xs
xsm
sm
md
lg

แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 3
ปราณนต์ทรุดตัวนั่งกลางร้านด้วยความเหนื่อย เขาปาดเหงื่อที่โทรมตัว เสียงแชทดังขึ้นติดต่อกัน ปราณนต์ไม่สนใจ เสียงยังดังต่อเนื่องจนปราณนต์ต้องยอมดูหน้าจอ

“ตึ๊งๆอยู่ได้ คนยิ่งกลุ้มๆอยู่”
ข้อความบนมือถือของปราณนต์มีข้อความจาก "แอบรัก" ยาวเรียงเป็นตับ พิมพ์มาเป็นบรรทัด "ถามแม่บ้าน, ดูที่ถังขยะ , ดูเวลารถขยะมา "
ข้อความใหม่พิมพ์เข้ามาอีกระลอก "ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ลองเชคเวลาเก็บขยะของกทม. , ตามรถขยะไป , จะคุ้ยก็ต้องคุ้ย , หาให้ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้ !!!!" ตามด้วยสติ๊กเกอร์สู้ตาย
ปราณนต์ก็หยุดคิดตามข้อความ
ปราณนต์อ่าน “ถามแม่บ้าน, ดูที่ถังขยะ , ดูเวลารถขยะมา ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ลองเชคเวลาเก็บขยะของกทม. , ตามรถขยะไป , จะคุ้ยก็ต้องคุ้ย , หาให้ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้ !!!!.....เฮ้ย อะไรวะเนี่ย” แล้วปราณนต์ก็คิดตาม
ปราณนต์มองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าเป็นเวลา 12.30 น.แล้ว
“เอาว่ะ” ปราณนต์มองมือถือ “ไม่ลองไม่รู้”
ข้อความ "ถามแม่บ้าน"
ปราณนต์ลุกขึ้นเรียกพนักงาน “น้องครับ แม่บ้านอยู่ไหน”

แอบรักเหมือนเป็นคนชี้ทางให้ปราณนต์
ปราณนต์วิ่งเข้ามาที่ถังขยะ พร้อมกับข้อความแอบรักที่บอกให้ "ดูที่ถังขยะ"
ปราณนต์พบว่าถังขยะว่างเปล่า
ข้อความแอบรักขึ้นว่า "ถ้าทิ้งขยะไปแล้ว ไปดูเวลารถขยะมา"
ปราณนต์ดูตารางทำความสะอาดของแม่บ้านบนกำแพง ในตารางเขียนว่า "ทิ้งขยะเวลา 12.30. น." ท้ายข้อความมีปากกาเซ็นต์ชื่อของแม่บ้านแล้วด้วย ปราณนต์ผละไปจากห้องตรงนั้น
ปราณนต์วิ่งออกมาหน้าร้านแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นรถขยะวิ่งผ่านไป ปราณนต์รีบวิ่งตามรถขยะ ตัวหนังสือของแอบรักขึ้นบอกว่า “ตามรถขยะไป , จะคุ้ยก็ต้องคุ้ย , หาให้ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้ !!!!" ตามด้วยสติ๊กเกอร์สู้ตาย!
“เอาวะ..ตายเป็นตาย” ปราณนต์ฮึดสู้
ปราณนต์โบกให้รถขยะจอดแล้วรีบเข้าไปคุยกับคนขับรถก่อนจะรีบวิ่งไปที่ขยะท้ายรถทันที

อวัศยาหยุดพิมพ์ เธอเห็นว่าข้อความแต่ละอันขึ้นว่า "อ่านแล้ว" อวัศยาใจเต้นแรงเพราะลุ้นมาก

เหล่าทีมงานนาราภัทรลุ้นจนแทบไม่เป็นอันทำงาน ทุกคนดูนาฬิกาที่บอกเวลา 12.40 น. รุจน์เอาเครื่องรางบนโต๊ะมาทูนเหนือหัว
“ไอ้ณนต์หาเจอทีเถอะ” รุจน์อ้อนวอน
ลิลลี่พนมมือลุ้นๆ บรรยากาศภายในห้องเหมือนกำลังลุ้นว่ายานอวกาศจะขึ้นไปบนดวงจันทร์ได้มั้ย
พริบพราวยืนมองนาฬิกาข้อมือด้วยสีหน้านิ่งเฉยเพราะโกรธปราณนต์จนไม่อยากจะเอาใจช่วยอะไรทั้งนั้น

ปราณนต์คุ้ยขยะจนมอมแมม ในที่สุดก็เจอจนได้ ปราณนต์ตาวาวพร้อมกับหยิบซองเอกสารออกมาจากถุงขยะ เขาชูขึ้นราวกับของมีค่า

รุจน์ลดสายมือถือลงแล้วตะโกนลั่น
“ณนต์เจอเอกสารแล้ว”
บรรดามาร์ฯ ที่นั่งอยู่กับโต๊ะตัวเองเฮกันอย่างดีใจ ยกเว้นพริบพราวที่เก็บของเก็บกระเป๋าเตรียมออกไปกินข้าวกลางวันแต่แอบฟังสิ่งที่เกิดขึ้น ลิลลี่นั่งโต๊ะติดกับรุจน์ก็อยากจะเฮไปด้วยแต่ยังติดสายคุยกับลูกค้าด้วยเครื่องโทรศัพท์ประจำโต๊ะอยู่
“ตลาดเปิดภาคบ่ายตอนบ่ายสอง ลิลลี่สั่งซื้อให้นะคะ สวัสดีค่ะ” ลิลลี่วางสายแล้วรีบลุกมาหารุจน์ “แล้วตอนนี้คุณณนต์อยู่ที่ไหน”
“รถเสียอยู่หน้าปากซอย มาไม่ทันบ่ายโมงแน่ๆ” รุจน์บอก
บรรดามาร์ฯ หยุดเฮกันอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน
“แล้วจะตะโกนหาสวรรค์วิมานอะไรครับ” พีระว่า
“บทสรุปจะเป็นยังไง แต่เราต้องเชิดชูความดีของผู้อื่นครับพี่พี” รุจน์บอก
“ฮือๆ เราจะช่วยคุณณนต์ยังไงดีคะ ลิลลี่อยากให้คุณณนต์ทำงานที่นี่ ฮือๆๆ”
พีระคิดออกจึงเสนอไอเดียที่ภูมิใจมากๆ “พี่คิดออกแล้ว ! เราเอาเอกสารเปิดพอร์ตมาใหม่ เดี๋ยวพี่ปลอมลายเซ็นต์ลูกค้าให้ แล้วเอาไปหลอกบอสก่อนว่าปราณนต์เอามา รับรองบอสไม่รู้ พี่ปลอมลายเซ็นต์เมียไปเบิกเช็คอยู่บ่อยๆ เมียไม่เคยรู้”
“บอสไม่ได้หูดับตาบอดเหมือนพี่นิดเมียพี่หรอกนะคะเราถึงจะเอาเอกสารไปหลอกบอสได้ หาทางอื่นดีกว่าค่ะ ใครมีไอเดียเสนอมาเลยค่ะ” ลิลลี่ว่า
พริบพราวเห็นภาพเหล่ามาร์ฯ กำลังประชุมปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด
พริบพราวมองด้วยความหงุดหงิดและรำคาญใจ

อวัศยาออกมาจากในห้องน้ำก็เจอลิปดายืนอยู่ อวัศยาสะดุ้งตกใจแต่ก็ทำนิ่งกลบเกลื่อน
“บอส ! บอสมายืนทำอะไรตรงนี้คะ” อวัศยาถาม
“ผมก็แค่มาตรวจความเรียบร้อยอะไรหน่อย คุณล่ะ ทำไมต้องมาเข้าห้องน้ำชั้นนี้” ลิปดาถามกลับ
“ก็ฉัน...ฉันไม่อยากเข้าข้างล่าง”
“ทำไม”
“ก็แล้วเข้าชั้นนี้มันผิดกฎหรือคะ บอสถึงต้องมาซักไซ้ถามฉันอย่างกับฉันเป็นนักโทษ ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว”
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว วันหลังผมจะห้องน้ำเก็บเสียงให้นะ เวลาคุณปลดทุกข์หนักหน่วงจะได้ไม่ต้องขึ้นมาถึงบนนี้”
อวัศยาจะเดินหนีออกไป แต่ลิปดาคว้ามือของเธอไว้
“จะมายุ่งอะไรกับฉันอีกล่ะคะ ฉันจะไปทำงาน”
“จะบ่ายโมงแล้ว ไปคอยปราณนต์ด้วยกันเถอะ”
อวัศยาหนักใจ

พริบพราวเดินถือกระเป๋าตังค์และมือถือออกมาจากด้านในเพื่อเตรียมจะไปกินข้าวกลางวัน แสนดีเดินเข้ามาจากด้านนอก
“น้องพราวขา น้องณนต์กลับมาหรือยังคะ” แสนดีถาม
พริบพราวเซ็ง “พราวอยากรู้ ถ้าเปลี่ยนจากปราณนต์เป็นพราว จะมีใครเป็นห่วงพราวแบบนี้ไหม”
“มีสิคะ อย่างน้อยก็พี่หนึ่งคน ไม่เอาค่ะ อย่าเพิ่งน้อยใจ ที่พี่ถามไม่ได้เป็นห่วงน้องณนต์นะคะ พี่แค่...แค่สาระแนนะคะ จะได้มีเรื่องไปเม้าที่แผนก ไม่เอาค่ะ อย่าน้อยใจนะคะ”
“ไม่ได้น้อยใจค่ะ แค่หมั่นไส้นายปราณนต์...มีแต่คนสนใจ”
แสนดียิ้มเจื่อนๆ
“ถ้าปราณนต์กลับมาไม่ทันบ่ายโมงก็ดีเหมือนกัน พราวจะได้หมดคู่แข่งสักที”
พริบพราวหงุดหงิด

ปราณนต์ที่อยู่ในสภาพมอมแมมไปด้วยเศษขยะกำลังขี่มอเตอร์ไซด์เก่าๆ ของหุ้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในมือของเขาถือซองน้ำตาลเอาไว้ ปราณนต์ยิ้มๆ ดีใจก่อนจะบิดเร่งเครื่องให้เร็วขึ้น
ทันใดนั้นมอเตอร์ไซด์ก็เร่งไม่ไปแล้วก็ดับไปดื้อๆ
ปราณนต์อ้าปากค้างพลางคิดในใจว่าฉิบหายแล้ว เขาถีบสตาร์ทมอเตอร์ไซด์ซ้ำหลายๆ ครั้งแต่ก็ยังไม่ติด ปราณนต์ดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าเป็นเวลา 12.53 น.แล้ว
“เจ็ดนาที”
ปราณนต์มองถนนข้างหน้าก็เห็นท้ายรถติดยาวเหยียด ปราณนต์ตัดสินใจถอดกุญแจรถแล้ววิ่งไป

ลิปดานั่งคอย อวัศยานั่งนิ่งแต่ลอบมองนาฬิกาข้อมือลุ้นๆ ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก อวัศยากับลิปดาหันขวับไปที่ประตูแล้วดวงตาอวัศยาก็เป็นประกายสดใสเพราะดีใจ
“ปราณนต์”
แต่คนที่เข้ามาคือ รัน !
“ขอโทษครับ ลืมเคาะประตู ตื่นเต้นมากไปหน่อย” รันบอก
อวัศยาใจฝ่อลง
“ปราณนต์หาเอกสารเจอแล้วนะครับ กำลังเดินทางกลับมา” รันรายงาน อวัศยายิ้ม “แต่ไม่รู้จะทันบ่ายโมงหรือเปล่า”
อวัศยาโพล่งถามอย่างลืมตัว “ทำไม”
ลิปดาหันขวับไปมองอาการของอวัศยาอย่างแปลกใจ

รุจน์ชะเง้อคอยอยู่หน้าตึกแล้วก็ล้วงหยิบสร้อยพระบนลำคอตัวเองที่ห้องทั้งพระเครื่อง ตะกรุดของขลังไม่ต่ำกว่าสิบชิ้นออกมาพนม
“ด้วยอำนาจแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้รวมพลังกันช่วยให้ไอ้ณนต์มาถึงทันเวลาด้วยเถิด”
ทันใดนั้นรุจน์ก็หันมองไปเห็นปราณนต์วิ่งถือเอกสารมาแต่ไกล รุจน์ดีใจ
“ไอ้ณนต์ ! ไอ้ณนต์มาแล้ว ไอ้ณนต์”
รุจน์กดแชทบนมือถือ ในห้องรวม "มาร์ฯนาราภัทร"
“ณนต์มาแล้ว เคลียร์ลิฟต์”

ลิลลี่ยืนกดอ่านข้อความแชทอยู่หน้าลิฟต์ ข้อความจากรุจน์ส่งมาว่า "ณนต์มาแล้ว เคลียร์ลิฟต์" ลิลลี่กดสติ๊กเกอร์รูป OK ขณะนั้นมวลมหาประชามาร์เก็ตติ้งที่เพิ่งไปกินข้าวกลางวันกันมาถือแก้วกาแฟสดบ้าง ถุงขนมบ้างกำลังเบียดเข้าไปในลิฟต์ ลิลลี่เดินตามเข้าไปในลิฟต์แล้วแกล้งคุยโทรฯ ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นประหนึ่งถูกหวยรางวัลที่1
“แก๊ๆ ที่หน้าออฟฟิศฉัน มีบิวตี้ช็อปมาเปิดขายเสื้อผ้าเครื่องสำอางค์ เซลล์ตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์”
สาวมาร์ฯในลิฟต์มองหน้ากันตาลุกวาว
“แปดสิบเปอร์เซ็นต์”
บรรดาสาวมาร์ฯวิ่งออกจากลิฟต์ไปทันทีทำให้ลิฟต์ว่างเปล่า รุจน์กับปราณนต์วิ่งเข้ามาพอดี
“ทางสะดวกแล้วค่ะ” ลิลลี่บอก
ปราณนต์กับรุจน์เข้าไปในลิฟต์
“ยิงยาวไปชั้นห้องบอสเลยน้องลิลลี่” รุจน์ว่า
“จัดไปค่ะ”
ลิลลี่ยื่นมือกดปุ่มเลขชั้น แต่พบว่าเลขชั้นทุกเลขถูกกดหมดแล้ว
“ถ้าจอดทุกชั้น ไม่ทันแน่”
ปราณนต์ตัดสินใจวิ่งไปที่บันไดหนีไฟ
“ไอ้ณนต์จะไปไหน รอด้วย”
รุจน์เดินตาม ลิลลี่กดแชทบนมือถือ "แผนเสีย ข้างบน สแตนบายด์"

ปราณนต์ถือเอกสารวิ่งขึ้นบันไดหนีไฟ

พริบพราวนั่งกินอาหารกลางวันอยู่กับแสนดีแต่แสนดีไม่กินเพราะมัวแต่อ่านข้อความแชท พริบพราวมองไปรอบๆ ก็เห็นเหล่ามาร์ฯ ที่กำลังกินข้าวทุกคนก้มหน้าอ่านแชทบนมือถือกันอย่างตื่นเต้นเช่นกัน
พริบพราวถาม “อ่านอะไรคะ”
“รายงานสดลุ้นน้องปราณนต์ค่ะ” แสนดีบอก
พริบพราวสนใจ

ปราณนต์เปิดประตูบันไดหนีไฟแล้วก็หยุดหอบเพราะเหนื่อยมาก รุจน์เปิดประตูตามมาชนกับปราณนต์
ปราณนต์กับรุจน์ตกใจ “เฮ้ย”
ปราณนต์กับรุจน์ล้มลงกับพื้น แฟ้มเอกสารตกลงบนพื้น รุจน์ทับอยู่บนร่างของปราณนต์ทำให้ลุกลำบากเหลือเกิน รันยืนอยู่ตรงกลางทางเดินระหว่างหน้าห้องลิปดากับลิฟต์
“ณนต์ส่งมาเลยค่ะ” รันบอก
ปราณนต์ไถลซองน้ำตาลไปให้รัน รันรับมาด้วยท่าโคตรแมน เขาหยิบขึ้นพร้อมตะโกน
“คุณพี รับ”
พีระยืนอยู่หน้าห้องลิปดาตรงบริเวณโต๊ะทำงานของนิดา
“โชว์ลีลาโกฟุตบอลเก่าเดี๋ยวนี้” นิดาบอก
พีระตั้งท่ารับด้วยจิตวิญญาณของอดีตโกลฟุตบอลเก่า สีหน้าพีระมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม รันตั้งท่าเขวี้ยงซองน้ำตาลด้วยท่าทางที่มาดแมนคล้ายนักกีฬารักบี้ ซองเอกสารลอยไปในอากาศ ดวงตาพีระแน่วแน่ ปราณนต์กับรุจน์จ้องลุ้นๆ
ลิลลี่ก้าวออกมาจากในลิฟต์มองเหตุการณ์ แล้วหันไปเห็นแฟ้มเอกสารลอยก็ตื่นเต้นไปด้วย เข็มวินาทีบนนาฬิกานับถอยหลัง 7..6..5..4..3.. ซองเอกสารลอยไปใกล้จะถึงพีระ พีระชูมือสองข้างพร้อมทั้งพุ่งตัวขึ้นในอากาศ
พีระร้องลั่น “อ๊าก !”
แทนที่จะรับ พีระดันปัดซองเอกสารกระเด็นลอยไปไกลมาก พร้อมๆ กับที่เข็มนาฬิกาถึงเวลาบ่ายโมงเป๊ะ ทุกคนอ้าปากค้าง แต่พีระดีใจที่ปัดทิ้งได้
“เยสๆๆๆ! ฝีมือยังดีอยู่เหมือนเดิม”
พีระหันไปเห็นสีหน้าอึ้งตะลึงงันของทุกคนก็นึกขึ้นได้จึงยิ้มแห้งๆ
“ใครสั่งให้ปัดทิ้ง ! ทำไมไม่รับ” นิดาว่า
“ใครสั่งให้เมียพูดคำว่า โกลฟุตบอล โกลที่ดีลูกมาต้องปัด”
ปราณนต์ฟุบหน้าลงกับพื้นด้วยความรู้สึกว่าจบกันความพยายามที่ทำมา

ปราณนต์วางแฟ้มเอกสารสีน้ำตาลที่ค่อนข้างเปื้อนวางบนโต๊ะทำงานตรงหน้าลิปดา ปราณนต์อยู่ในสภาพสกปรกยับเยิน หน้าแดงเพราะตากแดด หัวฟูจนแทบจะดูไม่ได้ เขายืนหายใจหอบเพราะยังเหนื่อยไม่หาย อวัศยากับรันยืนอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนรุจน์ยืนข้างๆ ปราณนต์
“คุณช้าไปหนึ่งนาที” ลิปดาบอก
“แต่ผมหาเจอนะครับ” ปราณนต์ว่า
“ผมก็ไม่ได้บอกว่าคุณหาไม่เจอ ผมพูดว่า...คุณช้าไป ๑ นาที” ลิปดาย้ำ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กว่าลิปดาหมายความว่าอะไร อวัศยายังนิ่งคิด
รุจน์ค่อยๆถาม “เอ่อ..แปลว่า.. บอสไม่ให้น้องณนต์ผ่านงานเหรอครับ”
ลิปดายังไม่ตอบ บรรยากาศเริ่มอึดอัดมากขึ้น ในที่สุดอวัศยาก็พูดขึ้นเอง
“ใช่ ! บอสหมายความอย่างนั้น”
ทุกคนหันมาทางอวัศยา ปราณนต์หน้าซีด
อวัศยาพูดต่อ “ทุกคนก็รู้ว่าบอสเป็นคนเข้มงวดเรื่องเวลามาก ถึงจะทุ่มเทแค่ไหนก็ตาม แต่มาช้า “แค่ 1 นาที” ก็ให้อภัย ไม่ได้” ลิปดาฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ “ถึงแม้ตอนนี้เราจะหาคนรุ่นใหม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์คำพูดตัวเองได้ยากเต็มที แต่..” อวัศยาย้ำ “ช้าไปแค่ 1 นาที .. บอสก็ไม่ยอมผ่อนผันให้ ! เพราะฉะนั้น เก็บของแล้วก็ออกไปเลย”
ปราณนต์อึ้ง ทุกคนเงียบ ลิปดาหลิ่วตามองอวัศยาแล้วก็คิด อวัศยาพูดย้ำ
“ไม่ได้ยินหรือไง ไปสิ”
ปราณนต์จ๋อย “เอ่อ...” ปราณนต์คอตก “ครับ” ปราณนต์จะหันหลังเดินไป
ทันใดนั้นเสียงลิปดาก็ดังขึ้น “เดี๋ยว”
ปราณนต์ชะงักก่อนจะค่อยๆหันมา ทุกคนลุ้น อวัศยาลุ้นที่สุด
“ศยาพูดถูก แค่ 1 นาทีก็มีความสำคัญกับผมมาก แต่...ผมก็ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีมไม่น้อยไปกว่ากัน เมื่อกี๊ผมเห็นทุกคนช่วยเหลือกัน ถ้าผมเอาจำนวนคนมาหารกับ 1 นาทีที่ช้าไป ก็เหลือแค่คนละไม่กี่วินาที ซึ่งถือว่าน้อยมาก เพราะฉะนั้น..” ลิปดาหยุด ทุกคนลุ้น “ผมจะยกโทษให้”
ปราณนต์มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันที รุจน์แทบจะกระโดด รันแทบกรี๊ด อวัศยาอมยิ้ม ปราณนต์หันไปเห็นพอดี
ลิปดาพูดเสียงดัง “แต่ ! ผมจะยกโทษให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ! คราวหน้าถ้าผิดพลาดอีก ทั้งคนฝาก และคนรับฝาก ออกทั้งคู่”
รุจน์กับปราณนต์รีบรับคำ “ครับ”
ลิปดาก้มหน้าทำงานต่อ ทุกคนยังยืนอยู่ที่เดิมเพราะไม่รู้ว่าจบแล้ว ลิปดาเงยหน้ามาอีกทีแล้วก็มองงงๆ
“อ้าว จบแล้ว ออกไปสิ อยากอยู่ให้โดนไล่ออกกันหมดหรือไง”
รุจน์ รัน และปราณนต์พูดเกือบจะพร้อมกัน “ปล่ะเปล่าครับ ไปแล้วครับ”
รุจน์ รัน และปราณนต์รีบเดินออกไป อวัศยาเดินรั้งท้าย พอคล้อยหลังทุกคน ลิปดาก็พูดขึ้นลอยๆ
“ไม่ขอบคุณผมสักหน่อยเหรอ ที่รับมุกคุณ”
อวัศยาหันมา “บอสต้องขอบคุณฉันมากกว่า ที่ยอมสวมบทนางมารร้าย เพื่อเป็นบันไดให้บอสเดินลงมาอย่างสง่างาม ได้ใจลูกน้อง แถมยังอาจจะได้พนักงานที่ทุ่มเทเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”
ลิปดามองหน้าอวัศยา เขาเถียงไม่ออกเพราะรู้ว่าจริง อวัศยายักคิ้วอย่างรู้กัน แล้วก็เดินออกไปอย่างผู้ชนะ ลิปดาถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ เป็นเชิงว่ายอม

อวัศยากำลังจะเดินเข้าไปในห้องทำงาน ปราณนต์ที่มีสภาพมอมแมมเดินตามมา
“พี่ศยา ขอบคุณครับที่ช่วยผม”
อวัศยาช็อกเพราะคิดว่าปราณนต์ขอบคุณเรื่องแอบรักจึงถามออกไปอย่างร้อนตัว
“ชะ..ช่วยเรื่องอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ไม่มี๊ !” อวัศยาเสียงสูง
“มีสิครับ..ก็เมื่อกี๊ พี่ทำให้คุณลิปยอมให้ผมอยู่ต่อ”
“รู้ได้ยังไง”
“ผมเห็นพี่ศยายิ้มครับ”
“วันหลังอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วกัน”
“ครับ”
อวัศยาถามหยั่งเชิงด้วยเสียงที่เบาลง “แล้ว...รู้ได้ยังไงว่าเอกสารอยู่ไหน”
ปราณนต์ยิ้มๆ “ผมมีนางฟ้ามากระซิบบอกครับ”
อวัศยาอึ้ง เขิน แต่ก็เก็บอาการเต็มที่ “”นางฟ้าอะไร ใครนางฟ้า”
“ผมก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่เธอช่วยให้คำแนะนำจนผมหาเอกสารเจอ ผมก็ถือว่าเธอเป็นนางฟ้าของผมแล้วครับ”
อวัศยาเขินมากแต่ก็ต้องทำเป็นขรึม “บ้าหรือเปล่า มโนใหญ่แล้ว นางฟ้ง นางฟ้าอะไร ไร้สาระ รีบๆขอตัวไปล้างตัวได้แล้ว เดี๋ยวกลิ่นจะเหม็นติดออฟฟิศ”
“ครับๆ”
ปราณนต์ยิ้มน่ารักแล้วเดินออกไป อวัศยารีบเปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

อวัศยาเปิดประตูเข้ามาแล้วยืนหลังพิงประตู
“ว้ายๆๆ นางฟ้า เขาบอกเราเป็นนางฟ้า”
อวัศยายิ้มจนปากจะฉีกถึงหู

ปราณนต์เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยจึงเอาชุดเก่าใส่ถุงพลาสติก ปราณนต์เดินมานั่งที่โต๊ะทำงานโดยเดินผ่านรุจน์
“พี่รุจน์ขอบคุณมากนะครับที่ให้ยืมชุด” ปราณนต์พูด
“พี่ก็ต้องขอบคุณเราที่ลงทุนทุ่มเท หาเอกสารเจอจนได้” รุจน์จับไหล่น้องชาย “ขอบคุณมากจริงๆ”
ปราณนต์ยิ้มรับ “ด้วยความยินดีครับพี่ เดี๋ยวชุดนี้ผมซักแล้วเอามาคืนนะครับ”
ปราณนต์ยิ้มรับแล้วเดินมาที่โต๊ะ เขาหยิบมือถือมาดูหน้าจอที่แชทกับแอบรัก
ปราณนต์มองชื่อ “แอบรัก” บนมือถือ มองรูปที่ใช้เป็นรูปประจำตัวคือรูปผู้หญิงน่ารัก
“แอบรัก”
ปราณนต์มองไปรอบๆ เขาเห็นลิลลี่นั่งเติมหน้า เห็นมาร์ฯผู้หญิงอีก 3-4 คนกำลังเม้ากันบ้าง เติมหน้ากันบ้าง กินขนมกันบ้าง
ปราณนต์สงสัย “ใครคือแอบรัก”
ปราณนต์ค้างคาใจและอยากรู้มาก

หุ้นขึ้นถามด้วยความสงสัย
“มอไซด์ของผมเสีย”
“ครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะพี่ ผมโทรให้ช่างไปลากมาซ่อมมาแล้ว ส่วนเรื่องค่าซ่อม ผมจ่ายให้เอง” ปราณนต์บอก
พริบพราวถือแก้วกาแฟกำลังเดินขึ้นตึก ปราณนต์หันไปเห็นพริบพราวจึงพูดกับหุ้นขึ้น
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ปราณนต์ผละจากหุ้นขึ้นจะไปหาพริบพราว แต่พริบพราวเดินเข้าตึกไปโดยไม่สนใจปราณนต์ ปราณนต์เดินตาม

พริบพราวเดินเข้ามาในตัวตึก ปราณนต์เดินเข้ามาคุยด้วย
ปราณนต์เรียก “พราว เดี๋ยวพราว”
“จะมาว่าอะไรฉันอีกล่ะ” พริบพราวถาม
“ผมขอโทษนะพราว”
พริบพราวอึ้งเพราะไม่คิดว่าปราณนต์จะขอโทษเธอ
“ขอโทษที่เข้าใจคุณผิด คิดว่าคุณเป็นคนเอาเอกสารไปซ่อน”
“ฉันไม่รับคำขอโทษนะ เผอิญเป็นคนเจ็บแล้วจำ”
“ใจร้าย” ปราณนต์ว่า
“ใช่ ฉันใจร้าย ชอบเอาชนะ ชอบแกล้งคน ชอบคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง บอกไว้เลยนะที่วันนี้นายไม่โดนเอาคืนที่บังอาจมาว่าฉันฉอดๆ เพราะฉันอารมณ์ดีมีลูกค้าเพิ่มอีกหนึ่งคน คราวนี้เป็นญาติฝ่ายแม่ ฉันลุ้นใจจะขาดอยากให้นายหาเอกสารเจอ”
“แสดงว่าคุณอยากให้ผมอยู่ที่นี่ต่อเหรอ”
“อยากสิ ฉันอยากให้นายแพ้ฉันเพราะฝีมือของฉัน ไม่ใช่แพ้เพราะเรื่องอื่น มันไม่สาแก่ใจ”
เสียงแชทในมือถือของพริบพราวดังขึ้น พริบพราวกดอ่านพร้อมกับหันหลังเดินออกไป ภาพการแชทของพริบพราวทำให้ปราณนต์สงสัย

ชุดครีมกล่องสีทองอร่ามถูกวางบนโต๊ะ จารวีนั่งคุยกับลิปดาอยู่ในร้านขนมที่ปิดแล้วและไม่มีลูกค้า
“ครีมบำรุงชุดนี้ โกลเด้นเซ็ท ชุดทองเลยนะ สำหรับสาวใหญ่วัย 35 อัพ” จารวีว่า
“เยี่ยม” ลิปดาวางเงินหมื่นสองพันบาทลงที่โต๊ะ
“แล้วนี่ซื้อไปให้ใคร ? หรือว่า...จะหันมาคบรุ่นใหญ่”
ลิปดาชะงักแล้วเฉไฉ “เปล่า ซื้อไปให้..เพื่อนแม่น่ะ”
“อ้อ แล้วไป นึกว่าจะเปลี่ยนแนว”
“เออ แจน..ถามอะไรหน่อย .. เคยคิดจะคบกับเด็กมั้ย”
จารวีพูดไปเก็บเงินเข้าลิ้นชักไปด้วย “คิด”
“ทำไม”
จารวีเงยหน้า “อยู่กับเด็กก็สดใสดี ไม่ต้องคิดมาก ยิ่งผู้หญิงที่เลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่ต้องง้อผู้ชาย อยู่กับเด็กยิ่งดีเลย”
“ไม่อายเหรอ ? เดินไปแล้วคนเค้าคิดว่ามากับลูกชายไรเงี้ย” ลิปดาถาม
“ทีผู้ชาย “แก่ๆ” ควงเด็กผู้หญิงแล้วคนอื่นทักว่าเป็นลูกยังไม่เห็นอาย แล้วทำไมผู้หญิงต้องอายด้วย”
“ก็..” ลิปดาเถียงไม่ออก
“ยิ่งเด็กหนุ่มๆ หน้าใสๆ ยิ่งน่ารักสดใส อยู่ด้วยแล้วแฮปปี้จะตาย” จารวีหัวเราะคริคริ
ลิปดาฟังแล้วยิ่งเหวอไปใหญ่
ภาพตอนที่อวัศยาอยู่กับปราณนต์แว่บเข้ามาในหัวของลิปดา ลิปดาแอบหวั่นใจเบาๆ

ครีมชุดเดิมถูกวางไว้บนโต๊ะในห้องอวัศยา อวัศยาอยู่ในชุดเตรียมนอนมองครีมแล้วเงยหน้ามองลิปดา
“บอสซื้อมาให้ฉันทำไม” อวัศยาถาม
“ก็เมื่อเช้าผมเห็นคุณแยกแยะ ครีมทาเท้ากับครีมทาหน้าไม่ออก ผมก็เป็นห่วง ซื้อมาให้ กลัวใช้ผิด” ลิปดาบอก
อวัศยาชะงักนิดๆ แล้วก้มหน้าอายๆ “เอ่อ..ขอบคุณค่ะ..ฉันไปเอาน้ำมาให้นะ”
อวัศยาเดินไปที่ตู้เย็น พอคล้อยหลังอวัศยา ลิปดาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของอวัศยาวางคู่กันสองเครื่อง
“ปกติใช้โทรศัพท์เครื่องเดียว .. อีกเครื่องของใคร” ลิปดาแอบระแวง
ทันใดนั้น ลิปดาก็นึกถึงเรื่องเมื่อเช้า
เหตุการณ์ตอนที่เจออวัศยาซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อย้อนกลับมา
“นี่เป็นค่าน้ำนะคะ ขอบคุณมากนะคะบอส ฉันรีบเข้าออฟฟิศก่อนนะคะ” อัวศยาพูด
ลิปดาถามพนักงาน “เออน้อง เพื่อนพี่คนเมื่อกี๊ .. เค้าซื้ออะไรบ้าง”
“มีครีมทาหน้า แล้วก็ซิมโทรศัพท์แบบเติมเงินครับ”
ลิปดาเอะใจ “ซิมแบบเติมเงิน”
ลิปดามองโทรศัพท์เครื่องที่ใส่ซิมใหม่ด้วยความอยากรู้ แล้วเขาก็ไปที่ห้องครัวจึงเห็นว่าอวัศยายังไม่ออกมา ลิปดารีบหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูทันที เขาเปิดหน้าจอ และกำลังจะกดเข้าไปดูเบอร์ ดูข้อควาท ดูแชทไลน์ ทันใดนั้นอวัศยาก็ยื่นมือเข้ามาคว้าโทรศัพท์ไป
“บอสมายุ่งอะไรกับโทรศัพท์ฉันเนี่ย”
ลิปดาเงยหน้ามองอวัศยาก็เห็นอวัศยาหน้าดุ ทำให้ลิปดาหน้าเสียอย่างแรง
“บอสนี่ไม่มีมารยาทเลย เป็นแฟนกันเค้ายังไม่ให้ดูโทรศัพท์กันเลย นี่ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย มาดูได้ไงเนี่ย” อวัศยารีบกดปิดทันที
ลิปดาหลิ่วตาอย่างไม่สำนึก “แน๊...มีความลับ แสดงว่าต้องมีอะไรอยู่ในโทรศัพท์แน่ๆ บอกมา ทำไมอยู่ๆใช้โทรศัพท์สองเครื่อง แถมเมื่อเช้าแอบซื้อซิมแบบเติมเงินแล้วไม่ยอมรับอีก”
อวัศยาสะดุ้ง “บอสรู้ได้ยังไง”
“ก็ถามคนขายไม่เห็นยากเลย” ลิปดาบอก อวัศยานึกถึงคนขายแล้วก็แค้น “ไง..? ทำไมต้องทำลับๆล่อๆด้วย มีอะไรมาซะดีๆ หรือว่า...” อวัศยาลุ้น “แอบรับจ๊อบนอก ขายความลับให้บริษัทอื่น”
อวัศยาโล่งอก “นี่ไม่ใช่เรื่องงาน..ฉันเปิดเบอร์ใหม่ไว้ใช้ธุระส่วนตัว”
“ธุระส่วนตัว เช่น” ลิปดารอคำตอบ
“ก็...” อวัศยาพยายามคิด “ก็...” ลิปดายังรอคำตอบ “..โอเค..ฉันบอกก็ได้..ฉันเปิดเบอร์ใหม่เอาไว้..โทร.โหวตเดอะว๊อยซ์”
ลิปดาเลิกคิ้ว “เอาไว้โทร.โหวตเนี่ยนะ”
“ใช่สิ..อ่ะ ! ไม่เชื่อใช่ม๊า นี่ไง ฉันถึงไม่อยากบอก บอกไปก็ไม่เชื่อ” อวัศยาบอก ลิปดายังคาใจ “นี่แล้วบอกเลยห้ามเล่าให้คนอื่นฟังเด็ดขาด .. ฉันอาย” อวัศยาแกล้งเล่นละครเล็กน้อย
ลิปดายังคาใจ “คุณเนี่ยนะ โหวตนักร้อง” ลิปดาถาม อวัศยาพยักหน้า ลิปดาถามย้ำ “จริงอ่ะ”
“นี่ ! แค่ซื้อครีมมาให้ไม่ได้แปลว่าบอสจะมาซอกแซกชีวิตฉันได้นะ” อวัศยาทำเป็นหาว “ฮ้าว .. บอส กลับไปได้แล้ว ฉันง่วง” อวัศยาดันหลังลิปดาไปที่ประตู
“อ้าว ไล่กันง่ายๆอย่างนี้เลย”
อวัศยาไม่แคร์ เธอดันลิปดามาจนถึงประตู ก่อนจะเปิดแล้วดันออกไปทันที
“กู๊ดไนท์”
อวัศยาปิดประตูใส่ทันที ลิปดาสะดุ้งนิดๆ อวัศยายืนพิงประตูด้วยความโล่งอกพลางคิดในใจว่าเกือบไม่รอด ลิปดายังค้างคาใจนิดๆ

ปราณนต์กำลังสะบัดเสื้อเชิ้ตตัวที่ใส่ตะลุยกองขยะหาเอกสาร แล้วดมเสื้อก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความพอใจ ปราณนต์เอาเสื้อตากกับราวตากผ้า พอมองเสื้อแล้วเขาก็นึกถึงแอบรัก

อวัศยาเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ ทีวีในห้องนอนเปิดช่องข่าวหุ้นอยู่ อวัศยาเช็ดผมเช็ดหน้าไปดูข่าวในทีวีไป กระปุกครีมของลิปดายังวางอยู่บนโต๊ะกระจก เสียงแชทบนมือถือเครื่องใหม่ของอวัศยาที่อยู่ในกระเป๋าดังขึ้นแว่วๆ อวัศยาสะดุ้งแล้วก็อึ้งๆ เธอมองไปที่มือถือเครื่องที่ใช้ประจำที่วางอยู่บนโต๊ะแต่ก็พบว่าไม่มีแชทเข้า
เสียงแชทดังขึ้นอีกครั้ง อวัศยาแทบจะกระโดดไปที่กระเป๋าสะพายเพื่อหยิบมือถือเครื่องใหม่ออกมา กดอ่านข้อความมือไม้สั่น ข้อความแชทจากปราณนต์ส่งมาว่า
“วันนี้ผมรอดมาได้เพราะคุณ ขอบคุณมาก”
อวัศยาหัวใจพองโตเพราะดีใจมากจนมือไม้สั่น เธอพิมตอบกลับไปว่า
“ยินดีค่ะ”
ปราณนต์นั่งแชทต่อ
“ตกลงว่าเรารู้จักกันหรือเปล่า”
อวัศยาพิมพ์ตอบทันทีอย่างร้อนตัว
“ไม่เคย”
ปราณนต์ส่งสติ๊กเกอร์งง
อวัศยาพิมต่อ “ฉันไม่เคยรู้จักคุณมากไปกว่ารู้ว่า ข้อหนึ่ง.คุณชื่อปราณนต์ ข้อสอง.รู้ว่าคุณเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่”
“ตั้งสองข้อ ผมรู้ว่าคุณชื่อแอบรักข้อเดียวเอง ไม่ยุติธรรม”
อวัศยานิ่งคิดว่าจะเอายังไงดี แล้วเธอก็ตัดสินใจ
“ฉันให้คุณรู้จักฉันอีกข้อก็ได้ค่ะ”
ปราณนต์ส่งสติกเกอร์ดีใจไป
อวัศยากัดฟันพิมพ์ลงไป
“ฉันคือคนที่สนใจความเป็นไปของคุณ ฝันดีนะคะ”
อวัศยารีบปิดเครื่องด้วยความรู้สึกอายมากเพราะเกิดมาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

ปราณนต์ยิ้มสนุกแต่ก็มีความสงสัยเคลือบแคลงอยู่

อวัศยาหันขวับไปที่กระปุกครีมที่ลิปดาให้แล้วก็รีบจ้วงขึ้นมาทาหน้าสุดฤทธิ์ อวัศยานอนหน้าขาวพอกครีม ยิ้มฝันหวานอย่างมีความหวัง

เช้าวันใหม่ อวัศยาเดินสะพายกระเป๋าเดินเข้ามาด้วยสีหน้าสดใส เธอเจอหุ้นขึ้นเปิดประตูให้พร้อมกับทำความเคารพ
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณศยา วันนี้ดูคุณศยาสดใสกว่าทุกวันนะครับ”
“สงสัยหุ้นจะขึ้นมั้งคะ”
อวัศยาเดินผ่านไป หุ้นขึ้นเม้าลับหลัง
“ไม่ใช่หุ้นขึ้นหรอก อาการแบบนี้ กำลังมีความรักแหงๆ”
หุ้นขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก

อวัศยาเดินเข้ามาในบริษัทด้วยใบหน้าอันสดใส แต่พอเดินเข้ามาปุ๊บเธอก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นองศากับรุ้งลดายืนอยู่กลางห้องกับลิปดา อวัศยาอึ้งเพราะในใจคิดถึงปราณนต์ขึ้นมาทันที
ลิปดาหันมาเห็นอวัศยา “ศยา..ทำไมทำหน้าอย่างงั้น จำพี่องศากับคุณรุ้งไม่ได้หรือไง”
“จำได้ ฉันแค่แปลกใจว่าทำไมบอสไม่บอกฉันล่วงหน้า ว่าคุณองศากับคุณรุ้งจะมาที่นี่”
“ผมก็เพิ่งรู้ก่อนคุณไม่ถึงห้านาที” ลิปดาบอก
“พอดีผมผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะเข้ามาให้ลิปพาเยี่ยมชมกิจการสักหน่อย”
อวัศยามองไปที่โต๊ะของปราณนต์ แต่ปราณนต์ยังไม่มา อวัศยามองไปที่ทางเข้าแผนกแต่ก็ไม่พบปราณนต์ แล้วเธอก็รีบเสนอตัว
“ฉันพาชมเอง ไปกันเลยไหมคะ”
“วางกระเป๋าก่อนก็ได้ จะรีบไปไหน” ลิปดาว่า
“ฉันกลัวว่าถ้าถึงเวลาตลาดหุ้นเปิดแล้วจะวุ่นวาย คุณองศาจะดูสถานที่ไม่สะดวก” อวัศยาพูดกับองศาและรุ้งลดา “เชิญเลยค่ะ”
อวัศยาเดินนำ องศากับรุ้งลดากำลังจะเดินตามไป แต่รุ้งลดาหันไปเห็นปราณนต์เดินเข้ามาอีกทาง
รุ้งลดาเปรยเบาๆ “ปราณนต์”
ปราณนต์เงยหน้ามาเจอรุ้งลดาพอดี ทั้งสองประสานสายตากัน รุ้งลดายิ้มให้แต่ปราณนต์เบือนหน้าแล้วเดินออกไปเลย รุ้งชะงักรู้สึกขัดใจและไม่พอใจจึงตัดสินใจเดินมาหาองศาแล้วพูดกับเขา
“พี่องศาคะ รุ้งลืมมือถือไว้ที่รถ เดี๋ยวรุ้งลงไปเอาก่อนนะคะ”
องศาส่งกุญแจรถให้รุ้งลดา แล้วเดินออกไปกับอวัศยาและลิปดา รุ้งลดามองตามจนองศาเดินลับตาไปแล้วหันไปมองปราณนต์ที่กำลังยืนคุยกับมาร์เก็ตติ้งอยู่

อ่านต่อหน้าที่ 2


แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ปราณนต์เดินออกไปด้านนอกบริษัท รุ้งลดาเดินตามไปโดยเดินผ่านมุมกาแฟที่รุจน์ ลิลลี่ พีระ พริบพราว และแสนดีนั่งดื่มกาแฟกันอยู่ รุจน์เห็นรุ้งลดาก็รีบทัก

“อ้าว...น้องรุ้ง” รุ้งลดาชะงักแล้วก็พะวักพะวง รุจน์พูดต่อ “ไม่ได้เจอตั้งนานสวยขึ้นเยอะเลย เกือบจำไม่ได้ แล้วมาที่นี่ได้ไง หรือว่ามาหาณนต์ แล้งนี่เจอหรือยัง”
“รุ้งไม่ได้มาหาปราณนต์ รุ้งมากับคุณองศาพี่ชายคุณลิปดาค่ะ ขอตัวนะคะ” รุ้งลดารีบเดินออกไป
“มากับคุณองศา มาด้วยกันได้ยังไง” รุจน์งง
“ก็เพราะว่าเขาเป็นแฟนกันไงคะ” ลิลลี่บอก “เมื่อตะกี้ลิลลี่เห็นยัยรุ้งเกาะแขนคุณองศาสวีทกันอี๋อ๋อๆ”
“มิน่า...ไอ้ณนต์ถึงดูเฮิร์ตๆ” รุจน์ว่า
พริบพราวฟังข้อมูลด้วยความสนใจ

ปราณนต์กำลังเดินไปที่ห้องกาแฟ รุ้งลดาเดินตามมา
“ณนต์ ณนต์คะ”
ปราณนต์ได้ยินเสียงรุ้งลดาก็ชักสีหน้าด้วยความเซ็งแล้วก็จะเดินต่อ แต่รุ้งลดาเดินมาดักหน้าทันที
“ทำไมณนต์ต้องเดินหนีรุ้งด้วย”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าการที่เราเดินหนีใครสักคน... มันแปลว่าอะไร”
รุ้งลดาสะอึก แล้วก็เปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนลง “โอเค..ณนต์โกรธรุ้ง รุ้งขอโทษ รุ้งทำผิดไปแล้ว รุ้งอยากให้คุณยกโทษให้ แล้วเรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้มั้ยคะ”
ปราณนต์มองหน้า “ไม่ได้”
ปราณนต์เดินชนรุ้งลดาแล้วก็เดินผ่านไปเลยโดยไม่สนใจ รุ้งลดากัดฟันกรอดไม่ยอมแพ้จึงหันขวับแล้วเดินตาม
“ณนต์ เดี๋ยวสิคะ” รุ้งลดาเดินตามไป
จังหวะเดียวกับที่พริบพราวถือแฟ้มเอกสารเดินผ่านมาก็เห็นรุ้งลดาเดินตามปราณนต์ไป พริบพราวชะงักว่าจะเอายังไงดี จะตามไม่ตาม แล้วเธอก็ตัดสินใจเดินตามไปด้วยความอยากรู้

ปราณนต์เดินออกมาที่ดาดฟ้าแล้วถอนหายใจอย่างแรงเพราะคิดว่าหนีพ้นแล้ว ทันใดนั้นเสียงรุ้งลดาก็ดังตามมา
“ทำไมเราจะเป็นเพื่อนไม่ได้”
ปราณนต์ชักสีหน้าด้วยความเซ็ง
รุ้งลดาฟูมฟายต่อ “ในเมื่อเราเคยมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน”
ปราณนต์หันมาพูดตรงๆ “รุ้ง...ผมรู้ว่าคุณเป็นคนทะเยอทะยาน ต้องการชีวิตที่ดีขึ้น และตอนนี้คุณก็ได้ คุณจะมายุ่งกับผมทำไม”
พริบพราวกระเถิบๆเข้ามาแอบดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น รุ้งลดาพูดจามารยาใส่ปราณนต์
“เพราะรุ้งไม่อยากเสียคนดีๆแบบคุณไป เราสองคนคบกันมาตั้งนาน มีความทรงจำดีๆตั้งมากมาย ทำไมเราต้อง..ทำเหมือนเกลียดกันแบบนี้ เราจะพูดกันดีๆไม่ได้เลยเหรอ”
“ไม่ต้องเสียใจ แล้วก็ไม่ต้องเสียดายด้วย ผมไม่มีค่ามากขนาดนั้น”
“ณนต์...”
“พอเถอะรุ้ง .. ผมอยากอยู่คนเดียว แต่..ถ้าคุณอยากยืนตรงนี้ต่อ ผมไปเอง”
รุ้งลดายังยืนอยู่ที่เดิมเพราะทำอะไรไม่ถูก ปราณนต์ส่ายหน้าแล้วก็หันหลังจะเดินไปเลย
แต่รุ้งลดาเรียกไว้ “ณนต์..ณนต์..ณนต์อยู่คุยกันก่อนค่ะ” รุ้งลดาเดินตาม แต่ปราณนต์ไม่สนใจ
รุ้งลดาเห็นว่าไม่ได้ผล ความคิดชั่วร้ายก็แว่บเข้ามา
รุ้งลดาแกล้งทำเป็นสะดุดล้มลงแล้วร้อง “โอ๊ย”
ปราณนต์หยุดเดินแล้วหันมามองรุ้งลดาที่นั่งทรุดลงทำท่าเจ็บปวด
“ณนต์คะ ช่วยรุ้งด้วยค่ะ ข้อเท้ารุ้งแพลง รุ้งเจ็บ”
พริบพราวที่แอบดูอยู่ที่เดิมเบ้ปากอย่างดูถูก
พริบพราวบ่นกับตัวเอง “ต๊าย ยุคนี้ยังมีคนเล่นมุขนี้อยู่อีกเหรอเนี่ย ถ้านายช่วยก็โง่เต็มทนแล้วนายปราณนต์”
ปราณนต์หันเดินเข้าไปหารุ้งลดา รุ้งลดาลอบยิ้ม
พริบพราวเหวอ “ใจอ่อนง่ายดายขนาดนี้ ไปทำสถานสังเคราะห์เถอะ อย่ามาเป็นมาร์เก็ตติ้งเลย”
ปราณนต์เดินเข้าไปหารุ้งลดาก่อนจะย่อตัวลงแล้วพูดว่า
“อย่าลงทุนขนาดนี้เลยรุ้ง ยังไงเราก็กลับไปเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว”
พริบพราวสมใจ “เออ เริ๊ด”
“ทำไมคะ ทำไมเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้” รุ้งลดาถาม
“ไปถามคุณองศาก่อนดีไหม ว่าอยากให้เราเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่องศา”
“เกี่ยวสิ เพราะเขาคือผู้ชายที่คุณเลือก”
รุ้งลดาอึ้ง พริบพราวยิ้มสะใจ รุ้งลดาใช้ไม้ตายเข้าสวมกอดปราณนต์แล้วร้องไห้คร่ำครวญ
“แต่รุ้งก็ไม่อยากเสียณนต์ไปนะคะ .. รุ้งขอโทษ ทำยังไงถึงจะยกโทษให้รุ้ง”
“ปล่อยผม เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ไม่ค่ะ รุ้งไม่ปล่อย จนกว่าณนต์จะยกโทษให้รุ้ง”
ปราณนต์หนักใจ รุ้งลดายังไม่ยอมปล่อยปราณนต์ พริบพราวตัดสินใจโผล่ออกไปแล้วเรียก
“ปราณนต์”
ปราณนต์กับรุ้งลดาหันขวับไปมอง ปราณนต์อึ้ง ขณะที่รุ้งลดาแปลกใจ
“ณนต์ทำกับพราวแบบนี้ได้ยังไง” พริบพราวถาม
“ผมทำอะไรคุณ” ปราณนต์งง
“คุณนอกใจพราว”
“ฮะ ? ผมเนี่ยนะนอกใจคุณ ! คุณเป็นอะไรของคุณ”
“พราวจะเป็นอะไร พราวก็เป็นแฟนคุณไง” พริบพราวดราม่าทันที “พราวเป็นผู้หญิงที่คุณพูดให้ฟังก่อนนอนทุกคืนว่าคุณจะรักและซื่อสัตย์กับพราวคนเดียว แล้วนี่มันอะไร”
พริบพราวเข้าไปเขย่าแขนปราณนต์ แล้วแอบกระพริบตาส่งสัญญาณปิ๊งๆ แต่ปากก็ยังคร่ำครวญ
“บอกพราวมาสิคะว่ามันคืออะไร”
ปราณนต์เก็ทแล้วก็ทำเนียน “พราวใจเย็นๆ ก่อนนะ มันไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมกับผู้หญิงคนนี้เราแค่เคยรู้จักกัน”
รุ้งลดามองปราณนต์ด้วยความเจ็บปวด
“ยังไงผมก็ยังยืนยันว่ายังรักและจะซื่อสัตย์กับคุณคนเดียว” ปราณนต์พูด
พริบพราวก้าวเข้าไปใกล้รุ้งลดา
“ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม วันหลังก็อย่ามายุ่งกับผู้ชายของฉันอีก ถ้าไม่เชื่อฉันจะเอารูปที่หล่อนเกาะแข้งเกาะขาแฟนฉัน ส่งไปให้แฟนเธอดู อยากรู้นักว่าเค้าจะคิดยังไง” พริบพราวว่า รุ้งลดาแค้น พริบพราวควงแขนปราณนต์ “ไปกันเถอะค่ะณนต์”
พริบพราวลากปราณนต์เดินออกไป รุ้งลดามองตามด้วยความเจ็บใจ

พริบพราวลากปราณนต์เข้ามาในออฟฟิศ ปราณนต์ถามด้วยความสงสัย
“คุณถ่ายรูปตอนรุ้งเกาะแข้งเกาะขาผมไว้จริงๆเหรอ”
พริบพราวปล่อยแขนปราณนต์ “เปล่า ฉันไม่ได้ถ่าย แน้เชื่อ..แสดงว่าฉันเล่นเนียนเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าฉันไม่ได้เป็นมาร์เก็ตติ้ง ฉันไปเป็นดาราดีกว่า”
“คิดยังไงถึงช่วยผม”
“ฉันไม่ได้ช่วยนาย แต่ฉันทำเพื่อความสะใจของตัวเอง คุณองศาเป็นพี่ชายพี่ลิป ถ้านายมีปัญหากับเขา นายอาจจะโดนไล่ออก ฉันอยากให้นาย..”
ปราณนต์กับพริบพราวพูดพร้อมกัน “พ่ายแพ้เพราะฝีมือฉัน ไม่ใช่เพราะคนอื่น”
พริบพราวค้อนปราณนต์
“รู้ก็ดีแล้ว” พริบพราวสะบัดหน้าใส่แล้วจะไปทำงานต่อ
“เดี๋ยวดิ” ปราณนต์เรียก พริบพราวหันมา “ผมติดหนี้คุณไว้ 2 เรื่องแล้ว เรื่องแรกที่ใส่ร้ายว่าคุณขโมยเอกสารพี่รุจน์ แล้วก็เรื่องนี้ ที่คุณมาช่วยผม .. ผมอยากจะตอบแทนคุณบ้าง”
“ได้ ! พาฉันไปกินข้าวก็แล้วกัน ฉันอยากกินฟรี จะกินให้หมดตัวเลย”
“อ้าว..พาไปกินข้าวน่ะโอเค กินฟรีก็โอเค แต่ผมไม่ให้กินจนหมดตัวหรอก เพราะผมไม่มีปัญญาพาไปกินร้านแพงๆ ถ้าอยากกินก็ต้องไปกินที่บ้านผม”
“กินที่บ้าน ? ไม่ไป !! บ้าเหรอ ทำไมฉันต้องไปกินที่บ้านนายด้วย” พริบพราวหันหลัง
“ไม่กล้า!! กลัวอ่ะดิ” ปราณนต์ว่า
พริบพราวรู้สึกแทงใจดำจึงหันมาเจอหน้าปราณนต์ยักคิ้วท้าทาย พริบพราวทนไม่ได้
“วันไหน กี่โมง นัดมาเลย” พริบพราวไม่ยอมถูกหยาม
พริบพราวเชิดหน้ารับคำท้า ปราณนต์ยิ้มนิดๆ

ตลาดหุ้นเปิด แผนกระดานขยับ ตัวเลขบนกระดาษเป็นสีเขียวมากกว่าสีแดง 70:30 อวัศยา องศา ลิปดา ยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง ทุกคนมองผ่านกระจกกั้นระหว่างห้องมาร์เก็ตติ้งกับทางเดินด้านนอกก็เห็นเหล่ามาร์เก็ตติ้งกำลังทำงานและรับโทรศัพท์กันวุ่นวาย รุ้งลดาเดินเข้ามาด้วยหน้าตาหงิกงอเพราะขัดใจเรื่องปราณนต์มีแฟนใหม่แล้วแต่ก็พยายามปั้นหน้าปกติเพื่อกลบเกลื่อน
“หลงทางหรือไง ทำไมมาช้านัก” องศาถาม
“ลิฟต์คนเยอะค่ะ แล้วนี่..ดูอะไรกันไปบ้างแล้วคะ” รุ้งลดาถาม
“ดูภาพรวมๆ ไม่ได้ดูละเอียดอะไรมาก คุณศยาเธอบอกว่า “เป็นความลับ” องศาว่าแดกเบาๆ “ไอ้โน่นก็ลับ ไอ้นี่ก็ลับ ดูอะไรไม่ได้สักอย่าง”
“ก็มันจริงนี่คะ งานที่เราทำ คือการรักษาความลับของลูกค้า ถ้าเบื้องต้นเรายังรักษาสิ่งนี้ไว้ไม่ได้ ไม่มีความน่าเชื่อถือ ก็คือ .. ไม่มีลูกค้า” อวัศยาบอก
องศามองอวัศยาด้วยแววตาชื่นชม “ลิป..ฉันไม่แปลกใจเลย นายเปิดบริษัทมาแค่ห้าปี แต่ทำได้ถึงขนาดนี้ เพราะมีผู้ช่วยดีนี่เอง” องศาว่า ลิปดายิ้มรับอย่างเห็นด้วย “นี่ถ้าขยายให้ใหญ่ขึ้น มาร์เก็ตติ้งมากขึ้น รองรับลูกค้าได้มากขึ้น พี่ว่าโบรกเกอร์นายจะกลายเป็นโบรกเกอร์อันดับหนึ่งของเมืองไทยได้ไม่ยาก”
“อันดับหนึ่งของเมืองไทยเลยเหรอครับ ว้าว...แค่คิดก็ขนลุกแล้ว” ลิปดาบอก
องศายิ้มก้าวเข้าไปกอดคอลิปดาแบบสนิทชิดเชื้อ
“ลิป ในฐานะที่เราเป็นญาติกันพี่ขอพูดตรงๆ แล้วกัน พี่เบื่องานแบงค์แล้ว พี่อยากมาร่วมหุ้นกับนาย พี่มีลูกค้ากับเพื่อนฝูงที่เล่นหุ้นอยู่หลายคน ถ้าเขารู้ว่าพี่ทำโบรกเกอร์ เราจะได้ลูกค้าระดับวีไอพีเพิ่มขึ้นอีกเยอะ”
“ในฐานะที่เราเป็นญาติกันผมก็ต้องขอพูดตรงๆ ว่า ไม่เป็นไรครับ ผมมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แล้ว” ลิปดาบอก
“แต่ต่อไปถ้ามีโบรกเกอร์เปิดใหม่ที่ใหญ่กว่า น่าสนใจกว่ามาแย่งพวกลูกค้านายไปหมด นายจะเสียใจ”
“ถ้าผมกลัวก็แสดงว่าผมไม่เจ๋งจริงสิครับ” ลิปดาว่า
องศามองลิปดาอย่างไม่พอใจ
“อย่าเพิ่งปฏิเสธสิคะคุณลิป เพื่อนๆ ของคุณองศาแต่ละคนเป็นระดับมหาเศรษฐีกระเป๋าหนักๆ ทั้งนั้น ได้มาเป็นลูกค้าแค่คนเดียว เงินที่เขาเปิดพอร์ตอาจจะมากกว่าของคุณลุงคุณป้าพวกนั้นรวมกันอีกนะคะ” รุ้งลดาพูดอย่างดูถูก
อวัศยามองด้วยความหมั่นไส้แล้วจึงพูดขึ้น
“บอสคะ” อวัศยาดูนาฬิกา “ได้เวลาเริ่มงานแล้วค่ะ บอสต้องเซ็นต์เอกสารด่วนด้วยนะคะ คุณลุงวันชัยจะซื้อหุ้นตัวใหม่อีกห้าร้อยล้าน”
“ห้าร้อยล้าน” รุ้งลดาตกใจ
“ค่ะ ลุงวันชัยที่ใส่เสื้อคอกลมสีขาวๆนั่งอยู่ตรงนั้นน่ะค่ะ” อวัศยาบอก รุ้งลดามองตาม “คุณลุงเพิ่งขายที่แถวสาธรได้ก็เลยจะเอามาต่อยอด”
“ลุงป้าพวกนั้นรวยขนาดนี้เลยเหรอคะ ไม่น่าเชื่อ”
“อย่าตัดสินคนจากภายนอกค่ะคุณรุ้ง คนบางคนเขามีดีโดยที่ไม่ต้องมาใส่เสื้อผ้ายี่ห้อหรู ใช้รถหลักล้าน ใส่นาฬิกาเรือนแสน คุณรุ้งยังอายุน้อย ฉันเชื่อว่าต่อไปประสบการณ์จะสอนให้คุณรุ้งเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นเองค่ะ”
รุ้งลดายิ้มเพราะทำหน้าไม่ถูก เธอรู้สึกเหมือนถูกด่า
“บอสไปเซ็นต์เอกสารเถอะค่ะ ลุงแกจะรีบไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่อนุเสาวรีย์ชัย” อวัศยาว่า
องศากับรุ้งลดาจ๋อย ลิปดาอมยิ้มขำกับคำพูดของอวัศยา

องศาเดินหงุดหงิดออกมาจากในบริษัท รุ้งลดาเดินตามมา
“ไอ้ลิปมันคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าปฏิเสธผม”
รุ้งลดาหันไปเห็นพริบพราวเดินเข้าไปหยิบแฟ้มเอกสารในรถมินิคูเปอร์หรูราคาหลายล้านของตัวเองแล้วกดล็อครถ ก่อนจะเดินเข้าไปในออฟฟิศ รุ้งลดามองนิ่งอย่างสนใจ องศาแปลกใจจึงมองตามรุ้งลดาแต่ก็เห็นแต่รถไม่เห็นพริบพราวแล้ว
“คุณมองอะไรของคุณ ฟังที่ผมพูดหรือเปล่า” องศาถาม
“ฟังค่ะ รุ้งแค่กำลังคิดว่าพนักงานที่บริษัทนี้ดูมีเงินกันทุกคน รุ้งเห็นพนักงานข้างในแต่ละคนก็ใช้ของแบรนด์เนมทั้งนั้น ทำโบรกเกอร์คงจะได้กำไรดีมากจริงๆ” รุ้งลดาบอก
“เพราะแบบนี้ไง ผมถึงอยากเปิดโบรกเกอร์บ้าง”
“แต่คุณไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยนะคะ”
“จะไปยากอะไร้ เราไม่รู้ เราก็ซื้อตัวคนที่รู้มาทำแทนสิ ผมเล็งตัวเอาไว้แล้วด้วย”
“ใครคะ”
“อวัศยา มือขวาของไอ้ลิป”
รุ้งลดาพยักหน้าเข้าใจ องศามีสีหน้ามุ่งมั่น

อวัศยาวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายพร้อมกับฟังข่าวหุ้นไปด้วย อวัศยาหยุดวิ่งแล้วก็หายใจหอบเหนื่อยก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าก็เห็นท้องฟ้าสดใส อวัศยาคิดอะไรได้จึงเข้าไปนั่งที่ม้านั่งหลังพุ่มไม้ เธอมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครมอง แล้วจึงล้วงหยิบมือถือเครื่องสำหรับแชทออกมาจากกระเป๋าเสื้อวอร์ม ลิปดาวิ่งออกกำลังกายจนมาเห็นอวัศยานั่งกดมือถือแล้วก็หยุดวิ่งก่อนจะเข้าไปทักทาย อวัศยากดแชทไปหาปราณนต์
“เช้านี้ท้องฟ้าสดใส คุณมนุษย์ตัวเล็กอยู่ใต้ท้องฟ้า อย่าสดใสให้น้อยกว่าท้องฟ้านะคะ”
อวัศยากำลังจะกดส่ง แต่เสียงลิปดาก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
“กดโหวตนักร้องอีกแล้วเหรอคุณ”
อวัศยาสะดุ้งเพราะตกใจ “บอส”
มือถือตกพื้นไปทางลิปดาแต่หน้าจอดับไปแล้ว ลิปดากำลังจะก้มเก็บให้ อวัศยาตกใจจึงจงใจใช้สะโพกตัวเองปั๊มก้นลิปดาจนลิปดาถลาไปข้างหน้าโดยยังไม่ทันได้เก็บมือถือ อวัศยาเก็บมือถือขึ้นมาทันที
“โทษทีค่ะบอส ตะกี้ฉันสะดุดก้อนหิน”
ลิปดาเชื่ออวัศยาจึงไม่ได้คิดอะไร แล้วเขาถามพร้อมชี้ไปที่มือถือ
“มือถือพังหรือเปล่า ผมไปซื้อให้ใหม่เอาไหม เดี๋ยวนักร้องที่คุณโหวตเสียคะแนนจากคุณ”
“ไม่พังหรอก มันถึกจะตาย ฉันทำตกบ่อย” อวัศยาเปลี่ยนเรื่อง “บอสลงมาวิ่งเหมือนกันเหรอคะ”
“ตั้งใจลงมาหาคุณ เมื่อวานผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณเรื่องพี่องศาเลย”
“ขอบคุณทำไม ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“อย่างน้อยคุณก็ช่วยลากผมออกมาจากพี่องศาได้ แค่นี้ผมก็ปลาบปลื้มมากแล้ว วันนี้ว่างใช่ไหม ไปกับผมหน่อยนะ”
“ไปไหน” อวัศยาถาม
ลิปดาไม่ตอบแต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม

ปราณนต์ทำอาหาร เขาใช้ด้านข้างของมีดตีลงไปบนตะไคร้ ข่า
หม้อน้ำที่ใส่เครื่องต้มยำเดือดปุดๆ ปราณนต์นำชิ้นปลาเก๋าใส่ลงไปในน้ำ
ปราณนต์เทไข่เจียวลงไปในกระทะที่มีน้ำมันเดือดจัด ไข่สีเหลืองฟูน่ากิน
แม่ปริมกับพี่ปุ้มยืนดูกันอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว
“ณนต์ออกไปตลาดตั้งแต่เช้า สงสัยเพื่อนที่จะมาบ้านเป็นกิ๊กแหงๆ เลยค่ะ ดูทุ่มเทแปลกๆ” ปุ้มว่า
ป้าเปรี้ยวกับแม่ปริมพยักหน้าเห็นด้วย

พริบพราวใส่แว่นตาดำเก๋ๆ ยืนกดออดอยู่หน้าบ้าน รถพริบพราวจอดอยู่ด้านหลัง แต่ยังไม่มีใครมาเปิดประตู พริบพราวจึงกดซ้ำ ปราณนต์ใส่ชุดผ้ากันเปื้อนในสภาพหน้ามันนิดๆ หัวฟูหน่อยๆ แต่ดูน่ารักวิ่งออกมาจากในบ้าน
“มาถึงตรงอาหารเสร็จพอดีเลยนะคุณ” ปราณนต์บอก
พริบพราวลดแว่นลงแล้วมองปราณนต์
“นี่อย่าบอกนะว่าวันนี้ฉันจะต้องกินอาหารฝีมือนาย” พริบพราวว่า
“ใช่”
“ห่ะ ! แล้วฉันจะกินลงเหรอเนี่ย”
ปราณนต์ยิ้มมั่นใจในฝีมือตัวเอง

อาหารไทยเมนู ต้มยำ ไข่เจียว และผัดผักรวมมิตรจัดวางอยู่บนโต๊ะดูน่ากิน พริบพราวยืนมองอย่างตกตะลึง ปราณนต์ยืนอยู่ข้างๆ
ปราณนต์เอ่ยถาม “เป็นไง อึ้งไปเลยอะดิ๊”
“หน้าตาก็สวยดี แต่ไม่ได้หมายความว่ารสชาติจะดี” พริบพราวว่า
ปราณนต์ยิ้มๆ แล้วหันไปเห็นแม่ ป้า และพี่สาวชะโงกหน้าแอบดูมาจากด้านหลังประตู ปราณนต์แปลกใจแล้วก็นึกอะไรได้
“รออยู่นี่ก่อนนะคุณ”
“นายจะไปไหน”
ปราณนต์หันหลังให้พวกป้าๆ พร้อมทั้งขยิบตาบอกไม่ให้พริบพราวเสียงดัง
“ชู่ว์...”
ปราณนต์เดินออกไปนอกบ้าน พริบพราวแปลกใจ

เปรี้ยว ปริ่ม และปุ้มแอบมองเข้าไปในบ้าน จู่ๆ ปราณนต์ก็โผล่มาหาป้า แม่ และพี่สาว
“แอบดูอะไรกันครับ”
เปรี้ยว ปริม และปุ้มสะดุ้งตกใจจนร้องกรี๊ดออกมา ปราณนต์หัวเราะขำ
พริบพราวหันไปมองทางประตูหลังก็เห็นปราณนต์ยืนหัวเราะ ขณะที่ป้า แม่ และพี่เพิ่งจะหายตกใจ ปริมว่าปราณนต์
“ณนต์ เล่นพิเรนทร์อะไรแบบนี้ ถ้าแม่กับป้าหัวใจวายขึ้นมาจะทำยังไง”
“โอ๋ๆ ขอโทษครับ มามะ ปลอบใจๆ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” ปราณนต์พูด
ปราณนต์หอมแก้มแม่กับป้าคนละฟอด พริบพราวแอบดูภาพความน่ารักของปราณนต์ด้วยความรู้สึกดี
“แล้วแอบดูอะไรกันล่ะครับ ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน” ปราณนต์ถาม
“เปล่า ไม่ได้แอบดู แต่คอยจังหวะว่าจะเข้าไปในบ้านตอนไหนดี เพื่อไม่ให้เพื่อนณนต์เก้อเขิลล์” เปรี้ยวว่า
ปราณนนต์ยิ้มแบบไม่เชื่อ แล้วก็กวักมือเรียกพริบพราวให้เข้าไปใกล้ๆ
“พราว”
พริบพราวเดินเข้าไปใกล้ปราณนต์และครอบครัว
“พราว..นี่ป้าเปรี้ยว แม่ปริม แล้วก็พี่ปุ้ม”
พริบพราวยกมือไหว้ทุกคน ทุกคนรับไหว้อย่างมีมิตรไมตรีที่ดี
“ชี้ระบุคนด้วยสิณนต์ เดี๋ยวเพื่อนจะแยกแยะไม่ออกว่าคนไหนพี่คนไหนป้า” เปรี้ยวปรายตามองปุ้ม
“ป้าว่าปุ้มแก่อีกแล้ว” ปุ้มเซ็ง
ทุกคนหัวเราะ ปุ้มค้อนแบบไม่จริงจังนัก
“ทุกคนครับ นี่พริบพราวเพื่อนผมที่ออฟฟิศ พราวเขาช่วยผมให้รอดพ้นจากวิกฤติ ผมก็เลยพามาเลี้ยงข้าวที่บ้าน”
“สวัสดีทุกคนค่ะ ถ้าพราวทำอะไรไม่ถูกต้องตามวัฒนธรรมไทย พราวขอโทษด้วยนะคะ พราวเพิ่งกลับมาจากบอสตัน”
เปรี้ยวเสียงดัง “บอสตัน ! พวกบอสตัน ป้าช๊อบชอบ สวย น่ารัก หุ่นเพรียว”
พริบพราวเขิน “ขอบคุณค่ะ”
ปราณนต์กระซิบบอกพริบพราว “ไม่ต้องเขิน ป้าแกพูดถึง "บอสตันเทอร์เรีย" หมาน่ะ”
พริบพราวอึ้ง เปรี้ยวสาธยายต่อ
“หางกุดๆ เวลาส่ายดุกดิกๆ น่ารัก เพื่อนที่ชมรมผู้สูงอายุเขาพามาเห็นแล้วป้าอยากเลี้ยงบ้าง”
พริบพราวยิ้มแห้งๆ เปรี้ยวถามสมาชิกในครอบครัว
“ตกลงให้ป้าเลี้ยงได้หรือยัง”
ปริม ปราณนต์ ปุ้มหาเรื่องแยกย้ายเพื่อไม่ให้เปรี้ยวพูดประเด็นนี้ต่อ ทั้งสามจึงพูดออกมาเกือบจะพร้อมกัน
“ผมไปตักแกงจืดก่อนนะครับ”
“พี่ไปช่วยยกจาน”
“ไปกินข้าวกันเถอะค่ะหนูพราว กับข้าวเย็นหมดแล้ว”
ทุกคนแยกย้าย ปริมดันหลังพริบพราวให้ไปที่โต๊ะกินข้าว
“เอาอีกแล้ว พูดเรื่องเลี้ยงหมาทีไร ทำเบลอใส่ตลอด ชิ” เปรี้ยวงอน
พริบพราวงงแต่ก็ยิ้มขำไปกับบรรยากาศความสนุกร่าเริงของครอบครัวนี้แล้วก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย

ทุกคนนั่งที่เก้าอี้ เปรี้ยวนั่งหัวโต๊ะ พริบพราวกับปราณนต์นั่งคู่กัน กับข้าวบนโต๊ะมีทั้งต้มยำทะเล , ผัดบวบกับไข่ , แกงจืดมะระยัดไส้หมู , ไข่เจียว , น้ำพริกปลาร้ากับผักต้ม
“เชิญทานกันเลยจ้ะ” เปรี้ยวบอก
ปราณนต์ตักต้มยำทะเลให้พริบพราว “ลองชิมต้มยำนะ”
“มื้อแรกฉันไม่ทานเผ็ด เดี๋ยวเป็นกรดไหลย้อน” พริบพราวบอก
“ผัดบวบนะ” ปราณนต์ตักให้
“กินไม่เป็น” พริบพราวบอก
“น้ำพริก” ปราณนต์บอกอีก
“เอ๊ะ ก็ฉันบอกว่าไม่ทานเผ็ดไง”
ปราณนต์ชักมือกลับ ปริมเลยดันชามแกงจืดมะระให้
“ลองชิมแกงจืดมะระยัดไส้สิจ๊ะ แม่ทำไปใส่บาตรเมื่อเช้าเลยเหลือไว้ทานด้วย”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่ แต่พราวทานมะระไม่เป็น พราวทานไข่เจียวอย่างเดียวก็พอค่ะ” พริบพราวบอก
เปรี้ยวชักสีหน้าเล็กน้อยเพราะชักจะเริ่มไม่ค่อยเอ็นดูเด็กคนนี้ ปราณนต์เห็นสีหน้าของเปรี้ยวก็เดาความคิด
ปราณนต์ช่วยพูด “พราวเขาอยู่บอสตันมานาน ได้กินแต่อาหารฝรั่ง เลยไม่ค่อยคุ้นกับอาหารไทย ใช่ไหมพราว”
“ค่ะ” พริบพราวตอบ
“เอ้า แล้วณนต์ทำอาหารไทยให้พราวทานทำไม” เปรี้ยวถาม
ปราณนต์พูดไม่ออก “เอ่อ...”
“ณนต์เขาคงหวังดีอยากจะให้พราวลองทานอะไรใหม่ๆ แต่ณนต์ยังไม่รู้ว่าพราวเป็นคนที่ถ้าไม่ชอบอะไรแล้วก็ไม่คิดจะลอง ไม่คิดจะทำ ใครก็บังคับพราวไม่ได้ค่ะ” พริบพราวพูดแทน
“งั้นก็มีแต่ณนต์ใช่ไหมที่บังคับน้องพราวให้ลงไปแข่งดำขวดได้” ปุ้มถาม
ปราณนต์แปลกใจ “พี่ปุ้มรู้เรื่องแข่งดำขวดได้ยังไง”
“พี่ดูรูปในเฟชบุ๊คของณนต์ เออ...แล้วตอนที่ณนต์กับพราวกอดกันในน้ำ เกิดอะไรขึ้นเหรอจ๊ะ”
เปรี้ยวเสียงแข็ง “หือ ? กอดกันในน้ำ ไปกอดกันได้ยังไง”
ปราณนต์ ปริม และปุ้มรู้ว่าองค์โกรธประทับเปรี้ยวแล้ว แต่พริบพราวไม่รู้ ปราณนต์พยายามอธิบาย
“เราเล่นเกมส์กับทางร้าน แล้วมีอุบัติเหตุนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ไม่มีอะไรได้ยังไง พราวขอฟ้องทุกคนเลยแล้วกัน ณนต์ดึงเสื้อพราวซะหลุดออกจากตัว ณนต์ก็เลยชนะ ขี้โกงมากๆ” พริบพราวว่า
ปราณนต์ไม่อยากพูด “ผมไม่ได้ตั้งใจน่ะคุณ” ปราณนต์พยายามเปลี่ยนเรื่อง “ทานข้าวต่อเถอะ เย็นหมดแล้ว”
ปราณนต์ตักไข่เจียวให้พริบพราว พริบพราวกินต่ออย่างไม่รู้อะไร เปรี้ยวมองพริบพราวกับปราณนต์อย่างข้องใจ

ณ ค่ายซ้อมมวย ลิปดาเดินอย่างรวดเร็วเข้ามา อวัศยาวิ่งตามหลังมา ลิปดาหยุดกะทันหันเพราะเห็นอะไรบางอย่าง
“นั่นไง” ลิปดาชี้ไป
อวัศยาที่ตามมาเบรคไม่ทันทำให้ชนหลังที่หนาของลิปดาจนเซไปข้างหลัง
“ว้าย ! บอส จะเบรคหันบอกกันบ้างสิ”
“โทษที”
“แล้วพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“หาลูกค้า” ลิปดาชี้ไปที่มุมหนึ่ง “คนนั้นไง”
อวัศยามองตาม
ลิปดาและอวัศยาเห็นผู้ชายถอดเสื้อท่อนบนหุ่นกำยำแต่ดูภูมิฐานกำลังรัวหมัดต่อยกระสอบทรายอย่างคล่องแคล่ว
“เสี่ยสมชัย ฉันได้ยินมาว่าเขาเปิดพอร์ตเล่นหุ้นไปกับอีกโบรกเกอร์แล้วนี่ คุณจะทำผิดจรรยาบรรณของเราแย่งลูกค้าคนอื่นเหรอ ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ” อวัศยาว่า
“ใจเย็นๆ ก่อนสิ ข่าวที่คุณได้ยินมาผิดแล้วเมื่อคืนผมได้ยินในปาร์ตี้ ว่าคุณสมชัยแค่กำลังคิดจะเล่นหุ้น แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ไหน วันนี้ผมก็เลยมาทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น” ลิปดาบอก
“บอสจะทำอะไร”
ลิปดาไม่ตอบแต่กลับยิ้มอย่างมีแผน

อวัศยานั่งคอยอย่างเซ็งๆ อยู่ที่เก้าอี้ ลิปดาก้าวเข้ามาในชุดซ้อมมวย เขาถอดเสื้อโชว์หุ่นกำยำดูโคตรหล่อ แม้แต่อวัศยายังมองอย่างตะลึงจนอ้าปากค้าง อวัศยาสายตายังจับจ้องที่หุ่นของลิปดา ลิปดาก้าวเข้าไปชกกระสอบทราย วอร์มร่างกายข้างๆ สมชัย สมชัยมองมาที่ลิปดาแล้วคุ้นหน้า
“คุณลิปดาใช่ไหม”
“ครับ”
“ผมไม่เห็นเคยรู้ว่าคุณก็มาออกกำลังกายที่นี่ด้วย”
“ผมก็ไม่เคยรู้ว่าคุณก็มาออกกำลังกายที่นี่ด้วยเหมือนกัน”
ลิปดาออกลีลาวอร์มร่างกายต่อ สมชัยมอง อวัศยามองไปที่ลิปดาด้วยความสงสัยว่าเขาทำอะไร
“ฟุตเวิร์คคุณสวยนะ” สมชัยชม
“ขอบคุณครับ แต่ผมให้ความสำคัญกับสติสมาธิมากกว่า ชกมวยก็เหมือนการเล่นหุ้นแหละครับ ไม่ได้ใช้แต่กำลัง ใช้แต่เงิน มีเท่าไหร่ทุ่มไปหมด แต่ต้องใช้สติใช้สมาธิด้วย”
“เหรอครับ งั้นเรามาลองวัดกันเล่นๆ ดูสักตั้งไหม ผมอยากรู้ว่าผมกับคุณ ใครจะมีสติ สมาธิมากกว่ากัน” สมชัยท้าทาย
ลิปดายิ้มรับคำท้า

ลิปดากับสมชัยในชุดนักมวยยืนประจันหน้ากัน กรรมการยืนตรงกลาง
“ปล่อยเต็มที่เลยนะคุณลิป ไม่ต้องเกรงใจผม เพราะผมจะไม่เกรงใจคุณ” สมชัยว่า
กรรมการให้สัญญาณ “เริ่ม !”
สมชัยกับลิปดาเต้นฟุตเวิร์คกันไปมารอบๆ สมชัยขยับแรงเร็วแบบคนที่เน้นการชกแบบใช้พลังต่างจากลิปดาที่นิ่งกว่า ดวงตาของลิปดาจ้องที่คู่ต่อสู้นิ่ง อวัศยายืนดูอยู่ข้างล่วงเวทีด้วยท่าทางลุ้นมาก
“โธ่...บอส อยากได้ลูกค้าสักคนไม่เห็นต้องลงทุนขนาดนี้เลย”
สมชัยออกหมัดใส่ลิปดา ลิปดาหลบ สมชัยออกหมัดซ้ำ ลิปดาหลบได้อีก เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้นี้อยู่อีกสองสามครั้ง ลิปดาใช้วิธีการหลบไปมาโดยไม่ได้ออกหมัดสวนเลยสักหมัด จนกระทั่งสมชัยออกหมัดรัวและเร็ว ลิปดาจงใจหลบไม่ทันทำให้โดนหมัดเข้าไปหนึ่งครั้ง ลิปดาเซไปติดเชือกใกล้กับที่อวัศยายืนอยู่
“บอส” อวัศยาวิ่งเข้าไปหาลิปดา
ลิปดาทรงตัวในสภาพเลือดกลบปาก
“เลือด” อวัศยาพูดเบาๆ “พอเถอะค่ะบอส แค่ลูกค้าคนเดียว ไม่ต้องลงทุนเจ็บตัวขนาดนี้หรอก”
“no pain no gain จะได้ชัยชนะก็ต้องมีอุปสรรคกันบ้าง” ลิปดาบอก
“งั้นฉันกลับแล้วนะ ฉันทนเห็นบอสโดนชกจนน็อคไม่ได้”
“ใครบอกว่าผมจะโดนน็อค” ลิปดายิ้มมั่นใจ
ลิปดาลุกขึ้นไปชกต่อ อวัศยาหยุดเดินแล้วหันกลับไปหาลิปดา
“บ้าไปใหญ่แล้ว”
ลิปดาประจันหน้ากับสมชัย สมชัยเต้นฟุตเวิร์คแรงขึ้นเพราะได้ใจที่ชกลิปดาได้
“เล่นหุ้นก็เหมือนชกมวย มีแรงมีเงินเท่าไหร่ ซัดลงไปให้หมด” สมชัยสอนมวย
เม็ดเหงื่อที่คิ้วไหลเข้าตาสมชัย สมชัยกระพริบตาถี่ๆ เพราะแสบตา ลิปดาได้จังหวะจึงฟาดหมัดใส่หน้าสมชัย สมชัยหงายหลังล้มตึงไปเลย อวัศยาดีใจ ลิปดาก้าวเข้าไปหาสมชัยก่อนจะถอดนวมออกแล้วยื่นมือให้สมชัยจับเพื่อพยุงให้ลุกขึ้น สมชัยลุกขึ้นมาแล้วยิ้มๆ อย่างไม่โกรธ
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ..พอดีผมเห็นช่องก็เลยปล่อยสุด มันเป็นนิสัยน่ะครับ ถ้าเห็นว่าไม่คุ้ม ผมไม่เสี่ยง แต่ถ้าเห็นว่าได้แน่ ผมปล่อยไม่ยั้ง”
“ไม่เป็นไร ผมบอกคุณเองว่าให้คุณเต็มที่” สมชัยลุกขึ้นแล้วมองหน้าลิปดาก่อนจะคิดแล้วตัดสินใจ “วันจันทร์นี้โบรกเกอร์คุณเปิดกี่โมง ผมจะเข้าไปคุยด้วย”
ลิปดาหันไปยิ้มกับอวัศยาอย่างรู้กัน

พริบพราวกับปราณนต์เดินออกมาจากในบ้าน ปราณนต์จะเดินไปส่งพริบพราวที่รถ ปริมถือกล่องอาหารออกมาจากในบ้านแล้วหิ้วตะกร้าใส่ถุงขนมหลายถุงตามออกมาด้วย
“เดี๋ยวจ้ะหนูพราว เอาขนมกล้วยบวชชีไปทานที่บ้านนะ กล้วยต้นหลังบ้านมันสุก กินกันไม่หมด แม่ก็เลยเอามาทำขนม”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่ แล้วนี่คุณแม่จะไปไหนเหรอคะ” พริบพราวถาม
“เอาขนมไปให้เพื่อนบ้านค่ะ” ปริมบอก
“เขาสั่งซื้อเหรอคะ”
“แม่เขาทำแจกฟรีๆ คนทั้งหมู่บ้านถึงให้ฉายาว่า "แม่ปริมเดลิเวอรี่" งานอดิเรกคือเดินแจกของกินชาวบ้าน”
“แจกคนอื่นก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ แบ่งให้คนอื่นได้ทานยังจะดีกว่า ได้บุญดีด้วย ตามสบาย แม่ขอตัวก่อน วันหลังพราวมาเที่ยวอีกนะ”
พริบพราวยิ้มรับ ปริมเดินถือตะกร้าใส่ถุงขนมเดินออกไป พริบพราวมองตามอย่างรู้สึกดี
“ครอบครัวนายน่ารักดีเนอะ”
“ก็เหมือนผม” ปราณนต์บอก
“แหวะ ! หลงตัวเอง ฉันกลับดีกว่า เออนี่...เรื่องผู้หญิงคนนั้น ถ้านายเปลี่ยนใจจะกลับไปหาเค้า ก็บอกฉันนะ ฉันจะไปเคลียร์ให้เองว่าฉันไม่ได้เป็นแฟนนาย”
ปราณนต์พูดหนักแน่น “ผมเป็นคนเจ็บแล้วจำ มันคงไม่มีวันนั้น”
“ทำเป็นปากเก่ง ... แล้วฉันจะคอยดู”
พริบพราวยิ้มกวนๆ เหมือนไม่อยากจะเชื่อ ปราณนต์ยักไหล่ทำนองว่า “ตามสบาย” พริบพราวเดินขึ้นรถไป ปราณนต์มองตามจนรถลับตาพร้อมกับยิ้มนิดๆ

ปุ้มนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ เปรี้ยวขู่บังคับ
“ป้าจะดูไปทำไม เดี๋ยวความดันขึ้น ไม่สบายไปอีกหรอก มันไม่มีอะไรสักหน่อย”
“ไม่มีอะไรก็ดูได้สิ เปิดเดี๋ยวนี้ ถ้าแกไม่เปิด ฉันจะบอกให้เพื่อนฉันที่สมาคมเลิกซื้อสร้อยของแกหมดทุกคน” เปรี้ยวบอก
“อะๆ เปิดก็ได้” ปุ้มคลิกบนหน้าจอ แล้วหันให้เปรี้ยวดู “อะ ดูซะ ไม่มีอะไรสักหน่อย”
เปรี้ยวดูบนหน้าจอภาพปราณนต์กับพริบพราวกอดกันในสระว่ายน้ำ โดยพริบพราวดูเหมือนเปลือยท่อนบนด้วย เปรี้ยวตะลึง แล้วช็อคจนหงายหลังไปเลย
“ป้าเปรี้ยว” ปุ้มตกใจ

พริบพราวเดินถือกล่องอาหารของแม่ปราณนต์เข้ามาในบ้าน พริบพราวมองไปรอบบ้านก็พบว่าไม่มีสมาชิกในครอบครัวอยู่เลย บ้านเงียบเหงา คนใช้เดินออกมาหาพริบพราว
พริบพราวถาม “คุณพ่อคุณแม่ไปไหนกันหมด”
“ออกไปทานข้าวกันค่ะ คุณท่านไม่ได้โทรบอกคุณพราวเหรอคะ”
พริบพราวไม่ตอบแต่หน้าเศร้าไปแค่แว่บเดียวแล้วก็กลับมาเชิดหน้าเป็นพริบพราวผู้แข็งแกร่งคนเดิม เธอส่งกล่องอาหารให้คนใช้
“เอาแช่ตู้เย็นไว้นะ”
“ค่ะ”
คนใช้รับกล่องอาหารแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว พริบพราวเดินขึ้นห้องไปอย่างเศร้าสร้อย


อวัศยาประคบยาที่มุมปากให้ลิปดาอยู่ที่โซฟา แต่อวัศยาทำแรงทำให้ลิปดาสะดุ้งโหยง
“โอ้ย ! สาบานว่านั่นมือไม่ใช่ขาหน้า หนักฉิบ” ลิปดาบ่น
“ฉันไม่ได้ทำแรง แต่แผลบอสมันช้ำมาก อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องเจ็บตัว สมน้ำหน้า” อวัศยาว่า
“แต่ก็คุ้มใช่ไหมล่ะ”
“นี่หมายความว่าบอสยอมให้ตัวเองโดนชก เพื่อหลอกให้เสี่ยสมชัยตายใจเหรอ”
“ไม่ใช่ “ตายใจ” หลอกให้ "ได้ใจ" มากกว่า ก็เหมือนผู้หญิงเวลาโดนผู้ชายจีบ พอได้ใจว่าอีกฝ่ายสยบแทบเท้าตัวเองแน่ๆ ก็จะเหลิง ประมาท ทำให้ฝ่ายชายจู่โจมเข้ามาจัดการได้ง่ายๆ”
อวัศยาปรายตามอง “แหม..เข้าใจเปรียบเทียบนะคะ ถนัดเลยสิ เรื่องแบบนี้”
“บร้า.....ผู้หญิงบางคนก็หลอกย๊ากยาก หลอกมาหลายปีแล้วยัง “ไม่ได้ใจ” ไม่ “ตายใจ” สักที” ลิปดาส่งสายตาปิ๊งๆๆ
อวัศยาไม่เก็ท “วันหลังพาฉันไปเจอผู้หญิงคนนั้นหน่อยนะคะ ฉันอยากให้โล่ห์”
ลิปดาเซ็ง “เฮ่ออ !!! ไม่รู้ตัวเล้ย” ลิปดาพูดเบาๆ
“บ่นอะไร” อวัศยาทำเสียงดุ
“เปล่า ไม่มีอะไร ช่างมันเหอะ” ลิปดาเปลี่ยนเรื่อง “เออนี่คุณ คุณคิดยังไงถ้าผมจะให้ลูกค้าคนนี้กับปราณนต์”
อวัศยามีแววตาเป็นประกายเปี่ยมหวัง

วันต่อมา ปราณนต์เดินเข้ามาในออฟฟิศก็เจอรุจน์ถือแก้วกาแฟเดินสวนออกมาพอดี
“ณนต์ เมื่อตะกี้พี่ศยาถามถึง” รุจน์บอก
“เรื่องอะไรครับ พี่รู้หรือเปล่า” ปราณนต์ถาม
“เรื่องหาลูกค้า เค้าถามพี่ว่านายหาลูกค้าได้หรือยัง พอพี่บอกว่ายัง หน้าเงี้ยะตึงเปรี๊ยะเหมือนจะแตกเลยว่ะ ถ้ายังไงนายเข้าไปหาเค้าหน่อยแล้วกัน อย่าให้โกรธนาน เดี๋ยวงานจะเข้า”
ปราณนต์พยักหน้ารับเครียดๆ รุจน์เดินออกไป
ใครบางคนแอบมองมาจากทางห้องทำงานของอวัศยา โดยเห็นไกลๆ ว่าปราณนต์กำลังเดินไปที่นั่งโต๊ะทำงาน เขาวางกระเป๋าแล้วกุมขมับอย่างคนมีเรื่องเครียดหนัก

ปราณนต์นั่งกุมขมับอย่างเครียดจัด ข้อความแชทบนมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ปราณนต์ล้วงหยิบออกมาดูหน้าจอก็เห็นว่าเป็นข้อความจากคุณแอบรัก ปราณนต์ไม่ได้ยิ้มดีใจใดๆ เพราะเครียดเรื่องงานอยู่ แต่ก็กดเปิดอ่าน
แอบรักส่งสติ๊กเกอร์ทักทายยามเช้า
แอบรักส่งสติ๊กเกอร์น่ารักสดใส
ปราณนต์กดแชทตอบ
“คุณแอบรัก ผมกำลังกลุ้ม”
แอบรักส่งกับมาว่า “กลุ้มเรื่องอะไรคะ”
“ผมยังหาลูกค้าไม่ได้ ผมไม่กล้าเข้าไปบอกหัวหน้า”
“หัวหน้าคุณเป็นยักษ์เหรอ คุณถึงกลัวเธอมากขนาดนั้น”
“ไม่ใช่ยักษ์ แต่หลายคนบอกว่าเธอเหมือนครูไหวใจร้าย แต่งตัวก็เหมือน”
อวัศยาแอบน้อยใจเล็กๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบไปว่า
“เฮ้อ...คนเราก็เป็นแบบนี้ ตัดสินคนจากภายนอก”
“ผมจะทำยังไงดี”
“เข้าไปบอกเธอตรงๆ เหมือนอย่างที่คุณบอกฉันเมื่อตะกี้ ใช้ความตรงไปตรงมาที่เป็นเสน่ห์ของคุณให้เป็นประโยชน์”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นอย่างงั้น”
“เดา”
ปราณนต์ส่งสติกเกอร์หน้าเหวอกลับไป
“อย่าให้ความกังวลทำให้คุณสูญเสียความเป็นตัวเอง บางทีการพูดความจริง มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด”
ปราณนต์นิ่งคิด
“ผมกำลังคิดว่าจะลองทำตามที่คุณแนะนำ ถ้าผมถูกหัวหน้าหักคอ ผมจะเป็นผีมาหลอกคุณ”
“แล้วจะเตรียมเครื่องเซ่นไว้ต้อนรับนะคะ”
แอบรักส่งสติ๊กเกอร์แลบลิ้น
ปราณนต์หัวเราะเพราะรู้สึกเบาขึ้น หลังจากที่ได้ระบายและปรึกษากับแอบรัก ปราณนต์วางมือถือลงแล้วหันไปมองทางห้องอวัศยาอย่างแน่แน่ว
อ่านต่อหน้าที่ 3


แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
อวัศยาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานแกล้งทำเป็นตกใจ

“ยังหาลูกค้าไม่ได้”
ปราณนต์ตอบสั้นๆ “ครับ”
ปราณนต์ที่ยืนอยู่มีอาการประหม่าและหวาดกลัว อวัศยาเปลี่ยนจากหน้าโหดเป็นเข้าใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงชิลๆ
“ก็เริ่มหาสิ ไม่เห็นจะต้องมายืนหน้าจ๋อยแบบนี้เลย ตอนฉันเริ่มทำงานก็หาลูกค้าไม่ได้อยู่ตั้งหลายเดือน”
ปราณนต์เงยหน้า “พี่ศยา..เอ่อ..ไม่โกรธเหรอครับ”
“ฉันโกรธ แล้วคุณหาลูกค้าได้หรือเปล่า” อวัศยาถาม ปราณนต์โล่งใจและผ่อนคลายขึ้น “แล้วก็ต้องขอบคุณมากที่กล้าเข้ามาพูดกับฉันตรงๆ ฉันจะได้ไม่คาดหวัง”
ปราณนต์โล่งใจมาก อวัศยาลอบมองปราณนต์ผ่านลอดแว่นและแอบยิ้ม

ปราณนต์รีบเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมากดส่งข้อความหาแอบรัก
“ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำ” ปราณนต์ส่งสติ๊กเกอร์ดีใจ
“ดีใจแบบนี้ แสดงว่ายังไม่ถูกหักคอ” แอบรักส่งข้อความมา
อวัศยาแอบกดแชทอยู่ใต้โต๊ะแล้ววางฟอร์มว่ากำลังอ่านเอกสารบนโต๊ะ แต่สายตาคอยมองตามปราณนต์ที่อยู่นอกห้อง
“เจ้านายผมใจดีกว่าที่คิด”
อวัศยาอมยิ้มอิอิๆ ที่เป็นไปได้ตามแผน ก่อนจะพิมพ์ตอบไปว่า
“เธออาจจะหลอกให้คุณตายใจก็ได้”
ปราณนต์พิมพ์ตอบ “ไม่น่านะ”
“แต่ใครๆ ก็บอกว่าเธอเป็นนางยักษ์ ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีค่ะ”
ปราณนต์มองกลับเข้าไปในห้องอวัศยา อวัศยานั่งก้มหน้าทำงานอยู่หลังคอมพิวเตอร์
“ผมจะไม่ตัดสินเธอจากคำพูดคนอื่นอีกแล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะสำหรับคำแนะนำ” ปราณนต์พิมพ์ตอบ
อวัศยาดีใจและมีความสุข

ลิปดาจับมือเจมส์ที่ใส่ชุดนักเรียนพาเล่นไอซ์สเก็ต ลิปดาเล่นได้คล่องแคล่วมาก แก๊งค์วัยรุ่นสาวมองลิปดากันตาเยิ้มแบบเพ้อฝัน ลิปดาจูงพาเจมส์มาใกล้ๆ ผู้หญิงกลุ่มนั้น
“ลูกชายน่ารักจังเลยค่ะ” กลุ่มผู้หญิงชม
“ไม่ใช่ลูกครับ น้องชาย” ลิปดาบอก
พวกชะนีกรี๊ดกร๊าด ลิปดายิ้มและส่ายหน้าขำๆ
“พี่ๆ เขากรี๊ดทำไมครับ” เจมส์ถามลิปดา
“เขาชอบที่พี่ลิปเล่นไอซ์สเก็ตเก่ง น้องเจมส์อยากได้รับเสียงกรี๊ดบ้างมั้ย”
เจมส์พยักหน้า
“ถ้าอยากเล่นเก่งต้องทำยังไง” ลิปดาถาม
“กล้า กล้า กล้า”เจมส์ตอบ
“ดังๆ” ลิปดาบอก
เจมส์ฮึกเหิม “กล้า กล้า กล้า”
“ดีมาก ไป”
ลิปดาปล่อยมือเจมส์ เจมส์มีสีหน้ามุ่งมั่นมากแต่ไถลไปได้นิดเดียวเขาก็ล้มแหมะกองกับพื้น ลิปดาไถลเข้าไปช่วยประคองเจมส์ให้ลุกขึ้น จารวีวิ่งหอบถุงกระดาษพะรุงพะรังเข้ามามองหาลิปดากับเจมส์ พอเห็นเธอก็โบกมือเรียกทั้งสอง
“ลิป น้องเจมส์”
ลิปดากับเจมส์โบกมือตอบ

ลิปดากับจารวีนั่งคุยกัน ทั้งสองหันหน้าไปทางลานน้ำแข็งโดยคอยดูเจมส์ที่จับรถเข็นรูปนกแพนกวินค่อยๆ ไถลฝึกเล่นไอซ์สเก็ตด้วยตัวเอง
“ขอบใจลิปมากนะ อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนน้องเจมส์” จารวีบอก
ลิปดาล้วงหยิบกระดาษในกระเป๋าขึ้นมา “ออเดอร์ของน้องๆ ที่ออฟฟิศ ที่แจนเอาไปให้ทดลองใช้ครั้งก่อน ติดใจสั่งออเดอร์มาเพียบ”
จารวีรับกระดาษมาด้วยความดีใจ “ขอบใจมาก เดี๋ยวแจนจะลดแลกแจกแถมเต็มที่เลย”
ลิปดายิ้มๆ
เด็กวัยรุ่นผู้หญิงถือสมุดโน้ตกับปากกาเดินเข้ามาที่โต๊ะลิปดา
“พี่คะ พี่มีเฟซมั้ยคะ เฟซบุคอ่ะค่ะ มีเพื่อนอยากได้”
จารวีเบ้หน้าใส่พร้อมกับยิ้มเชิงขำๆ ลิปดายักไหล่ประมาณว่าช่วยไม่ได้ เกิดมาหล่อ
“ก่อนจะให้ .. บอกได้มั้ย ... ว่าแต่เพื่อนคนไหนครับ”
“คนนั้นค่ะ” สาวคนนั้นชี้ไปที่โต๊ะใกล้ๆ
วัยรุ่นผู้ชายหน้าตาหล่อมากนั่งอยู่ในกลุ่ม เพื่อนคนอื่นๆ ตั้งใจชี้ไปที่เขา วัยรุ่นชายคนนั้นเขินๆ ลิปดากับจารวีเหวอ จารวีกลั้นขำ
“ฝากบอกเพื่อนนะครับ ว่าพี่ไม่สนใจผู้ชาย”
“เพื่อนหนูก็ไม่ได้สนใจผู้ชายค่ะ” หญิงวัยรุ่นบอก ลิปดากับจารวีแปลกใจ “เพื่อนหนูให้มาขอเฟชบุ๊คพี่ผู้หญิง”
ลิปดากับจารวีตกใจ “ห่ะ !”
จารวีมองกลับไปที่โต๊ะวัยรุ่น วัยรุ่นชายอายหน้าแดงกล่ำ จารวียิ้มเจื่อนพลางคิดในใจอะไรของเมิง
“พี่สวยมาก ตั้งแต่พี่เข้ามา เพื่อนหนูเอาแต่มองพี่ หนูขอเฟชบุ๊คให้เพื่อนหนูหน่อยเถอะนะคะ”
“ได้ค่ะ แต่ฝากบอกเพื่อนน้องด้วยนะคะว่าอย่าโทรแชทมาหลังสองทุ่ม ลูกชายพี่ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า” จารวีชี้ไปที่น้องเจมส์
หญิงวัยรุ่นตกใจ “พี่มีลูกแล้ว ! แสดงว่าพี่ก็ต้องมีผัวแล้วสิคะ”
“ลูกพี่ไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่นี่คะ เอาเบอร์พี่ด้วยมั้ยคะ” จารวีถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเพื่อนหนูซวย”
สาววัยรุ่นรับสมุดคืนมาจากจารวีแล้วรีบเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนกระซิบบอกเรื่องจารวีมีลูกมีผัวแล้ว
“เด็กสมัยนี้คิดอะไรของเขา จีบผู้หญิงแก่กว่า อยากได้เมียหรืออยากได้แม่” ลิปดาบ่น
“โลกมันเปลี่ยนไปแล้วลิป การสื่อสารไร้พรมแดน แล้วทำไมความรักจะรักไร้เพศ ไร้เชื้อชาติ ไร้อายุบ้างไม่ได้ แล้วจะบอกอะไรให้ ตอนนี้นะ "โคแก่กินหญ้าอ่อน" เป็นเรื่องที่อินเทรนด์สุดๆ ถ้าไม่เกรงใจลูก แจนก็จะไม่ยอมตกเทรนด์เหมือนกัน” จารวียิ้มสดใส
ลิปดาเซ็ง

เปรี้ยวค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาในห้องของปราณนต์ก่อนจะมองออกไปนอกห้องให้แน่ใจว่าไม่มีใครผ่านมาแล้วก็ปิดประตู กดล็อคอย่างเงียบเชียบแล้วปราดไปค้นของบนโต๊ะทำงานปราณนต์เพื่อหาหลักฐานว่าปราณนต์เป็นแฟนกับพริบพราวหรือเปล่า
ปุ้มถือไม้กวาดเข้ามาจากระเบียงห้องจนเจอเปรี้ยวเข้าพอดีพร้อมๆ กับที่เปรี้ยวหยิบนามบัตรของปราณนต์ออกมาจากลิ้นชักแล้วยิ้มมีแผน
ปุ้มถาม “ป้าทำอะไร”
เปรี้ยวสะดุ้งก่อนจะหันมาแล้วตกใจ “ว้าย ! ยัยปุ้ม เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นานแล้ว ปุ้มเข้ามาเก็บกวาดห้องให้ณนต์ ป้าเปรี้ยวล่ะ เข้ามาทำอะไร”
“เอ่อ...”
ปุ้มรู้ว่าเปรี้ยวจะไม่ยอมบอกง่ายๆ จึงตะโกนเลย “ณนต์ ! ป้าเปรี้ยวแอบเข้ามา...”
เปรี้ยวตกใจจึงรีบพุ่งเข้าไปปิดปากปุ้ม
“ยัยปุ้มหุบปากเดี๋ยวนี้ ! ป้าบอกก็ได้” เปรี้ยวปล่อยมือออกจากปากปุ้ม “ป้าอยากรู้ว่าณนต์กับหนูพริบพราวสาวบอสตันอะไรนั่นเป็นแฟนกันหรือเปล่า”
“ป้าไม่ชอบน้องพราวเหรอคะ” ปุ้มถาม
“ไม่ค่อยถูกชะตา ท่าทางมั่นใจในตัวเองสูงเหมือนยัยรุ้ง ป้ากลัวณนต์จะโดนหักอกซ้ำสอง”
“ไม่มั้งคะ น้องพราวดูจริงใจกว่าน้องรุ้งเยอะ”
“ไม่ต้องมาเถียง ป้าอาบน้ำร้อนมาก่อน มองคนไม่เคยพลาด ผู้หญิงพวกนี้อ้าปากก็เห็นเข้าไปถึงไส้ติ่งว่าแซ่บเว่อร์ อย่างณนต์รับมือไม่ไหวหรอก ป้าต้องช่วยตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และป้าก็รู้แล้วด้วย ป้าจะไปสืบที่ออฟฟิศของณนต์”
ปุ้มร้อนใจ “ออฟฟิศ ! จะไปสืบยังไง”
“ไม่เห็นจะยาก เดี๋ยวป้าไปถามๆ เพื่อนที่ออฟฟิศเจ้าณนต์ดู ออฟฟิศคงไม่ใหญ่มากนักหรอก”
เปรี้ยวมั่นใจสุดๆ

ตึกบริษัทนาราภัทรโอ่อ่าใหญ่โต เวลาพักกลางวัน เหล่าพนักงานเดินถือแก้วกาแฟกับกระเป๋าสตางค์ใบเล็กๆ เดินสวนกันขวักไขว่ รถแท็กซี่ขับเข้ามาจอดหน้าตึก เปรี้ยวเปิดประตูรถพรวดแล้วพุ่งตัวออกมาจากในรถ ก่อนจะสูดเอาอากาศบริสุทธิ์แต่หน้ายังมึนเหมือนอยากจะอ้วก เปรี้ยวควานหยิบเงินให้กระเป๋าหันไปส่งให้คนขับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่ต้องทอนนะคะ ป้าให้ทิปไปซื้อลูกกลิ้งทาซะนะ” เปรี้ยวทำท่าทาโรลออนที่จักกะแร้ “กลิ่นจะได้ไม่แน่นขนาดนี้”
เปรี้ยวปิดประตู คนขับรถออกรถไปอย่างเร็วบ่งบอกถึงความไม่พอใจ แต่เปรี้ยวไม่ได้ใส่ใจเพราะมึนมาก เธอหันไปที่หน้าตึกแล้วแหงนหน้ามองตึกสูง
เปรี้ยวอ้าปากค้าง “โห... ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
เปรี้ยวมองเหล่าพนักงานออฟฟิศที่เดินสวนกันขวักไขว่ที่อยู่รอบตัวประกอบกับเสียงรถยนต์บนถนนก็ดังลั่น บีบแตรกันปี๊ดป๊าด เปรี้ยวหน้ามืดตาลายและเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่ อวัศยากับรันเดินออกมาจากในตึกกำลังจะไปหาข้าวกลางวันกิน ทันใดนั้นเปรี้ยวก็เซเป็นลมล้มพับไปกับพื้นพอดี
อวัศยากับรันตกใจสุดขีด “คุณป้า”
ทั้งสองปราดเข้าไปประคองเปรี้ยว อวัศยาช้อนร่างเปรี้ยวด้วยท่าทางกระตือรือร้นที่จะช่วยมาก
“คุณป้าคะ คุณป้า รันมียาดมมั้ย”
รันล้วงหยิบยาดมในกระเป๋าพกเล็กๆ พนักงานออฟฟิศกรูเข้าไปมุงดู
“อย่ามุงค่ะ อากาศจะถ่ายเทไม่สะดวก ใครก็ได้ช่วยโทรเรียกรถพยาบาลทีค่ะ”
เปรี้ยวปรือตาขึ้นมามองอวัศยาที่กระตือรือร้นที่จะช่วยเธอมากๆ รันส่งยาดมลายคิตตี้ให้อวัศยา อวัศยาหยิบมาจ่อที่จมูกเปรี้ยว แล้วรันก็หันไปเห็นนามบัตรยับยู่ยี่ตกอยู่ใกล้มือเปรี้ยว รันหยิบขึ้นมาคลี่ดูแล้วเห็นชื่อ "ปราณนต์ อัศวโชคชัย" บนนามบัตร
“ยา นามบัตรณนต์” รันบอก อวัศยาหยิบมาดูบ้าง “ณนต์ต้องรู้จักคุณป้าแน่ๆ โทรขึ้นไปตามณนต์ลงมาเร็ว”
คำว่า "ตามณนต์" ทำให้เปรี้ยวหูผึ่งกระเด้งลุกขึ้นมาจ้องหน้ารันแล้วพูดด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายว่า...
“อย่า...บอก...ณนต์” พูดจบเปรี้ยวก็หมดสติไปทันที
อวัศยากับรันแปลกใจ

กรอบรูปถ่ายปราณนต์บนกำแพงบ้านทำให้เห็นชีวิตของปราณนต์ รูปถ่ายปราณนต์ตอนเด็ก รูปถ่ายคู่กับปุ้ม รูปถ่ายรวมกันสี่คน ปุ้ม ปริม และเปรี้ยวยืนล้อมปราณนต์ในชุดรับปริญญา ทุกคนยิ้มโพสต์ท่าดูเป็นครอบครัวที่ขี้เล่นและมีความสุข อวัศยายืนมองรูปถ่ายเหล่านั้นอย่างเอ็นดู
“น่ารักจัง”
รันนั่งโบกลมด้วยหนังสือให้เปรี้ยวที่นอนสลบอยู่บนโซฟายาว
“หือ ? ใครน่ารัก” รันถาม
“เอ่อ...แกไง อุตส่าห์นั่งพัดให้คุณป้า น่ารักจัง”
รันมองอย่างไม่เชื่อแต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร เปรี้ยวก็รู้สึกตัว
“คุณป้าคะ คุณป้าเป็นยังไงบ้างคะ ยังเวียนหัวอยู่หรือเปล่า”
“ไม่แล้ว แล้วทำไมพวกคุณยังไม่กลับไปอีก มีทำงานต่อตอนบ่ายไม่ใช่เหรอคะ” เปรี้ยวถาม
“พวกเราเข้างานตอนบ่ายสองครับ ยาเป็นห่วงคุณป้าที่ต้องอยู่คนเดียวก็เลยอยู่เฝ้าก่อน” รันบอก
“ขอยาเช็คความดันให้อีกครั้งนะคะ”
อวัศยาหยิบเครื่องวัดความดันแบบดิจิตอลมาวัดความดันให้เปรี้ยวด้วยความชำนาญ
เปรี้ยวมองอวัศยาอย่างเอ็นดู “ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะทำเป็น”
“คุณยายของยาก็เป็นความดันค่ะ ยาต้องวัดให้บ่อยๆ” อวัศยาดูตัวเลขบนหน้าจอ “โอเค...ความดันลดลงแล้ว แต่คุณป้าก็ยังต้องนอนต่อเยอะๆ นะคะ จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น”
“เป็นโชคดีของณนต์นะ ที่มีเจ้านายใจดีอย่างคุณ” เปรี้ยวบอก
“เป็นโชคดีของยาเหมือนกันครับ ที่มีลูกน้องน่ารักอย่างปราณนต์” รันบอก
อวัศยามองรันตาขุ่น
“แต่คุณอย่าลืมนะคะ อย่าบอกณนต์ว่าป้าแอบไปหาที่บริษัท เดี๋ยวณนต์จะเป็นห่วง” เปรี้ยวย้ำ
อวัศยากับรันยิ้มรับ รันหันไปเห็นซองการ์ดงานเกษียรแซ่บที่วางอยู่บนโต๊ะตกลงพื้น
"งานเกษียณแซ่บ" เก๋จังเลยครับ” รันว่า
“ป้ากับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเกษียรพร้อมกันหลายคน ทำงานเครียดกันมาทั้งชีวิตต้องขอปาร์ตี้ฉลองเงินบำเน็จบำนาญกันนิสสสสนุง” เปรี้ยวบอก
“จัดที่โอเรียลเต็ล ไม่นิสแล้วมั้งครับ” รันว่า
“ก็ไม่นิดจริงล่ะคุณ แต่ละคนเป็นระดับซีสิบเอ็ดซีสิบสองซีอีโอ ได้เงินบำเน็จบำนาญไม่ต่ำกว่าสิบล้านกันทั้งนั้น แต่ละคนกำลังกลุ้มใจ ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร”
อวัศยาปิ๊งเพราะคิดอะไรได้

นาฬิกาบอกเวลาประมาณ 16.45 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว ปราณนต์คุยโทรศัพท์หาลูกค้าอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“สวัสดีครับพี่ปริญ ผมปราณนต์ครับพี่ ปราณนต์รุ่นน้องวิศวะที่เคยไปช่วยเล่นละครเวทีให้พี่ไงครับ” ปราณนต์ฟังแล้วหัวเราะเฟคๆ เพราะในใจรู้ดีว่าเขาโทรหาเพื่ออะไร “จำได้แล้วนะครับ” ปราณนต์ฟังแล้วตอบ “โทรมาทำไม? อ๋อ...คือ...คือว่าผมเพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ พี่สนใจเปิดพอร์ตเล่นหุ้นมั้ยครับ ผมจะแนะ..” เสียงตู๊ดๆๆๆ ดังขึ้นเพราะปลายสายวางไป “ฮัลโหลๆ พี่ปริญ พี่ปริญ”
ปราณนต์วางสายแล้วขีดฆ่าทับรายชื่อสุดท้ายลำดับที่สามสิบรายชื่อสุดท้ายบนกระดาษ
รุจน์ถือแก้วกาแฟเดินผ่านคอกทำงานของปราณนต์ทำให้เห็นตอนปราณนต์ถอนหายใจทิ้งพอดี
“ยังหาลูกค้าไม่ได้เหรอ” รุจน์ถาม
“ยังครับ”
“ไม่ลองโทรถามเพื่อนๆ ที่ทำงานเก่าล่ะ พวกวิศวะรายได้ดี น่าจะมีใครอยากเล่นหุ้น”
“โทรแล้วครับ”
“เพื่อนที่มหา'ลัยล่ะ”
“ครบ” ปราณนต์บอก
“เพื่อนมัธยม” รุจน์เสนออีก
“ครบ”
“ญาติๆ ล่ะ” รุจน์เสนอ ปราณนต์ส่ายหน้า รุจน์นึกขึ้นได้ “โทษที ลืมไปว่าญาตินายไม่ได้รวยเหมือนพราว”
พริบพราวคุยโทรศัพท์
“คืนนี้เจอกันนะคะคุณป้าขา เดี๋ยวพราวเอาดิออร์ไปฝากค่ะ”
แสนดีเดินหอบแฟ้มเอกสารสิบแฟ้มเข้ามาวางบนโต๊ะพริบพราว
“เอกสารเปิดพอร์ตสิบชุดครบค่ะ” แสนดีหอบแฮ่กๆ แต่พริบพราวยิ้มหน้าอ้อนๆ แสนดีรู้ทัน “นั่นแน่..ทำหน้าอ้อนเป็นแมวสามสี แสดงว่าจะขอเอกสารเพิ่มอีกใช่มั้ยคะ”
“พราวรบกวนหน่อยนะคะ พอดีมีลูกค้าจากบอสตันโทรมาเปิดพอร์ตกับพราวเพิ่มอีก”
แสนดีพูดเสียงหวานเจี๊ยบ “อูย...รบกงรบกวนอะไรคะ ต่อให้พี่เดินจนขาหลุดพี่ก็แฮปปี้ค่ะ แต่อย่าลืมข้อตกลงของเรานะคะ”
พริบพราวกับแสนดีพูดพร้อมกัน “พราวหัวหน้า พี่แสนดีเป็นรอง ปรองดองให้ทีมเฟอร์เฟ็ค” พริบพราวพูดด้วยสำเนียงเริ๊ดๆ หัวเราะคิกคักกัน
“เดี๋ยวพี่ไปจัดมาให้ค่ะ” แสนดีเดินออกไป ง
พริบพราวยังยิ้มค้างแล้วหันมาเห็นว่าปราณนต์มองอยู่
“ได้ลูกค้ากี่คนแล้วจ๊ะปราณนต์”
รุจน์สาระแนตอบ “ยังไม่ได้สักคนเลยครับ น้องพราวแบ่งให้ไอ้ณนต์สักคนสิครับ”
“อ้าว...ทำไมล่ะ เห็นนั่งโทรศัพท์ทั้งวันคิดว่าโทรหาลูกค้าซะอีก ที่แท้ก็โทรหางานใหม่นี่เอง” พริบพราวกัด
“ผมไม่ได้เกิดมาโชคดีเหมือนคุณ แค่เอ่ยนามสกุลก็ได้ลูกค้าแล้ว” ปราณนต์ว่า
“เขาไม่ได้เรียกว่าโชคดี แต่เรียกว่าฉลาดที่รู้จักใช้คนใกล้ตัวให้เป็นประโยชน์จ้ะ”
พริบพราวเดินออกไป ปราณนต์กลุ้มใจ

อวัศยานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน โดยถือมือถือเตรียมแชทอยู่ในมือ สายตาของเธอมองออกไปนอกห้องก็เห็นปราณนต์นั่งลงที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าเครียดๆ เพราะกลุ้มใจเรื่องยังหาลูกค้าไม่ได้ รุจน์ตบบ่าปราณนต์เพื่อปลอบใจแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง ปราณนต์นั่งเครียดอยู่ตามลำพัง อวัศยาเกิดอาการหนักใจว่าจะช่วยหรือไม่เพราะรู้ว่าถ้าช่วยจะเป็นเรื่องผิดกติกา
“หาลูกค้าได้หรือยังคะ” แอบรักส่งข้อความถาม
ปราณนต์กดแชทขึ้นเป็นภาพหน้าจอ
“ยังครับ ผมโทรศัพท์จนคอแห้ง โทร.หาเพื่อน ทั้งชีวิตแล้ว ไม่มีใครสนเลย” ปราณนต์ส่งข้อความกลับ
“ไม่ใช่แค่คนหนุ่มสาวที่อยากลงทุน” แอบรักพิมพ์มาหา
ปราณนต์ส่งสติ๊กเกอร์สงสัย
“รุ่นใหญ่ เงินเย็น เป็นอีกกลุ่มที่อย่ามองข้าม”
ปราณนต์คิด “รุ่นใหญ่ เงินเย็น ....”
ปราณนต์ปิ๊งทันที เขารีบหยิบมือถือออกมากดโทรออกแล้วรอฟังสายพร้อมกับเก็บเอกสารใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับ
“แม่ครับ ป้าเปรี้ยวไปงานเลี้ยงเกษียณที่ไหน”

รถจักรยานของปราณนต์ทะยานมาเบรคเอี๊ยดหน้าโรงแรม ปราณนต์มีสีหน้ามุ่งมั่นขณะถอดหมวกกันน๊อคสุดเท่ห์ แล้วก้าวลงจากรถจักรยาน คนรับรถเดินเข้ามาหา ปราณนต์ส่งโซ่คล้องกุญแจให้
“ผมฝากรถด้วยครับ”
ปราณนต์ก้าวเท้าเข้าโรงแรม รถคันโก้ของพริบพราวขับเข้ามาจอดเทียบที่หน้าโรงแรม ประตูรถเปิดออก พริบพราวในชุดสวยเฉิดฉายก้าวลงมา พริบพราวส่งกุญแจรถให้คนรับรถ
“ดูรถให้ฉันด้วย”
พริบพราวก้าวเท้าเข้าโรงแรมด้วยความมั่นใจ แต่แล้วเธอก็ชะงักเหมือนแผ่นสะดุดก่อนจะถอยกลับมามองรถจักรยานที่จอดอยู่
“จักรยานคุ้นๆ..แต่ไม่น่าใช่ นายหน้าจืดนั่นไม่มีทางมีลูกค้าระดับไอโซแบบเราได้ไม่มีทาง”
พริบพราวมองแล้วคิดก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป

ปราณนต์เดินตัวปลิวเข้ามาเห็นป้าย "งานเกษียณแซ่บ" ปราณนต์เลี้ยวขวาไปทางลูกศร
ในขณะเดียวกันพริบพราวก็เดินอย่างมาดมั่นเข้ามาเห็นป้าย "DINNER LUXUARY" พริบพราวเดินเลี้ยวซ้ายไป

ป้ายบนเวทีเขียนว่า "งานเกษียณแซ่บ" เปรี้ยวและกลุ่มเพื่อนแดนเซอร์ประมาณ 5-6 คนซึ่งสิริรวมอายุมากกว่าอายุก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์กำลังโชว์การแสดงร้องเพลงร่วมสมัย เช่นเพลง แน่นอก , อย่านโม ,ขอใจแลกเบอร์โทร ฯลฯ โดยที่เปรี้ยวเป็นนักร้องนำ
บรรดาลุงๆ ป้าๆ ใส่ชุดนักเรียนหน้าเวทีส่งเสียงกรี๊ด งานจัดด้วยบรรยากาศง่ายๆ ดอกไม้ อาหารบนโต๊ะ พนักงานบริการดูดีและหรูหรา ปราณนต์เดินเข้ามาในห้องแล้วมองหาเปรี้ยว เขาเห็นนางวาดลวดลายประหนึ่งสาวสิบหกอยู่บนเวที ปราณนต์อึ้งพร้อมคิดในใจว่านี่หรือป้ากรู ปราณนต์พยายามโบกมือให้เปรี้ยว แต่เปรี้ยวไม่เห็นและเอาแต่เต้น

พริบพราวชนแก้วไวน์ทรงสูงกับลูกค้าผู้หญิงอายุประมาณ 50 ปีอยู่ในห้อง dinner หรูหรามีสกุล
เปรี้ยวเต้นเสร็จก็โพสต์ท่ากิ๊บเก๋ เพื่อนๆ ส่งเสียงกรี๊ด กลุ่มของเปรี้ยวเดินลงไปหลังเวที พิธีกรชายวัยรุ่นขึ้นมาพูด
“แหม...แซ่บได้ใจมาก ตอนนี้ต้องขอเวลาพักรับประทานอาหาร ให้ออกซิเจนกันสักพัก แล้วเดี๋ยวกลับมาพบกับความสนุกสนานกันต่อนะครับ”
เปรี้ยวลงจากเวที Stage manager วิ่งไปรับไมค์จากเปรี้ยวแล้วเดินเอาไปวางบนลำโพงที่สูงเท่าตัวคน ใกล้กับแผงควบคุมเสียง เปรี้ยวหันมาเจอปราณนต์ยืนคอยอยู่ข้างเวที
“อ้าว ณนต์ มาทำอะไร” เปรี้ยวถาม
“ป้าครับ ผม...ผม”
“มีอะไรก็พูดมาสิลูก ป้าต้องรีบไปเปลี่ยนชุดโชว์แน่นอก”
ปราณนต์ลากมือป้าเปรี้ยวไปหลบหลังลำโพง บริเวณนั้นมีไมโครโฟนที่ยังไม่ได้ปิดวางอยู่ใกล้ๆ
“ผมขอพูดแบบเปิดใจเลยนะครับ ผมมาที่นี่ก็เพราะจะมาหาลูกค้าเล่นหุ้น”
เพื่อนๆ ของเปรี้ยวหันไปทางเสียง เสียงปราณนต์กับเปรี้ยวคุยกันดังลอดออกมาโดยที่เปรี้ยวกับปราณนต์ไม่รู้ตัว
เปรี้ยวแปลกใจ “แก่ๆ อย่างเพื่อนป้าเนี่ยนะ จะไปเล่นหุ้น”
“คนวัยนี้ล่ะครับ ที่เหมาะกับการเล่นหุ้น เพราะพอทุกคนเกษียณ ไม่ได้ทำงานแล้ว จะต้องเหงากันแน่ๆ การเล่นหุ้นจะทำให้แต่ละวันมีอะไรให้คิด ให้ทำ ไม่เหงาครับ”
บรรดาเพื่อนเปรี้ยวฟังและพยักหน้ารับกันหงึกหงักเพราะเห็นด้วยกับสิ่งที่ปราณนต์พูด คนคุมเสียงกำลังเดินลูบท้องกลับเข้ามาได้ยินเสียงพูดผ่านไมโครโฟน
“เฮ้ย ! ลืมปิดไมค์”
คนคุมกำลังจะวิ่งไปที่แผงควบคุม แต่เพื่อนของเปรี้ยวคว้าแขนห้ามเอาไว้แล้วยกนิ้วชี้แตะปากส่งเสียงชู่ว์ ปราณนต์กับเปรี้ยวพูดกันต่อ
“แต่การเล่นหุ้นมันเสี่ยงนะ รุ่นดึกอย่างพวกป้า ไม่มีใครอยากหัวใจวายเพราะลุ้นหุ้นเหมือนลุ้นหวยหรอกณนต์ ป้าว่ายากส์” เปรี้ยวบอก
“แต่หุ้น มันต่างกับหวยนะครับป้า เพราะเราศึกษาเกมส์การเล่นอย่างมีข้อมูล รู้เขา รู้เรา ความเสี่ยงลดลง ความมั่นคงเพิ่มขึ้น”
พริบพราวพรีเซนต์กับเหล่าลูกค้าสุดพลัง
“ยิ่งเสี่ยงยิ่งรวยค่ะ ยิ่งตอนนี้คนกำลังขวัญอ่อน เทขายหุ้นดีๆ กันเพียบ คนรวยอย่างเราก็มีหน้าที่ ช้อนซื้อค่ะ รับรองรวยเละ”
“รับรองว่าปลอดภัยครับ ผมไม่ได้คิดจะเอาเงินบำเหน็จบำนาญทั้งหมดของพวกเขาไปเล่นหุ้น ผมขอแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือผมแนะนำให้ฝาก ซื้อกองทุนอื่นๆ เพื่อความสบายใจ” ปราณนต์ว่า
พริบพราวพูดต่อ “สบายใจได้เลยค่ะ พราวถ้าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เพราะทุกคนฉลาดที่เลือกพราวดูแลพอร์ต”
“เพราะทุกคนคือเพื่อนของป้า ผมจะดูแลให้อย่างดีที่สุดครับ” ปราณนต์บอก
ลูกค้าไฮโซของพริบพราวเซ็นต์เอกสาร พริบพราวยิ้มหวานแล้วหันหน้าไปรับลมเย็นๆ ด้วยความสบายใจ
ส่วนปราณนต์หน้าเศร้าเพราะลุงๆป้าๆ ทุกคนส่ายหัว
“ณนต์อย่าเพิ่งเครียด เดี๋ยวป้าจะลองพูดกับเพื่อนๆให้” เปรี้ยวบอก “อย่าเพิ่งเครียด เดี๋ยวป้าจะลองพูดกับเพื่อนๆ ให้ดูนะ เผื่อว่าจะมีใครสนใจ”
เพื่อนของเปรี้ยวคนหนึ่งพูดขึ้น “ชั้นสนใจ””
ปราณนต์กับเปรี้ยวหันไปเห็นเพื่อนๆ ของเปรี้ยวมายืนออกัน
“คิดซะว่าช่วยหลานตอบแทนที่เธอเคยให้ชั้นหลอกข้อสอบตอนปีหนึ่ง”
“ชั้นช่วยด้วย”
เพื่อนๆ ของเปรี้ยวพากันยกมือพรึ่บพรั่บๆ ปราณนต์กับเปรี้ยวดีใจจนน้ำตาแทบจะไหล
“แต่มีข้อแม้นะ ถ้าหลานณนต์ช่วยร้องเพลงเอ็นเตอร์เทนคนแก่ให้พวกเราพอใจทั้งงานหละก็ พวก เราจะเล่นหุ้นด้วย โอเค๊”
“ถ้างั้นต้อง ร้องเพลงให้ตายกันไปข้างเลยลูก” เปรี้ยวว่า
ปราณนต์หน้าเหวอคิดในใจว่าซวยแล้วกรู

พริบพราวเดินคุยมากับลูกค้าไฮโซโดยผ่านที่ห้องจัดเลี้ยง
“พราวก็ต้องขอบคุณคุณหญิงป้าด้วยนะคะที่ไว้ใจให้พราวดูแลเรื่องการลงทุน”
จังหวะนั้นเองเสียงเพลงดังลอยเข้ามา
“แต่ก่อนอื่นคุณหญิงป้าขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
“ค่า...พราวรอแถวนี้นะคะ”
ลูกค้าไฮโซเดินไปเข้าห้องน้ำ เสียงเพลงและคนร้องเพลงยังดังลอดออกมา
จังหวะนั้นประตูห้องถูกเปิด คุณป้าในชุดนักเรียนเดินออกมา ประตูเปิดพอให้เห็นบนเวทีสิ่งที่พริบพราวเห็นคือ ปราณนต์ที่กำลังร้องเพลงและเต้นอย่างเมามันอยู่บนเวที ผมผูกจุก เหมือนเด็กนักเรียน

ปราณนต์ร้องเพลงแบบโคตรเพี้ยน "ไม่อยากจะเจอคนที่ลืมสัญญาก่อนว่าเคยรักเราจริงจัง”
พริบพราวขยับเข้าไปดูใกล้ๆ พอได้ยินเสียงเพี้ยนๆ ของปราณนต์ก็ถึงกับตะลึง
“นี่นายนั่นมาทำบ้าอะไรที่นี่เนี๊ย!”
เปรี้ยวขึ้นไปแดนซ์คู่หลานบนเวที พริบพราวเห็นก็จำเปรี้ยวได้
“อ๋อ...ที่แท้ก็มาดูแลญาติผู้ใหญ่”
ปราณนต์ร้องเพลงต่อเนื่อง "เธอแหละทำให้ฉันต้องผิดหวังอกฉันแทบพัง ใครมาเปลี่ยนใจเธอแต่ต้องเจอ เจอกันอยู่ทุกวันสักคำก็ยังไม่ยอมทักทายดวงใจฉันแตกสลาย เธอยิ้มสบายคงจะพบใครใหม่ถ้าหัวใจไม่มั่นคงแล้วใคร จะซื่อตรงคิดไปห่วง และกังวล คนอื่นคงจะไม่ชอบเธอจริง"
พริบพราวหัวเราะขำ ส่ายหัว แต่ก็ยังยืนดู
“ยังจะกล้าร้องอีก หาคีย์ไม่เจอเลย”
พริบพราวนึกสนุกจึงหยิบมือถือมาถ่ายคลิปปราณนต์...
“นายเสร็จฉันแน่นายปราณนต์ ทุกคนจะต้องได้เห็นความไม่เอาไหนของนาย”
จังหวะนั้นเองป้าที่เดินออกไปกลับเข้ามาเห็นพริบพราวยืนถ่ายคลิบอยู่
“อ้าว...อีหนูมายืนแอบถ่ายคลิปได้ไงเนี่ย!! นี่มันงานปาร์ตี้ส่วนตัวนะ security อยู่ไหนปล่อยคนเข้ามาเพ่นพ่านแบบนี้ได้ไง”
พริบพราวตกใจจึงรีบแก้ตัว “อ้อ..เปล่าแอบนะคะ คือ..พราวกำลังถ่ายเพื่อนน่ะ..คนนั้นน่ะค่ะที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีน่ะค่ะ คือพราวเป็นเพื่อนปราณนต์ค่ะ”
“อ๋อ..เป็นเพื่อนปราณนต์...เอ้า...งั้นก็เข้าไปข้างในสิ...ไปสนุกด้วยกันเลย”
พริบพราวตาโต “no ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ คือ...พราวกำลังจะกลับแล้วค่ะ”
“จะรีบไปไหน ไหนว่าเป็นเพื่อนปราณนต์ หรือว่า โกหกป้าเนี่ย”
“ป่าวโกหกนะคะ!เป็นเพื่อนปราณนต์จริงๆ”
“ถ้างั้นก็ไปเชียร์เพื่อนสิ ไม่ต้องอาย!!ไปเต้นกัน ไป”
ป้าลากแขนพริบพราวให้เข้าห้องไป
ปราณนต์ร้องเสียงหลง "เชื่อฉัน อย่าหลงไปเชื่อใครฉันนี้แหละห่วงใยรักแท้ และแน่จริง โปรดทิ้งความคิดจะเปลี่ยนใจห้ามหนีไปชอบใคร ชอบทำไม ชอบได้แต่ฉันคนเดียว”

ป้าพยายามชวนพริบพราวเต้น พริบพราวหมุนเต้นไปแบบเก้ๆกังๆแต่ก็หัวเราะไปด้วย เธอมองปราณนต์ที่กำลังอินแบบขำๆ ปราณนต์กำลังอินกับเพลงเลยไม่ได้สนใจคนข้างล่าง
"เชื่อฉัน อย่าหลงไปเชื่อใครฉันนี้แหละห่วงใยรักแท้ และแน่จริง โปรดทิ้งความคิดจะเปลี่ยนใจห้ามหนีไปชอบใคร ชอบทำไม ชอบได้แต่ฉันคนเดียว โว้ โว้ เย้ เย้...” ปราณนต์อินมาก
บรรดาป้าๆ ปรบมือกรี้ดกร้าดปราณนต์เยี่ยงนักร้องขวัญใจวัยโจ๋ พริบพราวทำตัวไม่ถูกจึงต้องปรบมือไปกับเขาด้วย
ปราณนต์โค้งขอบคุณทุกคนแต่ตาเหลือบไปเห็นพริบพราวที่กำลังปรบมือให้ ปราณต์หันขวับไปมองแบบไม่เชื่อสายตา
“คุณ!”
ทุกคนหันขวับไปมองพริบพราวเป็นตาเดียว พริบพราวได้แต่ยิ้มขำสะใจ เปรี้ยวจิกตาใส่ว่าพริบพราวมาได้ยังไง พริบพราวยิ้มแหยๆ คิดในใจว่าซวยแล้วตรู

ปราณนต์ลากพริบพราวมาตามทาง
“นี่ปล่อยฉันนะ นายปราณนต์”
ปราณนต์ถามรัวเป็นชุด เพราะอายมาก “คุณมาทำอะไรที่นี่ คุณเข้าไปอยู่ในห้องนั้นได้ไง คุณมานานหรือยัง แล้วคุณเห็นอะไรบ้าง”
“ฉันก็มาทำงานของฉัน แต่บังเอิญมาเจอนายดูแลญาติผู้ใหญ่ของนายแบบสนุกสุดเหวี่ยงอยู่ บังเอิญนะเข้าใจมั้ย”
“บังเอิญ หรือว่าตั้งใจสะกดรอยตามผมกันแน่”
พริบพราวหันขวับ “สะกดรอยตามนาย!!เอาตรงไหนมาคิดเนี้ย...!ฉันเนี้ยนะสะกดรอยตามนาย หลงตัวเองมากไปแล้วปราณนต์ คนอย่างพริบพราวไม่มีวันทำเรื่องติงต๊องส์แบบนั้นแน่นอน เพราะนายไม่ได้อยู่ในสายตาฉันแม้แต่นิดส์เดียว คนที่เอาเวลามาร้องเพลงเอาใจคนแก่ แทนที่จะไปหาลูกค้า ทั้งๆที่ชะตากำลังขาดน่ะไม่ใช่คนที่ฉันจะต้องให้ความสำคัญ”
“มั่นใจตัวเองขนาดนั้นเลย”
“ความมั่นใจเป็นคุณสมบัติพิเศษของฉันที่ไม่มีใครสู้ฉันได้ในข้อนี้ และพรุ่งนี้นายก็เตรียมปิดประตูแพ้ฉันได้เลย..อ้อ..แล้วถ้าตกงาน ฉันขอแนะนำนะว่า อย่าริจะเป็นนักร้อง เพราะที่นายร้องเมื่อกี้...สาบานนะว่าเพลง”
พริบพราวหันหลังเดินจากไปแถมยังร้องเพลงล้อเลียนปราณนต์
“เชื่อฉัน อย่าหลงไปเชื่อใครฉันนี้แหละห่วงใยรักแท้ และแน่จริง โปรดทิ้งความคิดจะเปลี่ยนใจห้ามหนีไปชอบใคร ชอบทำไม ชอบได้แต่ฉันคนเดียว โว้ โว้ เย้ เย้....”
ปราณนต์ส่ายหัวมองตามพริบพราวไป
“ยัยแสบเอ้ย!!”


พริบพราวยืนอยู่หน้าโต๊ะลิปดาพร้อมกับแฟ้มลูกค้าที่หนามาก ลิปดานั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานก่อนจะหยิบแฟ้มลูกค้ามาเปิดดูคร่าวๆ นิดายืนอยู่ใกล้ๆ ลิปดา พริบพราวยืนยิ้มภูมิใจในตัวเอง
“ลูกค้าระดับวีไอพีทั้งนั้น” ลิปดาบอก
“พราวจะยอมให้เสียชื่อรุ่นน้องพี่ลิปได้ยังไงล่ะคะ”
ลิปดายิ้มพอใจ รันนั่งมองค้อนพริบพราวด้วยความหมั่นไส้ อวัศยานั่งอยู่ข้างๆ ส่วนปราณนต์ยังไม่มา อวัศยาใจคอไม่ดีจึงคอยมองไปที่หน้าห้อง ลิปดาดูนาฬิกาข้อมือ
“ทำไมปราณนต์ยังไม่มา คุณนิด...คุณเรียกปราณนต์หรือยัง” ลิปดาถาม
“เรียกแล้วค่ะ”
ทันใดนั้นปราณนต์ก็เปิดประตูหอบแฟ้มเอกสารปึกใหญ่เข้ามา
“ขอโทษครับที่มาช้า เอกสารเพิ่งเสร็จ”
ทุกคนตกใจ

แฟ้มของปราณนต์วางไว้บนโต๊ะลิปดาคู่กับกองแฟ้มลูกค้าของพริบพราว เอกสารของปราณนต์สูงกว่าของพริบพราวอย่างเห็นได้ชัด รันจงใจพูดตอกย้ำพริบพราว
“โอ้โห....ลูกค้าของคุณณนต์มีเยอะกว่าน้องพราวอีกนะครับ” รันจงใจพูดเย้ย
“ใช่ค่ะ ของน้องพราวมีสิบคน แต่ของน้องณนต์มียี่สิบคน” นิดาบอก
พริบพราวหน้าเครียด ปราณนต์โล่งใจ อวัศยามองปราณนต์แล้วก็ยิ้มนิดๆ ที่เธอช่วยปราณนต์ได้
“ถึงพราวจะได้ลูกค้าน้อยกว่า แต่จำนวนเงินเปิดพอร์ตของพราวมีเยอะกว่าปราณนต์ คุณณนต์มีสิบห้าล้าน แต่ของพราวมีสามสิบห้าล้าน”
“โอ้โห!!!เยอะกว่าตั้งสามเท่า”
พริบพราวยิ้มมั่นใจ ปราณนต์เริ่มคอตก อวัศยาไม่สบายใจ
ลิปดาชม “พราวเก่งมากนะที่หาลูกค้าได้ระดับวีไอพีทั้งนั้น” พริบพราวยิ้ม “คุณปราณนต์...คุณก็เจ๋งมาก ที่สามารถหาลูกค้าได้ยี่สิบคนภายในคืนเดียว ผมให้คะแนนความขยันคุณปราณนต์เกินร้อย”
“บอสจะตัดสินจากอะไรดีคะ เงิน หรือ ความขยัน” อวัศยาถาม
พริบพราวมองอวัศยาอย่างไม่พอใจเพราะคิดว่าอวัศยาพยายามจะช่วยปราณนต์
ปราณนต์พูด “มีคนสนใจเล่นหุ้นเท่านี้ครับ ถ้ามีมากกว่านี้ แสดงว่าเขายอมเล่นเพราะสงสารหรือไม่ก็รำคาญผม”
“แต่กติกาคือ ใครหาลูกค้าได้น้อยกว่า คนนั้นแพ้” ลิปดาบอก
“ครับ ผมยอมรับกติกา ผมจะแพ้ก็ไม่เป็นไร ผมฝากคุณลิปดูแลพอร์ตให้คุณลุงคุณป้าทั้ง20คนด้วยนะครับ”
ลิปดาบอกพริบพราวและปราณนต์ “ตามผมมา”
ลิปดาเดินออกไปจากห้อง พริบพราวกับปราณนต์เดินตาม อวัศยากับรันมองหน้ากันด้วยความสงสัยแล้วก็เดินตามไป นิดารีบไปโกยแฟ้มลูกค้าของปราณนต์และพริบพราวอย่างรู้หน้าที่แล้วรีบตามออกไป
อ่านต่อหน้าที่ 4


แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 3(ต่อ)

เหล่ามาร์เก็ตติ้งนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ตารางหุ้นวันนี้เป็นสีแดงและเขียวพอๆกันนั่นคือตลาดหุ้นอยู่ในสภาพคงที่ ลิปดาเปิดประตูเดินนำปราณนต์พริบพราวเข้ามา นิดาเดินตามต้อยๆ ส่วนลิปดาปรบมือเรียกความสนใจของทุกคน แล้วลิปดาก็เดินไปยืนบนเวทีกลางห้อง นิดาตามเอาแฟ้มลูกค้าปราณนต์และพริบพราวมาวางไว้บนแท่นหรือโต๊ะเล็กๆบนเวที

“ก่อนตลาดหุ้นจะเปิด ผมขอรบกวนเวลาห้านาที” ลิปดาพูด
ทุกคนหันไปมองที่ลิปดา อวัศยากับรันเดินเข้ามาหยุดยืนมอง
“พราว” ลิปดาเรียก
ลิปดากวักมือเรียกพราวให้มายืนข้างหนึ่ง และกวักมือเรียกปราณนต์ให้ไปยืนอีกข้างหนึ่ง
“การแข่งขันของเด็กใหม่สองคนนี้สิ้นสุดลงแล้ว ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกใครให้อยู่เผชิญชะตากรรมเดียวกับพวกคุณ” ลิปดาพูด
พวกมาร์ฯ ตื่นเต้นจึงกรูกันเข้ามายืนออรวมกันข้างหน้าลิปดา
อวัศยาตื่นเต้นแต่เก็บอาการ รันคว้ามืออวัศยามาบีบเอาไว้
“มือเย็นจัง ตื่นเต้นเหรอ” รันถาม
อวัศยาปากแข็ง “เฉยๆ”
รันมองอย่างไม่เชื่อ
“กติกาที่ผมให้พวกเขาไปก็คือ ใครหาลูกค้าได้มากที่สุด คนนั้นได้อยู่ต่อ แหม่..ยังกับแข่งเรียลริตี้ แล้วจนถึงวินาทีนี้ คุณพราวมีลูกค้าอยู่ในมือทั้งหมด15คน” ลิปดาบอก
พวกมาร์ฯ ปรบมือ บางคนก็ดีใจแต่บางคนก็ไม่ดีใจ
“ส่วนคุณปราณนต์มีลูกค้าอยู่ในมือ 20คน” ลิปดาพูด
พวกมาร์เฮออกมาแย่างดีใจ พริบพราวกับปราณนต์ลุ้น
ลิปดาพูดต่อ “แต่พราวทำยอดได้มากกว่าปราณนต์”
พริบพราวยิ้มภูมิใจ ปราณนต์ยิ้มนิ่งๆ เหมือนรู้ชะตากรรมของตัวเอง พวกมาร์เฮดีใจ พริบพราวลอบถอนใจด้วยความโล่งอก
“ในเมื่อสองคนนี้หาลูกค้าอย่างสุดความสามารถ ผมเห็นไฟและพลังในการแข่งขันในตัวเขาทั้งสองคนเท่าๆกัน ผมก็เลยตัดสินใจว่า…”
ทุกคนลุ้นระทึก!
ลิปดาพูดต่อ “ผมรับไว้ทั้งสองคนเลยแล้วกัน”
ปราณนต์ รัน และนิดาดีใจ พริบพราวอึ้ง อัวศยาดีใจแต่ก็เก็บอาการ
“มีใครขัดข้องอะไรมั้ย” ลิปดาถาม
ทุกคนยังปรบมือร้องเฮ ลิปดาเดินเข้าไปยืนตรงหน้าพริบพราวกับปราณนต์แล้วยื่นมือให้จับทีละคน
“ขอต้อนรับเข้าสู่นาราภัทรอย่างเป็นทางการ”
รันกับนิดาปรบมือ ลิปดาพยักหน้าให้สองคนจับมือกัน
พริบพราวยิ้มแต่ไม่เต็มที่เพราะเธอต้องการเป็นผู้ชนะเพียงคนเดียว ต่างจากปราณนต์ที่ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู อวัศยามองปราณนต์ด้วยความเอ็นดู พอลิปดาหันมา อวัศยาก็รีบเก็บอาการ ลิปดาแอบมองอวัศยาแต่ไม่เห็นอาการผิดปกติ
พริบพราวมองไปที่แฟ้มลูกค้าของปราณนต์สลับกับมองหน้าปราณนต์ด้วยความอยากรู้ว่าเขาหาลูกค้ามาจากไหน

ปราณนต์เดินมามองซ้ายมองขวาก่อนแล้วล้วงหยิบมือถือขึ้นมากดแชทไปหาแอบรัก

ลิปดา อวัศยา และรันนั่งประชุมงานกันอยู่ที่ชุดโซฟา มือถือในกระเป๋าเสื้อของอวัศยามีเสียงข้อความเข้าดังขึ้น อวัศยาสะดุ้งโหยงเพราะเสียงที่ดังคือมือถือเครื่องของแอบรัก อวัศยายังคงทำเป็นนิ่งเฉยได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เสียงเข้าดังกระหน่ำตึ่งๆๆๆๆ ลิปดากับรันมองด้วยความสงสัย อวัศยาแกล้งบ่นออกมาเหมือนหงุดหงิด
“น่ารำคาญ ! สงสัยจะว่างงานจัด แชทมาคุยได้ทั้งวัน” อวัศยาบอกรันกับลิปดา “เพื่อนเก่าสมัยมัธยมน่ะ”
“คุณมีเพื่อนเก่ากับเค้าด้วยเหรอ นอกจากคุณรัน ผมก็ไม่เห็นว่าคุณจะคบใคร” ลิปดาว่า
อวัศยาแถ “ก็เพิ่งติดต่อมาเพราะเทคโนโลยีนั่นแหละ ถ้าเราไม่มีอะไรคุยกันแล้ว ฉันขอตัว มีงานต้องทำ”
อวัศยารีบชิ่งเดินออกไปจากห้อง รันกับลิปดามองตามด้วยแววตาไม่เชื่อทั้งคู่

อวัศยาเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูจนสนิท ก่อนจะหยิบมือถือออกมากดอ่าน หน้าจอแชทมือถือของอวัศยามีข้อความจากปราณนต์ที่ส่งมาติดๆ กัน
“ขอบคุณครับคุณนางฟ้า คุณช่วยผมอีกแล้ว”
อวัศยายิ้มและหัวใจพองโต ก่อนจะพิมพ์ตอบ
“ฉันก็แค่ชี้ทางสว่างให้คุณ ส่วนที่คุณหาลูกค้ามาได้ตั้งเยอะ เป็นความสามารถของคุณล้วนๆ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมหาลูกค้าได้เยอะ” ปราณนต์ถาม
อวัศยาตกใจที่เผลอบอกไป เธอรีบพิมพ์ตอบ
“ความลับไม่มีในโลกค่ะ”
“งั้นสักวันผมก็ต้องรู้ว่าคุณเป็นใคร”
“ฉันจะเป็นความลับเดียวที่จะมีอยู่บนโลก”
“คุณแอบรัก... ผมอยากเจอคุณ อยากเลี้ยงขอบคุณคุณ”
อวัศยาช็อคเพราะไม่รู้ว่าจะเอาไงดี เธออยากเจอแต่ก็ไปเจอไม่ได้จึงตัดใจบอกไปว่า
“ฉันไม่ได้ช่วยคุณเพราะหวังผลค่ะ ฉันอยากเป็นแค่เพื่อนคุยลับๆ กับคุณแบบนี้ตลอดไป”
ปราณนต์ส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้
อวัศยาส่งข้อความต่อ “อย่าให้โลกความจริงทำลายความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้กัน....อย่ารู้เลยว่าฉันเป็นใคร ห้ามสืบด้วย ไม่งั้นฉันจะหายไปจากคุณ”

ปราณนต์อึ้งแล้วก็คิด เขากำลังจะกดข้อความกลับไปถามแอบรัก แต่พริบพราวโผล่มาพร้อมกับแฟ้มเอกสารลูกค้าของปราณนต์พร้อมทั้งโพล่งถามว่า
" ประเสริฐ มาลี วัฒนี อำไพพร ทองประสม" เป็นใคร ?
ปราณนต์รีบเก็บมือถือ “ลูกค้าผม”
“ฉันรู้ ฉันอยากรู้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร ทำไมเวลาแค่หนึ่งคืน พวกเขาถึงยอมเปิดพอร์ตกับนาย”
“คุณมีคอนเนคชั่นได้ ผมก็มีได้เหมือนกัน”
“อย่าเอาคอนเนคชั่นของฉันไปเทียบกับคอนเนคชั่นของนาย มันคนละคลาสกัน”
“แต่มันก็ทำให้เราได้มาเป็นพนักงานใหม่เหมือนกัน”
“นายปราณนต์”
“นางสาวพริบพราว” ปราณนต์พูดกวนๆ
พริบพราวผงะแล้วก็แทบอยากจะกรี๊ดใส่หน้า “อย่ามากวนนะ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น ฉันว่านายต้องมีเบื้องหลังอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ เพราะฉันไม่เชื่อว่านายจะหาลูกค้าได้เยอะแบบนี้จริงๆ ถ้าไม่มีใครแอบช่วยอย่าให้ฉันรู้แล้วกันว่านายเล่นตุกติก งั้นจะฟ้องพี่ลิปแน่” พริบพราวสะบัดหน้าแล้วเดินออกไป
ปราณนต์มองตามก่อนจะส่ายหน้าแบบเซ็งสุดๆ

กลางดึก พริบพราวนอนอยู่บนเตียง เธอพลิกตัว 2-3 ทีเพราะนอนไม่หลับ ภาพปราณนต์ร้องเพลงคาราโอเกะทั้งร้อง ทั้งเต้นอย่างเมามันน่าเอ็นดู ภาพปราณนต์ที่บ้านดูอบอุ่น ภาพปราณนต์ช่วยพริบพราวตอนตะคริวจะกินแวบเข้ามาในหัวของเธอ พร้อมเสียงเพลงหวานดังคลอ
“บางทีนายอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของฉันก็ได้นะนายปราณนต์”
ภาพปราณนต์ยักคิ้วกวนประสาท เสียงเพลงหวานเบรกเอี๊ยดทันที
“แต่นายมันกวนโอ้ยที่สุด..เห็นติ๋มๆแบบนั้น แต่นายมันงูพิษชัดๆ”
พริบพราวนึกได้
“แล้วทำไมเราต้องมานั่งคิดถึงนายนั่นด้วยเนี้ย!! บ้าไปแล้วเรา นอน นอน นอน”
พริบพราวขยี้หัวตัวเองก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงแล้วเอาหมอนปิดหน้าตัวเอง

ประตูห้องของลิปดามีคนเคาะ ลิปดาในชุดเตรียมออกไปปาร์ตี้เปิดประตูออกมาก็เจออวัศยายืนถือกล่องใส่ของร้อน
“ฉันต้มมาม่ามาให้ ฉันรู้ว่าคืนนี้บอสจะต้องออกไปปาร์ตี้ก็เลยใส่ไข่มาให้สองฟอง” อวัศยาบอก
“เป็นไร มาเอาใจ” ลิปดาถาม
“ฉันก็แค่อยากขอบคุณ ขอลูกน้องไปคนเดียว อุตส่าห์ให้มาตั้งสองคน”
“ขอมากกว่านี้ผมก็ให้ได้” ลิปดาแกล้งทำตาเจ้าชู้ใส่อวัศยา
อวัศยาแกล้งทำเป็นตื่นเต้นตาโต “จริงเหรอ งั้นฉันขอเพิ่มหนึ่งทีมเลยแล้วกัน”
“เบื่อพวกไม่รับมุก เอาไปแค่สองคนก็พอแล้ว เปลืองงบ” ลิปดารับกล่องอาหารมาจากอวัศยา “แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับมาม่าต้มถ้วยนี้มากนะ”
อวัศยากำลังจะเดินออกไป แต่ลิปดาคว้าแขนของเธอเอาไว้
“เดี๋ยวคุณ ผมถามอะไรหน่อย”
อวัศยามองอย่างแปลกใจ
“ถ้ามีเด็กมาจีบคุณ คุณจะเล่นด้วยหรือเปล่า”
อวัศยาอึ้ง เธอร้อนตัวแต่ก็ทำเนียน “ถามทำไม”
“ผมได้ยินมาว่าเทรนด์ผู้หญิงกินเด็กหนุ่มกำลังมาแรง ผมอยากรู้ว่ารู้ว่าผู้หญิงอย่างคุณคิดยังไงกับเทรนด์นี้”
“ไม่คิด ! ไม่ชอบ ! เกลียดเด็ก นิสัยเด็กชอบทำตัวงอแงง๊องแง๊ง เอาแต่ใจตัวเอง เซ้าซี้น่ารำคาญ”
“แต่เด็กทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยดีนะคุณ”
“ฉันมีวิธีบริหารหัวใจโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร แล้วก็ไม่ใช่แค่เด็กนะที่ฉันไม่ชอบ พวกผู้ใหญ่แต่นิสัยเด็ก” อวัศยาตั้งใจพูดใส่หน้าลิปดา “ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
อวัศยาเดินกลับไปทันที ลิปดามองตามไปอย่างไม่แน่ใจ

วันต่อมา ลิลลี่ตะโกนด้วยความดีใจ
“ให้ณนต์อยู่ทีมลิลลี่”
อวัศยานั่งอยู่หัวโต๊ะ พริบพราวกับปราณนต์นั่งอยู่กับลิลลี่ ลิลลี่ดีใจจนกระดี๊กระด๊าออกนอกหน้า
“ขอบคุณพี่ศยามากนะคะที่ให้โอกาสลิลลี่พิสูจน์ตัวกับณนต์ ลิลลี่จะดูแลณนต์ให้เองค่ะ”
ลิลลี่มองปราณนต์ตาหวาน ปราณนต์ยิ้มแห้งๆ
“ไม่ใช่แค่คุณณนต์ พริบพราวด้วย” อวัศยาบอก
ลิลลี่ยิ้มค้าง “หา”
พริบพราวยิ้มหวานให้ลิลลี่เพื่อผูกมิตร แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ลิลลี่ต้องกลืนน้ำลายเฮือกแล้วเชิดหน้าใส่เพื่อกลบความกลัว
“ต่อไปนี้คุณลิลลี่คือหัวหน้าทีมของพวกคุณ ถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาคุณลิลลี่ ใครมีข้อสงสัยอะไรมั้ย” อวัศยาถาม
พริบพราวยกมือ “พราวมีค่ะ ในกรณีที่ลูกทีมทำยอดได้มากกว่าหัวหน้าทีม จะมีสิทธิ์ได้โปรโมทขึ้นเป็นหัวหน้าทีมแทนมั้ยคะ”
ลิลลี่สะบัดหน้าไปมองพริบพราวอย่างแรงพร้อมจ้องด้วยดวงตาถมึงถึง ปราณนต์กับอวัศยาเองก็คิดไม่ต่างกัน
“การเป็นหัวหน้าทีมไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอด ต้องอาศัยหลายๆ องค์ประกอบ” อวัศยาบอก
“แต่องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำยอดใช่มั้ยล่ะคะ” พริบพราวถามต่อ
“ยอดสูง แต่อย่างอื่นแย่ ก็ไม่มีประโยชน์” อวัศยาบอก
พริบพราวอึ้งไปเล็กๆ เพราะรู้ตัวว่าโดนด่าแต่ก็เก๊กยิ้มหวานกลบเกลื่อน “โอเคค่ะ งั้นพราวจะทำยอดให้สูงก่อนแล้วกัน ส่วนอย่างอื่นที่จะแย่หรือไม่แย่ พราวให้พี่ลิปตัดสิน พราวขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” พริบพราวเดินออกไป
ลิลลี่อยากจะร้องไห้ ปราณนต์ส่ายหน้าเหนื่อยใจกับพริบพราว

ปราณนต์ยืนต่อแถวซื้อกาแฟและแชทไปด้วย รุจน์กำลังยืนคุยทักทายกับเพื่อนในออฟฟิศแล้วก็แยกตัวออกมา พอหันไปเห็นปราณนต์ยืนแชท รุจน์ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ รุจน์แปลกใจจึงเดินเข้าไปถามปราณนต์
“คุยกับใคร”
ปราณนต์ไม่อยากอธิบาย “เพื่อน”
“เพื่อนอะไร คุยกันได้ทั้งวัน มีแฟนใหม่แล้วงุบงิบเหรอ”
“ไม่ใช่แฟน เพื่อนกันจริงๆ”
“เขาชื่ออะไร”
“แอบรัก”
“แอบรัก ชื่อจริง ชื่อเล่น”
“น่าจะชื่อปลอม”
“ชื่อปลอม ! นี่นายกำลังคุยแชทกับคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อจริงเหรอ”
ปราณนต์ยอมรับ “ครับ”
“แย่แล้วณนต์ พี่ถามหน่อยนายรู้สึกดีเวลาที่ได้คุยกับผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม”
“ก็ใช่”
“เวลามีปัญหาอะไรก็จะเริ่มนึกถึงคุณแอบรักเป็นคนแรกใช่ไหม”
“ใช่”
“พี่ฟันธง นายกำลังจะตกหลุมรักคุณแอบรักนี่แล้ว”
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“แล้วถ้ามันถึงล่ะ ถ้านายหลงรักคุณแอบรักหมดหัวใจ แล้วมารู้ทีหลังว่าเขามีลูกมีผัวแล้ว ตายไปปีนต้นงิ้วเลยนะ หรือถ้าเอาแบบตายทั้งเป็น คุณแอบรักก็เป็นเกย์แบบคุณรัน”
“ห่ะ ! คุณรันเนี่ยนะเป็นเกย์ มั่วเปล่า”
“พี่ไม่อยากใส่ไฟ จงดูให้เห็นกับตา” รุจน์มองไปด้านหนึ่ง
ปราณนต์มองตามสายตาของรุจน์ก็เห็นรันเดินถือแก้วกาแฟลายวินเทจลายดอกกุหลาบโดยในมืออ่านเอกสารอยู่
“ผู้ชายที่ไหน ใช้แก้วกาแฟลายดอก ขนาดนั้น” รุจน์ว่า
“ผู้ชายรักธรรมชาติไงพี่” ปราณนต์บอก
“อย่าโลกสวย” รุจน์ว่า ปราณนต์ยิ้มแห้ง “เห็นนิ้วก้อยมั้ย”
มือข้างถือเอกสารของรันมีนิ้วก้อยเด้งออกมา
“แล้วจะยังก้นเด้งดึ้งอีก” รุจน์ว่า
รันหยุดเดินเพราะรู้สึกว่ารองเท้าเหยียบอะไรบางอย่าง เขายกเท้าไปข้างหลังเหมือนทำกระต่ายขาเดียวแล้วเอี้ยวไปมองที่พื้นรองเท้า รันเห็นว่าพื้นรองเท้าไม่เปื้อนจึงเดินเข้าตึกไป
“ผู้ชายที่ไหนเขาทำท่านั้น เขาต้องทำท่านี้” รุจน์ยกเท้ามาข้างหน้า “บอกแล้วว่าเซ้นส์พี่ไม่เคยพลาด”
ปราณนต์ถอนหายใจ “เฮ้อ...โลกอยู่ยากขึ้นทุก”
“เห็นไม๊ กลิ่นแรงมาก ถ้าเขาเป็นเกย์จริงๆ เขาก็เก่งนะที่ปิดบังตัวเองได้มานาน” รุจน์ตาวาว “ใช่แล้ว ! คุณรันถนัดเรื่องการปกปิดความจริง ฉันว่าคุณรันเนี่ยแหละ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นคุณแอบรักของแก ไปจัดการสืบหาความจริงเลยไอ้น้องรัก พี่เป็นทัพเสริมให้เอง”
“แต่ผมรับปากกับคุณแอบรักไว้แล้วว่าจะไม่สืบตามหาเขา ผมไม่อยากผิดคำพูด”
“งั้นไม่เป็นไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่จัดการเอง”
สีหน้าของรุจน์มุ่งมั่นมาก ปราณนต์กลืนน้ำลายอย่างสยองขวัญและขออย่าให้รันคือแอบรักเลย

รันกำลังขับรถออกจากบริษัทโดยเปิดเพลงดังลั่นรถ รันฮัมเพลงและร้องตามสไตล์อัลคาซ่าแบบปลดปล่อยอารมณ์ที่เครียดมาทั้งวัน จู่ๆ รุจน์พุ่งเข้ามาขวางหน้ารถรัน รันกรี๊ดและเหยียบเบรคแทบไม่ทัน

เครื่องเล่นซีดีในรถรันเปิดเพลงเพื่อชีวิตแนวร็อคโคตรแมน รันขับรถแบบท่าทางเก๊กขรึมมากโดยมีรุจน์นั่งอยู่ข้างๆ
“ห่วยแตก ! อยู่ดีๆ ก็สตาร์ทไม่ติด เดี๋ยวถอยป้ายแดงคันใหม่ดีกว่า แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณรันมากนะครับที่ให้ผมติดรถกลับมาด้วย” รุจน์พูด
“คุณจะลงตรงไหน” รันถามแมนๆ
“ลง..ลงใกล้ๆ บ้านคุณรันเลยครับ ผมอยากนั่งไปเป็นเพื่อนคุณรัน เดี๋ยวผมหารถแท็กซี่นั่งต่อไปเอง”
รันพยักหน้ารับแล้วขับรถไปนิ่งๆ รุจน์สอดส่ายสายตามองหาว่ามือถือของรันอยู่ตรงไหนแต่ก็ไม่เห็น รุจน์จึงแกล้งทำเป็นหยิบมือถือของตัวเองออกมากดแชทไปหาปราณนต์
มือถือของปราณนต์มีข้อความแชทจากรันดังขึ้น ข้อความบนมือถือของปราณนต์ส่งมาจากรุจน์ว่า "ส่งมาหาคุณแอบรักหรือยัง" ปราณนต์กดพิมพ์ตอบ
“เพิ่งส่งเมื่อตะกี้นี้เอง”
“เพิ่งส่ง ? คุณแอบรักอ่านหรือยัง” รุจน์ส่งข้อความถาม
“ยังครับ”
รุจน์ปรายตาของรันแล้วกระตุกยิ้มหึๆ
“คุณรันก็ยังไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาดูเหมือนกัน ท่าทางเซ้นส์ของพี่จะถูก คุณรันเป็นแอบรักแน่นอน”
ปราณนต์มองมือถืออย่างแอบลุ้นเล็กๆ ว่าไม่ให้รันเป็นแอบรัก
ปราณนต์ส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนน่ารักๆ ไปให้แอบรักอีก แต่แอบรักก็ยังไม่ได้อ่าน

อวัศยากำลังคุยเคลียร์งานกับลูกค้าอย่างตั้งอกตั้งใจทำให้อวัศยายังไม่ได้อ่านข้อความจากปราณนต์

ปราณนต์นั่งจ้องมือถืออย่างรอคอยให้แอบรักอ่าน

รุจน์แอบสังเกตอาการของรัน ก็เห็นรันนั่งนิ่งเฉยไม่มีวี่แววจะหยิบมือถือขึ้นมาดู รุจน์จึงคิดแผนแกล้งกดโทรศัพท์โทรออก
“อ้าว..ทำไมมือถือผมไม่มีคลื่น มือถือคุณรันอยู่ไหนครับ ผมขอยืมกดโทรเข้าเครื่องผมหน่อยสิครับ”
“มือถือผมแบตหมด” รันบอก
รุจน์ตะโกนลั่นรถ “แบตหมด”
“ผมแค่มือถือแบตหมด ไม่ได้ฆ่าใครตายนะคุณ ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น”
รุจน์รู้ตัวจึงรีบทำตัวเนียนกลบเกลื่อน
“เอ่อ...เอ่อ...อ๋อ...ผมตกใจครับที่นักวิเคราะห์มือหนึ่งอย่างคุณรันที่ต้องติดต่อสื่อสาร รู้ข่าวราษฎร์ข่าวหลวงตลอดเวลา จะยอมปล่อยให้มือถือแบตหมด”
“ผมไม่มีสายชาร์ต ลืมเอาสายมาจากบ้าน”
“อ้าว...แล้วก็ไม่บอก ผมมีสายชาร์ตครับ” รุจน์ดึงสายชาร์ตออกจากกระเป๋าสะพาย “ผมพกติดตัวไว้ตลอด อาชีพอย่างเราต้องสื่อสารได้ตลอดเวลา มีข้อมูลใหม่ๆ จะได้อัพเดตทัน ผมชาร์ตให้ครับ”
รันยอมหยิบมือถือจากช่องข้างๆ ประตูรถฝั่งคนขับส่งให้รุจน์ รุจน์รับไปเสียบชาร์ตกับสายแล้วหรี่ตาเพราะคิดแผนออก เขาแกล้งมองไปที่กระจกส่องหลังแล้วร้องตกใจ
“เฮ้ย ! คุณรันจอดๆๆ”
รถรันจอดเทียบริมฟุตบาธทันที
รุจน์แกล้งทำเป็นตื่นตระหนกแบบโอเว่อร์
“เมื่อตะกี้ผมเห็นรถมอเตอร์ไซด์ขับเบียดท้ายรถคุณรันครับ”
“หือ จริงเหรอ ผมไม่เห็นรู้สึก” รันว่า
“แหม...รถคุณรันทั้งใหญ่ทั้งแข็งแรง ถ้ากระเทือนไม่แรง ไม่รู้สึกหรอกครับ แต่ผมเห็นจริงๆ นะครับ สงสัยคนขับจะทำสีถลอก ถึงได้รีบขับหนีออกไป”
รันตกใจ “ห๊ะ”
รันรีบลงไปดู พร้อมๆ กับที่มือถือของรันเครื่องเปิดพอดี รุจน์ยิ้ม
“เสร็จโจ๋”
รุจน์มองมือถือกำลังบูทเครื่องสลับกับมองไปที่รันก็เห็นรันกำลังก้มๆเงยๆ ดูท้ายรถหารอยถลอก มือถือรันบูทเครื่องเสร็จแล้วแต่ไม่มีข้อความแชทเข้า รุจน์แปลกใจ
“ทำไมไม่มีวะ”
รุจน์เลื่อนเปิดมือถือเข้าไปข้างในพร้อมกับกดหาโปรแกรมแชทเป็นพัลวัน ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบขึ้นไปเห็นรันยืนหน้าถมึงทึงมองเขาอยู่ที่ข้างกระจกรถ
รุจน์สะดุ้งตกใจ “เฮ้ย”

รันกระชากคอเสื้อรุจน์ให้หลังชิดติดกับรถ
“สารภาพมาเดี๋ยวนี้ คุณมายุ่งอะไรกับโทรศัพท์ของผม”
“ปะ...เปล่าครับ ผมแค่จะชาร์ตแบตให้คุณรัน”
“แค่ชาร์ตแล้วทำไมต้องเปิดเข้าไปดูข้างใน ! หรือว่าคุณคิดจะมาล้วงความลับอะไรจากผม จะสืบข้อมูลบริษัทในตลาดหุ้นจากผม จะได้เอาไปบอกลูกค้า ถ้าบอสรู้เรื่องนี้ คุณหมดอนาคตแน่ๆ”
“ไปกันใหญ่แล้ว มันไม่ใช่อย่างงั้นเลยนะครับ”
“ไม่ใช่แล้วเป็นแบบไหน สารภาพมา”
“ผมแค่อยากจะดูว่าคุณรันเป็นคุณแอบรักหรือเปล่า”
รันแปลกใจ
“แอบรัก แอบรักไหน”
“สาวแชทนิรนามครับ ที่มาจีบไอ้ณนต์ครับ” รุจน์บอก
"สาว" คำนี้สะเทือนใจรันโคตรๆ รันรีบเก๊กแมนแล้วกระชากคอเสื้อพร้อมทั้งพูดกระแทกใส่หน้ารุจน์แบบผู้ชายแนวซาดิสต์
“สาวแชท แล้วทำไมมรึงสงสัยกูวะ” รันแมนใส่ทันที
“เอ่อ...ผม ผมก็สงสัยทุกคนล่ะครับ แค่เริ่มสืบจากคุณรันเป็นคนแรก”
“ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าไม่ใช่ผม” รันถาม รุจน์พยักหน้า “คุณแอบรักอะไรนี่มาสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ คุณถึงต้องตามหาตัว”
“ผมเป็นห่วงไอ้ณนต์น่ะครับ เห็นมันคุยแชทกระหนุงกระหนิงกับคุณแอบรักทุกวัน อย่างกับคนเป็นแฟนกัน แต่คุณแอบรักไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ผมกลัวณนต์ตกหลุมรักคุณแอบรักเข้าแล้วเขาเกิดไม่ใช่คนที่ควรจะรักขึ้นมา ณนต์จะซวย”
รันพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
“คุยแชทกันทุกวัน แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน” รันฉุกคิดไปถึงเรื่องที่เคยบอกอวัศยา
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา ตอนที่อวัศยาคุยกับรันเรื่องการปลอมตัวแชทกับผู้ชาย ตอนที่อวัศยาวิ่งอยู่ในเสื้อคลุมของปราณนต์ ตอนที่สายตาของอวัศยามองปราณนต์เป็นประกายอย่างคนกำลังมีความรัก ตอนที่เสียงมือถือของอวัศยาดังต่อเนื่องแล้วอวัศยารีบเดินออกไปจากห้องอย่างมีพิรุธ
รันหรี่ตาและพยักหน้านิดๆ ด้วยความมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าแอบรักคืออวัศยา

"ใบลงทะเบียนเล่นโยคะ" วางอยู่บนโต๊ะหน้าห้อง รันในชุดออกกำลังกายโชว์ก้ามปู สะพายกระเป๋าออกกำลังกายใบใหญ่ๆ กำลังก้มหน้าเซ็นต์เอกสารแปบเดียวเสร็จแล้วถอยออกไปให้อวัศยาที่อยู่ในชุดออกกำลังกายเหมือนกันเพื่อเซ็นต์ อวัศยาสะพายกระเป๋าเล็กๆ ไว้ด้วย ระหว่างนั้นรันส่งสายตาจิกมองอวัศยาอย่างจับผิด อวัศยาเซ็นต์เสร็จก็หันกลับมาหารัน รันรีบเก๊กหน้าเป็นปกติ
“คุณรันกับคุณศยาเก็บของแล้วเชิญข้างในเลยนะคะ คุณครูใกล้จะมาแล้ว” พนักงานบอก
“ค่ะ”
อวัศยากับรันเดินไปไปที่ล็อคเกอร์
“ฝากหน่อยสิ”
“จะเอาลงมาทำไมเยอะแยะ แทนที่จะเก็บเอาไว้ในห้อง”
“ก็เผื่อเล่นโยคะเสร็จแล้วเด็กโทรมานัด จะได้ไปเลย ไม่ต้องกลับขึ้นไปบนห้องแกแล้วไง”
อวัศยาเอากระเป๋าตัวเองและกระเป๋าของรันใส่ไว้ในล็อคเกอร์ รันจิกตามองกระเป๋าอวัศยาเพราะนี่คือเป้าหมายสำคัญของปฎิบัติการณ์ล้วงลับแหกตับ อวัศยาเก็บของเสร็จก็ล็อคกุญแจตู้ล็อคเกอร์ แล้วเสียบกุญแจใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง
“กระเป๋าตื้นแค่นั้น ใส่ไปเดี๋ยวก็ร่วงหายกันพอดี เอามานี่มา ฉันเก็บให้ กระเป๋าฉันลึก” รันบอก
อวัศยาไม่ได้คิดอะไรจึงส่งกุญแจให้รัน รันเสียบเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวเองโดยอ้ากระเป๋าโชว์ว่ากระเป๋าลึกมากอย่างที่บอก อวัศยาไม่ได้คิดอะไร

อวัศยากับรันกำลังเดินเข้าห้องฝึกโยคะ รันแกล้งทำเป็นปวดท้อง
“โอ้ย”
“เป็นอะไร” อวัศยาถาม
“ปวดท้อง แกเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอเข้าห้องน้ำแปบ จองที่ให้ด้วยล่ะ เอาหน้าๆ นะ เผื่อครูเป็นผู้ชาย”
“เออๆ รีบๆ ไป”
รันวิ่งออกไปทางห้องน้ำ อวัศยาเดินเข้าไปในห้อง สักพักรันก็วิ่งสวนกลับไปทางตู้ล็อคเกอร์

รันแอบเข้ามาที่ล็อคเกอร์ของอวัศยา เธอมองกลับไปทางหน้าห้องเรียนโยคะเพื่อดูให้แน่ใจว่าอวัศยาจะไม่ออกมา แล้วจึงล้วงเอากุญแจในกระเป๋ากางเกงมาไขตู้แล้วหยิบกระเป๋าสะพายของอวัศยาออกมาค้นจนเจอมือถือเครื่องหลัก
รันนึกถึงตอนที่อวัศยาหยิบมือถือสำหรับแชทออกมาดูขณะที่อยู่ในห้องทำงานของลิปดา รันคิด
“ไม่ใช่เครื่องนี้”
รันเก็บมือถือเข้าไปในกระเป๋าแล้วก็ล้วงทุกซอกทุกมุม

อวัศยายืดเส้นยืดสายอยู่บนเสื่อเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เริ่มทยอยเข้ามาในห้องเรียนมากขึ้น

รันค้นกระเป๋าแต่ก็ยังหาไม่เจอ
“เอาไปซ่อนไว้ไหน”
รันค้นต่อแล้วก็ทำกุญแจรถของอวัศยาตกพื้น รันหยิบกุญแจรถขึ้นมาแล้วจิกตามอง

รันเดินอย่างรวดเร็วออกมาจากด้านในจนเกือบจะชนกับพนักงาน รันเผลอตัวเกือบสาวแตก
“วะ...” รันจะร้องว้าย แต่หยุดปากตัวเองทันจึงเก็กเสียงเข้ม “เฮ้ย ! ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณรันจะไปไหนคะ คุณครูมาแล้วนะคะ”
“ผม...ผมจะลงไปเอาของที่รถครับ เดี๋ยวผมรีบกลับขึ้นมา”
รันเดินออกไป

อวัศยายืดเส้นยืดสาย ครูสอนโยคะเดินยิ้มมายืนหน้าห้อง
“สวัสดีค่ะทุกคน”
คนในคลาสยิ้มทักทายกับครู ทุกคนเตรียมพร้อมจะเรียนกันแล้ว อวัศยาชะเง้อมองออกไปนอกห้อง
“ทำไมรันยังไม่มา”

อวัศยายืนอยู่หน้าห้องน้ำชาย เธอชะเง้อมองเข้าไปในห้องน้ำ
“รัน รัน รันทำอะไรอยู่”
พนักงานเดินผ่านเข้ามาเห็นอวัศยายืนชะเง้ออยู่หน้าห้องน้ำจึงเข้าไปหา
“คุณศยาหาใครคะ”
“รันค่ะ รันบอกว่าจะมาเข้าห้องน้ำ แต่หายไปตั้งนานแล้ว ยังไม่ออกมาเลย”
“คุณรันลงไปเอาของที่รถค่ะ”
“อ๋อ...เหรอคะ ทำยังไงดี งั้นรบกวนอย่าเพิ่งปิดห้องโยคะนะคะ ยาขอลงไปตามรันห้านาที”
พนักงานยิ้มรับ อวัศยารีบออกไป

รันค้นหามือถือตามซอกต่างๆ ภายในรถของอวัศยาโดยหาที่คอนโซลหน้าฝั่งข้างคนขับแต่ก็หาไม่เจอ เธอหาตามที่ในที่สุดวางแก้ว ช่องเก็บของต่างๆ แต่ก็ยังหาไม่เจอจึงลงจากรถไปหาด้านฝั่งหลังทำให้ประตูรถเปิดครบทั้งสี่บาน
อวัศยาออกมาจากในตัวตึกแล้วเดินไปที่รถของรัน แต่ก็ไม่เจอรัน อวัศยาแปลกใจ รันก้มหามือถือแล้วเหลือบไปเห็นมือถืออยู่ใต้เบาะคนขับ รันตาวาวแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบมา อวัศยากำลังจะเดินกลับเข้าไปแต่หันไปเห็นว่ารถของตัวเองที่จอดอยู่ห่างออกไปนั้นประตูเปิดออกทั้งสี่บาน อวัศยาตกใจ
“เฮ้ย! ประตูรถเปิดได้ไง”
อวัศยารีบวิ่งไปที่รถ พอเข้าไปใกล้สิ่งที่ปรากฎแก่สายตาก็คือตูดดุ๊กดิ๊กๆ ของรันที่อยู่ในรถ
“รัน ทำอะไร”
รันหันขวับมาโดยมือถือของ "แอบรัก" คาอยู่ที่มือ
อวัศยาอึ้งและตาโต
“รันน ! แกทำอะไร เอามือถือฉันคืนมา”
รันกระโดดเข้าไปในรถแล้วไปโผล่อีกฝั่ง อวัศยาวิ่งตาม ทั้งสองถามพร้อมกับวิ่งไล่กันรอบรถโดยโผล่เข้าประตูนั้นออกประตูนี้
“แกใช้มือถือสองเครื่องตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกฉันบอกเลย” รันว่า
“ฉันเอาไว้คุณธุระส่วนตัว” อวัศยาบอก
“ธุระอะไร”
“ฉันบอกว่า "ส่วนตัว" เข้าใจมั้ยคำว่าส่วนตัว” อวัศยาปรี๊ดแตก “นังรัน หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้ เราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะที่จะมาวิ่งไล่กันแบบนี้”
“แกก็หยุดก่อนสิ”
“แกก็เอามือถือของฉันคืนมาสิ”
“ให้ก็ได้ แต่ขออ่านก่อนนะ” รันทำท่าจะเปิดมือถือ
อวัศยาตกใจร้องดังลั่น “รันอย่า” รันหยุดชะงัก “อย่าอ่าน อย่าแตะต้อง ไม่งั้นฉันจะบอกคนทั้งบริษัทว่าแกเป็นตุ๊ด”
“ฉันก็จะบอกเหมือนกันว่าแกเป็นคุณแอบรัก” รันสวน
อวัศยาหยุดวิ่งแล้วก็อึ้งตะลึงงันสุดขีด
“แกรู้เรื่องแอบรักได้ยังไง”
“รุจน์บอก”
อวัศยาตกใจเป็นร้อยเท่า “รุจน์บอก”
อวัศยาแทบหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้น

อวัศยานั่งกุมขมับเพราะทั้งเครียดทั้งอาย รันอ่านมือถือแล้วก็หัวเราะชอบอกชอบใจที่เพื่อนกล้าทำอะไรมีสีสันให้ชีวิตตัวเอง
“ต้าย !!! ไม่คิดเลยว่าแกจะน้ำเน่าได้ถึงขนาดนี้” รันว่า
“แกเลิกอ่านแล้วมาช่วยกันคิดหน่อยได้มั้ย ว่าจะทำยังไงต่อไปดี”
“ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็คุยต่อไปเหมือนเดิมสิ”
“จะบ้าเหรอ ถ้าลองรุจน์รู้เรื่อง อีกไม่นานก็จะรู้กันทั้งบริษัท”
“รู้ก็รู้ไปสิ คิดซะว่าทำบุญสร้างท๊อปปิคให้พวกชะนีเก้งกวางปากตำแยมีเรื่องเม้ากัน พอเบื่อเดี๋ยวก็เลิกเม้าไปเอง”
“แต่ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาว่าคุณแอบรักเป็นฉัน ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“นี่ ยา แกจะกลัวอะไรนักหนา แกไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย เอางี้...ฉันถามแกคำเดียว แกคุยกับเขาแกมีความสุขหรือเปล่า”
อวัศยาตอบอายๆ “ก็มี”
รันถามต่อ “มากไหม”
อวัศยาพยักหน้าแต่ไม่กล้าพูด
รันยิ้มแบบโคตรรักเพื่อน “ปราณนต์ก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากแก รุจน์ถึงได้ร้อนใจกลัวว่าปราณนต์จะหลงรักคุณแอบรัก แล้วเรื่องอะไรแกจะต้องถอยหลังกลับ เดินหน้าต่อไปเลยเพื่อน แกมาถูกทางแล้ว”
อวัศยาดีใจแต่ก็ไม่มั่นใจ “จริงเหรอ”
“จริงสิ จากข้อความที่ฉันอ่าน ฉันว่าแกกับปราณนต์ได้กิ๊กกริ๊วกันแน่ๆ”
อวัศยาเขิน “บ้า เรื่องระหว่างฉันกับณนต์ มันก็แค่พี่ๆ น้องๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอก”
“เหรอจ๊ะแม่ซุปตาร์ แม่ดาราสาว”
“ว่าแต่แกห้ามบอกใครนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก แกก็รู้ว่าฉันปิดความลับเก่ง ฉันสัญญาว่าเรื่องคุณแอบรักก็จะเป็นความลับระหว่างเราสองคน”
อวัศยาค่อยใจชื่น

ปราณนต์ถามด้วยความตกใจ
“ป้าจะให้ผมชวนพี่ศยามา....กินข้าว”
เปรี้ยวกับปราณนต์นั่งคุยกันอยู่ในมุมหนึ่งของบ้าน โดยปราณนต์คุยไปเช็ดจักรยานไปด้วย
“ใช่ ป้าอยากขอบคุณ ที่เค้าช่วยป้าไว้ตอนเป็นลม”
ปราณนต์อึกอักๆ “แต่...ผมไม่กล้าชวน เดี๋ยวเค้าจะหาว่าชะเลียร์”
“ฮึ่ย คิดมาก ! คุณศยาดูท่าทางเป็นคนดี เค้าไม่คิดอคติแบบนั้นเลย เอางี้ ถ้าไม่สบายใจ เอาเบอร์เค้ามา ป้าชวนเอง”
“ไม่ได้..เบอร์ส่วนตัวเค้า ถ้าผมให้ น่าเกลียดตายเลย”
“อ้าว แล้วจะให้ทำยังไง ป้าอยากตอบแทนเค้า ให้ณนต์ไปบอกก็ไม่กล้า ป้าจะโทร.ไปเองก็ไม่ยอม .. แล้วจะให้ป้าทำยังไง .. ไหนบอกมาสิ”
ปราณนต์พูดไม่ออก


อวัศยากำลังสวดมนต์เตรียมนอน เสียงข้อความจากเครื่องแชทดังขึ้น อวัศยาถึงกับสะดุ้งลืมตาฟึ่บ
“ปราณนต์”
อวัศยายกมือจบหนึ่งทีแล้วสมาธิก็แตกกระเจิง เธอหันมาหยิบโทรศัพท์อ่านทันที
“คุณแอบรัก...นอนหรือยังครับ”
อวัศยายิ้มกริ่มแล้วก็กดพิมพ์ตอบไป
“ถ้ามีเรื่องสนุกก็ยังไม่นอนค่ะ” อวัศยากดส่ง
ปราณนต์นอนเซ็งอยู่บนเตียง เขาเงยหน้ามองเพดาน มือถือวางที่หน้าท้อง พอเสียงข้อความเข้าดังขึ้น ปราณนต์เด้งตัวขึ้นมาทันที ปราณนต์ยิ้มและพิมพ์ตอบ
“เรื่องไม่สนุก แต่กลุ้มใจT_T”
เสียงข้อความเข้าดังขึ้น อวัศยารีบอ่าน
อวัศยาพิมพ์ถามกลับไป “กลุ้มใจเรื่องอะไรคะ ?”
อวัศยากดส่งแล้วรออ่านด้วยความอยากรู้ ปราณนต์คิดว่าจะถามดีไหมนะ

อ่านต่อตอนที่ 4 

กำลังโหลดความคิดเห็น