเดินฉับๆ นำเหยี่ยวเข้ามาตามทางเดินในสวน ด้วยความคุ้นชิน ราวกับกับไม่ใช่คนตาบอด
ลมพัดโชยตามเหยี่ยวมาโดยเขาไม่รู้ตัว ปรากฏเป็นรอยใบไม้ปลิวไหวกรุยมาเป็นทาง
“ทีอย่างนี้เดินฉับๆ ไม่รอกันเลยนะ”
ยายนวลหัวเราะร่า “อ๊ะ แถวนี้ถิ่นข้าโว๊ย หลับตาเดินยังได้เลย”
“ฮึๆ อย่างยายเนี่ย หลับตาเดินกับเปิดตาเดินมันต่างกันยังไงเหรอ”
“ไอ้เวร ไอ้หลานตะไล ล้อเรื่องตายายบอด นรกจะกินกบาล”
เหยี่ยวรีบพูดประจบ
“ยายก็รู้ว่าที่ผมล้อเพราะไม่อยากให้ยายเครียด ความจริงยายมีอะไรดีกว่าคนตาดีอีก”
ยายนวลก้มลงหยิบก้อนหินแล้วปาโดนเหยี่ยวอย่างจัง
“โอ๊ย เจ็บนะยาย”
ยายนวลเปิดประตูบ้าน ปากก็ร้องสั่งเหยี่ยว
“นี่ไง ถึงตาไม่เห็นแต่สัมผัสตรงเผงยิ่งกว่าจิตสัมผัสโว๊ย รีบๆ เข้าบ้านเดี๋ยวยุงเข้า”
เหยี่ยวขยับกำลังจะเดินเข้ามา ยายนวลหันมายิ้มๆ แล้วชี้ไปทางด้านหลังเหยี่ยว
“แอบพาสาวมาบ้าน ชิชะ ถึงข้าจะมองไม่เห็น แต่ข้ารู้นะโว๊ยไอ้เหยี่ยว”
พูดจบก็เดินนำเข้าไปในบ้าน เหยี่ยวถึงกับเหวอ พลางมองซ้ายมองขวาไม่มีสาวสักคน จากนั้นก็เดินตามยายนวลเข้าไปในบ้าน
ด้านหลังเหยี่ยวมีลมพัดใบไม้แหวกเป็นทางตามเข้าไป
ยายนวลเดินไปเปิดไฟ หยิบข้าวของอย่างคล่องแคล่วไม่ผิดกับคนตาดี จากนั้นก็หยิบขวดน้ำมาวาง พร้อมแก้วน้ำใบหนึ่ง
“หาน้ำหาท่าให้แม่หนูเค้ากินซะสิ”
เหยี่ยวยิ่งเหวอเข้าไปใหญ่ “ยายพูดถึงใคร”
“ไม่ต้องมาทำเป็นฟอร์ม ยายรู้ทันเอ็งหรอกน่า ไม่ต้องเขิน กินน้ำกินท่าก่อนกลับก็ได้นะแม่หนู ไม่ต้องเกรงใจยายหรอก”
พูดจบก็เดินหลบหายเข้าไปในห้องตัวเอง
เหยี่ยวมองซ้ายมองขวา ด้วยสีหน้างงๆ
อ่านต่อหน้า 2
ภพรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
นกน้อย ปลาทู ปูอัด เดินชะเง้ออยู่ที่นอกรั้วบ้านเหยี่ยว พลางมองเข้ามาด้านในเพราะเป็นห่วงยายนวล
ขณะที่เหยี่ยวกำลังเดินตรวจความเรียบร้อยรอบๆ บ้านบริเวณสนาม รอยเท้าจางๆ ปรากฏตามไปตามทางเดินที่เปื้อนฝุ่น เห็นชัดเจน
นกน้อยมองเห็นก็ตกใจ “เฮ้ย เอ็งเห็นเหมือนข้ามั้ย”
ปูอัดตาลุก “ใครเดินตามหมวดเหยี่ยว”
เหยี่ยวเดินไปอีกมุม ลมพัดตามหลัง ใบไม้ปลิวกระจายเหมือนมีคนเดินตาม ทั้งสามคนตาลุกด้วยความตกใจ แล้วรีบวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง
เหยี่ยวได้ยินเสียงผิดปกติ เดินหันมามองอย่างงงๆ แต่ไม่เห็นอะไรแล้ว
นกน้อยวิ่งตื้อเข้ามาในบ้าน รีบปิดประตูลงกลอนโดดขึ้นเตียงคลุมโปง ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวผี
“โอย พุทโธ ธัมโม สังโฆ ผี.. ผีอยู่กับหมวดเหยี่ยว สยองกึ๋น”
ภาพในอดีตขณะที่เหยี่ยวมีอายุได้ 7 ขวบ
รถยนต์ของวิหคแล่นมาตามถนนในต่างจังหวัด เสียงร้องเพลงของสามคนพ่อแม่ลูกดังเข้ามา เป็นบรรยากาศครอบครัวอบอุ่น
วิหคกับสกุณาพากันร้องเพลงอย่างสนุกสนานอยู่ที่ด้านหน้า เหยี่ยววัยเด็กนั่งอยู่บนคาร์ซีทที่เบาะหลัง
วิหคหันไปร้องเพลงกับสกุณา แล้วหันไปยิ้มแย้มเล่นกับลูกชาย ครั้นหันหน้ากลับมาที่ด้านหน้ารถ ก็ต้องตกใจสุดขีด
เหยี่ยววัยเด็กที่นั่งเบาะหลัง เห็นรถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งตรงเข้าชนด้านหน้ารถอย่างจัง กระจกรถแตกละเอียด
ยายนวลจูงมือเหยี่ยวในวัยเด็กที่น้ำตาคลอ สะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กที่ด้านหลัง เดินเข้ามาในบ้าน
พลางนั่งลงกอดหลานชายตัวเล็กไว้ น้ำตาคลอสะเทือนใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“เหยี่ยว ยายจะดูแลเหยี่ยวให้ดีที่สุด เราเหลือกันแค่สองคนแล้วนะลูก”
เหยี่ยวกระสับกระส่ายนอนอยู่บนเตียง พลันก็ลืมตาขึ้นตื่นจากความฝัน แล้วรีบลุกขึ้นด้วยท่าทาง
หอบเหนื่อย ปมเรื่องอุบัติเหตุยังคงเป็นเรื่องที่สะเทือนใจเขามาจนถึงปัจจุบัน
เหยี่ยวลุกขึ้นมาหยิบรูปถ่ายรูปถ่ายสามคนพ่อแม่ลูก ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน เอามือแตะที่รูปพ่อและแม่อย่างผูกพัน
เสียงสะอื้นดังแว่วเข้ามา สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้า เหยี่ยวนิ่วหน้าด้วยความสงสัย ก่อนที่จะตัดสินใจเดินออกไปตามเสียงสะอื้นที่ได้ยิน จนเมื่อเดินเข้ามาบริเวณสวนหลังบ้าน ก็เห็นน้ำรินนั่งก้มหน้าร้องไห้น่าสงสารอยู่ที่ใต้ต้นไม้ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหา
“คุณ เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
น้ำรินเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยความแปลกใจและดีใจที่มีคนมองเห็นเธอ
“คุณมองเห็นฉัน”
เหยี่ยวเห็นหน้าน้ำริน ก็จำได้ “ผมจำคุณได้แล้ว คุณไปมุงรถตกน้ำที่บึงเมื่อตอนหัวค่ำ คุณตามผมมาทำไม”
“ฉันไม่ได้ตาม”
“ถ้าไม่ตามแล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
น้ำรินหน้าเศร้าดูน่าสงสาร น้ำตายังไหลไม่หยุด
“ฉันไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว เออ คุณเป็นตำรวจนี่ช่วยฉันหน่อยสิ”
“ให้ช่วยอะไร จะให้พากลับบ้านเหรอ”
น้ำรินพยักหน้า “เออใช่ ช่วยพาฉันกลับบ้านหน่อย ตั้งแต่หัวค่ำฉันขอให้ใครช่วย ก็ไม่มีใครเห็นฉันสักคน ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันไปหมด”
“บ้านคุณอยู่ไหน”
น้ำรินนิ่งไปเหมือนกำลังใช้ความคิด “ฉันจำไม่ได้”
“งั้นคุณชื่ออะไร”
น้ำรินอึ้งไป พยายามใช้ความคิดแต่ก็คิดไม่ออก “ฉัน ฉันไม่รู้ คุณต้องช่วยฉันหาบ้านให้เจอ หาชื่อฉันให้ได้ ฉันไม่มีใครอีกแล้วนอกจากคุณ ฉันอยากกลับบ้าน ฮือๆ”
เหยี่ยวเห็นน้ำตาของน้ำรินไหลอาบแก้ม ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็ ไม่เข้าใจ แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ใจที่แข็งกลับอ่อนลง
มือของเหยี่ยวค่อยๆจะยื่นไปเช็ดน้ำตาน้ำรินตามความรู้สึก เขามองมือตัวเองอย่างไม่เข้าใจ แล้วรีบเก็บมือตัวเองไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะคุมตัวเองไม่อยู่ หากเสียงสะอื้นของน้ำรินทำให้หัวใจเหยี่ยวหวิว รู้สึกว่าเขาจะทิ้งผู้หญิงคนนี้ไปไม่ได้ !
ธารายืนละล้าละลังอยู่ในห้องโถงในคฤหาสน์หลังใหญ่ สีหน้าดูเป็นกังวลเป็นอย่างมาก
ภพธรกับนับดาวเดินเข้ามา ธาราหันมามองอย่างมีความหวัง
“เป็นยังไง ได้ข่าวน้องมั้ย”
ภพธรถอนหายใจ “ตามไปที่บ้านเพื่อนของน้ำทุกที่ แต่น้ำไม่ได้ไปหาใครเลยครับ”
“เพื่อนดาวที่เป็นตำรวจกำลังช่วยตามหาอีกทางค่ะ”
“รึว่าจะเกิดอุบัติเหตุ” ธาราสังหรณ์ใจ
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ ศูนย์รับแจ้งเหตุฯ ไม่มีรายงานอุบัติเหตุกับรถของน้ำเลยค่ะ”
ธาราครุ่นคิดอย่างกังวล ภพธรรีบบอก
“เมื่อตอนเย็นพอลองชุดแต่งงานเสร็จ น้ำบอกว่าจะมาหาผม แต่ก็หายไปเลย”
ธาราเป็นห่วงลูกสาวมาก นับดาวเดินมาจับมือ ด้วยความเห็นใจ
“นับดาว อาสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ น้ำไม่เคยหายตัวไปอย่างนี้เลย”
“ทำใจดีๆ ไว้นะคะ น้ำรินเป็นเพื่อนรักของดาว ยังไงซะดาวต้องช่วยตามน้ำกลับมาให้ได้”
นับดาวประคองพาธารามานั่งตรงโซฟา ภพธรมองธาราเหมือนตัวเองกำลังรู้สึกผิด พลางมองไปที่รูปน้ำรินที่ถ่ายคู่กับธาราที่ห้องโถง
เหยี่ยวเดินพาน้ำรินเข้ามาในบ้าน เธอเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ด้านหนึ่ง ขณะที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด
เหยี่ยวไม่รู้จะปลอบใจยังไงให้น้ำรินหายเศร้า ใจมันระส่ำระส่ายเป็นทุกข์ไปด้วย
“เอาอย่างนี้ คุณใจเย็นๆก่อน ค่อยๆ คิด ถ้าจำไม่ได้ว่าเป็นใคร งั้นพยายามนึกสิว่าคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
น้ำรินพยายามคิด
“ฉัน ฉันนึกไม่ออก ฉันจำไม่ได้”
“อย่าร้องไห้เสียงดัง เดี๋ยวยายผมตื่น คิดว่าผมเอาผู้หญิงมาปล้ำ”
น้ำรินพยายามระงับ แต่ยังสะอื้นไห้อยู่ ครู่หนึ่งก็พยายามสงบลง สูดลมหายใจเข้า แล้วลุกขึ้นเดินไปมองรอบๆเหมือนเรียกสติ แล้วมองไปรอบๆ เห็นบนโต๊ะข้าว มีจานข้าว 2 ที่ เห็นรูปเหยี่ยวกับยายนวลตั้งแต่เด็กไล่ลำดับไปจนมัธยม จนจบตำรวจ ประดับยศ
“อยู่สองคนกับยายเหรอ”
“ใช่”
น้ำรินมองไปรอบๆ บ้านแล้วยังไม่วายออกอาการคุณหนูตามสัญชาติญาณเดิม ทั้งที่ยังจำอะไรไม่ได้
“บ้านรกมาก อยู่เข้าไปได้ยังไง อี๋ ทั้งฝุ่นทั้งหยากไย่หนาเป็นนิ้ว คุณเป็นหลานที่ไม่ได้เรื่องเลยนะ ทำไมไม่ช่วยยายทำความสะอาดบ้าง”
เหยี่ยวส่ายหัว หยิบน้ำมารินใส่แก้ว แล้วส่งแก้วให้น้ำรินแบบรำคาญๆ
“กินน้ำซะจะได้หายบ้า รีบๆ จำตัวเองให้ได้ซะที ฉันจะได้ไปส่งบ้าน”
น้ำรินรับแก้วน้ำจากเหยี่ยว แต่แก้วกลับทะลุผ่านมือไปตกที่พื้น
น้ำรินยกมือตัวเองขึ้นมาดูด้วยความตกใจ เหยี่ยวที่เห็นภาพนี้เต็มตา ตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“คุณเป็นใครกันแน่”
เหยี่ยวเอื้อมมือไปจะจับแขนน้ำริน แต่จับเท่าไรก็จับไม่ติด เหมือนกำลังสัมผัสอากาศธาตุ น้ำรินตกใจมาก เธอหันไปมองกระจกบานใหญ่ที่วางอยู่ในห้อง แล้วยิ่งตกใจสุดขีด เมื่อไม่ปรากฏเงาของเธอในกระจก
เหยี่ยวตกใจ “คุณไม่ใช่คน”
“ไม่ใช่คน? หมายความว่าฉัน ฉันตายแล้ว?”
น้ำรินครุ่นคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เธอเห็นรถสปอร์ตคู่กรณีลอยคว้างกลางอากาศ แล้วพุ่งตรงตกลงไปยังบึงน้ำ แต่พอเธอหันหน้ากลับมาก็ยิ่งต้องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเป็นอย่างยิ่ง
รถน้ำรินเสยเข้ากับด้านข้างถนน ลอยคว้างหมุนคว่ำเข้าไปที่ข้างทาง
น้ำรินน้ำตาคลออย่างยอมรับความจริงไม่ได้ เหยี่ยวเองก็ตะลึงตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“ฉันตายไปแล้ว ไม่จริง ไม่จริง”
พลางร้องไห้อย่างน่าเวทนา เหยี่ยวลืมตาขึ้นมามองด้วยความสงสาร ก่อนที่ร่างของเธอค่อยๆ จางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไปในที่สุด
เหยี่ยวตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
เช้าวันรุ่งขึ้น
ธาราเอาเก้าอี้มานั่งตรงประตูทางเข้า สายตามองไปยังประตูเบื้องหน้ารอการกลับมาของลูกสาว โดยไม่ได้นอนมาทั้งคืน
“น้ำริน ลูกไปอยู่ที่ไหน?”
ธาราเดินเข้ามาหยุดมองดูรูปถ่ายคู่ระหว่างเธอกับน้ำรินที่ติดอยู่กลางโถง พลางร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นที่กลางโถงคฤหาสน์นั้น
ยายนวลกับเหยี่ยวกำลังช่วยกันจัดของใส่บาตรที่โต๊ะตัวหนึ่ง
“เออ สาวคนที่มากับเราเมื่อคืน กลับบ้านไปแล้วเรอะ”
เหยี่ยวอึกอัก “ เอ้อ คือ”
“ลูกเต้าเหล่าใคร ไม่คิดจะแนะนำให้ยายรู้จักบ้างเหรอ ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทำอะไรที่ไม่งามเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้นะลูก เออ แล้วทำไมวันนี้คิดอยากจะทำบุญล่ะ”
เหยี่ยวถอนหายใจด้วยความเป็นห่วง
“ผมอยากจะอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณพเนจรน่ะครับ”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ เมื่อคืนฝันเห็นผีเหรอ”
เหยี่ยวชะงักไปนิดหนึ่ง “เอ้อ เปล่าครับ”
“เรียบร้อยแล้ว ยายขอตัวก่อนนะ”
หลวงตาเคี้ยงกำลังเดินบิณฑบาตรใกล้เข้ามา เหยี่ยวรีบหันมาถามยายนวล
“อ้าว ไม่ใส่บาตรด้วยกันเหรอครับ หลวงตามาโน่นแล้ว”
“ไม่เอาละ วันนี้วันหวยออกไม่อยากทะเลาะกับหลวงตาเคี้ยง เดี๋ยวโดนบ่นเรื่องเล่นหวยอีก”
ยายนวลพูดจบก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน หลวงตาเคี้ยงเดินเข้ามาพอดี เหยี่ยวยกมือไหว้
“นิมนต์รับหลวงตา”
เหยี่ยวใส่บาตรให้หลวงตา และกำลังจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง
ที่มุมหนึ่งไกลออกไป เส่งยืนแอบมองเหยี่ยวอยู่กับลูกน้องสองคนด้วยท่าทางโกรธแค้น
หลวงตาเคี้ยงให้ศีลเสร็จ ก็พูดกับเหยี่ยวต่อด้วยแววตาอ่อนโยน
“เท่าที่โยมเล่าให้ฟัง ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นวิญญาณที่เพิ่งออกจากร่าง เพราะเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหัน วิญญาณจึงล่องลอยไม่มีที่พึ่ง”
“แล้วทำไมผมถึงเห็นเธออยู่คนเดียวล่ะครับ”
“อาจจะเป็นเพราะบุญกรรมที่เคยผูกพันกันมาแต่ชาติก่อน”
เหยี่ยวขมวดคิ้วครุ่นคิด“น่าแปลกที่เธอเหมือนจะจำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
“น่าจะเป็นเพราะภาวะความสับสนในดวงจิต หรืออาจจะเป็นเพราะกรรมบางอย่างที่ผู้หญิงคนนี้เคยสร้างมา”
เหยี่ยวนิ่งคิดนิดหนึ่ง “กรรมเก่าเหรอครับ”
หลวงตาเคี้ยงพยักหน้ายิ้มๆ
“ใส่บาตรทำบุญให้เค้าแบบนี้แหละดีแล้ว กุศลจะทำให้เค้าไปในที่ชอบ”
จู่ๆ ก็มีลมพัดวูบเข้าที่หน้าเหยี่ยวรู้สึกแปลกๆ จึงรีบหันขวับไปมอง เห็นน้ำรินกำลังพนมมือไหว้หลวงตาเคี้ยง เหมือนกำลังรับคำแผ่เมตตา
“เธอ”
หลวงตาเคี้ยงสะดุ้งเฮือก หันมามองข้างๆ เหยี่ยวแต่ไม่เห็นอะไร
“ใครมาเหรอโยม”
“ผู้หญิงคนที่ผมเล่าให้ฟังยังไงครับ”
หลวงตาเคี้ยงมองซ้ายมองขวาอย่างกลัวๆ
“อย่าล้ออาตมาเล่นนะโยม”
“นี่ไง เธอยืนอยู่ข้างๆ ผมนี่ไงครับ หลวงตาเห็นมั้ย กำลังพนมมือ รับพรจากหลวงตาอยู่เลยครับ”
หลวงตาเคี้ยงหันไปทางที่เหยี่ยวชี้
“สาธุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดนะ กู๊ดมอนิ่งนะคุณโยม อาตมาไปก่อนละ”
พูดจบก็จ้ำอ้าวๆ ออกไปทันที น้ำรินเงยหน้าจากการพนมมือ หันมามองเหยี่ยวด้วยสายตาเศร้าๆ
“คุณ ทำไมคุณยังไม่ไป”
“ฉันไม่รู้จะไปไหน ช่วยฉันด้วยนะคะ มีแต่คุณเท่านั้นที่ช่วยฉันได้ค่ะ”
เหยี่ยวมองน้ำรินอย่างอึ้งๆ ใจหนึ่งก็กลัวผี แต่อีกใจหนึ่งมีความรู้สึกห่วงอย่างที่ไม่เข้าใจตัวเอง
เหยี่ยวเดินเลี่ยงออกมา ทั้งที่ยังคุยกันไม่ทันรู้เรื่อง น้ำรินเดินตามมาติดๆ
“จะไปไหนก็ไปเถอะนะ อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย”
“ฉันไม่มีที่ไป”
น้ำรินพูดพลางมาดักหน้า “ ไม่ได้มาเบียดเบียน แต่มาขอให้คุณช่วย”
เหยี่ยวหลับตาไม่ยอมมอง “ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แล้ว พอเหอะนะ”
พลางขยับจะเดินหนีไป น้ำรินปราดไปขวางไว้ อ้าแขนไม่ยอมให้ไปไหน
“ลองคิดดูดีๆ นะคะ คุณเป็นคนเดียวที่จะช่วยฉันได้ ฉันไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”
เหยี่ยวทำหน้าเหมือนคิดตาม แต่แล้วก็ตัดใจ เดินเลี่ยงออกไป น้ำรินรีบปราดเข้ามาขวางเหยี่ยวอีกครั้ง “คุณผีสาวครับ ต่างคนต่างอยู่เถอะ ขอร้องละ”
“ไม่ได้ คุณต้องรับปากช่วยฉันก่อน”
“จะช่วยอะไรอีก “คน” กับ “ผี” สะกดก็ต่างกันแล้ว เราอยู่คนละภพกัน”
เหยี่ยวขยับจะเดินหนี น้ำรินทำท่าขู่
“อย่าเดินหนีฉันอีกนะ ไม่งั้นเจอดีแน่ ฉันจะหักคอคุณจิ้มน้ำพริกเลย”
“ไม่ได้ผล มุกโบราณมากเกินกลัว”
เหยี่ยวเดินเลี่ยงไปอีกครั้ง น้ำรินมองตามแบบไม่พอใจ แต่ยังไม่วายเดินตาม เหยี่ยวหยุดเดินนิ่งๆ เหมือนกำลังพยายามทำสมาธิตั้งสติให้ตัวเอง แล้วหลับตาพูดกับตัวเอง
“ไม่เห็น ไม่รู้สึก จิตเราคิดไปเอง”
“อย่าหลอกตัวเองเลย ยังไงคุณก็รู้ว่ามีฉันอยู่”
เหยี่ยวลืมตาขึ้นมาแบบทนไม่ได้ “จะทำยังไง คุณถึงจะไปเนี่ย”
“ถ้ามีที่ไป ฉันก็ไม่อยากอยู่ตรงนี้นักหรอก จะให้ฉันไปไหน นอกจากคุณก็ไม่มีใครเห็นฉันสักคน เป็นตำรวจต้องช่วยเหลือประชาชนสิ ไม่ใช่ทอดทิ้ง”
เหยี่ยวมองน้ำรินแล้วถอนหายใจ
“ผมเป็นตำรวจไม่ใช่หมอผี ตำรวจมีหน้าที่ช่วยเหลือคนเดือดร้อน ไม่ใช่ช่วยปลดปล่อยวิญญาณเร่ร่อน”
เหยี่ยวพูดจบก็เดินหนีเข้าไปในบ้าน น้ำรินโวยวายตาม
“ฉันไม่ใช่ผี มาหาว่าฉันเป็นวิญญาณเร่ร่อนได้ไง จะไปไหน กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
ยายนวลกำลังหยิบหูฟังมาใส่ครอบหูฟังเพลงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ในมือกำลังล้างถ้วยชามและเครื่องครัว เลยไม่ได้ยินที่เหยี่ยวกับน้ำรินกำลังเถียงกันขณะเดินเข้ามาในบ้าน
“จริงๆ ฉันน่าจะยังไม่ตาย แค่ประสบอุบัติเหตุกำลังนอนโคม่าอยู่ในโรงพยาบาลแล้ววิญญาณฉันก็ดันหลุดออกจากร่าง คุณต้องช่วยสืบหาร่างของฉัน ฉันจะได้กลับเข้าร่างอย่างปลอดภัย ฉันไม่ใช่ผี”
เหยี่ยวรีบพูดย้ำ
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าผีกับวิญญาณที่ออกจากร่างมาเร่ร่อนอย่างคุณเนี่ย มันเหมือนกันรึเปล่า แต่ที่แน่ๆคุณไม่ใช่คน”
“พูดอย่างนี้คุณจะไม่ช่วยฉันเหรอ ? ถ้าคุณไม่ช่วย ฉันจะตามหลอกหลอนคุณ หลอกให้เป็นบ้าไปเลย”
เหยี่ยวหัวเราะ “ฝันไปเถอะ ถ้าผมกลัวคุณ ผมไม่ยืนคุยกับคุณอย่างนี้หรอก คุณเห็นไหม บ้านผมอยู่ใกล้วัด ถัดไปหน่อยก็ป่าช้า เห็นศพเห็นกระดูกกระดุ๊กกระดิ๊กมาจนชินแล้ว คุณไปที่ชอบๆ เถอะ ผมจะกรวดน้ำไปให้”
พูดจบเหยี่ยวก็เดินเข้ามาในห้อง หยิบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวกำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำภายในห้องนอน
น้ำรินเดินตามเข้าประตูมา ท่าทางอ้อนวอนมากกว่าเดิม แต่เหยี่ยวไม่สนใจ เดินเข้าห้องน้ำ แล้วปิดประตูใส่หน้าน้ำริน
น้ำรินจ้องไปที่ประตูด้วยสายตาไม่พอใจ
“ในชีวิตฉัน ไม่เคยมีใครปิดประตูใส่หน้าฉันแบบนี้”
ชะงักนิดแล้วบ่นกับตัวเอง “อ้าว จำเรื่องนี้ได้ไง ออกมานะ เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
น้ำรินจะเปิดลูกบิดประตู แต่มือทะลุผ่าน เธอพยายามจะเปิดอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไร้ผล ครู่หนึ่งก็เหมือนนึกอะไรได้ จึงกัดฟันรวบรวมความกล้าเดินทะลุประตูเข้าไปในห้องน้ำ พอหันมาเห็นเหยี่ยวกำลังนุ่งผ้าเช็ดตัวพอดี
ทั้งคู่ตาเหลือกจ้องมองกัน แล้วก็ตะโกนลั่น
น้ำรินรีบเอามือข้างหนึ่งปิดตา มืออีกข้างพยายามควานหาประตูเพื่อจะออกไป
“ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ไอ้ผู้หมวดวิตถาร แก้ผ้าให้ฉันดูทำไม”
“เฮ้ย ห้องนี้มันห้องอะไร”
น้ำรินหน้าจ๋อย “ห้องน้ำ”
“ห้องน้ำเค้าไว้ทำไม”
“อาบน้ำ”
เหยี่ยวส่ายหน้าเซ็งๆ “ถ้ารู้ว่าอาบน้ำอยู่ แล้วจะเข้ามาทำไม”
“ก็ใครจะนึกล่ะว่าคุณจะล่อนจ้อนอล่างฉ่าง อุจาดตา อี๋ รีบแต่งตัวเร็วๆ”
เหยี่ยวขยับจะเอาผ้าขนหนูที่ปิดออก น้ำรินหลับตาปี๋รีบระล่ำระลัก
“ฉันไปรอข้างนอกก็ได้ แต่เรามีเรื่องต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
เหยี่ยวมองตามน้ำรินออกไป แล้วอมยิ้ม
“อะไรวะ นี่ขนาดยังไม่เห็นพญาเหยี่ยว ถึงกับแหกปากร้องลั่นเลยเหรอ”
เหยี่ยวแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ใส่เสื้อคลุมตัวที่เขาเคยเอาสร้อยล็อกเก็ตของน้ำรินใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
กำลังจะไปเคลียร์งานที่สำนักงานสืบฯ
“สรุปก็คือ คุณต้องการให้ผมช่วยสืบว่าตัวเองเป็นใคร ร่างอยู่ที่ไหน จะได้กลับไปเข้าร่าง?”
น้ำรินพยักหน้า “ช่วยฉันหน่อยนะ ฉันยังไม่ตายหรอก ฉันมั่นใจ”
“งั้นเอางี้ วันนี้ผมต้องไปเคลียร์งานเพราะโดนพัก อ้อ ผมจะลาพักร้อน 2 อาทิตย์ เพื่อตามหาร่างให้คุณ ตกลงมั้ย”
น้ำรินยิ้มแป้น “ตกลง ขอบคุณค่ะ”
“วันนี้ล่องลอยอยู่แถวนี้ไปก่อน อย่าทะเล่อทะล่าโผล่ไปไหนเดี๋ยวมีใครเห็นเข้า เค้าจะจับไข้หัวโกร๋น
เข้าใจมั้ย?”
ยายนวลที่ถอดหูฟังเฮดโฟนไว้ที่คอ กำลังจัดข้าวของเข้าที่บนโต๊ะอาหารกลางบ้าน เหยี่ยวเดินลงมาจากด้านบน
“เหยี่ยว เมื่อกี้ยายได้ยินเสียงโวยวายอะไร ตกใจหมดเลย”
เหยี่ยวรีบแก้ตัวว่าเจอแมลงสาป ยายนวลนิ่งคิดแล้วตีเป็นตัวเลขทันที
เหยี่ยวหอมแก้มยายนวลฟอดหนึ่ง ยายหอมคืน
“ผมไปทำงานนะครับ”
“ขี่รถดีๆ ล่ะหลานยาย”
เหยี่ยวเดินออกประตูไป ยายนวลคลำทางไปคิดเรื่องเลขไป
เหยี่ยวขี่เมาเท่นไบค์ปีนฟุตบาทซ้ายป่ายลงมาทางถนนทางขวา เพื่อเลี่ยงรถติด
เส่งกับลูกน้องขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาสามคันโดยที่เหยี่ยวไม่รู้ตัว
เหยี่ยวขี่จักรยานมาติดอยู่ตรงไฟแดง มอเตอร์ไซค์เส่งปราดเข้ามาด้านข้าง โดยมีรถแท็กซี่จอดประกบจักรยานเหยี่ยวอยู่ซ้ายขวา เขาจึงยังไม่รู้ตัวว่าโดนตาม ลูกน้องอีกสองคนประกบอยู่อีกด้านหนึ่งไกลออกไป
เส่งกระชากปืนออกมา เหยียดแขนตรงกำลังจะยิงใส่เหยี่ยวที่เอาแต่มองสัญญาณไฟ เส่งลั่นไกออกไป กระสุนค่อยๆ พุ่งมาหา พร้อมๆ กับเสียงน้ำรินดังแว่วมา
“หมวดเหยี่ยวระวังทางขวา”
เหยี่ยวสะดุ้งหันเบี่ยงตัวซ้ายกระสุนพุ่งเฉียดแก้มไปทะลุกระจกรถอีกคันแตกกระจาย
เส่งกับลูกน้องกระหน่ำยิงต่อ เหยี่ยวรีบปั่นจักรยานแหกสี่แยกออกไป เสียงรถกดแตรลั่น เบรคกันระนาว
เหยี่ยวปั่นจักรยานหนีพวกเส่งออกมา พร้อมๆ กับเหลียวไปทางด้านหลัง
“ตามมาทำไม บอกว่าไม่ให้ตาม”
น้ำรินโผล่ออกมาตรงด้านหลัง ในลักษณะเหมือนซ้อนท้ายเกาะหลังเหยี่ยวอยู่
“ไม่ได้ตาม มาเองบังคับไม่ได้”
เหยี่ยวเหลียวมองไปทางด้านหลัง เห็นมอเตอร์ไซค์ของเส่งและลูกน้องไล่ตามมาสามคัน เขาตัดสินใจกระชากปืนออกมา เหยียดแขนตรงยิงเข้าใส่มอเตอร์ไซค์ทั้งสามคัน
กระสุนนัดหนึ่งโดนลูกน้องเส่งคันหนึ่งแม่นราวจับวาง รถมอเตอร์ไซค์ล้มคว่ำไป
เหยี่ยวปั่นจักรยานหนีต่อไป เส่งกับลูกน้องอีกคนขี่มอเตอร์ไซค์ตาม พร้อมกับระดมยิงไม่ยั้ง
น้ำรินร้องตกใจตามเสียงปืนที่ยิงมา “ว้าย ว้าย ว้าย”
“จะร้องทำไมหนวกหู”
“ฉันกลัว”
เหยี่ยวส่ายหน้า “ผีอะไรวะกลัวโดนยิง ?”
พลางเหลียวหลังกลับไปยิงเข้าใส่เส่งกับลูกน้องอีกครั้ง คราวนี้กระสุนโดนล้อรถลูกน้องเส่งล้มคว่ำไป
จากนั้นก็ยิงอีกนัด เส่งหักรถหลบ จนรถเสียหลัก
เหยี่ยวปั่นจักรยานหนีออกไป เส่งตั้งหลักได้ บิดมอเตอร์ไซค์ตามไปน้ำรินมองไปด้านหน้า แล้วรีบบอก “แยกมุมตึกซ้ายเป็นทางตัน อย่าเลี้ยวเข้าไปนะ”
“รู้ได้ไง เคยมาแถวนี้เหรอ”
“เออ นั่นสิ ฉันรู้ได้ไง?”
เหยี่ยวฟังแล้วเหมือนคิดอะไรได้ รีบหักเลี้ยวจักรยานกะทันหันเลี้ยวเข้าไปยังมุมตึกที่น้ำรินบอกว่าตัน
เส่งขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา เห็นเหยี่ยวเลี้ยวเข้าไปในซอกตึก ก็รีบบิดเครื่องยนต์ทะยานตามไปอย่างรวดเร็ว แต่พอเข้ามาก็เห็นเป็นทางตัน
เหยี่ยวจอดรถจักรยานขวางกำแพงตึกอยู่ ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางทาง เส่งบิดมอเตอร์ไซค์เต็มแรงจะเสยเข้าใส่เเหยี่ยวกระชากปืนในมือออกมายิงเข้าใส่เส่ง ที่ยังคงบิดรถใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เหยี่ยวยกปืนในมือเล็งยิงไปยังด้านบนตึก แผงป้ายโฆษณาขนาดย่อมๆ โดนกระสุนหล่นลงมาโดนร่างเส่งล้มคว่ำลงไปพร้อมรถ
สงครามทุบโต๊ะอย่างบันดาลโทสะ เหยี่ยวนั่งอยู่ด้านหน้า ด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนไม่ค่อยเกรงกลัวนัก
“ผมเพิ่งสั่งพักงาน สั่งให้คุณถอนตัวจากคดีไอ้เส่ง ยังไม่ทันข้ามวันคุณก็ก่อเรื่องอีกแล้ว ไปไล่ยิงกันกลางชุมชน ถ้าโดนคนอื่นจะทำยังไง”
เหยี่ยวจ้องหน้าสงคราม
“แต่มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น หนำซ้ำเรายังได้ยาบ้าของกลางในตัวไอ้เส่งอีกมันไม่มีทางรอด เราปิดคดีได้แน่ๆ”
สงครามชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อคิดตามที่เหยี่ยวพูด
“ความจริงผมควรจะได้รับคำชมเชย และถอนคำสั่งพักงานมากกว่าจะโดนตำหนินะครับท่านผู้การ”
เหยี่ยวเงยหน้าจ้องสงครามที่ยืนอยู่ ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรต่อกันนัก
เหยี่ยวเดินมาตามทางเดิน นกน้อยกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ดึงพลุกระดาษฉลองปรบมือยินดี
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ นะ ผู้การเป็นเพื่อนกับพ่อหมวดแท้ๆ แต่ทำไมจ้องจับผิดตลอดทำเหมือนหมวดเป็นศัตรู”
นกน้อยถามอย่างแปลกใจ เหยี่ยวทำหน้านิ่งเหมือนไม่สนใจ นกน้อยเดินนำเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ออกไปอย่างเก้อๆ เหยี่ยวส่ายหัวมองตามแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ พลางเหลียวมองหาน้ำริน
“เธอ ตกลงตามมารึเปล่าเนี่ย”
เหยี่ยวมองหาไม่เจอ ก็เดินออกไป
ธารานั่งอยู่บนเตียงของน้ำริน พลางใช้มือลูบผ้าห่ม ลูบหมอนที่ลูกเคยนอน แล้วหยิบตุ๊กตาที่ลูกเคยกอดมากอดอย่างโหยหา
“น้ำ ลูกอยู่ไหน”
จากนั้นก็เหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง แล้วคิดถึงเหตุการณ์ในงานวันเกิดของเธอ ที่จัดขึ้นในโรงแรมหรู และน้ำรินมอบนาฬิกาข้อมือให้เป็นของขวัญวันเกิด
“นาฬิกาฝาแฝด น้ำก็มีแบบนี้เรือนนึง แม่ลูกสุดที่รักไว้ใส่คู่กันนะคะแม่”
ธารามองนาฬิกาที่ข้อมือ ซึ่งหยุดเดินแล้วนิ่วหน้าแปลกใจ ยิ่งมองก็ยิ่งเจ็บปวด จึงถอดนาฬิกาแล้วใส่ลิ้นชักที่โต๊ะข้างเตียงของน้ำริน
ภพธรเคาะประตูแล้วจึงเปิดประตูเข้ามา
“จนป่านนี้ยังไม่ได้ข่าวยายน้ำเลย เราคงต้องทำอะไรสักอย่าง อาจะไปหาสงคราม”
ภพธรถึงกับชะงัก “จะเหมาะเหรอครับ คุณอาเคยบอกว่าไม่อยากพบกับผู้การสงครามอีกแล้ว”
ธาราท่าทางกระอักกระอ่วนใจ เพราะมีความหลังกับสงคราม
“แต่นี่มันเรื่องของน้ำริน อาจะลองเข้าไปขอความช่วยเหลือเค้า”
“ถ้างั้นผมจะลองตามไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งนะ อาจจะได้เบาะแสอะไรบ้าง”
เหยี่ยวนั่งเคลียร์งานอยู่ในห้อง ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พลางถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ถอนหายใจทำไม”
น้ำรินชะโงกหน้ามาหา ด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ทำไมต้องตกใจเหมือนเจอผี ไหนว่าไม่กลัวผีไง แหม หลอกฉันว่าลาพักร้อน ที่แท้ก็โดนสั่งพักงาน”
“แอบไปนั่งฟังผู้การคุยกับผมใช่มั้ย”
น้ำรินส่ายหน้าล้อๆ
“ไม่ได้แอบ ฉันยืนอยู่ข้างหลังคุณเลยล่ะ เห็นคุณโดนด่าไฟแลบเลยไม่อยากให้คุณเห็น กลัวคุณอาย”
เหยี่ยวนึกขึ้นมาได้ “ตามมาทำไม”
“ไม่ได้ตาม แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้ฉันต้องตามคุณไปทุกที่”
เหยี่ยวส่ายหน้าอย่างเบื่อๆ “คุณคงเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผมมั้ง”
“ไม่คิดจะขอบคุณสักคำเลยรึ รอดตายก็เพราะฉัน จับผู้ร้ายได้ก็เพราะฉัน”
เหยี่ยวมองหน้าน้ำรินอย่าไว้ฟอร์ม
“ขอบคุณ”
“เย็นชามาก น่าปล่อยให้โดนยิงตายซะก็ดีจะได้กลายเป็นผีมาอยู่เป็นเพื่อนกัน”
เหยี่ยวถอนหายใจ “ถ้าไปไหนไม่ได้ก็อยู่เฉยๆ อย่าทำเสียสมาธิ ดูปากนะ ผม-จะ-ทำ-งาน”
น้ำรินแกล้งถอนสายบัว แล้วมองซ้ายมองขวาหาที่นั่ง ก่อนจะเดินตรงไปนั่งที่โซฟา แล้วนอนแอ็คท่าเหมือนนางแบบกำลังถ่ายแบบส่งสายตาเซ็กซี่แกล้งกวนประสาท
เหยี่ยวส่ายหัว แล้วหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตั้งใจทำงานต่อ
อ่านต่อหน้า 3
ภพรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
รถยุโรปคันหรู แล่นเข้ามาจอดที่หน้าสำนักงานสืบสวนคดีพิเศษ สน รีบลงมาเปิดประตูให้ธาราที่สวมแว่นดำ ก้าวลงจากรถอย่างสง่างาม พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทร.ออก
“สวัสดีค่ะผู้การ ฉันมาถึงแล้วค่ะ”
เหยี่ยวนั่งกินกระเพราไก่ไข่ดาวอยู่ น้ำรินนอนเซ็งๆ อยู่บนโซฟา ทำเป็นพูดลอยๆ แต่แอบวีนเล็กๆ
“เคลียร์งานเสร็จก็พักกินข้าว พอกินข้าวเสร็จก็เคลียร์งานต่อ แล้วเมื่อไหร่จะช่วยสืบหาร่างให้ฉันซะทีล่ะคะผู้หมวด”
เหยี่ยวเหลือบตามามอง เหมือนไม่สนใจ
“ใช่สิ ฉันมันผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ญาติก็ไม่ใช่ ต้องใส่ใจทำไม”
เหยี่ยวปล่อยช้อนลงมากระแทกจานอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่ เอาเวลาประชดมาช่วยคิดดีมั้ยว่าจะหาร่างยังไง ขนาดชื่อตัวเองยังจำไม่ได้แล้วจะให้เริ่มสืบหาร่างจากไหน”
“จากหน้าฉันไง ถ่ายรูปฉันแล้วโพสต์ลงเฟสบุ๊คทวิตเตอร์ ประกาศคนหาย มีใครรู้จักผู้หญิงคนนี้มั้ย จับสลากมาเป็นตำรวจรึไง เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้”
เหยี่ยวหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูป แต่ถ่ายไม่ติด
“อ้าว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ ในหนังชัตเตอร์ยังกดติดวิญญาณได้เลย”
เหยี่ยวส่ายหน้าอย่างระอา
“ดูหนังดูละครมากไปนะ ขอพูดอีกครั้ง อย่ารบกวนสมาธิ ถ้าวันนี้เคลียร์งานไม่เสร็จ ผมจะไม่ช่วยตามหาร่างคุณเด็ดขาด”
“เอางี้ ระหว่างนี้ฉันจะออกไปเดินเล่นนอกห้องก็ได้ จะได้ไม่รกหูรกตาคุณ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป ขณะที่ธาราเดินเข้ามาพอดี น้ำรินทันเห็นแต่ด้านหลัง แต่ก็ยังคงรู้สึกแปลกๆ
“ผู้หญิงคนนั้น?”
น้ำรินรู้สึกแปลกๆกับธารา แต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร ?
จากนั้นก็รีบเดินย้อนกลับมาบอกเหยี่ยว
“คุณๆ ตะกี้ฉันเจอผู้หญิงคนหนึ่ง น่าเสียดายไม่เห็นหน้าชัดๆ ถ้าเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นชัดๆ บางทีเธออาจจะรู้จักฉันก็ได้นะ”
เหยี่ยวส่ายหัว “ชีวิตมันไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก ผมขอร้องล่ะ กลับบ้านไปก่อน กลับบ้าน กลับไปบ้าน นี่คือคำสั่ง”
เหยี่ยวที่กำลังเครียดเรื่องงานเผลอออกำสั่งเสียงดัง ประโยค ‘นี่คือคำสั่ง!’ ดังก้องอยู่ในหัวของน้ำริน
“เฮ้ยๆๆ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
น้ำรินรู้สึกทุกอย่างหมุนติ้ว เหยี่ยวเห็นน้ำรินเดินเซไปมา แล้วจู่ๆ ก็หายไปทันที
ร่างน้ำรินค่อยๆ โผล่มานอนหมดสติอยู่ที่กลางบ้านเหยี่ยว โดยที่เธอยังคงไม่รู้สึกตัว
สงครามมองธาราด้วยความสงสาร แววตาบ่งบอกว่าเคยมีความหลังฝังใจระหว่างกัน
“ทำไมไม่รีบมาบอกผม”
“ฉันไม่อยากรบกวน”
สงครามจ้องหน้าธารา “ระหว่างเราไม่น่าจะมีคำว่า “รบกวน” อีกแล้วนะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น สมเดชตำรวจคนสนิทเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสาร เป็นรูปถ่ายรถที่ตกน้ำ และรูปถ่ายที่เกิดเหตุ พลางวางแฟ้มนั้นลงบนโต๊ะสงคราม
“ตรวจสอบกับทุกหน่วยแล้ว ไม่มีรายงานอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับรถลูกสาวคุณธาราเลยครับ”
สงครามหยิบแฟ้มมาดู “แล้วนี่อะไร”
“อุบัติเหตุรถตกน้ำเป็นคดีเดียวที่เกิดขึ้นในรอบ 24 ชั่วโมง คนแถวนั้นให้การว่า ก่อนเกิดเหตุรถคันที่ตกน้ำมีเรื่องกับรถสปอร์ตคันหนึ่ง ทั้งสีและยี่ห้อเหมือนกับรถของคุณน้ำริน”
ธารารีบถามทันที “มีใครเห็นรถของน้ำรินหลังจากนั้นมั้ยคะ”
สมเดชส่ายหน้า “ไม่มีครับ”
“ยายน้ำไปอยู่ที่ไหน? ฉันเป็นห่วงลูก ช่วยฉันด้วยนะคะท่านผู้การ”
ธาราน้ำตาคลอด้วยความเป็นห่วงลูกสาวคนเดียว สงครามเหลือบมอง แล้วเมินหน้าไปทางอื่นเหมือนเย็นชา แต่ความจริงคือไม่อยากเห็นน้ำตาของธารา
น้ำรินยังคงสลบไม่ได้สติอยู่ที่กลางบ้านเหยี่ยว ภาพในอดีตผุดขึ้นมา ขณะที่ภพธรวัยเด็กกำลังให้น้ำรินวัยเด็กขี่คอเดินเล่นข้ามท้องร่องในสวน แต่แล้วก็เหนื่อยขาอ่อนล้มลงไปตรงข้างท้องร่องด้านหนึ่ง น้ำรินล้มลงไปด้วยกันภพธรตกใจหันขวับไปมอง
“น้ำ น้ำเป็นไงบ้าง น้ำ”
น้ำรินที่ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ เห็นภาพจางๆ คล้ายเป็นหน้าธารากำลังเรียกเธออยู่
“น้ำ ตื่นเถอะลูก น้ำ”
น้ำรินขยับตัวหันมามองตามเสียงเรียก
“หนู เป็นอะไร ทำไมมานอนตรงนี้ หนู”
ภาพเบื้องหน้าน้ำรินชัดขึ้น เห็นเป็นยายนวลกำลังยืนอยู่ที่ข้างตัวเธอ
“ยาย ยายมองเห็นหนูเหรอคะ” น้ำรินถามอย่างสงสัย
“ฮึๆ ไม่เห็นหรอก ยายมองใครไม่เห็นทั้งนั้นแหละ”
“ยายตาบอด?”
“ตาบอดแต่ก็รู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ หนูใช่มั้ยที่เมื่อวานเจ้าเหยี่ยวพามาที่บ้าน”
น้ำรินยังคาใจ “มองไม่เห็น แต่ยายได้ยินเสียงหนูเหรอคะ”
“ได้ยินสิ หูยายไม่หนวกนี่ พูดแล้วจะหาว่าคุย ยายเป็นพวกหูทิพย์”
น้ำรินคิดตาม ขณะที่ยายนวลยิ้มแป้น บรรยายสรรพคุณตัวเองอย่างอารมณ์ดี
“ขนาดเสียงพรายกระซิบ เสียงผีสางนางไม้ ยายยังได้ยินอยู่บ่อยๆ”
ยายนวลพูดพลางได้ยินเสียงพวกปลาทู ปูอัด มาเรียกอยู่หน้าบ้าน
“ชาวคณะมาแล้ว ตามสบายนะหนู ขอออกไประทึกใจก่อน”
น้ำรินงงๆ “ระทึกใจ?”
“อ๊ะ..ถ้าอยากรู้ต้องตามไปลุ้นด้วยกันที่ศาลา”
ยายนวลรีบเดินออกไปหาพลพรรค
น้ำรินมองตามออกไป นึกสงสัยเรื่องที่ยายนวลได้ยินเสียงเธอ
สงครามเดินออกมาส่งธาราที่หน้าสำนักงานสืบฯ โดยมีสมเดชเดินมาด้วย พลางพูดปลอบใจธารา
“ทำใจให้สบาย ตราบใดที่ยังหารถของน้ำรินไม่พบ เรายังมีความหวังว่าเธอจะปลอดภัย”
“ฉันฝากผู้การด้วยนะคะ ชีวิตของยายน้ำอยู่ในมือของคุณ”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน อย่างคนที่เคยมีอดีตต่อกัน
มือปืนที่ชื่อคงคาที่อยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดซุ่มอยู่ กำลังส่องกล้องติดตามตัวธาราด้วยท่าทางมีพิรุธ จากนั้นก็รีบรายงานผ่านบลูทูธที่ติดอยู่
“พบเป้าหมายแล้ว”
คงคาดึงปืนพกออกมา กระชากลูกเลื่อนเตรียมพร้อม
ผู้ชายทางปลายสาย ใช้สองนิ้วเคาะโต๊ะ เหมือนกำลังใช้สมองตัดสินใจ คงคารายงานต่อ
“เป้าหมายกำลังเดินทางออกจากสำนักงานสืบฯ กำลังตามไป”
รถของธาราแล่นไปตามถนนโดยไม่รู้ว่ามีคนตาม คงคาขี่รถตามมาเตรียมพร้อมจะเทียบรถไปยิง พลันรถสายตรวจแล่นมาจอดติดไฟแดงที่ด้านข้างรถธาราอีกข้างหนึ่งพอดิบพอดี
คงคาชะงักไปทันที รีบเก็บปืนพกเพราะกลัวตำรวจในรถสายตรวจจะเห็น
“ขอยกเลิกภารกิจ มีรถสายตรวจครับ”
ปลายสายส่ายหน้าอย่างหัวเสีย
ยายนวลนั่งอยู่บนตั่งรับแขกที่ศาลาในสวน กลุ่มชาวบ้านนั่งล้อมวิทยุอยู่ รวมทั้งปลาทูกับปูอัดด้วย
น้ำรินนั่งอยู่บนตั้งข้างๆ ยายนวล ทุกคนกำลังลุ้นผลหวยทางวิทยุอยู่ ครู่หนึ่งนกน้อยก็วิ่งเข้า
“ฉันมาแล้วๆ”
เสียงวิทยุประกาศรางวัล ชาวบ้านที่ถูกส่งเสียงเฮดีใจ คนที่ไม่ถูกก็เสียดายกันไป
“โหย พลาดไปนิดเดียวเอง”
ยายนวลบ่นอุบ น้ำรินชะโงกหน้าดูเลขที่ยายนวลทายไว้ คือ 446
“ต่อไปเป็นรางวัลเลขท้ายสองตัว เลขที่ออก ...”
ยายนวลภาวนาลุ้น “46 46 46 …”
น้ำรินเอียงหน้ามากระซิบข้างหู “หนูว่าออก 64”
“เอ๊ะ! แม่หนูนี่ ปากเสีย”
ชาวบ้านหันไปมองยายนวล แล้วทำหน้าเหวอ เพราะบนตั่งไม้มียายนวลนั่งอยู่คน
เสียงวิทยุประกาศ “ 6 4 “
ชาวบ้านที่แทงถูกร้องดีใจ ยายนวลโมโหตีตักตัวเอง
“เห็นมั้ยยาย หนูว่าแล้ว ยายลืมกลับเลขล่ะสิ”
ยายนวลหันไปต่อว่าน้ำรินเสียงดัง “ไม่ต้องมาพูดดีเลย รู้แล้วทำไมไม่รีบบอกซะตั้งแต่เนิ่นๆ”
ทุกคนเงียบเสียง หันไปมองว่ายายนวลคุยกับใคร ปลาทูที่นั่งอยู่ใกล้น้ำริน นึกว่ายายนวลว่าตัวเอง
“ไม่ใช่นะยาย เลขนี้พรายกระซิบผีเฮี้ยนให้นะ ไม่ใช่ฉัน”
ยายนวลหันมามองหน้า
“ข้าไม่ได้คุยกับเอ็งซะหน่อย ข้าคุยกับแม่หนูนี้ แฟนไอ้เหยี่ยวมันต่างหาก”
พวกชาวบ้านตกใจ ค่อยๆ หันมองหน้ากันเอง
“ไม่ใช่นะยาย ฉันไม่ใช่แฟนหมวดเก็กนั่น” น้ำรินรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่แฟนแล้วขึ้นไปอยู่บนห้องด้วยกันได้ไงแถมเมื่อเช้ายังร้องซะเสียงดัง อย่านึกนะว่ายายไม่รู้ ยายตาบอดแต่ไม่ได้หูหนวกนะ”
ชาวบ้านกลืนน้ำอึกใหญ่ ปลาทูหันไปหาปูอัด
“งวดก่อนโน้นก็บอกว่ามีเด็กมานั่งข้างๆ ใช่มั้ยวะ”
ปูอัดหันไปมองนกน้อย ที่พยักหน้าหงึก “ใช่ คราวที่แล้วกุมารทอง”
ยายนวลหันมาคุยกับน้ำริน “เออ ข้าก็ลืมแนะนำไป” พลางหันไปหาชาวบ้าน
“นี่ทุกคน แม่หนูคนนี้แฟนไอ้เหยี่ยวคนต่างถิ่นมาอยู่ใหม่ ยังไงก็ต้อนรับสมาชิกใหม่กันหน่อยนะ”
น้ำรินหันมามองทุกคน ชาวบ้านตัวแข็งเกร็งเพราะกลัว
“หนู เดี๋ยวเราจะปาร์ตี้วันหวยออกอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ ใช่มั้ยพวกเรา”
ชาวบ้านเงียบกันหมด แล้วทยอยออกปากปฏิเสธ จากนั้นก็รีบโกยอ้าวหนีออกไปจนเกลี้ยงศาลา
“อ้าวๆ ทำไมรีบกันขนาดนั้น ทำยังกับเห็นผี จะบ้าเรอะพวกเอ็งนี่”
น้ำรินกระอักกระอ่วนเมื่อยายนวลพูดถึงผี
“ยังไงหนูก็อยู่ก่อนนะ รอจนกว่าเหยี่ยวมันจะกลับมา เออ แล้วตกลงหนูชื่ออะไร คุยกันมาตั้งนาน ไม่ได้ถามชื่อ”
น้ำรินนิ่งนึกว่าตัวเองชื่ออะไร พลางเห็นภาพลางๆ คล้ายธารากำลังเรียกเธออยู่
“น้ำ น้ำ ตื่นเถอะลูก”
น้ำรินหันไปตอบยายนวล “น้ำค่ะ หนูชื่อน้ำ”
พลางยิ้มเจื่อนๆ อย่างไม่ค่อยมั่นใจว่าตกลงตัวเองชื่อน้ำแน่หรือเปล่า
นับดาวพาธารามานั่งตรงกลางเก้าอี้ตัวยาวของชุดรับแขก โดยมีภพธรเดินตามเข้ามา ธาราพูดพร้อมน้ำตาคลอ
“ผู้การสงครามบอกว่ามีอุบัติเหตุรถตกน้ำ แต่รถของคู่กรณีหายไป รถที่หายไปเหมือนกับรถยายน้ำมาก”
“หมายความว่าน้องน้ำอาจจะหนีคดี เพราะกลัวความผิดงั้นเหรอครับ”
นับดาวครุ่นคิด “แต่น้ำไม่เคยหนีปัญหา ถ้ามีอะไรก็น่าจะติดต่อบอกเรา”
“ถ้าอย่างนั้นน้ำหายไปไหน?” ธาราพูดด้วยสีหน้ากังวล
“ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะครับคุณอา บางทีน้ำอาจจะกำลังพยายามหาทางติดต่อเราอยู่ก็ได้”
ธาราชักสีหน้าไม่พอใจ
“ ธร อาก็ได้แต่หวัง แต่คนที่จะต้องทำให้เป็นความจริงน่าจะเป็นเธอ เธอเป็นถึงคู่หมั้นน้ำริน ควรจะทำอะไรให้ดีกว่าให้กำลังใจอาไปเรื่อยๆ ตามหาน้ำรินให้เจอ นี่คือคำสั่ง”
ธาราพูดพลางมองไปที่รูปถ่ายของน้ำรินกับเธอที่ติดอยู่ในห้องโถง ด้วยแววตาเป็นห่วงลูกสาว
ยายนวลนอนหลับสบายอยู่บนตั่งไม้ เหยี่ยวไขประตูเข้ามา พอหันมาอีกที น้ำรินก็ยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูแล้ว
“ยังอยู่อีกเหรอ นึกว่าจะไปเกิดใหม่ซะแล้ว จู่ๆ ก็หายไปต่อหน้าต่อตา”
“เออจริง ทำไมฉันกลับมาอยู่ที่บ้านนี้ได้ อ๋อ นึกออกแล้ว ต้องเป็นเพราะคำสั่งเด็ดขาดของคุณแน่ๆ เอแล้วทำไมฉันต้องทำตามล่ะ หรือว่าระหว่างเราอาจจะมีพันธะบางอย่า ที่เป็นบ่วงผูกติดกันอยู่ แต่แบบนี้มันไม่แฟร์เลยนะ ทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งคุณด้วยล่ะ”
เหยี่ยวส่ายหัว “ทำตามจริงเรอะ ไม่ทุกเรื่องมั้ง ไม่งั้นสั่งให้ไปเกิดใหม่ก็ต้องไปแล้วสิ”
พูดพลางก็เดินหนีไป กำลังจะเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง
“เก่งจริงสั่งให้ฉันกลับไปเข้าร่างสิ ฉันจะได้ฟื้นขึ้นมากลายเป็นสาวสวยแบบเดิม ไม่ต้องมาทนง้อผู้หมวดขี้เก็ก “
เหยี่ยวหันมา “คุณ “ผีเยอะอย่าง” ผมล่ะเหนื่อยกับคุณจริงๆ ขอไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
เหยี่ยวเดินเข้าห้องมาเหนื่อยๆ มานั่งที่เก้าอี้แล้วถอนใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องใส่ชิ้นจิ๊กซอว์ และถาดที่มีรูปจิ๊กซอว์ต่อได้แล้วครึ่งหนึ่งออกมาจากใต้เตียง แล้วนั่งต่อจิ๊กซอว์ อย่างมีสมาธิและมีความสุขที่ได้อยู่กับโลกของตัวเอง ครู่หนึ่งก็รู้สึกเหมือนเย็นหลังวูบๆ จึงหันไปมอง พอหันหน้ากลับมาอีกที ก็เห็นน้ำรินยื่นหน้ามาแหย่ แต่เหยี่ยวเฉยๆ เหมือนไม่ตกใจ
“ต่อรูปอะไรเหรอ ?”
เหยี่ยวถอนหายใจเซ็งๆ “ผมจะอยู่เงียบๆคนเดียวไม่ได้เลยใช่ไหม”
พูดพลางเก็บจิ๊กซอว์ไว้ใต้เตียงเหมือนเดิม แล้วถอดเสื้อแจ็กเก็ตออก เหลือเสื้อตัวข้างใน จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนบนเตียง
“อ้าวนี่คุณจะนอนเลยเหรอ อี๋ น้ำก็ไม่อาบ สกปรก นี่ถ้าเป็นพี่ธร ไม่มีวันทำอย่างนี้เด็ดขาด”
เหยี่ยวชะงัก “พี่ธรไหน ?”
“ไม่รู้ อยู่ๆมันก็พูดออกมา”
“โอเค. มีข้อมูลเพิ่มมาอีกหนึ่ง คุณรู้จักคนชื่อพี่ธร ผมนอนก่อนนะ ตาจะปิดอยู่แล้ว”
น้ำรินรีบยื้อไว้
“แต่ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอก มันสำคัญพอๆกับที่ฉันเผลอพูดชื่อพี่ธร ตื่นสิ”
เหยี่ยวนอนหลับตาไปเลย น้ำรินยืนมองที่ข้างเตียง พลางอมยิ้มจะแกล้ง
“จะนอนเหรอ งั้นฉันช่วยร้องเพลงกล่อม ฉันร้องเพลงเพราะน้า”
เหยี่ยวทนไม่ไหวสะบัดหมอนออก พร้อมๆ กับหันขวับมาทางน้ำรินที่จ้องหน้าเขาอยู่ ทั้งสองคนจ้องหน้าสบตากัน ด้วยอาการเหมือนตกอยู่ในภวังค์
เหยี่ยวรู้สึกตัวลุกขึ้นมาทันที แล้วรีบพูดกลบเกลื่อน
“ไม่นอนก็ได้ มีอะไรก็ว่ามา คุณมีเรื่องสำคัญอะไรจะบอกผม”
น้ำรินรู้สึกตัวรีบลุกขึ้นมายืนที่ข้างเตียงเหมือนกัน สีหน้าอึกอักเล็กน้อย
เหยี่ยวกำลังเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยน้ำรินกำกับอยู่ข้างๆ
“ฉันรู้แล้วว่า ฉันชื่ออะไร ฉันชื่อ “น้ำ” คุณช่วยฉันตามหาร่างได้แล้ว คีย์ชื่อ ‘น้ำ’ ลงไปในทะเบียนบุคคล
เท่านี้ก็จะรู้แล้วว่าฉันเป็นใคร นามสกุลอะไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ที่ไหน”
เหยี่ยวถอนหายใจ
“จะให้ตามหาด้วยการค้นคนที่มีชื่อว่า “น้ำ” งั้นเรอะ คุณผีเยอะอย่าง คนชื่อน้ำในประเทศนี้มีเกินล้าน มีวิธีอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้อีกมั้ย”
“ก็ลองหาชื่อน้ำที่รู้จักพี่ธรสิ อาจจะเจอก็ได้”
เหยี่ยวหัวเราะก๊าก น้ำรินคิดว่าเหยี่ยวชื่นชมในความคิดของตัวเอง ก็หัวเราะตาม
“คุณจะบ้าเหรอ จะให้ผมหาข้อมูลคนชื่อน้ำที่รู้จักพี่ธรยังไง”
น้ำรินพยายามช่วยคิด
“ก็ลอง Search ใน Google ดูสิ”
เหยี่ยวถอนใจเซ็งๆ “ผมบอกให้นะ ข้อมูลแค่นี้ ไม่มีทางเจอ เสียเวลานอน”
พูดพลางก็ปิดคอมฯ แล้วชี้หน้า “แล้วไม่ต้องมาวุ่นวายอีกนะ ไม่งั้นเรียกหมอผีแน่”
เหยี่ยวจะนอน แต่ในใจก็อดห่วงความรู้สึกน้ำรินไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่มันรบกวนจิตใจของเขาให้หงุดหงิด
“จะไปสนใจอะไรนักหนาวะ”
จากนั้นก็หันไปพูดไล่ เพราะคิดว่าถ้าน้ำรินไปไกลๆ จิตใจตัวเองคงกลับมาปกติ
“ถ้าไม่มีอะไรทำ ออกไปล่องลอยใบ้หวยที่หลังป่าช้าไป ขอให้ใช้ชีวิตผีอย่างมีความสุขนะจ๊ะ คุณผีเยอะอย่าง กู๊ดไนท์”
น้ำรินหงุดหงิดที่โดนเสือกไสเหมือนเป็นตัวน่ารำคาญ จึงออกจากห้องไป
“คิดว่าฉันอยากง้อคนอย่างคุณนักเหรอ”
น้ำรินจะหยิบก้อนหินมาปาระบายอารมณ์ แต่ก็หยิบไม่ได้ พยายามจะเตะ ก็ทำไม่ได้ จนตัวเองล้มลงกับพื้นแล้วร้องไห้เหมือนเขื่อนแตก
“ฉันเป็นอะไรกันแน่ ถ้าตายแล้วก็เอาฉันไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ก็ได้ จะมาร่อนเร่ไปเพื่ออะไร จำก็จำอะไรไม่ได้ จะนอนก็ไม่รู้จะนอนยังไง จะกินก็ไม่รู้จะกินได้รึเปล่า..ต้องมาตามง้อใครก็ไม่รู้ให้ช่วย แล้วโดนเค้าไล่ยังกับหมูกับหมา ฉันอยากกลับบ้าน”
เหยี่ยวที่ยืนมองอยู่ที่ริมหน้าต่าง มองน้ำรินที่นั่งกอดเข่าร้องไห้ด้วยความสงสาร
ภพธรนั่งจิบกาแฟ เปิดไอแพดดูข่าวอุบัติเหตุทางอินเตอร์เน็ต เห็นพาดหัวในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ว่า
“รถยนต์เกิดอุบัติเหตุ พบปมฆ่ามีเงื่อนงำ”
เขารีบกดเปิดดูทันทีคล้ายเป็นห่วง จากนั้นก็ถอนหายใจยาวเมื่อพบว่าไม่ใช่คดีน้ำริน
“ไม่ใช่น้ำริน”
ภพธรคิดถึงเรื่องราวของตัวเองด้วยใบหน้าเย็นชา
ภาพเหตุการณ์ในวัยเด็ก ขณะที่เขาเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านธารา เด็กชายกำลังนั่งดูรูปถ่ายของพ่ออยู่ แล้วก็น้ำตาคลอด้วยความคิดถึงพ่อ
ธาราเดินเข้ามาเห็นเด็กชายร้องไห้ ก็พูดด้วยแต่น้ำเสียงเรียบเย็นชา
“อ่อนแออีกแล้วนะภพธร”
เด็กชายผวาเข้ามาจะกอด ธาราก้มลงนั่งแต่ไม่ยอมกอด แค่จับไหล่ทั้งสองของเด็กชายไว้
“พ่อนุติคงไม่สบายใจ ถ้าเห็นลูกชายคนเดียวอ่อนแอ จำไว้นะภพธร โลกนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับคนอ่อนแอ เมื่อไม่มีพ่อ เธอต้องอยู่ด้วยตัวเองพึ่งตัวเองให้ได้ ไม่มีใครรักเราเท่ากับตัวเราเองแล้ว”
เด็กชายฟังแล้วคิดตามที่ธาราสอน ดวงตาที่อ่อนโยน เริ่มแข็งกร้าวขึ้น
พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ภพธรรู้สึกตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็นิ่วหน้าเมื่อเห็นว่ามาจาก
นับดาว
“ว่าไง ดาว”
นับดาวท่าทางร้อนรน ในมือถือแฟ้มเอกสารเตรียมเข้าประชุม
“ยังไม่เข้ามาที่ออฟฟิศอีกเหรอคะ คุณอาเรียกประชุมบอร์ดโรงแรมด่วน นอกวาระที่กำหนดไว้เดิมค่ะ”
ภพธรตกใจนิดๆ “รู้มั้ยว่าเรื่องอะไร?”
“น่าจะเป็นเรื่องรินธารารีสอร์ทที่สมุย พี่ธรรีบเข้ามาดีกว่า เดี๋ยวคุณอาธาราจะตัดสินใจผิดพลาด พักนี้ยิ่งไม่ค่อยมีสมาธิ”
“จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง เหยี่ยวที่กำลังนอนหลับเริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมา เมื่อหันมองที่ด้านข้าง ก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นน้ำรินนั่งกับพื้นข้างเตียงด้านติดกับเขา พร้อมกับส่งสายตาจ้องเขม็งมา
“อย่ามาไล่ฉันนะ ถึงคุณไล่ยังไงฉันก็ไม่ไปเพราะฉันไม่มีที่ไป”
เหยี่ยวนึกถึงภาพน้ำรินร้องไห้เมื่อคืน ก็รู้สึกไม่ยากไล่
“ทำไมถึงไม่นอน มานั่งจ้องผมทำไม”
น้ำรินทำหน้าเศร้า “เป็นผีต้องนอนด้วยเหรอ”
เหยี่ยวเห็นแล้วสงสาร ก็เลยหาทางพูดยั่วให้ลืมๆ เรื่องที่เธอเศร้าอยู่
“อ้าว ก็ไหนคุณบอกว่าคุณไม่ใช่ผีไง อ่ะ อ่ะ เถียงไม่ออก เฮ้ย!แปดโมงเช้า”
พูดจบก็รีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัว กำลังจะเข้าไปในห้องน้ำแต่แล้วเหมือนกับฉุกคิดบางอย่างได้ รีบบอกให้น้ำรินออกไปรอด้านนอก พลางทำท่าจะถอดกางเกงที่ใส่อยู่ น้ำรินตกใจ ตาโตรีบหันหน้าหนีเอามือปิดตา แล้ววิ่งทะลุประตูออกไปทันที
เหยี่ยวยืนยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้แกล้งน้ำริน
เหยี่ยวปั่นเมาเทนไบค์ไปยังที่เกิดเหตุ จู่ๆ น้ำรินก็โผล่ออกมา ชะโงกหน้ามาถาม
“ทำไมคุณไม่ขับรถ”
เหยี่ยวตกใจจนเมาเทนไบค์เซ แต่ยังดีที่ทรงตัวกลับมาได้อยู่ จากนั้นก็หยุดรถทันที แล้วหันมาคุยกับ
น้ำริน
“โผล่มาพิศดารแบบนี้ ผมตกใจโดนรถทับตาย ใครจะช่วยคุณ”
“เออ นั่นสิ คุณยังไม่ตอบเลย ทำไมถึงชอบขี่จักรยาน ไม่ยอมขับรถ”
“ผมมีความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับรถ ครอบครัวประสบอุบัติเหตุมีเพียงผมคนเดียวที่รอด”
น้ำรินหน้าเศร้า “เสียใจกับคุณด้วยนะ ฉันไม่น่าถามเลย”
“เอาเถอะ ต่อให้ถาม พ่อแม่ผมก็ไม่ฟื้นคืนมาหรอก ไม่ต้องโผล่มาแล้วนะ จะรีบไปสำนักงานสืบฯ จะลองหาร่างให้”
ในห้องประชุมของโรงแรมรินธารา ธารากำลังประชุมสำคัญเกี่ยวกับการเปิดสาขาที่หัวหินอยู่
“การแต่งตั้งผู้จัดการทั่วไปของรินธารารีสอร์ทสมุย ขอให้เลื่อนไปก่อน”
ภพธรรีบแย้งทันที “โรงแรมจะเปิดไตรมาสสอง ถ้าช้าไปกว่านี้ผมเกรงว่า...”
“เลื่อนไปก่อน ฉันต้องการให้น้ำรินดูแลโครงการนี้”
ธาราสั่งด้วยน้ำเสียงกร้าว แววตายังคงไม่สบายใจเรื่องลูกสาวคนเดียว
“การตัดสินใจของฉันถือเป็นเด็ดขาด ปิดประชุมได้”
ภพธรรีบพูด “คุณอาครับ ยังมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับรีสอร์ทที่ต้องตัดสินใจทันทีนะครับ”
“อายังไม่พร้อมจะตัดสินใจตอนนี้ ต่อไปอย่าขัดอาในที่ประชุมอีก ถึงอาจะไว้ใจให้เธอเป็นกรรมการผู้จัดการ แต่ตำแหน่งประธานยังคงเป็นอา เข้าใจมั้ย”
พูดจบธาราก็เดินออกไปทันที
ภพธรหน้าเครียดหันไปมองหน้านับดาว ที่ชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
อ่านต่อหน้า 4
ภพรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
นับดาวเดินตามหลังภพธรเข้ามาตามทางเดินโรงแรม ด้วยท่าทางไม่พอใจ
“คุณอาทำแบบนี้ไม่ถูกจะมัวรอน้ำรินอยู่ได้ยังไง ตำแหน่งผู้จัดการที่สมุยควรจะแต่งตั้งได้แล้ว”
ภพธรทำหน้าดุใส่นับดาว
“พี่รู้ว่าเธอต้องการตำแหน่งนี้ แต่พูดเบาๆได้ไหมดาว คุณอาคงยังมีความหวังว่าน้ำรินจะกลับมา”
นับดาวจะพูดว่าน้ำรินตายแล้วแต่มองซ้าย มองขวาเห็นพนักงานเดินผ่านไปมา จึงชะงักไว้
“แต่ตอนนี้ลูกสาวคนเดียวจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ อาธาราควรจะฟังพี่ธรบ้างไม่ใช่ตัดสินใจไม่เห็นหัวกันแบบนี้”
ภพธรหยุดเดินหันมามองนับดาวด้วยแววตาไม่พอใจ นับดาวสลดไปเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขา
เหยี่ยวกำลังค้นข้อมูลของน้ำรินในหน้าจอคอมพิวเตอร์ คีย์คำว่า “น้ำ” ลงไปในรายชื่อบุคคลหายสาปสูญ ปรากฏชื่อออกมาเต็มไปหมด
น้ำรินชะโงกหน้ามาช่วยเหยี่ยวดู แต่ก็ผิดหวังไม่แพ้กันเพราะไม่มีอะไรคืบหน้า
เหยี่ยวกดหาข้อมูลอุบัติเหตุในรอบสัปดาห์ ปรากฏเป็นรายละเอียดภาพและหน้าผู้ประสบอุบัติเหตุ แต่ไม่มีหน้าคล้ายน้ำรินเลยแม้แต่คนเดียว
น้ำรินนั่งหน้าจ๋อย หมดแรงจะช่วยเหยี่ยวหาข้อมูลแล้ว
ภพธรเดินมาหยุดยืนอยู่ที่ริมระเบียง พลางมองไปยังเบื้องล่างด้านหน้าโรงแรม เห็นธารากำลังเดินไปขึ้นรถ
ภพธรมองรถของธาราที่ขับออกไปจากโรงแรมด้วยสายตาเครียด
ธาราที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านหลัง กำลังเปิดเอกสารงานอ่านจากไอแพด สนหันมาถาม
“ไปที่พัทยาเลยใช่มั้ยครับ”
ธารายกนาฬิกาขึ้นดู “ไปให้ทันสี่โมงเย็น ฉันมีประชุมกับสมาคมท่องเที่ยวที่นั่น”
นกน้อยเดินมากำลังจะเคาะประตู ได้ยินเสียงเหยี่ยวคุยกับน้ำรินแปลกใจว่าเหยี่ยวคุยกับใคร “แค่นี้ก็ทำผิดกฏมากเกินไปแล้ว ถ้าผู้ใหญ่ถามจะให้ตอบว่าไงบอกว่ามีวิญญาณหลุดออกจากร่างมาขอให้ช่วยยังงั้นเหรอ”
พอได้ยินคำว่าวิญญาณ นกน้อยก็ตกใจรีบเปิดประตูเข้าไปดู เหยี่ยวตกใจสะดุ้ง
“ทำไมไม่เคาะประตูก่อน”
“ก็ผมได้ยินหมวดคุยอยู่กับใครก็ไม่รู้ พูดเรื่องวิญญาณกันด้วย ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้สักคน อย่าบอกนะว่าหมวด หมวดเลี้ยงกุมารทอง อั๊ยยะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
เหยี่ยวส่ายหัวแล้วหัวเราะเบาๆ
“ใช่ผมจำได้แล้ว คืนวันก่อนผมเห็นรอยเท้าคนเดินตามหลังหมวดที่บ้าน ไอ้ปลาทูปูอัดมันก็เห็น”
“บ้าเหรอจ่า” เหยี่ยวรีบตัดบท “มาหาผมมีธุระอะไร”
“ ผบ.สงครามเรียกประชุมด่วน คดีไอ้เส่ง. รีบไปกันเถอะจวนได้เวลาแล้ว”
นกน้อยเดินนำออกไป เหยี่ยวกำลังจะเดินออกไป น้ำรินรีบถลามากั้นหน้าไว้
“จะไปไหนหมวดยังตามหาร่างฉันไม่เจอนะ”
“ขอทำงานก่อน ไม่ต้องตามไป อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะกลับมาช่วยหาต่อ”
น้ำรินไม่พอใจแต่จำต้องทำตามที่เหยี่ยวสั่ง ทันใดนั้นน้ำรินก็รู้สึกวูบ ถึงกับเดินเซแทบล้ม เหยี่ยวมองอย่างตกใจ
“เป็นอะไร ?”
“ไม่รู้ ฉันรู้สึกอยู่ๆก็รู้สึกวูบ ความรู้สึกเหมือนอะไรสักอย่างจะเกิดขึ้น บางอย่างที่ทำให้ฉันอยากร้องไห้ ฉันไม่รู้ว่า มันคืออะไร”
เหยี่ยวมองอย่างงงๆว่าอาการของน้ำรินมันคืออะไร
สนขับรถมองไปด้านหน้ากำลังจะวิ่งผ่านตรงสี่แยกหนึ่ง รถกระบะคันหนึ่งพุ่งเข้ามา ธาราเงยหน้า ขึ้นมาจากการอ่านเอกสาร ด้วยสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก
รถกระบะพุ่งเข้าชนกับรถธาราอย่างจัง
สมเดชยืนอยู่ที่หน้าจอภาพ ที่กำลังฉายรูปของเส่งอยู่ โดยมีสงครามนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุมเป็นประธาน เหยี่ยว นกน้อย และเจ้าหน้าที่อื่นๆ กำลังประชุมร่วมกัน
“หลังจากที่จับไอ้เส่งได้ ทีมสืบสวนทำการขยายผลจนทำให้ไอ้เส่งซัดทอดเอเย่นต์ใหญ่เครือข่ายค้ายาเสพติดคนสำคัญ”
“ใครครับ” เหยี่ยวรีบถามทันที
“นายยอดชัด เศรษฐีเจ้าของธุรกิจบันเทิงครบวงจรหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือเดอะชลาธาร”
ภาพที่จอเปลี่ยนเป็นหน้ายอดชัด หนุ่มใหญ่ดูภูมิฐาน ขนาบคู่ด้วยสถานบันเทิงขนาดใหญ่
“เราพบว่าเดอะชลาธารไม่ได้เป็นแค่สถานบันเทิง แต่มีธุรกิจเบื้องหลังผิดกฏหมายมากมาย ทั้งบ่อน ผู้หญิง และแหล่งค้ายา เพื่อความมั่นใจในการเข้าจับกุม เราส่งสายสืบ 3 คนเข้าไปในนั้นหลายสัปดาห์แล้ว”
ภาพตรงจอภาพเปลี่ยนไปเป็นสายสืบทั้ง 3 คนที่มีบุคลิกต่างกันออกไป
ชายคนหนึ่งกำลังนั่งจิบบรั่นดีอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ มีสาวสวมชุดเซ็กซี่ยืนรายล้อมชายคนนี้ ที่กำลังส่งสายตามองไปทั่วเหมือนกำลังสำรวจ
สมเดชพูดต่อ
“โค้ดเนม มังกรดำ เจ้าเสน่ห์ .เป็นมิตรกับคนทุกคน จึงสามารถสืบข้อมูลจากคนรอบข้างได้ง่ายที่สุด”
สาวคนหนึ่งดูเซ็กซี่นั่งอยู่ที่โต๊ะในบ่อนเถื่อน ไขว่ห้างกำลังเปิดไพ่ลุ้นอยู่
“โค้ดเนม หงส์ขาว สวย มีเสน่ห์ เซ็กซี่ เล่นพนันทุกครั้ง ชนะทุกครั้ง พร้อมจะใช้ความหญิงบริหารเสน่ห์เพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวสาร”
สมเดชบรรยายสรรพคุณของสายสืบคนที่ 2
ชายอีกคนหนึ่งเป็นหนุ่มแว่น เนิร์ด รูปร่างสูง กำลังยืนเล็งลูกสนุกเกอร์แล้วแทงลงหลุมอย่างมหัศจรรย์
สมเดชอธิบายต่อ
“โค้ดเนม อินทรีทอง เล่นสนุ้กแม่นราวจับวาง ช่างสังเกต มีความละเอียดมากที่สุด”
พอสมเดชพูดจบ เหยี่ยวก็ถามแทรกขึ้นมาทันที
“หงส์ขาว เอ้อ หมวดแนนกลับมาแล้วเหรอครับ”
“ใช่ เพิ่งกลับมารับหน้าที่สายสืบอีกครั้ง”
สงครามกับสมเดชมองหน้าเหยี่ยวอย่างพอจะรู้ว่ารู้สึกยังไง เพราะเขาเคยมีความสัมพันธ์กับแนนมาก่อน
“ถ้าต้องทำงานกับหมวดแนน หมวดคงไม่มีปัญหาใช่มั้ย”
“เอ้อ ไม่มีครับ”
สมเดชรีบร่ายงานต่อ “สายของเราเพิ่งแจ้งเข้ามา คืนนี้ยอดชัดจะส่งมอบยาเสพติดล็อตใหญ่”
สงครามหันมาสั่งเหยี่ยว
“หมวดเหยี่ยวนำกองกำลังไปที่นั่น ทันทีที่มีการส่งมอบยา สายของเราจะส่งสัญญาณให้เข้าจับกุมทันที จำไว้ว่าอย่าบ้าระห่ำ รอจนกว่าสายจะส่งสัญญาณให้จับกุม เราจะพลาดไม่ได้ ยอดชัดเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่
มาแรง ถ้าหลักฐานไม่รัดกุม เราโดนผู้ใหญ่เล่นงานแน่”
เหยี่ยวรับคำด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก เหมือนมีเรื่องต้องกังวลใจบางอย่าง
เจ้าหน้าที่สำนักงานสืบต่างรีบขึ้นรถที่จอดเรียงอยู่ แล้วรีบขับออกไปปฏิบัติการ
เหยี่ยวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะที่ยืนอยู่ที่หน้ารถของสำนักงานสืบฯ คันสุดท้าย ด้วยสีหน้าหน้ากระอักกระอ่วนใจ
นกน้อยเห็นก็อดถามไม่ได้ “เป็นอะไรหมวด”
“เปล่า”
นกน้อยตบไหล่ แล้วพาเดินไปที่รถ
“ขึ้นรถสิหมวด พวกเราล่วงหน้าไปกันหมดแล้ว”
เหยี่ยวยังคงจ้องอยู่ที่รถสำนักงานสืบที่จอดอยู่ นกน้อยขมวดคิ้วสงสัย
“อย่าบอกนะว่าจะขี่เมาเทนไบค์ไป ผมไม่ใช่หมวดแนนนะ ถึงจะยอมขี่เมาเทนไบค์สมบุกสมบันไปกับหมวดทุกที่น่ะ”
เหยี่ยวหงุดหงิด “ไปได้แล้ว”
พูดพลางหันไปมองเมาเทนไบค์อย่างลังเล ก่อนจะกัดฟันตามขึ้นรถไป โดยนกน้อยเป็นคนขับ
นกน้อยขับรถไปตามทางอย่างรวดเร็ว เหยี่ยวนั่งหลับตานิ่ง น้ำรินนั่งหน้านิ่วกอดอกอยู่ที่เบาะหลัง ชะโงกหน้าออกมาคุยกับเหยี่ยวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ขี้เก๊ก ทิ้งฉันอีกแล้วนะ ไหนบอกว่าจะกลับไปช่วย”
เหยี่ยวไม่ตอบ เอาแต่นั่งหลับตานิ่ง
“จะอ้างว่าต้องทำงานด่วนใช่มั้ย ไม่สงสารฉันแล้วเหรอ เป็นอะไรหมวดหมวด พูดอะไรบ้างดิ นี่กลัวรถมากมายขนาดนี้เลยเหรอเก๊ก”
เหยี่ยวเผลอตอบรำคาญๆ “เออ”
นกน้อยหันมามองด้วยแววตาแปลกใจ แต่ยังฮัมเพลงต่อ น้ำรินพูดจากซ้าซี้ต่อ จนเหยี่ยวทนไม่ไหว ตะคอกกลับไป
“หุบปากนะ คุณผีเยอะอย่าง”
นกน้อยเบรครถเต็มแรง เหยี่ยวถึงกับถลาไปทางด้านหน้า
“ผี หมวดพูดกับผี”
เหยี่ยวอึกอัก “เปล่า ผมพูดกับ เอ้อ จะบ้าเหรอ ผมก็พูดกับจ่านั่นแหละ “
“แต่เมื่อกี้หมวดบอกว่าผีเยอะอย่าง”
เหยี่ยวรีบหาข้อแก้ตัว “ผมละเมอ ผมหลับตาแล้วงีบไป เลยละเมอ เอาเหอะน่า เลิกสงสัยรีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่ทัน ไปซิ”
นกน้อยจำต้องเคลื่อนรถออกไปทั้งที่ยังไม่ค่อยไว้ใจนัก พลางเหลือบมองเบาะหลังทางกระจกส่องหลังไปมา
เหยี่ยวชำเลืองมองไปที่เบาะหลัง น้ำรินยิ้มจ๋อยๆ เอามือทำเป็นรูดซิปปาก
สายสืบแยกย้ายกันประจำการอยู่ในเดอะชลาธาร ชมังกรดำอยู่ที่บาร์เหล้า, หงส์ขาวอยู่ที่โต๊ะไพ่, อินทรีทองอยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์
ที่เพดานของแต่ละห้อง ติดตั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณเล็กๆ ปรากฏไฟสว่างกระพริบถี่ๆขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่สำนักงานสืบฯ ก็กระจายกำลังออกล้อมภายนอกอาคาร พร้อมจะบุกเข้าไปทันทีที่ได้รับสัญญาณจากสายสืบ
เหยี่ยวซุ่มอยู่กับนกน้อย โดยน้ำรินอยู่ข้างๆ เหยี่ยวมีสีหน้าไม่ค่อยดีเมื่อยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพราะไม่มีสัญญาณ
“เอาไงดีล่ะหมวด สายของเราจะส่งสัญญาณมาให้เราได้ยังไง” นกน้อยถามเชิงปรึกษา
“ถ้าส่งสัญญาณมาให้ไม่ได้ เราก็ต้องเข้าไปรับสัญญาณเอง”
“แต่ผู้การสั่งให้เรารอ”
“จ่ารออยู่ตรงนี้ จนกว่าผมจะวิทยุสั่งให้บุกเข้าไป”
ขาดคำ ก็พุ่งตัวไปทันที โดยไม่รอให้นกน้อยพูดต่อ น้ำรินรีบวิ่งตามไป
หนุ่มไฮโซคนหนึ่งเดินลงมาจากรถสปอร์ตหรู เหยี่ยวมองแล้วยิ้มๆ เหมือนคิดอะไรบางอย่างได้
รถสปอร์ตคันนั้นแล่นเข้ามาจอดที่หน้าเดอะชลาธาร เหยี่ยวเดินลงมาในชุดของหนุ่มวีไอพีคนนั้น
พนักงานเข้ามารับรถด้วยท่าทางนอบน้อม น้ำรินตามเข้าไปด้วย
ทางด้านหนุ่มวีไอพี ที่โดนเปลี่ยนชุดใส่เสื้อยืดขาวกางเกงขาสั้น ทำสีหน้าไม่พอใจอยู่กับนกน้อย
เหยี่ยวเข้ามาในเดอะชลาธาร ท่าทางเหมือนนักเที่ยวโดยทั่วไป น้ำรินเดินตามมา
“คนเยอะแบบนี้ จะหาสายทั้งสามคนเจอได้ยังไง”
เหยี่ยวหยิบโทรศัพท์มาเปิดภาพมังกรดำให้น้ำรินดู “ไปช่วยหาผู้ชายคนนี้”
“ฉันเนี่ยนะ”
เหยี่ยวพยักหน้า “เออสิ ไหนๆ มาแล้วก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ผมจะไปหาหงส์ขาว อีกสิบนาทีเจอกันตรงหน้าทางเข้าโซนสนุกเกอร์”
พูดจบเหยี่ยวก็เดินออกไปเลย ทิ้งให้น้ำรินเหวที่โดนสั่งให้ทำงานโดยไม่ตั้งตัว
น้ำรินเดินอ้อมๆ ตัวคนในผับที่กำลังเต้นกันอยู่ ทำเหมือนไม่อยากจะแทรกตัวเข้าไป จากนั้นก็ตัดสินใจปีนขึ้นไปบนบาร์ ที่สาวๆ กำลังวาดลวดลายเต้นโคโยตี้
มังกรดำกำลังนั่งอยู่ที่โซฟา มีสาวๆ สวมชุดเซ็กซี่ 2-3 คนรายล้อม
น้ำรินนิ่วหน้า มั่นใจว่าเจอมังกรดำแล้ว
เหยี่ยวเดินจะเข้าไปที่โซนบ่อนพนัน แต่การ์ดหน้าโซนกั้นเขาไว้
“เข้าได้เฉพาะแขกวีไอพี”
เหยี่ยวหยิบเงินออกมาจากเสื้อสูท เป็นแบงค์พันปึกใหญ่ การ์ดยิ้มพอใจ เปิดทางให้เหยี่ยวเดินเข้าไป
หงส์ขาวที่ท่าทางเซ็กซี่ชนะพนันได้เงินเป็นจำนวนมาก เหยี่ยวเดินเข้าไปหาพลางยิ้มให้
“โชคดีจังนะครับ”
หงส์ขาวหันมามองเหยี่ยว แล้วยิ้มยั่วแสดงตามบทบาท “สนใจจะเสี่ยงโชคด้วยกันมั้ยคะ”
เหยี่ยวพึมพำเบาๆ “เสร็จงานแล้วเราต้องเคลียร์กัน”
ก่อนจะพูดเสียงดังปกติ “ไม่ดีกว่า ผมไม่ค่อยมีโชคเรื่องการพนัน”
“ไม่มีโชคเรื่องการพนัน งั้นคงมีโชคเรื่องความรัก”
เหยี่ยวชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วเล่นละครต่อ “คิดว่าคงไม่ ขึ้นอยู่คู่กรณีมากกว่า”
“ฮึๆ ตอบถูกใจ ฝากเงินไปแลกชิปมาเล่นเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
หงส์ขาวหยิบเงินในกระเป๋าให้ปึกหนึ่ง เหยี่ยวทำเป็นชะงัก
“ถือเป็นโชคดีแรกของคุณในคืนนี้ไง”
เหยี่ยวรับเงินมา พลางกรีดแบงค์แล้วอมยิ้ม
เหยี่ยวเดินมาเข้าห้องน้ำมองซ้ายขวาด้วยแววตาระแวดระวัง แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำด้านในสุด
ปิดประตูล็อกกลอน ก่อนที่จะหยิบแบงค์ที่ได้มาจากหงส์ขาวออกมา เห็นข้อความเขียนอยู่ตรงสันปึกกระดาษ
“นัดส่งยาที่รังอินทรี”
น้ำรินยืนรีๆ รอๆ เหยี่ยวอยู่ที่หน้าโซนสนุกเกอร์ ยอดชัดเดินผ่านหน้าไป ลูกน้องวิ่งออกมารับ โดยที่
น้ำรินไม่รู้เรื่อง
“ลูกค้ามาถึงแล้วครับ”
“ดี”
ยอดชัดเดินเข้าไปในโซนสนุกเกอร์ โดยมีลูกน้องที่เดินตาม ถือกระเป๋าสีดำมาด้วย
เหยี่ยวเดินเข้ามาหาน้ำรินพอดี แต่ไม่ทันเห็นยอดชัด “เจอมังกรดำมั้ย”
“อยู่ที่บาร์ เดี๋ยวฉันพาไป”
“ไม่จำเป็นต้องใช้มังกรดำแล้ว พวกมันจะส่งยากันที่โซนสนุกเกอร์”
น้ำรินรีบบอก “วิทยุเรียกพวกคุณให้เข้ามาจับเลยสิ”
“ยังไม่ถึงเวลา เราต้องมั่นใจมากกว่านี้”
เหยี่ยวเดินนำเข้าไปในโซนสนุกเกอร์ น้ำรินเดินตามเข้าไปด้วยความไม่เข้าใจ
มังกรดำมองเห็นเหยี่ยวเดินเข้าไปในโซนสนุกเกอร์ พลางหันไปมองคนที่ยืนอยู่แถวนั้นเหมือนกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
เหยี่ยวเดินเข้าไปในโซนสนุกเกอร์ ที่มีโต๊ะสนุ้กขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่หลายตัว รอบๆ โซนมีห้องวีไอพีอยู่หลายห้อง พลางพยายามมองหายอดชัด แต่ไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน จากนั้นก็หันไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง เห็นหนุ่มร่างสูงกำลังแทงสนุ้กอยู่
เหยี่ยวรำพึงเบาๆ “ อินทรีทอง”
พลางเดินเข้าไปดู อินทรีทองเห็นหน้าเหยี่ยวก็ยิ้มให้ จากนั้นก็ส่งสายตาให้มองที่ลูกสนุกเกอร์ที่ตนกำลังจะแทง เหมือนส่งสัญญาณ
อินทรีทองแทงลูกสนุ้ก จงใจให้ลูกขาวพลาดไปชนลูกสีแล้วตกหลุมขวา ผู้คนที่มุงดูอยู่ต่างส่งเสียงเสียดาย
เหยี่ยวมองแล้วคิดตาม ทำหน้าเหมือนคิดอะไรได้ แล้วพูดเบาๆ กับน้ำริน
“อินทรีทองตั้งใจแทงพลาด ลูกขาวตกลงหลุมที่ตรงกับตำแหน่งทางออกฉุกเฉินนั้น”
ลูกขาววิ่งไปลงหลุมในตำแหน่งตรงทางด้านหลังร้าน
“ไอ้ยอดชัดอยู่หลังร้านไปดูหลังร้านให้ผมหน่อย”
“ฉันอีกแล้วเหรอ?”
น้ำรินหน้าเหวอ
ถัดมาน้ำรินกำลังเดินตรงไปที่หน้าประตูทางออก เตรียมจะเข้าไปด้านใน เหยี่ยวรีบพยักหน้าให้เธอเดินเข้าไป พร้อมๆ กับวิทยุออกไปด้านนอกบอกจ่านกน้อย
“จ่าเตรียมพร้อม รอคำสั่ง”
น้ำรินกัดฟันเคลื่อนตัวแทรกประตูเข้าไปด้านในห้องวีไอพี พลางกวาดตามองไปทั่ว เห็นชายหนุ่มแต่งตัวภูมิฐานถือกระเป๋าสีดำมาหนึ่งใบ
“เตรียมเงินมาพร้อมแล้วใช่มั้ย” ยอดชัดถามเสียงเข้ม
“ใช่ แล้วของ?”
กระเป๋าสองใบจากลูกค้าและจากลูกน้องยอดชัด ที่วางไว้คู่กัน ถูกเปิดออกพร้อมๆ กัน มีเงินเต็มกระเป๋าใบหนึ่ง และอีกใบเป็นยาเสพติดจำนวนเต็มกระเป๋าเช่นกัน
น้ำรินตาลุกวาวด้วยความตกใจ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า
นกน้อยส่งสัญญาณเตรียมพร้อมบุกเข้าไปภายในเดอะชลาธาร เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อม
ขณะที่เหยี่ยวจ้องเขม็งไปที่ทางหลังร้านรอให้น้ำรินออกมายืนยันการส่งยา เพื่อจะได้สั่งให้บุกเข้ามา
แต่เขากลับโดนชนจากทางด้านหลังจนเสียหลักแทบจะล้มไป เมื่อหันไปมองคนที่ชน ก็เห็นว่าเป็นหงส์ขาวที่หันมามองเขา แล้วรีบเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เหยี่ยวเฉลียวใจหันไปมองที่พื้น เห็นหงส์ขาวทิ้งไพ่ใบหนึ่งตกอยู่ด้านหน้าเขา เมื่อหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นข้อความอยู่
“มังกรดำทรยศ”
ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งแย่งไพ่จากมือเหยี่ยวไป
“กว่าจะรู้ตัว มันก็สายไปแล้วล่ะหมวด”
เหยี่ยวหันไปรอบตัวพบว่าคนของยอดชัดล้อมไว้หมดแล้ว พร้อมๆ กับที่น้ำรินพุ่งออกมาจากประตูทางออกหลังร้าน
“หมวดเก๊ก พวกมันส่งยากันจริงๆ” แต่กลับเห็นว่าเหยี่ยวโดนล้อมอยู่ “อ้าว ซวยแล้วไง”
เหยี่ยวทำเป็นยกมือคล้ายยอมจำนนน แต่กลับแอบกดปุ่มติดต่อวิทยุออกไปด้านนอก เพื่อให้เสียงพูดถูกส่งออกไป
“นึกไม่ถึงว่าจะกล้าค้ายากลางเดอะชลาธาร”
ยอดชัดที่ถือกระเป๋าออกมาจากห้องพร้อมกับลูกค้า จ่อปืนไปที่เหยี่ยว “มึงเป็นใคร?”
น้ำรินอยู่ข้างๆ พยายามจะช่วย ด้วยการทั้งปัดปืน ทั้งบีบคอยอดชัด แต่ตัวก็ทะลุ ทำอะไรไม่ได้
“มึงเป็นสายตำรวจใช่มั้ย”
“ไม่ใช่สายตำรวจ เพราะกูเป็นตำรวจ”
เหยี่ยวตรงเข้าไปปะทะกับยอดชัดอย่างรวดเร็ว คว้าข้อมือบิดจนปืนหลุดจากมือ
สมุนของยอดชัดกับมังกรดำตรงเข้ามารุม เหยี่ยวต่อสู้กับเหล่าสมุนอย่างคล่องแคล่ว น้ำรินตกใจรีบหลบไปอีกทาง
ตำรวจกระจายกำลังคลุมพื้นที่ ยึดโซนบาร์เหล้าไว้ได้แล้ว นกน้อยมองไปโดยรอบ
“คนร้ายอยู่ที่โซนสนุกเกอร์ ทางโน้น”
จากนั้นก็รีบนำกำลังเจ้าหน้าที่ตรงไปทันที
เหยี่ยวจัดการยอดชัดและลูกน้องจนล้มคว่ำไป กระเป๋ายาเสพติดวางอยู่ที่พื้น ยอดชัดหันไปมอง
นกน้อยนำกำลังตำรวจและเจ้าหน้าที่บุกเข้ามาพอดี ยอดชัดชะงักเหมือนหมดทางต่อสู้แล้ว
“ป่วยการสู้ ยอมมอบตัวซะดีกว่า”
ยอดชัดตัดสินใจหยิบรีโมทคอนโทรลขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้วกดปุ่ม ทันใดนั้นกระเป๋ายาเสพติดก็เกิดไฟลุกพรึ่บ ของกลางถูกทำลายเพราะระเบิดขนาดเล็กที่ซ่อนไว้
เหยี่ยวรีบเข้าไปดูกระเป๋าพบว่าไฟไหม้จนแทบจะไม่เหลือซาก
ยอดชัดลุกขึ้นมา พลางวางท่าอย่างเป็นต่อ
“ไม่ได้ทำอะไรผิด จู่ๆ บุกเข้ามาได้ยังไง ถ้าจะยัดข้อหาค้ายาฯ ไหนล่ะหลักฐาน?”
เหยี่ยวชักสีหน้าไม่พอใจ นกน้อยและเหล่าเจ้าหน้าที่ฯ ต่างชะงักไปตามๆ กัน ยอดชัดหัวเราะชอบใจ“พวกมึงโดนย้ายแน่ กูจะฟ้องให้หมดตัวทุกคน”
นกน้อยรีบเข้ามากระซิบกับเหยี่ยวที่ท่าทางเครียด กำลังใช้สมองหาทางออก
“เอาไงดีหมวด หลักฐานโดนไฟไหม้ไปหมดแล้ว”
ยอดชัดหันไปสั่งลูกน้อง “ติดต่อสื่อทุกสื่อ เดอะชลาธารจะแถลงข่าวเจ้าหน้าที่รังแกประชาชนผู้บริสุทธิ์”
น้ำรินที่อยู่ในเหตุการณ์นิ่งมองเหยี่ยวด้วยแววตาสงสาร พยายามหาทางออกเพื่อช่วยเหยี่ยว จากนั้นก็ย้อนนึกถึงตอนที่ยอดชัดกับลูกค้ากำลังเปิดประเป๋าสองใบ เห็นยากับเงินบรรจุอยู่เต็มกระเป๋าแต่ละใบ และเมื่อเธอเงยหน้าไปมองที่ด้านบนตึก ก็เห็นกล้องวงจรปิดตั้งอยู่เหนือตึกอีกด้านหนึ่ง โดยมุมกล้องจับอยู่ที่กลุ่มของยอดชัดกับลูกค้าชัดเจน
“หมวดเก๊ก ฉันมีทางช่วยคุณ”
เหยี่ยวเผลอตัวถามกลับไป “ยังไง”
นกน้อยหันมามองว่าเหยี่ยวกำลังพูดอยู่กับใคร น้ำรินกระซิบที่ข้างหู เหยี่ยวเริ่มยิ้มออกเดินตรงเข้าไปที่ทางออกหลังร้าน ชะโงกหน้าขึ้นไปมองเห็นกล้องวงจรปิดอย่างที่น้ำรินบอกไว้จริงๆ
“จับตัวไว้ ทุกคนเป็นผู้ต้องหา มีข้อหาร่วมกันค้ายาเสพติด”
พูดพลางตรงเข้าไปสับกุญแจมือเข้าที่ข้อมือทั้งสองข้างของยอดชัด แล้วจ้องหน้าแบบไม่กลัวเกรง
“หลักฐานน่ะมีแน่ ส่งคนไปขอฮาร์ดดิสก์ที่บันทึกภาพกล้องวงจรปิดที่ตึกข้างๆมาตรวจสอบ ของกลางและเงินอยู่ในวิดีโอที่บันทึกไว้แน่นอน แกเสร็จฉันแน่ ไอ้สวะสังคม”
เหยี่ยวหันมามองน้ำรินด้วยแววตายิ้มๆ เหมือนขอบใจ หงส์ขาวคิดว่าเหยี่ยวหันมายิ้มขอบใจตัวเอง ก็ยิ้มกลับ นกน้อยมองเหยี่ยวที่หันไปยิ้มให้หงส์ขาวอย่างล้อๆ
น้ำรินหันไปเห็นอาการของนกน้อยแล้วหันไปมองข้างหลังตัวเอง เห็นหงส์ขาวยิ้มให้เหยี่ยว ก็เริ่มสับสนว่าตกลงเหยี่ยวยิ้มให้ตัวเองหรือหงส์ขาว
เหยี่ยวยิ้มเหวอๆ เพราะความจริงยิ้มให้น้ำริน แต่รอยยิ้มดันทะลุผ่านร่างน้ำรินไปที่หงส์ขาว
อ่านต่อตอนที่ 2