xs
xsm
sm
md
lg

บางระจัน ตอนที่ 2

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บางระจัน ตอนที่ 2

ทัพควบอ้ายเลาพุ่งเข้ามา มองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร สไบวิ่งตามมา

"ไหนน้องสาว ..พวกน้องอยู่ไหน"
สไบมองไปรอบๆ ยิ่งตกใจที่ไม่เห็นใคร
"พี่ใจ พวกพี่ใจถูกจับไปแล้ว"
สไบหันมาทางทัพ สายตาอ้อนวอน
"พี่ชายช่วยด้วย ช่วยพี่ใจ พี่เจิด พ่อจาดด้วย"

ทั้งสามวิ่งกันมาอย่างเร็ว ทัพควบอ้ายเลาเข้ามา มองหา ไม่เห็นใคร สงสัยว่าทำไมคนสามคนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
"สามคน หายไปไหน"

ทั้งสามวิ่งลัดเลาะต้นไม้ว่องไวคล่องแคล่ว ใจตามหลังมา กำลังจะก้าวข้ามหิน แต่ขาสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งริมฝั่ง ใจล้มกลิ้ง จาดเจิดหันไปมอง ใจลุกขึ้นมาดู ร่างที่คว่ำหน้าอยู่นั้น บาดแผลเต็มตัว แล้วใจก็จำได้
"พี่ชายสไบ"

ทัพลงจากอ้ายเลา มองสไบกับพ่อ
"ไม่เจอใครเลย"
"พี่ใจ พี่เจิดคงถูกทหารจับตัวไปแล้ว" สไบบอก
"โธ่ พี่จาด ..ช่วยพวกเราแท้ๆ เลยถูกอังวะจับไป" ผู้ใหญ่แสงว่า
ทัพมองสไบกับผู้ใหญ่แสง แล้วถามขึ้น
"ใจ ..พรานใจใช่มั้ย"
"จ้ะพี่...พี่ใจเป็นพราน คอยช่วยพวกเรา ฉันจำพี่ได้ พี่เคยช่วยฉันไว้ที่หมู่บ้าน"
"แล้วนี่จะไปไหนกัน"
"กระทุ่มด่านจ้ะ"
"ฉันมาจากกระทุ่มด่าน อีกไม่กี่อึดใจก็ถึงแล้ว"
ผู้ใหญ่แสง สไบ กับชาวบ้านที่เหลือต่างยิ้มดีใจ

ใจมองดอกรักที่นอนแน่นิ่ง เอื้อมมือไปจับชีพจร
"ยังไม่ตาย"
เจิดบอก
"ต้องไปแล้วนะใจ"
"เราต้องช่วยพี่ชายสไบ"
จาดแทรกขึ้น
"ไม่ช่วย ทิ้งไว้ที่นี่"
"พ่อ"
จาดสั่ง
"ทิ้งไว้ รีบไป"
ใจมองดอกรัก เจิดเองก็สงสารน้อง
"ช่วยไว้ก็คงไม่เสียเวลา"
"ใจอ่อน จะตายกันหมด"
จาดเสียงเข้มจนเจิดไม่กล้า
"อย่าใจอ่อนเพราะผู้หญิงคนเดียว"
"จะปล่อยให้ตายตรงนี้ไม่ได้" ใจบอก
ใจหันไปสบตาจาด
"คนไทยถือว่า ใครช่วยชีวิต จะเป็นบุญคุณ ยอมตายแทนได้ เราถึงต้องช่วยพี่ชายสไบ"
ใจมองจาดด้วยสายตาดื้อดึง เชื่อมั่นในตัวเองยิ่งกว่าทุกครั้ง

แฟงที่กำลังอยู่บนเรือน เห็นกลุ่มคนเดินมา แฟงมองแล้วหันไปเรียกเฟื่อง
"พี่เฟื่อง พี่เฟื่อง มีคนมา"
เฟื่องออกจากในเรือนมาดู
"ใคร"
แฟงไม่รอคำตอบ รีบวิ่งลงมาที่กลุ่มคน
สไบ ผู้ใหญ่แสงและชาวบ้านเดินกันมาอย่างเหนื่อยอ่อน สองพี่น้องเข้ามาดู ผู้ใหญ่ทรุดลง เฟื่องรีบเข้าไปประคอง
"พี่ทัพบอกให้ฉันมาจ้ะ" สไบบอก
"มาที่นี่"
"จ้ะ พี่ทัพบอกว่าให้มาหาพี่เฟื่อง"
"ฉันเอง เฟื่อง"
สไบมองเฟื่องด้วยรอยยิ้มดีใจ

เฟื่องนั่งห่างออกมา ด้านหลังคือกลุ่มผู้ใหญ่ที่คุยปรึกษากัน เฟื่องมองไปทางด้านนอก สายตาคิดกังวลเรื่องทัพ
แฟงกับสไบช่วยกันตักข้าวให้ชาวบ้าน
"เจอพี่ทัพที่ไหน" แฟงถาม
"ระหว่างทางมานี่แหละจ้ะ พี่ทัพช่วยพวกเราไว้"
"แล้วพี่ทัพเป็นยังไงบ้าง บอกหรือไม่จะไปไหน"
สไบยังไม่ทันตอบ แฟงซักต่อ
"พี่ทัพฟันพวกทหารอังวะตายเป็นเบือเลยใช่มั้ย"
"แฟงจะให้ฉันตอบคำถามไหนก่อนละจ๊ะ"
สไบยิ้มขำ แฟงยิ้มอายๆ

ทัพซุ่มพรางตัวอยู่ในป่า อ้ายเลาเล็มหญ้าอยู่ใกล้ๆ เขามองจันทร์กระจ่าง แล้วหลับตาลง เห็นภาพรอยยิ้มของเฟื่อง
"พี่ไปกำจัดศัตรูให้สาแก่ใจ .. ไม่ต้องพะวงว่าใจฉันจะเปลี่ยน หัวใจของเฟื่องจะมีพี่ทัพเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว ตราบสิ้นลมหายใจ"

ด้านหลังเห็นทหารลาดตระเวนอังวะกำลังค่อยๆเข้ามา ขณะที่ทัพยังหลับตามีความสุขที่ได้นึกถึงหน้าคนรัก

เฟื่องกำลังเจียนหมากเจียนพลูส่งให้กลุ่มผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่แสงกับกำนันพันคุยกัน

"ฉันกับลูกมาขออาศัยบ้านพี่พันหลบภัย"
"ตามสบายผู้ใหญ่ ขาดตกบกพร่องก็อย่าถือสากัน"
แสงยกมือไหว้
"ฉันกับสไบ แล้วก็ลูกบ้านที่หนีกันมาเป็นหนี้บุญคุณพี่กำนัน"
"ไม่ช่วยกันยามยาก แล้วจะไปช่วยกันตอนไหน"
แสงมองไปรอบๆ
"ต่อไปที่นี่คงต้องรับคนที่หนีศึกมาอีกมาก ศัตรูเข้ามามากมายเหลือเกิน"
ผู้ใหญ่ทุกคนสีหน้ากังวล เฟื่องไม่สบายใจเลย เมื่อนึกไปถึงศึกครั้งนี้

ป่าในเขตกระทุ่มด่าน ทัพหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย ทหารอังวะลาดตระเวน 2 คน เดินใกล้เข้ามาจากด้านหลัง ทั้งสองคนสบตา เห็นว่าเป็นคนไทย ก็ย่องเข้ามาเตรียมจะฟัน ดาบที่เงื้อลงมาจะถึงตัว ทัพรู้สึกตัวแล้ว ยกดาบขึ้นยันแล้วหันตัวกลับมาถีบทหารอังวะ
ทหารอีกคนเข้ารุม ทัพฟันลงไป ทหารล้มตายลงทั้ง 2 คน ทัพกำลังจะเก็บดาบ มองไปเห็นกลุ่มทหารลาดตระเวนอีกกลุ่มที่ตามหลังมา
ทัพกำลังโดนทหารลาดตระเวนที่เหลือทั้งหมู่ล้อมไว้ ทหาร 5 คน พากันรุมเข้ามา ทัพหันไปรับดาบที่กำลังจะเข้าฟัน ทหารอีกคนถีบทัพจากด้านหลังกระเด็น ที่เหลือกำลังจะเข้ามาฟัน ทว่าคมดาบจากฟัก เคลิ้ม ช่วง เอิบที่เข้ามาด้านหลังกองลาดตระเวนอังวะฟันเข้า ทหารล้มลงขาดใจตายข้างทัพ
ทั้ง 5 คนช่วยกันฟันหน่วยลาดตระเวนทั้ง 20 คน ตายเรียบไม่เหลือเลยสักคนเดียว

ภายในห้องนอน เรือนกำนันพัน เฟื่องกับจันทร์ห่มผ้าให้แม่ สไบกับแฟงกำลังพับผ้าแถบคาดอก
"ป่านนี้พี่ทัพเค้าจะกินจะนอนยังไงก็ไม่รู้นะ พี่เฟื่อง"
"กินนอนกลางป่าพี่ทัพเค้าไม่ลำบากอะไรหรอก แฟง .. ที่ห่วงก็กลัวแต่จะเจอข้าศึก"
สไบบอก
"รับรองพวกศัตรูตายเกลื่อน ฝีมือดาบพี่ทัพเก่งเป็นที่หนึ่ง ไม่มีใครสู้ได้"
แฟงหันขวับมองสไบที่น้ำเสียงชื่นชมทัพ
"นอกจากฝีมือดาบแล้ว ฝีปากพี่ทัพก็หวานนัก ไม่เชื่อ ถามพี่เฟื่องเค้าสิสไบ พี่เฟื่อง เค้าเป็นเจ้าของพี่ทัพ"
"แฟง พูดอะไรอย่างนั้น"
เฟื่องอาย สไบรีบพูดบอก
"โธ่ แฟง ก็ฉันชอบพี่ทัพเค้าจริงๆ"
"ชอบไม่ได้ ใครจะชอบพี่ทัพไม่ได้"
แฟงตาโตทันที สไบยิ้มหวาน
"ทำไมหรือ .. ฉันชอบพี่ทัพ ชอบแล้วก็นับถืออย่างพี่ชาย เพราะพี่ทัพช่วยชีวิตฉัน ชีวิตพ่อ แล้วก็ทุกคน อย่างนี้ชอบได้หรือไม่"
สไบแกล้งแหย่ เฟื่องอมยิ้ม แฟงรู้ว่าโดนแหย่ก็คลายความเคือง
"แล้วไป พี่ทัพน่ะเค้าเป็นของพี่เฟื่อง"
"อย่าถือเลยนะ สไบ แฟงมันเด็ก หวงไม่เข้าเรื่อง"
"ฉันหวงพี่ทัพไว้ให้พี่นะ พี่เฟื่อง"
จวงยิ้มที่ได้ยินแกล้งพูดเพื่อแหย่แฟง
"เอ ... หรือฉันจะมีพี่สะใภ้เสียสองคนดี" จวงว่า
แฟงลอยหน้าไปใกล้จวง แต่ทำตาดุ
"ไม่ได้หรอก จวง พี่สะใภ้จวงต้องพี่เฟื่องของฉันคนเดียว ถ้าเป็นคนอื่น ฉันจะบีบคอให้ตาย"
"ฉันเย้าเล่นน่ะ แฟง ยังไงพี่สะใภ้ของฉันก็ต้องพี่เฟื่องคนเดียว"
ทุกคนมองด้วยสายตาล้อเลียน จนเฟื่องยิ้มอาย

ในป่าเขตกระทุ่มด่าน เวลากลางคืน ทัพนั่งอยู่ท่ามกลางทุกคนที่ล้อมก่อไฟกองเล็กๆไม่ให้เป็นที่สังเกตกับข้าศึก
"ทุกคนปลอดภัยอยู่ที่กระทุ่มด่านแล้ว แต่ทหารที่พวกเราฟันมันเป็นผีเฝ้าป่า ... มันมาลาดตระเวนไกลถึงนี่ เห็นทีแถวนี้จะเป็นทางเดินทัพ"
"เข้าใกล้ศัตรูอย่างนี้ ดาบเราคงได้ชุ่มเลือดทุกวัน" ฟักบอก
ช่วงมองสีหน้าทัพที่ดูมีริ้วรอยความกังวลก็ถามขึ้น
"เห็นทีพี่ทัพจะไม่สบายใจ" ช่วงว่า
"พอทหารลาดตระเวนที่เราฟัน มันไม่กลับไปที่ค่าย ข้าศึกมันต้องยกไพร่พลเดินทัพมาที่นี่ เพราะเห็นว่าอาจจะชุมนุมซ่องสุมต่อต้านมัน"
"พี่ทัพคงกลัวว่ากระทุ่มด่านจะกลายเป็นทุ่งนองเลือด"เอิบบอก
"ถ้าต้องเป็นอย่างงั้น จะหนีไปไหน ก็คงไม่พ้น" ฟักบอก
"มันมาก็ฟันกันให้ยับไปข้างนึง ระหว่างทางมานี่ ข้าช่วยน้องสาวคนนึงไว้ชื่อสไบ ถูกทหารอังวะจับตัวเข้าไปที่ค่ายย่อยๆริมแม่น้ำ สไบเล่าให้ฟังว่าทัพอังวะ เอาช้างม้าอาวุธมามากมายสุดจะนับ กวาดต้อนเชลยคนไทยไว้ได้มาก ศึกนี้มันไม่ได้มาอย่างโจร เห็นทีพระเจ้ากรุงอังวะคงจะตั้งใจจะลบชื่อกรุงศรีอยุธยา" ทัพว่า
เคลิ้มฮึกเหิมบอก
"แผ่นดินปู่ย่าตายาย ไม่มีลูกหลานไทยคนไหนยอมยกให้ศัตรู"
ทัพมองสบสายตาทุกคนด้วยจิตใจแรงกล้าไปด้วยเลือดรักชาติ

"ถึงจะกลายเป็นโจร ก็ขอให้ภูมิเถิดว่าโจรอย่างเราจะขอเอาเลือดเนื้อแลกเพื่อพี่น้องให้อยู่รอด หลับ ตื่นขึ้นมาเป็นสุขทุกวัน"

สองทัพใหญ่ของพระเจ้าเซงพยูเชง หรือ พระเจ้ามังระแห่งอังวะ หรือที่ชาวไทยเรียกกันว่า พระเจ้าศรีธรรมราชา แยกกันเป็นทัพเหนือของเนเมียวสีหบดี และ ทัพใต้ของ มังข่องนรธา หรือ มังมหานรธา ได้แยกกัน
 
ฝ่ายเนเมียวสีหบดี เคลื่อนทัพมาทางเชียงใหม่ กำแพงเพชร ต่อเรือรบ เรือลำเลียง จนมาถึงนครสวรรค์ในเดือน 7 ตีไล่หัวเมืองลงมาถึงสุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ จนอ่างทอง วิเศษไชยชาญ จึงตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่ วัดป่าฝ้าย ปากน้ำพระประสบ ทิศเหนือของกรุงศรีอยุธยา ส่วนทัพใต้ของมังมหานรธาตีทวาย มะริด ตะนาวศรี เผาชุมพร ปะทิว เมืองกุย ล่วงเดือน 7 ก็มาถึงกาญจนบุรี ชนะทัพพระพิเรนทรเทพ เดินทัพเข้าสู่ราชบุรี เพชรบุรี และตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่ ต. สีกุก
นอกจากนี้เส้นทางรอบกรุงศรีอยุธยา ยังมีทั้งค่ายย่อยของพระยาเจ่งและทัพมอญ ที่วัดขนอนหลวง หรือวัดขนอนโปรดสัตว์ ปะกันหวุ่น เมฆาราโบ่คุมกองเรือ ตั้งค่ายที่บ้านบางไทร มีค่ายย่อยของทัพอังวะอยู่รายล้อม เพื่อรอเวลามาบรรจบกัน โอบล้อมตีกรุงศรีให้แตกสิ้น
สิ้นเดือน ๑๒ ฤดูหนาวลมพัดเย็นจับหัวใจ ทั่วทั้งแขวงวิเศษไชยชาญ ไม่อยู่กันเป็นปกติสุขได้
ทัพอังวะที่มีสุรินทรจอข่องเป็นนายกองย่อย รวบรวมทหารเข้าปล้นเสบียง เผาหมู่บ้านตลอดรายทาง
ตั้งแต่บ้านบึง อู่ตะเภา ข้ามน้ำสะแกโทรม ถึงทุ่งน้อย

เช้าวันใหม่ บริเวณลานบ้านด้านหลังของกำนันพัน กลุ่มผู้หญิงกำลังเตรียมข้าวเปลือก ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ของแห้ง เฟื่องกับจวงห่อเนื้อเค็ม ปลาเค็ม เกลือไว้เป็นชุดๆ
แฟงตำข้าวอยู่กับสไบ เมียกำนันพันคอยดูแล ควบคุมการจัดเตรียมเสบียง แฟงพูดขึ้นยิ้มๆ
"เตรียมข้าวเปลือก ข้าวสาร ของแห้ง ไว้มากขนาดนี้ ถ้าพวกข้าศึกมาถึงนี่ คงอิ่มท้องมีเสบียงเลี้ยงได้ทั้งกองทัพ" แฟงบอก
"อย่าให้พวกมันมาถึงนี่เลย" สไบว่า
เฟื่อง แฟง จวงมองสไบที่สีหน้านึกถึงตอนที่หมู่บ้านถูกเผา
"พวกมันเหี้ยมยิ่งกว่าโจร ปล้น ฆ่า เผา ข่มเหงเมียต่อหน้าผัว"
"น้าผู้ใหญ่บอกว่าคราวแรกก็ยอมเป็นเชลยพวกมันแล้ว" เฟื่องบอก
"จ้ะ พี่เฟื่อง พวกมันเห็นว่าบ้านเรามียุ้งข้าว ในนาก็ยังมีข้าวที่เกี่ยวไม่เสร็จ เป็นเสบียงให้มันได้ มันบอกว่าจะเอาทองมาแลกข้าว"สไบบอก
"มันปดน่ะสิ คนโง่หรอกที่จะเชื่อมัน" แฟงบอก
"แล้วเป็นอย่างไรต่อ สไบ ทำไมถึงหนีจนมาเจอพี่ทัพ" จวงว่า
สไบเจ็บช้ำบอก
"มันหลอกเราทุกอย่าง มันจะข่มเหงฉัน พี่ดอกรักไม่ยอม มันก็ฆ่า..." เธอนิ่งอั้น น้ำตาคลอ "พี่ดอกรัก แล้วจับฉันเข้าไปที่ค่าย ฉันหนีมาได้เพราะเชลยไทยที่ยอมตาย มันผูกล่ามเชลยไว้ เหมือนไม่ใช่คน พวกมันตามมาถึงหมู่บ้าน แล้วก็เผา"
สไบเงียบไปด้วยความเศร้าใจ เฟื่องเข้าไปกอดปลอบที่ไหล่ จวงกับแฟงมองด้วยความสงสาร
"โชคดีที่สไบรอดมาได้"
"พี่ใจมาช่วยฉันไว้ พี่ใจเป็นพราน ช่วยฉันไว้ก่อน แล้วพี่ทัพก็มาช่วยพาทุกคนหนี" สไบบอก
จวงพวกศัตรูมันสมควรตายด้วยดาบพี่ทัพ" จวงว่า
แฟงตำข้าวลงไปในครกอย่างแรง ระบายความโมโห
"ฉันอยากเกิดเป็นชายนัก จะได้จับดาบไล่ฟันพวกมัน" แฟงบอก
แฟงตำข้าวลงแรงหลายทีเป็นการระบายแค้น
"ขอแค่พวกเราช่วยกันคนละไม้คนละมือ มีใจของไทยที่รักอิสระ ช่วยเหลือกัน ศัตรูที่ไหนก็มาทำลายความสามัคคีของเราไม่ได้" สไบบอก
ผู้หญิงทั้ง 4 คน ยิ้มให้กันด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ภูมิใจ

ยามเช้า เจิดถือพวงนกที่ดักได้ก้าวเข้ามาในกระท่อมเก่าผุหลังหนึ่งที่ปลายนา ใจกำลังหยอดน้ำในกระบอกไม้ไผ่ให้ดอกรักที่นอนพักรักษาตัวอยู่ จาดบดยาอยู่ห่างออกมา แล้วเข้ามาทาสมุนไพรลงบนบาดแผลของดอกรัก
"ตอนนี้ชาวบ้านพากันอพยพหนีศึกขึ้นไปทางเหนือ" เจิดบอก
"เห็นทหารกรุงมาตั้งทัพช่วยที่ใดบ้าง" จาดว่า
"ยังไม่เห็นเลย"
จาดมองดอกรักที่ยังนอนอยู่ แต่สีหน้าดีขึ้นกว่าตอนที่เจอ
จาดบอก
"พี่ชายสไบดีขึ้นแล้ว จะเอายา อาหาร น้ำวางไว้ให้ เราต้องเดินทางต่อ"
จาดหันไปวางยาที่เหลือไว้ ใจมองแล้วเอ่ยท้วงขึ้น
"ถ้ารออีกหน่อย"
"เราเสียเวลามากแล้ว ใจ" จาดบอก
เจิดมองจาดที่สวนขึ้น มองใจว่าจะโน้มน้าวจาดยังไง
"ทิ้งไว้อย่างนี้ ถ้าไม่หาย ก็เท่ากับปล่อยให้เค้าตายอยู่ดี แล้วเราจะเสียเวลาช่วยมาทำไม"
จาดลุกขึ้นมองใจ เจิดมองลุ้นเพราะใจเองก็ประสานสายตา บอกว่าไม่ยอมเหมือนกัน
"ช่วยแล้วต้องช่วยให้ตลอด ถ้าไม่ช่วยก็ทิ้งเค้าไว้ตั้งแต่แรก" เจิดบอก
"อยากเป็นคนดี ก็อยู่ดูแลมันไป แต่ข้าจะไปก่อน"
จาดหันหลังจะออกไปด้วยความไม่พอใจ เจิดรีบไกล่เกลี่ย
"ใจ .. เราช่วยครอบครัวสไบมาหลายหนแล้ว ฟังพ่อบ้าง ถ้าช่วยอีก เราอาจจะถูกจับเป็นเชลยไปด้วย"
"แต่ฉันปล่อยให้ดอกรักตายไม่ได้"
"เจิด เอ็งจะไปกับข้าหรืออยู่กับมัน"
เจิดมองน้องชายที พ่อที
"ใจ ข้าไม่อยากถูกจับเป็นเชลย"
เจิดบอกแล้วหยิบห่อผ้า เดินตามจาดออกไป ทิ้งใจไว้ที่นั่นกับดอกรัก
ใจหน้าเศร้าลงเมือเห็นว่าตัวเองโดนทิ้งจากพ่อและพี่จริงๆ ดอกรักนอนลืมตา ฟังการโต้เถียงกันมาตั้งแต่แรก
"ใจ"
ใจรีบหันไป ดอกรักมองมา ใจเดินเข้าไปใกล้
"เอ็งไปกับพ่อกับพี่เถอะ ปล่อยข้าไว้ตรงนี้"
ใจมอง ดอกรักมองใจด้วยสายตาขอบคุณ ซึ้งใจ
"ข้าไม่ตายง่ายๆแล้ว"
ดอกรักพยายามยันตัวขึ้น แต่เจ็บแผล ใจต้องห้าม
"ถ้าลุก แผลจะฉีก นอนรักษาให้ดีขึ้น แล้วเราจะไปหาสไบกัน"
"เอ็งรู้เหรอว่าสไบอยู่ที่ไหน"
"รู้ รีบพัก ให้แผลดีกว่านี้ พอเดินไหว เราจะไปกันเลย"
"ข้าเดินไหว"
ดอกรักพยายามจะลุก ใจมอง
"ข้าอยากไปหาสไบ ข้าไปได้"
ดอกรักพยายามกัดฟันลุก แต่สุดท้ายก็เจ็บแผลจนตัวงอ ใจต้องเข้ามาดึงให้นอนลง
"ข้ารู้ว่าอยากไปหาสไบ"
ดอกรักมองใจแล้วถามโพล่งขึ้นมา
"ไอ้ใจเอ็งรักสไบหรือเปล่า"

ใจมองหน้าดอกรัก ตอบไม่ถูก

เวลาต่อมา ผู้หญิงทยอยทำงานเก็บเสบียงเสร็จ เฟื่อง จวง ช่วยกันเก็บกวาดบริเวณนั้น แฟงนั่งปาดเหงื่อเพราะตำข้าวเสร็จหันไปมองสไบที่เอาน้ำฝนใส่ขันมาส่งให้

แฟงกินน้ำอึกหนึ่งชื่นใจ แล้วถามขึ้น
"สไบมีคนรักหรือยัง"
"ถามอะไรยังงั้นน่ะ แฟง"
สไบอาย ลงมานั่งใกล้แฟง คุยกันเบาๆ
"ทำไมล่ะ มีหรือไม่มีก็บอกมา รักใครหรือยัง"
"ยังไม่รัก"
สไบตอบอ้อมแอ้ม แฟงยิ้มกว้างแบบโล่งใจมาก
"ดีแล้ว งั้นสาบานนะว่าจะไม่รักใคร"
จวงกับเฟื่องที่ได้ยิน หันมาดุแฟง
"แฟง ไปสั่งสไบได้ยังไง" จวงว่า
"นั่นสิ .. สไบเค้าไม่ได้ขี้ริ้วอย่างเรานะ แฟง"
เฟื่องแหย่ แฟงสะบัดหน้างอน
"ใช่สิ ฉันมันขี้ริ้ว ดื้อด้าน ไม่ใช่คนดีอย่างพี่"
สไบบอก
"พี่เฟื่องเค้าหยอกเล่น น่ะ แฟง แล้วแฟงมากะเกณฑ์ไม่ให้ฉันรักใคร ไม่ใช่ว่าตัวมีคนที่ชอบอยู่แล้วนะ"
แฟงทำเสียงขึงขังทันที
"ฉันไม่รักใครหรอก ที่ถามเพราะว่าพอพี่เฟื่องออกเรือนไปกับพี่ทัพ ฉันยังมีสไบเป็นเพื่อนไง"
"โธ่ แค่นี้เอง ยังไงฉันก็เป็นเพื่อนแฟง นานแค่ไหนก็เป็นเพื่อนกันแบบนี้"
"จริงนะ"
"จริงสิ ฉันจะเป็นเพื่อนกับแฟง เพื่อนรัก เพื่อนตาย"
สไบยิ้มจริงใจ แฟงยิ้มกว้าง มีความสุข เฟื่องกับจวงมองแฟงกับสไบที่สนิทกันอย่างเร็วด้วยสายตามีความสุขไปด้วย

ส่วนใจมองดอกรักที่จ้องมา
"ไอ้ใจบอกมาตรงๆว่าเอ็งรักสไบหรือเปล่า"
"ฉันช่วยสไบเพราะสงสาร"
"ข้า อาแสงกับสไบเป็นหนี้ชีวิตเอ็ง ข้าขอบใจเอ็งมาก มีโอกาสเมื่อใด ข้าจะชดใช้ไม่รีรอ แต่สำหรับเรื่องสไบ ข้าขอเตือนเอ็ง สไบโตมากับข้า ข้าเห็นสไบเป็นเหมือนน้อง ข้าไม่อยากให้สไบเสียใจ"
"นอนเถอะ มีแรงจะได้รีบไปต่อ ข้าจะพาไปหาสไบเอง"
ใจยิ้มให้ ดอกรักมองแล้วเบาใจ นอนลง หลับตา
ใจเดินห่างออกมา หันหลังให้ดอกรัก สายตาใจเปลี่ยนเป็นเศร้าทันทีที่ต้องปิดบังความในใจเรื่องรู้สึก ... รักสไบอยู่แล้ว

ด้านหลังพุ่มไม้ สไบลับๆล่อๆอยู่กับแฟง ... นกเขาสวยกำลังขันร้องอยู่บนกิ่งไม้เตี้ยๆ แฟงถือแหปากเล็กค่อยๆย่องเข้าไป ย่องเข้าไป สไบตามติดด้านหลัง
พอได้จังหวะ แฟงก็โยนแห นกเขาดิ้นหนีในแห แฟงวิ่งมา สไบวิ่งตามมา มือถือกระชุมาด้วย แฟงกำลังจะหย่อนนกเขาใส่กระชุ นกเขาตีปีกบิน สไบตกใจ ทำกระชุหลุดมือ นกบินหนีไป
"ปัดโธ่ หลุดมือไปเสียได้"
"ฉันทำมันตกใจเอง เกือบใส่กรงได้แล้วเชียว" สไบบอก
"จะเอาไปอวดอากำนันเสียหน่อย เผื่อแกจะชอบฟังเสียงมัน"
แฟงท่าทางผิดหวัง หันหลังจะกลับ สไบมองแล้วเรียก
"อย่าเพิ่งกลับสิ แฟง"
สไบหยิบกระชุ หยิบแห
"ไหนๆก็ตั้งใจแล้ว อย่าเพิ่งยอมแพ้เลย"
แฟงมองสไบที่ยิ้มไม่ยอมแพ้
"ไปจับกันให้ได้เถอะ"

สองสาวยิ้มให้กันอย่างเด็กสาวที่ชอบเล่นสนุก
 
อ่านต่อหน้า 2

บางระจัน ตอนที่ 2 (ต่อ)

เฟื่อง จวง กำลังเจียนหมากพลู เฟี้ยม จันทร์ แสง กำนันพันปรึกษากัน เฟื่องกับจวงฟัง

"ลูกน้องฉันมันไปเห็นขบวนอพยพกำลังมุ่งมาทางนี้" กำนันพันบอก
"ถ้าตรงนี้มีคนมากเพิ่มเรื่อยๆ ทหารอังวะต้องส่งนายกองคนใดคนหนึ่งมาตี เพราะกลัวเราจะซ่องสุมคนต่อต้าน" ผู้ใหญ่แสงว่า
"ตอนนี้ที่ได้ยินก็มีอยู่หลายก๊ก แต่บางก๊กตั้งตัวปล้นกันเอง"
ผู้ใหญ่แสงและทุกคนพากันหน้าเศร้า จวงได้ยินแล้วหันมาถามเฟื่อง
"พี่เฟื่อง แล้วถ้าพี่ทัพไม่ได้เจอข้าศึก แต่เจอพวกปล้นล่ะพี่"
เฟื่องถึงกับหยุดเจียนหมากในมือ สีหน้ากังวล
"พี่ทัพลั่นปากแล้วว่าไม่ฆ่าคนไทยด้วยกันเอง"
"แต่พวกเสือมันน่ากลัวนะพี่ มันฆ่าหมด ลูกเด็กเล็กแดง"
"พี่ทัพต้องรอด จวง"
เฟื่องเองพอคิดมาถึงตรงนี้ก็สีหน้าไม่ค่อยดีเหมือนกัน

ทัพซุ่มอยู่กับชายฉกรรจ์อีกจำนวนหนึ่ง ราว 30 คนและฟัก เคลิ้ม ส่วนเอิบ ช่วง ซึ่งวิ่งมาจากป่าด้านหลัง ทัพถาม
"ว่าไง เอิบ ช่วง ละแวกนี้มีศัตรูมั้ย"
เอิบกับช่วง ต่างหอบ หายใจปากอ้า ฟักหันไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำส่งให้
"โห.. พี่ฟักรู้ใจ"
"ฉันขอเป็นข้าวสักจานแทนได้มั้ย วิ่งลัดป่ามา เหนื่อยลิ้นห้อย"ช่วงบอก
"ลิ้นเอ็งห้อยจะถึงพื้นอยู่แล้ว กินน้ำซะ แล้วเล่ามาว่าเห็นอะไรบ้าง"
เอิบ ช่วงกินน้ำคนละอึก แล้วรีบแย่งกันเล่า
"ฉันเห็นทหารกองตระเวน" เอิบบอก
"ฮื้อ ไอ้เอิบ เอ็งได้ยินที่พวกอพยพเล่าต่างหาก"ช่วงว่า
"ข้าเห็นโว๊ย ตอนนั้นเอ็งมัวไปทุ่ง ข้านึกว่าจะปั้นควายได้ทั้งตัวซะแล้ว"
"ถ้าข้าปั้นควาย ตอนเอ็งเข้าทุ่งก็คงปั้นช้าง"
หมู่เคลิ้มรำคาญที่สองคนเถียงกัน พูดขึ้น
"เฮ้ย ตกลงเอ็งเห็นหรือจำขี้ปากเค้ามา บอกมาเร็วๆ ก่อนจะถูกถีบ"
เอิบช่วงรีบหันมาตอบพร้อมกัน
"ไม่เห็นจ้ะ"
ทัพถาม
"แล้วพวกอพยพเล่าหรือเปล่าว่าพวกศัตรูมีกี่มากน้อย"
"ราวยี่สิบ"
"ห้าสิบ"
เคลิ้มทำยกขากระดิกเท้า เอิบกับช่วงรีบบอก
"สามสิบจ้ะ"
"มันมากันมากขนาดนี้ คงกระจายข่าวกันแล้วว่ามีพวกเราดักซุ่มฟันพวกมันอยู่"
ทัพหันไปหยิบดาบ
"คืนนี้ผลัดเวรยามกันให้ดี พวกมันมาใกล้เรามากแล้ว"
ทุกคนแววตาระวังระไวกันเต็มที่ตามที่ทัพสั่ง

สังข์กับขาบที่นำทหารกรุงศรีอยุธยาติดตามาด้วย 10 คน บนหลังม้า ขาบดึงม้ามาใกล้
"นายกอง เราให้พวกครัวพัก แล้วเดินทางแยกมาจับไอ้ทัพอย่างนี้ มันจะเสียเวลาเข้ากรุงนะ"
"ไอ้ขาบ เอ็งนี่มันปอดแหกจริงๆ" สังข์บอก
ขาบหน้าเสีย เมื่อสังข์ด่าเสียงดัง
"ถ้าเอ็งกลัวไอ้ทัพจนขี้ขึ้นหัว ก็ชักม้ากลับไปซะ อย่ามาพูดให้ข้ารำคาญใจอีก"
"ฉันไม่ได้กลัวไอ้ทัพ ห่วงแต่ว่าศึกมาประชิด ถ้าทางกรุงต้อนคนเข้าประตูเมืองหมด เราจะทำยังไง"
"ข้าเป็นใคร นายกองสังข์ ทหารของคุณพระนาย ใครมันก็ต้องให้ข้าผ่านไป ข้าจะบอกอะไรให้นะไอ้ขาบ ยังเป็นแค่หัวหมู่เพราะเอ็งมันขี้ตื่น ขี้กลัว"
สังข์หันมามองขาบ วางท่าเหนือกว่าทุกอย่าง
"ข้ารู้ว่าเอ็งเป็นยังไง แต่ไม่เคยรังเกียจ เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนกันมา เอาเอ็งติดสอยห้อยตามมาด้วยเพราะอยากให้เอ็งได้ดิบได้ดี"
ขาบมองสังข์ แววตาเก็บกดความไม่พอใจ แต่ก็จำต้องพูดออกไปอีกอย่าง
"ซึ้งน้ำใจนายกองเหลือเกินที่ช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูฉัน วันหนึ่งฉันคงได้ตอบแทน"
"เอ็งไม่ต้องคิดจะตอบแทนข้าหรอก ลำพังเอาตัวให้รอดซะก่อน ข้าต้องช่วยคนช่วยเพื่อน หนุนบารมีอยู่แล้ว"
"เสียดายไอ้ทัพมันไม่อยู่เป็นฐานบารมีของนายกอง"
สังข์มัวปลื้มเปรมวางท่า เลยไม่ทันเห็นสายตาแดกดันของขาบ
"ไอ้ทัพ มันโง่กว่าเอ็งอีกน่ะสิ ถ้าเชื่อข้าสักนิด ข้าก็อยากจะอุ้มชูมันกับนังจวง น้องสาวมันอยู่แล้ว"
สังข์หัวเราะ ขาบดึงม้าตาม ไปใกล้ๆ
"ไว้เจอตัวมัน จับมันไปรับโทษครานี้ให้สำนึก มันจะได้จดจำชื่อข้า ว่านายกองสังข์มีบุญมีคุณกับชีวิตมันแค่ไหน"
สังข์เร่งม้าเร็วออกไป ขาบมองสังเวชใจน้อยๆกับความกร่างของสังข์ แล้วควบม้าตามไป

เหล่าทหารกรุงของสังข์ควบม้าตามนายไป

ในป่า เวลากลางคืน ทัพเดินมาปลดเชือกอ้ายเลาออก เอิบกับช่วงที่นอนพิงต้นไม้ เห็นเข้าก็เด้งตัวลุกขึ้นตามมาถาม

"จะไปไหนพี่ทัพ" เอิบถาม
"ไปดูแถวๆนี้สักหน่อย"
"ให้ฉันไปด้วยเถอะ คันมืออยากจะฟันพวกศัตรูสักคนสองคน"
"ชะ ... ข้านึกว่าเอ็งจะบอกสักร้อย สองร้อย" ช่วงว่า
"ก็ให้มันมาเถอะ เจอข้า เป็นร้อยก็เรียบ"
"ถุย"
ทัพไม่สนใจฟังต่อ ขึ้นอ้ายเลา เอิบกับช่วงมอง
"เดี๋ยวข้ามา"
เอิบกับช่วง มองทัพขี่อ้ายเลาออกไป

ทัพขี่อ้ายเลามาอย่างไม่เร่งรีบ ลาดตระเวนดูรอบๆ ในป่าได้ยินเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรดัง
ทัพดึงม้าคู่ใจเยาะย่างมา เสียงอ้ายเลาทำจมูกฟืดฟาดแล้วหยุดเดิน
ทัพมองไป เห็นกลุ่มม้าที่ดาหน้ามาเป็นแถวตรงหน้า มีสังข์ ขาบ ยืนนำอยู่
"ในที่สุด เอ็งก็ไม่รอดมือข้า" สังข์บอก
"เอ็งกับข้าคงต้องจองเวรกันไปถึงชาติหน้า ไอ้สังข์"
"จับมัน" สังข์สั่ง
ขาบนำทหารกรุง 4 คน พุ่งม้าเข้ามาหาทัพ ทัพกำดาบเตรียมสู้ แต่ขาบกลับเจ้าเล่ห์กว่า ทัพมัวแต่มองไปรอบทหารที่ล้อมอยู่ แต่ขาบถีบเข้ากลางตัวอ้ายเลา ม้ายกขาขึ้น ขาบเตะแรงอีกที อ้ายเลาสะบัด ทัพเสียหลักหงายตกลงมา กลิ้งลงกับพื้น
ทหารกรุงเข้าจับตัวทัพไว้ สังข์เดินมาเตะเข้าหน้าทัพจนกระเด็นล้มไป ขาบได้แต่มอง
ทัพเงยมา เลือดกลบปาก สังข์หัวเราะ แล้วเตะเข้ากลางตัวอีกที จนทัพตัวงอ
"เอ็งทำข้าไว้มากนะ ไอ้ทัพ"
"ถ้ากลัวตาย ก็ฆ่าข้าซะ ไอ้สังข์ อย่ามัวแต่เห่าหอนให้หนวกหู"
สังข์โมโห ถีบเข้ากลางอกทัพอีกที
"จับมันเถอะ นายกอง แล้วเราจะรีบพามันไปรับโทษ"
"เอ็งเป็นใครไอ้ขาบ ถึงมาสั่งข้า"
ขาบเงียบแต่ทัพมองแล้วเยาะ
"เอ็งเคยเห็นอึ่งอ่างมั้ยวะ ขาบ อึ่งอ่างที่มันพองตัวให้ใหญ่จนท้องแตกตาย เพราะคิดจะอวดศักดิ์อวดศรี"
สังข์พุ่งเข้ามาเตะทัพ แต่ทัพที่รอโอกาสอยู่แล้ว โหนตัวขึ้นด้วยแรงที่ทหารกรุงยึดแขนไว้สองข้าง เท้าทัพ ยกขึ้นถีบเข้ากลางอกสังข์จนหงายไป ทัพเหวี่ยงทหารสองคนเข้าชนปะทะกันเอง ทหารหลุดมือที่จับทัพไว้
ขาบถอยไปขึ้นม้ากำดาบไว้ ระวังตัวเต็มที่
สังข์ลุกขึ้นเห็นทัพกำลังเตะ ถีบทหารจนล้มคว่ำไปแล้ว 4 ก็ตะโกนสั่งที่เหลือ
"ฆ่ามัน"
"แค่จับก็พอ นายกอง" ขาบบอก
สังข์หน้ามืด ตะโกนสั่งเหี้ยม
"ฆ่ามัน"
ทหารที่เหลือ 6 คน รุมเข้าไป ทัพกำดาบ แต่ยังไม่ดึงออกจากฝัก
"ถอยไป ดาบข้าไม่ได้มีไว้ดื่มเลือดไทยด้วยกันเอง"
ทหารยังล้อมทัพไว้ ไม่กล้าเข้าไป สังข์ตะโกนเร่ง
"ฆ่ามันสิวะ"
ทหาร 2 คนพุ่งเข้าไป หมายจะฟัน แต่ทัพเอาดาบรับ ทหารที่เหลือรุมกันเข้ามา ทัพเตะถีบ เอาดาบที่ยังไม่พ้นฝักรับและตีกลับ
ทัพรุมกัน แต่ด้านหน้า ด้านหลังทหารคนหนึ่งเข้ามาฟันลงที่หลัง ทัพสะดุ้ง สังข์ ขาบมองเห็นรอยดาบ ที่มีเลือดซึมออกมาจากแผลยาว
"รุมมันให้ตาย ใครฟันไอ้ทัพขาดใจ ข้าจะให้ทอง"
สังข์ตะโกนสั่งบ้าเลือด ลืมตัว

ฝ่ายเฟื่องมายืนมองเดือนในคืนเดือนมืด สไบ จวง แฟงนั่งกันอยู่ทางด้านหลัง เฟื่องเห็นเมฆดำเลื่อนเข้าบังดวงจันทร์ก็ใจคอไม่ดี เอ่ยขึ้น
"พี่ทัพ พี่ต้องรอดปลอดภัยกลับมานะพี่"

ทหารพากันเข้ามารุมล้อม ทัพต้องชักดาบออกไปสู้
"ฆ่ามันซะ"
ทหาร 2 คนพุ่งมาแต่เจอคมดาบทัพฟัน อีก 4 เข้าช่วย ทัพจำต้องสวนดาบออกไปแทงอีก 2
อ้ายเลาวิ่งไปจากตรงนั้นทันที ทัพตะลุยฟันทหารกรุงฯ ล้มตายไปทีละคน
สังข์กับขาบมองกลัวที่ทหารเริ่มล้มตาย
ทหารคนหนึ่งลอบเข้ามาฟันซ้ำที่กลางหลัง ทัพเซล้มไป
ทหารพุ่งตามมาจะแทง แต่เจอทัพพุ่งดาบสวนไปเข้ากลางท้อง ล้มลงขาดใจตาย สังข์ ขาบมองเห็นทหารเหลืออีก 4 คน สังข์เอ่ยขึ้น
"พวกเอ็งคนไหนกุดหัวไอ้ทัพได้ ข้าจะให้ทอง"

ทัพเนื้อตัวเลอะเลือด มองแววตาทหารทั้ง 4 ที่กระเหี้ยนกระหายอยากจะฆ่าทัพเพราะหวังทองและลาภยศ

เฟื่องรู้สึกวูบหนาวจนต้องลูบแขน แฟงเห็นก็เข้ามาเอาผ้าสไบห่มให้

"เข้าเรือนเถอะพี่เฟื่อง เดี๋ยวจะไม่สบาย พี่ทัพมาหา เดี๋ยวจะดุเอานะ"
เฟื่องยิ้มกับน้องสาวที่กระเซ้า แล้วพากันเดินเข้าเรือนไปทั้ง 4 คน

ขาบสีหน้าไม่ดี ตรงข้ามกับสังข์ที่ท่าทางบ้าเลือดจนลืมความเป็นเพื่อน
"เอามันสิวะ ฟันมัน"
ทหารรุมเข้ามา ทัพพยายามหลบ แต่โดนฟันลงอีกแผลที่แขน ถึงกับดาบหลุดจากมือ
สังข์มองแล้วดีใจ
"ฟันมัน"

อ้ายเลาที่วิ่งกลับมา เอิบ ช่วงกำลังหลับ สะบัดหัว ร้องเสียงดัง ทั้งสองต่างตกใจ พากันลุกจนหัวชนกัน ตะโกนเหมือนละเมอ
"ข้าศึก" เอิบตกใจ
"ข้าศึกบุกแล้ว"
อ้ายเลาสะบัดหัวแบบขัดใจ เอิบ ช่วงมองอ้ายเลา
"เฮ้ย อ้ายเลา"
"พี่ทัพละวะ อ้ายเลาพี่ทัพล่ะ"
อ้ายเลาสะบัดหัว หันไปทางที่วิ่งมา เอิบนึกสังหรณ์
"อ้ายเลามันมาตามให้เราไปช่วยพี่ทัพ" เอิบบอก
"ข้ารีบไปบอกหมู่เคลิ้มก่อน"
ช่วงรีบวิ่งไป เอิบสีหน้าเป็นห่วงทัพ

ทัพโดนรุมจากทหารกรุง 4 คนที่เงื้อดาบพร้อมจะฟันลงมา

ในเรือนกำนันพัน ผู้หญิงทั้ง 4 คน นอนเรียงกัน แฟงนอนใกล้เฟื่อง สไบถัดมา และจวง
เฟื่องนอนพลิกกระสับกระส่าย อยู่ๆก็ลุกขึ้น แฟงตกใจตื่น มองพี่สาว
"พี่เฟื่อง เป็นอะไร"
จวงกับสไบตื่นขึ้นมามอง เฟื่องหายใจแรง สีหน้าซีดขาว เอ่ยขึ้นเสียงหวาดหวั่น
"พี่ฝัน ฝันว่าพี่ทัพเลือดท่วมตัว"
แฟง สไบ จวง ได้ยินแล้วหน้าเสียทันที

ทัพเลือดท่วมตัวจากแผลที่ถูกฟัน ขาบมองอย่างไม่สบายใจ ทหารพุ่งเข้าหา แต่ทัพฝืนเจ็บ ทั้งฟันทั้งแทงด้วยฝีมือดาบที่มีชั้นเชิงกว่า จนล้มตายไปอีก 3 คน
สังข์รีบขึ้นม้า สีหน้าเริ่มหวาดกลัว
"ไอ้ทัพ"
ทัพฟันทหารคนสุดท้าย ล้มลงตายกับพื้น แล้วหันมามองสังข์กับขาบด้วยสายตากร้าว ทั้งสองคนถึงกับผงะกับแววตาทัพ ทัพยันตัวลุกขึ้น ขาบค่อยๆ ดึงม้าถอยแบบเตรียมพร้อม
สังข์ข่มความกลัว ตะโกน
"เอ็งฆ่าทหารกรุงศรี ไอ้ทัพ เอ็งเป็นขบถ วางดาบซะ ข้าบอกให้วางดาบ"
ทัพไม่วางดาบ กำแน่น เดินตรงมาสังข์กับขาบ
"เอ็งอยากได้หัวข้าไม่ใช่หรือ ไอ้นายกองสังข์ เข้ามา ข้าจะยอมให้เพื่อนตัดหัว เอาไปปูนบำเหน็จตัวเอง"
"เอ็งอย่าท้า ข้าไม่กลัว"
"ข้าไม่ท้า เข้ามา ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ ถ้าข้าจะต้องตายด้วยมือเพื่อน ข้าก็ยอม"
ทัพเลือดไหลเต็มตัว มองจ้องสังข์กับขาบ
"ข้าจะได้จำไว้ไปถึงนรก ว่าเพื่อนมันทรยศเพื่อนเพราะเห็นแก่ความเป็นใหญ่ ลาภ ยศมันบังตาเอ็ง จนๆไม่เห็นแก่ความสัตย์ซื่ออีกแล้ว"

ทั้ง 4 คนที่นั่งหน้าพระ พนมมืออธิษฐาน มีเฟื่องเป็นคนนำ
"ขอบุญพระคุ้มครอง ขอให้จิตตั้งมั่นรักษาชาติของพี่ทัพเป็นเกราะกำบังภัยให้พี่ทัพด้วยเถิด"
สายตาทุกคนเต็มไปด้วยศรัทธาต่อพระศาสนา

ทัพมองจ้องสังข์ ขาบ ที่เดินย่างสามขุมเข้าหา
"ขอให้ข้าได้มองหน้าเพื่อนจนลมหายใจออกจากร่าง"
ขาบฟังแล้วขนลุก หวั่นกับแววตาของทัพ
"ไอ้ทัพ .. ยอมให้จับเป็นซะ" ขาบบอก
"เอ็งจะจับเป็นข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าฟันทหารกรุงจนไม่เหลือสักคน โทษข้ามันขบถแล้วไม่ใช่หรือ นายกองสังข์" ทัพบอก
"เอ็งหยุดอยู่ตรงนั้น"
"ข้าหยุดไม่ได้แล้วเพื่อนยาก ถ้าวันนี้เอ็งไม่ตาย ข้าก็ตาย เท่านั้น"
ขาบฟังแล้วนึกกลัว ดึงม้าวิ่งถอยหนีไปก่อน
"ไอ้ขาบ ไอ้ขาบกลับมา" สังข์บอก
"ว่ายังไง นายกอง จะต้องนอนตายคนเดียวแล้ว"
ทัพพุ่งเข้ามา สังข์ดึงม้าให้เตะทัพ ล้มลงไปทั้งร่าง
สังข์ดึงม้าจะพุ่งเข้ามา แต่ทัพยกดาบขึ้น ม้าตกใจ สังข์บังคับม้า
"ไป"

สังข์เห็นทัพกำลังจะเข้ามาใกล้จะพุ่งมาออกไปจากตรงนั้น หนีตาย ทัพร่างโงนเงน ทรุดลงเลือดท่วมจากแผลทั้งร่าง

สังข์กับขาบขี่ม้าหนีตาย สังข์ขี่แซงนำขาบไปอย่างเร็ว ขาบตามไปติดๆ

เฟื่องนั่งซึมเหม่อ ห่วงทัพ แฟงคลานมาใกล้พี่สาว กอดเฟื่องไว้
"พี่ทัพต้องกลับมาหาพี่เฟื่อง"
สไบกับจวงนั่งยิ้มมองให้กำลังใจ สองพี่น้องกอดกันอย่างเป็นที่พึ่งทางใจแก่กันและกัน

ยืนอยู่เลือดท่วมร่างอยู่กลางป่า เคลิ้มขี่ม้า นำฟัก เอิบ ช่วง เข้ามา มองเห็นทัพที่มีบาดแผล ร่างสะบักสะบอม เลอะเลือด ยืนอยู่ท่ามกลางศพของทหารกรุงศรีอยุธยานับสิบ
ทุกคนลงจากม้า มองตะลึง เดินมาใกล้ ทัพมองศพทหารแล้วเอ่ยขึ้นอย่างขมขื่น
"เพราะไอ้เพื่อนทรยศ ไอ้สังข์ ไอ้ขาบที่เห็นแก่สุขข้างตัวเหนือความเป็นเพื่อน ทำให้คนไทยต้องมายับ เพราะหันสู้กันเอง"
ทัพมองศพทหารที่นอนตายเกลื่อนเพราะดาบตนเองด้วยความเจ็บปวด
"ทหารพวกนี้มันต้องทำหน้าที่ ต้องตายเพราะมีนายชั่ว"
ทัพเอาดาบที่เลอะเลือดถากลงไปในต้นไม้ใหญ่ ถากลงไปอย่างแรงหลายทีเหมือนระบายความผิดหวัง
ทุกคนยืนมอง
"ทุกคนเป็นพยาน เลือดนี่เป็นเลือดข้าแผ่นดิน ข้าเคยลั่นปากว่าจะไม่หันคมดาบฆ่าคนชาติเดียวกันเอง ข้าไม่รู้จะขอขมาโทษกับพ่อแม่ญาติพี่น้องทหารพวกนี้ได้อย่างไร ครอบครัวข้างหลังจะร่ำไห้เฝ้ารอหาคนที่รักอีกนานแค่ไหน"
ทัพกลั้นสะอี้น มองต้นไม้สูงใหญ่ที่มีรอยถากเลือดที่ติดดาบ ทุกคนมองเห็นทัพที่รู้สึกผิดบาปต่อคำสัตย์ที่เคยให้ไว้
"ข้าขอขมาต่อเลือดไทยทุกชีวิต ขอเชิญผีเจ้าของเลือดมาเป็นเทวดาอยู่ที่ต้นไม้นี้"
ทัพทรุดลงนั่งพนมมือ ทุกคนทรุดลงนั่งทำตาม
"จะชื่อเรียงเสียงไรก็แล้วแต่ ชีวิตดับแล้วไปอยู่หนไหน แต่เลือดพวกเอ็งจะติดไม้กร่างนี้ อยู่ให้คนบูชาตลอดชีวิตไม้"
ทัพสะอื้นออกมา ทุกคนสลดใจ
ทัพก้มลงกราบเหมือนกราบลงไปที่ศพทหารทั้ง 10 ที่นอนตายเรียงรายด้วยคมดาบของตน
"ข้าขออโหสิต่อเลือดคนชาติเดียวกัน ข้าขออโหสิ"
ทัพน้ำตาหยดด้วยความปวดร้าวเสียใจที่ต้องฆ่าคนไทยดันเองจนเอ่ยขออขมาลาโทษ บรรยากกาศทั้งหมดเงียบวังเวง ชวนสลดใจมากที่สุด

ขาบที่นอนพักเอาแรงใต้ร่มไม้ มีเท้าของสังข์พุ่งเข้ามาเหยียบอก ขาบตื่นทันที
"นายกองสังข์"
สังข์เตะขาบกระเด็น
"ลุกขึ้น "
ขาบลุก ถอยห่างไปตั้งหลัก
"เมื่อคืนทำไมเอ็งหนี ทำไมเอ็งไม่ฟันไอ้ทัพ เอ็งขัดคำสั่งข้า"
"ข้าทำไม่ได้"
"ไอ้ขี้ขลาด"
"ไอ้ทัพมันเกลอเรา" ขาบบอก
สังข์ชะงัก ขาบสีหน้าอึดอัด
"ยังไงก็คนบ้านคำหยาดเหมือนกัน"
"ถุย เอ็งกลัวมัน"
"ใช่ ข้ากลัว เพราะถ้าไอ้ทัพไม่ลั่นปากไว้ว่าจะไม่ฆ่าเพื่อน เราคงตายไปตั้งแต่แรกแล้ว"
สังข์อึ้งเมื่อขาบเอ่ยเตือนสติให้รู้ว่าทัพไม่คิดจะฆ่าตัวเองกับขาบเลย
"ถ้าไอ้ทัพมันหันคมดาบมาหาเรา มีหรือเราจะรอดมาถึงนี่ เราก็ต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าเหมือนทหารพวกนั้น ลาภ ยศที่นายกองบอกจะให้ มันเอาไปใช้ในนรกไม่ได้เลย"
ขาบแววตาจริงจังหนักแน่น เดินไปขึ้นม้า เถียงไม่ออก
"ขึ้นม้าเถอะ นายกอง งานของเราคือต้องต้อนครัวไทยเข้ากรุงศรี เราปล่อยให้พวกมันพักรอเราที่สะแกโทรมอยู่นานแล้ว งานนี้ต่างหากที่นายกองต้องทำ ไม่ใช่ตามไล่ฆ่าคนบ้านเดียวกัน"

สังข์แววตานิ่งมองขาบ เอ่ยเตือนสติ สังข์ค่อยๆขึ้นม้าไม่พูดอะไร ขาบรอให้สังข์ดึงม้านำไป แล้วตามไปเงียบๆ
 
อ่านต่อหน้า 3

บางระจัน ตอนที่ 2 (ต่อ)

ในป่า ทัพนอนจับไข้เพราะแผลที่ถูกฟัน 3 แผล เอิบ ช่วงวิ่งเอากระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำมาวางให้ ฟักเอาผ้าชุบน้ำเช็ดลดไข้ความร้อนที่หน้าผาก

เคลิ้มมองแผลตามตัวทัพ สีหน้ากังวล ทัพนอนสั่น ฟันกระทบ หน้าซีดเผือด
"ข้าว่าต้องพาพี่ทัพไปบ้านอาพันแล้ว"
"คนที่บ้านเขาจะไม่แตกตื่นกันเอาหรือ" เอิบบอก
"ถ้าพี่ทัพตายมึงจะว่าไงไอ้เอิบ แกสั่นจนป่าแถวนี้สะเทือนไปหมดแล้ว" ช่วงว่า
เอิบบอก
"เงียบเหอะ ไอ้ช่วง จะแช่งพี่ทัพทำไม"
"หยุดทั้งสองคนนั่นแหละ" ฟักบอก
เอิบ ช่วงเงียบกริบ ทุกคนมองทัพที่นอนสั่นจับไข้ด้วยความเป็นห่วง

ใจกับดอกรักที่สีหน้าดีขึ้น กำลังก้มลงกินน้ำริมลำธาร กลางป่า กระทุ่มด่าน
"เดินตัดป่านี้ไป เย็นๆก็คงถึงกระทุ่มด่านแล้ว"
"จะได้เจอสไบเสียที" ดอกรักบอก
ดอกรักยิ้มกระฉับกระเฉงเดินต่อ ใจมองตาม แววตาเศร้า ครุ่นคิด

สไบเดินมากับแฟงถือเคียวเดินมาในนา
"ดีที่ยังพอมีข้าวให้เกี่ยว"
"แต่นาที่เราจะไปเกี่ยวต้องไปไกลกว่านี้อีกนะ" แฟงว่า
แฟงกับสไบก้มลงเอาเคียวเกี่ยวข้าว สไบก้มๆเงยๆ สักพักสายตาเหลือบไปมองเห็นที่เนินไกล
มีทหารอังวะ 5คน ขี่ม้ามาหยุดมอง สไบตกใจ รีบหันมากดร่างแฟงก้มต่ำ
"ทหารอังวะ"
แฟงกำเคียวแน่น
"ฉันจะไปฟันมัน"
แฟงพุ่งไปอย่างลืมตัว สไบดึงไว้
"หนีแฟง ต้องหนี"
"ฉันอยากฆ่ามัน"
"อย่าแฟงเชื่อพี่ เข้าไปเราก็ตาย เราต้องไปบอกอาพันว่า พวกข้าศึกมันมาอยู่ใกล้ๆกระทุ่มด่านกันแล้ว ไป"
แฟงสีหน้าขัดขืน แต่สไบกระชากแฟงหลบออกไปทันที

แฟงกับสไบวิ่งมาอย่างเร็วไม่เหลียวหลัง สองคนตั้งหน้าวิ่งเพื่อไปบอกข่าวร้าย

กับจวงกำลังตำข้าวอยู่ที่บริเวณครัวบ้านกำนันพัน แฟงกับสไบวิ่งเข้ามา มือยังกำเคียวแน่น
"ไหนบอกจะไปเกี่ยวข้าว" เฟื่องถาม
"ข้าวสักรวงยังไม่เห็น" จวงว่า
"เห็นสิ .. เห็นเต็มสองตาเลย ทหารอังวะ" แฟงว่า
"พวกมันมาขึ้นมาถึงนี่แล้ว" สไบบอก
เฟื่องตกใจปล่อยครกกระเดื่องลงอย่างแรง เสียงดัง พวกแม่ครัวตกใจ วิ่งขึ้นเรือน

ทุกคนที่พากันมารวมตัว สีหน้าพวกผู้ใหญ่แสงเครียดมาก แฟงเดินเข้าหากลุ่ม พูดขึ้น
"ให้ฉันไปตามพวกพี่ทัพมาช่วยเถอะนะ ให้ฉันไป... ฉันอาสาไปเอง"
"รู้หรือ แฟง พี่ทัพอยู่ที่ไหน" เฟื่องถาม
"ไม่รู้"
"ฉันไปกับแฟงด้วย"
"จะไปกันสองคน ไม่รู้เหนือรู้ใต้ เดี๋ยวก็เจอทหารอีกไม่รู้เท่าไหร่"
ทุกคนสถานการณ์ตึงเครียด พวกนางเฟี้ยม จันทร์เข่าอ่อน จนจวงกับเฟื่องเข้าไปประคอง
กำนันพันมองแล้วตัดสินใจ
"เก็บของอพยพ"
แฟงบอก
"ไม่หนี อย่าหนีเลยอา อย่าไป"
"ต้องหนี ไม่งั้นจะตายกันหมด"
"พี่ทัพไง พี่ทัพจะมาช่วยเรา"
แฟงสีหน้าเชื่อมั่น

ณ เวลานั้น ทัพยังนอนสั่นสะท้าน เอิบสละเอาผ้าขาวม้าของตัวเองคลุมให้ที่อกทัพ ทุกคนมองเป็นห่วง เมื่อทัพเริ่มเพ้อไม่ได้สติ
"เฟื่อง .. เฟื่อง"

กำนันพันกับเมีย คุมขบวนอพยพขนของลงจากเรือนมาขึ้นเกวียน บ้างก็กำลังผูกมัดหีบห่ออยู่เต็มลานบ้าน บ้างก็เอาวัวมาเทียมเกวียน ความวุ่นวายเกิดขึ้น ทุกคนต่างรีบเพราะกลัวพวกอังวะจะมา
เฟื่อง สไบ จวง ยืนอยู่ด้านล่าง
"ของเฟื่องมีอะไรเหลืออีกบ้าง ฉันจะไปช่วยยกมาใส่เกวียน" สไบถาม
เฟื่องยังลังเล แฟงดึงมือพี่สาวไว้
"พี่เฟื่อง เราต้องรอพี่ทัพนะ พี่ทัพต้องกลับมาช่วย เราไปกันหมดแล้วพี่ทัพจะตามเราเจอได้ยังไง"

แฟงขอร้องเฟื่อง สไบ จวงมอง เฟื่องสีหน้าตัดสินใจลำบาก แฟงวิงวอนพี่สาว เพราะเชื่อมั่นในตัวทัพ

ทัพกำลังเพ้อเพราะพิษบาดแผล ทุกคนมองอย่างเป็นห่วง

"เฟื่อง พี่จะกลับไปหาเฟื่อง" ทัพเพ้อถึงคนรัก
ทุกคนมองกัน สีหน้ากังวลที่ทัพกำลังเพ้อ
ฟัก พี่ชายเฟื่อง เขย่าตัวเรียก
"พี่ทัพ พี่ทัพ"
"สงสัยจะเพ้อเพราะแผลที่ถูกฟัน" เคลิ้มบอก
"พี่ทัพ อย่าตายนะพี่" เอิบบอก
ช่วงบอก
"ไอ้เอิบ เอ็งเงียบไปเลย จะแช่งพี่เค้าทำไม"
"ก็ดูสิ เหงื่อเม็ดเท่าเม็ดข้าวโพด ตัวก็ร้อนจี๋ ปากไม่มีสีเลือดแล้ว"
"เฟื่อง รอพี่ด้วย เฟื่อง พี่จะไปหาเฟื่อง"
เคลิ้มถาม
"เอาไง ฟัก ปล่อยไว้ไม่ดีแน่ ลำพังยานี้แค่ทุเลา"
เคลิ้มหันมาถามความเห็นฟัก
"สภาพนี้พี่ทัพคงไปไม่ถึงกระทุ่มด่าน ครึ่งทางยังไม่รอด"
"เฟื่อง เฟื่อง"
ทัพมือไขว่คว้าไปในอากาศ
"เฟื่อง รอพี่ด้วย พี่จะไปหาเฟื่อง"
ทุกคนมองอย่างกังวลใจ ทัพดิ้นไปมาเพราะพิษไข้จนเพ้อเรียกหาแต่คนรัก

ทางด้านเฟื่องสีหน้าไม่ดีเลย แฟงดึงมือเฟื่องไว้แน่น ด้านหลังคือกลุ่มผู้ใหญ่ที่กำลังเตรียมขบวนย้ายขึ้นเกวียน
"เรารอพี่ทัพก่อนนะจ๊ะ รอก่อน" แฟงบอก
"รอไม่ได้แล้วแฟง"
จวงหันไปมองด้านหลัง
"เราต้องไปตอนนี้ ทุกคนรอเราอยู่"
"แล้วพี่ทัพล่ะ เราจะทิ้งพี่ทัพ ทิ้งพี่ฟักกับพวกหมู่เคลิ้มไปเหรอ" แฟงว่า
"พวกผู้ชายไม่เป็นอะไรหรอกแฟง เค้าต้องตามเราเจอ" สไบบอก
แฟงหันไปมองเฟื่องอย่างขอร้อง
"ทิ้งฉันไว้ที่นี่ก็ได้นะพี่เฟื่อง ฉันจะได้บอกพวกพี่ทัพให้ตามไปเจอเรา"
"แฟง แฟง ฟังพี่นะ"
เฟื่องกุมมือน้องสาวด้วยแววตาเชื่อมั่นในตัวคนรัก
"ไม่ว่ายากลำบากแค่ไหน พี่ทัพต้องตามหาเราเจอ"
เฟื่องยิ้มให้น้อง
"ตอนนี้เราต้องพาแม่กับทุกคนไปจากกระทุ่มด่านก่อน เราต้องรักษาชีวิตไว้เจอพี่ฟักพี่ทัพ เชื่อพี่นะแฟง" เฟื่องลูบผมน้องสาวอย่างเอ็นดู
"ฉันไปดูแม่ก่อนนะ พี่เฟื่อง"
"พี่ไปช่วยจ้ะ จวง"
จวงกับสไบแยกไปที่เกวียนที่จันทร์กับเฟี้ยมอยู่ แฟงมองพี่สาว สายตาวิงวอนอย่างเด็กสาว
"พี่เฟื่อง"
"ไม่ต้องกลัวนะ แฟง .. เสร็จศึกพี่ทัพจะต้องตามไปรับเราทุกคนกลับบ้าน"
เฟื่องยิ้มแล้วผละไปจากน้อง ตรงไปที่เกวียนที่จันทร์กับเฟี้ยมช่วยขนของขึ้นเกวียน แฟงมองขบวนเกวียนและทุกคนที่กำลังวุ่นวายแล้วตัดสินใจหันไปหยิบขวานที่อยู่บนตอไม้
"ฉันจะไม่หนี พวกข้าศึกมันต้องรู้ว่าคนอย่างนังแฟง ยอมตาย"
แฟงวิ่งออกไปทางป่า โดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น

ทัพกำลังสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ทุกคนมองอย่างละล้าละลัง
"เอาไงล่ะ พี่ฟัก"
ฟักเขย่าร่างทัพ
"พี่ทัพ พี่ทัพ ได้ยินชั้นมั้ย พี่ทัพ"
ทัพครางฮือ ดิ้นกระสับกระส่าย เคลิ้มแกะผ้าขาวม้าที่เอว ส่งให้เอิบ ทัพสั่นไปทั้งร่าง เอิบเอาผ้าขาวม้าพันร่างทัพไว้ ช่วงยกมือพนมเหนือหัว
"คุณพระคุณเจ้า เจ้าป่าเจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีป่า ผีไพร คุ้มครองพี่ทัพด้วยเถิด วิญญาณไพร่พลที่ตายลงด้วยดาบพี่ทัพ อโหสิให้พี่ทัพด้วย แกทำเพราะเกลอรักมันทำเลวกำแหงใส่ ไม่ได้จงใจฆ่าพี่น้องไทยด้วยกันเลย" ช่วงบอก
ทัพสั่นไปทั้งร่าง ครางฮือ
เอิบยกมือพนมเหนือหัวไปด้วย
"พี่ทัพเป็นคนดี ไม่มีพี่ทัพเสียคน ข้าศึกมันคงได้ใจ ไม่มีคนสับคอพวกมันให้แหลก หากมีอะไรแลกกับชีวิตพี่ทัพได้ แม้แต่ชีวิตไอ้เอิบ พญามัจจุราชอย่าเพิ่งมาเอาชีวิตคนดีๆไปเลย"
ช่วงกับเอิบยกมือพนมเหนือหัว ฟัก เคลิ้มมอง ทัพสั่นกระตุกไปทั้งร่างอย่างแรง ก่อนทัพจะหยุดนิ่ง สลบไป ทุกคนมองเป็นห่วง

แฟงที่ถือขวาน วิ่งไปทางนาอย่างเร็ว

ขบวนเกวียน กลุ่มผู้ใหญ่ขึ้นไปนั่งแล้ว จวง สไบ อยู่ข้างเกวียน กำลังจะขึ้น เฟื่องหันมามองหาน้องสาวจวงกับสไบหันมอง

"แฟง แฟง แฟง อยู่ไหน"
นางเฟี้ยมชะโงกหน้าจากเกวียนมามอง
"มีอะไร เฟื่อง"
"แฟงจ้ะ แม่ แฟงหายไป"
"หรือว่าแฟง"
เฟื่องหันมามอง สไบสีหน้าไม่ดี
"จะหนีไปหาพวกพี่ทัพ" สไบว่า
"ฉันจะไปตามแฟง" เฟื่องบอก
เฟื่องหันหลังจะวิ่งไป กำนันพันรีบตะโกนสั่ง
"จับไว้ก่อน จับเฟื่องไว้"
จวงกับสไบรีบดึงแขนเฟื่อง
"แฟงคงไม่ได้คิดจะไปสู้กับพวกทหารอังวะหรอกนะ" สไบว่า
"ปล่อยฉัน ฉันจะไปตามน้อง"
"ไปไม่ได้นะพี่เฟื่อง เราไม่รู้ว่าแฟงไปไหน" จวงบอก
"ฉันปล่อยให้น้องตายไม่ได้ แฟงไปคนเดียว ...ถ้าเกิดเจอพวกอังวะจะทำยังไง"
เฟื่องพูดได้แค่นั้น ก็ใจหาย นางเฟี้ยมทำท่าจะเป็นลม พวกผู้ใหญ่สีหน้าไม่ดี
เฟื่องสีหน้าใจจะขาดเมื่อนึกถึงความบ้าบิ่นของน้องสาว

แฟงวิ่งมา ในมือกำขวานแน่น มองไปรอบๆ
"ทหารอังวะ มันมุดหัวไปไหนหมด"
แฟงถอยหลังเงียบกริบ หมุนตัวมองไปรอบๆ แต่พอหันมาก็เจอทหารอังวะ 5 คน ที่อยู่ด้านหลัง ทหารอังวะพอเห็นเป็นผู้หญิงก็หัวเราะ หน้าตาหื่นกระหาย แฟงกำขวานแน่น
"เข้ามาเลย"
ทหารอังวะ หัวเราะเห็นแฟงเหมือนตัวตลก 2 คนเดินเข้ามา แฟงตวัดขวาน ทหารหลบแล้วหัวเราะ คนที่เหลือพากันยุให้จับ ทหารคนหนึ่งพุ่งเข้ามาจะจับแขน แฟงหลบ แต่อีกคนเข้ามาคว้าแขนแฟงไว้
แฟงฟันขวานลงฉับ ข้อมือทหารขาด ร้องลั่น เลือดกระฉูด ทหาร 4 คนที่เหลือชักดาบทันที แฟงกำขวานแน่น
"พวกมึงเข้ามาเลย ตายเสียตรงนี้ด้วยกัน พ่อแม่พี่น้องกูจะได้ปลอดภัย"
ทหาร 2 คนพุ่งเข้ามาฟัน
แฟงหลบวูบด้วยความเร็ว ทหารเข้ามา แฟงแกว่งขวาน ทหารยังไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่แฟงไม่ทันระวังหลัง ทหารอีก 2 คนซุ่มเข้ามา คนหนึ่งกระโดดล็อกคอ อีกคนบิดแขนกระชากขวานออกจากมือแฟง
แฟงดิ้นรน กัดแขนทหารที่ล็อก ทหารตบแฟงคว่ำ ลงไปกับพื้น ทหารกำลังตีวงล้อม ย่างสามขุมเข้าหาแฟง ทหารคนที่แกว่งขวาน เงื้อขึ้น
แฟงหลับตา คิดถึงชะตาชีวิตที่กำลังจะขาดลงตรงหน้า
ฉับพลันนั้น ใจพุ่งมา โดดเตะกลางอากาศ จนทหารหน้าหงาย ขวานหลุดมือ เฉียดร่างแฟงไป หล่นลงบนพื้น แฟงมองใจอย่างตะลึง ใจโดดเตะอีก 2 คน จนเซแซ่ดไป
ดอกรักพุ่งเข้ามาอีกด้าน คว้าขวานบนพื้น เข้าตะลุยฟันกลางอกทหารอังวะ ล้มตายลงไปทั้งหมด

แฟงลุกขึ้นยืนตัวสั่น ใจเต้นระทึก มองดอกรักที่ถือขวาน แววตาบ้าเลือด สาแก่ใจ แฟงมองใจแล้วกลืนน้ำลายด้วยความเกรงในท่าทางองอาจ

แม่เยื้อนถาม

"แล้วเมื่อไหร่จะได้ไปสักที"
แฟงวิ่งนำมา ร้องตะโกนเสียงดีใจ
"พี่เฟื่อง พี่เฟื่อง"
เฟื่องกับคนอื่นๆหันไปมอง ทุกคนสีหน้าทั้งตกใจ ดีใจ
"แฟง"
แฟงวิ่งมาถึงตรงหน้าพี่สาว
"พี่เฟื่อง"
"หายไปไหนมาแฟง"
"พี่ดอกรักยังไม่ตาย"
แฟงยังไม่ทันตอบ สไบมองไปด้านหลังเห็นใจเดินมากับดอกรัก
"พี่ใจ พี่ดอกรัก"
สไบตะลึง ดอกรักยิ้ม รีบเดินมาหาสไบ
ผู้ใหญ่แสงลงจากเกวียนมามองอย่างดีใจ ดอกรักเข้ามาจับมือสไบ ใจที่ตามมาหลังหยุดมอง
"สไบ"
"พี่ยังไม่ตาย"
"ใช่...พี่รอด สไบ พี่รอด"
แสงบอก
"นี่ดอกรักเป็นหลานแท้ๆของฉัน และนี่พ่อใจเป็นหลานร่วมเลือดเนื้อเชื้อไข เพราะช่วยชีวิตฉันและลูกสาว"
ดอกรักบีบมือสไบ ยิ้มดีใจ ใจมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ทุกคนมองดอกรักกับใจที่มาใหม่ด้วยสายตาสงสัย ไม่คุ้นหน้า
"พี่สองคนนี้ช่วยฉันไว้จากพวกข้าศึก" แฟงบอก
แฟงยิ้มอวด แต่พอหันมาก็เจอ เฟื่องเงื้อมือตบหน้าน้องสาวดังเผียะ แฟงอึ้ง ทุกคนมองตกใจ
แฟงกุมแก้ม ผินหน้ามามองเฟื่อง ด้วยสายตาผิดหวัง
"พี่เฟื่อง"
"สนุกนักหรือแฟง รู้มั้ยว่าทุกคนเค้าเป็นห่วง"
"ฉันผิดด้วยหรือพี่เฟื่องที่อยากไปฟันพวกอังวะ"
"ผิด ดูตัวเองสิแฟง ตัวเองเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย"
"แล้วผู้หญิงมันจะสละชีวิตเพื่อป้องกันบ้านเมืองไม่ได้หรือ หรือว่าพอเป็นผู้หญิงก็มีหน้าที่แค่เก็บผ้าผ่อนหนีแต่ข้างเดียว ผู้หญิงมันจะจับขวานจับดาบสู้ศึกเยี่ยงชาย เพื่อปกป้องพ่อแม่พี่น้องตัวเองไม่ได้เลยเชียวหรือ"
แฟงย้อนถามด้วยเสียงอัดอั้น ทุกคนนิ่งเงียบ
แฟงมองเฟื่อง น้ำตาคลอ แล้ววิ่งหันหลังหนีไป
"แฟง แฟง"
ทุกคนมองตาม อึดอัดใจ

แฟงน้ำตาร่วงพรู เฟื่องวิ่งตามมาใกล้
"ฉันไม่กลัวหรอก ชีวิตนึง ถ้าจะให้แผ่นดินได้ ฉันไม่กลัวตายเลยสักนิด"
"แล้วชีวิตพี่ ชีวิตแม่ล่ะ แฟง เราจะอยู่กันยังไง ถ้าปล่อยให้แฟงไปถูกข่มเหง"
"พี่เฟื่องก็ดูแลแม่ไป แม่รักพี่เฟื่อง"
"แม่รักทุกคน"
"ไม่จริงหรอก พี่ฟัก พี่เฟื่องเป็นลูกรัก นังแฟงมันลูกชัง ให้นังแฟงมันตายเสียดีกว่า"
"แฟง เอ็งคิดน้อยใจประสาเด็ก"
"ฉันไม่เด็กนะพี่"
"ไม่เด็กยังไง เสียใจก็พาลว่าแม่ไม่รัก ไม่มีคนรัก"
เฟื่องเดินเข้ามาใกล้แฟง
"เอ็งคิดจะไปตายแทนทุกคน แล้วคิดหรือไม่ว่าพี่ แม่ พี่ฟักจะอยู่อย่างไร พี่ทัพอีกล่ะ"
แฟงหันมามอง เฟื่องอมยิ้ม
"ไม่มีแฟง พี่ทัพจะต่อปากกับใคร"
"พี่ทัพเค้าจะดีใจน่ะสิ พี่ทัพเค้าชังน้ำหน้าฉันนัก"
"เอ็งคิดแบบเด็ก แต่พี่ก็นับถือน้ำใจเด็กอย่างเอ็งนะ แฟง"
เฟื่องแตะบ่าน้องอย่างปลอบโยน
"แต่ครานี้ ยังไม่ถึงเวลาที่จะสละชีวิต เรายังต้องเจอศึกข้างหน้าที่ใหญ่กว่านี้ ลำพังทหารอังวะแค่หยิบมือ เอ็งไม่ควรวู่วามที่จะเอาชีวิตไปแลก"
แฟงมองพี่สาวที่สอนด้วยสายตาเป็นผู้ใหญ่กว่า
"พี่ทัพกับพวกผู้ชายสละความสุข กินนอนกลางป่า ซุ่มทำลายทหารอังวะ เพื่อให้เราได้อยู่รอด และรอจะได้กลับบ้าน เราต้องรักษาชีวิตไว้นะ แฟง ชีวิตเรา มีค่าเพราะได้มาจากความเสียสละของคนที่เรารัก..และรักเรา"
แฟงมองพี่สาวด้วยสายตาอ่อนทิฐิลง เฟื่องดึงตัวน้องสาวมากอดปลอบไว้ แฟงกอดพี่สาว
"ฉันขอโทษจ้ะพี่เฟื่อง ต่อไปฉันจะไม่ใจร้อนอย่างนี้อีก"
เฟื่องยิ้มมองน้องสาว แฟงแววตาสุกใส
"ถ้าฉันจะตาย ชีวิตเดียวของฉันจะต้องแลกกับชีวิตทหารอังวะเป็นร้อย"
"พี่ไม่ให้น้องพี่ตายหรอก เดี๋ยวจะเหงาปาก"

สองสาวพี่น้องที่หัวเราะให้กันด้วยความเข้าใจ ไม่มีใครคิดว่าคำพูดในวันนี้จะเป็นอนาคตในอีกไม่นาน
 
อ่านต่อหน้า 4

บางระจัน ตอนที่ 2 (ต่อ)

สไบยืนอยู่ตรงกลางระหว่างดอกรักและใจ บอกกับทุกคนตรงนั้น ดอกรักไหว้หันมามองเห็นสายตาใจที่ทอดสายตามองสไบ

กำนันพันบอก
"ฟังที่ดอกรักเล่าว่าฆ่าทหารอังวะไปหลายศพอย่างนี้ เห็นทีเราต้องเร่งหนีW
"ทหารพวกนั้นคงไม่ได้มาดูลาดเลา" ใจบอก
ทุกคนมองไปที่ใจ
"ที่นี่ยังไม่ใช่ทางเดินทัพ ถ้าพวกอังวะจะมาลาดตระเวนจริงๆ คงไม่มาเพียงแค่ 5 คน"
"เอ็งรู้ได้ยังไง ใจ"
ใจยิ้ม
"ฉันเดา"
"วะ ...เอ็งนี่มันกวนผิดเวลา"
"ฉันเดาจริงๆ เพราะฉันเป็นพราน ไปมาทั่ว ถ้าทหารอังวะจะบุกมาทางนี้จริงๆ กองทหารลาดตระเวนต้องมีมากกว่านี่ ทหารเลวพวกนี้อาจจะแค่พวกหนีออกมาจากค่าย เพื่อมาลอบปล้นชาวบ้านกันเองเท่านั้น"
ผู้ใหญ่แสงบอก
"แต่ยังไง เราก็ต้องระวังตัวไว้"
"หนีไปตอนนี้ ถ้าไม่หนีให้ดี ก็อาจจะเจอทัพใหญ่เข้าจริงๆ" ใจบอก
"เจอก็ฟันกันแหลกไปข้างนึงสิวะ"
"มีแต่เด็กกับผู้หญิงนี่น่ะ จะสู้กับทหารกล้านับพัน" ใจบอก
"เฮ้ย ... เอ็งนี่มันพูดหยามน้ำใจกันเกินไปแล้วนะ ไอ้ใจ" ดอกรักว่า
"หยุด หยุด" กำนันพันบอก
สไบดึงดอกรักไว้ให้ห่างใจที่ยังยืนเฉย
"ฟังที่ไอ้ใจพรานหนุ่มพูดมันก็มีเหตุผลอยู่ เราตกใจ จะพากันหนีแบบกระต่ายตื่นตูม กลัวว่ากลางทางจะไปเจอภัยที่หนักกว่า ลูกเด็กเล็กแดงก็มาก"
จวงบอก
"รอพี่ทัพก่อนมั้ยจ้ะอากำนัน พี่ทัพมาค่อยคุยกันว่าจะอพยพกันไปทางไหน"
"ก็ดีเหมือนกัน รอไอ้ทัพมาเล่าความว่าพวกอังวะมาทางไหนบ้าง ถ้าไม่ผ่านทางกระทุ่มด่านบ้านเรา ก็ถือว่าเป็นเพราะเทวดาฟ้าดินคุ้มครอง"
กำนันพันมองไปที่ทุกคน
"ผู้ชายให้ช่วยกันจัดเวรยาม ผลัดกันตรวจตราให้แน่นหนา อย่าให้รอดสายตาไปได้"
พวกผู้ชายชาวบ้านพากันรับคำ แววตาเข้ม
"บอกต่อๆกันไป เตรียมตัวไว้ให้พร้อม อย่าชะล่าใจ ทัพอังวะมาใกล้เมื่อไหร่ เราจะย้ายครัวกันทันที" กำนันพันบอก
ทุกคนค่อยคลายความกังวล เห็นพากันแยกย้าย ใจมองสไบที่หันไปทางดอกรัก ผู้ใหญ่แสงเข้ามาถามไถ่ดอกรักด้วยความยินดี
"อาดีใจเหลือเกินที่เห็นเอ็ง"
"ฉันก็ดีใจจ้ะ อา รอดมาได้คราวนี้ ฉันจะเอาคืนพวกข้าศึกให้สมแค้น"
ใจเดินหลบออกไปเงียบๆ สไบเหลือบมาเห็น ก็มองตามใจที่เดินห่างไป
"อากับสไบรอดมาได้เหมือนปาฏิหาริย์"
สไบหันกลับมา พอดีกับที่ดอกรักถามขึ้น
"ไอ้ใจหรือเปล่า ที่ช่วยสไบไว้"

เมียกำนันพันสั่งปริก ปลวก โปรย บ่าวไพร่ให้จัดของเข้าที่อย่างอารมณ์เสีย
"เอา...เก็บเข้าไปไว้ในห้องข้านี่แหละ เอามารวมๆกันไว้ เดี๋ยวมันมากันจริงๆก็ต้องขนหนีกันอีก ไป ไป...ลงไปช่วยกันขนขึ้นมา"
ดอกรักนั่งอยู่ที่ชานเรือน สไบกำลังทำความสะอาดแผลให้
"พี่ทัพน่ะจ้ะที่ช่วยฉันกับพ่อไว้ แล้วบอกให้มาที่กระทุ่มด่าน"
จวงเดินออกมากับห่อยา มาหยุดที่จวง
"พี่ทัพเป็นพี่ชายจวง"
ดอกรักยิ้มกับจวงอย่างเป็นมิตร จวงแกะห่อยาสมุนไพร
"โปะยาเสียหน่อยเถอะ พี่ สมานแผลดีนักล่ะ" จวงบอก
"ขอบใจมาก จวง แล้วพี่ชายเอ็งไปไหนเสีย ข้าอยากจะขอบน้ำใจที่ช่วยอากับน้องสาวข้า"
"พี่ทัพอยู่ในป่าน่ะจ้ะ ไปลอบซุ่มตีกองทหารอังวะ"
"กล้าจริงๆ .. คนอย่างนี้แหละที่ข้านับถือ ขอให้มีโอกาสเจอพี่ทัพทีเถอะ ข้าจะขอตามไปซุ่มในป่าด้วยอีกคน"
ดอกรักนั่งลง แววตาชื่นชมทัพจากใจจริง
สไบเอายาทาลงไปที่แผล จวงช่วยส่งยาให้ ยิ้มกับสไบที่ดูแลดอกรักด้วยความรู้สึกอย่างพี่ชาย

บริเวณศาลาท่าน้ำ ริมบึงบัวสาย บ้านกำนันพัน ในตอนเย็น

ใจเดินมาหยุดมองไปที่บึงบัวสายริมบึงกว้าง ในบริเวณบ้านกำนันพัน สายตาเต็มไปด้วยความเศร้าที่ไม่เคยมีใครสังเกตเห็น เขากอดอก ตามองไปไกล ท่าทางสง่างามไม่เหมือนพรานหรือชาวบ้านธรรมดา สไบเดินมามองทางด้านหลัง

"พี่เจิด กับ ลุงจาดไม่มาด้วยหรือจ๊ะ"
สไบเดินยิ้มเข้ามา
"สไบ"
สไบเดินมาหยุด ยิ้มมองใจ
"ฉันเห็นพี่คนเดียว คนอื่นไปไหนเสีย" สไบถาม
"ไปแล้ว"
"ไปไหนจ๊ะ"
"กลับบ้าน"
ใจหน้าสลด สไบเอ่ยถามขึ้น
"ที่พี่ไม่ไป เพราะคอยช่วยพี่ดอกรัก"
ใจยิ้ม
"ดอกรักเจอสไบแล้ว เดี๋ยวพี่ก็กลับบ้านได้ หมดห่วงเสียที"
"พี่ใจไม่อยากอยู่กับฉัน"
ใจมองจ้องสไบ สไบรู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไปเพราะสายตาคมๆของใจที่มองมา ก็รีบแก้
"ไม่อยากอยู่กับพวกเรา ที่นี่เหรอจ๊ะ"
"อยากอยู่สิ อยากอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ต้องไป"
ใจทอดเสียงอย่างมีความหมาย แต่ก็ไม่พูดอะไรมากกว่านั้น สไบมองใจด้วยสายตาซาบซึ้งใจ
"ครอบครัวฉันทุกคนเป็นหนี้ชีวิตพี่ใจ"
"พี่เต็มใจช่วย อย่าถือเป็นบุญคุณอะไร"
"ไม่ได้หรอกจ้ะ พี่ใจเสี่ยงชีวิตช่วยฉัน ช่วยพ่อ ช่วยพี่ดอกรัก ชาตินี้จนตาย ไม่ว่าจะเกิดอะไร... ฉันก็จะไม่มีวันลืมบุญคุณของพี่"
"สไบจะไม่ลืมพี่ใช่มั้ย"
สไบเขินจนแก้มแดงเมื่อได้ยินคำถาม
สายตาใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น อยากรู้คำตอบของสไบ
"จ้ะ ไม่ลืม อยู่ที่ไหน ก็ไม่ลืม ฉันจะรักนับถือพี่เหมือนพี่ชายคนหนึ่ง"
"ถึงเป็นแค่พี่ชาย พี่ก็เต็มใจ ขอแค่ให้พี่อยู่ในใจสไบตลอดไปเท่านั้น"
สไบยิ้มให้อย่างจริงใจ
"ฉันจะมาเก็บสายบัวไปแกง พี่ใจช่วยฉันหน่อยได้ไม๊"
ใจยิ้มให้สไบอย่างชื่นใจ ใจที่เดินลงไปในบึง สไบมองอยู่ริมบึง ใจเดินไปหักบัวดอกสวย ลุยน้ำกลับมายื่นดอกบัวให้สไบ
สไบมองใจที่ยื่นบัวดอกสวยให้ด้วยรอยยิ้มสดใส
แล้วใจก็ลงไปเก็บสายบัวอีก ชั่วครู่ ก็หอบบัวสายมาเต็มแขน ลุยโคลนขึ้นมา ยืนตรงหน้าสไบ
สไบมองเห็นโคลนที่ติดปลายจมูกใจ ก็เอื้อมมือไปปัดโคลนออก ทั้งคู่สบตากัน สไบหลบตาด้วยความอาย แล้วทั้งคู่ก็เดินคู่กันในแดดยามเย็น สีทองเป็นประกายสวยงาม

ภายในครัว ไอจากหม้อข้าวที่กำลังเดือดกรุ่นลอยในอากาศ เฟื่องตักเม็ดข้าวขึ้นมาดูว่าสุกหรือยัง แฟงโขลกน้ำพริกเสียงดังลั่นอยู่อีกมุม จวงกำลังเลือกผักสดจัดลงในจาน สไบหอบสายบัวเข้าครัวมา แฟงมอง
"วันนี้มีของอร่อย ลาภปากซะแล้วนังแฟงเอ้ย .... ต้มสายบัวจิ้มน้ำพริก ขอบน้ำใจนะพี่สไบ"
"ฉันไม่ได้ลงไปเก็บหรอกจ้ะ"
แฟงหยุดตำน้ำพริกทันที หรี่ตามองสไบที่อมยิ้มในหน้าตลอดเวลา
เฟื่องกับจวงก็หันมามองสไบ
"เอ...สงสัยสายบัววันนี้จะหวานยิ่งกว่าอ้อยเสียล่ะมั้ง"
"พูดไปเรื่อยน่ะ แฟง จะกินหรือไม่กิน"
"กินสิ ... แต่ก่อนกิน อยากรู้ว่าใครนะลงไปช่วยพี่สไบเก็บสายบัว"
สไบอมยิ้มไม่ตอบ แฟงแกล้งยั่ว
"ใครนะช่างเอาใจ เก็บสายบัวมาซะหอบใหญ่"
"ไม่เอาละ ฉันไม่คุยด้วยแล้ว"
สไบลุกขึ้นไปทางเฟื่อง
"ฉันช่วยนะจ๊ะ พี่เฟื่อง"
แฟงรีบลุกตามทันที
"ไม่ต้องไปช่วยพี่เฟื่องเค้าหรอก หุงข้าวง่ายๆแค่นี้ พี่เฟื่องเค้าไม่ต้องมีลูกมือ พี่สไบมาช่วยฉันทำต้มสายบัวดีกว่า สายบัวหว้านหวาน ไม่ต้องใส่น้ำตาล"
"นั่นสิ สไบ... สายบัววันนี้คงหวานชื่นใจ" เฟื่องว่า
"พี่เฟื่อง อย่าล้อฉันเลย"
"พี่ชายคนไหนนะที่ช่วยเก็บสายบัวให้"
"จวง"

สไบยิ่งเขินเมื่อถูกล้อจากทั้งสามคน ใจยืนหลบฟังอยู่ อมยิ้ม

ในป่า ทัพฟื้นไข้กำลังหยิบข้าวในห่อใบตองบนพื้นเปิบเข้าปาก เช่นเดียวกับทุกคนที่ล้อมวงกินข้าวบนห่อใบตองที่วางบนพื้นกลางป่า ฟักเลื่อนปลาให้ตรงหน้าทัพ

"พี่ทัพกินเยอะๆ ฟื้นไข้คราวนี้จะได้มีแรง"
ทัพมองปลาปิ้งแห้งที่ฟักเลื่อนมาวางตรงหน้าแล้วสะท้อนใจ
"เอ็งกินเถอะ ฟัก"
ทุกคนมองทัพที่ไม่ยอมกินปลาที่มีเพียงตัวเดียว ทัพยิ้ม ถึงจะเป็นยิ้มอ่อนแรง แต่ก็มาจากใจ
"พวกเอ็งกินปลาตัวนี้เถิด ข้าคนป่วย กินอะไรก็ไม่รู้รสอร่อย แค่ข้าวเปล่า นี่ก็อิ่มแล้ว"
"พี่ทัพกินเถอะ พวกฉันสบายดี กินข้าวนี่แหละ มีแรงพอแล้ว" เคลิ้มบอก
เคลิ้มเปิบข้าวเปล่าต่อ ท่าทางอร่อย ช่วงกลืนน้ำลายมองปลา แต่ไม่กล้ากิน รีบก้มกินข้าวเปล่า
ทัพมองเห็นใจทุกคนที่ยอมกินข้าวเปล่า
"ข้ากินปลาตัวนี้ไม่ลงจริงๆ"
ทัพแววตาตื้นตัน เอิบเอื้อมมือไปหยิบปลา เคลิ้มดุขึ้นทันที
"ไอ้เอิบ"
เอิบไม่สนใจ ฉีกปลาแล้วคลุกลงในข้าวกลางวง ทุกคนมอง
"นี่ไง..ได้กินทุกคน"
เอิบยิ้มกว้างเห็นฟันดำเพราะกินหมาก
"มีน้อย กินน้อย แต่อิ่มนาน"
ทุกคนยิ้มให้กันด้วยความซึ้งใจ ผูกพันกันเหมือนพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ทุกคนที่ล้อมวงกันกินข้าว ใบหน้าทัพมีแต่รอยยิ้ม
ชายฉกรรจ์ทหารหมู่เคลิ้มคนหนึ่งวิ่งเข้ามากระหืดกระหอบ
"พี่เคลิ้มๆๆ ฉันเห็นพวกอังวะมันมาตั้งกองอยู่ชายป่ากระทุ่มด่านนี่แล้ว"
ทุกคนละมือจากข้าวทันที ลุกขึ้น แววตาเด็ดเดี่ยว
"มันมาให้เรากุดหัวถึงที่"
"พี่ทัพไม่ต้องไปหรอก ปล่อยพวกฉันเอง" ฟักบอก
"ไม่ได้"
ทัพเอ่ยขึ้นมองทุกคน ถึงสีหน้าจะยังขาวซีดเพราะฟื้นไข้ แต่แววตาทัพแข็งกร้าว ไม่อ่อนลงเลย
"อย่าถือว่าข้าเป็นคนป่วย ขอให้ได้ฟันพวกมันให้แหลกยับไปสักสิบ ยี่สิบคน ถึงต้องจับไข้อีก ข้าก็คงหายเร็วที่ได้ขับไล่ข้าศึกปล้นบ้านปล้นเมืองออกไปจากแผ่นดิน"
ทัพยิ้มให้กับทุกคนอย่างไม่เกรงกลัวใดใด

ในเวลาต่อมา ทหารอังวะถูกฟันลงกลางอกล้มคว่ำขาดใจตาย แล้วกวาดต้อนกองเกวียนเสบียมา
เอิบถีบทหารล้ม ช่วงเข้ามาฟันลงกลางหลัง ฟักกับหมู่เคลิ้มที่หันหลังชนกัน ฝีดาบทั้งคู่ว่องไว กระหน่ำฟันแทงข้าศึกล้มลงนับไม่ถ้วน
ทหารอังวะล้อมทัพอยู่ 5 คน ทัพถือดาบคู่สองมือ ใช้ฝีมือดาบอาทมาฏบุกทะลวงฟันข้าศึกล้มตายในเวลารวดเร็ว
หีบสมบัติที่พวกอังวะปล้นมาร่วงตกจากเกวียนแตกกระจาย
กลุ่มทัพฟันสู้กับทหารอังวะอย่างดุเดือด เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเลือดและเหงื่อ แต่สีหน้าทุกคนยินดี ภูมิใจอย่างยิ่ง

สังข์ที่นอนหลับอยู่ ที่เรือน ในความฝันนั้นสังข์ที่เห็นทัพเลือดไหลเต็มตัว มองตรงมา ฟ้าแลบแปลบปลาบ เห็นทัพเลือดไหลเต็มตัว มองจ้องสังข์กับขาบ
"กูจะได้จำไว้ว่ากูถูกเกลอทรยศ เพราะเห็นแก่ลาภยศ ความเป็นใหญ่ ลาภ ยศ อำนาจ มันบังตาพวกมึงจนไม่เห็นแก่ความสัตย์ซื่อใดใดแล้ว"
สังข์ลุกเฮือกขึ้น เหงื่อเต็มหน้า
"ไอ้ทัพ"
ขาบที่นอนอยู่ห่างไป สะดุ้งตื่นขึ้นมามอง
"มีอะไรหรือนายกอง"
"ไอ้ทัพ"
ขาบหยิบดาบ ระแวงขึ้นทันที
"ไอ้ทัพ มันตามเรามาทันแล้วหรือ"
สังข์มองขาบด้วยความไม่พอใจทันที
"ไอ้ปอดแหก แค่ได้ยินชื่อมัน ขี้ก็ขึ้นสมองเอ็งแล้วหรือ ไอ้หมู่ขาบ"
"หรือนายกองไม่เกรงไอ้ทัพ"
สังข์ถีบเข้ากลางอก ขาบกระเด็นกลิ้งไปทันที
"ข้าไม่เคยกลัวไอ้ทัพ อย่าพูดให้ข้าได้ยินอีกว่า ลูกน้องข้ามันขี้ขลาด กลัวกระทั่งไอ้ขบถชั่ว"
ขาบลุกขึ้น จับกลางอกที่เพิ่งถูกถีบ
"ขบถชั่วคนนั่นมันคือเกลอบ้านเดียวกับเรา"
"ข้าเลิกนับมันเป็นเกลอแล้ว"
"ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่นายกองเลิกนับไอ้ทัพเป็นเกลอ"
สังข์เหลียวมองขาบตาวับด้วยความโกรธ ขาบเอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ แต่เหมือนยิ่งจี้จุด
"ตอนที่ได้ดิบได้ดีเป็นนายกอง แล้วมองไม่เห็นหัวเกลอที่เคยวิ่งเล่นกันมาใช่มั้ย"
สังข์ชักดาบออกมาทันที
"เอ็งกล้ากับข้าหรือไอ้หมู่ขาบ"
"ผู้น้อยอย่างฉันไม่กล้ากำเริบกับนายกองหรอก ที่ถามก็ถามอย่างเกลอกัน ไอ้ขาบ ถามอย่างเกลอ หรือเอ็งจะลืมว่าเราเคยเป็นเกลอกันมาสามคนฮะ ไอ้สังข์"
"ไอ้ขาบ"
แววตาขาบไม่เกรงกลัวสังข์เหมือนที่ผ่านมา แต่เต็มไปด้วยความสำนึกบางอย่าง
"ที่ไอ้ทัพมันไว้ชีวิตเรา เพราะเห็นแก่ความเป็นเกลอกันอย่างเดียว แต่เราไล่เอาชีวิตมัน ชี้หน้าว่ามันเป็นขบถ เราต้องตามฆ่าทุกคนที่ไม่เชื่อเรา แม้จะเป็นคนไทยด้วยกันอย่างนั้นหรือ"
"ไอ้ขาบเอ็งพูดแบบนี้ ข้าตัดหัวเอ็งเสียประจานฐานเป็นขบถอีกคนได้เลยนะ"
"ข้าศึกแห่กันมายิ่งกว่าน้ำหลากแบบนี้ ถึงไม่ตายด้วยดาบนายกอง ก็คงต้องตายด้วยดาบข้าศึกอยู่ดี"
สังข์กำดาบมือสั่นเมื่อเห็นว่าที่ขาบพูดเป็นความจริง
"มึงอย่าท้ากูนะ"
"ข้าไม่ได้ท้า ข้าพูดความจริง ให้ตายเพราะรบกับข้าศึกยังดีกว่ามารบกับคนแผ่นดินเดียวกัน"
ขาบมองสังข์ แววตาจริงจัง ครุ่นคิด
"ให้คอหลุดจากบ่าเพราะรบจนตัวตาย ก็ยังดีกว่ามาตายเพราะไล่ฆ่าฟันคนที่เคยเป็นเกลอร่วมน้ำสาบานกันมา"
สังข์กำดาบแน่น ฟันฉับไปตรงหน้าเกือบโดนขาบ เสียงดาบแหวกอากาศ ฟังน่าหวาดเสียว
"พอ...หยุดได้แล้ว มึงจะลำเลิกความหลังมันไปถึงไหน"

ขาบนิ่งจ้องมองสังข์อย่างไม่กระพริบตา จนสังข์ละอายใจ

ทัพเดินเข้ามา พร้อมกับพรรคพวก กำนันพันกำลังนั่งคุยกับผู้ใหญ่แสงหันมามอง

"ไอ้ทัพ"
ทัพกับพวกทั้งหมดถือห่อสมบัติมานั่งลง ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคน
"ฉันไหว้อาจ้ะ"
ฟักเอาห่อผ้ายื่นมาวางตรงหน้าอาพัน
"อะไร"
"อาเปิดดูเถอะจ้ะ"
กำนันพัน มองหน้าพ่อใหญ่แสงมองหน้ากันแล้วมองพวกทัพ ก่อนจะเปิดห่อผ้าออก...เห็นกำไลทอง มีสายสร้อยเงิน แหวนพลอยเม็ดใหญ่ ทองหลายเส้นที่อยู่ในห่อผ้านั้น
"ไอ้ทัพ นี่เอ็งกับพวกไปปล้นใครมา" กำนันพันถาม
"แก้วแหวนเงินทองนี่ของคนไทยใช่มั้ย" ผู้ใหญ่แสงถาม
"จ้ะ ของคนไทย" ทัพยอมรับ
"ออกไป ออกไปให้พ้นเรือนข้า ข้าไม่ต้อนรับพวกโจร บ้านเมืองเดือดร้อน จะฉิบหายวายวอดเพราะศึกนอกมาประชิด พวกเอ็งยังมาซ้ำเติมปล้นคนไทยด้วยกันเอง ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือไงพวกมึงนี่ หรือว่าข้าวของเงินทอง ความโลภกระหายหิวมันบังตาจนไม่มีวิธีสัตย์ซื่อหากิน ต้องเป็นโจรลักกินขโมยกินสูบเลือดพี่น้องไทยด้วยกัน"
"ใจเย็นๆก่อนอาพัน"
ทัพกับพวกมองกำนันพัน อารมณ์ขึ้นทันที
"ข้าวของพวกนี้เป็นของคนไทยทั้งหมดก็จริง แต่พวกทหารอังวะมันปล้นเอาไป ฉันกับพวกจึงลอบปล้นค่ายพวกมันคืน"
"แต่เราไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของบ้าง จะเอาไปคืนได้ยังไง" ผู้ใหญ่แสงบอก
"พวกฉันคุยกันแล้วว่าขอฝากใว้ที่อาพัน เพราะบ้านอาพันนี่มีคนอพยพมาอยู่มากขึ้นทุกวัน จะได้เอาไว้เป็นค่าเสบียงเลี้ยงดูคนที่หนีศึกมา ไม่ว่าเป็นใครจากไหน หนีร้อนมาพึ่งเย็นที่กระทุ่มด่านนี่ อาพันจะได้ช่วยเต็มที่ พวกเราจะได้ไม่อด มีอิ่มกันได้ทุกมื้อ"
"ถ้าพวกเอ็งคิดอย่างนี้ อาก็ขอให้พวกเอ็งได้กุศลนี้เถิด"
ทัพมองสายสร้อย ข้าวของด้วยสายตาสลดแล้วเงยมองขึ้นไปไกล
" พวกพ่อทัพนี้น้ำใจประเสริฐแท้ แม้จะไร้สิ้นสมบัติเงินทอง แต่พวกพ่อจะมีแต่ความภูมิใจเป็นอาภรณ์ประดับกาย เกียรตินี้ไม่มีใครแย่งชิงไปจากพวกพ่อได้จนตัวตาย"
กำนันพัน ผู้ใหญ่แสงมองใบหน้าทัพและกลุ่มชายฉกรรจ์ทุกคนด้วยสายตาภาคภูมิใจ เห็นรอยยิ้มของทัพและทุกคนที่มุ่งมั่นเสียสละทุกอย่างให้กับแผ่นดิน

เฟื่องที่กำลังซักผ้าอยู่ที่ศาลาไทยริมน้ำ มีมือยื่นมาปิดตา เฟื่องตกใจ สะบัดแรง
"ใครน่ะ"
เฟื่องหันกลับมา ตวัดมือไปโดยสัญชาตญาณ แต่มีมือมารวบมือเฟื่องไว้ทั้งสองมือ
เฟื่องมองคนตรงหน้า
"พี่ทัพ"
ทัพยิ้มกว้าง ดีใจที่ได้เจอคนรักอีกครั้ง

แฟงซุ่มอยู่ใกล้สไบ ดอกรักอยู่ถัดมา เสียงนกร้องดังขึ้น ทั้งคู่มองใจที่กำลังเป่าปากทำเสียงเลียนแบบนก นกบินมาใกล้ แฟงยิ้ม เตรียมจะเข้าไปเหวี่ยงแหดักนก
ใจเป่าปากดังขึ้น นกบินมาใกล้ แฟงค่อยย่องๆไปใกล้
สไบมองสบตากับใจ ดอกรักลอบมองสายตาสไบกับใจอย่างสังเกต
แฟงค่อยๆเข้าไปใกล้ เตรียมจะเหวี่ยงแหจับนก
เสียงจวงดังมาแต่ไกล
"แฟง แฟง พี่ทัพมาแล้ว"
จวงทำให้นกแตกตื่น บินขึ้นทั้งฝูง แฟงลุกพรวดทันที ใจหยุดเป่าปาก ทุกคนหันไปมองทางจวงกันเป็นตาเดียว
"พี่ทัพกลับมาแล้ว"
แฟงที่อ้าปากจะว่าจวง เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง
"พี่ทัพ"

กลางทุ่งกว้าง แฟงวิ่งนำหน้าทุกคนกลับไปทางเรือน
 
อ่านต่อตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น