เปิดทัพเต็มอัตราศึกเลยทีเดียว กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง “แอปเปิล” (Apple) ที่นาทีนี้ยากจะมีคู่แข่งใดมาเทียบเทียม กับโปรดักต์สทั้งหมดในมือที่เจาะตลาดทุกเซกเมนต์ได้อย่างถึงแก่น ทั้ง iPhone, iMac, iPad, iPod รวมถึงระบบปฏิบัติการ OS X ที่พัฒนามาจนถึงเวอร์ชัน Yosemite และนาฬิกาอัจฉริยะ Apple Watch ที่ใกล้จะวางจำหน่าย
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ คงต้องเรียกว่าใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 ปีเลยทีเดียว โดยในยุคนั้น อาจกล่าวได้ว่าชื่อของแอปเปิลปรากฏในสื่อไม่บ่อยครั้งนัก คอมพิวเตอร์แมคเองก็จำกัดวงอยู่ในกลุ่มแคบๆ ไม่ได้กลายเป็นโปรดักต์สที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ (แถมขายได้ในราคาแพงหูฉี่) อย่างทุกวันนี้
สำหรับใครที่เคยเป็นเจ้าของหุ้นแอปเปิลในปี ค.ศ. 2004-2005 และยังคงเป็นเจ้าของมาจนทุกวันนี้คงได้แต่ยิ้มแก้มปริ เพราะในเวลานั้น หุ้นของแอปเปิลมีมูลค่าราว 52 เหรียญสหรัฐเท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าแอปเปิลในยุคดังกล่าวมีชื่อในวงจำกัด เพราะในพื้นที่สื่อระดับแมส ยังเต็มไปด้วยชื่อของค่ายใหญ่ (ที่ปัจจุบันล้มหายตายจากไปเกือบหมด) ไม่ว่าจะเป็นโนเกีย (Nokia) ไอบีเอ็ม (IBM) เดลล์ (Dell) เอชพี (HP) โมโตโรลา (Motorola) และคู่รักคู่แค้นอย่าง ไมโครซอฟท์ (Microsoft)
ในช่วงเวลาดังกล่าว แอปเปิลเริ่มกลับมาชิงพื้นที่สื่ออีกครั้งด้วยการเปิดตัวเครื่องเล่นเพลง iPod และบริการร้านค้าเพลงออนไลน์ในนาม iTunes รวมถึง Mac OS X โค้ดเนม Tiger ที่เริ่มทำกำไรให้แอปเปิลเป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง (เติบโต 300% ในปี 2005)
***ย้อนสู่ยุคเสือลำบาก
ความลำบากใจในยุคนั้นของแอปเปิลคือการ “ต้อง” พัฒนาโปรดักต์สให้สามารถทำงานร่วมกับโปรดักต์สของยักษ์ใหญ่ในขณะนั้นอย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) ให้ได้อย่างราบรื่น ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้โปรดักต์สของแอปเปิลได้รับการตอบรับในวงกว้างมากขึ้น ไม่จำกัดวงแค่กลุ่ม Geek แต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป และเพื่อเป็นการบอกให้โลกรู้กลายๆ ว่า สินค้ามีดีไซน์ที่คนอย่างสตีฟ จ็อบส์ พัฒนาขึ้นมานั้น ไม่ได้เหมาะสำหรับกลุ่ม Geek เท่านั้น หากแต่เหมาะสำหรับการวางไว้ในห้องนั่งเล่น ห้องเรียน หรือแม้แต่พกพาติดตัวไปด้วยทุกที่
แต่จากการเปิดบริการ MSN Virtual Earth ของไมโครซอฟท์ในปี ค.ศ. 2005 ก็สร้างบาดแผลเล็กๆ ให้กับพนักงานแอปเปิลอีกรอบ เมื่อครั้งนั้นเกิดกรณีที่ว่า แผนที่ของบริการดังกล่าว ไม่ปรากฏสำนักงานใหญ่ของแอปเปิลแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นการตกสำรวจที่น่ากระอักกระอ่วนใจอย่างมาก สุดท้าย ทางไมโครซอฟท์ได้ออกมาขอโทษและยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของภาพถ่ายที่ไม่อัปเดต และทางแอปเปิลเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว เรียกว่าไม่ต่อความยาวสาวความยืดระหว่างกัน
***ยาใจสำคัญ
ในช่วงที่ยากลำบาก อาจกล่าวได้ว่า “ไอพอด-ไอจูนส์” คือกำลังใจสำคัญของแอปเปิลเลยทีเดียว โดยในการเปิดตัวไอพอดครั้งแรกนั้น ต้องยกนิ้วให้กับซีอีโอคนดังอย่าง “สตีฟ จ็อบส์” ที่สามารถสร้างกระแสเรียกเสียงฮือฮาได้ในครั้งแรกของการเปิดตัว ส่งผลให้ในเวลาต่อมา ไอพอดเป็นเครื่องเล่นเพลง MP3 ที่จำหน่ายได้รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
ส่วนไอจูนส์ก็เป็นร้านค้าเพลงออนไลน์อันดับหนึ่งของโลก (ยอดจำหน่ายเพลงบนร้านไอจูนส์ในขณะนั้นอยู่ที่ราว 2,500 ล้านเพลง ไฟล์รายการโทรทัศน์อีกกว่า 50 ล้านไฟล์ และไฟล์ภาพยนตร์อีกกว่า 1.3 ล้านไฟล์)
เรียกได้ว่าเป็นโปรดักต์สนำเทรนด์ให้ทุกเจ้าในตลาดต้องหันมาทำตามแอปเปิลอีกครั้ง ทั้งไมโครซอฟท์ที่ผลิตเครื่องเล่นเพลง Zune ตามหลังมา แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมถึงขนาดติดชาร์ต เครื่องเล่น MP3 ขายดีของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปี ค.ศ. 2006 แต่อย่างใด (ไม่ติดแม้ 1 ใน 10 ขณะที่เครื่องเล่นในตระกูลไอพอดติดถึง 8 อันดับ)
และแล้วในปี 2007 พระเอกตัวจริงอย่างไอโฟนที่แอปเปิลซุ่มเงียบพัฒนา และปล่อยข่าวออกมาเป็นระยะๆ ก็ได้ฤกษ์ลงตลาด แม้ไอโฟนรุ่นแรกต้องใช้เวลานานถึง 74 วันในการทำยอดขายทะลุเป้า 1 ล้านเครื่อง แต่ผลจากความสำเร็จในการผนึกกำลังของไอโฟน-ไอแมค และไอพอดก็ทำให้หุ้นของแอปเปิลขึ้นมาแตะ 98 เหรียญสหรัฐในที่สุด (ตุลาคม ค.ศ. 2008)
ความน่าตื่นตาตื่นใจของยอดขายในไลน์สินค้าต่างๆ ของแอปเปิลยังถูกจุดกระแสขึ้นมาอย่างต่อเนื่องด้วยฝีมือของทีมงานขั้นเทพ ที่จับจังหวะ และสามารถชิงพื้นที่สื่อได้อย่างมีชั้นเชิง ผนวกกับการขึ้นเวทีของสตีฟ จ็อบส์ที่เรียกความสนใจจากผู้ฟังทุกระดับ
วันนี้ ถึงไม่มีเงาของสตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอคนดังผู้ฉุดบริษัทเดิมของตนเองจากฝันร้ายขึ้นมาเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ผลประกอบการของแอปเปิลคงเป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีถึงความยิ่งใหญ่ขององค์กร ล่าสุด ในการประกาศผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปีการเงิน 2014 (กรกฏาคม-กันยายน 2014) แอปเปิลสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น 13% แตะ 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รายได้ทะยานขึ้นไปอยู่ที่ 42.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับผลประกอบการตลอดทั้งปี แอปเปิลปิดงบการเงินด้วยยอดกำไร 39,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รายได้แตะ 183,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นของแอปเปิลเพิ่มขึ้น 1.47% อยู่ที่ 101.23 เหรียญสหรัฐ
แม้ไอโฟนจะเป็นแม่ทัพหลักของผลประกอบการดังกล่าว (รายได้ในไตรมาสนี้มาจากไอโฟนถึง 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เกินครึ่งของรายได้ทั้งหมด) แต่อย่าลืมว่า iMac ก็ทำได้ดีในภาวะที่ตลาดคอมพิวเตอร์พีซีหดตัว เพราะแมคสามารถชิงยอดขายมาได้ถึง 5.5 ล้านเครื่อง ขณะที่ค่ายอื่นแทบต้องลดแลกแจกแถมทุกสิ่งอย่าง
ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่คงเป็นอีกช่วงที่หอมหวานสำหรับแอปเปิล เพราะภายใต้การนำของซีอีโอ ทิม คุก (Tim Cook) ซึ่งล่าสุดได้ออกมาช็อกโลกด้วยการประกาศตัวตนที่แท้จริงว่าเป็น "เกย์" แอปเปิลคาดการณ์ว่า รายได้จะอยู่ระหว่าง 63.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ-66.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
แต่นอกเหนือจากรายได้ที่บริษัทหมายมั่นปั้นมือกันแล้ว วันนี้เรายังจะพาท่านผู้อ่านไปแกะกล่องอีกหนึ่งสุดยอดโปรดักซ์ภายใต้การบริหารของทิม คุก อย่าง iMac with Retina 5K Display ว่าจะ "เวิร์ก" หรือไม่อย่างไรด้วย ไปติดตามกันเลย
***พาแกะกล่อง iMac with Retina 5K Display คุ้มสำหรับใคร?
เคาะราคากันที่ 85,900 บาทเลยทีเดียวกับ iMac with Retina 5K Display ที่หลายคนอาจถามถึงสิ่งที่จะได้รับตอบแทนนอกเหนือจากดีไซน์และฟังก์ชันการทำงานที่เป็นนวัตกรรมเฉพาะของแอปเปิล (Apple) วันนี้เราจะชวนท่านผู้อ่านมาแกะกล่อง New iMac ว่านอกเหนือจากตัวเครื่อง iMac, ไวร์เลส คีย์บอร์ด, เมจิก เมาส์ และสายไฟแล้ว ยังมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังราคา 85,900 บาทกันบ้าง เริ่มตั้งแต่
***ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์
อาจกล่าวได้ว่าแอปเปิลเอาชนะค่ายคู่แข่งด้วยดีไซน์ที่ไม่มีใครตามทัน โดยใน iMac with Retina 5K Display ก็ช่างบางได้ใจ (ความหนาของบริเวณขอบจอเพียง 5 มิลลิเมตรเท่านั้น) และมาเพิ่มความโค้งมนบริเวณตอนกลางของเครื่องแทน ซึ่งเป็นดีไซน์ที่โดนใจเหล่าสาวกแอปเปิลได้ไม่แพ้รุ่นก่อนหน้าเลย
ส่วนหน้าจอ Retina 5K ขนาด 27 นิ้วที่มาพร้อมความละเอียดมากที่สุดในโลก 5120 x 2880 พิกเซล (218ppi) หรือเท่ากับการมี 14.7 ล้านพิกเซลอัดแน่นอยู่ในหน้าจอเดียว ทำให้ iMac กลายเป็นคอมพิวเตอร์ไฮเอนด์ที่สามารถแสดงผลภาพขั้นสุดยอด และเป็นที่ถูกใจบรรดานักตัดต่อไฟล์ภาพยนตร์ และคนทำงานกราฟิกกันถ้วนหน้า นอกจากนั้น แอปเปิลยังรับประกันด้วยว่า จอใหม่นี้ กินไฟน้อยลงเมื่อเทียบกับ iMac รุ่นเก่าถึง 30% ภายใต้การควบคุมของชิป timing controller ด้วย
อย่างไรก็ดี จำนวน K ที่เพิ่มขึ้นจาก 4K เป็น 5K ก็มาพร้อมราคาที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น จึงอาจจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพขั้นสุดยอดจริงๆ หรือเหล่าโปรเฟสชันนัลในแต่ละสาขาเท่านั้นก็เป็นได้
iMac with Retina 5K Display ไม่ได้เป็นรุ่น 5K ตัวแรกของโลก หากแต่เป็นค่ายเดลล์ (Dell) ที่เปิดตัวในชื่อรุ่น UltraSharp 27 Ultra HD 5K เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมาในราคา 2,500 เหรียญสหรัฐ (ราคาเท่ากับ iMac 27 นิ้ว แต่ทางเดลล์เผยว่าพร้อมจัดส่งในเดือนธันวาคม ขณะที่ iMac พร้อมแล้วสำหรับการเป็นเจ้าของ)
***OS สุดคูล “Yosemite”
หันมาดูภายในกันบ้าง ภายใต้ระบบปฏิบัติการ OS X Yosemite ที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ และเน้นที่การสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เป็นนวัตกรรมเฉพาะสำหรับแมค คงทำให้หลายคนได้ลองแล้วติดใจ ไม่กลับไปหาโอเอสเก่ากันพอสมควร นอกจากนั้นในเวอร์ชัน Yosemite นั้น ยังรับประกันด้วยว่าจะสามารถทำงานร่วมกับ iOS 8 ได้เป็นอย่างดี เช่น รับสายเรียกเข้าจากไอโฟนได้ทันทีผ่านทาง iMac หรือส่งข้อความระหว่างกันผ่านโปรแกรม iMessage เป็นต้น
ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมกันนั้น ก็เหมาะสำหรับคอแมคเช่นเคย โดยใน iMac ทุกรุ่น ไม่เฉพาะ แต่ Retina 5K Display จะมาพร้อมกับแอปชื่อคุ้นหูอย่าง Pages, Keynote, Numbers, iPhoto, iMovie, GarageBand, Safari, Mail, Messages, FaceTime, Calendar, Contacts, App Store, iTunes, iBook, Maps, Photo Booth และ Time Machine ซึ่งทั้งหมดสามารถใช้งานทรัพยากรของแมคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากได้ทดลองใช้งาน Yosemite กันไปบ้างแล้ว ก็มีเสียงบ่นออกมาจากฝั่งผู้บริโภคอยู่พอสมควร กับความสามารถของ Yosemite ที่ค่อนข้างเข้าถึงข้อมูลของผู้บริโภคมากเกินไป จนสามารถวิเคราะห์และนำไปสู่การดึงโฆษณา ตลอดจนบริการต่างๆ เข้ามาเสนอให้โดยที่ยูสเซอร์ไม่ได้ต้องการ และนำไปสู่ความรำคาญในที่สุด
หากมีเงินถุงเงินถัง จะซื้อ iMac with Retina 5K Display มาประดับโต๊ะทำงานคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากไม่ใช่ ก็คงต้องพิจารณาให้หนัก เพราะสุดท้ายแล้ว ฟีเจอร์ดังกล่าวที่ประโคมลงมาใน New iMac ในราคาเหยียบแสนนี้อาจเหมาะสำหรับการใช้งานระดับเทพที่ความละเอียดสูงคือคำตอบของทุกอย่าง ที่สำคัญเงิน 85,900 บาทนี้อาจนำไปมองหา iMac รุ่นดีๆ ได้อีกมากที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการระดับปานกลางค่อนไปทางสูงได้เช่นกัน
Company Relate Link :
Apple
CyberBiz Social
http://instagram.com/cbizonline