xs
xsm
sm
md
lg

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พรายพยากรณ์ ตอนที่ 11

ฟ้ารุ่งที่กำลังย่ำแย่ นั่งปรึกษาหมอูคนเดิม ด้วยสภาพน้ำตาไหลพราก ไอน์ลายเนอร์เปื้อนยาว
 
“หมอดูแม่นจริง ๆ หนูเลิกกับเค้าแล้ว พอจะมีทางทำให้เค้ากลับมาหาหนูมั้ยคะ? ขอร้องนะคะแม่หมอ ช่วยหนูที หนูขาดเค้าไม่ได้ ฮือ ๆ ช่วยหนูด้วย หนูอยากให้เค้ากลับมา”
หมอดูมองฟ้ารุ่งอย่างครุ่นคิด

ฟ้ารุ่งแต่งตัวเซ็กซี่อยู่หน้ากระจก มือที่ถือว่าน ยกขึ้นพนมไหว้อย่างใช้สมาธิ พลันเสียงหมอดูก็ย้อนกลับมา
“ว่านมหาเสน่ห์ น้องเอาไปมัดกับวันเดือนปีเกิดแฟน แล้วท่องคาถาหน้ากระจก ในคืนเดือนเพ็ญ เปิดหน้าต่าง ให้แสงจันทร์เข้ามา ท่องคาถาสามรอบ แล้วดื่มน้ำมนต์นี่ตาม รับรองว่า แฟนน้องต้องกลับมา”
ว่าแล้วฟ้ารุ่งก็หยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาท่อง
“รักกู หลงกู กลับมาหากู รักกู หลงกู กลับมาหากู รักกู หลงกู กลับมาหากู”
ทันทีที่ท่องจบ ก็มีเสียงเปิดประตูเปิด พร้อมกับเอกที่เดินเข้ามา ฟ้ารุ่งยิ้มดีใจ
“ในที่สุด เอกก็กลับมาหาฟ้า”
พลางจะโผเข้าไปกอด แต่เอกกลับโบกมือห้าม
“ผมไม่ได้กลับมาหาฟ้า ผมกลับมาเอาของ”
ฟ้ารุ่งถึงกับเหวอ “นอกจากฟ้าแล้ว ยังมีของมีค่าอะไร ที่สำคัญสำหรับเอกอีกเหรอ?”
“ผมลืมนาฬิกาเอาไว้”
พูดจบก็เดินไปค้นในตู้เสื้อผ้า หยิบกล่องนาฬิกาออกมา แล้วจะเดินออกไป
“นาฬิกานั่นสำคัญกับเอกขนาดนี้เลยรึไง?”
“ใช่ นาฬิกาเรือนนี้ พิณซื้อให้ผม”
พูดจบเอกก็เดินออกไปทันที ฟ้ารุ่งสุดจะเจ็บปวด กรีดร้องลั่น ด้วยความแค้น
“นังพิณ ฉันจะฆ่าแก”

เอกเดินลากกระเป๋าเข้ามาที่ขวัญทิพย์อพาร์ตเม้นต์ 2 ผัว- เมียขวัญทิพย์กับแพนเค้ก รีบฉีกยิ้มทันที ทั้งที่เพิ่งซุบซิบเม้าท์เขาอยู่หยกๆ
“พี่ครับ ผมจะขอเช่าห้องของพิณครับ”
ขวัญทิพย์กับแพนเค้กมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“แต่น้องพิณยังเช่าอยู่”
“เรื่องนั้น ผมจะคุยกับพิณเอง”
สองผัว-เมียชะงัก ลังเล เอกรู้นิสัยดี เลยรีบบอก
“ผมไม่ได้อยู่ฟรีนะครับ จะจ่ายค่าเช่าให้พี่ด้วย”
ขวัญทิพย์ตาวาว หันไปสุมหัวปรึกษาผัวทันที ก่อนจะหันกลับมามองพร้อมส่งยิ้มหวาน เอกยิ้มอย่างพอใจ

จ่าเหยินมองภิชาสินีที่เดินเข้ามาในโรงพักตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสนใจ ก่อนจะถลาเข้าไปหา แล้วยื่นหน้าไปถามเป็นชุด
“มาพบเรื่องอะไร? เป็นแฟนหมวดเหรอครับ? คบกันมากี่ปี? ไปเจอกันที่ไหน? ชอบกันได้ยังไง?
อายุเท่าไหร่? ถึงสิบแปดรึยัง? มาหาหมวดทำไม?”
อรรถพรออกมาเห็น ก็รีบไปดึงจ่าเหยินออกมา
“จ่า ถอยออกมา เดี๋ยวฟันจะเฉาะหน้าคุณภิ”
ภิชาสินีรีบหันบอกอรรถพรด้วยสีหน้าเครียด
“หมวด เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

ภิชาสินีลากมืออรรถพรออกมาคุยกันในที่ลับตาคน
“ฉันสงสัยว่าหนึ่งจะไปทำเรื่องไม่ดีมา”
อรรถพรนิ่วหน้า “ทำไมคิดแบบนี้ ?”
ภิชาสินียื่นหน้ามากระซิบ “ฉันเห็นวิญญาณตามหนึ่งน่ะสิ วิญญาณตัวนั้น พยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับฉันด้วย แต่ฉันไม่ได้ยิน ฉันอยากให้คุณลองไปถามหนึ่งดู”
“ได้ ว่าแต่วิญญาณนั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง?”
“ผู้ชาย มีอายุ”
อรรถพรคิดแล้วก็อึ้ง “หรือว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงนายหนึ่ง? วันก่อน ผมเห็นเค้าสองคนมีปากเสียงกัน หวังว่านายหนึ่งคงจะไม่ทำอะไรบ้าๆ”
อรรถพรกับภิชาสินีมองหน้ากัน ต่างคนต่างใจคอไม่ดี

ภิชาสินีรีบจ้ำเดินเข้ามาในอพาร์ตเม้นต์พร้อมกับอรรถพร หนึ่งที่เพิ่งเลิกเรียนก็เดินเข้ามาเห็น
 
ทั้งคู่ก็รีบแซว
“ท่าทางจะเป็นห่วงพี่อรรถมาก มาเยี่ยมทุกวันเลยนะพี่ภิ”
แต่ภิชาสินีกลับบอกว่า “พี่ไม่ได้มาเยี่ยมหมวดอรรถ พี่มาหาหนึ่ง”
“มาหาผมทำไม?”
อรรถพรหันไปจับไหล่หนึ่งให้หันมา พลางมองจ้องเข้าไปในดวงตา
“พูดความจริงมาเดี๋ยวนี้ หนึ่งทำร้ายพ่อเลี้ยงรึเปล่า?”
หนึ่งส่ายหน้างงๆ
“เปล่า ผมจะไปทำร้ายเค้าทำไม? ถึงจะเกลียดเค้าแค่ไหน ผมก็ไม่หาเรื่องให้ตัวเองติดคุกหรอก
มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ ๆ พวกพี่ถึงถามผมแบบนี้?”
อรรถพรกับภิชาสินีมองหน้ากัน หนึ่งเห็นสายตาของทั้งคู่แล้วเริ่มใจไม่ดี
ภิชาสินีถอนใจ ก่อนจะตัดสินใจพูด
“พี่เห็นวิญญาณผู้ชายแก่ตามหนึ่งอยู่”
หนึ่งได้ยินแบบนั้น ก็หันขวับมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกระโดดเข้าไปกอดอรรถพรด้วยอาการตื่นกลัว
“มิน่าช่วงนี้รู้สึกเหมือนมีใครตาม ผมไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยทำร้ายใครจริง ๆ นะ ตอนนี้ยังตามอยู่
รึเปล่าพี่? เราไปวัดกันดีกว่า ให้หลวงพ่อไล่ผีด่วนเลย”
“ใจเย็น ๆ หนึ่ง ตอนนี้เค้าไม่อยู่ ก่อนจะไล่หรือจัดการกับผีตนนั้น เราต้องรู้ให้ได้ก่อน ว่าเค้าตามหนึ่งทำไม?”
“หรือว่าจะมาขอส่วนบุญ ?” หนึ่งเดา
“หนึ่งไม่ใช่คนทำบุญ เข้าวัด ปฎิบัติธรรม เค้าไม่น่าจะมาขอส่วนบุญจากหนึ่ง ส่วนใหญ่สาเหตุที่คนตายตามคนเป็น มีอยู่สองเหตุผล? รักกับแค้น ถ้าเค้าไม่ได้ตามหนึ่งเพราะแค้น ก็น่าจะเป็นเพราะรัก”
อรรถพรรีบหันมาถามหนึ่ง “ลองคิดดี ๆ สิ มีใครที่รักหนึ่งมาก ๆ แต่เสียชีวิตไปแล้วบ้าง?”
หนึ่งชะงักไปทันที

จากนั้นหนึ่งก็พาทั้งคู่เข้ามาในห้อง ก่อนจะหยิบรูปพ่อให้ภิชาสินีดู
“คนนี้รึเปล่าครับ?”
ภิชาสินีพยักหน้า “ใช่”
หนึ่งหน้าเศร้าลงทันที อรรถพรแปลกใจ
“ใครเหรอ?”
หนึ่งหน้าศร้า ค่อยๆ ถอยลงไปทรุดนั่ง สีหน้าเจ็บปวด
“พ่อผมเอง พ่อเสียไปตั้งหลายปีแล้ว ทำไมพ่อยังไม่ไปเกิด หรือว่าเป็นเพราะผม ?”
อรรถพรตามไปนั่งใกล้ ๆ พลางบีบไหล่หนึ่งอย่างเห็นใจ พูดอะไรไม่ออก ภิชาสินีก็ได้แต่เงียบ
หนึ่งนึกได้ รีบหันไปถาม
“ตอนนี้พ่ออยู่ด้วยรึเปล่าครับ?”
ภิชาสินีกวาดตามองรอบห้อง แล้วจึงเห็นพ่อลอยอยู่ที่หน้าต่าง มองหนึ่งด้วยแววตาเศร้า และแสนห่วงใย
“อยู่ที่หน้าต่าง”
หนึ่งลุกขึ้น มองไปที่หน้าต่างทั้งน้ำตา แล้วค่อย ๆ เดินไปหา พลางพูดกับพ่อด้วยน้ำเสียงเศร้า
“พ่อครับ ทำไมพ่อยังไม่ไปเกิด พ่อเป็นห่วงผมเรื่องอะไร?”
พ่อมองหนึ่งด้วยแววตาเศร้า ก่อนจะเอ่ยบอกอย่างแผ่วเบา “แม่ แม่”
ภิชาสินีพยายามอ่านปากพ่อหนึ่ง เพราะแทบไม่ได้ยินเสียงเลย
“พ่อว่ายังไงบ้างครับ?”
“แม่”

หนึ่งครุ่นคิดด้วยความสงสัย

ทางด้านแม่หนึ่ง ที่กำลังนอนอยู่ขนเตียงในห้องพักที่โรงพยาบาล นั่งคุยกับพ่อเลี้ยงด้วยสีหน้าเป็นทุกข์
 
“อย่าคิดมาก เรื่องเจ็บป่วยมันเป็นเรื่องปกติ เพิ่งรู้แบบนี้ หมอบอกแล้วว่ารักษาได้”
แม่หนึ่งฝืนยิ้ม “ฉันรู้ดี ที่ฉันเป็นแบบนี้ คงจะเป็นเพราะบาปกรรม ที่ฉันเคยทำไว้กับพ่อของหนึ่ง
ช่างมันเถอะ ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
“ไม่ได้นะ ถ้าคุณไม่รักษา อาการจะยิ่งแย่”
ขาดคำ แม่ก็ร้องไห้ออกมา พ่อเลี้ยงทอดถอนใจรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน พลันมือถือก็ดังขึ้นมา พ่อเลี้ยงดูเบอร์เห็นเป็นหนึ่งก็ชะงัก ก่อนจะรีบรับสาย
“แม่อยู่ที่ไหน?”

หนึ่งมองหน้าพ่อเลี้ยงด้วยสายตาจงชัง ภิชาสินีกับอรรถพรยืนอยู่ข้าง ๆ
“ผมอยากคุยกับแม่ ไม่ได้อยากคุยกับคุณ”
พ่อเลี้ยงรีบบอก “ก่อนคุยกับแม่ คุยกันก่อนเถอะ ฉันขอร้อง”
“ทำไมต้องคุย ?”
พ่อเลี้ยงถอนใจ ภิชาสินีมองอย่างเห็นใจ พลางจับไหล่หนึ่งด้วยอาการอ่อนโยน
“คุยกับเค้าเถอะนะ เค้าคงมีเรื่องสำคัญจริง ๆ”
อรรถพรหันมาบอก “หนึ่งโตแล้ว ถึงเวลาที่ต้องฟังคนอื่นบ้าง พวกพี่จะไปคอยตรงโน้น”
“ไม่ ถ้าจะคุยกัน พี่อรรถกับพี่ภิ ต้องอยู่ด้วย ถ้าพวกพี่ไม่อยู่ ผมคงอดทนฟังผู้ชายคนนี้ไม่จบ”
ภิชาสินีกับอรรถพรทำสีหน้าลำบากใจ เพราะไม่อยากก้าวก่ายเรื่องในครอบครัว แต่พ่อเลี้ยงยิ้มบาง ๆ บอกอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไรครับ พวกคุณอยู่ฟังด้วยก็ได้”
จากนั้นก็บอกหนึ่งด้วยสีหน้ากังวล
“หมอเพิ่งตรวจเจอ ว่าแม่หนึ่งเป็นมะเร็งลำไส้”
หนึ่งตกใจแทบช็อก ภิชาสินีกับอรรถพรพลอยตกใจไปด้วย
“โชคดีที่ไม่ได้อยู่ในระยะร้ายแรง ยังมีทางรักษาให้หายได้ ต้องผ่าตัดและทำคีโม แต่แม่หนึ่งไม่ยอมทำการรักษา”
“ทำไม?” หนึ่งหันมาย้อนถาม
“แม่เค้ามีเหตุผลบางอย่าง ฉันขอร้อง ช่วยทำให้แม่นายเปลี่ยนใจที”
หนึ่งยืนอึ้ง ไปไม่ถูก พูดไม่ออก วิญญาณพ่อที่ยืนอยู่ไกลๆ มองลูกทั้งน้ำตาด้วยความสงสาร

หนึ่งเดินมาหาแม่ที่นอนหลับอยู่บนเตียง พลางค่อยๆ เดินมาใกล้ๆ มองแม่ด้วยความสะเทือนใจ น้ำตาไหลพราก
แม่รู้สึกตัว ค่อย ๆ ลืมตา หนึ่งเห็นแม่ตื่นก็รีบเช็ดน้ำตา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม่หันมาเห็นหนึ่งยืนอยู่ข้างเตียงก็ชะงัก หน้าเศร้าไปนิด ก่อนจะรีบหันไปทางอื่น พลางพูดกับลูกแบบไม่มองหน้าด้วยเสียงห้วน เพื่อกลบเกลื่อนความเจ็บปวด ความอ่อนแอภายใน
“มาที่นี่ได้ยังไง?”
หนึ่งพยายามทำสุ้มเสียงให้ปกติ “สามีแม่บอก”
“เห็นแก่ที่ฉันไม่สบาย ย้ายไปมาอยู่ด้วยกันซะ”
หนึ่งย้อนถาม “ไม่สบายแล้วทำไมไม่รักษา?”
“มันเรื่องของฉัน แกเป็นลูก มีหน้าที่ทำตามคำสั่งของแม่ ไม่ต้องถามมาก”
หนึ่งตัดสินใจพูดทั้งน้ำตา
“ถ้าผมป่วย แล้วไม่ยอมรักษา แม่จะทำยังไง? แม่จะยืนดูผมตายไปโดยไม่ทำอะไรรึเปล่า? ถึงแม่จะไม่รักผมก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยรักตัวเองหน่อยได้มั้ย ผมเสียพ่อไปคนแล้ว ถ้าเสียแม่อีกคน ผมจะอยู่ยังไง ?”
แม่ชะงัก หันมามองดวงตาใบหน้าของลูกเต็มๆ ตา เห็นน้ำตาจากความเจ็บปวดของลูกก็ทำใจแข็งต่อไปไม่ไหว พลันน้ำตาก็ไหลร่วง หนึ่งโผเข้าไปกอดแม่ สองแม่ลูกร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
“แม่รักษาตัวเถอะนะครับ ผมขอร้อง”
“ที่แม่ต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะบาปกรรมที่ทำเอาไว้ แม่ผิดเอง ผิดที่ดูแลลูกไม่ดี ผิดที่ทิ้งพ่อ ทำให้พ่อต้องตาย แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ”
หนึ่งรอคอยคำขอโทษจากแม่มานาน เมื่อแม่พูดเช่นนั้น อคติ ความโกรธ ในหัวใจก็สลาย เด็กหนุ่มร้องไห้โฮกอดแม่เอาไว้แน่น
“ผมก็ขอโทษ ขอโทษที่พูดไม่ดีกับแม่ ขอโทษนะครับแม่ ขอโทษ”

“แม่ไม่เคยโกรธลูกเลย แม่เข้าใจ เข้าใจเสมอ”

แม่กอดปลอบลูกชายอย่างที่อยากกอดมานาน หนึ่งกอดแม่ทัง้น้ำตา ความอบอุ่นที่เคยอยากได้รับ บัดนี้ได้แล้วอย่างเต็มเปี่ยม พลางปล่อยวางความโกรธ ให้อภัยแม่อย่างเต็มหัวใจ
 
วิญญาณของพ่อ ยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจ
อรรถพรที่นั่งรออยู่กับลภิชาสินีที่หน้าห้อง อดหันมาถามอย่างงสัยไม่ได้
“ผมสงสัย ทำไมแม่หนึ่งถึงไม่ยอมรักษาตัว?”
“ไม่ยอมรักษา เท่ากับฆ่าตัวตาย คนที่ทำแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดลึก ๆ แม่หนึ่งไม่ยอมให้อภัยตัวเอง ก็เลยลงโทษตัวเองด้วยการทำแบบนี้”
อรรถพรถอนหายใจ
“ขอให้หนึ่งเปลี่ยนใจแม่ได้ด้วยเถอะ ผมสงสารหนึ่ง อายุยังน้อย แต่เจออะไรมากมายเหลือเกิน”
ภิชาสินีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พลันวิญญาณพ่อก็เดินทะลุประตูห้องออกมายืนมองจ้อง
ภิชาสินีชะงัก พ่อชี้เข้าไปในห้อง พลางมองภิชาสินีด้วยแววตาเศร้า

หนึ่งบีบมือแม่ที่กุมไว้แน่น
“ที่แม่ให้หนึ่งอยู่โรงเรียนประจำตอนนั้น เพราะหนึ่งเกลียดคุณกฤษมาก ถ้าอยู่ด้วยกันคงมีปัญหา ทะเลาะกันทุกวันแน่ ๆ ตอนนั้นแม่แพ้ท้องมาก แม่ไม่มีกำลังจะห้ามลูก หรือจัดการอะไรได้ แต่ที่มากกว่านั้นคือ
ทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก แม่รู้สึกผิดกับพ่อของลูกเหลือเกิน”
“เรื่องมันผ่านมาแล้ว แม่ยกโทษให้ตัวเองเถอะนะครับ”
แม่น้ำตาริน “แม่ทำแบบนั้นไม่ได้ สิ่งที่แม่ทำมันเลวร้ายมาก แม่เป็นต้นเหตุให้พ่อของลูกต้องตาย .แม่ทิ้งลูกให้เจ็บปวดเพียงลำพัง แม่ให้อภัยตัวเองไม่ได้จริงๆ”
“แม่ก็เลยจะลงโทษตัวเองด้วยการไม่ยอมรักษาโรคมะเร็งเหรอครับ?”
แม่นิ่ง พูดไม่ออก บอกไม่ถูก หนึ่งมองแม่อย่างครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจพูดออกมา
“พ่อมาหาผม”
แม่อึ้ง พลางหันมามองหนึ่ง
“พ่อมาจริง ๆ แม่ก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนพูดโกหก”
“พ่อเค้าคงเกลียดแม่มาก เค้าคงด่าแม่ สาปแช่งให้แม่ตายอย่างทรมานใช่มั้ย แม่รู้ดีว่าพ่อของลูกคงไม่มีทางให้อภัยแม่”
“ไม่ใช่ค่ะ ที่พ่อของหนึ่งยังอยู่ ไม่ใช่เพื่อสาปแช่งคุณ หรืออยู่เพราะแค้นคุณ”
หนึ่งกับแม่หันไปมองภิชาสินีกับอรรถพรที่เดินเข้ามา วิญญาณของพ่อยืนอยู่ใกล้ๆ แม่มอง
ภิชาสินีอย่างแปลกใจ
“เธอเป็นใคร?”
หนึ่งรีบแนะนำ “พี่ภิอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์ รู้จักกันมานานแล้ว เค้ามีความสามารถพิเศษ ติดต่อกับวิญญาณได้ครับแม่”
ภิชาสินีดูในกระดาษที่จดมา แล้วพูดต่อ
“พ่อของหนึ่งฝากบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้น เค้าก็มีส่วนผิด เพราะมัวแต่ทำงาน ไม่เคยมีเวลาให้ครอบครัว ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยดูแลคุณน้า ปล่อยให้คุณน้าเหงา”
“แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ฉันจะมีคนอื่น”
ภิชาสินีหันไปมองพ่อ ที่มองแม่อย่างเห็นใจ ก่อนจะดูกระดาษที่จดอีกรอบ แล้วพูดต่อ
“พ่อของหนึ่งบอกว่า สาเหตุที่เค้าตาย ไม่ใช่เพราะคุณน้ามีคนอื่น แต่เป็นเพราะตัวเค้าเอง ที่ไม่เคยยอมรับความจริง เอาแต่โทษคนอื่น ไม่เคยรักตัวเอง กินแต่เหล้า คุณลุงต่างหากที่ทำร้ายตัวเอง ไม่ใช่คุณน้า”
แม่ฟังแล้วก็เสียใจจนน้ำตาร่วง “เค้าอยู่ตรงไหน?”
ภิชาสินีชี้ไปตรงที่พ่อยืนอยู่ แม่หันไปมอง
“ฉันขอโทษ ขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอโทษที่ทำให้คุณเจ็บปวด”
พ่อมองแม่อย่างอ่อนโยน
“คุณลุงให้อภัยคุณน้านานแล้ว คุณน้าต่างหากที่ไม่ยอมให้อภัยตัวเองสักที”
แม่ได้ยินแบบนั้นก็ปล่อยโฮ เพราะความทุกข์ที่แบกมานาน ได้รับการปลดปล่อยแล้ว
“ที่คุณลุงยังไม่ไปไหน ก็เพราะเป็นห่วงคุณน้ากับหนึ่ง ที่ยังจมกับเรื่องของอดีต คุณลุงบอกให้คุณน้าเลิกลงโทษตัวเอง เริ่มรักษาตัว แล้วมีชีวิตอยู่ดูแลหนึ่งต่อไป คุณลุงจะได้หมดห่วงเสียที”
แม่หันไปมองทางที่พ่อ พลางบอกทั้งน้ำตา
“ขอบคุณมากนะคะที่ให้อภัยฉัน ฉันสัญญาจะเริ่มการรักษาเพื่อมีชีวิตอยู่ ดูแลหนึ่งให้ดีที่สุด คุณไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว”
พ่อยิ้มอ่อนโยนให้แม่ หนึ่งน้ำตาคลอ
“ผมสัญญาว่าจะเป็นคนดี จะตั้งใจเรียน จะดูแลแม่ให้ดีที่สุด และจะหมั่นไปทำบุญให้พ่อบ่อย ๆ ผมรักพ่อครับ รักพ่อที่สุด”
“พ่อก็รักลูก”
ภิชาสินีมองอย่างตื้นตันใจ พลางรีบบอกหนึ่ง ด้วยเสียงสั่นเครือ
“พ่อเค้าก็รักหนึ่งเหมือนกัน”
น้ำตาที่คลออยู่ ร่วงรินลงมาทันที พ่อยิ้มอ่อนโยน มองหนึ่งกับแม่อย่างสบายใจ พลันวิญญาณก็ค่อย ๆ ล่องลอยขึ้น ก่อนจะปลิวหายไป ในอากาศ
“คุณลุงไปดีแล้วค่ะ”

หนึ่งกับแม่พยักหน้า ก่อนจะหันมากอดกัน ภิชาสินีกับอรรถพรหันมายิ้มให้กัน

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 11 (ต่อ)

ภิชาสินีกับอรรถพรเดินออกมาจากโรงพยาบาล เพราะอยากจะให้หนึ่งกับแม่ได้อยู่กันตามลำพัง
 
“ต่อไปนี้ หนึ่งคงไม่ต้องอยู่อย่างเดียวดายอีก”
ภิชาสินีพยักหน้า “หวังว่าหนึ่งจะปรับตัวเข้ากับพ่อเลี้ยงและน้องๆ ได้”
“ต้องได้สิ หนึ่งรู้แล้วว่าแม่รักหนึ่งแค่ไหน ความรักของแม่จะช่วยให้หนึ่งอดทน. แต่ผมสงสัย
ถ้าพ่อหนึ่งตามหนึ่งมานานแล้ว ทำไมเพิ่งปรากฎตัว?”
“จากที่เห็น กำลังในการสื่อสารของท่านน้อยมาก แสดงว่าท่านคงจะพยายามให้เราเห็น
มานานแล้ว แต่พลังของจิตไม่พอ ช่วงนี้อาจจะมีเริ่มมีกำลัง เลยเพิ่งปรากฏตัวได้”
อรรถพรพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นสองคนก็จะเดินต่อไปที่รถ แต่หนึ่งรีบวิ่งมาพลางตะโกนเรียกไว้
“เดี๋ยวครับพี่ภิ ขอบคุณมากนะครับพี่ภิ ที่ช่วยผมเรื่องพ่อกับแม่”
ภิชาสินียิ้มจริงใจ “หนึ่งก็เหมือนน้องชายพี่ ไม่ช่วยน้อง แล้วจะไปช่วยใคร”
“ขอบคุณพี่อรรถด้วย ที่ผ่านมาพี่อรรถดูแลผมมาตลอด”
อรรถพรยิ้มอย่างเอ็นดู
“หนึ่งก็ดูแลพี่ ตอนที่พี่เจ็บเหมือนกัน ถือว่าเจ๊า ไม่ติดหนี้บุญคุณ โอเคป่ะ”
หนึ่งนึกได้ รีบหันไปบอกภิชาสินี
“ผมอยากขอโทษพี่พิณ ที่พูดไม่ดีวันที่พวกพี่ย้ายออกไป ผมไม่สบายใจเลย พี่ภิพอจะพาผมไปหาพี่พิณได้มั้ยครับ?”

ทางด้านพิณชนิดา ก็กำลังนั่งประชุมหน้าเครียดอยู่กับภูมินทร์ และก้องภพ
“แสดงว่าตอนนี้ มีผู้ต้องสงสัยที่ประสงค์ร้ายกับคุณภู ทั้งหมด 2 คน คุณแสงโชติกับคุณสิรวิทย์”
ภูมินทร์หน้าเครียด “แสงโชติเป็นไปได้ แต่สิรวิทย์ไม่น่าใช่”
“ถ้าไม่ได้คิดร้าย คุณวิทย์จะส่งคนสะกดรอยตามคุณภูทำไมครับ?”
“เรื่องนี้ฉันนอนคิดทั้งคืน ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันต้องไปถามไอ้วิทย์ให้รู้เรื่อง”
พิณชนิดาตกใจ รีบแย้งเสียงดัง “จะบ้าเหรอ ขืนนายไปถาม ไก่ก็ตื่นกันพอดี”
“ฉันกับสิรวิทย์เป็นเพื่อนรักกันมานาน มีอะไรก็ควรคุยกันตรง ๆ ถ้าเพื่อนอยากจะฆ่ากัน ฉันก็อยากรู้เหตุผล”
ขาดคำก็จ้ำเดินออกไป พิณชนิดากับก้องภพมองตาม
“คุณก้องจะปล่อยไปแบบนี้จริง ๆ เหรอคะ?”
ก้องภพพยักหน้า “คุณภูตัดสินใจแล้ว เราคงทำอะไรไม่ได้”
“แต่ฉันไม่อยากให้เค้าไปพบกับคุณวิทย์แบบนี้เลย เกิดคุณวิทย์คิดร้ายกับนายภูจริงๆ จะทำยังไง?”
ก้องภพหน้าสลด “คุณพิณดูเป็นห่วงคุณภูมากเลยนะครับ”
พิณชนิดารีบแก้ตัว
“ไปอยู่ในอุ้งมือมารแบบนี้ เป็นใครฉันก็ห่วงทั้งนั้น”
ก้องภพมองพิณชนิดาอย่างครุ่นคิด

ลูกน้องสิรวิทย์ทำเหมือนอ่านหนังสือพิมพ์ แต่จริงๆ แล้วคอยมองด้านในบริษัท จู่ ๆ มีมือมาสะกิด พอหันไปมอง ก็เห็นภูมินทร์ยืนอยู่
“กลับไปบอกเจ้านายแก ถ้ายังเห็นฉันเป็นเพื่อน ไปเจอกันที่ร้านเดิม”

ภูมินทร์จิบกาแฟร้อนอย่างใจเย็น ก่อนจะวางลง แล้วมองหน้าวิรวิทย์ ที่นั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
 
“แกต้องการอะไร? ให้คนตามฉันทำไม?”
“ระแวงว่าฉันจะคิดร้ายกับแกรึไง? ฉันจะทำแบบนั้นไปเพื่อ?” สิริวิทย์ย้อนถาม
“แกชอบสุดา”
สิรวิทย์ถึงกับอึ้ง “แกรู้?”
“เราเป็นเพื่อนกันมานานมาก ฉันเห็นแววตาที่แกมองสุดาแค่แว้บเดียวก็รู้”
“ฉันขอโทษ”
ภูมินทร์ส่ายหน้ายิ้มๆ “ขอโทษทำไม แกไม่ได้ทำอะไรผิด สุดากับฉันไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“คุณสุดาชอบแก”
ภูมินทร์รีบบอก “จะต้องให้บอกกี่ครั้งว่าฉันไม่เคยคิดกับสุดาเกินเพื่อน ตกลงสุดาคือสาเหตุที่แกให้คนตามฉันจริง ๆ เหรอ?”
“เปล่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณสุดา เรื่องนี้เกี่ยวกับแกแค่คนเดียว”
“หมายความว่ายังไง?”
สิรวิทย์ถอนหายใจ ก่อนจะพูดออกมา
“รู้ทั้งรู้ ว่ามีคนกำลังปองร้าย แต่แกกลับไม่ยอมใช้บอดี้การ์ด ฉันเป็นห่วงแกมาก เลยแอบส่งลูกน้องไปดูแลความปลอดภัยให้แก”
ภูมินทร์มองสิรวิทย์อย่างซึ้งใจ
“ขอบใจมาก แต่ไม่ต้องห่วง ฉันดูแลตัวเองได้ ฉันพอจะรู้ตัวคนร้ายแล้ว และฉันอยากให้มันรู้ว่า ฉันไม่เคยกลัวมัน”
“มันเป็นใคร?”
“ถึงเวลาแกจะรู้เอง ขอบคุณอีกครั้งในความหวังดีของแก ลึกๆ ฉันเชื่อใจแกเสมอ ฉันมั่นใจว่ายังไงแกก็ไม่มีทางทำร้ายฉัน”
สิรวิทย์พยักหน้า “ฉันรู้ เพราะไว้ใจ แกถึงกล้ามาถามฉันตรงๆ แบบนี้”
ภูมินทร์ยิ้มตอบ พลางลุกขึ้น จะออกไป สิรวิทย์รีบเตือน
“อย่าประมาท ถ้าแกพลาด ถึงตาย”
ภูมินทร์จะเดินออกไป แล้วนึกได้ หันมาบอกสิรวิทย์
“เรื่องสุดา แกเดินเครื่องจีบได้เต็มที่ เลิกเกรงใจฉันได้แล้ว มีอะไรให้ช่วยก็บอก ฉันพร้อมจะช่วยแกเสมอ”

ภูมินทร์กดโทรศัพท์มือถือ แล้วเดินออกไป สิรวิทย์มองตามอย่างซึ้งใจ

พอก้องภพวางสายจากภูมินทร์ พิณชนิดาก็รีบถามทันที
 
“นายภูว่ายังไงบ้างคะ? คุณวิทย์ทำอะไรรึเปล่า?”
ก้องภพส่ายหน้า “เปล่าครับ คุณภูบอกว่า ที่คุณสิรวิทย์ส่งคนสะกดรอยตาม เพื่อดูแลเรื่องความปลอดภัย ไม่ได้คิดร้ายครับ”
พิณชนิดาถอนใจโล่งอก “เฮ้อ โล่งอกไปที ทีนี้ก็เหลือแต่คุณแสงโชติ”
“ใช่ครับ คนนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก มีปัญหากับคุณภูมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน ผมเคยสังเกตเห็นแววตาคุณแสงโชติเวลาที่มองคุณภู มันเป็นสายตาที่จงเกลียดจงชัง”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าคนน่ารัก สุภาพอย่างคุณแสงโชติ จะเป็นคนร้ายไปได้”
ขาดคำแสงโชติก็เดินเข้ามา พิณชนิดากับก้องภพ รีบปิดปากเงียบทันที
“คุยอะไรกันครับ พอผมมา จู่ ๆ ก็เงียบกันเลย”
พิณชนิดารีบตอบเลี่ยงๆ
“เรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณแสงโชติมาพบคุณภูมินทร์เหรอคะ?”
“เปล่าครับ ผมมาหาคุณพิณ อยากชวนไปดื่มอะไรเย็น ๆ ข้างบนครับ”
ก้องภพได้ยินก็ชะงักไปทันที แต่พิณชนิดากลับตีหน้าใส ยิ้มหวานใส่แสงโชติ
“ดีเลยค่ะ พิณกำลังเบื่อ อยากไปเดินเล่น”
พูดจบก็เดินไปกับแสงโชติหน้าตาเฉย ก้องภพมองตามอย่างกังวลใจ

ขณะที่นั่งจิบเครื่งดื่มอยู่ด้วยกัน พิณชนิดาก็คอยแอบสังเกตท่าทีของแสงโชติ
“คุณแสงโชติชอบขึ้นมาบนนี้เหรอคะ?”
แสงโชติพยักหน้า “ใช่ครับ ที่นี่ปลอดโปร่งดี”
“แต่สูงไปหน่อยนะคะ น่าหวาดเสียว”
“ผมชอบอยู่ที่สูงๆ ครับ เวลามองลงข้างล่าง เห็นทุกอย่างเล็กเหมือนมด เวลาอยู่บนนี้รู้สึกว่าเป็น
ผู้ยิ่งใหญ่ ที่จะบี้มดเมื่อไหร่ก็ได้”
พิณชนิดาชะงักกึก แต่พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“วันก่อน ที่บ้านพี่ภู คุณพิณจะบอกอะไรผมเหรอครับ? ดูเป็นเรื่องสำคัญมาก มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ ผมไม่บอกใครอยู่แล้ว คุณพิณไว้ใจผมได้”
พิณชนิดาคิดๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดในที่สุด
“คุณภูมินทร์กำลังจะทำพินัยกรรมค่ะ”
พูดพลางพยายามดูอาการของแสงโชติอย่างจับพิรุธ แสงโชติหันมายิ้ม
“เรื่องแค่นี้เอง คิดว่าอะไร”
“ไม่แค่นี้นะคะ ฉันได้ยินคุณภูมินทร์บอกว่า ถ้าตายไป จะยกสมบัติทั้งหมดให้การกุศลค่ะ”
แสงโชติพยายามระงับอารมณ์โกรธเอาไว้ พลางฝืนยิ้มให้พิณชนิดา ที่จงใจพูดจี้ใจดำ
“แปลกนะคะ ทำไมคุณภูไม่ยกสมบัติให้ญาติแท้ ๆ อย่างคุณแสงโชติกับคุณสัญชัย ไปยกให้การกุศลทำไม?”
“ พี่ภูคงมีเหตุผล ไม่ว่าพี่ภูจะยกสมบัติให้ใคร ผมพร้อมจะเข้าใจพี่ภูครับ”

พิณชนิดาลอบมองรอยยิ้มของแสงโชติอย่างครุ่นคิด

ภูมินทร์ที่ย้อนกลับมาที่บริษัท รู้จากก้องภพว่าพิณชนิดาออกไปกับแสงโชติก็ไม่พอใจ
 
“ไปทำไม?”
ก้องภพตอบไม่ได้ พิณชนิดาที่เดินเข้ามาเลยตอบแทน
“ไม่เคยได้ยินรึไงคะบอส ถ้าอยากได้ลูกเสือ ก็ต้องเข้าถ้ำเสือ”
ภูมินทร์หันขวับมาทันที “แล้วได้มั้ย? ลูกเสือ”
“มือชั้นนี้แล้ว ได้สิ ฉันว่าคุณแสงโชติ ไม่ใช่คนที่คิดจะฆ่านาย”
ภูมินทร์ได้ฟังแล้ว แทนที่จะสบายใจ กลับยิ่งหัวเสีย
“ไปกับไอ้แสงโชติแค่แป๊บเดียว กลับมาเข้าข้างมันเลย เธอเป็นคนยังไงกันแน่?”
“ฉันพูดตามที่ฉันเห็น ฉันดูไพ่ให้ลูกค้ามาเยอะ สิ่งที่ทำให้คนฆ่ากันมากที่สุดไม่ใช่ความเกลียด
แต่เป็นผลประโยชน์”
ภูมินทร์เสียงเข้ม
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนประเด็น ฉันมั่นใจว่าผู้ต้องสงสัยคือแสงโชติแน่ๆ ถ้าฉันหาหลักฐานได้เมื่อไหร่ ฉันจะเอามันเข้าคุกทันที”
พูดจบก็จ้ำเดินออกไป พิณชนิดามองตาม พลางส่ายหน้า ก้องภพยืนเหวอ ภูมินทร์เดินไปได้สักครู่ก็หันมามองพิณชนิดา
“ยืนเซ่ออยู่ทำไม? กลับบ้าน”
พิณชนิดารีบคว้ากระเป๋า แล้ววิ่งตามภูมินทร์ไป

แสงโชติโวยวายลั่นห้องต่อหน้าสัญชัย
“ไอ้ภูมันไม่เคยเห็นหัวเรา มันไม่เคยคิดว่าผมเป็นน้อง ไม่เคยเห็นพ่อเป็นอาของมัน มันมองเราเป็นแค่ขี้ข้ามันจะทำพินัยกรรมยกสมบัติให้การกุศล พ่อยังจะใจเย็นอีกเหรอครับ? “
สัญชัยพูดด้วยท่าที่สงบ
“ของ ๆ เค้า เค้าไม่ให้ เราจะทำยังไงได้?”
“แต่บริษัทนี้ คุณพ่อช่วยคุณลุงก่อตั้ง คุณพ่อทำงานสร้างกำไรมาตั้งเท่าไหร่ มันไม่เคยสำนึกบุญคุณพ่อเลย ไอ้คนเห็นแก่ตัว ผมเกลียดมัน เกลียด”
สัญชัยพยายามปราม “แสงโชติ”
“พ่อห้ามผมได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องนี้ ผมเกลียดมันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ผมอยากเห็นมันเจ็บปวด
ทุกข์ทรมาน คนอย่างมันไม่สมควรมีความสุข”
พูดจบแสงโชติก็เดินออกไปทันที สัญชัยมองตาม แววตาเรียบนิ่ง ไม่ทิ้งร่องรอยของอารมณ์ใดๆ

หนึ่งที่นั่งรออยู่กับภิชาสินีและอรรถพรอยู่ในบ้าน หันไปเห็นพิณชนิดา ที่เดินเข้ามาพร้อมกับภูมินทร์ ก็ยิ้มดีใจ รีบเข้าไปเกาะแขน ภูมินทร์เหล่ๆ อย่างไม่ชอบใจ
“พี่พิณ ผมคิดถึงพี่ที่สุด”
พิณชนิดายิ้ม พลางขยี้หัวหนึ่งอย่างเอ็นดู “หายโกรธพี่แล้วเหรอ?”
หนึ่งหน้าจ๋อย “เพราะเรื่องนี้ ผมถึงมาหาพี่พิณ”
พิณชนิดาจะถามต่อ แต่พอหันไปเห็นภูมินทร์มองจ้องอยากรู้อยากเห็น ก็รีบหันมาบอกหนึ่ง
“ไปคุยกันตรงโน้นดีกว่า ตรงนี้พวกอยากรู้อยากเห็นเยอะ”
จากนั้นก็รีบลากหนึ่งออกไป ภูมินทร์มองตามอย่างไม่พอใจ แล้วก็รีบเดินออกไปอรรถพรเห็นท่าทีของเขาก็แอบอมยิ้ม พลางหันมาคุยกับภิชาสินี
“คุณภูดูแปลก ๆ นะครับ เวลามองคุณพิณ ดูมีความหมายบางอย่าง”
“ความหมายอะไรเหรอคะ?”
ภิชาสินีหันมามอง เห็นแววตาอรรถพรที่มองมาด้วยสายตาลึกซึ้ง มีความหมายก็ชะงัก เขินอาย รีบหันหนี ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าถามต่อ เข้าใจความหมายโดยปริยาย แต่ไม่ยอมพูดออกมา
อรรถพรแอบยิ้มอยู่คนเดียว

เมื่ออยู่กันตามลำพัง หนึ่งก็เอ่ยขอโทษพิณชนิดา พลางบอกข่าวว่าเขาจะย้ายไปอยู่กับแม่
พิณชนิดายิ้มดีใจ
“พี่ดีใจด้วย หนึ่งจะได้มีครอบครัวที่อบอุ่นซะที แบบนี้พี่กลับไปก็ไม่ได้เจอหนึ่งที่อพาร์ตเม้นต์
แล้วสิ”
“เอาไว้ ผมจะแวะไปหา”
“กว่าจะเจอกันคงอีกนาน มาให้กอดหน่อยสิ”
พิณชนิดาสวมกอดหนึ่ง พลางลูบหัวเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู ภูมินทร์แอบมองอย่างไม่พอใจ แล้วก็ทนไม่ได้ รีบเดินออกไป วิญญาณพ่อ แม่ ป้า ส่ายหน้าอย่างขัดใจ
“เค้ากอดกันตามประสาพี่น้อง คิดแต่เรื่องสกปรก”
กานต์กมลยิ้ม แล้วรีบหันมาบอกปราชญ์
“นายภูไม่ได้คิดเรื่องสกปรกหรอกพ่อ เค้าแค่หึงยัยพิณ”
ปราชญ์ได้ฟังก็ยิ่งขัดใจ ยืนยันว่าจะไม่ยอมรับภูมินทร์เป็นลูกเขยเด็ดขาด พุดจบก็หายตัววับไป พัณทิพากับกานต์กมล ได้แต่ถอนใจ
ภูมินทร์นั่งชะเง้อรออยู่ที่โต๊ะอาหาร พอพิณชนิดากับภิชาสินีเดินเข้ามานั่ง ก็หันไปมองอย่างหมั่นไส้ พลางพูดประชดประชัน
“ยังไม่อิ่มอีกเหรอ พิณชนิดา”
พิณชนิดางง “ยังไม่ได้กิน จะอิ่มได้ยังไง?”
“ฉันหมายถึงกอดกับไอ้เด็กนั่นแนบแน่นขนาดนั้น น่าจะอิ่มแล้ว”
“เรากอดกันแบบพี่น้อง นี่นายแอบดูฉันกับหนึ่งคุยกันรึไง? ไม่มีมารยาท”
“ฉันไม่ได้แอบดู บังเอิญเดินผ่านเลยเห็น”
พิณชนิดาส่ายหน้าแบบไม่เชื่อสักนิด ภูมินทร์มองอย่างเอาเรื่อง ภิชาสินี แม่นมนวล ป่านแก้ว
ปูเปรี้ยว มองท่าทีของทั้งคู่อย่างจับสังเกต จู่ๆ แม่นมนวลก็นึกได้
“ปิ่นเพชรไม่ลงมาทานข้าวด้วยกันเหรอคะ? เวลาตั้งโต๊ะอาหารไม่เคยเห็นเลย ว่าจะถามหลาย
ทีแล้ว”
ภิชาสินีรีบตอบเลี่ยงๆ “ปิ่นเพชรเค้าไม่ชอบทานกับคนเยอะ ๆ ค่ะ เค้าอึดอัด ชอบทานคนเดียวมากกว่า”
“โถ ทานคนเดียวเหงาแย่”
พิณชนิดารีบช่วยพูด “ไม่เหงาหรอกค่ะ พิณกับภิ นั่งเป็นเพื่อนตลอด”

แม่นมนวลพยักหน้าเข้าใจ ภูมินทร์เหล่มองพิณชนิดา ยังหงุดหงิดไม่เลิก

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 11 (ต่อ)

เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องนอนกัน 2 คนพี่-น้อง ภิชาสินีก็อดไม่ได้ที่จะหันมาคุยกับพี่สาว พลางบอกว่าท่าทีที่ภูมินทร์แสดงออกกับพิณชนิดานั้น เหมือนคนเป็นแฟนกัน พิณชนิดารีบปฏิเสธทันที
 
“ไม่ใช่สักหน่อย ไปเอามาจากไหน”
“เหมือนจริง ๆ นะ นายภูดูเหมือนหึงพี่พิณ”
พิณชนิดาเผลอยิ้มดีใจ “นายภูหึงพี่? จริงเหรอ ?”
ภิชาสินียังไม่ทันตอบ ปิ่นเพชรก็ยื่นหน้ามาคั่นกลาง
“แหม ๆ ดีใจออกนอกหน้าเชียวนะเจ๊”
พิณชนิดารีบหุบยิ้มทันที ภิชาสินีมองอย่างแปลกใจ
“อย่าบอกนะว่าพี่พิณชอบนายภูมินทร์”
“บ้า”
ปิ่นเพชรยิ้มขำ
“ร้อยทั้งร้อย ของผู้หญิงที่ตอบว่าบ้า หมายความสิ่งที่ถามเป็นเรื่องจริง”
“ปิ่นเพชรมั่ว คนอย่างเจ๊เนี่ยนะ จะชอบผู้ชายนิสัยเสียปากร้าย เอาแต่ใจอย่างนายภูมินทร์ ไม่มีทาง.อาบน้ำดีกว่า”
พิณชนิดารีบหยิบผ้าขนหนูหนีเข้าห้องน้ำ ปิ่นเพชรอมยิ้ม ภิชาสินีมองตามพี่สาวอย่างสงสัย
ภูมินทร์เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ เดินมานั่งที่เตียง พลางหาวหวอดๆ แม่นมนวลที่ถือแก้วนมเข้ามา เห็นแบบนั้นก็อมยิ้ม
“หาวขนาดนี้ ไม่ต้องดื่มนม ก็คงหลับได้นะคะ”
“แปลกนะครับนม ภูนอนไม่หลับ ฝันร้ายมาเกือบตลอดชีวิตทำไมจู่ ๆ ช่วงนี้ ถึงหลับได้”
“ช่วงนี้ ชีวิตคุณหนูมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมบ้างล่ะคะ?” แม่นมนวลย้อนถาม
ภูมินทร์คิดๆ พลางส่ายหน้า “ไม่มีนะครับ”
“ไม่มีคนใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตบ้างเหรอคะ?”
“ก็ไม่เห็นมีใคร นอกจากครอบครัวยัยประหลาด 2 คนนั่นที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่ภูนอนหลับ”
แม่นมนวลตั้งข้อสังเกต
“แต่คุณหนูหลับตั้งแต่วันที่คุณพิณย้ายเข้ามาเลยนะคะ แล้วเท่าที่จำได้ คุณหนูเคยบอกนมว่า ตอนอยู่กับคุณพิณที่อพาร์ตเม้นต์ คุณหนูนอนหลับสนิท”
ภูมินทร์ชะงัก “นี่นมกำลังจะบอกภูว่า พิณชนิดาทำให้ผมนอนหลับเหรอครับ?”
“เรื่องแบบนี้คุณหนูต้องไปหาคำตอบเอาเอง นมบอกได้แค่ว่า คนเราถ้าไม่สำคัญต่อกัน จะมีผลต่อกันได้ยังไง? “
แม่นมนวลพูดจบ ก็ทำท่าจะออกไป แต่ภูมินทร์รีบจับมือเอาไว้
“เดี๋ยวครับนม ภูไม่เข้าใจ ทำไมพออยู่ใกล้พิณชนิดา ภูถึงนอนหลับ เค้าเกี่ยวข้องกับภูยังไง?”
แม่นมหันมามองด้วยสายตาอ่อนโยน
“คนบางคนมีคลื่นที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย อบอุ่น”
“ยัยประหลาดเนี่ยนะครับ ทำให้ภูรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น ไม่น่าเป็นไปได้”
“ถ้างั้นก็ให้คุณพิณกลับไปพักที่อพาร์ตเม้นต์สิคะ อยู่กันคนละที่ จะได้รู้ว่าที่นมพูดจริงรึเปล่า? หนีอะไรก็หนีได้ ยกเว้นหนีความรู้สึกของตัวเอง ยิ่งหนี ยิ่งเหนื่อยนะคะ ที่สำคัญหนีไม่พ้นด้วย”
แม่นมนวลเดินออกไป ภูมินทร์นิ่งคิด พึมพำอยู่คนเดียว
“ภูไม่ได้หนีอะไรสักหน่อย”
แต่พอล้มตัวลงนอน ภาพของพิณชนิดาที่หัวเราะ ยิ้มสดใส ก็โผล่เข้ามาในความคิด เขาอาหมอนปิดหัว พยายามหนีความรู้สึกของตนเอง

เอกเดินวนไปวนมาในห้องพิณชนิดา ครุ่นคิดหาวิธีให้อีกฝ่ายกลับมา พลันก็เหลือบไปเห็นกล่องไปรษณีย์ที่ใช้แล้วที่พับวางอยู่ที่ตู้ เขาก็ยิ้มออกมา

ขวัญทิพย์กับแพนเค้ก ฟังเอกพูด พลางหันมองหน้ากัน
 
“จะให้พี่โทร.ตามน้องพิณมารับพัสดุไปรษณีย์?”
“ใช่ครับ ท่าทางจะเป็นของสำคัญ เห็นส่งมาแบบด่วน”
แพนเค้กย้อนถามอย่างแปลกใจ เพราะในสมุดจดไม่มีรายงานว่ามีพัสดุส่งถึงพิณชนิดา เอกรีบแก้ตัว
“ชิ้นนี้พี่อาจจะลืมก็ได้นะครับ”
“ก็เป็นไปได้ แล้วทำไมน้องไม่โทร. ตามน้องพิณเอง ให้พวกพี่โทร.ทำไม?”
“ผมมีเรื่องอยากจะเซอร์ไพรส์พิณครับ”
แพนเค้กกับขวัญทิพย์หันมามองหน้ากัน ก่อนที่จะตัดสินใจโทร. หาพิณชนิดา
“ว่ายังไงคะพี่ขวัญ”
“มีพัสดุมาถึงน้องพิณค่ะ”
“ใครส่งมาคะ?”
พิณชนิดาย้อนถามอย่างแปลกใจ ขวัญทิพย์ชะงัก รีบหันไปถามเอกที่ยืนกำกับอยู่ข้างๆ
“ใครส่งมา?”
เอกรีบโบกมือเป็นเชิงว่าไม่รู้ ขวัญทิพย์เลยตอบตาม
“พี่ก็ไม่ทราบค่ะ พอดีพี่ไม่ใช่คนรับพัสดุ รีบ ๆ มารับนะคะ ท่าทางจะสำคัญมาก”
“โอเคค่ะ เดี๋ยวพิณจะแวะไปรับ ก่อนไปทำงาน”
พอพิณชนิดาวางสาย ภูมินทร์มองอย่างเอาเรื่องทันที
“จะไปไหน?”
“ไม่รับพัสดุค่ะบอส แล้วเจอกันที่ออฟฟิศนะคะ”
พูดจบพิณชนิดาก็เดินไปที่รถตัวเอง ภูมินทร์มองตามอย่างครุ่นคิด

ดอกกุหลาบถูกนำมาประดับตกแต่งไว้เต็มห้อง ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก เอกมองรอบๆห้อง ด้วยรอยยิ้ม และแววตาเคลิ้มฝัน จากนั้นก็ดึงดอกไม้มาหนึ่งดอก พลางจุ๊บเบาๆ ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง
“พิณจ๋า ต่อไปนี้ เอกจะไม่ทำให้พิณผิดหวังอีกแล้ว”

ขวัญทิพย์กับแพนเค้กเห็นพิณชนิดาลงจากรถกับภูมินทร์ ก็หันไปกระซิบกระซาบกันทำนองว่ารถไฟชนกันโครม
พิณชนิดาไม่วายบ่น
“แค่มารับพัสดุ ไม่รู้จะตามมาทำไม”
“ขืนปล่อยให้เธอขับไอ้รถสับปะรังเคนั่นมา กว่าจะถึงออฟฟิศก็สายกันพอดี ฉันไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบ”
พิณชนิดามองค้อน ก่อนจะหันไปถามแพนเค้ก “พัสดุของพิณล่ะคะ?”
“อยู่บนห้องน้องพิณจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ รออยู่นี่นะ ฉันไปเอาพัสดุ เดี๋ยวลงมา”
พูดพลางจะเดินเข้าไป จังหวะนั้นป้าจี๊ดเดินออกมาเห็น ก็รีบดึงตัวเอาไว้ พลางบอกว่าจะดูหมอ แต่พิณชนิดารีบส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่าไม่มีเวลา จะต้องรีบไปทำงาน
ป้าจี๊ดจับมือพิณชนิดาเอาไว้แน่น
“ถ้าหมอพิณไม่ดูให้ ป้าจะฆ่าตัวตาย”
พิณชนิดาถอนใจ ภูมินทร์เห็นท่าจะนาน เลยดึงกุญแจจากมือพิณชนิดา
“เดี๋ยวฉันไปเอาเอง”
ภูมินทร์เดินเข้าไป ขวัญทิพย์กับแพนเค้กมองหน้ากัน
“รีบไปเก็บภาพความหายนะกันเถอะผัวขา”

2 สองผัว-เมียรีบตามภูมินทร์ไปทันที

ภูมินทร์ไขกุญแจห้อง ก่อนจะเปิดประตูผ่างออก แล้วก็เห็นดอกไม้เต็มห้อง พลันเอกในชุด
 
มาสคอตหมีแพนด้า ก็กระโดดออกมาเต้นกระดุกกระดิกประกอบเพลงจังหวะน่ารัก ๆ พอเห็นเป็นภูมินทร์ ก็ถึงชะงัก หยุดเต้นทันที พลางถอดหัวหมีออกอย่างหัวเสีย มองภูมินทร์อย่างเอาเรื่อง
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
ภูมินทร์พยายามกลั้นขำ “ฉันต้องถามนายมากว่า ว่าเข้ามาทำอะไรติงต๊องในห้องพิณชนิดา?”
“มันเรื่องของผมกับพิณ คุณไม่เกี่ยว”
ขวัญทิพย์กับแพนเค้กแอบเอามือถือถ่ายคลิปทั้งคู่เอาไว้
“น่าจะมีน้องพิณอีกคนนะผัวขา คลิปนี้จะได้สมบูรณ์แบบ”
ขาดคำพิณชนิดาก็เดินเข้ามาพอดี พอเห็นเอกกับภูมินทร์ยืนอยู่ ก็รีบเข้าไป โดยไม่ทันเห็น
2 ผัว- เมียที่แอบถ่ายคลิปอยู่
ภูมินทร์หันไปเห็นพิณชนิดา ก็โวยวายใส่
“โกหกว่ามารับพัสดุ ที่แท้ก็แอบนัดเจอแฟนเก่าเอาไว้ เธอนี่มันร้ายจริงๆ”
เอกรีบถลาเข้ามาทันที “อย่าว่าพิณ”
พิณชนิดาเห็นท่าไม่ดี รีบเข้ามาคั่นกลาง ระหว่างภูมินทร์กับเอก พลางมองซ้ายมองขวา หน้าเครียด แล้วก็มโนไปเองว่าทั้งคู่ชกต่อยกันเพื่อแย่งชิงเธอ
“อย่าต่อยกันเพราะฉันเลยนะคะ หยุดเถอะ ฉันขอร้อง อย่าทำร้ายกันเพื่อแย่งพิณเลยนะคะ”
พูดพลางหลับตาพริ้ม หน้ามีความสุข ภูมินทร์กับเอกหันมองเธออย่างงงๆ
พิณชนิดาลืมตาขึ้น พอเห็นหน้าภูมินทร์ก็สะดุ้ง รู้ตัวว่าฝันไป
“เออ ฉันขอล่ะนะ อย่ามีเรื่องกันเลย”
ภูมินทร์ยิ้มหยัน
“ไม่ต้องห่วง คนอย่างฉันไม่มีทางลดตัวไปมีเรื่องกับคน... “
พลางเหล่มองเอกแบบเหยียดๆ ก่อนจะรีบคว้าแขนพิณชนิดาจะพาออกไป
“จะพาพิณไปไหน?”
“ฟังให้ดี ฟังให้ชัด ตอนนี้พิณชนิดาทำงานเป็นเลขาของฉัน”
“เลขา? นึกไงถึงไปเป็นเลขาให้กับคน...”
พูดพลางมองเหยียดภูมินทร์กลับ พิณชนิดาเห็นท่าไม่ดี รีบหันไปไล่เอก
“ออกไปจากห้องพิณได้แล้ว”
“เอกไม่ไป เอกเลิกกับฟ้าแล้ว เอกไม่มีที่ไป ให้เอกอยู่กับพิณนะ”
ภูมินทร์หันไปมองพิณชนิดาอย่างแอบลุ้น
“ไม่ ถ้าเอกไม่ออกไปดีๆ พิณจะแจ้งความ พิณสนิทกับตำรวจข้างห้อง พิณจะเดินไปเคาะประตูเรียกให้เค้าออกมาจับเอกเดี๋ยวนี้”
เอกหน้าเจื่อน
“เอกไปก็ได้ แต่ที่ไป ไม่ได้แปลว่าเอกจะยอมแพ้เรื่องพิณ เอกจะกลับมาอีก เพราะเอกอยากเริ่มต้นใหม่กับพิณ”
พูดจบก็ผลุนผลันเดินออกไป พิณชนิดาถอนใจ พอหันไป ก็เจอสายตาที่ภูมินทร์มองมา
“เสน่ห์แรงเหลือเกิ๊น”
พิณชนิดานิ่วหน้า “ชมจากใจ หรือประชดห่ะ?”
พอพิณชนิดากับภูมินทร์เดินออกไป 2 ผัว- เมียก็ยิ้มแป้น

“ได้คลิปเด็ดจริงๆด้วยนะจ๊ะผัวจ๋า”

จู่ๆ แสงโชติก็มาพูดอ้อนวอนให้แม่นมนวลสอนเขาทำอาหาร ฝ่ายถูกขอถึงกับทำหน้าประหลาดใจ ป่านแก้วกับปูเปรี้ยวก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
 
“ทำไมทุกคนทำหน้าไม่เชื่อผมขนาดนั้นผมอยากทำอาหารจริงๆ นะครับ คือช่วงนี้ผมเห็นพ่อทำงานหนัก ก็เลยอยากทำของบำรุงให้ท่านทาน แม่นมนวลช่วยสอนผมด้วยนะครับ”
“ก็ได้ค่ะ”
แสงโชติยิ้มดีใจ
“ขอบคุณมากครับ งั้นเราไปตลาดซื้อของกันเลย ป่านแก้ว ไปด้วยกัน จะได้ช่วยถือของ”
ป่านแก้วรีบรับคำ พลางหันไปมองเย้ยปูเปรี้ยว ที่ทำหน้าร้ายขึ้นมาทันที เมื่อทั้งหมดเดินออกไปแล้ว ก็รีบกดมือถือโทร. ออก ด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์
“ทางโปร่งโล่งสบายแล้วค่ะ”
ปูเปรี้ยวพาเปรมสุดา ปณิตา หมอผีมาหยุดที่หน้าห้องนอนพิณชนิดา
“ห้องนี้แหละค่ะ”
พูดพลางรีบส่งกุญแจสำรองให้เปรมสุดา
“เข้าไปกันเองนะคะ ปูเปรี้ยวขอตัว ยังเข็ดจากครั้งที่แล้วไม่หาย”
เปรมสุดารับกุญแจมากจากปูเปรี้ยว แล้วไขกุญแจเปิดประตู ก่อนจะหันไปทางหมอผี
“เชิญอาจารย์เข้าไปก่อนดีกว่าค่ะ”
หมอผีพยักหน้า พลางเปิดประตูเดินเข้าไป เปรมสุดาคว้าแขนปณิตาไว้
“เตรียมของมารึเปล่าคะ?”
ปณิตารีบเอาสร้อยที่ห้อยคอ ที่มีพระห้อยนับสิบองค์ออกมา
“เพียบค่ะลูกขา มาจากทุกวัดทุกทิศทั่วไทย ขลังๆทั้งนั้น”
เปรมสุดาพยักหน้า แล้ว 2 แม่-ลูกก็เข้าไปในห้อง

หมอผีใช้เครื่องตรวจจับวิญญาณเดินไปรอบห้อง เปรมสุดากับปณิตา เดินตามาติดๆ วิญญาณพ่อ แม่ ป้า แทบหายใจไม่ทั่วห้อง โดยเฉพาะป้าที่กลัวโดนจับไปถ่วงน้ำ
หมอผีหยุดตรงหน้าที่วิญญาณทั้งสามยืนอยู่ เปรมสุดากับปณิตาขยับเข้ามาใกล้กัน
“หยุดทำไมคะท่านอาจารย์ หรือว่าท่านเห็นวิญญาณแล้ว?”
หมอผียื่นหน้ามาใกล้หน้าปราชญ์ ก่อนทำจมูกฟุดฟิดๆ แล้วหันไปทาง 2 แม่- ลูก
“ตรงนี้ไม่มี”
วิญญาณพ่อ แม่ ป้า ถอนใจโล่งอก ปราชญ์นึกกับนึกดูถูก
“โธ่ นึกว่าจะแน่ เชอะ”

หมอผียังคงหาวิญญาณในห้อง โดยมีสองแม่ลูกเดินตามมาติดๆ พลันก็ทำเป็นตกใจ
“เจอแล้ว”
2 แม่-ลูกสะดุ้งโหยง “ อยู่ไหนคะ?”
หมอผีชี้ไปตรงหน้าเปรมสุดา “ตรงนี้”
เปรมสุดากับปณิตากรี๊ดลั่น รีบกระโดดมายืนข้างหมอ
“วิญญาณที่อยู่ในห้องนี้เป็นวิญญาณของหญิงสาวตายทั้งกลม”
2 แม่-ลูกกลัวจนตัวสั่น ขณะที่วิญญาณพ่อ แม่ ป้า กับปิ่นเพชรหน้าเหวอ
หมอผีจ้องไปที่ว่าเปล่าด้านหน้า
“ผีร้าย ข้าขอสั่งให้เจ้าออกไปจากบ้านหลังนี้ ถ้าไม่เชื่อฟัง อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
ปณิตารีบถามอย่างร้อนรน “ผีตัวนั้นบอกว่าอะไรคะ?”
“มันบอกว่าคนที่ไล่มันได้ มีแต่ผู้หญิงที่อยู่ในห้องนี้เท่านั้น เพราะหญิงคนนั้นปลุกมันขึ้นมาจากหลุมศพ”
“ไม่นึกเลยว่านังหมอดูนั่นจะร้ายกาจขนาดนี้ คิดจะจับภูเป็นผัว จนต้องใช้วิธีสกปรก น่ารังเกียจเป็นที่สุด”
ปราชญ์ทนไม่ไหว จะออกไปจัดการ แต่กานต์กมลอาสาขอจัดการเอง ก่อนจะหายตัววับไปปรากฎตัวตรงกลางระหว่าง 2 แม่- ลูก แล้วใช้มือตบหัวเปรมสุดา จนสะดุ้งโหยง รีบหันมาทางแม่
“แม่ตบหัวสุดาทำไมคะ?”
ปณิตาทำหน้างง “แม่เปล่านะลูก”
จากนั้นกานต์กมลก็ตบหัวปณิตาต่อ
“สุดา ตบหัวแม่ทำไม?”
“สุดาเปล่า”
2 แม่-ลูกกลัวจนลนลาน “หรือว่า.. จะเป็นผี?”
ไม่มันขาดคำ กานต์กมลจับหัว 2 แม่-ลูกให้โขกกันอย่างแรง หมอผีหันมา 2 แม่-ลูกรีบมาเกาะแขน
“ผีมันตบหัวฉันกับลูกค่ะท่านอาจารย์”
หมอผีชักหวั่นๆ แต่แกล้งทำฟอร์ม “ เหลวไหล”..
กานต์กมลจะเข้ามาจัดการหมอผี แต่ปราชญ์ยกมือห้าม
“คนนี้พ่อขอ”
จากนั้นก็ออกฤทธิ์ผลักหมอผีกระเด็นลอยไปกระแทกกำแพง
เปรมสุดากับปณิตาอ้าปากค้างอย่างตกใจ พร้อมๆ กับที่พัณทิพาหยิบหนังสือที่วางบนโต๊ะปาใส่

2 แม่-ลูกแทบช็อก รีบหลบกันจ้าล่ะหวั่น

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 11 (ต่อ)

หมอผีตาเหลือก ทันใดนั้นปราชญ์ก็ปรากฏตัวมายืนข้างๆ พร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ หมอผีหันไปเห็นก็อ้าปากค้าง ก่อนจะโดนจับโยนขึ้นไปติดอยู่บนเพดาน
 
2 แม่- ลูกเห็นเต็มสองตา ปณิตารีบถอดพระออกมา แต่ยังไม่ทันทำอะไร ตุ๊กแกปิ่นเพชรก็ตกลงมาบนมือ ปณิตาตกใจรัองลั่น ปล่อยสร้อยพระร่วงลงพื้น พลางจะก้มลงเก็บ เด็กปิ่นเพชรแกล้งลากสร้อยพระไปตามทาง อีกฝ่ายไล่เดินตาม จนชนเข้ากับกำแพงจังๆ
2 แม่-ลูก กับหมอผี รีบตะลีตะลานวิ่งหนีออกจากห้อง วิญญาณทั้งสาม รวมถึงปิ่นเพชร หัวเราะสะใจ

แสงโชติ แม่นมนวล และป่านแก้ว ที่หิ้วถุงกับข้าวเต็มมือ กำลังจะเข้าไปในบ้าน แต่ป่านแก้วดันเห็นหมอผี เปรมสุดา ปณิตาวิ่งออกมาจากบ้าน ก็นิ่วหน้า
“คุณนมดูโน่นสิคะ”
แม่นมนวลหันไป ก็เห็นแบบเดียวกับที่ป่านแก้วเห็น แสงโชติหันไปมองตามก็ผงะ ตกใจจนหน้าถอดสี รีบตัดบท
“ผมว่าไม่ต้องสนใจหรอกครับ แม่นมรีบเข้าไปสอนผมดีกว่า ผมกลัวจะทำไม่ทันก่อนคุณพ่อจะกลับบ้าน”
แต่แม่นวลกลับส่ายหน้า
“นมขอตัวซักครู่นะคะ นมจะรีบกลับมา ป่านแก้วอยู่เตรียมของกับคุณแสงโชติก่อน”
พูดจบก็รีบผละออกไป แสงโชติหัวเสียและร้อนใจมาก

“เธอรู้ใช่มั้ยว่าคุณปณิตากับคุณเปรมสุดามาทำอะไรที่นี่?”
แม่นมนวลถามคาดคั้นกับปูเปรี้ยว ขณะที่ฝ่ายหลังยืนหน้าซีด ตัวสั่นอยู่หน้าห้องของพิณชนิดา

ภูมินทร์รับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าตกใจ
“ขอบคุณครับนมที่โทร. มาบอกผม”

จากนั้นภูมินทร์ก็ตรงดิ่งไปเอาเรื่องเปรมสุดาถึงบ้านทันที อีกฝ่ายหันมาเห็น ก็ยิ้มดีใจคิดว่าเขามาหาเธอเพราะคิดถึง พลางรีบปรี่เข้าไปเกาะแขน
“สุดาดีใจจังที่ภูมาหา น่าจะโทร. มาบอกสุดาก่อน สุดาจะได้เตรียมตัว”
แต่ภูมินทร์กลับแกะมือออก เปรมสุดากับปณิตาหุบยิ้มทันที
“เตรียมตัว? หรือ เตรียมหาคำแก้ตัวกันแน่?” ผมรู้ความจริงหมดแล้ว เรื่องที่คุณ 2 คนพาหมอผีเข้ามาในบ้านของผม”
2 แม่-ลูกหน้าซีด
“ภูฟังสุดาก่อนนะคะ”
“ผมไม่ฟัง เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังจะพูด คือคำโกหก ที่พิณเข้ามาอยู่ในบ้านผม เพราะผมเป็นคนชวน เค้าไม่เคยหลอก ซ้ำยังช่วยผม ผมขอยื่นคำขาด ว่าห้ามคุณสองคนยุ่งกับผู้หญิงของผมอีก ถ้าไม่เชื่อกัน ผมจะไม่เกรงใจ อ้อ แล้วอีกอย่าง ตัดใจจากผมซะ ต่อให้คุณจะใช้มารยาร้อยแปดเล่มเกวียนแค่ไหน ผมก็ไม่มีวันชอบคุณ”
ภูมินทร์พูดจบก็เดินออกไป เปรมสุดารู้สึกเสียหน้าอย่างแรง ถึงกับกำมือแน่น น้ำตาไหลด้วยความโมโหและเสียใจ ก่อนจะหันหลังจ้ำเดินออกไป
ปณิตาหันไปมองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง พลางรีบเดินตามไปปลอบ ขณะที่เปรมสุดดานั่งร้องไห้อยู่ในห้องนอน
“สุดา แม่รู้ว่าลูกเสียใจ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกคิดสั้นจนทำอะไรที่สิ้นคิดนะลูกนะ”
เปรมสุดาเงยหน้าขึ้นมา ในสภาพมาสคาร่าไหลเลอะลงมาเปื้อนแก้ม ขนตาหลุดติดอยู่ที่จมูก ลิปสติกก็เปรอะออกมานอกริมฝีปาก
“แม่คิดว่าคนที่รักตัวเองอย่างสุดาจะคิดสั้นเหรอคะ ? คนที่ต้องตาย คือนังพิณชนิดาต่างหาก แต่ที่สุดาร้องไห้ เพราะสุดาโกรธ โกรธที่ทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้สุดารู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ สุดาจะไปหาภู สุดาไม่ยอมปล่อยให้ภูหลุดมือไปแน่ๆ สุดาขอตัวไปอาบน้ำ แต่งหน้าใหม่ก่อนนะคะ”
พูดจบก็ลุกเดินออกไป ปณิตาหันไปมองตามสีหน้าภาคภูมิใจ
“ต้องแบบนี้สิลูกแม่”

ขณะที่เปรมสุดาที่แต่งตัวใหม่เรียบร้อย ขับรถมาตามทาง แสงโชติก็โทร. เข้ามาโวยวายว่าแม่
นมนวลรู้ความจริงแล้ว แต่กลับถูกอีกฝ่ายย้อนกลับ ว่าเป็นความผิดพลาดของเขา
“ถ้าคุณถ่วงเวลานังแม่นมกับคนของมันไว้ได้นานกว่านี้ มันก็คงไม่เห็นสุดาแล้วคาบข่าวไปฟ้องภู แค่นี้ก่อนนะคะ สุดากำลังจะไปเคลียร์กับภู”

ฟ้ารุ่งกำลังยืนรอกาแฟอยู่ในร้าน พลันก็มีลูกค้า 2 คนเดินเข้ามาต่อคิว คนหนึ่งพูดคุยกันถึงคลิปวิดีโอตอนที่ภูมินทร์กำลังโต้เถียงกับเอกในห้องภูมินทร์ แล้วก็ยื่นมือถือให้เพื่อนที่มาด้วยกันดู
“เอ๊ะ ผู้หญิงคนนี้ หน้าคุ้นๆ นี่มันหมอพิณ พูดเลย ฉันเคยไปให้เค้าดูดวงให้ด้วย”
ฟ้ารุ่งหันขวับไป พร้อมกับรีบคว้ามือถือมาดูทันที แล้วก็ตะลึง กรีดร้องกลั่นร้าน
“เอก นังพิณ”
จากนั้นก็มือถือลงพื้น แล้วจ้ำเดินออกไปด้วยความโมโห ลูกค้าถึงกับเหวอ

“มือถือฉัน”

ฟ้ารุ่งรีบตรงดิ่งไปหาเอกที่ออฟฟิศ พลางปั้นหน้าเหมือนสำนึกผิด เอ่ยปากขอโทษเสียงเศร้า
 
เอกเหวอ พลางมองอย่างระแวง ยังไม่ไว้ใจ พออีกฝ่ายเดินมาจับมือ เขาก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
“ฟ้ารู้ตัวว่าฟ้าผิด ฟ้าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ฟ้ารู้ว่าทำไมเอกถึงอยากไปจากฟ้า เพราะฟ้าเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง”
เอกเริ่มอ่อนลง “ฟ้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ เหรอ?”
“สำนึกแล้วจริงๆ แล้วฟ้าก็รู้สึกผิดต่อพิณด้วย ฟ้าอยากขอโทษพิณ เอกรู้รึเปล่าว่าฟ้าจะไปหาพิณได้ที่ไหน?”

“แฟนนายพาหมอผีมา ?” บ้าเอ๊ย ฉันจะไปเอาเรื่องแฟนนาย”
พิณชนิดาทั้งตกใจ ทั้งโกรธเมื่อรู้เรื่องจอาภูมินทร์ พลางจะออกไปเอาเรื่อง แต่กลับถูกภูมินทร์คว้าแขนเอาไว้
“ไม่ต้องมาห้ามฉัน”
“ฉันไม่ได้ห้าม ฉันจะบอกว่าฉันไปหาพวกเค้ามาแล้ว ฉันสั่งไม่ให้พวกเค้ามายุ่งกับเธอ และสุดาไม่ใช่แฟนฉัน โปรดเข้าใจให้ถูกต้องด้วย แล้วอีกอย่างเธอไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้อีก”
“ไม่ยุ่งไม่ได้ คุณเปรมสุดาทำเกินไป ยังไงฉันก็ต้องไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง”
“เลิกทำให้ฉันเป็นห่วงซักที”
พิณชนิดาอึ้ง ภูมินทร์ชะงัก รีบแก้ตัว
”ฉันหมายถึงอย่าหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ฉัน ไปทำงานได้แล้ว”
พูดจบก็รีบเดินออกไป พลางรำพึงแบบไม่เข้าใจตัวเอง
“พูดอะไรออกไปวะ? เฮ้อ ”
ขณะที่พิณชนิดาก็แอบอมยิ้ม
“นายไข่เจียวเป็นห่วงเรา?”
แต่พอหันมาอีกทาง ก็ต้องรีบหุบยิ้ม เมื่อเห็นฟ้ารุ่งยืนอยู่
ฟ้ารุ่งเดินยิ้มเข้ามาหา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทำหน้าโหด แล้วก็ตบหน้าพิณชนิดาเต็มแรง จนอีกฝ่ายหน้าหัน แล้วก็ตบซ้ำอีกที
พิณชนิดารีบจับแขนฟ้ารุ่งหมับ
“หยุด ตบฉันทำไม?”
“โง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่?”
พูดพลางหยิบมือถือมายื่นให้ พิณชนิดารับมาดู พอเห็นคลิปก็ตกใจ
“แกกลับมาหาเอกทำไม? ทั้งๆที่แกมีแฟนที่ดีอย่างคุณภูมินทร์อยู่แล้วทั้งคน”
“ ฉันไม่ได้กลับมาหาเอก เอกกลับมาหาฉันเองต่างหาก”
ฟ้ารุ่งถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง
“ไม่จริง ถ้าแกไม่ไปยั่วยวนเค้า เค้าจะทิ้งผู้หญิงที่เพอร์เฟ็กต์อย่างฉันกลับไปหาผู้หญิงกากๆอย่างแกทำไม?”
พิณชนิดากำมือแน่น ด้วยความโมโห
“ฉันเนี่ยนะกาก ถ้าฉันกากจริง คุณภูมินทร์ไม่หลงรักฉันหรอก แกต่างหากที่กาก ขี้อิจฉา ดีแต่โทษคนอื่น ทั้งๆ ตัวแกนั่นแหละที่เป็นคนผิด ผิดทั้งหมด คิดให้ดีว่าแกทำอะไร เอกถึงทิ้งแกกลับมาหาฉัน?”
ฟ้ารุ่งกรีดร้องลั่น ก่อนจะผลักพิณชนิดาเต็มแรง จนจะหงายหลัง แต่ภูมินทร์เข้ามาช่วยรับเอาไว้ได้ทัน
“หลีกไปคุณภู นี่เป็นเรื่องระหว่างฉันกับยัยพิณ”
ภูมินทร์จ้องหน้าฟ้ารุ่ง
“ผมไม่หลีก เพราะที่นี่คือบริษัทผม คุณไม่มีสิทธิ์มาก่อเรื่องและทำร้ายร่างกายคนของผม”
“คุณกับมันคงจะถึงสวรรค์ชั้นฟ้ากันแล้วใช่มั้ย? ถึงออกนอกหน้าปกป้องมันนัก”
แต่กลับถูกภูมินทร์ตอกกลับ
“หยุดดูถูกคุณพิณซะ เค้าไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายแบบคุณ อย่ามากรี๊ด อย่ามาแสดงกิริยาที่ทำให้ผมเห็นว่ากำพืดคุณมาจากไหน?”
ฟ้ารุ่งอ้าปากค้างพูดไม่ออก พิณชนิดาแอบสะใจ
“ก้อง ไอ้ก้องอยู่แถวนี้รึเปล่า?”
ก้องภพรีบวิ่งมาหา พอ เห็นฟ้ารุ่งก็อึ้งๆ
“เชิญคุณผู้หญิงคนนี้ออกไป และสั่งรปภ.ว่าถ้าผู้หญิงคนนี้มาที่นี่อีกให้แจ้งความทันที”
ฟ้ารุ่งผงะ ก้องภพรับคำ ภูมินทร์ประคองกอดเอวพิณชนิดาพาเดินออกไป
เปรมสุดาออกมาจากที่ซ่อน เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด

ภูมินทร์เอาน้ำแข็งประคบตรงที่พิณชนิดาโดนตบหน้า อีกฝ่ายถึงกับสะดุ้ง
“เจ็บเหรอ? “
พิณชนิดาส่ายหน้า “มันเย็น”
“อดทนหน่อย จะได้หาย ไม่งั้นคืนนี้หน้าเธอบวมแน่ นิ่งๆได้มั้ย จะยุกยิกทำไม? “
พิณชนิดาพยายามนั่งนิ่งๆ ภูมินทร์ค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้หน้าเธอเรื่อยๆ ทำเอาพิณชนิดาเคลิ้ม แล้วก็อมยิ้ม
“ยิ้มทำไม?”
พิณชนิดาหน้าถอดสี “เปล่า”
“ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม”
ภูมินทร์หันมา ทำให้จมูกแตะโดนแก้มพิณชนิดา ทั้งคู่นิ่งงัน พอรู้ตัวเขาก็รีบผละออกห่าง แล้วเอาผ้าห่อน้ำแข็งยัดใส่มือเธอแก้เขิน
“ทำเองต่อแหละกัน ฉันต้องไปทำงานแล้ว”

ภูมินทร์รีบเดินออกไป พิณชนิดายกมือจับหน้าตัวเองแล้วก็ยิ้มออกมา

เปรมสุดากลับมาสีหน้ามีความสุข ปณิตารีบเดินออกมาหา แววตาเป็นประกาย
 
“ยิ้มแย้มแบบนี้ แสดงว่าตาภูยกโทษให้แล้ว”
เปรมสุดาส่ายหน้ายิ้มๆ
“ยังค่ะ สุดายังไม่ได้พูดกับภูเลย แต่สุดามีแผนเด็ดในการกำจัดนังหมอดูนั่นให้พ้นไปจากชีวิตภู สุดาจะยืมมือคนอื่นค่ะแม่”
พูดพลางยิ้มร้ายอย่างมั่นใจ

จากนั้นเปรมสุดาก็รี่ไปหาฟ้ารุ่งถึงที่คอนโด อีกฝ่ายมองหน้าเธอแบบงงๆ
“คุณเป็นใคร?”
“ฉันเป็นแฟนภูมินทร์”
พลางมองฟ้ารุ่งหัวจรดเท้าอย่างเวทนา
“ปล่อยตัวให้โทรม สภาพดูไม่ได้แบบนี้ ผู้ชายที่ไหนจะกลับมา”
ขาดคำ เปรมสุดาก็เดินเข้าห้องมา ฟ้ารุ่งตามมาอย่างงง ๆ
“คุณมาที่นี่ทำไม? มีธุระอะไรมิทราบ”
เปรมสุดาหันไปมองฟ้ารุ่ง แล้วยิ้มร้าย
“นังพิณ หมอดูลวงโลกนั่น แย่งผู้ชายของเราไป ถึงเวลาที่พวกเรา จะเอาคืนมัน”

ภิชาสินีเดินมาตามทางเดินเพื่อกลับบ้านของภูมินทร์ แต่พอผ่านสนามเด็กเล่น ก็เห็นปิ่นเพชรกำลังเล่นกับสรพงศ์เด็กผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
ปิ่นเพชรหันมาเห็น ก็รีบวิ่งเข้ามาหา ภิชาสินีมองไปที่สรพงศ์ก่อนจะหันมามองปิ่นเพชรอีกครั้ง
“ปิ่นเพชร นั่นคนหรือวิญญาณ?”
“ คนสิเจ๊ เพื่อนเค้าเอง “ พลางหันไปโบกมืให้เพื่อน “สรพงศ์ พรุ่งนี้เจอกัน”
ภิชาสินีมองตามสรพงศ์ก่อนจะก้มมองปิ่นเพชร
“ไป กลับบ้าน”

จ่าเหยินเอาป้ายประกาศเด็กหายมาแปะบนบอร์ดที่โรงพัก อรรถพรเดินมายืนข้างๆ
“เด็กหายอีกแล้วเหรอจ่า?”
“ครับ รายที่สิบ นี่แค่ 3 วันนะครับ คนสมัยนี้มันใจร้ายใจดำใจอำมหิตจริงๆ กับเด็กก็ไม่เว้น ผมล่ะเป็นห่วงอนาคตของชาติ”
อรรถพรถอนหายใจ พลันเสียงข้อความดังขึ้น เขารีบหยิบมือถือขึ้นมากดเปิดดู หน้าจอมือถือขึ้นมีสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้าที่เฟซบุคของ สน. พอเขากดเปิด ก็มีภาพเด็กสรพงศ์ปรากฎขึ้นมา พร้อมข้อความ
“ประกาศเด็กหาย ช่วยกันแชร์ด่วน”

ปิ่นเพชรนั่งชะเง้อรออยู่ที่สนามเด็กเล่นเป็นนาน แต่สรพงศ์ก็ยังไม่มา ครู่ใหญ่พ่อของสรพงศ์ก็เดินซเข้ามา เพราะความเมา
ปิ่นเพชรรีบวิ่งไปหา
“คุณลุงครับคุณลุง ผมเป็นเพื่อนกับสรพงศ์ เรานัดกันเอาไว้ แต่ป่านนี้แล้วสรพงศ์ยังไม่มา คุณลุงช่วยพาผมไปหาสรพงศ์หน่อยนะจ๊ะ”
พ่อสรพงศ์อึกอัก
“สอ ระ สรพงศ์ มะไม่ไม่สบาย”
พ่อพูดจบก็รีบจ้ำเดินออกไปทันที ปิ่นเพชรมองตามด้วยความสงสัย จากนั้นก็รีบนำเรื่องไปปรึกษาภิชาสินี
“คิดว่าเกิดเรื่องกับสรพงศ์?”
“ คุณลุงท่าทางแปลกๆ พูดตะกุกตะกัก แถมยังหลบตาเค้าอีก เหมือนคนทำความผิดอะไรมา
เจ๊เชื่อเค้าเหอะนะ เจ๊ก็รู้ว่าเค้าโกหกไม่ได้ เพราะเค้าถือศีล และอีกอย่างลางสังหรณ์เค้าก็ไม่เคยพลาด”
ภิชาสินีมองหน้าปิ่นเพชรอย่างตัดสินใจ

ภิชาสินีรีบมาหาอรรถพรที่โรงพัก เพื่อหาข้อมูลเด็กหาย เขารีบพาเธอเข้ามาดูที่บอร์ด แต่กลับไม่เจอรูปของสรพงศ์
“จริงสิ เมื่อเช้าเพิ่งมีประกาศเด็กหายอีกคนหนึ่ง”
อรรถรนึกได้ รีบหยิบมือถือยื่นให้ภิชาสินี พออีกฝ่ายก้มมองรูปก็ตกใจ

“สรพงศ์”

ภิชาสินีเดินออกมาที่หน้าโรงพักด้วยสีหน้ากังวล อรรถพรรีบหันมาพูดปลอบ
 
“ผมส่งตำรวจไปหาพ่อเด็กคนนั้นแล้ว อีกไม่นานคงได้คำตอบ”
พลันก็หันไปเห็นปิ่นเพชรเดินเข้ามา
“ตกลงได้เบาะแสเพื่อนเค้ารึเปล่า?”

ตำรวจเคาะประตูบ้านสรพงศ์อยู่เป็นนาน แต่กลับไม่มีคนมาเปิดประตู จึงเอาวอขึ้นมากด
“ไม่มีคนอยู่บ้าน”
พูดจบก็เดินออกไป พ่อสรพงศ์เปิดประตูออกมามองตาม เหงื่อแตกเต็มหน้า สีหน้าหวาดกลัว

“อย่าเพิ่งหมดหวัง การที่สรพงศ์หาย ไม่ได้แปลว่าเค้าจะตายซักหน่อย แล้วอีกอย่างหมวดอรรถก็รับปากว่าจะช่วย พี่มั่นใจว่าหมวดอรรถต้องหาเจอแน่”
ภิชาสินีพยายามพูดปลอบใจปิ่นเพชร ที่เป็นห่วงเพื่อนจนหน้าเครียด
ทั้งคู่เดินมาถึงสนามเด็กเล่น ภิชาสินีมองไปก็เห็นสรพงศ์กำลังเล่นชิงช้าอยู่ เธอรีบบอกปิ่นเพชรอย่างดีใจ
“ปิ่นเพชร สรพงศ์”
แต่พอปิ่นเพชรหันไปมอง ก็ไม่มีใครแล้ว
“ไหนอ่ะเจ๊?”
ภิชาสินีแปลกใจ รีบเดินตรงไปที่ชิงช้า
“พี่เห็นจริงๆนะ สรพงศ์กำลังเล่นชิงช้า”
ภิชาสินีหันไปมองรอบๆ เห็นหลังสรพงศ์วิ่งออกไป
“สรพงศ์ไปทางนั้นแล้ว”
ภิชาสินีกับปิ่นเพชร รีบวิ่งตามไป
“สรพงศ์ รอพี่ก่อน นี่”
ปิ่นเพชรหอบแฮ่ก “เจ๊แน่ใจนะว่าใช่สรพงศ์ ทำไมเค้าถึงไม่เห็น?”
“ก็เพราะเพื่อนเราวิ่งเร็วมากน่ะสิ รีบไปเร็วเข้า”

ภิชาสินีกับปิ่นเพชรวิ่งเข้ามาในชุมชน แล้วก็เจอบ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง ทั้งคู่หยุดยืน มองไปที่บ้าน ก่อนจะหันมามองหน้ากัน
“สงสัยจะเป็นบ้านของสรพงศ์”
ภิชาสินีเดินมาเคาะประตู แต่กลับไม่มีคนมาเปิด
พ่อสรพงศ์รีบเก็บเสื้อผ้า พลันได้ยินเสียงเคาะประตู ก็หันขวับไปมอง
“เค้าเข้าไปดูให้เอง”
ปิ่นเพชรกลายเป็นตุ๊กแก แล้วก็คลานใต้ช่องประตูเข้าไปในบ้าน ภิชาสินียืนรออย่างกระวนกระวายใจ.

ตุ๊กแกปิ่นเพชรกลายร่างเป็นเด็กชายปิ่นเพชร ยืนมองไปรอบๆ
“ทำไมบ้านมืดแบบนี้ ?”
ปิ่นเพชรเดินเข้าไปข้างใน ไม่นานพ่อสรพงศ์เดินออกมาจากอีกด้าน พลางแอบมองภิชาสินีจากหน้าต่างบานหนึ่ง ด้วยแววตาร้าย

ภิชาสินียืนรอปิ่นเพชรอยู่ พลันประตูบ้านก็เปิดออก พอหันไป ก็เห็นพ่อของสรพงศ์ยืนหน้าแดงก่ำเพราะความเมาอยู่
“มาหาใคร?”
“ที่นี่ใช่บ้านของน้องสรพงศ์รึเปล่าคะ?”
พ่อสรพงศ์ชะงักอย่างหวาดระแวง
“ใช่ มาหาสรพงศ์เหรอ? เข้ามาก่อนสิ”
ภิชาสินีเดินเข้าไปโดยที่ไม่ติดใจสงสัยอะไร พ่อสรพงศ์รีบปิดประตูทันที

ภิชาสินีมองไปรอบๆบ้าน แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกทุบท้ายทอย จนสลบเหมือด พอปิ่นเพชรเดินออกมาจากบ้าน ไม่เห็นภิชาสินีก็แปลกใจ
“เจ๊ภิหายไปไหน? หรือว่าจะกลับไปแล้ว ไม่รอกันบ้างเลย”

ภิชาสินีถูกจับมัดกับเก้าอี้ มีผ้าปิดปากในสภาพสลบ พ่อสรพงศ์กำลังกดมือถือเพื่อโทร. ออก
ไม่นานปลายสายก็รับ
“ผมต้องการเงินห้าล้าน ถ้าคุณไม่ให้ ผมจะบอกตำรวจเรื่องที่คุณตามฆ่านายภูมินทร์ อัครมโหฬาร”
ที่แท้ชายชุดดำที่ตามไล่ลาภูมินทร์กับพิณชนิดา ก็คือพ่อของสรพงศ์นี่เอง
“ผมไม่ได้ขู่ หมาจนตรอกอย่างผม ทำได้ทุกอย่าง ผมให้เวลาคุณหนึ่งชั่วโมง เอาเงินมาให้ผม”
ขาดคำก็กดวางสาย พลางหันไปมองภิชาสินี ด้วยแววตาร้าย แล้วก็เดินออกไป
ภิชาสินีรู้สึกตัว ฟื้นขึ้นมา เห็นสภาพตัวเองก็ตกใจ

พ่อสรพงศ์เดินหน้าตื่นๆ ออกมาที่โอ่งหลังบ้าน พอเปิดฝาโอ่ง ก็เห็นศพของสรพงศ์ถูกซุกอยู่ พ่อ รู้สึกผิดมาก รีบอุ้มสรพงศ์ขึ้นมาจากในโอ่ง พลางระล่ำระลักร้องไห้

“พ่อขอโทษนะลูก พ่อขอโทษ”
 
จบตอนที่ 11 
 
อ่านต่อตอนที่ 12 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
กำลังโหลดความคิดเห็น