xs
xsm
sm
md
lg

ใยกัลยา ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ใยกัลยา ตอนที่ 11

เมื่อประตูใหญ่เปิดออก ศวัสขับรถเข้ามาที่โรงรถ คนสวนที่ยังคงตัดตกแต่งกิ่งไม้บริเวณนั้น เดินแกมวิ่งมาที่โรงรถพร้อมรายงาน

“คุณหอมน้ำมาครับ”
ศวัสพยักหน้าด้วยแววตาโล่งใจ แล้วเดินตรงไปที่บ้าน

ทันทีที่ศวัสก้าวเข้ามา ทุกอย่างในห้องรับแขกกลับเป็นปกติ แต่ยังมีซากของแตกกระจายเกลื่อนอยู่ หอมน้ำรีบตรงไปประคองเยาวภาให้ลุกขึ้น แจ่มรีบคลานหลบมานั่งตัวสั่นอยู่มุมหนึ่ง
เยาวภาร้องกรี๊ดๆๆ “ปล่อยชั้น”
หอมน้ำทำท่าตกใจเงอะงะ
“น้าเยาว์เป็นอะไรครับ”
เยาวภารีบโผเข้ากอดศวัสด้วยความกลัว หอมน้ำมองด้วยนัยน์ตาขุ่นขวางด้วยความโกรธแวบหนึ่ง
“คุณหนู ช่วยน้าด้วย” เยาวภาหลับหูหลับตาชี้หอมน้ำ “คุณกัลยา...คุณกัลยา...อาละวาด”
ศวัสหันขวับมองหอมน้ำ ซึ่งอยู่ไม่ห่างนัก หอมน้ำส่ายหัวสีหน้าแววตาตระหนกตกใจและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
ศวัสบอกด้วยเสียงอ่อนโยน “น้าเยาว์ ลืมตาซิครับ”
เยาวภายังไม่ลืมตา “คุณ...คุณกัลยาไปหรือยังคะ”
“ที่นี่ไม่มีใครนอกจากผม หอมน้ำ แล้วก็แจ่ม”
เยาวภาลืมตาขึ้นมองและชี้หอมน้ำ “นั่นคุณกัลยาค่ะ ไม่ใช่หอมน้ำ ไม่เชื่อคุณหนูถามแจ่มดู คุณกัลยาอาละวาดใช่ไหมแจ่ม”
หอมน้ำมองหน้าแจ่ม นัยน์ตาถมึงทึงน่ากลัวขู่ไม่ให้รับ แจ่มกลืนน้ำลาย
“ว่าไงแจ่ม” ศวัสถาม
“คุณหนูก็เห็นข้าวของแตกเกลื่อนกลาด”
“แจ่ม”
“ไม่...แจ่ม...ไม่เห็นอะไรค่ะ”
เยาวภาโกรธจัด เมื่อเห็นหอมน้ำยิ้มเยาะมาให้ “โกหก”
“แจ่ม พาน้าเยาว์กลับไปที่ห้องก่อน”
“ค่ะ” แจ่มเข้ามาประคอง
เยาวภาสะบัดออก “ไม่ต้อง คุณหนู...แจ่มมันเข้าข้างคุณกัลยา”
ศวัสบอกด้วยเสียงจริงจังขึ้น “น้าเยาว์เชื่อผมนะครับ ให้แจ่มพาไปที่ห้องก่อน”
สุ้มเสียงและสีหน้าศวัสทำให้เยาว์ต้องจำลุกขึ้น แต่ยังสะบัดไม่ให้แจ่มจับขณะเดินเข้าไป แจ่มรีบตามประมาณว่าอยากไปให้พ้นเร็วๆ
ศวัสเบือนหน้ากลับมามองหอมน้ำราวกับจะจ้องจับผิด หอมน้ำมองตอบด้วยสีหน้าแววตาบริสุทธิ์ใสซื่อ

เยาวภาเดินมาถึงหน้าห้องโดยมีแจ่มตามมา เยาวภาหยุด หันกลับมาแล้วจ้องมองแจ่มด้วยความโกรธและเกลียด
“เข้าข้างมันทำไม”
“ก็...เอ้อ...”
เยาวภาพล่ามต่อ “มันทำให้แกกลัว ทำให้คุณหนูหลงเชื่อ มันเป็นดาราเจ้าบทบาทอยู่แล้ว”
แจ่มรีบจุ๊ปากเตือนเสียงเบา “จุ๊ คุณแม่บ้านคะ”
“ทำไม อ๊อ...กลัวมันเรอะ”
แจ่มเสียงยังเบา “กลัวซิคะ กลัวมากด้วย มีใครบ้างที่ไม่กลัวผี”
“ชั้นไม่กลัว ขอประกาศให้รู้เลยว่า ชั้นไม่กลัว”
สีหน้าเยาวภาดูน่ากลัวจนแจ่มทำคอย่น แล้วค่อยๆ ถอยจากออกไป

ข้าวของในห้องรับแขกยังแตกกระจายเกลื่อนกล่น หอมน้ำกำลังเปิดกระเป๋าหยิบภาพดอกหอมน้ำ หรือพลับพลึงธาร ส่งให้ศวัสด้วยสีหน้าท่าทางขลาดๆ
“นี่ไงคะ ดอกพลับพลึงธาร หรือดอกหอมน้ำที่หอมปริ้นท์ออกมาให้คุณหมอดู”
ศวัสมองหน้าหอมน้ำแล้วรีบรับมาดู หอมน้ำมองศวัสด้วยแววตาแสดงความรักและภาคภูมิใจของแม่
ศวัสดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น หอมน้ำรีบปรับสีหน้าและแววตาจากพุธกันยาเป็นหอมน้ำทันที ยิ้มใสซื่อ ในท่าทีกระตือรือร้น
“สวยมั้ยคะ”
ศวัสเก๊กหน้า “ธรรมดา”
หอมน้ำแกล้งทำหน้าเสีย แล้วหยิบบทหนังออกมายื่นให้ศวัสดู
“แล้วนี่คือบทหนังที่หอมลืมไว้หลังบ้านค่ะ อยู่ตรงต้นพุดซ้อน ดีที่เมื่อคืนฝนไม่ตก” ศวัสเหลือบมองแวบหนึ่ง “พอมาได้กลางทางก็นึกได้ว่า จะเอารูปดอกหอมน้ำมาให้คุณหมอดู เลยย้อนกลับไปที่หออีก”
“ทำไมน้าเยาว์กับแจ่มถึงได้กลัวเธอนักหนา”
“หอมไม่ทราบจริงๆ ค่ะ หอมเองก็อยากรู้เหมือนกัน” หอมน้ำแกล้งทำท่าลังเลนิดๆ “เอ้อ...เอาไว้เวลาคุณพุธอยู่ในร่างหอม คุณหมอลองถามดีไหมคะ”
“ไม่ต้องมาสอน”
หอมน้ำทำหน้าสลดลง
“จะกลับหรือยัง ชั้นจะไปส่ง”
“หอม...ขออนุญาตไปขอโทษคุณแม่บ้านก่อนได้มั้ยคะ”
“ตามใจ”
ขณะทั้งสองพูดกันอยู่ แจ่มย่องเข้ามาเก็บกวาดของโดยหันหลังให้ ไม่พยายามหันไปมองหอมน้ำ
หอมน้ำลุกขึ้นแล้วหันกลับไป
“พี่แจ่ม”
แจ่มค่อยๆ หันกลับมา สีหน้าแววตาดูไม่แน่ใจ
หอมน้ำไหว้ “หอมขอโทษด้วยนะคะ ถ้าเมื่อกี้หอมทำอะไรให้ตกใจ”
แจ่มยิ้มแห้งๆ “มะ...มะ...ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ”
ศวัสบอก “พาหอมน้ำไปหาน้าเยาว์หน่อย”
แจ่มสะดุ้ง “จะ...จะ...แจ่มเหรอคะ”
ศวัสรำคาญเล็กๆ “ก็ชั้นพูดกับใครอยู่ล่ะ”
“ค่ะ” แจ่มบอกกับหอมน้ำท่าทีหวาดๆ “เชิญ...เชิญทางนี้ค่ะ”
หอมน้ำตามแจ่มไป ศวัสมองตาม

แจ่มก้มหน้าก้มตารีบเดินพาหอมน้ำมาหน้าห้องเยาวภา
หอมน้ำถามด้วยเสียงเยือกเย็น “กลัวมากหรือ”
แจ่มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้
“รู้ใช่ไหมว่า ควรจะพูดกับคุณหมอยังไง”
“รู้แล้วค่ะ” แจ่มหันกลับมาและก้มหน้าก้มตาพูด “ถึงแล้วค่ะ”
“รู้แล้ว”
แจ่มพึมพำ “ค่ะ”
“ไปได้”

แจ่มรีบเดินไปอย่างโล่งใจ

เยาวภาที่กำลังสวมวิกผมทรงเดียวกับทรงผมพุธกันยา ต้องชะงักกึก เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ใคร”
ไม่มีเสียงตอบ มีแต่เสียงเคาะประตู เยาวภาชักฉุน “ชั้นถามว่าใคร”
ยังคงไม่มีเสียงตอบ มีแต่เสียงเคาะประตู เยาวภาโมโห ถอดวิกออกเขวี้ยงไปอย่างหงุดหงิด แล้วก้าวไปกระชากประตูเปิด ชะงักเมื่อภายนอกไม่ปรากฏร่างใคร
เยาวภาเม้มปากแล้วชะโงกมองไปโดยรอบเพื่อให้แน่ใจ ทั่วบริเวณนั้นเงียบสนิทไม่ปรากฏร่างใครเหมือนเดิม
“บ้า”
เยาวภาเดินกลับเข้าข้างในและกระชากประตูปิดเต็มแรงอย่างหงุดหงิด

รถศวัสแล่นมาตามท้องถนนได้สักระยะหนึ่งแล้ว ภายในรถ ศวัสผินหน้ามองหอมน้ำแวบหนึ่ง
“น้าเยาว์ว่ายังไงบ้าง”
หอมน้ำถอนใจและทำสีหน้ากังวล “คุณแม่บ้านคงไม่หายโกรธหอมง่ายๆ หรอกค่ะ หอมไม่สบายใจเลย ยิ่งนานยิ่งมีแต่คนเกลียดหอม”
ศวัสนิ่งไป
“หอมขอโทรศัพท์ถึงเขนก่อนนะคะ”
ศวัสพยักหน้า หอมน้ำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ออกหาเพื่อนรัก

เขนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องน้ำ ภายในห้องหอมน้ำ
“คุณหมอโทร.มาบอกแล้วล่ะว่าไม่ต้องเป็นห่วง ทีแรกเขนนึกว่า คุณพุธเข้าสิงหอมแล้วพาไปไหนเสียอีก...จ้ะ...พ่อกับแม่หลับไปแล้ว” พลางหันไปมองพ่อกับแม่ ซึ่งนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนหนึ่ง โซฟาหน้าเตียงอีกคนหนึ่ง “โอเค”
เขนวางโทรศัพท์ลงอย่างโล่งใจ

ฟากศวัสเดินมากับหอมน้ำเพื่อจะเข้าไปในร้านอาหารแห่งนั้น
เสียงเอิงแหลมเข้ามา “พี่หมอขา....”
ศวัสกับหอมน้ำหันไปมอง เห็นเอิงเดินแกมวิ่งตรงมาด้วยสีหน้าแววตาตื่นเต้น มีวดีเดินตามมาด้วย
“พี่หมอขา”
เอิงผวาเข้ามาจะกอดแขนศวัส เท้าหอมน้ำยื่นออกไปนิดหนึ่งโดยไม่มีใครทันสังเกต เพราะขณะเดียวกัน หอมน้ำก็ยกมือไหว้วดีกับเอิงอย่างเรียบร้อย
“สวัสดีค่ะ”
เอิงเสียหลักเซถลาล้มลง
“ว้าย”
วดีตกใจ “ตายแล้ว ยัยเอิง”
ศวัสทรุดตัวลง แต่ยังช้ากว่าหอมน้ำซึ่งถลาไปประคองเอิงทันที
แต่เอิงผลักหอมน้ำออกแล้วจ้องด้วยความเกลียดชัง “ไม่ต้องมาตีสองหน้า แกขัดขาชั้น”
หอมน้ำทำตกใจใสซื่อ “หอมเปล่านะคะ”
ศวัสช่วยประคองเอิง ซึ่งเอิงรีบกอดตอบอย่างเต็มอกเต็มใจ
“ช่วยน้องเอิงด้วยค่ะ พี่หมอขา น้องเอิงถูกปองร้าย”
วดีเหลือบตาไปโดยรอบ ซึ่งเริ่มมีไทยมุง “คนมุงกันแล้ว ไปหาที่อื่นพูดกันดีกว่า”
“คุณเอิงพอเดินไหวมั้ยครับ”
วดีรีบตอบแทน “ท่าทางคงจะไม่ไหวหรอกค่ะ หมอช่วยอุ้มไปหน่อยก็ดี”
“น้องเอิงเดินไม่ไหวจริงๆ ค่ะ พี่หมอขา”
ศวัสช้อนตัวเอิงขึ้น เอิงลอบมองยิ้มรู้กันกับวดี
“ไปที่รถค่ะ รถอาอยู่ทางนั้น”
วดีรีบเดินนำไป โดยไม่วายลอบมองหอมน้ำอย่างไม่ไว้ใจตลอดเวลา
หอมน้ำมองตามอย่างไม่พอใจ พร้อมกับพึมพำ ขณะเดินตาม
“ผู้หญิงอย่างนี้ชั้นไม่เอาเป็นสะใภ้แน่ ยิ่งเป็นญาติ นังสุรีย์ ช้อยนิ่ม ยิ่งไปไกลๆ”

ตกตอนค่ำ หอมน้ำเปิดประตูห้องเดินเข้ามา ติดตามด้วยเขน
“บอกให้ค้างก็ไม่ยอมค้าง ยืนยันจะกลับเองให้ได้”
“ขอบใจนะเขน ที่ช่วยดูแลพ่อกับแม่ให้ระหว่างที่หอมไม่อยู่”
เขนมองไปที่คอหอมน้ำโดยบังเอิญแล้วต้องชะงัก พบว่าที่คอเพื่อนปราศจากสร้อยพระ
เขนมองเพ่งพิศ “วันนี้หอมไม่ได้ใส่สร้อยพระหรอกเหรอ”
หอมน้ำก้มมอง “อ้าว หอมลืมน่ะ วันนี้ยุ่งตั้งแต่เช้า”
เขนเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วเปิดลิ้นชัก เห็นสร้อยวางอยู่อย่างเดิม จึงหยิบขึ้นมา
“คุณพุธกันยา”
หอมน้ำตีหน้าเหรอหลา “เขน นี่หอมเองนะ ไม่ใช่คุณพุธ”
เขนยื่นสร้อยให้ “งั้นก็รับสร้อยไปซิคะ”
พุธกันยาสะดุ้ง แล้วถอยหลังโดยอัตโนมัติ
“ใช่คุณจริงๆ กรุณาออกมาจากร่างหอมเถอะค่ะ”
“หนูเขน”
“ออกมาได้แล้วค่ะ”
เงารางๆ ของพุธกันยาลอยออกจากร่างหอมน้ำที่ทรุดลง
เขนรีบรับไว้แล้วพาไปนั่งบนเตียง “เป็นอะไรหรือเปล่าหอม”
“แค่เพลียๆ นิดหน่อย”
เขนเอาสร้อยพระคล้องคอให้ “คุณพุธสิงหอมทั้งวันเลยนะเนี่ย ชักจะมากไปแล้ว ต่อไปนี้ห้ามถอดสร้อยพระโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด พูดแล้วเจ็บใจ ทำสวมรอยเป็นหอมเสียดิบดี แถมยังพาพ่อกับแม่ไปส่งที่รถทัวร์ด้วย”
หอมน้ำมีท่าทางอ่อนเพลียมาก และอยากนอน “ไม่เป็นไร หอมง่วงจัง”
“ง่วงก็นอนเถอะ ไปตะลอนๆ มาทั้งวันนี่”
หอมน้ำเอนตัวลงนอนแล้วหลับไปในทันที เขนยืนมองอย่างหนักใจ

ดวงจันทร์ข้างขึ้นสว่างไสวไปทั่วบริเวณสนามหญ้าบ้านศวัส หมอหนุ่มกำลังวิ่งออกกำลังกายเหยาะๆ ไปรอบๆ สนาม จนมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ศวัสเดินไปที่โต๊ะสนามแล้วหยิบขึ้นมารับด้วยสีหน้าแววตาปกติ
“สวัสดีครับ”
เอิงเหยียดขาให้ลิซซี่บีบนวดให้ พลางส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
“สวัสดีค่ะ พี่หมอขา น้องเอิงเองค่ะ”
“ครับ ขาเป็นยังไงบ้าง”
“โอ๊ย พูดแล้วปวดขึ้นมาทันทีเลย พรุ่งนี้เอิงจะไปหาพี่หมอขาที่โรงพยาบาลนะคะ”
“ผมเป็นหมอฟันครับ”
เอิงหัวเราะ “พี่หมอ ตะล้ก...ตลก น้องเอิงช้อบ...ชอบพี่หมอ”
ลิซซี่สะดุ้งเฮือก “แม่เจ้า”
“พี่หมอกำลังทำอะไรอยู่คะ”
“ผมกำลังจะอาบน้ำครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
ศวัสปิดโทรศัพท์แล้วถอนใจโล่ง
“เอาอีกแล้ว น้องเอิงขา พี่ลิซซี่เตือนแล้วเตือนอีกว่าให้สงวนท่าทีไว้บ้าง”
“น้องเอิงเป็นคนตรง ชอบก็บอกว่าชอบ แล้วตอนนี้น้องเอิงกำลังโกรธพี่ลิซซี่”
“งั้นพี่ลิซซี่กลับล่ะค่ะ”
“ไสหัวไปเลย”
ลิซซี่ลุกเดินออกไป
เอิงตะโกนไล่หลัง “น้องเอิงจะบอกให้ป้าวดีตัดเงือนเดือนพี่ลิซซี่”

วดีนั่งอ่านแมกกาซีน ทานผลไม้อยู่ ปรายตาไปมองลิซซี่แวบหนึ่ง “โดนไล่ออกมาล่ะซี”
“ลิซซี่แค่เตือนว่า เป็นผู้หญิงต้องรู้จักสงวนท่าทีไว้บ้าง เท่านั้นล่ะค่ะ นางโกรธไล่ลิซซี่ออกมาเลย”
วดีส่ายหน้า “หนักขึ้นทุกวัน เฮ้อ สงสัยกรรมจะตามสนองชั้น”
ลิซซี่เปลี่ยนท่าทีเป็นกระตือรือร้น “เห็นน้องเอิงบอกว่า หอมน้ำแกล้งขัดขาจนล้มเหรอคะ”
วดีพยักหน้า “ยัยเอิงเขายืนยันอย่างนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ให้หมออุ้มสมอยาก”
ลิซซี่ตาโต “แล้วมีช็อตโรแมนติกอะไรอีกมั้ยคะ”
“โรแมนติกบ้าบออะไร คนเยอะแยะ แล้วหมอเขาก็มาส่งที่รถแค่นั้น”
ลิซซี่เซ็ง “ว้า เสียดาย”

ฝ่ายศวัสยืนอยู่ที่หน้าต่างมองออกไปภายนอก สีหน้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่าย

เวลานั้นเขาอุ้มเอิงมาจนถึงรถ โดยวดีกดรีโมทแล้วเปิดประตูรถให้ หอมน้ำเดินตามมาช้าๆ สีหน้าและแววตาเยือกเย็น ขณะที่ผู้คนในบริเวณนั้นพากันมองดูและวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนบางคนก็เพียงแต่มองแล้วผ่านไป
ศวัสวางเอิงลงขยับจะถอยออกมา แต่เอิงไม่ยอมปล่อยมือออกจากการโอบรอบคอของเขา
“พี่หมอขาไปโรงพยาบาลกับน้องเอิงด้วยนะคะ น้องเอิงกลัวหมอ”
ศวัสอึดอัดเต็มทน “ผมก็เป็นหมอเหมือนกัน”
วดีช่วยอวยให้หลาน “หมอช่วยไปเป็นกำลังใจให้น้องหน่อยเถอะ”
“พอดีผมมีธุระ” ศวัสออกตัว
“เอาน่า นึกว่าเห็นแก่อาที่เคยสนิทกับคุณพ่อของหมอ”
ศวัสชะงัก วดีได้ทีรีบรุก “ขึ้นรถเลยค่ะ จะได้รีบไป”
ทว่าศวัสดึงแขนเอิงออกจากคออย่างสุภาพและเย็นชาในที ด้วยรู้ว่าแม่ตายเพราะวดีเป็นต้นเหตุ
เอิงกระเง้ากระงอด “พี่หมอ”
“เสียใจจริงๆ ครับ ผมมีธุระ”
หอมน้ำยิ้มนิดๆ อย่างพอใจ เป็นรอยยิ้มของพุธกันยา
“คุณเอิงคงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”
ศวัสก้มศีรษะให้นิดๆ แล้วพาหอมน้ำเดินไป

เอิงตะโกนตาม “พี่หมอขา”

จนเมื่อทั้งสอง เดินมาถึงบริเวณที่จอดรถ

เสียงพุธกันยาดังขึ้น “ดีแล้วล่ะลูก”
ศวัสหันขวับมา หอมน้ำทำสีหน้าประหลาดใจ
“อะไรหรือคะ”
“ได้ยินเสียงใครพูดหรือเปล่า”
“ไม่ได้ยินค่ะ”
ศวัสจ้องหน้าหอมน้ำราวกับจะให้ทะลุเห็นร่างที่ซ้อนอยู่ข้างใน
“หอมต้องรีบไปส่งพ่อกับแม่ค่ะ เขนโทร.มาเมื่อกี้ว่าท่านจะกลับบ้านวันนี้” หอมน้ำเว้นนิด ทำท่าแปลกใจกับท่าทีของศวัส “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า”
ศวัสรีบกดรีโมทเปิดประตูรถ หอมน้ำเปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่ง เช่นเดียวกับศวัส

ศวัสดึงตัวเองกลับมา ขณะทรุดตัวลงนั่ง สีหน้ายังคงหมกมุ่นครุ่นคิดอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วมองไปโดยรอบ
“คุณแม่ครับ ถ้าคุณแม่อยู่ที่นี่ ผมไม่อยากให้คุณแม่สิงร่างหอมน้ำโดยไม่จำเป็นเลยนะครับ”
ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

รอบอาณาบริเวณหอพักเงียบสงัด ด้วยเป็นเวลาดึกสงัด ภายในห้อง หอมน้ำนอนหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย เงาดำๆ เงาหนึ่งพาดที่ตัวหอม
หอมน้ำขยับตัวเล็กน้อยราวกับจะรู้สึกตัว ขณะที่เงาดำนั้นยังคงนิ่งอยู่
“หอมน้ำ...หอมน้ำ”
เปลือกตาหอมน้ำเริ่มขยับ
เสียงพุธกันยาดังขึ้นอีก “หอมน้ำ...หอมน้ำ”
หอมน้ำลืมตาขึ้นแล้วสะดุ้ง
“คุณพุธ”
พุธกันยาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างเงียบกริบ โดยที่นอนไม่มีขยับไหว หอมน้ำขยับลุกขึ้นถอยไปติดหัวเตียง
“ยังกลัวชั้นอยู่อีกหรือ”
“เป็นธรรมดาค่ะ คุณพุธเป็นผี...เอ๊ย ! วิญญาณ”
พุธกันยาหน้าตาบึ้งตึง เพราะคำว่า “ผี” ค่อยคลายลง
หอมน้ำพูดเอาใจ “คุณพุธมีอะไรหรือเปล่า”
พุธกันยาเสียงเศร้าและหน้าเศร้ามาก “ชั้นมาขอโทษเธอ”
หอมน้ำมีสีหน้างงๆ
“วันนี้ ชั้นอาศัยร่างเธอเพื่อไปอยู่กับลูกชายของชั้น”
“มิน่า หอมถึงจำอะไรไม่ได้เลย”
“ถ้าหากศวัสถาม เธออย่าบอกนะ”
“หอมไม่ชอบโกหก อีกอย่าง คุณทำไม่ถูก เราตกลงกันแล้ว”
พุธกันยาทำเป็นทอดถอนใจยาว สีหน้าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง “ชั้นถึงได้มาขอโทษเธอ ถ้าเธอมีลูก เธอก็จะรู้ว่าความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน”
ฟังคำนี้แล้ว สีหน้าหอมน้ำอ่อนลงทันที “คุณควรบอกหอมก่อน”
“ชั้นรู้ แต่กลัวเธอไม่อนุญาต วันนี้ชั้นมีความสุขที่สุด ขอบใจเธอมาก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ชั้นมาบอกเธอเท่านี้แหละ นอนต่อเถอะ”
หอมน้ำค่อยๆ เลื่อนตัวลงนอนราวกับถูกมนต์สะกด
“หลับให้สบาย”
หอมน้ำหลับตาลง พุธกันยามองด้วยสีหน้าและแววตานิ่งสนิท

“หลับให้เคยชิน เพราะอีกไม่นานเธอจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกเลย”

ขึ้นตอนที่ 11
บรรยากาศในมหาวิทยาลัยยามเช้าวันนี้ ค่อนข้างคึกคัก นักศึกษาทยอยกันออกมา และพากันเดินไปมา
หอมน้ำกับเขนในเครื่องแบบนักศึกษา ก้าวออกมาเพื่อจะเข้าไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาเช่นเดียวกัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หอมน้ำหยุดเดิน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วรับ โดยมีเขนมองตลอดเวลา
“คะ คุณเจค อ๋อ ได้ค่ะ เดี๋ยวให้หอมไปพบอาจารย์ก่อนนะคะ ค่ะ คงอีกประมาณสักครึ่งชั่วโมง ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ”
ขณะหอมน้ำเก็บโทรศัพท์ เขนถามแทบจะทันที “คุณเจคโทรมาว่ายังไง”
“ให้หอมไปช่วยงานที่ออฟฟิศ”
“อ้าว”
“เดี๋ยวไปพบอาจารย์ก่อนแล้วหอมค่อยไป”
“แล้วเรื่องไปช่วยรุ่นน้องซ้อมละครเวทีล่ะ”
“เขนไปคนเดียวได้ไหม”
“เขนจะไปกับหอม”
“อย่าเลย นัดกับน้องๆ ไว้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องไปช่วยคนนึง” หอมน้ำมองท่าทางเป็นห่วงของเพื่อนแล้วยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า หอมไม่ใช่เด็กๆ สักหน่อย”
“หอมน่ะน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าเด็กๆ อีก”
หอมน้ำหัวเราะแจ่มใส แล้วพากันเดินเข้าไปทางคณะ โดยระหว่างทาง มีคนมาขอถ่ายรูปด้วยประปราย

ไม่นานหลังจากนั้น รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาจอดหน้าบริเวณหน้าประตูใหญ่บริษัทสร้างศิลป์ 2000
หอมน้ำก้าวลงมาและส่งเงินให้ แล้วเดินจะเข้าไป
รถเก๋งคันเพลินพิศจงใจขับเฉี่ยวหอมน้ำจนเซถลาร้องลั่น ในขณะที่พิไลยืนคุยอยู่กับรปภ. อยู่หันมามองด้วยความตกใจ
“โอ๊ย”
“ว๊าย”
เพลินพิศจอดรถแล้วกดกระจก ชะโงกหน้าออกไปโวยอย่างหงุดหงิด
“เดินให้มันดีๆ หน่อย ถ้าเกิดไปชนเธอเข้า ชั้นก็เดือดร้อน”
หอมน้ำมองหน้าเหวอ ขณะที่พิไลรีบเดินมาหาด้วยความห่วงใย ส่วนเพลินพิศขับเข้าไปจอดข้างใน
“หนูหอม เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ แค่เฉี่ยวนิดหน่อยเอง”
“ขับรถประสาอะไร ตัวเองผิดแล้วยังจะมาว่าเขาอีก” พิไลบ่นบ้า “ลุกไหวมั้ยหนู”
“ไหวค่ะ”
พิไลช่วยประคองหอมน้ำลุกขึ้น
หอมน้ำไหว้ “ขอบคุณป้ามากค่ะ”
พิไลยังเจ็บอกเจ็บใจไม่หาย “ไปแจ้งความเลย ป้าจะเป็นพยานให้ เกลียดนักพวกไม่เห็นหัวคนแบบนี้ ฮึ นี่คงอิจฉาหนูล่ะซิท่า”
“เป็นอุบัติเหตุน่ะค่ะ หอมเข้าไปพบคุณเจคก่อนนะคะ”
“ไปแจ้งความก่อนดีกว่า” พิไลไม่ยอม
“หอมไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ คุณเพลินคงไม่ได้ตั้งใจ”
พิไลหงุดหงิดเล็กๆ “ตามใจ ไอ้คนนี้มันก็ดีเหลือเกิน”

หอมน้ำยิ้มแห้งๆ

เพลินกำลังเล่าเรื่องให้โค้กและเจคฟัง ขณะหอมน้ำเดินเข้ามา

เพลินหันมาเห็นรีบตรงมาที่หอมน้ำ “หอมน้ำ พี่กำลังจะออกไปดูพอดี เรามันซุ่มซ่ามนี่นา พี่กำลังเล่าให้คุณเจคกับพี่โค้กฟัง”
หอมน้ำมองนางร้ายเจ้าบทบาททั้งในและนอกจอ ทำหน้าเหรอหลา
เพลินพิศทำเอ็นดู พูดหยิกแกมหยอก “ยังจะมาทำหน้าเอ๋อเหรออีก มา ไปนั่งตรงนั้นก่อน พี่จะดูแผลให้”
“ไม่ต้องค่ะ หอมไม่เป็นไรจริงๆ”
เพลินพิศยังคงหยิกแกมหยอก “ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร ต่อหน้าหนุ่มๆ ต้องเข้มแข็งหน่อย”
หอมน้ำทำหน้าอึดอัดเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรดี
“คุณเจคขา เพลินมีเรื่องจะปรึกษาหน่อย”
เจคพยักหน้าแล้วหันมาพูดกับหอมน้ำ “อย่าเพิ่งไปไหนนะ”
“ค่ะ”
เจคกับเพลินพิศเดินไปทุกคนในบริเวณนั้นจ้องหอมน้ำเป็นตาเดียว ทำเอาหอมน้ำรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง

หอมน้ำเดินเข้ามาในห้องรับแขก ทรุดตัวลงนั่ง ถอนใจยาว แล้วฟุบหน้าลงกับมือ
เสียงพุธกันยาบ่นขึ้นว่า “มารผจญอีกตามเคย”
หอมน้ำเงยหน้าขึ้นทันที ไอเย็นลอยจางๆ ออกมาทางลมหายใจ
พุธกันยาบุ้ยใบ้ “โน่น ข้างหลังเธอโน่น ไม่ใช่ชั้น”
หอมน้ำหันขวับไปมอง เห็นโค้กยืนกอดอก มองมาด้วยแววตาเหมือนจะตัดพ้อ
“พี่โค้ก”
“นายคนนี้หล่อดีเหมือนกันนะ แต่สู้ลูกชายของชั้นไม่ได้”
หอมน้ำฝืนยิ้ม “พี่โค้กมีธุระอะไรกับหอมหรือคะ”
โค้กประชดประชัน “อ้อ เดี๋ยวนี้พี่ต้องมีธุระหรือถึงจะพูดกับหอมได้”
พุธกันยายักไหล่ “พระเอก”
โค้กยังประชดต่อ “ใช่ซิ ก็พี่มันแค่ผู้จัดการกองถ่าย ไม่ใช่เจ้าของบริษัทหนังยักษ์ใหญ่นี่”
“นายคนนี้ท่าจะซึมซับบทหนังบทละครเอาไว้มาก” พุธกันยาบ่นอีก
หอมน้ำพยายามไม่สนใจพุธกันยา “ไปกันใหญ่แล้วค่ะ หอมยังเหมือนเดิมกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร”
โค้กขยับเข้ามาใกล้ “แต่พี่ไม่เหมือนเดิม เพราะยิ่งนับวันพี่ยิ่งรัก ยิ่งหวงหอมน้ำจนแทบจะนั่งเขกกะโหลกตัวเองทุกวัน ที่โง่สนับสนุนให้หอมน้ำเป็นดารา”
“พูดแบบนี้ สมัยชั้นเขาต้องบอกว่า เชยสะบัดช่อ”
หอมน้ำตกใจ “พี่โค้ก”
โค้กเดินไปปิดประตู หอมน้ำลุกขึ้นยืนหาทางเอาตัวรอดด้วยสัญชาติญาณ
“เอาแล้วไง” พุธกันยามองเขม็ง
โค้กเดินมาใกล้ “พี่รักหอมน้ำ รักมานานแล้ว”
หอมน้ำรีบพุ่งไปที่ประตู แต่โค้กไปยืนขวางไว้ก่อน
“หอมต้องไปพบคุณเจคแล้วค่ะ”
“ยังไปไม่ได้จนกว่าเราจะพูดกันรู้เรื่อง”
“หอมรักและนับถือพี่โค้กเหมือนพี่ชาย”
“นี่ก็เชยชะมัด” พุธกันยาบ่น
“ไม่จริง ก่อนหน้านี้หอมเองก็รักพี่เหมือนกัน พี่ดูออก เพิ่งมาเปลี่ยนตอนที่ไอ้คุณเจคเข้ามาวุ่นวาย”
หอมน้ำทำเสียงแข็ง “พี่โค้ก ถอยไปนะ”
เสียงเคาะประตูและเสียงอุมาดังขึ้น
“เปิดประตูหน่อยค่ะ ใครอยู่ข้างในเปิดประตูหน่อย”
หอมน้ำโล่งใจสุดๆ ขณะโค้กหงุดหงิดเหลือคณา
เสียงอุมาดังขึ้นอีก “เปิดประตูหน่อยโว้ย ทำอะไรกันนักหนาถึงกับต้องปิดประตู”
โค้กหันไปเปิดล็อคแล้วผลักประตูออกไปอย่างแรง จนเกือบโดนอุมา
“เฮ้ย”
โค้กเดินไปอย่างหงุดหงิด อุมามองตามแล้วหันมาทางหอมน้ำ พลางทำสีหน้าและดวงตามีเลศนัย
“นี่...นี่อุมามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าเนี่ย”
หอมน้ำตกใจในคำพูดนั้น แต่อุมาเดินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไปที่โต๊ะ แล้วหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางที่วางอยู่มา อุมาหันมาทางหอมน้ำอีก อมยิ้มมีเลศนัยเช่นเดิม “ขอโทษนะคะ คุณน้องขา” เดินออกไปขณะทำพูดตำหนิตัวเอง “เฮ้อ เรานี่น้า...หมูเขาจะหาม ดั้น...เอาคานเข้าไปสอด”
ประตูปิดลง
หอมน้ำหันมาทางพุธกันยา “แล้วหอมจะทำยังไงดีคะเนี่ย”
“ภาษิตโบราณเขาว่า…พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”
หอมน้ำรีบเดินออกจากห้องรับแขกกลัวโค้กเข้ามาอีก

เพลินพิศเปิดประตูห้องเจคออกมา ขณะที่หอมน้ำเดินมาถึงพอดี
เพลินพิศยิ้มมีเลศนัย “ขอโทษนะที่มาแซงคิวพบคุณเจคก่อน”
หอมน้ำพยายามจะอธิบาย “หอม”
เพลินพิศขัดขึ้น “ไม่เป็นไร ชั้นเข้าใจ”
นางร้ายคนดังพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเดินออกไป
หอมน้ำมองตามแล้วถอนใจเฮือก “ทำไมถึงได้ซวยขนาดนี้”

เขนเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์ แล้วโทรศัพท์ถึงหอมน้ำ มีแต่เสียงตอบรับให้ฝากข้อความ พยายามโทร.แล้วโทร.อีก แต่ก็มีแต่ข้อความเดิม จนเขนกังวล
“ทำไมต้องปิดมือถือด้วยนะ เอาไงดี” สาวอวบตัดสินใจ “คุณหมอฟันทันตแพทย์ละกันที่พึ่งสุดท้าย”
อีกฟาก ศวัสซึ่งกำลังเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแพทย์ กดรับสาย
“ฮัลโหล”
เสียงเขนดังลอดออกมาว่า “คุณหมอ หอมปิดมือถือค่ะ”
ศวัสมีสีหน้าเหมือนระอาเล็กๆ “แล้วไง จะให้หมอไปเปิดให้เรอะ”
“เปล่าค่ะ คือ เขนเป็นห่วง...คุณเจคเรียกเข้าไปพบ นี่ก็ตั้งนานแล้ว”
“ที่ไหน คุณอาเจคเรียกไปพบที่ไหน”

“ที่ออฟฟิศค่ะ ได้ค่ะได้ ค่ะ ค่ะ”

อ่านต่อหน้า 2

ใยกัลยา ตอนที่ 11 (ต่อ)

เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่งแล้ว หอมน้ำเดินก้มหน้าก้มตาออกมา ขณะศวัสขับรถเข้ามาจอดตรงหน้าพอดิบพอดี หอมน้ำเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ

“อุ๊ย”
เขนรีบเปิดประตูลงมา “หอม เกิดอะไรขึ้น”
หอมน้ำถอนใจเฮือก “เยอะแยะ”
เขนตกใจ “เล่ามาเลย...เล่ามา ใครทำอะไรหอม”
หอมน้ำไม่ทันจะตอบ ศวัสกดกระจกหน้าต่างลงมา
“ขึ้นรถ”
สองสาวรีบมาขึ้นรถ เขนขึ้นข้างหลัง หอมน้ำจึงจำเป็นต้องนั่งข้างหน้า ศวัสขับรถออกไปจากบริเวณนั้น

เพลินพิศกับอุมาเดินนินทากันมาอย่างออกรส หลังจากเห็นรถศวัสรับหอมน้ำไป
“ต๊าย เด็กใหม่นี่เก่งมากนะ พี่อุมา นางเหมาหมด”
อุมาพยักพเยิด “ใช่ ขนาดพี่อุมายังไม่คิดเลย ก่อนหน้านี้เวลาใครพูดอะไร พี่อุมาก็เข้าข้างตล๊อด”
ทั้งสองเดินมาถึงรถ เพลินพิศร้องกรี๊ด
อุมาสะดุ้งเฮือกและบ้าจี้ร้องตาม “ว้าย”
“ใครทำรถเพลิน”
อุมาหันไปมองตามเบิกตากว้าง พบว่ากระจกหน้ารถแตกละเอียดหมด รวมทั้งกระจกข้างทั้งสองซึ่งห้อยร่องแร่ง
“โห นี่ถ้าไม่แค้นจริงๆ ทำไม่ได้นะเนี่ย”
เพลินพิศนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความโกรธ “นังน้ำครำ ต้องเป็นนังน้ำครำแน่ ไม่มีใครอีกแล้ว”

รถศวัสแล่ยนมาระหว่างทาง เขนชะโงกหน้ามาหาหอมน้ำ ขณะที่ศวัสชำเลืองมองหอมน้ำแวบหนึ่ง
“นี่หอมจะบอกว่า คุณเจคเรียกหอมไปพูดแค่เนี้ย”
“ใช่ คุณเจคใจดีมาก หอมไม่อยากเล่นละคร ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร แถมจบแล้วยังจะให้งานทำอีก”
“เขนไม่ไว้ใจ”
“คุณเจคยินดีรับเขนทำงานด้วยนะ”
เขนดีใจ “เหรอ งั้นก็โอเค”
ศวัสบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่มีใครหว่านพืชแล้วไม่หวังผล”
ทั้งสองสาวเงียบกริบ
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เรื่องอย่างนี้ตัวใครตัวมัน ห้ามกันไม่ได้”

แจ่มยกของว่างเช่นผลไม้และน้ำดื่มมาวางบนโต๊ะสนามซึ่ง ศวัส หอมน้ำ และเขนนั่งกันอยู่ แล้วเดินออกไป

“เล่ามาให้หมดเลยหอม เขนแน่ใจว่ายังมีมากกว่าเรื่องคุณเจค”
หอมน้ำอ้ำอึ้ง มองหน้าเขน แล้วเบือนสายตามาที่ศวัส
“ว่าไงหอม”
“ชั้นไม่ใช่เด็กๆ ที่จะมาเซ้าซี้อ้อนวอนให้เพื่อนเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง ที่ไปรับเธอก็เพราะเขนขอร้อง”
เขนรีบพยักพเยิดสนับสนุน
“และชั้นคิดว่าต้องมีเรื่องสำคัญพอควร เพราะฉะนั้น อย่าต้องให้ชั้นเสียเวลา”
หอมน้ำนึกน้อยใจ “ไม่เป็นไรค่ะ หอมเองก็ไม่อยากให้คุณหมอเสียเวลา”
ศวัสเสียงดุ “จะเล่าหรือไม่เล่า”
หอมน้ำตกใจกลัว “เล่าค่ะเล่า”
เขนและศวัสมองหอมน้ำเขม็ง พากันตั้งใจฟังเต็มที่

อีกมุมภายในบ้าน เยาวภากำลังมองไปที่ทั้งสามคนด้วยสายตาลึกลับ

ส่วนที่โต๊ะสนาม เขนมีสีหน้าตกใจเมื่อฟังหอมน้ำเล่าจบ ขณะที่ศวัสใคร่ครวญครุ่นคิด

หอมน้ำน้ำตาคลอ “เห็นมั้ย หอมซวยอีกตามเคย ทั้งเรื่องพี่โค้กกับพี่อุมา”
เขนเจ็บอกเจ็บใจ “อีตาพี่โค้กนี่ร้ายกาจสุดๆ ไอ้เราก็นึกว่าหวังดีกับหอมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไอ้เรื่องรักน่ะเขนพอจะรู้ แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะหอมน่ารัก ใครใกล้ชิดก็อดรักไม่ได้”
ศวัสขยับตัว สายตามีพิรุธขึ้นมา โดยที่สองสาวไม่ทันสังเกต
“แต่ไอ้ที่พยายามจะรวบหัวรวบหางนี่มันทุเรศสุดติ่ง”
หอมน้ำสะดุ้ง “ฮื่อ เขนล่ะก็”
“ยังจะยัยโทรโข่งอุมาอีกคน ป่านนี้มิกระจายขยายข่าวไปทั่วแล้วเรอะ” เขนหันมาทางศวัส “คุณหมอฟันทันตแพทย์มีความเห็นยังไงบ้างคะ”
ศวัสกระแอมเคลียร์ลูกคอเล็กน้อย “ความจริง เรื่องนี้ชั้นเป็นคนนอก แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อพวกเธอมาขอคำปรึกษา ชั้นก็จะบอกว่า ที่หอมน้ำบอกว่าจะออกจากวงการน่ะถูกแล้ว”
หอมน้ำกับเขนยิ้มออกมา
“และควรจะออกมาอย่างเต็มตัว ไม่ใช่ครึ่งๆ กลางๆ อย่างที่เป็นอยู่”
“ครึ่งๆ กลางๆ ยังไงคะ”
“อย่างที่เธอบอกจะเลิกเล่นหนัง แต่ก็ยังจะเป็นพนักงานในบริษัทนั้นตามคำชวนของอาเจค”
“เขนเห็นด้วยนะ หอมต้องอยู่ไกลๆ จากเรื่องพวกนี้รวมทั้งคุณพุธกันยาด้วย”
ศวัสชะงัก หอมน้ำเหลือบมองศวัสอย่างเกรงๆ ใจ บอกเสียงอ่อนโยน
“เรื่องนี้คงไม่เป็นไรมั้ง เพราะคุณหมออาจจะอยากติดต่อกับคุณแม่”
“แต่หอมจะเป็นร่างทรงของคุณพุธตลอดไปไม่ได้ ใครจะรับประกันได้ว่า คุณพุธจะไม่ยึดร่างของหอมไว้ตลอดไป”
หอมน้ำแย้ง “ไม่หรอก คุณพุธอาจจะต้องไปเกิดใหม่”
เขนไม่เชื่อ “ถ้าเผื่อนางไม่อยากเกิดแล้วล่ะ แบบว่าอยากใช้ทางลัด”
ศวัสขัดขึ้น สีหน้าขรึมๆ “พวกเธอกำลังนินทาคุณแม่ของชั้น”
สองสาวมองกันทำตาปริบๆ
“ถึงท่านจะเสียไปตั้งแต่ชั้นยังเล็ก แต่ชั้นก็รู้ว่าท่านเป็นคนดี”
สองสาวยังคงนิ่ง
ศวัสบอกกับหอมน้ำว่า “ทำสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณแม่ของชั้น เข้าใจไหม”
สองสาวรับ “เข้าใจค่ะ”
“ดี”

อีกฟาก อุมากับฟ้าอยู่ในร้านอาหารข้างทาง สองสาวกำลังโซ้ยก๋วยเตี๋ยวสลับนินทาอย่างสนุกสนาน
“แม่เจ้า นี่น้องหนูจะเก็บผู้ชายเอาไว้หมด โดยไม่แบ่งให้ใครเลยเหรอ” ฟ้าร้องขึ้น
“ถึงว่า...ผู้ชายพวกนี้ก็ช่างหน้าโง่”
ฟ้าสะดุ้ง “เฮ้ย เฮ้ย คุณเจคก็รวมอยู่ด้วยเฟ้ย อย่าลืม”
“เออ เว้นคุณเจคเอาไว้คนนึง”
“เราต้องช่วยกันเปิดโปงให้ทุกคนรู้ว่า ภายใต้หน้าใสๆ ตาซื่อๆ นั้นคือผู้หญิงที่หิวกระจาย พร้อมจะกินผู้ชายทุกคน”
อุมาเกิดกังวล “ฮื่อ จะบาปหรือเปล่า”
“ไม่บาป”
“ชั้นก็เคยดีกับน้อง”
“แต่น้องมันนิสัยไม่ดี เราจะเอาไว้ในวงการไม่ได้”
อุมาพยักหน้าไปตามน้ำ ขณะที่ฟ้ามีสีหน้าแน่วแน่จริงจัง

ภายในห้องทำงานวดี เอิงตบโต๊ะปัง
“เอาเล้ย พี่ลิซซี่ เอาพาดหัวข่าว ชิดขอบฯ ฉบับหน้าเลย”
วดีหมั่นไส้ “น้องเอิง ป้าเป็นเจ้าของ ชิดขอบฯ นะไม่ใช่แก แม้ สั่งเอา...สั่งเอา”
“น้องเอิงเป็นหลานป้า น้องเอิงมีสิทธิ์”
“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า นังน้องเอิง แกเป็นหลานก็จริง แต่แกไม่มีสิทธิ์จะมาสั่งโน่นสั่งนี่ในบริษัทของชั้น และถ้าขืนชั้นทำอย่างที่แกบอก ใครๆ จะได้นินทาว่าชั้นรังแกเด็ก”
เอิงเล่นไม่เลิก “อ๋อ! เขานินทากันมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ ป้าขา...”
วดีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ชั้นจะพยายามนับหนึ่งถึงพัน”
“ถึงหมื่นก็ได้ค่ะ”
“โอ เค ชั้นจะตัดค่าขนมแก”
เอิงโวย “ป้า”
วดีหันมาทางลิซซี่ “ฟังนะลิซซี่”
“ค่ะ”
เอิงเข้ามาประจบประแจง “ป้าขา...น้องเอิงกราบขอโทษ”
วดีบอกกับลิซซี่ “เรื่องนี้แกต้องปล่อยเป็นเรื่องซุบซิบในหมู่นักข่าว อย่าให้รู้แน่ชัดว่ามาจากใคร”
“ได้เลยค่ะ แบบนี้ลิซซี่ถนัด”
เอิงกรี๊ดถูกใจ “ต๊าย ป้าฉลาด”
วดีลุกขึ้น ลิซซี่ลุกตาม
“ป้าจะไปไหนคะ”
“ไปให้พ้นแก”

วดีกับลิซซี่ออกหนีไปเลย ทิ้งเอิงให้หน้าหงิกหน้างออยู่ลำพัง

รถแท็กซี่แล่นมาตามทาง หอมน้ำกับเขนนั่งกันมาเงียบๆ จังหวะหนึ่งเขนหันไปมองหน้าเพื่อน ซึ่งดูกังวลและเครียดอยู่มาก เขนวางมือบนมือหอมน้ำปลอบใจ หอมน้ำหันมามองเพื่อน น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างตื้นตัน

“ไปดูหมอกันมั้ย”
หอมน้ำลังเล “หอมกลัว”
“ไม่ต้องกลัว อย่างน้อยถ้ามีอะไร เราจะได้หาวิธีป้องกัน”
หอมน้ำยังคงมีสีหน้าลังเลปนกังวล

สองสาวพากันมาอยู่ที่โซนดูดวงบริการแขก ในล็อบบี้โรงแรมแห่งนี้ ที่มีแขกพอสมควร
มุมที่สองสาวนั่งอยู่เป็นหมอดู ไพ่ยิปซี
หมอดูเปิดได้ไพ่มรณะ สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดมาก หอมน้ำกับเขนหน้าเสีย เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทีของหมอดู
“เป็นยังไงหรือคะ คุณหมอ”
หมอดูมองหน้าหอมน้ำ “หนูกำลังมีเคราะห์หนัก”
หอมหน้าเสียยิ่งขึ้น ท่าทางเหมือนจะเป็นลม
เขนจับมือหอมน้ำบีบปลอบใจ “ไม่เป็นไรหอม”
“เป็นไรซิ เป็นมากด้วย” หมอบอกหน้าเคร่ง
เขนหน้าเหย โอบไหล่หอมน้ำซึ่งน้ำตาคลอเบ้าแล้ว
หมอดูสีหน้าอ่อนโยนลง “หนูต้องหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วแผ่เมตตา และห้ามไว้ใจใครทั้งนั้น” หมอเปิดลิ้นชักโต๊ะและค้นอะไรอยู่พักหนึ่งแล้วหยิบแผ่นสวดแผ่เมตตาส่งให้ “เมื่อกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแล้ว อย่าลืมสวดมนต์บทแผ่เมตตานี้ด้วยทุกครั้ง”
หอมน้ำไหว้แล้วรับแผ่นกระดาษมา
“ขอบคุณมากค่ะ”
หมอดูมองหอมน้ำด้วยสีหน้าเวทนา

ดึกสงัด บรรยากาศแสนวังเวง ห่อคลุมไปทั่วบริเวณรอบนอกหอพัก
ภายในห้องเขน ซึ่งเปิดเพียงไฟโคมที่หัวเตียง เขนนั่งร้องไห้เงียบๆ หอมน้ำเดินเข้ามามองภาพนั้นด้วยความแปลกใจ
“เขน...เขนร้องไห้ทำไมน่ะ”
เขนส่ายหน้าพึมพำบางอย่าง แล้วลุกเดินไปนอนคว่ำหน้าลงบนเตียง
หอมน้ำเดินมาหาและทรุดตัวลงใกล้ๆ “ทำไมเขนไม่พูดกับหอม”
ทว่าเขนเหมือนไม่รับรู้ ยังคงอยู่ในสภาพเดิม
หอมน้ำลุกขึ้นยืน “เขน”
แต่เขนยังคงไม่ขยับ
หอมน้ำชักฉุน “นี่เขน เขนไม่เห็นหอมเหรอจ๊ะ เขน...เขน...เขนนนน” เขนสุดท้ายยืดยาวดังสะท้อนก้อง แล้วหอมน้ำค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมเสียง

อีกฟาก ศวัสนั่งซึมมองภาพในมือ อยู่มุมหนึ่งในบ้านท่ามกลางความวิเวกวังเวงนั้น
หอมน้ำเดินช้าๆ มาทางข้างหลังแล้วชะโงกมองภาพนั้น พบว่ากระดาษในมือศวัสเป็นภาพดอกพลับพลึงธาร หรือดอกหอมน้ำ
หอมน้ำเดินอ้อมมาคุกเข่าลงตรงหน้า
“คุณหมอชอบดอก หอมน้ำ หรือคะ”
ศวัสยังคงนิ่ง ท่าทางเหมือนไม่ได้ยินและไม่ได้รับรู้การมาของหอมน้ำเลย
“คุณหมอคะ”
ศวัสถอนใจยาวและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“คุณหมอโกรธหอมหรือคะ ถึงได้ไม่ยอมพูดกับหอม”
ศวัสยังคงเอาแต่นิ่ง
“คุณหมอโกรธหอม”
หอมน้ำพูดยังไม่ทันจบ ศวัสก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากที่นั้นเหมือนไม่สนใจใยดี
หอมน้ำมองตาม น้ำตาคลอ

หอมน้ำเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องพักตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ทันใดนั้นเองหอมน้ำเบิกตากว้างด้วยความยินดี เมื่อเห็นพ่อกับแม่นั่งกุมมือกันร้องไห้เงียบๆ อยู่ในห้อง
“พ่อขา แม่ขา”
ทั้งสองท่านยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม
“พ่อแม่ร้องไห้ทำไมคะ”
โสภณโอบไหล่เกสรซึ่งน้ำตาไหลพราก และพยายามกลั้นสะอื้น
“พ่อขา แม่ขา นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีใครพูดกับหอมเลย ทุกคนทำเหมือนมองไม่เห็นหอม”
พ่อกับแม่เบือนหน้าไปมองที่เตียง
หอมน้ำลุกขึ้นช้าๆ มองตามไป แล้วต้องเบิกตากว้าง กรีดร้องออกมาสุดเสียง

เมื่อเห็นร่างตัวเองนอนนิ่งปราศจากชีวิตอยู่บนเตียงนั้น

หอมน้ำลุกพรวดขึ้นมาตอนเช้ามืดด้วยความตกใจและหวาดกลัวสุดขีด เหงื่อแตกเต็มใบหน้าไปหมด

หอมน้ำจับหน้า เนื้อตัวของตัวเอง ราวกับจะให้แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่ แล้วถอนใจเฮือก
“ทำไมฝันน่ากลัวจัง”
ยินเสียงไก่ขันดังมาที่ไกลๆ ผสมเสียงนกร้อง
หอมน้ำลุกเดินไปที่หน้าต่าง เปิดม่านมองออกไป ข้างนอกถึงจะยังไม่สว่างดี แต่แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้าแล้ว หอมน้ำสูดลมหายใจยาว หลับตาลง

ยามเช้าของหอพักแห่งนี้ คึกคักเช่นเคย สองสาวเดินออกมาหน้าอาคาร โดยทั้งคู่หน้าตาเคร่งเครียด กังวล
“เขนยอมรับเลยว่า หอมฝันน่ากลัวมาก” เขนว่า
หอมน้ำพยักหน้า “หอมใจไม่ดีเลย ไปทำบุญตามที่หมอดูแนะนำดีกว่า”
เขนรับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ “ไป”

สองสาวซื้อของถวายสังฆทาน พากันมาอยู่บนศาลาในวัดใกล้หอพักนักศึกษานั่นเอง
หอมน้ำกับเขนกำลังเอ่ยวาจาถวายสังฆทาน พระรับประเคนข้าวของและจตุปัจจัย แล้วให้พร
ทั้งคู่กรวดน้ำเสร็จ เอาน้ำมาเทที่โคนต้นไม้ใหญ่ หอมน้ำเปิดกระเป๋าหยิบแผ่นบทสวดแผ่เมตตาขึ้นมาสวดตามที่หมอดูบอก
“ด้วยอำนาจแห่งมหากุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำในครั้งนี้ ขออุทิศให้กับบิดามารดาทั้งหลาย ญาติทั้งหลาย พร้อมด้วยสัพพะสัตว์และเจ้ากรรมนายเวรที่เกิดอยู่ใน 31 ภูมิ ที่ได้ยินแล้ว ได้ฟังแล้ว ขอท่านเหล่านั้นจงมีจิตโสมนัส ยินดี ประกาศอนุโมทนาขึ้นโดยพร้อมกันเทอญ”

ถัดจากนั้นทั้งสองสาวนั่งคุยกันอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ร่มรื่นของวัด
“สบายใจขึ้นไหม
หอมน้ำพยักหน้า
“เขนว่า เป็นเพราะหอมใกล้ชิดติดต่อกับคุณพุธบ่อยๆ หรือไม่ก็เพราะไปดูหมอมาเลยทำให้ฝันน่ากลัวแบบนั้น”
ใบหน้าหอมน้ำฉายแววกังวลปรากฏขึ้นมาอีก “เขนว่า ฝันของหอมจะกลายเป็นจริงหรือเปล่า”
เขนส่ายหน้า “ไม่มีทาง” พลางขยับลุกขึ้น “ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เขนอยากกินข้าวมันไก่ตั้งแต่เมื่อคืนแน่ะ”
หอมน้ำลุกขึ้นเดินตามเขนไป

อีกฟากหนึ่ง ห้องรับแขกโอ่อ่าในคอนโดมิเนียมของขวัญอนงค์กำลังให้การต้อนรับเพลินพิศ สาวใช้ยกน้ำส้มและผลไม้มาวางให้ แล้วออกไป
“ต้องเป็นหอมน้ำแน่ๆ เพราะเพลินไม่ได้มีเรื่องกับใครเลยนอกจากเขา ทุบกระจกรถเพลินแตกยังไม่พอ เมื่อเช้าที่ศูนย์ ยังโทร.มาบอกว่า ด้านหลังรถถูกขีดไม่มีชิ้นดี”
“เขาตามไปขีดที่ศูนย์เชียวหรือ” สีหน้าขวัญอนงค์ยังลังเลนิดๆ กับเรื่องที่นางร้ายรุ่นลูกเล่า
“ถ้าไม่ใช่แล้วจะเป็นใครล่ะคะ เพลินเอารถเข้าศูนย์ที่อยู่ใกล้ๆ บริษัท หอมน้ำต้องรู้จักที่นั่น”
ขวัญอนงค์มีสีหน้าครุ่นคิดตรึกตรอง
“อาขวัญก็เคยโดนมาแล้วเหมือนกันนี่คะ”
ขวัญอนงค์ถอนใจ “มันติดอยู่ที่หน้าซื่อๆ ตาใสๆ ของเขานี่แหละ อาลองคิดดูเหมือนกันนะว่า บางทีอาจจะไม่ใช่หอมน้ำก็ได้”
“แล้วจะเป็นใครล่ะค่ะ” เพลินพิศชะงักและลดเสียงลง “หรือว่า...ผะ...ผะ...ผี”
ขวัญอนงค์นิ่งไป เช่นเดียวกับเพลินพิศ ซึ่งพูดขึ้นในที่สุด
“ฮื่อ เรื่องนี้บางทีเพลินก็ยังแอบสองจิตสองใจอยู่เหมือนกัน”
ขวัญอนงค์นิ่งฟังเงียบๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“เพราะว่า...” นางร้ายผีสิงกำมะลอนึกได้และชะงัก “เอ้อ…”
ขวัญอนงค์จ้องหน้า “เพราะอะไร”
เพลินพิศอ้อมแอ้มและหลบตาวูบ “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“ขออาถามอะไรอย่าง เพลินต้องตอบตามตรงนะ”
เพลินพิศแสร้งหัวเราะแต่ยังคงหลบตามีพิรุธ “แหม อาขวัญทำหน้ายังกับเรื่องคอขาดบาดตาย”
ขวัญอนงค์ยังคงจ้องคาดคั้น “วันนั้นผีพุธกันยาสิงเพลินจริงหรือเปล่า”
เพลินพิศสะดุ้งนิดหนึ่ง ท่าทีมีพิรุธ และยังหลบตาดังเดิม
“ว่าไงจ๊ะ ถ้าเพลินตอบตามตรง เราจะได้วิเคราะห์กันไงว่า เป็นฝีมือหอมน้ำหรือพุธกันยากันแน่”
เพลินพิศบอกเสียงอุบอิบ “ไม่ทราบซิคะ คือ...ตอนนั้นเพลินรู้สึกเบลอๆ”
ขวัญอนงค์เสียงเข้มขึ้น “เพลิน มองตาอาซิ”
เพลินพิศยิ้มแห้งๆ ค่อยๆ เงยหน้าสบตาดารารุ่นแม่
เพลินพิศส่ายหน้า ขวัญอนงค์ได้คำตอบมองอย่างตำหนิ

ไม่นานนักขวัญอนงค์เดินออกมาส่งเพลินพิศที่รถ หน้าคอนโด
“รถน้องสาวค่ะ เพลินยืมมาใช้ก่อนจนกว่ารถเพลินจะซ่อมเสร็จ”
“อย่าโกหกอีก อาเตือนด้วยความหวังดี”
เพลินพิศไหว้และยิ้มแห้งๆ “ขอบคุณอาขวัญมากค่ะ”
“ระวังตัวด้วย”
“ค่ะ”
เพลินพิศขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องแล้วกดกระจกลง “อาขวัญก็ระวังตัวเหมือนกันนะคะ”
ขวัญอนงค์เยื้อนยิ้ม “จ้ะ ขอบใจ”
“บาย ค่ะ”

เพลินพิศขับรถออกไป ขวัญอนงค์โบกมือให้แล้วเดินกลับเข้าตึกไป

อ่านต่อตอนต่อไป

ใยกัลยา ตอนที่ 11 (ต่อ)

ในความคึกคักของบรรดานักศึกษาในอิริยาบถต่างๆ กัน ที่โต๊ะใต้ร่มไม้ร่มรื่น ห่างจากความคึกคักพอสมควร หอมน้ำนั่งท้าวคาง เหม่อมองไปข้างหน้าด้วยแววตาเคว้งคว้างและหวาดกลัว

ในขณะที่เขนหลับหัวทับแขนที่ประสานรองบนโต๊ะและกรนเบาๆ อย่างมีความสุข
หอมน้ำถอนใจยาวเบาๆ เบือนหน้ามาทางเขน
“น่าอิจฉาเขนจัง หลับสบายได้ทุกที่ที่อยากจะหลับ”
เสียงมือถือดังขึ้น หอมน้ำสะดุ้งในขณะที่เขนยังคงหลับสนิท หอมน้ำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู สีหน้าผิดปกติไปเล็กน้อย ท่าทีลังเลนิดหนึ่ง แต่แล้วตัดสินใจรับในที่สุด
“มีอะไรหรือคะ พี่โค้ก”
“หอม...ขอบใจมากที่ยอมรับโทรศัพท์พี่ ทั้งๆ ที่พี่ทำเรื่องเลวๆ กับหอม” โค้กโทร.มาจากออฟฟิศสร้างศิลป์
หอมตัดบท “พี่โค้กมีธุระอะไรหรือคะ”
“พี่อยากจะขอโทษหอม”
หอมน้ำนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “ค่ะ หอมยกโทษให้”
โค้กตัดพ้อ “เสียงของหอมเย็นชาเหลือเกิน แต่พี่ก็ไม่มีสิทธิ์จะเรียกร้องมากกว่านี้”
หอมน้ำนิ่ง บรรยากาศโดยรอบเริ่มขมุกขมัว เหมือนฝนจะตก
“พี่อยากให้เรากลับมาเป็นพี่น้องกันตามเดิม
“ค่ะ”
โค้กทำทีเป็นถอนใจเฮือกใหญ่ “ถึงยังไงพี่ก็ขอบใจ พี่รบกวนหอมแค่นี้ล่ะ”
“ค่ะ”
หอมน้ำปิดโทรศัพท์ เก็บใส่กระเป๋า แล้วเขย่าแขนเขน ขณะฟ้าเริ่มร้องครืนครัน
“เขน เขน”
เขนยังคงลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่พึมพำในลำคอ หอมน้ำก้มลงใกล้หู เสียงดังขึ้น “เขน”
คราวนี้เขนสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นทันที แต่นัยน์ตายังเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น
“อะไร”
“ฝนจะตกแล้ว กลับห้องกันเถอะ หอมตากผ้าไว้ด้วย”
เขนฝืนง่วงเต็มที่ “ไป”

สองสาวพากันเดินไปจากที่นั่น

เมฆฝนกระจายตัวทั่วท้องฟ้าเหนืออาคารหอพัก พร้อมเสียงฟ้าร้องครืนครัน และจู่ๆ ฝนก็ตกลงมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
สองสาวเข้ามาในห้อง หอมน้ำรีบออกไปเก็บผ้าที่ระเบียง ขณะเขนมาช่วยปิดหน้าต่าง
หอมน้ำหอบผ้ามา “เปียกหมดเลย” พูดพลางจับใส่ไม้แขวนเสื้อ ไปแขวนที่ราวในห้อง
เขนดูนาฬิกา “แค่ 4 โมงกว่า แต่มืดยังกับ 3 ทุ่มแน่ะ หอมอยู่คนเดียวได้มั้ย”
“ได้ เขนไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“งั้นเดี๋ยวเขนมาใหม่นะ ขอไปดูที่ห้องก่อน”
“ไม่เป็นไร หอมอยู่คนเดียวได้จริงๆ”
“เดี๋ยวมา”
เขนเดินไปที่ประตู เปิดออกไป แล้วปิดประตูลง
หอมน้ำทรุดตัวลงนั่ง หยิบผ้ามาเช็ดผมที่เปียก สักพักหนึ่ง รู้สึกถึงไอเย็นที่ลอยออกมาจากปากและจมูก หอมน้ำชะงัก เหลียวมองไปรอบห้อง
“คุณพุธกันยา”
ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ นอกจากเสียงฟ้าฝนภายนอก
“คุณพุธ หอมรู้นะว่าเป็นคุณ”
พุธกันยาปรากฏตัวขึ้น ยิ้มนิดๆ

เขนเข้าห้องมา รีบปิดหน้าต่างที่ฝนสาดเข้ามาวุ่นวาย
“ลืมไปเลยนะเนี่ยว่าเปิดหน้าต่างไว้”
เขนปิดเสร็จ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สาวหุ่นอวบอ้วนเดินไปหยิบมาดูแล้วนิ่วหน้า
“อีตาพี่โค้กนี่” ฮึดฮัดชั่วขณะแล้วจึงตัดสินใจรับสาย

“จะแก้ตัวว่ายังไงเหรอ พี่โค้ก”

ฝ่ายพุธกันยาถามหอมน้ำขึ้นว่า

“ได้ข่าวว่าไปทำบุญมา”
“ค่ะ” หอมน้ำนึกได้ “คุณพุธได้รับส่วนกุศลที่หอมส่งไปให้หรือเปล่าคะ”
พุธกันยาชะงัก
“หอมถือว่า คุณพุธเป็นหนึ่งในเจ้ากรรมนายเวรของหอม หมอดูแนะนำให้หอมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรค่ะ หอมกำลังมีเคราะห์”
“หมอดูคู่กับหมอเดา เธอเป็นคนดีออก ใครที่ไหนจะทำอะไรเธอได้”
หอมน้ำมีสีหน้าดีขึ้น แต่ยังไม่มั่นใจนัก “จริงหรือคะ”
พุธกันยาพูดด้วยท่าทีอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมาก่อน แต่ก็ดูจริงใจ “จริงซิจ๊ะ เธอเป็นเด็กดีมาก จิตใจงดงามบริสุทธิ์ใสสะอาดเหมือนเด็กๆ และเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ชั้นสามารถเข้าถึงเธอได้”
“ฟังดูแล้วบอกไม่ถูกว่าดีหรือไม่ดีนะคะ คงจะมีไม่กี่คนในโลกนี้ที่เห็น...ผะ...เอ้อ วิญญาณได้”
“ขอโทษจ้ะ ที่ทำให้เธอยุ่งยาก แต่เธอก็ได้กุศลนะที่เป็นสื่อกลางให้ชั้นติดต่อกับลูกและสามีได้”
หอมน้ำถอนใจยาว “บางที...กุศลนี้อาจช่วยให้หนูพ้นเคราะห์ได้นะคะ”
พุธกันยายิ้มลึกลับ มีเลศนัย โดยที่หอมน้ำไม่ทันได้สังเกต เพราะมัวแต่พนมมือไหว้อธิษฐาน
พุธกันยาเสียงเบา “งั้นมั้งจ๊ะ”
สีหน้าพุธยังคงมีเลศนัย และลึกลับน่าสะพรึงกลัวขณะมองหอมน้ำ

ยามเช้าที่ยังขมุกขมัว ด้วยฝนเพิ่งตกหนักเมื่อตอนกลางคืน
หอมน้ำยืนถือโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่ง แล้วก้มลงมองโทรศัพท์ราวกับลังเลว่าจะโทร.หรือไม่โทร.ดี หลังจากที่เงื้อๆ ง่าๆ จะโทร.หรือไม่โทร.อยู่ครู่หนึ่ง หอมน้ำตัดสินใจโทร.ออก

โทรศัพท์ศวัสวางไว้บนโต๊ะทำงานดังขึ้น ภายในห้องไม่มีใคร ขณะที่เสียงโทรศัพท์ยังคงดัง สักครู่หนึ่งประตูห้องน้ำเปิดออก ศวัสนุ่งผ้าเช็ดตัว น้ำเกาะพราวทั่วกายอันแกร่งกำยำ เดินตรงมาจะรับโทรศัพท์

จู่ๆ หอมน้ำตัดสินใจปิดโทรศัพท์ไปเลยแล้วเก็บเข้ากระเป๋า
เสียงเขนดังมา “หอม”
หอมน้ำหันไปมอง แล้วต่างฝ่ายต่างเดินมาหากัน “เขน”
“ทำไมลงมารอตรงนี้ล่ะ”
“ทำไมขี้สงสัยจัง ไปกันเถอะ”
ทั้งสองพากันเดินไปจากที่นั่น

ด้านศวัสกำลังฟังโทรศัพท์ ซึ่งมีเพียงเสียงให้ฝากข้อความ เขาวางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด
“โทร.มาแล้วปิดโทรศัพท์ไม่รู้จะโทร.มาทำไม
ศวัสเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า

ในขณะที่บุรีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ โดยมีเยาวภาคอยปรนนิบัติดูแลอย่างเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ
“เช้านี้จะรับข้าวต้มหรือไข่ดาวไส้กรอก หมูแฮมดีคะ”
บุรีตอบโดยตายังคงอ่านหนังสือพิมพ์ “ข้าวต้มดีกว่า ข้าวต้มปลานะ”
“ค่ะ เยาว์รู้ใจคุณอยู่แล้ว อ้อ เยาว์ขออนุญาตเปลี่ยนจากกาแฟเป็นน้ำผลไม้นะคะ เพื่อสุขภาพ ตอนนี้เยาว์ต้องดูแลอาหารการกินของคุณเป็นพิเศษ”
บุรีลดหนังสือพิมพ์ลงแล้วมองเยาวภารำคาญปนขันๆ
“วันนี้เกิดขลังอะไรขึ้นมาน่ะ ถึงได้มาจุกจิกจู้จี้กับชั้นเสียจัง”
เยาวภายังไม่ทันตอบ ศวัสเดินเข้ามา
“อ้าว แจ่มไปไหนล่ะฮะ น้าเยาว์”
“เขาเป็นหวัดค่ะ น้าเยาว์กลัวจะมาติดคุณพ่อกับคุณหนูก็เลยให้เขาพักก่อน”
“ความจริง เยาว์ไม่ต้องก็ได้” บุรีว่า
“นั่นซิฮะ เรื่องแค่นี้ผมจัดการเอง คุณพ่อก็ทานไม่ยาก”
“ให้น้าเยาว์ดูแลทั้งสองคนดีกว่าค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ น้าเยาว์จะไปเอาข้าวต้มปลาเก๋ามาให้”
ศวัสรีบลุกขึ้น “ให้ผมช่วยดีกว่าครับ”
ศวัสรีบตามเยาวภาไปในห้องครัว ขณะพุธกันยาปรากฏตัวขึ้นในห้องทานข้าว
บุรีมองตามขำๆ “วันนี้มาแปลก นอกจากจะวุ่นวายแล้วยังพูดมากผิดปกติ”
“ก็มันพยายามจะจับพี่บุรีน่ะซิคะ”
บุรียกหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านต่อ

พุธกันยามองไปตามทิศทางที่เยาวภาเดินไปด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย

เยาวภาตักข้าวต้มใส่ชาม 2 ใบ ที่วางอยู่บนถาด พอเสร็จศวัสจึงยกถาดขึ้น

“ระวังนะคะ”
ศวัสยิ้มรับแล้วเดินออกไป ขณะที่พุธกันยาเดินเข้ามาช้าๆ หยุดยืนกอดอกมองเยาวภาที่วางแก้วใส่น้ำผลไม้และน้ำเย็นลงบนถาดแล้วยกขึ้น พอจะผ่านพุธกันยาไป พุธกันยาถลึงตามองด้วยนัยน์ตาเป็นสีแดงก่ำ เยาวภาเซถลาหกล้ม ร้องลั่น ถาดแก้วตกแตกกระจาย
“แกนั่นแหละต้องระวัง” เยาวภาคำราม
ศวัสและบุรีเข้ามา
“อ้าว”
“ลุกไหวไหมครับ มา ผมช่วย” ศวัสช่วยประคองเยาวภาซึ่งกำลังขยับจะลุกขึ้นมาแล้วพาไปส่ง
“แขนขาหักหรือเปล่า อายุมากแล้วต้องระวัง” บุรีว่า
“ไปหาหมอดีกว่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เยาวภาชะงัก ด้วยตรงหน้าปรากฏร่างเลือนรางของพุธกันยา ยิ้มเยาะแล้วกลืนหายไปกับอากาศ
เยาวภาเบิกตากว้างอุทาออกมา “คุณกัล”
สองพ่อลูกชะงัก
เยาวภาบอกอย่างมั่นใจ “คุณกัลแกล้งเยาว์”
“เยาวภา...” บุรีลากเสียงเป็นเชิงเตือน
“จริงๆ นะคะ คุณบุรีต้องเชื่อเยาว์ คุณหนูด้วย”
บุรีกับศวัสสบตากัน

เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ภายในบริเวณซุ้มพุดซ้อนนั้น หอมน้ำซึ่งถูกพุธกันยาสิง แต่งตัวสวยงามเตรียมเข้าฉาก ทำหน้าตกอกตกใจเมื่อถูกศวัสถาม
“ตายจริง แม่เปล่านะลูก ทำไมแม่จะต้องใจร้ายทำอย่างนั้นกับเยาวภา ซึ่งแม่ถือว่ามีบุญคุณกับแม่มากที่ช่วยเลี้ยงลูกมา อีกอย่าง วันนี้ปิดกล้อง แม่ต้องใช้สมาธิท่องบทอย่างมาก เพราะเป็นดราม่าล้วนๆ”
ศวัสนั่งฟังเงียบๆ
หอมน้ำทำหน้าเศร้าสลด “ศวัสไม่เชื่อแม่ ไม่เป็นไรลูก พรุ่งนี้ไม่มีถ่ายละครแล้ว แม่ก็คงไม่ได้สิงหอมน้ำอีก แม่คงต้องไปตามทางของแม่”
ถึงตอนนี้หอมน้ำน้ำตาคลอ สีหน้าแววตาหม่นเศร้าเสียจนศวัสรู้สึกใจหาย ทอดเสียงอ่อนโยน “คุณแม่”
“แม่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมเยาวภาถึงพูดอย่างนั้น แต่แม่ไม่โกรธหรอก เยาวภาคงเข้าใจอะไรผิด”
หอมน้ำสะอื้นออกมา ศวัสจับมือแม่ไว้อย่างปลอบโยน หอมน้ำโผเข้ากอดศวัส น้ำตาไหลพราก
“ผมจะอธิบายให้น้าเยาว์ฟังเอง”
“ดีแล้วลูก ศวัสช่วยเป็นตัวแทนแม่ด้วย แต่...ความจริง...แม่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเยาวภาเขาเลยนะ แล้วคิดว่าคงไม่มีใครเอาเรื่องของแม่ไปเล่าให้เขาฟังหรอก”
“น้าเยาว์อาจจะไปได้ยินใครพูดมาก็ได้”
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่ โค้กเดินมาตามหอมน้ำไปเข้าฉาก ต้องชะงักเมื่อเห็นภาพนั้น สีหน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นถมึงทึงทันที จ้องศวัสที่ปลอบหอมน้ำอย่างอ่อนโยน โค้กอยู่ค่อนข้างไกล จึงไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น

ตกตอนกลางคืน หอมน้ำเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว โดยมีเสียงเฮฮายินดีที่ถ่ายหนังเสร็จ ดังเข้ามาจากภายนอก หอมน้ำปิดประตูแล้วยืนนิ่ง พุธกันยาก้าวออกมาจากตัวหอมน้ำที่หลับตาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลืมตาขึ้น ท่าทีหอมน้ำตอนนี้ ดูอ่อนระโหย จนเซมาจับโต๊ะไว้ ไอเย็นออกจากปากและจมูก ขณะที่พยายามจะหายใจ
พุธกันยามองแล้วคลี่ยิ้มอย่างลึกลับ มีเลศนัยออกมาในสีหน้า โดยที่หอมน้ำไม่ทันสังเกต
พุธกันยามองจ้องครู่หนึ่งแล้วถามด้วยสุ้มเสียงเยือกเย็น “เป็นอะไรไปหรือจ๊ะ”
“ไม่ทราบค่ะ หอมรู้สึกเหนื่อย แล้วก็อยากจะนอน”
“ชั้นเห็นใจ อาชีพเรามันก็เป็นอย่างนี้แหละ มองจากภายนอกดูสวยงาม มีความสุขสมหวังไปเสียทุกสิ่ง แต่พอปอกเปลือกออกมาแล้ว เราก็แค่คนธรรมดา ที่ยังโลดแล่นอยู่ในกิเลศ มีสุขมีทุกข์ มีสมหวังมีผิดหวังเหมือนกับคนอื่น”
สุ้มเสียงพุธกันยาเศร้าลง หอมน้ำเงยหน้าขึ้นมอง
“แต่เธอตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ในวงการแล้วไม่ใช่หรือ”
“ค่ะ หอมไม่เหมาะกับชีวิตแบบนั้น”
“ชั้นเห็นด้วย”
เขนเปิดประตูเดินเข้ามา พุธกันยาเบือนหน้าไปมองอย่างรำคาญ
“มาอยู่นี่เอง ใครๆ เขาตามหากันใหญ่” เขนชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นท่าทางของหอมน้ำ “คุณพุธอยู่ด้วยเหรอ”
หอมน้ำพยักหน้า
เขนยกมือไหว้ไม่ตรงตัวพุธด้วยมองไม่เห็น “สวัสดีค่ะ คุณพุธ ต่อไปนี้เราคงไม่ได้พบกันอีกแล้วนะคะ”
“บอกเพื่อนเธอด้วยว่าชั้นก็ไม่ได้อยากเจอเขานักหรอก” พุธกันยาเดินหายไปเลย
เขนถามเสียงเบา “นางว่าไงหรือเปล่า”
หอมน้ำลุกขึ้น “เขาไปแล้ว กลับหอเถอะ”
“เฮ้ย เขาจะไปงานเลี้ยงปิดกล้องกัน”
“หอมรู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากนอน”
“โอเค กลับก็กลับ คงมีคนอาสาไปส่ง”
หอมน้ำจับมือเขน “ไม่ เรากลับกันเอง หอมไม่อยากให้ใครไปส่ง”
เสียงโทรศัพท์ของสองสาวดังขึ้นพร้อมกัน เขนมองหน้าหอมน้ำเป็นเชิงถาม
หอมน้ำส่ายหน้าบอก “ไม่ต้องรับ”
สองสาวพากันเดินออกไป

ไม่นานต่อมาหอมน้ำ เปิดประตูห้อง สองสาวเดินเข้ามา
“เขนไปพักเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงหอม”
เขนพยักหน้า “พรุ่งนี้เช้าเจอกัน”
เขนก้าวออกไป แล้วนึกได้หันกลับมา “คุณพุธอยู่หรือเปล่า”
“เปล่า”
“อย่าถอดสร้อยพระนะ”
“จ้ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหอมหรอก”
เขนยิ้ม โบกมือให้แล้วปิดประตูลง
หอมน้ำเดินท่าทางอ่อนเพลีย มาล็อกห้องแล้วเดินกลับมาทิ้งตัวลงนอน

ไม่นานก็หลับไปทันทีด้วยความอ่อนเพลีย

คืนเดียวกัน เพลินพิศขับรถเข้ามาจอดบริเวณที่จอดรถคอนโด ซึ่งตกอยู่ในบรรยากาศเงียบสงัดด้วยเป็นเวลาดึกพอสมควร เหมือนมีใครคนหนึ่งเฝ้าจับตามองอยู่ ขณะเพลินพิศเปิดประตูรถลงมา

เพลินพิศชะงัก เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาใครสักคน
แต่เมื่อมองไปโดยรอบ พบว่าบริเวณนั้นดูเงียบสงัด วังเวง ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ
เพลินพิศถอนใจเฮือก แล้วขยับเดินออกไป
เหมือนใครคนนั้นขยับเดินตามด้วยจังหวะพอกัน นั่นคือเร็วก็เร็วพอกัน ช้าก็ช้าก็พอกัน เพลินพิศหยุด ใครคนนั้นก็หยุดตาม นางร้ายหน้าหวานหยุดเดิน หันขวับไปมอง
แต่บริเวณโดยรอบยังเงียบสงัด ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตใดๆ
เพลินพิศตัดสินใจถามออกไป “ใครน่ะ”
เงียบกริบ
“ใคร”
เงียบสงัดเช่นเดิม เพลินพิศเม้มปากแล้วเดินเร็วรี่ ออกไป
เหมือนใครคนนั้นมองตาม

เพลินพิศเดินปรี่มาที่ป้อมยาม ยามรีบลุกขึ้นทำความเคารพทันที
“ช่วยเข้าไปดูในที่จอดรถซิว่า มีใครอยู่ในนั้นหรือเปล่า”
ยาม 1 บอก “เอ ไม่มีใครนะครับ”
เพลินพิศหงุดหงิด “ชั้นบอกให้เข้าไปดูหน่อย เป็นไรมั้ย”
ยาม 2 คน ละล่ำละลัก “ครับๆ” พร้อมกัน
สองคนรีบขยับจะเข้าไป มีไฟฉายและกระบองในมือพร้อม
“เดี๋ยว ไม่ต้องไปหมด อยู่เป็นเพื่อนชั้นคนหนึ่ง”
ยาม 1 พยักหน้าให้ยาม 2 ไป แล้วตัวเองเดินกลับมายืนระวังภัยให้นางร้ายที่มองตามด้วยสีหน้ายังกังวลไม่คลาย
ยาม 1บอกว่า “คุณเพลินกลับขึ้นห้องพักก่อนดีไหมครับ”
เพลินพิศพยักหน้า “ขอบใจนะ”
ยาม 1ทำความเคารพ “ครับ”
เพลินพิศเดินเข้าไปในตัวคอนโด

เมื่อเปิดประตูเข้าห้องมา เพลินพิศรีบปิดล็อกทันที เปิดไฟสว่าง สูดลมหายใจอย่างโล่งอก แล้วเดินไปที่โซฟา
จู่ๆ ไฟดับพรึบลงในทันทีทันใด
เพลินพิศสะดุ้งเฮือก ยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ เดินไปที่สวิตซ์ไฟ ขยับปิดแล้วเปิดใหม่
ไฟสว่างอีกเช่นเดิม หล่อนถอนใจเฮือก แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนด้านใน

ไฟห้องนอนสว่างขึ้น เพลินพิศปิดประตู เดินมาวางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วหยิบครีมล้างเครื่องสำอางมาค่อยๆ บรรจงเช็ดหน้า สักครู่หนึ่งไฟก็เกิดดับอีก
เพลินพิศชักหงุดหงิด “อะไรน่ะ”
ไฟที่ดับอยู่กลับปิดๆ เปิดๆ
“โอ๊ย อะไรกันนักกันหนา”
เพลินพิศเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร. แต่น่าแปลกโทรศัพท์กลับไม่มีสัญญาณ พยายามจะโทร. 4-5 ครั้ง ก็ไม่เป็นผล เลยเดินไปที่ประตู จะเปิดออก แต่ไฟกลับดับลง
“เป็นบ้าอะไรกันเนี่ย”
เพลินพิศกระชากประตูเปิดออก แล้วต้องตกตะลึงร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง เมื่อเห็นภาพพร่าๆ เป็นรูปร่างผู้หญิงตรงหน้า เพียงเท่านั้นเพลินหมดสติล้มลง
เงานั้นปรากฏชัดขึ้นเป็นร่างวิญญาณพุธกันยา
“นังตัวดี”

เพลินพิศแจ้นมาหาขวัญอนงค์ที่คอนโดในตอนเช้า สาวใช้ยกน้ำผลไม้และอาหารเช้าเบาๆ มาวางเสิร์ฟให้ แล้วออกไป สภาพเพลินพิศหน้าตาดูไม่ดีนัก มีอาการอิดโรยเห็นถนัด
“กินข้าวต้มซิ”
“เพลินไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องกิน กินเสร็จแล้วก็ไปนอน วันนี้มีงานอะไรหรือเปล่า”
“มีอีเว้นท์ตอนเย็นค่ะ”
“งั้นก็กินเสีย แล้วรีบไปนอน หน้าตาจะได้ไม่โทรม”
“เมื่อคืนนอนไม่หลับ นี่ก็ยังตาค้างอยู่เลย เพราะนังผีบ้านั่น”
ขวัญอนงค์สะดุ้งเฮือก รีบอุดปากเพลินทันที “ปากเสีย ห้ามพูดถึงเขาที่นี่ ได้ยินมั้ย”
เพลินพิศพยักหน้า ขวัญอนงค์เอามือออก กำชับเสียงดุ
“อย่าหาเรื่องเดือดร้อนมาให้อา ไม่อย่างนั้นห้ามมาที่นี่อีก”
เพลินพิศรับเสียงอ่อย “ค่ะ งั้นเพลินขอไปนอนก่อนนะคะ”
ขวัญอนงค์พยักหน้ามองตามไป แล้วหันมาตักข้าวต้มกินเงียบๆ

ดึกสงัดเพลินพิศขับรถเข้ามาจอดบริเวณที่จอดประจำตัว เปิดประตูรถลงมาแล้วปิด ไฟบริเวณที่จอดรถกระพริบๆ จะดับก็ไม่ดับ เพลินพิศชะงักมองไปโดยรอบ แล้วรีบจ้ำเดิน
ไฟทยอยดับทีละแถว เหมือนในหนังสยองขวัญ เพลินพิศรีบเร่งฝีเท้า ไฟดับไล่ตามมาเรื่อยๆ
สีหน้าเพลินพิศตระหนก เลิกลักและวิ่งเร็วขึ้นจนพ้นออกมา แล้วหันไปมอง
ไฟดับสนิทหมด รวมทั้งตัวคอนโด และบริเวณใกล้เคียง บรรยากาศทั้งมืดและเงียบราวกับป่าช้า
เพลินพิศหันกลับไป เห็นไฟที่ป้อมยามหรี่สลัว คล้ายมีคนอยู่ที่นั่น

นางร้ายหน้าหวานรีบวิ่งมาที่ป้อมยาม ซึ่งมีใครคนหนึ่งยืนหันหลังให้มองเหมือนยาม
“ยามจ๊ะ”

ใครคนนั้นหันกลับมา ในสภาพเป็นผีหน้าตาเขียวคล้ำน่ากลัว เพลินพิศกรีดร้องสุดเสียง

อ่านต่อหน้า 4

ใยกัลยา ตอนที่ 11 (ต่อ)

เพลินพิศสะดุ้งเฮือกกรีดร้องลั่น ก่อนจะลืมตาตื่น ลุกขึ้นนั่งหอบหายใจด้วยความรู้สึกเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วค่อยๆ ชำเลืองไปโดยรอบหวาดๆ ภายในห้องดูสลัวราง เมื่อเบือนหน้าไปมองนาฬิกา เห็นเป็นเวลา 6 โมงเย็นแล้ว

“ตายแล้ว ทำไมอาขวัญไม่ปลุก”
เพลินพิศรีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตูเปิดออกไป
“อาขวัญคะ”
ใครคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนขวัญอนงค์นั่งพิงพนักเก้าอี้ หันหลังให้อยู่
“อาขวัญ ทำไมไม่ปลุกเพลิน”
ขวัญอนงค์ยังคงนิ่ง เพลินพิศเดินอ้อมไปหาด้านหน้าขณะเรียก
“อาขวัญคะ”
เพลินพิศชะงัก เซผงะถอยหลังออกมาและกรีดเสียงร้องลั่นห้อง
เมื่อพบว่าขวัญอนงค์นั่งตายขึ้นอืดเขียวคล้ำน่าสยองเหลือประมาณ
เพลินพิศยังคงกรีดร้องเหมือนคนบ้า

ขวัญอนงค์เปิดประตูเข้ามาดูด้วยความตกใจ ด้วยเสียงร้องของเพลินพิศซึ่งยังคงดังก้องอยู่
“เพลิน” ขวัญอนงค์ลงนั่งบนเตียงและจับตัวเพลินพิศเขย่าให้รู้สึกตัว “เพลิน เพลิน เป็นอะไรไป”
เพลินพิศลืมตาขึ้น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวถึงขีดสุด “อาขวัญ”
ขวัญอนงค์กอดปลอบเพลินพิศไว้ “จุ๊ จุ๊ ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรนะ”

ถัดจากนั้นขวัญอนงค์ยกน้ำมาให้เพลินพิศ สองคนนั่งอยู่ในห้องรับแขก
“เอ้า...ดื่มซะ”
เพลินพิศรับมา “ขอบคุณค่ะ” จิบน้ำ แล้ววางลง
“หิวมั้ย จะเที่ยงแล้ว”
เพลินพิศส่ายหน้า “อาขวัญ อาขวัญไม่...ไม่กลัวเหรอคะ”
“กลัวอะไร”
“ก็...ก็...ที่เพลินฝันว่าอาขวัญนั่งตายขึ้นอืด”
ขวัญอนงค์หัวเราะ แต่นัยน์ตาปรากฏแววกังวลขึ้นมาแว่บหนึ่ง “ก็แค่ความฝัน จะต้องกลัวทำไม อีกอย่างเพลินกำลังวิตกกังวลอยู่ด้วย”
เพลินพิศถอนใจยาว “เพลินขอมานอนค้างกับอาขวัญสักพักได้มั้ยคะ”
“เอาซิ ผีมันจะได้ไม่เสียเวลาหลอกทีละคน มาที่นี่ที่เดียวหลอกได้สอง” สาวห็พูดให้ขำๆ
เพลินพิศไม่ขำด้วย “อาขวัญ อย่าพูดอย่างนั้นซิคะ”
ขวัญอนงค์ลุกขึ้น “ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า ไปล้างหน้าล้างตาซิ ตราบใดที่ยังไม่ตายก็ยังต้องกิน”
เพลินพิศนิ่วหน้า ทำท่าจะพูดแย้ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ลุกเดินเข้าห้องไป
สีหน้าขวัญอนงค์ที่ยิ้มขำๆ เล่นๆ เมื่อสักครู่ เปลี่ยนเป็นครุ่นคิดกังวล

ในบรรยากาศเงียบๆ ของร้านอาหารหรูตั้งอยู่ในย่านกลางเมือง ผู้คนเดินเข้าออกและผ่านไปมาแต่งตัวดูดีมีฐานะ
เพลินพิศกับขวัญอนงค์เดินคุยกันเข้ามาในนั้น
ขวัญอนงค์ชะงัก แล้วทำท่าจะดึงเพลินพิศออกไป แต่ไม่ทัน เอิงซึ่งนั่งกินอาหารกับลิซซี่ หันมาเห็นพอดี ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว กวักไม้กวักมือเรียก
“อาขวัญ พี่เพลิน มานั่งด้วยค่ะ” พลางหันไปทางลิซซี่ “พี่ลิซซี่ ไปเชิญพี่เพลินกับอาขวัญมา”
ลิซซี่ลุกขึ้น ประกอบกับคนในร้านมองมา ทำให้สองคนต้องรีบเดินตรงมา
เอิงกุลีกุจอรับรอง “เชิญนั่งค่ะ วันนี้เอิงจะเลี้ยงเอง” หล่อนหันไปเรียกบริกร “พี่ ขอเมนูหน่อย”
บริกรรีบมาส่งเมนูให้ทั้งสอง
“เลือกแพงๆ เลยนะคะ” เอิงสั่งลิซซี่ “อ้าว พี่ลิซซี่ สั่งเสต็กอีกชิ้นซิ เอิงรู้ว่าพี่ลิซซี่ชอบ”
“ไม่ไหวแล้วค่ะ คุณน้อง พี่ลิซซี่กินเนื้อวัวเข้าไปนี่เกือบจะครึ่งตัวแล้วนะคะ”
ระหว่างทั้งสองพูดกัน ขวัญอนงค์กับเพลินพิศสั่งสลัดมาคนละจาน
เอิงถามด้วยท่าทีกระตือรือร้น “เมื่อคืนมีเลี้ยงปิดกล้องใช่ไหมค่ะ มีแขกไม่ได้รับเชิญหรือเปล่า”
ลิซซี่ปราม “น้องเอิงขา”
“หุบปากค่ะ พี่ลิซซี่”
“ถ้าน้องเอิงหมายถึง ผีพุธกันยาล่ะก็ ไม่ได้ไปที่งานค่ะ แต่มาหาพี่เพลินที่บ้าน”
เอิงกะลิซซี่ร้อง “ว้าย”
ขวัญอนงค์สะกิดเตือน “เพลิน”
เอิงซักทันที “ไหนพี่เพลินเล่าให้น้องเอิงฟังซิคะ”
ลิซซี่เตรียมอัดเสียงทันทีด้วยมือถือ
ขวัญอนงค์รีบพูด “ไม่มีอะไรค่ะ พี่เพลินเขาล้อเล่น ถ้าไปหาเขาจริง ป่านนี้ก็เป็นไข้หัวโกร๋นไปแล้วนะซิ”
เอิงไม่ยอมแพ้ “แต่หน้าตาพี่เพลินบอกว่ามี”
เพลินพิศจำใจเปลี่ยนคำพูด “ไม่มีหรอก พี่พูดเล่นน่ะ”
เอิงหน้าง้ำเสียดาย “ไม่อยากจะเชื่อ”
บริกรยกสลัดมาเสิร์ฟ ขวัญอนงค์รีบเปลี่ยนเรื่อง “น่ากินจัง”
เพลินพิศจิ้มกิน “อร่อยด้วยค่ะ”
ทั้งสองคนกินกันไป เพลินพิศคะยั้นคะยอให้เอิงกินด้วย เรื่องที่คุยกันบนโต๊ะเปลี่ยนไปเลย

ทั้งหมดก้าวออกมาและล่ำลากันที่หน้าร้าน เอิงกับลิซซี่เดินแยกไปที่จอดรถ ขวัญอนงค์กับเพลินพิศเดินไปที่รถของตน
เพลินพิศเอ่ยขึ้นขณะเดินมา “อาขวัญขา อาขวัญกลับคนเดียวนะคะ เพลินขอแยกกลับไปเอาของใช้ส่วนตัวที่คอนโด ก่อน”
“อาแวะไปส่งก็ได้”
“อย่าเลยค่ะ อาต้องไปนวด ไปทำผม ทำเล็บอีกหลายเรื่อง เพลินนั่งแท็กซี่ไปเองสะดวกกว่า”
“อาไม่ได้รีบร้อน”
“อย่าให้เพลินรบกวนอาขวัญไปมากกว่านี้เลย เพลินไม่สบายใจ”
“งั้นก็ตามใจ”
“เดี๋ยวค่ำนี้พบกันคร้า”
ทั้งสองเดินแยกกันไป

รถเอิงแล่นมาระหว่างทาง เอิงรับสายอยู่ ขณะที่ลิซซี่ขับรถให้
“อ๋อ ไปถูกค่ะ โอ เค” เอิงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
“ไปไหนคะ คุณน้อง”
“คอนโด ยัยเพลิน เขามีเรื่องผีจะเล่าให้ฟัง”
ลิซซี่หันมามองแวบหนึ่งแล้วห่อไหล่ ตาโตแบบหวาดๆ

ภายในห้องรับแขกคอนโดเพลินพิศตอนนี้ เอิงกับลิซซี่ นั่งเบียดกันตาโตมองเจ้าของห้องเล่าเรื่องผีมาถึงบทสรุป
“ถ้าหากว่าไม่ใช่ผีพุธกันยาแล้วจะเป็นใครจริงมั้ยคะ ผีอื่นเพลินก็ไม่รู้จัก”
“อาจจะเป็นผีบ้านผีเรือน หรือผีคอนโด ก็ได้” ลิซซี่แย้ง
“คอนโด นี่คอนโด ใหม่ ไม่มีผีแน่นอน แล้วตั้งแต่มาอยู่ เพลินก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบเมื่อคืน” เพลินพิศมั่นใจ
เอิงถาม “สรุป...”
“สรุปว่า ผีพุธกันยาต้องมาแก้แค้นพี่เพลินที่ไปขับรถเฉี่ยวนังหอมน้ำแน่นอน”
“แสดงว่า ผีพุธกันยากลัวไม่มีใครให้สิง เอ๊! วันนั้นนางก็เคยสิงน้องเพลินไม่ใช่หรือคะ” กะเทยเผือกถาม
เพลินพิศอึ้งไป
“ใช่แล้ว นั่นแน่ หรือว่าพี่เพลินโกหก”
เพลินพิศร้องบอกเสียงหลง “เปล่านะคะ”
“เอาอย่างนี้ซิคะ ต่อไปนี้ น้องเพลิน ห้อยพระตลอดเหมือนบอสของพี่”
“บอสวดีน่ะโดนหลอกจนเดี๋ยวนี้ต้องแขวนพระองค์โตเลยค่ะ”
“ของน้องก็มีค่ะ” เอิงควักพระออกมา “ไม่ได้กลัวนะคะ แต่กันไว้ก่อน เอาละ เราจะโยงเรื่องนี้ไปถึงแม่นางเอกใสซื่อบื้อหอมน้ำยังไงดี”
ทั้งสามปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด

ด้านหอมน้ำอยู่ที่ห้องพัก เดินกลับไปกลับมาช้าๆ อย่างใช้ความคิด ในที่สุดตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมโทรแต่แล้วก็ลังเลอีกจนได้ สีหน้าหอมน้ำครุ่นคิดหนักอยู่อีกพักหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจโทร.ออก

ศวัสอยู่ในบ้าน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับด้วยแววตาพึงพอใจเล็กๆ แต่ยังเก๊กทำเสียงเคร่งตามเคย “มีธุระอะไร”
หอมน้ำเปิดประตูห้องออกมา คุยสายไปพลางตรวจเช็คปิด ล็อก ด้วยสีหน้าขลาดๆ ราวกับศวัสมาอยู่ตรงหน้า
“คุณหมอ เอ้อ...อยาก...อยากพบคุณแม่อีกหรือเปล่าคะ”
“มาพูดกันแบบให้เห็นหน้าเห็นตาหน่อยได้ไหม”
“แบบสไกป์น่ะหรือคะ”
“ไม่ต้องสไกป์ สะเก๊ยอะไรทั้งนั้น มาที่บ้านชั้นซิ วันนี้ชั้นไม่ได้ไปทำงาน หรือว่าจะให้ไปที่หอพักเธอ”
“ที่บ้านคุณหมอสะดวกกว่าค่ะ เอ้อ...เขนไปด้วยไม่ได้นะคะ เขามีธุระ”
ศวัสหงุดหงิดไม่มีเหตุผล “ชั้นไม่ต้องการพบเพื่อนเธอ”
“อ้อ...ค่ะ...คุณหมอกรุณารอสักพักนะคะ”
หอมน้ำปิดโทรศัพท์แล้วเดินไปที่ลิฟท์ด้วยสีหน้าแววตาร่าเริง

หอมน้ำเดินแกมวิ่งตรงมาหน้าหอพัก แล้วหยุดชะงัก ยืนโอนเอนราวกับจะเป็นลม ภาพทุกอย่างตรงหน้าพร่าเลือนแล้วดับวูบไป
นักศึกษา 1 ร้องบอกกันด้วยความตกใจ

“หอมน้ำเป็นลม”

อ่านต่อตอนต่อไป

บรรดานักศึกษาบริเวณนั้นเริ่มเข้ามามุงดู ขณะที่อีกส่วนเข้าทำการช่วยเหลือ

“อย่ามุงค่ะ อย่ามุง” นักศึกษา 2 บอก
นักศึกษา 3 เอ่ยขึ้น “พาขึ้นไปบนห้องก่อนดีกว่า”
สามคนช่วยกันพยุงหอมน้ำลุกขึ้น ขณะคนอื่นๆ หลีกทางให้

ทางด้านศวัสรออยู่สนามหน้าบ้านนานแล้ว เขาดูนาฬิกา แล้วเดินไปชะโงกหน้าต่าง หน้านิ่วคิ้วขมวด
“ทำไมยังมาไม่ถึงอีก”
ศวัสเดินกลับไปกลับมาสักพัก จึงตัดสินใจโทร.ออก รออยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคนรับ
“หอมน้ำ...” เขานิ่งฟังปลายสายสีหน้าตกใจ “หอมน้ำน่ะหรือครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ศวัสเดินไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้ แล้วรีบเดินออกไป

ศวัสขับรถแทบจะบินมาถึงในเวลาอันรวดเร็ว รีบเดินตรงมาบริเวณหน้าห้อง ซึ่งมีเพื่อนๆ ยืนอยู่
“หอมน้ำเป็นยังไงบ้าง”
เพื่อน 1บอก “ฟื้นแล้วค่ะ”
ศวัสเปิดประตูเข้าไป เพื่อนๆ มองตาม ทุกคนอ้าปากค้าง
เพื่อน 2เพ้อ “หล่อจัง เห็นแล้วฟิน”
เพื่อน 3ก็อาการเดียวกัน “หอมไม่เคยเล่าเลยว่ามีญาติหล่อขนาดนี้”

ศวัสเดินมาหยุดที่เตียง โดยเพื่อน 2 คนหลีกทางให้แล้วสบตา ทั้งสองทำปากว่า “หล่อ” โดยไม่มีเสียง
หอมน้ำพยายามจะลุกขึ้นและยกมือไหว้ “คุณหมอ”
ศวัสกดไหล่เธอไม่ให้ลุก “ไม่ต้องลุก”
เพื่อนๆ ค่อยๆ เลี่ยงออกไป
“ทำยังไงถึงได้เป็นลมเป็นแล้งไป”
“ไม่ทราบค่ะ หอมรู้สึกเพลียๆ ตั้งแต่เมื่อคืน นี่เขนก็รีบไปรับคุณพ่อคุณแม่พาเที่ยว”
“กินอะไรหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ”
“มิน่า ถึงได้เป็นลม รอเดี๋ยวนะ ชั้นจะไปซื้ออะไรมาให้กิน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หอมน้ำพยายามจะลุกอีก
ศวัสดุ “บอกให้นอนเฉยๆ”
หอมน้ำยิ้มแหยๆ แล้วเอนตัวนอน
ศวัสลุกเดินออกไป เพื่อนเดินเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนหอมน้ำแทน

ขณะเดียวกันบุรีเดินเข้ามาในบ้าน ในมือถือถุงใส่อาหาร 2 ถุง ดูเป็นกล่องอาหารราคาแพง แจ่มเดินมารับของในมือ โดยพุธกันยานั่งมองอยู่
“คุณหมอไม่อยู่หรือ”
“ค่ะ เพิ่งออกไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ นี่เองค่ะ”
เยาวภาเดินเข้ามา ในมือถือถาดน้ำกีวี
“เป็ด 2 ชุดนะ ของศวัสชุดหนึ่ง อีกชุดให้เยาว์กับแจ่ม”
“ขอบคุณค่ะ” แจ่มไหว้เดินหน้าบานถือถุงเป็ดกลับเข้าไปในครัว
พุธกันยาบ่นบ้า “ซื้อมาฝากนังเยาว์มันทำไม”
“น้ำกีวีเย็นๆ ค่ะ”
พุธกันยาลุกพรวดขึ้น “นั่นมันหน้าที่ชั้น”
“ขอบใจมาก” บุรีรับมาดื่มจนหมดแล้ววางลงบนถาดอย่างเดิม “ศวัสบอกหรือเปล่าว่าไปไหน”
“เปล่าค่ะ”
บุรีพยักหน้าแล้วเดินไปที่บันได โดยมีเยาวภามองตามไป
“เขาเป็นสามีของชั้น แกอย่าเจ๋อ”
จู่ๆ เยาวภาก็เอ่ยขึ้น “คุณตายไปแล้ว คุณกัล”
พุธกันยาชะชัก “แกเห็นชั้นเหรอ”
เยาวภาเหลียวมองไปโดยรอบ “คุณก็แค่อากาศธาตุเท่านั้นเอง”
จากนั้นเยาวภาเดินเข้าไป พุธกันยามองตาม ดวงตาวาวโรจน์แทบจะเผาเยาวภาให้มอดไหม้เป็นจุณ

ศวัสจัดอาหารที่ซื้อมาเสร็จ เลื่อนข้าวต้มมาตรงหน้าหอมน้ำ แล้วตามด้วยนมสด
หอมน้ำไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
ศวัสพยักหน้าแล้วลงนั่ง
“กินให้หมด”
หอมน้ำยิ้มแหยๆ แล้วตักกิน แต่ผะอืดผะอมทำท่าขยักขย้อนจะอ้วกออกมา
ศวัสรีบลุกขึ้นขยับไปลูบหลังให้เบาๆ ขณะที่หอมน้ำวางช้อนลง
“หอม หอมทานไม่ลงค่ะ”
“ไปหาหมอดีกว่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ นอนพักสักครู่ก็คงหาย”
“อย่าดื้อ ลุกขึ้น”
หอมน้ำขยับจะลุก
“ไหวหรือเปล่า”
“ไหวค่ะ”
หอมน้ำลุกขึ้นจนได้ แต่แล้วเกิดหน้ามืด ซวนเซจะล้มลง ศวัสรับไว้ได้ทันท่วงที

หอมน้ำถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที ภายในห้องพักฟื้น หอมน้ำนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
โดยศวัสคุยกันถึงอาการหอมน้ำเบาๆ กับเพื่อนหมอเจ้าของไข้
“แค่อ่อนเพลียธรรมดา ไม่ได้เป็นอะไรมาก ได้พักผ่อนเต็มที่ก็คงจะค่อยยังชั่ว”
ศวัสตบแขนเพื่อนเบาๆ “ขอบใจมาก”
ศวัสเดินออกไปส่งเพื่อน โดยหันมามองหอมน้ำแวบหนึ่ง

ทั้งสองหมอเดินออกมา โดยที่ศวัสปิดประตูเบาๆ เขนวิ่งตุ๊ต๊ะตรงมาและส่งเสียงก่อนตัว
“หอมเป็นยังไงบ้างคะ”
ทั้งสองหมอหันไปมอง
เขนกระหืดกระหอบมาถึง “หอมเป็นยังไงบ้างคะ”
“อ่อนเพลีย ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนน้อย”
พูดพลางเขาหันไปพยักหน้าให้เพื่อนหมอซึ่งเดินไป
“เลิกเล่นหนังเสียได้น่ะดีแล้ว” เขนบ่น
ศวัสเปิดประตูให้เขนเดินเข้าไป แล้วตัวเองเดินตาม

เขนเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงหอมน้ำซึ่งหลับสนิท
“หน้าหอมดูซีดๆ นะคะ” เขนหันมาไหว้ศวัส “ขอบคุณมากค่ะที่กรุณาเป็นธุระให้ เขนก็มัวแต่ยุ่ง”
“ไม่เป็นไร คืนนี้จะนอนเฝ้าเพื่อนหรือเปล่า”
“อยู่แล้วล่ะค่ะ”ประโยคต่อมา พูดอย่างเกรงใจ “เอ้อ คุณหมอช่วยอยู่กับหอมแป๊บเดียวได้ไหมคะ เขนจะกลับไปเอาเสื้อผ้ากับเครื่องใช้ส่วนตัว”
“ได้”
เขนไหว้อีก “ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวเขนมานะคะ”
“ไม่พักก่อนหรือ เพิ่งจะมาถึง เดี๋ยวได้เป็นลมไปอีกคน”
“ไม่หรอกค่ะ เขนแข็งแรง”
ศวัสบอกหน้าตาย “ไม่บอกก็รู้”
เขนหัวเราะคิก ด้วยรู้ว่าศวัสหมายถึงความอ้วนในตัว “พอได้รับโทรศัพท์จากคุณหมอ เขนก็รีบมาก่อนเพราะเป็นห่วงหอม”
“แล้วคุณพ่อคุณแม่ล่ะ”
เขนยกนาฬิกาขึ้นดู “ป่านนี้คงขึ้นเครื่องแล้วค่ะ เขนไปก่อนนะคะ”
ศวัสพยักหน้ามองตามเขนซึ่งเปิดประตูออกไป
โดยไม่มีใครเห็นที่ใบหน้าหอม มีไอเย็นจางๆ ออกมาจากลมหายใจ
พุธกันยานั่งอยู่บนโซฟา มองมาที่หอมน้ำด้วยแววตาลึกล้ำ ศวัสเดินมาข้างเตียง พุธกันยาจดสายตามามองตามอิริยาบถของลูกชาย
ศวัสค่อยๆ ยื่นมือไปลูบผมหอมน้ำอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาที่มองปรากฏแววอ่อนหวาน พุธกันยามองท่าทีนั้นอย่างครุ่นคิด
“คุณแม่ครับ” ศวัสหันกลับมาขณะพูด
พุธกันยาเบิกตากว้างแล้วลุกขึ้นอย่างประหลาดใจและตื่นเต้น “ศวัส นี่...นี่มองเห็นแม่หรือลูก”
ศวัสเลื่อนสายตาไปโดยรอบ
พุธกันยาถอนใจด้วยรู้แล้วว่า ศวัสมองไม่เห็นตน
“ถ้าคุณแม่อยู่ในห้องนี้”
พุธกันยาเดินมาหาลูก “แม่อยู่นี่”
“คุณแม่ช่วยปกป้องคุ้มครองหอมน้ำด้วยนะครับ”
พุธกันยานิ่วหน้าแล้วใบหน้าตื่นเต้นดีใจค่อยๆ คลายเป็นความผิดหวังและสะเทือนใจ
“นะครับคุณแม่”
พุธกันยาหันหน้าไปอีกทาง เม้มปากแน่นพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเหล่านั้น

แล้วหันหลังก้าวเดินพร้อมกับจางหายไปในความว่างเปล่า

พุธกันยามาปรากฏตัวขึ้นในห้องส่วนตัวที่บ้านด้วยสีหน้าโศกศัลย์

“ศวัสรักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”
ภาพสีหน้าแววตาของศวัส ขณะที่ก้มลงมองหอมน้ำผุดซ้อนเข้ามาในห้วงคิด
“ถ้าคุณแม่อยู่ในห้องนี้ คุณแม่ช่วยปกป้องคุ้มครองหอมน้ำด้วยนะครับ นะครับคุณแม่”
ภาพเลือนหายไป พุธกันยามีสีหน้าหมองลงไปถนัดตา
“ลูกรัก แม่จะทำร้ายหัวใจของลูกได้อย่างไร”
พุธกันยานิ่งจมจ่อมอยู่ในห้วงอารมณ์อันบีบคั้น ที่ต้องต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง

หอมน้ำยังคงนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ศวัสนั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือหอมไว้ด้วยความห่วงใย
สักครู่หนึ่ง เปลือกตาหอมน้ำขยับเล็กน้อยเหมือนเริ่มรู้สึกตัว ศวัสมองด้วยความโล่งใจ เปลือกตานั้นกระพริบถี่ๆ แล้วค่อยๆ เผยอขึ้น
ศวัสรู้สึกตัว รีบปล่อยมือหอมน้ำแล้วลุกพรวดขึ้นทันที ความรีบร้อนทำให้ขาเตะไปโดนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ล้มโครม
หอมน้ำตกใจลืมตาขึ้น “อะไรหรือคะ”
ศวัสตีหน้าตาย “เปล่า...เก้าอี้มันล้มน่ะ”
ศวัสจับเก้าอี้ขึ้นเลื่อนไปวางห่างๆ แล้วเอามือไขว้หลังหันกลับมา ปรับสีหน้าเป็นงานเป็นการ
“เป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ” ผู้ป่วยพยายามยกมือไหว้ แต่ไม่ถนัดดู ประดักประเดิดพิกล เพราะแขนอีกข้างติดสายน้ำเกลือ “ขอบพระคุณมากค่ะ ที่ช่วยพาหอมมาโรงพยาบาล”
ศวัสยังคงเก๊กหน้าขรึม “ไม่เป็นไร ชั้นทำตามหน้าที่”
หอมน้ำเบือนหน้าไปอีกด้านด้วยความน้อยใจ
ศวัสเดินห่างออกมาอีก “เพื่อนเธอไปเอาเสื้อผ้ามาค้างด้วย เดี๋ยวก็คงจะมา”
หอมน้ำรับรู้เสียงเบาหวิว “ค่ะ”
ศวัสเดินไปทรุดตัวลงนั่งและยกนาฬิกาขึ้นดู ประมาณว่าไม่รู้จะทำอะไรดี
หอมน้ำเบือนหน้ามามองเห็นพอดี “ถ้าคุณหมอมีธุระก็เชิญนะคะ หอมอยู่คนเดียวได้”
ศวัสนิ่วหน้าขยับจะตอบ แต่พอดีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ศวัสหยิบขึ้นมาดูและรับพร้อมกับลุกขึ้น “ครับ คุณเอิง”
หอมน้ำเม้มปากแน่น น้อยใจขึ้นมาอีกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ศวัสเดินออกจากห้องไป ขณะพูด “อ๋อ” และฟังอย่างตั้งใจ
หอมน้ำน้ำตารื้นขึ้นมาขณะมองตาม

ศวัสมีสีหน้าเคร่งขรึม “วันนี้ผมหยุด แต่ก็มีหมอคนอื่น”
“ป้าน้องเอิงนางเยอะค่ะ ไม่ค่อยจะไว้ใจใครง่ายๆ เอาเป็นว่าน้องเอิงจะพาป้าไปหาพี่หมอขาพรุ่งนี้นะคะ”
“แต่เมื่อกี้คุณบอกว่า คุณป้าปวดฟันจนดิ้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ ปล่อยนางดิ้นไปก่อน น้องเอิงล้อเล่นนะค่ะ ตอนนี้ป้ากินยาแก้ปวดเข้าไปเลยค่อยยังชั่วแล้ว ตกลงน้องเอิงนัดพี่หมอแล้วนะคะ”
“ครับ สวัสดีครับ”
เอิงวางสายพลางจุ๊บ โทรศัพท์เบาๆ “สวัสดีค่ะ พี่หมอขา”

หอมน้ำเบือนหน้าไปอีกทางทันทีที่ศวัสกลับเข้ามา
ศวัสนึกเรื่องพูดครู่หนึ่ง “เดี๋ยวเขนคงมาแล้ว”
หอมน้ำพูดโดยไม่หันมา “เชิญคุณหมอเถอะค่ะ หอมอยู่คนเดียวได้”
ศวัสหมั่นไส้ขึ้นมาทันที “ทำไมถึงพยายามจะไล่ชั้นนัก”
หอมน้ำรีบปฏิเสธ “เปล่านะคะ หอมไม่ได้ไล่ แต่เห็นคุณหมอมีธุระ”
ศวัสงง ถามสวนทันที “ธุระอะไร”
หอมน้ำนิ่ง ศวัสเสียงเข้มขึ้นอีก “ธุระอะไร”
“ก็...เห็นคุณหมอโทรศัพท์”
“ชั้นนัดกับคุณเอิงพรุ่งนี้”
อาการหอมน้ำเหมือนเด็กสาวแสนงอน “ก็นั่นแหละค่ะ”
ศวัสเดินอ้อมมาอีกด้านซึ่งหอมน้ำหันหน้าหนีมาทางนั้น “เถียงแบบนี้ คงหายแล้วมั้ง...” ตอนท้ายเขาลากเสียงนิดๆ
หอมน้ำจะเบือนหน้าไปอีก แต่คราวนี้ศวัสจับคางไว้ “เถียงไม่ออกแล้วใช่ไหม”
หอมน้ำช้อนตาขึ้นสบตาศวัส ในขณะที่ศวัสก้มลงมอง
ห้องนั้นทั้งห้องดูเหมือนจะตกอยู่ในบรรยากาศหวานซึ้งครู่หนึ่ง จนหอมน้ำหน้าแดง
จนมีเสียงเคาะประตูทำลายความโรแม้นซ์ขึ้น ศวัสปล่อยคาง แล้วเดินมานั่งที่โซฟา พร้อมกับหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ขณะที่เขนเดินเข้ามารีบตรงไปที่เตียง
“เป็นยังไงบ้าง ตายจริง หอมหน้าแด๊ง...แดง” สาวอวบระยะอึดอัดหันมาทางศวัส “คุณหมอช่วยดูหน่อยซิคะ ว่าหอมเป็นไข้หรือเปล่า”
ศวัสลุกขึ้นและยังทำหน้าตาย “ไม่ได้เป็นอะไร”
ศวัสเดินออกไป โดยมีเขนมองตามงงๆ

อีกฟากหนึ่ง ภายในห้องทำงาน เสียงวดีแหลมปรี๊ด ตวาดลั่นเมื่อฟังแผนของเอิงที่พูดยังไม่ทันจบดี
“แกจะบ้าเรอะ อยู่ดีๆ จะให้ชั้นไปถอนฟัน ฟันชั้นยังดีทุกซี่นะยะ”
“แหม ป้าจะเสียสละถอนซักซี่สองซี่เพื่อน้องเอิงไม่ได้หรือคะ”
“แกมันบ้าจริงๆ”
“บ้าก็บ้าผู้ชายแหละค่ะ น้องเอิงยอมรับ โดยเฉพาะผู้ชายที่เพอร์เฟ็คฝุดๆ อย่างพี่หมอศวัส นะคะป้า Please”
“ไม่ต้องมาพ้งมาพลีส ชั้นไม่บ้าไปกับแกด้วยหรอก”
“เอาแบบนี้ก็ได้ น้องเอิงจะพาป้าไป แล้วป้าบอกพี่หมอว่าป้าหายแล้ว แต่ก็อยากให้พี่หมอตรวจให้ละเอียด”
“ก็แล้วทำไมไม่ให้หมอเขาถอนฟันแกเองล่ะ”
เอิงกอดเอวป้า “ป้าขา Please ในโลกนี้น้องเอิงมองไม่เห็นใครเป็นที่เพิ่งอีกแล้วนอกจากป้า”
วดีก้มมองหลาน สีหน้าแววตาอ่อนลง
“น้องเอิงเป็นลูกกำพร้า จะมองไปทางไหน…”
วดีรับปาก “ก็ได้”
เอิงเงยหน้าขึ้นทันทีและนัยน์ตาเป็นประกายตื่นเต้นดีใจ “น้องเอิงรักป้ามากที่สุดในโลกเลย ป้าเปรียบเหมือนแม่พระ...”
วดีเริ่มตื้นตัน เอิงดับอารมณ์นั้นว่า “เพลิงของน้องเอิง”
“นังน้องเอิง”
เอิงกราบที่ตักวดี “น้องเอิงไปล่ะค่ะ จะไปซื้อชุดใหม่ใส่ไปหาคุณหมอพรุ่งนี้”

เอิงรีบวิ่งออกไป วดีมองตามแล้วส่ายหน้าอ่อนใจ

ภายในห้องพักแพทย์ ศวัสนั่งเอนพนักเก้าอี้ นัยน์ตาจับจ้องมองเพดานเหมือนตกอยู่ในภวังค์

ภาพหวานๆ ซึ้งๆ ระหว่างเขากับหอมน้ำผุดซ้อนเข้ามาในห้วงความคิด เมื่อภาพเหล่านั้นเลือนหายไป ศวัสถอนใจเบาๆ นึกถึงเหตุการณ์วันที่พ่อแม่ของหอมน้ำมาหาเขาครั้งล่าสุด

โดยตอนนั้นศวัสเปิดประตูห้องพักแพทย์ เบี่ยงตัวให้โสภณกับเกสรเดินเข้ามา แล้วจึงปิดประตู
“เชิญนั่งครับ”
โสภณลงนั่งก่อนศวัสจะพูดจบ “ไม่ต้องเชิญก็นั่งแล้ว”
เกสรค้อนขวับ “ปวดฟันแล้วยังมาทำสำบัดสำนวน เดี๋ยวให้คุณหมอฟันทันตแพทย์เลาะออกให้หมดทั้งปากเลย”
“กินยาแก้ปวดเข้าไป มันก็ค่อยยังชั่วแล้วนี่
“คุณอาบอกว่ามีธุระจะพูดกับผมหรือครับ” ศวัสถามขึ้น
โสภณและเกสรมีสีหน้าจริงจังขึ้น บอก “ใช่” พร้อมกัน
“คือคุณอาทั้งสองอยากจะขอให้คุณหมอฟันทันตแพทย์ช่วยสอดส่องดูแลหอมน้ำหน่อยค่ะ”
ศวัสขยับตัว
โสภณยกมือขึ้นห้ามทันที “อย่า อย่าเพิ่งปฏิเสธ คุณอารู้ว่าคุณหมอฟันทันตแพทย์มีงานมากอยู่แล้ว แต่คุณอาก็ไม่ไว้ใจใครนอกจากคุณหมอฟันทันตแพทย์”
เกสรพยักพเยิดรับช่วงต่อ “เจ้าเขนมันคอยดูแลเพื่อนก็จริง แต่มันก็ยังเด็ก คงไม่รอบคอบเท่าคุณหมอฟัน...”
โสภณรีบต่อ “ทันตแพทย์”
เกสรหันมาเหล่ผัว
“จะว่าไปก็เป็นความผิดของคุณอาที่เลี้ยงลูกปกป้องจนเกินไป โดยเฉพาะคุณอาเกสรคนนี้” โสภณหันมาพยักหน้าใส่เมีย
เกสรสวนทันทีพลางชี้หน้าโสภณ “ไอ้คุณอาโสภณนี่ก็ใช่เล่น ขนาดหอมน้ำไปทำกิจกรรมหรือเรียนพิเศษ ก็ไปนั่งเฝ้าอยู่ด้วย ส่วนคุณอาเกสรเองก็มักจะพาหอมน้ำเข้าวัด ฟังเทศน์ฟังธรรม เรียกว่าเข้าวัดมากกว่าโรงหนังหรือไปเที่ยวนั่นแหละ”
“หอมน้ำมันถึงได้จิตใจสะอาด ซื่อไม่ค่อยจะทันคนไง ไอ้เขนนั่นมันก็ทำตัวคล้ายๆ แมน คอยเป็นหูเป็นตาดูแลเพื่อน”
“ความจริงคุณอาทั้งสองคนก็ไม่อยากให้หอมน้ำมาอยู่กรุงเทพมหานครหรอก แต่มันดันสอบได้ เพื่ออนาคตของลูก คุณอาจึงจำต้องยอม อีกอย่างไอ้เขนมันก็รับปากจะดูแลอย่างดี ซึ่งมันก็ทำได้อย่างนั้นจริงๆ”
“ปัญหามันอยู่ที่ ปุบปับฉับพลันมันเกิดได้เป็นดารา”
เสียงโสภณดังขึ้นอีก “บอกตรงๆ นะ คุณอากลัวว่าชีวิตหอมน้ำจะเหมือนชีวิตของพุธกันยา”
น้ำเสียงเกสรตกใจ “คุณอาโสภณ ขอโทษนะคุณหมอ ปากคุณอาโสภณน่ะไม่มีหูรูด”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
ศวัสถอนใจยาว

หอมน้ำนอนหลับตานิ่งๆ ท่าทางอ่อนล้าโรยแรง เขนนอนอ่านหนังสือดาราอยู่บนโซฟา มือก็ควักขนมคบเคี้ยวเข้าปากเคี้ยวหยับๆ
สักพักหนึ่ง เสียงโทรศัพท์หอมน้ำดังขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้น
หอมน้ำผินหน้ามามอง ขณะที่เขนลุกนั่งหยิบขึ้นมาดู บอกกับหอมเบาๆ “คุณเจค เอาไง”
หอมน้ำพยักหน้า “รับเถอะ”
เขนกดรับสาย “สวัสดีค่ะ คุณเจค”
เจคโทร.จากห้องทำงานออฟฟิศสร้างศิลป์ “หอมน้ำอยู่ด้วยหรือเปล่า ทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์”
“หอมน้ำไม่สบายค่ะ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”

เจคเดินอย่างเร็วรี่ออกจากห้อง พนักงานในบริเวณนั้นต่างมองท่าทางรีบร้อนนั้นอย่างแปลกใจ เมื่อเข้ามานั่งในรถแล้วเจคสตาร์ตเครื่องทันที
“กัลยา ผมไม่รู้ว่า คุณอยู่ในรถกับผมหรือเปล่า”
เจคหยุดพูด นิ่งรอฟังสัญญาณ
“กัลยา ผมอยากให้คุณไปกับผม”
เจคขับรถออกไป โดยมีวิญญาณพุธกันยานั่งอยู่เบาะตอนหลัง

ไม่นานนัก เจคเปิดประตูห้องพักฟื้นเข้ามา โดยพุธกันยายังไม่ปรากฏตัว เขนกับหอมยกมือไหว้
เจครับไหว้แล้วต่อว่าในที “ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์ พี่โทร.หาตั้งแต่วันปิดกล้อง”
“หอมไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ไม่รู้เป็นอะไร มันเพลียไปหมด”
เจคนัยน์ตาเป็นประกายแวบหนึ่ง “เพลียหรือ”
“ค่ะ”
เจคพยักหน้า ยิ้มบางๆ “ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือมาเยี่ยม มัวแต่รีบ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เจคหันมาตำหนิเขน “ทีหน้าทีหลังมีอะไรก็ต้องรีบบอกพี่ เข้าใจไหม พี่ก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของพวกเธอ”
เขนไหว้ “ขอบคุณค่ะ เขนกับหอมเกรงใจคุณเจค”
“พูดอย่างนี้พี่เสียใจนะ”
เขนจ๋อยรีบไหว้ “เขนขอโทษค่ะ”
เจคหันมาทางหอมน้ำ “แล้วต้องอยู่โรงพยาบาลกี่วันล่ะ”
“เห็นคุณหมอบอกว่า จะให้อยู่ดูอาการพรุ่งนี้อีกวัน”
เจคนิ่วหน้านิดๆ “คุณหมอ”

ทั้งสองคน นั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟโรงพยาบาล เจคยกกาแฟขึ้นจิบ
“ขอบคุณมากครับ ที่คุณอาเป็นห่วงหอม แต่เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“นี่พ่อแม่เขารู้เรื่องหรือยัง”
“ผมโทร.ไปบอกแล้วครับ ทั้งสองท่านฝากให้ผมช่วยดูแลหอมด้วย”
แววตาเจคเป็นประกายวาบมีความไม่พอใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วฝืนยิ้มให้เป็นปกติ
“ก็ดี คงไม่ว่าอะไรนะที่อาจะคอยโทร.มาถามอาการ”
“ไม่ว่าเลยครับ ดีเสียอีกที่มีคนคอยห่วงใยเขาเยอะๆ”
เจคลุกขึ้น “อาไปล่ะ พรุ่งนี้อาจจะแวะมาใหม่”
“ครับ” ศวัสลุกตาม
เจคเดินไป โดยมีศวัสมองตาม ในสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย จากตอนค่ำที่ผู้คนยังคงคึกคัก กลายเป็นเวลาดึก ผู้คนค่อยหายไปจนเหลือเพียงเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงัด
ภายในห้องพักของหอมน้ำ เขนนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟา สักครู่มีไอเย็นลอยออกมาจากลมหายใจหอมน้ำ ตามด้วยเสียงแผ่วโหยของพุธกันยา “หอมน้ำ...หอมน้ำ...”
หอมน้ำขยับตัวเล็กน้อย “ใครน่ะ”
เสียงพุธกันยาบอกว่า “ชั้นเอง”
หอมน้ำพึมพำ “คุณพุธ”
“ถอดสร้อยออก” น้ำเสียงพุธกันยาเบาแต่ทรงอำนาจ
ท่าทางหอมน้ำตอนนี้เหมือนถูกผีอำ
“ถอดสร้อย”
หอมน้ำค่อยๆ ถอดสร้อยออกราวกับถูกสะกดแล้ววางไว้ที่หมอน

พุธกันยาซึ่งยืนจ้องอยู่ ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

อ่านต่อตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น