xs
xsm
sm
md
lg

บางระจัน ตอนที่ 6

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บางระจัน ตอนที่ 6

เช้าวันใหม่ สภาพบ้านเรือนที่ถูกเผา ควันดำลอยอบอวลในอากาศ ตามพื้นเรียงรายไปด้วยศพของทหารกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านที่ต่อสู้จนตัวตาย และทหารอังวะ

ชาวบ้านที่เหลืออย่างเด็กและผู้หญิงกำลังร่ำไห้หน้าศพของคนที่รัก ทัพพันมือทั้งสองข้างที่ถูกไฟไหม้ด้วยเศษผ้า สังข์ จวง เฟื่อง ขาบ มองภาพเหล่านี้ด้วยสายตาสลดใจ
"ลูกขาดพ่อ เมียขาดที่พึ่ง อีกกี่ครัวที่ต้องทิ้งเหย้าทิ้งเรือน เพราะไอ้พวกข้าศึกศัตรู"
ทุกคนมองสลดใจ ทหารกรุงคุณพระนาย 2 นายขี่ม้าเข้ามา ทุกคนมอง
ทหารลงจากม้า สังข์ก้าวออกไปรับหน้ายกมือไหว้
"เมื่อคืนขบวนอพยพของข้าถูกซุ่มตีจากข้าศึก"
ทหาร 1บอก
"อนาถแท้... เวลานี้หัวเมืองฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ เสียแก่ข้าศึกไปหมดสิ้นแล้ว ป้อมรอบกรุงก็เอาปืนใหญ่ขึ้นประจำ พร้อมยิง"
ทหาร 2 บอก
"ด่านทางอุทัยละเอียดไปด้วยทัพข้าศึกสิ้นแล้ว มันยกเข้ามาไม่ขาดสาย"
"งั้นเราก็ต้องเร่งหลบไปให้ถึงกรุงศรีโดยเร็ว"
ทหาร 1บอก
"ไม่ได้ ประตูเมืองปิดแล้ว เร่งปิดก่อนกำหนด 3 วัน พวกแม่ทัพกรุงศรีเกรงข้าศึกบุกเข้าไปในพระนครได้"
"แต่คุณพระนายสั่งให้ข้าพาครัวบ้านคำหยาดตามไปอยู่นะ" สังข์บอก
"คุณพระนายก็เข้าไปในกำแพงพระนครแล้ว พวกข้ายังไปไม่ทัน จึงมาบอกกองทหารทุกกองที่เหลือให้รู้กัน เราคงต้องหาทางรอดกันเองแล้ว"
ขาบบอก
"ไอ้พวกเห็นแก่ตัว เป็นนายทหารใหญ่ แต่หนีหัวหดเยี่ยงไพร่"
ทหาร 1 ชักดาบขึ้นไม่ให้ขาบดูหมิ่นนาย ขาบมองไม่กลัว สังข์ดึงขาบห้ามไว้
"แล้วที่นี้เราจะทำยังไงต่อ"
ทหาร 2 บอก
"ข้าจะหาที่ตั้งหลัก หนีขึ้นเหนือ แต่พวกเอ็งจะไปทางไหนก็หาเอาเอง"
"ข้าก็ได้ยินจากชาวบ้านว่ามีหลายหมู่บ้านหอบลูกจูงหลานหนีภัยศึกไปรวมกันอยู่ที่นั่น เค้าพูดกันว่าชาวบ้านที่นั่นจะรวมตัวกันสู้โดยไม่เกรงข้าศึกอังวะ"
ทุกคนมองทัพ ด้วยสายตาอยากรู้
"ชาวบ้านเรียกชุมนุมนี้ว่า ค่ายบ้านระจัน"

วันใหม่ แนวระเนียดประตูค่ายบางระจันที่เป็นไม้สร้างไว้สูงตระหง่าน แต่ละช่วงเหนือประตู
มีป้อมเล็กๆไว้เป็นเวรยามเฝ้ามองข้าศึก ชาวบ้านฝึกอาวุธ และเฝ้ายามมากมาย
บริเวณทุ่งหน้าค่าย กลุ่มอพยพของสไบเดินมาหยุดมองภาพแนวรั้วค่ายบางระจันด้วยสายตาดีใจ
ยาม 2 คนบนป้อมมองลงมา หมู่เคลิ้ม ฟัก เอิบ ช่วงบนหลังม้าก้าวออกมานำหน้าทุกคน
"ข้าหมู่เคลิ้ม เคยเป็นทหารกรุงศรี พาชาวบ้านหนีภัยศึกมา จะขอมาพึ่งบ้านระจันเป็นที่หลบภัย"
ยามฟังที่หมู่เคลิ้มบอกแล้วมองขบวนอพยพ ก่อนจะชี้ไปอีกทาง... ประตูเล็กๆด้านข้างเปิดออก
สไบกับใจนำขบวนชาวบ้านรีบเดินผ่านประตูเล็กๆ
หมู่เคลิ้ม ฟัก เอิบ ช่วง ลงจากหลังม้า จูงม้าตามเข้าไป

สไบ ใจ ดอกรักที่เดินนำขบวนชาวบ้านเข้ามา ผ่านต้นโพธิ์ใหญ่ ใกล้ประตูระเนียด ภาพที่ทุกคนเห็นคือเนินดินหรือโคกดินที่กั้นกำบังรอบค่าย ไว้เป็นที่กำบังต่อสู้พม่ารอบทั้ง 4 ด้าน
ภายในลานกว้าง มีไม้แดง ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นขึ้นหลายต้น มีชายฉกรรจ์เฝ้าเวรยาม บางกลุ่มซ้อมอาวุธอยู่
ถัดไปคือเรือนไม้ไผ่หลังคามุงจาก มุงหญ้าคาขนาดย่อมเรียงรายเป็นกลุ่มห่างออกไป สุดลูกหูลูกตา ชาวค่ายบ้านระจันมีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนแก่ ที่อยู่กันตามเรือน กลุ่มหมู่เคลิ้มเดินปิดท้ายเข้ามากับม้า
ยามหน้าเรือนพ่อค่ายคนหนึ่งเดินเข้ามา
"เอาดาบของพวกเอ็งออกมาวางเสียก่อน"
กลุ่มของสไบทุกคนมอง เอิบถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ทำไมล่ะพี่ชาย"
"พวกเอ็งฝากดาบข้าไว้เสียที่นี่ พบพันเรืองพ่อค่ายแล้วจึงค่อยกลับมาเอาอาวุธ"
หมู่เคลิ้มกับพวกมองเข้าใจ ปลดดาบวางไว้ที่เรือนยาม

ยามคนหนึ่งเดินนำกลุ่มของสไบเดินผ่านเข้าไปด้านใน

พันเรือง พ่อค่ายบ้านระจัน ท่าทางสง่างาม น่าเกรงขาม นั่งมองมาที่กลุ่มของสไบที่นั่งอยู่ตรงหน้า

"พวกฉันมาจากวิเศษไชยชาญ หนีภัยศึกขึ้นมาเรื่อยๆ ได้ยินว่าบ้านระจัน เป็นที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นของทุกคน"
พันเรืองยิ้มมองขบวนอพยพทุกคน
"ที่นี่มีทั้งคนบ้านระจันมีทั้งต่างถิ่นต่างหน้า แต่เมื่ออ้างคำว่าไทย เลือดเนื้อของคนไทยกำลังทาดิน เหย้าเรือนถูกข้าศึกเข้ายึดครอง เหลือแต่ความสามัคคีของคนไทยเท่านั้นที่ยังกลมเกลียวกันอยู่"
สไบ และทุกคนมองพันเรืองด้วยสายตานับถือชื่นชม ใจเองก็มองพันเรืองอย่างสังเกต
"หัวใจหลายร้อยในค่ายบ้านระจันนี้ สนิทสนมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พร้อมต่อสู้ สู้เพื่อรักษาแผ่นดินของปู่ย่าตายายไว้ให้ลูกหลาน"
"พวกข้าขอสู้ศึกเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคนที่นี่"
"ให้ถือเสียว่าแต่นี้ไปคือพวกเดียวกัน"
ฟักบอก
"พวกเราคือชาวบ้านระจัน"
"เช่นนั้นข้าพันเรืองพ่อค่ายก็ขอให้ทุกคนร่วมสู้กันอยู่ที่นี่เถิด"
ทุกคนยกมือไหว้ขอบใจพันเรืองที่อนุญาตรับทุกคนเข้ามา พันเรืองยิ้มด้วยความยินดี

สไบเดินมากับกลุ่มผู้หญิง ใจเดินมากับกลุ่มผู้ชายที่นำด้วยหมู่เคลิ้มจูงม้าตาม
ทุกคนเดินผ่านเรือนไม้ไผ่ที่ปลูกก่อสร้างอย่างง่ายๆ มุงด้วยตับหญ้าคา ตับจาก ตับแฝก
ผู้หญิงกำลังจักตอกสานกระชุ บางกลุ่มกำลังปั่นฝ้าย เด็กๆวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างมีความสุข ชาวค่ายสีหน้าเบิกบาน มีความสุข
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังสานตะกร้าอยู่หน้าเรือนเอ่ยทักขึ้น
เอี้ยงถาม
"มาจากบ้านไหนกัน"
"วิเศษไชยชาญจ้ะ ป้า" สไบบอก
"เออ.. มาอยู่กันเสียที่หลังค่ายนี่แหละจะได้เป็นกำลังช่วยกันทำเสบียงเลี้ยงพวกผู้ชายกัน"
"ไม่ต้องห่วง พวกเราช่วยเต็มที่" ใจบอก
ดอกรักมองใจทันที
"พวกผู้ชายไม่ต้องยุ่งการครัว ไปซ้อมดาบที่ลานหน้าค่ายโน้น"
"แต่ถ้ากลัวตายก็ตำน้ำพริกอยู่ในครัวนี่ก็ได้"
"พวกข้านี่บั่นคอได้แต่หยามไม่ได้นะสไบ ว่าแต่จะให้พวกเรานอนที่ไหนกันละ"
สไบหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมา ดูท่าทางใจดี ก็เอ่ยถามขึ้น
"พี่จ๋า พวกฉันเพิ่งมาใหม่ พ่อค่ายพันเรืองให้ฉันมาหาเรือนว่างอยู่กันเอาเอง จะให้พวกเราอยู่หลังไหนดีจ๊ะ ชั้นชื่อสไบจ้ะ"
"ข้าชื่อรุ่ง สวยกว่าหญิงทั้งหมดในค่ายนี้" รุ่งหัวเราะ "ข้านี่แหละเป็นหัวหน้าโรงครัว"
รุ่งมองพวกใจ ดอกรัก หมู่เคลิ้มกับผู้ชาย แล้วบอกขึ้น
"พวกพี่รูปงามไปสร้างเรือนกันด้านริมค่ายโน่นนะจ๊ะ ผู้ชายเขาอยู่กันทางโน้น ยังมีที่ว่างอีกเยอะ ส่วนแม่สไบพาน้าๆ ป้าๆไปหาแถวนี้เอาแล้วกัน ยังมีว่างอีกสองสามหลังมั้ง จะได้มาช่วยกันทำครัว"
"จ๊ะ...งั้นเดี๋ยวฉันมานะ" สไบบอก
สไบหันไปทางนางเฟี้ยม นางจันทร์ เมียกำนันพันที่แยกมาใกล้
"พวกเราโชคดีจริงๆที่มาถึงค่ายบ้านระจัน"
สไบยิ้มด้วยความดีใจที่ชีวิตไม่ต้องเดินทางหลบหนีด้วยความหวาดกลัว ความอุ่นใจบังเกิดขึ้นมากมายเมื่อได้มาอยู่ในค่ายบ้านระจัน มองไปรอบๆเห็นเด็กๆวิ่งเล่นกันอย่างมีความสุข
บริเวณหลังโรงครัว เด็กๆขี่ม้าก้านกล้วยวิ่งเล่นกันอย่างมีความสุข บางคนก็ป้อนขนมลูกอย่างสบายใจขึ้น ที่โรงครัว ชาวบ้านหญิงหลายคนกำลังหุงข้าว บางกลุ่มตำข้าว ห่างออกไปปอกหอม ปอกกระเทียม
ควันจากกระทะใบใหญ่ที่กำลังแกงป่าปลา ลอยกลิ่นชวนหอมฉุย สไบช่วยรุ่งอยู่ นางเฟี้ยม นางจันทร์ เมียกำนันพันกับชาวบ้านหญิงสีหน้าสดชื่น ช่วยทำครัวอีกมุมหนึ่ง
"น้าเฟี้ยม น้าจันทร์อยากทำอะไร เอาเลยนะน้า ไม่ต้องเกรงใจฉัน หรือจะนั่งกินหมากแก้เหงาประสาคนแก่คนเฒ่า ฉันก็ไม่ว่า"
"ดีจริงนะ จันทร์ ได้มาอยู่ที่นี่ ข้าวปลาอาหารไม่อดไม่อยาก"
"พวกเราช่วยกันผลัดเวรไปหาน่ะจ้ะ" รุ่งบอก
"ฉันขออยู่เวรด้วยนะ พี่รุ่ง"
"แน่นอน สไบ ท่าทางแรงดีอย่างเอ็ง คอยช่วยข้าแล้วกัน แต่ไม่ต้องมาเดินใกล้ข้ามากนะ ข้าไม่ชอบคนขี้เหร่อย่างเอ็ง"
ทุกคนหัวเราะขำ รุ่งที่ท่าทางช่างพูดช่างเจรจาไปซะทุกเรื่อง
"คิดถึงนังจวงมันนะ ถ้ามันอยู่ คงช่วยสไบได้อีกแรง" จันทร์ว่า
"นังเฟื่อง นังแฟงของฉัน ป่านนี้ก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง"
จันทร์กับเฟี้ยมปาดน้ำตาซึมๆเมื่อนึกถึงลูกสาวของทั้งสองคน
"มาแล้วจ้า มาแล้ว"
ทุกคนตกใจกับเสียงคุ้นๆที่ดังมาจากด้านหลัง สไบหันไปมองทันที เห็นแฟงกำลังหาบฟืนมา
สไบดีใจมาก
"แฟง"
แฟงมองสไบ เห็นแม่ เห็นนางจันทร์ แฟงถึงกับทิ้งหาบ
"แม่"
"แฟง"
แฟงวิ่งโผเข้าก้มลงแทบเท้าแม่ นางเฟี้ยมสะอื้น จันทร์กับสไบยิ้มดีใจ
"แม่ แม่จ๋า"
แฟงก้มลงกราบเท้านางเฟี้ยม แล้วกอดขาแม่แน่น
"ฉันดีใจเหลือเกิน ได้เจอแม่อีกครั้ง"
เฟี้ยมดึงแฟงขึ้นมากอดไว้ด้วยความตื้นตันยินดี
"แฟงเอ้ย แม่นึกว่าชาตินี้จะหมดวาสนาได้ลูกสาวกลับคืนมาในอกเสียแล้ว"
"ตั้งแต่ฉันระหกระเหินถูกพวกโจรมันจับ ก็ได้ไปเจอพวกพี่แท่นช่วยชีวิตไว้ หลอกพวกข้าศึกมาฆ่าเสียนับไม่ถ้วน แล้วก็พากันมาหนีมาพึ่งค่ายบ้านระจันคุ้มภัยกันนี่แหละจ้ะ"

แฟงกับเฟี้ยมกอดกันแน่น ทุกคนมองด้วยความดีใจ

แฟงเดินนำเฟี้ยม จันทร์ สไบมาที่เรือนขนาดเล็ก ปลูกไว้ใต้ต้นไม้ร่มรื่น

"เรือนฉันเองจ้ะแม่ พวกพี่แท่นมาปลูกไว้ให้ แม่ น้าจันทร์ สไบอยู่เสียที่นี่นะจ๊ะ ฉันจะได้กอดแม่ให้หายคิดถึง"
แฟงกอดนางเฟี้ยมอีก เฟี้ยมกับจันทร์ยิ้มมองแฟงที่ยังคงเหมือนเด็กสาวรุ่นๆขี้อ้อน ขี้งอนคนเดิม
"อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เห็นแล้วก็คิดถึง"
นางจันทร์เสียงขาดไป แฟงมองเข้าใจทันที
"พี่ทัพกับพี่เฟื่องของฉันใช่มั้ยจ้ะ"
นางจันทร์พยักหน้า สไบเอ่ยขึ้น
"จวงอีกคน ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงกันแล้ว"
แฟงหน้าม่อยลง เพราะใจก็ยังห่วงเฟื่อง ทัพ และจวง เหมือนทุกคน

ใจ ดอกรัก หมู่เคลิ้ม ฟัก เอิบ ช่วง และกลุ่มผู้ชายกำลังช่วยกันถากไม้ มุงแฝก ซ่อมเรือนอยู่
แฟงวิ่งมา ด้านหลังคือสไบ
"พี่ฟัก"
ฟักกำลังซ้อมหลังคาหันมองลงมา เห็นน้องสาวก็รีบวางมือ เอิบ ช่วงที่อยู่ด้านล่างวิ่งถลาไปหาแฟงก่อน
เอิบเรียก
"น้องแฟง"
"ยอดรักของพี่"ช่วงบอก
เอิบกับช่วงกำลังจะถึงตัว แฟงก้มต่ำหลบ แกล้งให้เอิบกับช่วงหัวชนกัน กระเด็นไปคนละทาง
แฟงยืนรอฟักที่โดดลงมาถึงพื้น แฟงเข้าไปกอดพี่ สองพี่น้องกอดกันแน่น
ใจถือขวานถากไม้มายืนข้างสไบ ดอกรักมองจ้องทั้งคู่
"ฉันอยู่เรือนแฟง ตรงโรงครัวน่ะจ้ะ"
"ดีแล้ว ตรงนี้พวกพี่จะอยู่เอง ใกล้รั้วค่าย จะคอยระวังถ้าพวกข้าศึกมันมาทางหลังค่าย"
"มาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ แฟง" ใจถาม
"ฉันมาถึงก่อนพวกพี่ไม่นานหรอกจ้ะ ฉันมากับพวกพี่แท่น"
แฟงเอ่ยเล่าด้วยเสียงภูมิใจ

อิน เมือง โชติ ดอกไม้ ทองแก้วที่กำลังดูพันเรืองคุมซ้อมดาบของชายฉกรรจ์
แท่นยืนอยู่ด้านนอกสุดหันมามองทางกลุ่มแฟงที่พาพี่ชายกับพรรคพวกชายฉกรรจ์ทั้งหมดมารู้จัก
"แฟงเป็นหญิงใจกล้า น่านับถือ ถ้าไม่ได้แฟงเป็นคนไปล่อตาข้าศึก เราก็คงลอบฆ่า ตัดกำลังมันไม่ได้เลย"
แฟงยิ้มภูมิใจ แท่นมองกลุ่มของฟัก
"พวกฉันเคยเป็นทหารด่านหน้าเมืองกาญจน์ แต่หนีทัพมา เดี๋ยวนี้ก็ถือว่าเป็นขบถ"
แท่นยิ้ม
"ที่นี่ก็ถูกลือกันว่าเป็นชุมนุมโจร"
ทุกคนมองแท่นที่เล่าให้ฟัง
"ยามข้าศึกประชิดเมือง ชาวบ้านจับดาบจับไม้เข้าสู้ป้องกันตัวเองได้ ทางการก็เกรงว่าต่อไปจะตั้งตัวแข็งขืน แต่ทุกคนที่ค่ายบ้านระจันไม่คิดเหิมเกริมเป็นใหญ่ เรายังเป็นข้าในพระเจ้าอยู่หัว เป็นไทยที่จะรักษาแผ่นดินเกิดไว้ตราบดินกลบหน้า"
หมู่เคลิ้มบอก
"ขอให้พวกฉันได้ร่วมกับพวกพี่ด้วยเถอะ"
"งั้นก็แบ่งไปเป็นหมู่ตระเวนเสียส่วนหนึ่ง"
ใจได้ยินแล้วพูดขึ้นทันที
"ฉันเคยเป็นพรานป่า กินนอนในป่ามาตั้งแต่เล็ก ให้ฉันออกไปซุ่มดูพวกข้าศึก"
"หน่วยก้านเอ็งดี งั้นก็ไปเป็นหมู่ตระเวน"
ดอกรักมองไม่พอใจ รีบพูดขึ้น
"ให้ฉันไปด้วย"
แท่นถาม
"เอ็งเคยทำอะไรมา เป็นทหารมากับพวกนี้หรือ"
"ไม่ได้เป็น"
"ลูกหลานพ่อใหญ่แสง บ้านสามโก้" เอิบบอก
"งั้นเอ็งก็ไปช่วยที่โรงตีดาบโน้น"
"แต่ฉันอยากอยู่หมู่ตระเวน"
ดอกรักสวนขึ้นทันทีตามคนอารมณ์ร้อนและไม่ชอบหน้าใจ แท่นมอง
"พี่ดอกรัก อย่าขัดคำสั่งพี่แท่น"
"ถึงไม่เคยเป็นทหาร ไม่เคยเป็นพราน แต่ฉันก็ฟันข้าศึกยับมาหลายคนแล้ว"
แท่นบอก
"หมู่ตระเวนสอดแนมไม่ใช่เก่งแค่เรื่องดาบ แต่ต้องหูตาไว ถ้าถูกศัตรูจับได้เท่ากับตาย ต้องหาทางเอาตัวรอดเองให้ได้ ต้องไม่ให้ความลับของเราตกไปอยู่กับศัตรู"
"ไอ้ใจมันก็ไม่เก่งไปกว่าฉัน"
"พี่ดอกรัก ที่นี่เราต้องฟังพี่แท่น พี่แท่นคือผู้นำคนหนึ่งของค่ายบ้านระจัน"
ดอกรักฮึดฮัด แท่นมองอย่างประเมินแล้วเอ่ยเป็นเด็ดขาด
"ดอกรัก เอ็งจงอยู่หมู่อาวุธเสียก่อน หากฝีมือเอ็งเห็นแก่ตาทุกคน ใจเอ็งเยือกเย็น ใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์ได้เมื่อไหร่ ข้าจะสับเปลี่ยนให้เอ็งได้อยู่หมู่ตระเวนสมใจ"

ดอกรักจำต้องก้มหน้าเหมือนรับคำสั่ง ท่ามกลางสายตามองตำหนิของทุกคน ยกเว้นใจที่มองดอกรักอย่างสังเกต

สไบเดินมากับแฟง หาบกระชุมาตักน้ำที่สะพาน ท่าทางสไบไม่พอใจดอกรักที่คอยระรานใจ

"พี่ดอกรักเค้าโกรธเกลียดพี่ใจมาจนเสียเรื่องหลายครา"
"โกรธเกลียดพี่ใจ เพราะหึงพี่สไบน่ะสิ"
"เอาแต่อ้างว่าพ่อยกฉันให้เค้าแล้ว"
"อย่างนี้ก็ต้องให้พ่อใหญ่แสง คืนคำสัญญา"
"พ่อไม่ยอมหรอก ยังไงก็ต้องเห็นพี่ดอกรักดีกว่าคนต่างถิ่นอย่างพี่ใจ"
"จะกล้าขัดขืนใจลูกสาวได้เชียวหรือ"
สไบเขิน ตีแฟงเบาๆ แฟงหัวเราะ
"ความรักมันขืนใจกันไม่ได้จริงๆนั่นแหละ แฟงล่ะ เจอคู่ชิ้นเข้าหรือยัง"
แฟงหน้าเศร้าลง เมื่อนึกถึงทัพ
"ไม่มีหรอก คนที่ฉันจะเอามาเป็นชิ้นรักน่ะ"
"มีสิ ฉันจำได้"
"อย่าพูดเรื่องนี้เลย พี่สไบ รีบตักน้ำไปช่วยงานที่โรงครัวกันดีกว่า"
"พอจนแต้ม ก็เลี่ยงไปได้ทุกที"
"ใครว่าฉันจนแต้ม ก็ฉันไม่อยากคุย ฉันไม่มีพรานป่าคอยคุ้มครองให้อุ่นใจเหมือนพี่สไบนี่"
สองสาวหัวเราะกัน แฟงคว้ามือสไบวิ่งไปจากตรงนั้นทันที

ใจกำลังเดินผ่านเรือนของชาวบ้าน ใจมองสำรวจทุกอย่างในค่ายอย่างละเอียด หยุดลงที่หน้าเรือนแห่งหนึ่ง มองไปเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์มีหัวหน้าเป็นคนร่างสูงใหญ่กำลังเทเหล้า จากไหกรอกเข้าปาก ท่าทางเมามาย หัวเราะเสียงดัง
ใจมองจ้อง ชายคนนั้นหันมาเห็นใจ ใจไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือหนึ่งในผู้นำของค่ายบ้านระจันชื่อ ทองเหม็น
"เฮ้ย เอ็งน่ะ หน้าใหม่ มาจากไหน"
ใจยังไม่ตอบ ทองเหม็นลุกพรวดออกจากวงตรงมาที่ใจ
"ข้าถาม ทำไมไม่ตอบ"
"เพิ่งมาถึง"
"วะ กวนจริง ข้าถามว่ามาจากบ้านไหน"
"วิเศษไชยชาญ"
"ก็บ้านไหนเล่า วิเศษไชยชาญมีตั้งหลายบ้าน"
"ไม่รู้ ไม่เคยมีบ้านเป็นหลักแหล่ง"
"เอ็งตั้งใจกวนข้า"
ลูกน้องทองเหม็นพากันออกมายืนจังก้า ทองเหม็นยกมือที่ถือไหเหล้าขึ้นเป็นเชิงห้าม
ยืนโงนเงนเพราะความเมา แต่อีกมือ ไวกว่าความคิด ทองเหม็นหันไปคว้าท่อนฟืนที่วางอยู่มา ฟาดไปทางที่ใจยืน ใจตาไว หลบวูบ
ทองเหม็นยกไหเหล้าลงมอง ด้วยรอยยิ้มกวน
"เฮ้ย มาคุยกันใกล้ๆ มาคุยกันดีดี"
ใจมองระวังทองเหม็นที่ดูเหมือนขี้เมาแต่ที่จริงมีฝีมือมาก
"เอ็งชื่ออะไรวะ"
ทองเหม็นชี้ไม้มาที่ใจ
"ใจ"
"ใจอะไร ใจซื่อหรือใจคด"
ใจยังไม่ทันตอบ ทองเหม็นปาไม้เข้ามาตรงหน้า ใจกระโดดม้วนตัวเตะไม้หล่นลงพื้น เท้าใจเฉียดหน้าทองเหม็นที่หงายหลบ แล้วเตะโดนไหเหล้าในมือทองเหม็นตกแตกกระจาย
ทุกคนตกใจ ทองเหม็นทิ้งไหเหล้าลงดิน มองจ้องใจ ยิ้มกว้างหัวเราะลั่น
"ไอ้ใจ เอ็งนี่มีฝีมือ ฝีตีนด้วย ... ใช่มั้ยวะ"
ทุกคนพากันโล่งเมื่อเห็นทองเหม็นลองฝีมือใจ ไม่ถือสา หัวเราะร่า
"ข้าชอบเอ็ง ไอ้ใจ มา ออกไปกับข้า ไปฟันข้าศึกเล่นๆให้หายแค้น สักร้อย สองร้อย ไป ไปกับข้าตอนนี้เลย"
ลูกน้องทองเหม็นหยิบดาบส่งให้ ใจกำดาบไว้ ทองเหม็นเดินขึ้นไปขี่ นังเผือก ควายตัวเก่ง มุ่งออกไปทางประตู ลูกน้องนับสิบ ร่างกายกำยำพากันตามออกไป

ใจกำดาบ จำต้องตามออกไปด้วยทั้งที่ยังไม่ทันตั้งตัว
 
อ่านต่อหน้า 2

บางระจัน ตอนที่ 6 (ต่อ)

ดอกรัก เห็นทองเหม็นขี่นังเผือกนำใจกับชายฉกรรจ์ออกประตูค่ายไป เขายืนดูใจที่ออกไปรบกับทองเหม็นอย่างอิจจา แต่ก็อายที่จะอยู่ตีดาบตามคำสั่ง

ช่วงกับเอิบช่วยเขาหลอมเหล็กเก่าๆ ดาบขึ้นสนิมจากหม้อ กระทะเก่า เท่าที่พอจะมี จะหาได้
อีกด้านช่างตีดาบมีอายุ ร่างกายกำยำกำลังตีดาบ
"พี่ดอกรักยืนเหม่ออะไร ไม่ช่วยเขาทำงานล่ะ" ช่วงถาม
ดอกรักสีหน้าเบื่อหน่าย ไม่อยากอยู่ที่นี่ ลุกขึ้นจะออกไป
"จะไปไหน พี่ดอกรัก" เอิบถาม
"นายแท่นสั่งให้พี่ทำงานที่นี่ หรือพี่จะขัดคำสั่ง" ช่วงบอก
ดอกรักมองเอิบกับช่วงที่มาขวางอย่างขัดใจ เอิบกับช่วงมองดอกรักอย่างระแวงว่าดอกรักจะหาเรื่องก่อกวนอีก

ผู้ใหญ่ทองเหม็นกับพวกซุ่มอยู่ด้านหลังพงหญ้าในป่านอกค่ายบางระจัน ใจอยู่ข้างหลัง ทองเหม็นเอาหูแนบดิน
"ข้าได้ยินเหมือนเสียงม้า"
ใจก้มลงเอาหูแนบพื้นหญ้า ฟังเสียงสั่นสะเทือนบนพื้น
"มากันไม่มาก"
ใจลุกขึ้นนั่งแล้วบอก
"ฉันไปดูให้เองว่าพวกไหน"
ทองเหม็นมองใจที่วิ่งเร็วลัดเลาะไปทันที

ใจลัดเลาะมาใกล้ ใจมองเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ขี่ม้ากันมาเป็นกลุ่ม มีปืนสะพายกันทุกคน บางคนมีหลายกระบอก อุปกรณ์ดินปืนครบ เขามองสงสัย ด้วยความอยากรู้ ก็โผล่ออกมา
ชายฉกรรจ์กลุ่มหน้าพอเห็นใจก็ชักปืนยิง กระสุนเฉียดใจไปนิดเดียว ชายอื่นๆควบม้ามาล้อมใจไว้ทันที ใจตกอยู่ในวงล้อมของชายฉกรรจ์
"ที่นี่ไม่มีอะไรให้พวกแกปล้น"
ชายฉกรรจ์มองจ้อง ใจเริ่มมองระวัง เอาปืนจ้องไว้ ทองเหม็นได้ยินเสียงปืนวิ่งตามมา
"พวกมึงจะทำอะไรคนของกู"
ใจหันไปมองทองเหม็นล้อมพวกชายฉกรรจ์ไว้อีกชั้น ต่างคนต่างมองกัน พร้อมจะแลกชีวิตกัน
ด้านหลังกลุ่มชายฉกรรจ์ ชายคนหนึ่งท่าทางภูมิฐานแววตามีอำนาจ ขี่ม้าก้าวออกมา
"ฉันขุนสรรค์ กรมการเมืองสรรค์บุรี"
ขุนสรรค์ที่ถือปืนยาวขี่ม้า อยู่หน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่คอยระวังภัยให้
ชายฉกรรจ์ที่ล้อมใจค่อยๆถอยออก ให้ขุนสรรค์เข้ามาเผชิญหน้าใจ กับทองเหม็น
"ฉันไม่ได้มาร้าย ไม่ใช่พวกปล้น"
"แล้วยกพวกมาทำไมมากมาย"
"ฉันกับคนของฉัน .. จะมาขอสมทบสู้ศึก ร่วมกับพวกบ้านระจัน"
ทองเหม็นมองขุนสรรค์อย่างประเมิน

นายจันเขียวที่มีสมญาว่านายจันหนวดเขี้ยว ชายนักรบร่างกำยำ มีหนวดโง้งเหนือริมฝีปาก
มองขุนสรรค์ ที่กำลังผูกม้าอยู่แล้วเอ่ยขึ้น
"จู่ๆจะมาเข้าพวกกับเราง่ายๆไม่ได้หรอก"
ทองเหม็นเป็นคนใจร้อน ยืนอยู่ใกล้มองด้วยสายตารำคาญ
"อะไรของเอ็งวะ ไอ้จันเขียว ที่ทางในค่ายเราก็มีตั้งมากมาย เอ็งจะหวงไปไว้ให้หมามันเดินเล่นหรือวะ"
"บะ พี่ทองเหม็น ข้าไม่ได้หวงที่ ตอนนี้ค่ายบ้านระจันลือชื่อว่าเป็นที่ชุมนุมสู้ศึกของชาวบ้าน พี่คิดว่าพวกกรุงศรีจะไม่ส่งคนมาสอดแนมเอาหรือ"
"ฉันไม่ได้มาตามหลวงสั่งดอก"
"แล้วถ้าเอ็งเป็นข้าศึกมาสอดแนมล่ะ"
ใจมองจันหนวดเขี้ยวที่มีความระแวงระไว ตรงข้ามกับทองเหม็นที่หัวเราะลั่น ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โต ขุนสรรค์เอ่ยเล่าแก้ความสงสัยด้วยเสียงยืนยันหนักแน่น
"ฉันขุนสรรค์กรมการเมืองสรรค์บุรี บ้านฉันโดนข้าศึกปล้นแล้วเผา พวกฉันเป็นนักแม่นปืนเหลือกันอยู่แค่นี้ หากสู้เพียงลำพังก็จะตายเปล่า จึงอยากจะมาร่วมสู้ข้าศึกอยู่ที่นี่"
"เอ็งดู ไอ้จัน คนเขาเสียสละมาช่วย เอ็งก็ไประแวงเขา"
ทองแสงใหญ่ที่ยืนมองอยู่ตั้งแต่ต้น ก้าวออกมา
"อย่าถือสาเลยขุนสรรค์ คนที่นี่มีกันมาก ขอให้รู้ที่มาที่ไปว่าเป็นคนไทยเลือดไทยด้วยกันพอ ฉันชื่อทองแสงใหญ่ นี่จันเขียว"
"ใครๆเขาเรียกข้า...จันหนวดเขี้ยว"
ขุนสรรค์กรมการยิ้มให้ นายจันหนวดเขี้ยวบอกอย่างเป็นมิตรขึ้น
"งั้นเดี๋ยวข้าจะพาไปหาเรือนพัก"
ขุนสรรค์พยักหน้ายิ้มให้ เดินออกไปดูรอบๆค่าย ก่อนหันมาพูดกับทองแสงใหญ่
"พวกฉันปลื้มน้ำใจคนระจันทุกคนมาก พวกฉันจะขอสู้อยู่ที่นี่ ที่ค่ายบ้านระจันนี้ จะยึดเป็นที่ฝากชีวิต ให้ข้าศึกเลื่องลือเกรงขามฝีมือพี่น้องไทยเรา"

ขุนสรรค์หันไปยิ้มให้จันหนวดเขี้ยวที่ยืนลูบหนวดอย่างมีมาด ทองเหม็นกับทองแสงใหญ่มองขุนสรรค์อย่างยินดี

บริเวณท้ายค่าย เรือนหลายหลังถูกสร้างขึ้นง่ายๆ จนเสร็จเรียงรายเป็นระเบียบ เป็นที่พักของกลุ่มอพยพจากกระทุ่มด่าน กลุ่มหมู่เคลิ้ม และกลุ่มชายฉกรรจ์จากบ้านกำนันพัน

ทุกคนอยู่รวมกันตามเรือน บางคนก็กำลังอาบน้ำม้า พักผ่อนกันตามสบาย บางคนก็กำลังฟันไม้ไผ่ ผ่าฟืน กั้นรั้วเลี้ยงไก่ หลายคนเริ่มถักแหไว้หาปลา
แฟง สไบเดินมาสมทบกับพี่ชายที่กำลังผ่าฟืน ปาดเหงื่อที่เต็มร่าง
"พี่ฟัก พักก่อนมั้ยจ๊ะ" แฟงว่า
ฟักหันมามอง สไบเอาน้ำในกระบอกไม้ไผ่ส่งให้ ฟักดื่มแล้วส่งกระบอกคืนสไบ
"พวกฉันไปช่วยโรงครัวมา ได้แกงปลาหมอมาแบ่งพวกเรา" สไบบอก
"ดี เดี๋ยวกินข้าวพร้อมๆกัน"
แฟง สไบ ฟักหันมองไปรอบ เห็นชุมชนเล็กๆที่อยู่ร่วมกัน เรียบง่าย มีรอยยิ้มจากความรู้สึกอุ่นใจ
"เออ เห็นไอ้ใจบ้างมั้ย หายไปตั้งกะบ่ายแล้ว" ฟักถาม
"ไม่เห็นเลยจ้ะ ไม่รู้ว่าถูกพี่ดอกรักคอยหาเรื่องอีกหรือเปล่า"
สไบบอก ไม่ทันขาดคำ
"ข้านี่มันเป็นนักเลงในสายตาเอ็งเหลือเกินนะ สไบ"
ทุกคนหันไปมองเห็นดอกรักกำลังเดินมา สีหน้าไม่พอใจที่ได้ยินสไบพูดถึงในแง่ร้าย
"ยังไงก็ถือว่าคนบ้านเดียวกัน อยู่ที่นี่แล้ว อย่าทะเลาะกันให้อายคนอื่น" แฟงบอก
"ข้าจะบอกให้นะ ไอ้ใจน่ะมันคนไม่รู้หัวนอนปลายตีน คนต่างบางอย่างมันน่ะไปเชื่อง่ายๆ ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า"
"สไบไม่มีทางน้ำตาเช็ดหัวเข่า"
ทุกคนหันไปมองเห็นใจเดินมา ใจมองตรงไปที่ดอกรัก
"ข้าออกไปตระเวนดูนอกค่ายกับผู้ใหญ่ทองเหม็นมา"
ใจมายืนตรงข้ามดอกรัก สไบยิ้มออก ดอกรักเสียหน้าทันที แฟงไม่อยากให้มีเรื่องกันอีก ก็รีบถามขึ้น
"ข้างนอกเป็นยังไงบ้างพี่ใจ เจอพวกข้าศึกหรือเปล่า"
ดอกรักมองเคือง จ้องใจอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เดินออกไปอีกทางเพราะไม่อยากอยู่ตรงนั้นอีก ฟัก แฟง สไบหันมาทางใจ ใจยิ้มเอ่ยเล่า
"ยังไม่ทันเจอข้าศึกหรอก แต่เจอคนที่มาขออยู่ที่ค่ายบ้านระจัน"
"เราจะปกป้องครัวไทยของเรา ไม่ให้ข้าศึกมาเหยียบย่ำ" สไบบอก
สไบต่อให้ด้วยใบหน้าระบายยิ้ม ใจยิ้มมอง เอ่ยขึ้นช้าๆแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก
"คนไทยยอมตาย ไม่เสียดายเลือดเนื้อชีวิต ขอแค่ได้รักษาดินทุกก้อนไว้ในชื่อไทย"
แฟง ฟัก สไบ ยิ้มภูมิใจ ใจมองไปรอบๆ ด้วยสายตาลึกล้ำที่ยังไม่มีใครสังเกตถึงความนัยของสิ่งที่ใจพูดออกมา

ลานซ้อมอาวุธ ชาวบ้านพากันเข้าเรือน นอนหลับ เหลือคบไฟจุดและชายฉกรรจ์ที่เป็นเวรยาม
ไม่กี่คน
ใจเดินมาคนเดียว มองไปรอบๆ เห็นชายฉกรรจ์เฝ้าเวรยามอยู่ด้านหน้าทางเข้าทางหนึ่งถึง 4 คน ใจแอบมอง อยากดูสิ่งต่างๆให้ชัด
ทองเหม็นเดินประคองไหเหล้าท่าทางเมามาย หน้าแดงก่ำ เดินเซไปเซมากับผู้ติดตาม 6 คน
ใจเห็นโอกาส รีบทำเป็นเดินออกมาหานายทองเหม็น
"พี่ทองเหม็น"
"เฮ้ย ไอ้ใจ ทำไมยังไม่นอนวะ"
"ฉันยังไม่ง่วง ก็เดินมาเรื่อยๆ เผื่อว่าจะพอเป็นเวรยามได้"
"วะ เอ็งนี่ มีน้ำใจ ไม่ต้องๆ คนเรามีถมเถ"
ทองเหม็นยืนไม่ตรง ใจรีบทำเข้าประคอง
"ฉันพาพี่ทองเหม็นกลับเรือนดีกว่า"
ทองเหม็นพยักหน้า เดินพาตรงไปที่ทางเข้าที่ชายฉกรรจ์เฝ้าอยู่ 4 คน ใจประคองทองเหม็นมา กำลังจะพาเดินผ่านชายฉกรรจ์ 4 คนนั้นเข้าไป
ทองเหม็นเกิดขย้อน ก้มลงอาเจียนเพราะความเมา
ชายฉกรรจ์คนที่เป็นหัวหน้าเข้ามาพยุงนายทองเหม็นทันที อีกคนกันใจออกห่าง ใจรีบพยายามบอก
"ฉันจะพาพี่ทองเหม็นกลับเรือน"
"ไม่ต้องๆ ข้าพาไปเอง พ่อทองเหม็นก็เมาอย่างงี้ทุกคืน"
ชาย 1 ประคองทองเหม็น
"ข้าเมาที่ไหน พวกเอ็งนั่นแหละ เมาเหมือนหมา ฮ่าฮ่าฮ่า"
ทองเหม็นหัวเราะร่า ชาย 1 ประคองเดินไปทางเรือนพ่อค่าย ใจขยับอยากจะตาม ชาย 2 เดินเข้ามาขวางทันที
"เอ็งมาใหม่ใช่มั้ย"
"จ้ะ"
"มิน่า...ถึงยังไม่รู้ เอ็งกลับไปเถอะ ตรงนี้เป็นส่วนของพวกพ่อค่าย ยามกลางคืนห้ามคนไม่มีธุระเข้า"
"อ๋อ ได้....ข้าไม่รู้จริงๆ"
ใจมองตาม แล้วทำทีเป็นถอยออกมาอย่างว่าง่าย หันหลังเดินกลับออกไป ใจเดินห่างออกมาจากทางเข้า ใจไม่ทันเห็นว่า ดอกรักซุ่มมองทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น ด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

"คนอย่างเอ็ง ไอ้ใจ อยากรู้อยากเห็นไปทั่ว .. คงไม่ได้มาดีแน่ๆ"

ใจเดินมาหยุดหน้าเรือนแฟง มองทอดสายตาเข้าไป เห็นพวกผู้หญิงนั่งคุยกันอยู่ แฟงกำลังเจียนหมากให้เฟี้ยมกับจันทร์ สไบกำลังปั่นด้ายในแสงไต้ งดงาม อยู่ที่ชานเรือน
 
ใจมองด้วยความความผูกพัน ใจยิ้มให้ แต่แววตานั้นเศร้านัก แล้วค่อยๆถอยออกไป สไบมองตามอย่างแปลกใจ

ฟักกำลังนั่งเป่าขลุ่ย เสียงขลุ่ยฟังเศร้าสร้อยโหยหวน ใจเดินมาหยุดฟัง ฟักหยุดเป่าหันมาทักทายใจ
"เอ็งนอนไม่หลับเหมือนกันหรือ ใจ"
"อยู่ที่นี่ สบายกว่าร่อนเร่ หนีภัยศึก"
"แต่ก็ยังหลับตาไม่สนิท" ฟักบอก
"พี่ฟักเป็นเหมือนกันหรือ" ใจบอก
"ข้าคิดถึงพี่ทัพ คิดถึงน้องสาวข้าอีกคน"
ใจมอง ฟักแววตาหม่นหมองลง
แฟงยังนั่งเจียนหมากให้นางเฟี้ยมกับนางจันทร์อยู่ สไบคงปั่นฝ้ายไปเรื่อยๆ เฟี้ยมยกมือไหว้ฟ้าดิน
"ขอคุณพระคุณเจ้าจะคุ้มครอง นังเฟื่องกับจวงด้วยเถอะ"
"พี่ทัพต้องพาพี่เฟื่องกลับมาหาเราจ้ะ"
แฟงพูดทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจ น้ำตาคลอ นางจันทร์ได้ยินแล้วซับน้ำตาคิดถึงลูกสาว
"ป่านนี้มันจะไปตกระกำลำบากถึงไหนกันก็ไม่รู้ เมื่อไหร่ศึกสงครามมันจะหมดไปจากแผ่นดินเสียทีนะ"

ในวัดร้างที่ถูกเผาแล้ว กองไฟที่ก่อไว้พอให้แสงสว่างน้อยๆ ที่ว่างด้านนอกโบสถ์ จวงกำลังซับเหงื่อที่อกสังข์ที่กำลังเพ้อด้วยพิษไข้ที่โดนฟัน
สังข์เพ้อจับมือจวงไว้แน่น
"จวง จวง อย่าทิ้งฉันไป"
"ฉันอยู่นี่ ฉันไม่ทิ้งแกไปไหนหรอก ปล่อยมือฉันก่อน"
สังข์ไม่ยอม เพ้อจับมือเปะปะ จวงพยายามดันสังข์ออกห่างด้วยความไม่ชอบหน้า ด้านหลังมีชาวบ้านที่พอเหลืออยู่ แยกย้ายกันนอนพักห่างออกไปตามมุมต่างๆ
เฟื่องวิ่งมาพร้อมหม้อดิน จวงหันไปถาม
"ได้ยามั้ยพี่เฟื่อง ไอ้สังข์มันเพ้อเพราะพิษไข้ที่โดนฟันจะตายอยู่แล้ว"
"หามาได้ไม่กี่อย่าง นี่ก็ยังไม่ครบ"
เฟื่องเอาหม้อต้มวางบนหินสามเส้าที่ก่อไฟ ขาบกับทัพเดินเร็วเข้ามา ยังมีรอยไฟไหม้อยู่ สองคนถือกิ่งขี้เหล็ก กับบอระเพ็ดที่พอจะหาได้มา
"พี่กับขาบหาได้แค่บอระเพ็ดกับขี้เหล็ก"
ทัพส่งให้เฟื่อง
"รีบต้มเข้าเถอะ เดี๋ยวไอ้สังข์มันจะแย่ จับไข้ปวดแผลมาตั้งแต่ออกเดินทางแล้ว"
เฟื่องเอาทุกอย่างลงไปในหม้อต้ม
ขาบยกมือขึ้นพนมเหนือหัว
"ขอไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ ลูกช้างขัดสนยามศึกสงคราม ไม่มีธูปไม่มีเทียนมาบูชา"
ทุกคนมองขาบที่กำลังกำกับคาถาปรุงยา
"ขอคุณครูบาอาจารย์ช่วยให้ยาต้มหม้อนี้ ช่วยรักษาสรรพโรคสรรพภัยที่กำลังเบียดเบียนไอ้สังข์เพื่อนข้าด้วย"
ทุกคนมองขาบที่หลับตาพนมมือท่องคาถาปรุงยา
"โอม สักกัตวา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง หิตังเทวะมนุสสานัง"
ทัพ เฟื่องมองสังข์ที่สั่นพับๆในอ้อมแขนจวง
"พุทธะเตเชนะ โสตถินา นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เตฯ"
เสียงสังข์สวดด้วยจิตตั้งมั่น ทุกคนมีความหวังว่าสังข์จะอาการดีขึ้น

ในเวลาต่อมา จวงกำลังป้อนถ้วยยาเข้าปากสังข์ เฟื่องมารับถ้วยออกไปวางข้างหม้อต้มยา
สังข์นอนลง จวงมองดูอาการสังข์ ทัพมองน้องแล้วสั่ง
"คอยดูผัวเอ็งไว้นะ จวง"
จวงจะแย้ง
"ไอ้สังข์ มันไม่ใช่ ..."
จวงอยากจะปฏิเสธ แต่สังข์เพ้อขึ้นเบาๆ
"จวง อย่าทิ้งพี่ไป"
ทัพเตือนน้องสาว
"คอยดูป้อนยาไว้ ไข้ลดเมื่อไหร่เราจะได้เดินทางต่อ หนทางยังอีกไกลกว่าจะถึงบ้านระจัน"
ทัพเดินออกไปดูอ้ายเลาที่ผูกไว้ใกล้ๆ เฟื่องกับขาบมองทัพ เฟื่องรู้สึกสงสารทัพมาก ขาบมองสายตานั้นอย่างเข้าใจ
"พี่จะไปเดินยามอยู่รอบๆนี่นะ"
ขาบหยิบดาบเดินกะเผลกออกไป เฟื่องมองขาบด้วยสายตาเข้าใจว่า ขาบเปิดโอกาสให้คุยกับทัพ

เฟื่องหันไปมอง เห็นจวงกำลังดูอาการสังข์ เฟื่องลุกขึ้นเดินออกไปหาทัพเงียบๆ

ทัพเอาอานมาทำความสะอาด แล้วหยุดมองจันทร์เสี้ยวบนฟ้า เฟื่องเดินมาด้านหลัง ทัพหันมามอง สองคนต่างทำตัวกันไม่ถูก ทัพมองรู้ว่าเฟื่องอึดอัด จึงเริ่มพูดขึ้นก่อน

"ไอ้ขาบไปไหนซะละ"
เฟื่องมองทัพด้วยสายตาตัดพ้อ
"ตลอดทางที่มา ตั้งแต่ออกจากบ้านพราน พี่ไม่เคยคุยกับฉันเลย"
"จะให้พี่คุยกับเอ็งอย่างไรได้อีก เฟื่อง"
ทัพเองก็มองทอดสายตาตัดพ้อกับเฟื่อง ต่างคนต่างไม่กล้าเข้าใกล้กันเหมือนก่อน
"ฉันเองที่ผิดคำสัญญา ว่าจะเป็น....ของพี่"
"อย่าโทษตัวเองเลยเฟื่อง บุญวาสนาของพี่กับเฟื่อง.. คงมีเพียงเท่านี้ แค่ได้เป็นคนรัก ได้ร่วมฝัน แต่ไม่ได้ร่วมชีวิต ไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน"
เฟื่องน้ำตาร่วงพรู ทัพพยายามฝืนยิ้ม แต่ก็เศร้าเต็มที ขาบที่หลบฟังอยู่ด้านหลังต้นไม้ สายตาขาบเองก็รู้สึกผิดมาก
"ไอ้ขาบมันก็เป็นคนดี ถ้ามันรักเฟื่อง ดูแลเฟื่องอย่างจริงใจ พี่ก็ดีใจด้วยที่จะเห็นผู้หญิงที่พี่รัก มีความสุข"
เฟื่องกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ สะอื้นออกมา
"แต่ใจฉันมีพี่คนเดียว ฉันรักพี่ทัพคนเดียว"
"อย่าพูดแบบนั้น เฟื่อง"
"ฉันไม่ได้รักพี่ขาบ"
ขาบฟังแล้วกำดาบในมือแน่นด้วยความสะเทือนใจ
"วันนึง เฟื่อง วันนึงเฟื่องจะรักไอ้ขาบมันได้"
"ไม่มีทาง"
เฟื่องส่ายหน้า ขาบมองท่าทางเฟื่องแล้วน้ำตาคลอ
"ขอแค่เฟื่องอย่าจำเรื่องพี่ อย่าจำเรื่องของเราไว้ในใจอีก"
เฟื่องร้องไห้โฮ ทัพพยายามฝืนยิ้มให้กำลังใจทั้งที่ตัวเองก็ใจเจ็บช้ำเหลือเกิน
"พี่ยังมองเห็นเฟื่อง ยังคอยดีใจที่เฟื่องจะมีความสุข"
"พี่ทัพ"
"เดินไปข้างหน้าเถิดเฟื่อง ให้ความหลังของเรามันเป็นแค่อดีต อย่าจำให้มันมาทำลายความสุขของเฟื่องในวันนี้ ในวันข้างหน้า ชีวิตเฟื่องจะต้องมีแต่ความสุขจากคนที่รักเฟื่อง มอบชีวิตเฟื่องให้ไอ้ขาบเถอะ"
เฟื่องสุดจะทนฟังต่อไปได้ น้ำตาร่วงพรู หันหลังวิ่งออกไป ขาบที่ยืนฟังอยู่ในพุ่มไม้ ซาบซึ้งกับความเสียสละของเพื่อน เดินออกไปเงียบๆ
ตรงนั้นเหลือเพียงทัพ ที่สุดแล้วก็น้ำตาไหลออกมากับความผิดหวังที่หนักอึ้ง ทับถมในใจ

เฟื่องวิ่งเข้ามา ทรุดลงสะอื้นหน้าพระประธานที่ถูกเผาดำเกรียม ทุกคำอวยพรของทัพกรีดลึกลงในใจ เพราะเฟื่องรู้ว่าจะไม่มีวันลืมทัพได้ ขาบเดินมามองเฟื่องที่ร้องไห้ ด้วยสายตาเศร้า
ขาบทรุดลงนั่งเฝ้าหน้าประตู ไม่เข้าไปรบกวนให้รำคาญใจ ทั้งสองคนต่างไม่มีความสุข เพราะผิดพลาดไปแล้ว

ชาวบ้านนอนกันตามมุมต่างๆ มุมหนึ่งห่างออกมา สังข์กำลังเพ้อ
"หนาว"
จวงสะดุ้งตื่นขึ้น เข้ามาใกล้สังข์
"ไอ้สังข์"
จวงประคองสังข์ขึ้นมา สังข์โอบกอดจวงแน่น จวงพยายามดันออก
"ตัวแกร้อนจี๋ อย่ามากอดฉัน ปล่อย ฉันอึดอัด ปล่อย"
"อย่าทิ้งพี่ไปนะ จวง อภัยพี่ด้วย"
"แกจะให้ฉันอภัยเรื่องอะไร"
จวงมองสังข์แบบจ้องเอาเรื่อง
"บอกมาไอ้สังข์ อยู่ในวัดแกห้ามโกหก"
สังข์มองจวง ทั้งพิษไข้ ทั้งความรู้สึกผิดประดังประเด ครองสติไว้ไม่ได้ ตัดสินใจเล่าทุกอย่าง
"พี่หลอกจวง เรื่องที่จวงเป็นเมียพี่"
จวงตกใจ
"อะไร"
"คืนนั้น คืนที่จวงอยู่กับพี่....อยู่ด้วยกัน"
สายตาสังข์ย้อนนึกถึงเหตุการณ์คืนสำคัญ

ในเรือนที่สะแกโทรม สังข์เหวี่ยงจวงลงบนแคร่ โถมตัวเข้าหา จวงยกสองเท้าถีบเข้ากลางอก สังข์กระเด็น จวงวิ่งไปที่ประตู สังข์กระชากตัวกลับมา จวงดิ้นกัดแขนสังข์ สังข์เหวี่ยงจวง หัวกระแทกเสา หมดสติ ล้มลงกับพื้น
สังข์มองจวงที่นอนสลบบนแคร่ ลูบผมจวง แววตาแสดงความรัก
"ข้าจะพาเอ็งไปอยู่กรุงศรี เป็นข้ารับใช้คุณพระนาย อีกหน่อยชีวิตเราจะสบาย"
สังข์ก้มลงจูบข้างแก้มจวงที่นอนนิ่ง สังข์จะจูบอีกข้างแต่ชะงักมองจวงที่สลบอยู่
"ข้าทำไม่ได้ว่ะ"
สังข์ถอยห่างออกมา มองจวงที่หลับอย่างหงุดหงิด
"จะให้ข้ากอดเอ็ง หอมเอ็ง มีความสุขอยู่คนเดียวโดยเอ็งไม่รับรู้ ไม่สนใจความรักของข้าเลย ข้าก็สิ้นเชิงชายสิวะ"
สังข์ขยับให้จวงนอนสบายๆ แล้วลงนอนข้างๆกอดจวงไว้
"ข้าจะทำให้เอ็งรักข้า จวง เอ็งต้องยอมเป็นของข้าแต่โดยดี"
สังข์ก้มลงหอมแก้มจวง
"คืนนี้มัดจำไว้ก่อน"

สังข์นอนกอดจวงที่สลบไม่ได้สติไว้ด้วยความรัก ไม่ได้ล่วงเกินอย่างที่ตั้งใจ
 
อ่านต่อหน้า 3

บางระจัน ตอนที่ 6 (ต่อ)

จวงตบผัวะเข้าหน้าสังข์อย่างแรง สังข์ถึงกับหน้าสะบัด

"ไอ้สังข์ ไอ้คนปลิ้นปล้อน"
จวงผลักสังข์ออกห่างตัวทันที แต่สังข์คว้ามือจวงไว้
"จวง อภัยพี่เถอะ พี่ทำลงไปเพราะพี่รักจวง"
"ฉันไม่อภัยให้แก ไอ้คนกะล่อน"
จวงจะเดินหนีไปด้วยความโมโห สังข์สั่นไปทั้งร่างเพราะพิษไข้
"จวง อย่าทิ้งพี่ พี่รักจวงจริงๆ"
จวงชะงัก หันมามองร่างสังข์ที่สั่นเทา แววตาอ้อนวอน
"พี่รักจวง แต่ไม่รู้จะทำยังไง ไอ้ทัพมันก็หวงจวงเหลือเกิน พี่รู้ว่าพี่ผิดที่พาลหาเรื่องไอ้ทัพ ผิดที่เห็นแก่ตัว อยากได้อยากดีจนไม่คิดถึงความเป็นเกลอรัก แต่พี่สำนึกผิดแล้ว พี่รู้แล้วว่าคนที่ดีกับพี่ที่สุด ให้อภัยพี่มากที่สุด คือเกลออย่างไอ้ทัพ"
จวงยืนฟัง สังข์แววตาสำนึกผิดจริงๆ
"ถ้าพี่ต้องตาย พี่อยากให้จวงอภัย อโหสิให้พี่ด้วย"
สังข์พูดได้แค่นั้นก่อนเสียงจะขาดหายไป ทั้งร่างกระตุกขึ้น จวงโผเข้ามาโอบกอดสังข์ไว้"ไอ้สังข์ ไอ้สังข์"
สังข์มองจวง กุมมือจวงแน่น
"จวง อภัยให้พี่ได้มั้ย"
สังข์ท่าทางไม่ดี จวงโอบสังข์ไว้ ทำท่าเหมือนจะหมดลม
"ฉันอภัยให้แกไอ้สังข์ ฉันอภัยแล้ว"
"แค่นี้ พี่ก็ตายตาหลับ"
สังข์ทำท่าอ่อนแรง หลับตาลงไปจริงๆ จวงร้องไห้รีบเขย่าสังข์ไว้
"ไอ้สังข์ พี่สังข์ พี่อย่าเพิ่งตาย พี่ต้องรอดสิ ต้องอยู่สู้ศึกกับฉัน ไม่ใช่มาตายกลางป่าทิ้งฉันไว้แบบนี้"
สังข์แอบลืมตา ยิ้ม มองจวงที่เขย่าร่างเรียกสติ
"พี่ตายไม่ได้นะพี่สังข์ พี่ต้องกลับตัวเป็นคนดีให้คนอื่นเห็นก่อน ต้องช่วยไล่ข้าศึกไปให้หมดฉันถึงจะให้พี่ตาย"
สังข์ฟังแล้วยิ้มอ่อนแรง
"ไล่ข้าศึกได้ แต่จวงต้องเป็นเมียพี่นะ"
"เออ ฉันเป็นเมียพี่ก็ได้ แต่พี่ต้องอยู่ช่วยพี่ทัพรบ"
"สัญญานะจวง"
"สัญญา"
"ขอมัดจำ"
จวงมองสังข์ที่ยิ้มเจ้าชู้ รั้งจวงเข้ามาทั้งๆอ่อนแรง
"ขอมัดจำก่อน พี่จะได้มีแรงหายไข้ จับดาบไล่ฟันข้าศึกได้เร็วๆ"
จวงมองซ้ายมองขวา กลัวคนเห็นแล้วก้มลงหอมแก้มสังข์ สังข์ยิ้มชื่นใจ จวงสีหน้าอายๆ
สังข์ยิ้ม กุมมือจวงมาจูบเบาๆ
"พี่สัญญา พี่จะเป็นคนดี ช่วยไอ้ทัพมันไล่ข้าศึกออกไปจากแผ่นดิน เราจะเก็บแผ่นดินนี้ให้ลูกของเรานะจวง"
สังข์ยิ้มหลับไปในอกอุ่นของจวงอย่างมีความสุขที่สุด

ดวงอาทิตย์ยามเช้า องค์พระประธานที่ตั้งเด่น แต่ไม่เหลืองสุกอร่าม กลับเป็นสีดำที่ถูกเผาไหม้
สภาพในโบสถ์ร้าง ไหม้ ทรุดโทรม ทัพนั่งเด่นอยู่ตรงกลาง สังข์ จวง นั่งข้างขวา ขาบและเฟื่องนั่งอีกด้าน ชาวบ้านนั่งถัดมา
ทุกคนพนมมือมององค์พระประธานด้วยจิตใจแน่วแน่
"ข้าและเพื่อน พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายทุกคนในที่นี้ ขอสาบานต่อหน้าพระพุทธรูป"
สายตาทุกคนมองแน่วแน่
"เลือดไทยทุกคนที่กลืนแค้นไว้ในอก ขอยอมตายดีกว่าทนอยู่ให้ศัตรูข่มเหงเหยียบย่ำ จะไม่ยอมให้สายเลือดไทยเหือดแห้งไปจากแผ่นดินนี้ แผ่นดินนี้ต้องเป็นของคนสายเลือดไทย"
ใบหน้าทุกคนมองจ้ององค์พระเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
"พวกเราจะบ่ายหน้าสู่บ้านระจัน จักอาสาสู้ปกป้องแผ่นดิน ให้ข้าศึกต่างแดนทุกทั่วตัวคน มันสำนึกไว้ชั่วลูกหลานของมันว่า....คนไทยนี้รักแผ่นดินยิ่งกว่าชีวิต"
ทัพและทุกคนก้มลงกราบพระด้วยสายตา จิตใจแน่วแน่ดั่งสัตย์สาบานที่จะรักษาแผ่นดินไทยไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่

ชายฉกรรจ์ที่เป็นเวร ตีกลองศึกที่แขวนไว้ด้านหน้าเสียงดังเป็นสัญญาณ เสียงเกราะดังก้องต่อไปเรื่อยๆ
แฟง สไบ รุ่ง เอี้ยง ที่ทำงานอยู่ในครัวหยุดชะงักฟัง
"มันมาแล้ว ข้าศึกบุกมาแล้ว หนีเร็ว" รุ่งบอก
พวกแม่ลูกอ่อน ต่างรีบอุ้มลูกวิ่งหนีเข้าบ้าน
แฟงกับสไบวิ่งช่วยกันพาเด็กๆ คนแก่หลบเข้าบ้าน

เสียงเกราะ - กลอง ดังก้องต่อเนื่อง

บริเวณลานซ้อมอาวุธ ใจ ฟัก กลุ่มหมู่เคลิ้ม วิ่งออกมารวมกับกลุ่มแท่น อิน โชติ เมือง ดอกไม้

ทองแก้ว และชายฉกรรจ์ที่ถืออาวุธเต็มลานค่าย
เสียงเกราะดังก้องมา
ดอกรักกำลังแจกดาบให้ชาวบ้านชายอยู่ที่เพิงตีดาบ แท่นก้าวออกมาด้านหน้าทุกคน
เสียงกลอง - เกราะเตือนภัย ดังไปทั่ว
พวกใจมองกันยังไม่เข้าใจ
"กำดาบของพวกเอ็งไว้ให้แน่น"
แท่นประกาศก้องบอกชายฉกรรจ์ตรงนั้นทุกคน
"ศัตรูมันมาให้พวกเรากุดหัวแล้ว"
ทุกคนบอก
"สู้ตาย เฮ..."
ชายฉกรรจ์ทุกคนสีหน้าฮึกเหิม รู้แล้วว่ากำลังจะต้องออกไปรบกับข้าศึกที่ยกมาถึงแล้ว

ชายคนหนึ่งวิ่งตีเกราะผ่านไป ดอกรักที่กำลังแจกอาวุธอยู่เงยมอง มือไม้สั่น ชายร่างกำยำที่อยู่มาก่อนบอกขึ้น
"มึงกลัวมันมากรึไอ้หนุ่ม เดี๋ยวกูจะตัดหัวมันมาฝาก"
ดอกรักสีหน้ากลัวมากขึ้น

สไบกำลังช่วยอพยพคนอยู่กับแฟง เสร็จแล้ววิ่งมามองไปหน้าค่าย
"ไปพี่สไบ เราไปดูที่หน้าค่ายกัน" แฟงบอก
รุ่งโผล่มาจากในครัว
"ฉันไปด้วย....ฉันไปด้วย"
รุ่งวิ่งตาม ผู้หญิงอื่นๆวิ่งตาม ต่างวิ่งตามออกไปเป็นขบวนอย่างเร็ว

แฟง สไบ รุ่ง เอี้ยง เหล่าแม่ครัว วิ่งมาทางหลังค่าย แล้วชะงัก.... ลานซ้อมอาวุธว่างเปล่า มีแต่ทหารยาม หอกลองยังตีอยู่
"ออกไปรบกันหมดแล้วหรือ" แฟงว่า
"ไม่น่า....กลองยังไม่หยุดตีเลย" สไบบอก
เสียงชาวบ้านถามกันเซ็งแซ่ ดอกรักวิ่งมาจากโรงตีดาบ
"พ่อค่ายกับพวกนักรบไปอยู่ที่วิหารพระอาจารย์" ดอกรักบอก
แฟงรีบบอกทุกคนในกลุ่ม
"พวกเขาไปกราบขอพรที่วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ"

บรรยากาศขรึม ขลัง ในวิหารปูนสีขาว เสียงสวดพระอาจารย์... พ่อค่ายบ้านระจันทั้ง 11 คนนั่งเรียงกันพร้อมหน้า ทั้งกำนันพันเรือง ผู้ใหญ่ทองเหม็น จันหนวดเขี้ยว ทองแสงใหญ่ ขุนสรรค์กรมการ แท่น โชติ อิน เมือง ทองแก้ว ดอกไม้
เสียงสวดพระอาจารย์ธรรมโชติ....เงียบ เสียงทุกอย่างเงียบ
ด้านหลังคือกลุ่มพ่อค่าย คือกลุ่มชายฉกรรจ์ นักรบ ถัดมาคือชาวบ้าน แฟง สไบ พาทุกคนมานั่งลงด้านหลังสุด
พระอาจารย์ธรรมโชติเดินออกมาจากด้านในวิหาร
พ่อค่ายทั้ง 11 คนก้มลงกราบ พร้อมๆกับชาวบ้านทุกคนที่ก้มกราบอย่างนอบน้อม
สายตาทุกคนพุ่งมองไปที่พระอาจารย์ธรรมโชติอย่างเป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจ
พันเรือง ผู้เป็นกำนันบ้านบางระจันเอ่ยขึ้นก่อน
"กองสอดแนมของเราไปเจอพวกข้าศึกกำลังเดินทัพมาร่วมร้อย มุ่งมาคลองสะตือ พักอยู่ฟากขะโน้นขอรับ พระอาจารย์"
พระอาจารย์นิ่งมองทุกคนด้วยสีหน้าสงบ
"พวกอังวะมันคงรู้แล้วว่าค่ายระจันนี้ เป็นที่รวมคนไทยที่มีหัวใจสู้เพื่อต้านทัพพวกมัน มันคงยกกองทหารมาปราบ กระผมได้ตกลงกันแล้วว่าครั้งนี้กระผมกับพวกพ่ออิน พ่อโชติ พ่อเมืองและนักรบบ้านศรีบัวทองจะขอออกไปรบเป็นกลุ่มแรกเพื่อต้านพวกมันไม่ให้บุกมาถึงค่าย ขอพรพระอาจารย์ให้พรคุ้มครองแก่พวกกระผมด้วย"
พระอาจารย์กวาดตามองทุกคนด้วย ยกมือพนมขึ้น
"ขอจงมีชัย.....เลือดเนื้อที่หวงแหนแผ่นดิน จงคุ้มครองให้พวกเจ้ารอดจากคมหอก คมดาบ คมมีด แหลน หลาวโตมรของศัตรู"
ทุกคนสีหน้ามีกำลังใจ เมื่อได้ยินคำอวยพรของพระอาจารย์
"อาตมาจะอยู่ดูแลเป็นขวัญเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ทำหน้าที่รักษาแผ่นดิน เพื่อให้พ่อแม่ลูกเมียของตัวได้อยู่ได้กิน ความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งประเสริฐ จะเป็นเกราะคุ้มตัวผู้เสียสละตลอดไป"
พระอาจารย์ที่ยื่นตะกรุดเลขยันต์กับผ้าประเจียดให้แท่น ผู้เป็นหัวหน้า อิน เมือง โชติและนักรบทุกคนสีหน้ามีขวัญ กำลังใจที่ดีอย่างมาก
แฟงกับพรรคพวกมองอย่างศรัทธา ยกมือไหว้อย่างลืมตัว
ใจจ้องไปที่พระอาจารย์ที่กำลังสวมมงคลหัวให้กับพวกแท่นและนักรบที่อาสาจะออกไป
พระอาจารย์พรมน้ำมนต์ให้ทุกคน ทุกคนก้มหัวรับน้ำมนต์เย็นชื่นบาน มีแต่ใจที่ไม่ก้มหัวลงต่ำเหมือนคนอื่นๆ เพียงแค่ค้อมตัวลงไม่ให้เด่นกว่าคนอื่นๆเท่านั้น
 
ทุกคนกำลังก้มตัวเลยไม่มีใครสังเกต ว่าใจสายตานิ่ง แข็งกร้าวกว่าสายตาปกติที่ทุกคนเห็น

เวลาต่อมา พันเรือง จันหนวดเขี้ยว ทองเหม็น และทองแสงใหญ่ ยืนเด่นอยู่บนประรำ ท่ามกลางชาวบ้านระจันทุกคนที่มายืนล้อมรอบ ผู้นำที่เหลือ อย่าง ขุนสรรค์กรมการ ทองแก้ว ดอกไม้ ต่างยืนมองอยู่ไม่ห่าง
 
สายตาทุกคนเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น ต้องการชัยชนะ
ทองเหม็นบอก
"ปู่กู ทั้งย่าทั้งแม่ ไอ้พวกอังวะมันผลักล้มคะมำ มันเอาตีนเหยียบอกแม่กู กูเคยกราบตีนแม่ แต่ตีนพวกมันข้ามแม่ที่กูกราบ ใครหน้าไหนจะทนนิ่งให้มันมาหยามหน้าเยี่ยงนี้อีก"
แฟงกับชาวบ้านประกาศ
"ไม่ ไม่ยอม"
"ไม่ยอมแล้วจะทำยังไง"
แฟงและชาวบ้านทุกคนยกมือโห่ร้อง
"เราจะสู้ เราจะสู้ สู้ๆๆๆ"
ใจที่ยืนอยู่ใกล้ๆสไบกับรุ่ง แอบมองสไบที่ตะโกนให้กำลังใจนักรบระจันอยู่อย่างพอใจ

พงไม้ด้านหนึ่งของคลองสะตือ แท่นนำอินกับนักรบร่วมร้อยคน ลอบซุ่มเดินทัพมาอย่าง
เงียบกริบ ทุกคนมีดาบและมีดเหน็บเอวไว้เป็นอาวุธต่อสู้ประชิดตัว

ทองแสงใหญ่ที่ยืนอยู่พูดขึ้นกับทุกคนที่ลานซ้อมอาวุธ ค่ายระจัน
"แผ่นดินนี้ต้องเป็นของคนไทย ใครไม่สู้ก็หลบไปเชือดคอตายในดงโน้น"
แฟง/ ชาวบ้านตะโกนบอก
"เราจะสู้ เราจะสู้"
"ตอนนี้พ่อแท่นกำลังฟันล่อพวกอังวะอยู่ เดี๋ยวเราก็จะยกไปเป็นกองหนุน ตีตลบหลังพวกมัน ข้าศึกไม่ทันรู้ตัว เราก็จะได้เปรียบ เด็ดหัวพวกมันได้หมด อย่าให้พวกมันมีหัวเหลือกลับค่ายได้"
"ฆ่ามัน ฆ่ามัน"
ใจตกใจนึกไม่ถึงว่าชาวระจันจะทำกลลวงฆ่าทหารอังวะ

ที่คลองสะตือ กลุ่มของแท่นซุ่มมองกำดาบพร้อม เห็นทหารอังวะกำลังตั้งค่ายกินข้าว

ใจฟังทองแสงใหญ่กับแฟงและชาวบ้านแล้วทำอะไรไม่ถูก
"สองแขนจะขอทำศึกเพื่อพ่อแม่ สองมือจะกำดาบปกป้องลูกเมีย"
"รบกับมัน รบกับ"
ใจถอยห่างออกไปเงียบๆ โดยไม่มีใครทันสังเกต

แท่นกับพวกค่อยๆคืบคลาน บุกเข้ามาเงียบ ทหารอังวะกำลังยืนคุยกันตามพุ่มไม้ถูกแท่น อิน กับพวกพุ่งเข้ารัดคอแล้วปาดตายทันทีไม่ทันได้ร้อง
กลุ่มของแท่นรุกเข้าไปใกล้ ทหารอังวะกลุ่มหนึ่งหันมาเห็น ก็จับดาบ ส่งเสียงบอกกัน
"โยธยา โยธยา"
ไม่ทันที่ทหารอังวะจะได้ตั้งตัว กลุ่มของแท่นพุ่งเข้าฟัน ตะลุมบอนทันที

จันหนวดเขี้ยวกำดาบที่ลานอาวุธ ตะโกนขึ้น
"คนเราเกิดมาได้หนเดียว ตายก็ตายหนเดียว ดาบใครไม่เปื้อนเลือด ก็ไม่ใช่ดาบคนบ้านระจัน"
ชาวบ้านทุกคนเฮ เสียงดังสนั่น กึกก้อง
"ไปพวกเรา ออกไปฆ่ามันให้หมด"
จันหนวดเขี้ยวเดินนำทุกคนออกประตูค่ายไป แฟง - สไบ มองตามอย่างตื่นเต้น

ฝ่ายแท่นกับอินสู้กับทหารอังวะ แบบประชิดตัว นักรบบางระจันหลายคนใช้มีดสั้นจ้วงแทง ปาดคอทหารอังวะแบบไม่ทันจะยกปืนยิงได้ การตะลุมบอนแบบตัวต่อตัว ฝ่ายแท่นกำลังได้เปรียบ

ลานครัวหลังค่ายระจันแฟง สไบ เดินมากับรุ่งกับกลุ่มผู้หญิงเพื่อมาเตรียมอาหารต่อ
รุ่งบอก
"รีบๆเข้า ทำอาหารไว้เตรียมส่งเสบียงให้พวกที่ไปรบ เพื่อเกิดศึกติดพัน"
"ฉันเอาไปให้เอง พี่รุ่ง" แฟงบอก
"นังแฟง เอ็งนี่จะห้าวเกินหญิง ให้ผู้ชายเค้าเอาไปสิวะ ขืนเอ็งไป พลาดพลั้งโดนจับได้ จะเอาตัวรอดได้มั้ย"
แฟงหน้างอไม่ทันจะเถียง รุ่งมองไปทางสไบ ถามขึ้น
"เออแล้ว พ่อพรานป่ารูปงามไปไหนเสียแล้ว เมื่อกี้ยังอยู่ข้างๆฉันเลย เผื่อจะให้ไปส่งเสบียง"
สไบหันไปมองแฟง สีหน้ากังวล
"แฟง... หรือว่าพี่ใจจะออกไปรบ"
แฟงนึกอะไรขึ้นมาได้ วิ่งไปทางหลังค่าย สไบวิ่งตาม

"แฟง จะไปไหน"

แฟงวิ่งนำสไบมาด้านหลังค่าย

"แฟง...เดี๋ยว พูดกันก่อน แฟงจะไปไหน"
"ฉันจะไปดูเขารบกัน"
"แฟง อย่าไปเลย มันอันตราย"
แฟงไม่ฟัง
"พี่สไบ ฉันอยากเห็นด้วยตาตัวเอง พี่แท่นเคยพาฉันไปล่อข้าศึกมาฆ่าหลายหนแล้ว แต่สนามรบคนเป็นร้อยฉันยังไม่เคยเห็น พี่สไบไปเตรียมกับข้าวกับปลาเถอะ เดี๋ยวฉันจะกลับมาพร้อมกับชัยชนะ"
แฟงรีบวิ่งออกไปเร็ว สไบได้แต่มองตามกังวล

ใจรีบวิ่งเร็วให้ไกลออกจากค่ายเพื่อไปส่งข่าวสำคัญ

กลุ่มของแท่นรบแบบประชิดตัว ทำลายทหารอังวะลงไม่ได้ทั้งหมด กองทหารปืนไฟอังวะ ยกปืนขึ้นประทับยิง กระสุนถูกนักรบหลายคนล้มตาย
แท่นตัดสินใจหันหลังวิ่งหนี นักรบพากันวิ่งตาม ล่าถอยเข้าไปหลังพุ่มไม้ ทหารอังวะได้ใจ วิ่งตามเข้าไป ในพุ่มไม้ เงียบกริบ ไม่เห็นนักรบบ้านระจัน ทหารอังวะมองกันแปลกใจ
ทหารอังวะคนหนึ่งเงยขึ้นไปมองบนต้นไม้ เห็นโชติ กับเมืองและพรรคพวกนักรบที่เหลือรออยู่แล้วกระโดดลงมาจากต้นไม้พร้อมๆกัน
โชติ เมือง และนักรบที่เหลืออีกครึ่ง ปาดคอทหารอังวะที่ตั้งตัวไม่ติด ตายลงอย่างเร็ว หัวหน้าทหารอังวะถูกแทงแต่ทนเจ็บ วิ่งถอย หนีตาย
ด้านนอกพุ่มไม้ หัวหน้าทหารอังวะคลานกระเสือกกระสนออกมา กระโจนขึ้นม้า ควบหนีไปอย่างเร็ว
กลุ่มนักรบบางระจันวิ่งนำชายฉกรรจ์ อีกพวกหนึ่งมาขวางไว้ พวกอังวะยิ่งตกใจ พยามต่อสู้ป้องกันตัว พวกระจันจึงเข้าล้อมฆ่าฟันทหารอังวะเป็นสามารถ แท่น อินที่ล่อพวกศัตรูเข้ามา วิ่งกลับมาช่วยฟันทหารอังวะอย่างดุเดือด ตายลงยิ่งกว่าใบไม้ร่วง

ใจที่วิ่งเร็วมาอีกด้าน แล้วหยุดมองไปรอบๆ ใจเป่าเลียนเสียงนกเขา 3 ครั้ง เจิดพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ กระชากตัวใจมาอย่างแรง
"มานี่"
ใจถูกเจิดลากเข้าไปหา จาดยืนรออยู่ในชุดพรางตัว มีผ้าปิดหน้า จาดดึงผ้าออก ใจเห็นเป็นจาดเต็มตา จาดตบหน้าใจอย่างแรง
"แกเป็นสายสืบประสาอะไร ถึงได้ส่งข่าวให้พวกเรามาตาย อองนาย"
ใจมองจาดกับเจิด
"ข้า สอนคนมานาน"
จาดมองไปที่เจิด แล้วตวัดสายตากลับมามองใจ
"ไม่เคยเลยที่จะมีลูกศิษย์โง่เง่าอย่างแก"
ที่แท้ จาด ไม่ได้เป็นพ่อของใจ !!
"ฟังข้าก่อน สยา"
สยาที่ใจเรียกนั้น แปลว่าครู
"พวกระจันมันกล้า แล้วรักแผ่นดินอย่างไม่กลัวตาย" ใจหรือ อีกนามหนึ่งว่า "อองนาย" เป็นชาวอังวะ
"ข้ารู้ ข้าถึงให้หาทางทำให้มันแตกความสามัคคีกัน" จาดบอก
"ข้ากำลังหาทางอยู่ สยา"
"เพราะแกมัวหลงนังผู้หญิงชื่อ สไบ"
"สไบไม่เกี่ยว"
จาดปราดเข้าไปตบหน้าใจทันที
"ข้ารู้ว่าแกรักมัน คอยช่วยมัน จนเกือบจะเสียแผนหลายครั้ง"
"ข้าผิดเอง สยา ไม่เกี่ยวกับสไบ"
"พอก่อนอองนาย หยุดเถียงสยา" เจิดบอก
"อูทินลิน" จาดเรียกเจิด
เจิดหรืออูยินก้มหน้ารอรับคำสั่งจาก จอกยีโบ หรือจาด ครูผู้สั่งสอนวิชาทั้งหมด
"เอามันกลับไปที่ค่าย โปเมงยีจะเป็นคนตัดสินความผิดของมัน"
เจิดดึงใจขึ้นมา ใจมองจาด
"พวกระจันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ยิ่งเราทำลาย เค้าจะยิ่งเข้มแข็ง"
จาดหันมามองตาวาววับ ชกเข้าหน้าใจด้วยความโมโหสุดขีด
"อองนาย แกเป็นทหารอังวะ หรือทหารกรุงศรี"
อองนายมองจอกยีโบที่กำลังโกรธจัด

แฟงวิ่งข้ามน้ำมาอย่างทุลักทุเล แต่ไม่ท้อ....กลัวไม่เห็นเขารบกัน

ใจหรืออองนาย นายทหารสอดแนมของอังวะกำลังถูกเจิดหรืออูยิน เพื่อนรุ่นพี่ ศิษย์ครูเดียวกันลากตัวออกไป จอกยีโบหรือจาดที่ปลอมตัวมา เดินนำ
เสียงฝีเท้าเดินเร็วมา ทุกคนชะงัก หลบมอง ใจเห็นแฟงเดินผ่านหน้าพุ่มไม้ไป ไวเท่าความคิด จอกยีโบดึงดาบสั้นออกมาทันที
"อย่าฆ่า แฟง ... สยา อย่า"
จอกยีโบไม่ฟัง ปิดหน้า พุ่งออกไป ใจจะตาม อูยินพุ่งรวบตัวใจทันที จอกยีโบตามมาดักหน้า แฟงตกใจ ด้านใน อูยินใช้ไม้ทุบใจจนสลบ
"ข้าขอโทษ อองนาย ข้าต้องทำ"
ใจร่วงลงกับพื้น
ด้านนอกพุ่มไม้ จาดกำลังพุ่งเข้าแทงแฟง แต่แฟงเอี้ยวตัวหลบอย่างว่องไว จาดปักมีดลง แต่พลาด แฟงผลักจาดเต็มแรงแล้ววิ่งหนี อูยินหรือเจิดวิ่งออกมาสมทบกับจาด ผู้เป็นครู
"ฆ่ามันให้ได้"

แฟงวิ่งหนีมาอย่างเร็ว ล้มลง ก็พยายามลุกขึ้นวิ่งต่อ ด้านหลัง เจิดกับจาดวิ่งตามมา
 
อ่านต่อหน้า 4

บางระจัน ตอนที่ 6 (ต่อ)

บริเวณท่าน้ำคลองหลังค่ายระจัน สไบเดินไปเดินมา คอยชะโงกมอง

"สไบ สไบ พวกนักรบกลับมากันแล้ว"
สไบสะดุ้งหันไปมอง เห็นดอกรักเดินมาใกล้
"ชนะใช่มั้ย"
"ข้าศึกทั้งร้อย ตายหมด"
สไบยิ้มออก ดอกรักมองแล้วถามขึ้น
"ทำไมมายืนตรงนี้"
สไบทำเป็นไม่สนใจ จะเดินออกไป
"ฉันมาเดินเล่น"
ดอกรักไม่เชื่อ คว้ามือสไบไว้
"ไอ้ใจหายไป"
ดอกรักสายตาคมกริบ
"มันไม่ใช่พวกออกไปรบ แต่หายตัวไป ฉันตามหามันทั้งค่าย ก็ยังไม่เห็นหัว"

ใจที่สลบอยู่ ค่อยๆฟื้นขึ้นมา
"แฟง"
ใจลุกขึ้นวิ่งออกไป หวังจะช่วยแฟงไว้ทันที

แฟงวิ่งเร็วมา แต่สะดุดตอไม้ล้มกลิ้งลงไป เจิดที่วิ่งตามมา กำลังจะถึงตัว คว้าแขนแฟงไว้ไม่ให้หนี แต่มีเท้ามาถีบเข้าที่แขนเจิดอย่างแรง จนแขนหลุดจากมือแฟง
แฟงหันไปทันที
"พี่ทัพ"
ทัพยืนอยู่ พอเห็นว่าผู้หญิงที่เข้ามาช่วยคือแฟง แววตาตื่นเต้นยินดี
"แฟง"
เจิดพอเห็นเป็นทัพ ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะสู้ด้วย เพราะรู้ว่าทัพฝีมือดีมาก อาจจะเพลี่ยงพล้ำให้ถูกจับได้ จาดวิ่งตามมา มองเจิดที่รั้งรอ
ทัพหันมามองเจิดกับจาดที่อยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้า
"พวกมึงรังแกผู้หญิง"
ทัพไม่รอ พุ่งดาบเข้าหาเจิด เจิดหลบ สู้เตะต่อย แต่ทัพไล่ฟัน จาดเห็นทีว่าจะแย่ และไม่ต้องการให้ถูกจับได้ ก็พุ่งลูกดอกเข้าหาทัพ
"พี่ทัพ ระวัง"
ทัพหลบไม่ทัน ลูกดอกอาบยาพุ่งเข้าปักแขนขวา
เจิดถือโอกาสวิ่งหนีตามจาดไปทันที ทัพจะวิ่งตาม แต่เจ็บแขนที่กำลังโดนยาพิษ
"โอ๊ย"
แฟงเข้ามาประคองทัพ มองสบตากัน
"พี่ทัพ"
ทัพยังไม่ทันพูดอะไร ดาบในมือก็หลุดลง ทรุดกายด้วยความเจ็บ
"ลูกดอกอาบยาพิษ"
ทัพสีหน้าไม่ดี รู้ว่ากำลังเสี่ยงถ้ายาพิษแล่นเข้าสู่หัวใจ

ใจที่วิ่งเร็วมา คิดจะไปช่วยแฟงไว้ให้ทันเวลา

แฟงกำลังประคองทัพเอาไว้
"พี่ทัพ อดทนนะ อีกนิดเดียว ฉันจะพาพี่ไปค่ายบ้านระจัน"
"พี่ไปคนเดียวไม่ได้ ยังมีคนอื่น"
ทัพพยายามจะบอก แต่เสียงเบาลง เริ่มปวดแผลที่ลูกดอกปักอยู่
"พี่ทัพ ทนหน่อยนะ"
แฟงเอามือแตะไปที่ลูกดอก
"ฉันจะดึงมันออกให้"
แฟงกำลังจะดึงลูกดอกออกจากแขนขวาของทัพ
ใจที่วิ่งเข้ามาเห็น ตะโกนห้าม
"อย่าดึง"
ทัพกับแฟงหันไปมองใจทันที
"ใจ" ทัพเรียก
"อย่าดึง จะทำให้พิษมันกระจายเร็วขึ้น ทัพจะตายชั่วลมหายใจ"
แฟงรีบปล่อยมือจากลูกดอกเพราะกลัวทัพจะตาย ทัพมองใจด้วยความสงสัยทันที
"ไอ้ใจ เอ็งมาที่นี่ได้ยังไง"
ใจอึ้ง ยังนึกไม่ออก ว่าจะตอบคำถามและสายตาสงสัยของทัพได้ยังไง

ดอกรักกำลังเรียบดาบที่นักรบเอามาคืนเข้าที่ นักรบค่ายบ้านระจันหลายคนยิ้มแย้ม กินน้ำกินท่าที่ลูกเมียเอามาให้อยู่อย่างมีความสุขที่ชนะศึกมา หลายคนเลือดเลอะทั้งตัว หลายคนกำลังเช็ดดาบที่เลอะเลือดทหารอังวะ
สไบเดินหาใจ ดอกรักหันมาเห็นก็ไม่พอใจ เดินมาหา
"หาเจอมั้ยล่ะไอ้ใจของเอ็ง"
สไบหันมามองดอกรัก แววตาขุ่นเคือง สีหน้าไม่พอใจ
"ทีนี้เชื่อข้าหรือยังว่าไอ้ใจมันไม่ได้มาดี"

สไบหันกลับมา แววตาเริ่มกังวล

ใจยืนอยู่ตรงหน้า แฟงที่ประคองทัพอยู่ด้วยความเป็นห่วง ทัพที่ถูกลูกดอกอาบยาพิษ มองใจ แล้วถามทวนขึ้น

"เอ็งมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ใจ"
ใจมองทัพกับแฟงแล้วตอบอย่างไม่มีพิรุธ
"ฉันแอบตามพวกในค่ายออกมา อย่าเพิ่งถามอะไรเลย แฟง พาทัพไปในค่ายก่อน เราต้องรีบหาว่านมาช่วยแก้พิษ"
ใจเข้ามาช่วยแฟงพยุงทัพขึ้น เอาแขนทัพอีกข้างคล้องคอ
"ข้าไปไม่ได้"
"เราต้องรีบไป ไม่งั้นพิษจะวิ่งไปทั้งตัว"
"ข้าไปไม่ได้ .. ข้าต้องรอ"
"รอไม่ได้แล้ว ต้องไปเดี๋ยวนี้"
แฟงมองทัพกับใจที่ไม่ยอมกัน
"ข้าไปคนเดียวไม่ได้"
แฟงฟังแล้ว สังหรณ์ใจ
"พี่เฟื่อง พี่เฟื่องมาด้วยใช่มั้ย"
แฟงถามขึ้นด้วยความดีใจ
"ไอ้ทัพ"
เสียงเรียกของสังข์ดังมาจากด้านหลัง แฟงกับใจหันไปมองทันที สังข์นำขบวนกองคาราวาน เฟื่อง จวง ขาบ และชาวบ้านที่เหลือจากบ้านพรานเข้ามา
"พี่เฟื่อง"
"แฟง"
แฟงพอเห็นพี่สาวก็ดีใจ ค่อยๆปล่อยแขนจากทัพให้ใจพยุง แฟงวิ่งเข้าไป กราบเฟื่องที่อก เฟื่องน้ำตาคลอ ทัพมองด้วยสายตายินดีที่เห็นสองพี่น้องได้เจอกันอีกครั้ง
"พี่เฟื่อง ฉันผิดไปแล้ว"
เฟื่องพอเห็นน้องสาวก็ลืมเรื่องผิดใจที่ผ่านมาทั้งหมด สวมกอดแฟงด้วยความคิดถึง
"แฟง แม่เป็นยังไงบ้าง"
"แม่คิดถึงพี่เฟื่องทุกวัน ฉันก็คิดถึงพี่"
สองพี่น้องกอดกันด้วยความคิดถึง
ทัพดีใจ จู่ๆความปวดแปลบก็แล่นเข้าที่แขน ทัพเข่าอ่อน ทรุดร่าง ใจหันมอง
"ทัพ"
ทุกคนหันมามองทัพที่หน้าซีดด้วยความตกใจ
"ไอ้ทัพ เอ็งเป็นอะไร" ขาบถาม
"พี่ทัพถูกลูกดอกอาบยาพิษ ช่วยพี่ทัพด้วย"
แฟงตอบ ทุกคนสีหน้าตกใจ รีบวิ่งมาดูทัพ

ฟัก หมู่เคลิ้ม เอิบ ช่วง กำลังทำงานกันอยู่ สังข์กับใจช่วยกันหามทัพเข้ามา ฟักรีบนำมาวางที่แคร่ใต้ต้นไม้
"พี่ทัพ....ไปยังไงมายังไงถึงเจอพี่ทัพกันได้" ฟักว่า
ทุกคนพากันล้อมดูด้วยความตกใจ ทัพสีหน้าเจ็บปวดจากพิษที่กำลังแล่นแปลบไปทั้งร่าง
แต่ทัพก็กัดฟันทนเจ็บ
"พวกเอ็งมียาดีอะไร รีบๆไปเอามาสิวะ ไอ้ทัพมันจะตายอยู่แล้ว" สังข์บอก
เคลิ้มบอก
"ลูกดอกแบบนี้ ข้าไม่เคยเจอ ตอนนี้ ข้าว่าต้องดึงมันออกมาก่อน"
สังข์ทำท่าจะดึง ใจร้องห้าม
"อย่าดึง"
"จะปล่อยให้พี่ทัพตายหรือ"
"ถ้าดึง ก็ตาย"
ใจพูดห้วน ทุกคนมองตกใจ ทัพมองใจ ใจมองทัพ
"ฉันจะไปหายาแก้พิษ อย่าให้หลับ หาอะไรให้กินเพื่อขย้อนของในท้องออกมา"
ใจสั่งแล้ววิ่งออกไปทันที ทุกคนมอง ทัพเริ่มบิดตัว
"เอาไงดีวะ" สังข์ว่า
"ก็ทำอย่างที่ไอ้ใจนั่นมันบอก" ฟักบอก
"เชื่อมันได้ยังไง ข้าว่าดึงลูกดอกออก ก็สิ้นเรื่อง"
สังข์ยังดื้อ จะเข้าไป ฟักกระชากสังข์ผลักออก สังข์กับขาบยืนอยู่คนละด้าน เผชิญหน้ากับพวกฟักทันที
"หยุดเลยไอ้สังข์ อย่าแตะต้องพี่ทัพ"
"ใจเย็นไอ้ฟัก ข้ากับไอ้สังข์ไม่ได้คิดร้ายกับไอ้ทัพ" ขาบบอก
"น้ำหน้าอย่างพวกเอ็ง เพื่อนชั่ว ใครจะเชื่อวะว่าไม่คิดร้ายได้ ถุย" เอิบว่า
"มึงถุยกูเหรอวะ ไอ้เอิบ"
สังข์โมโห จะลุยเข้าไป ขาบดึงไว้
ทัพเห็นสองฝ่ายที่ไม่ถูกกัน ก็พยายามยันตัวลุกขึ้นห้าม
"หยุด หยุด"
ทัพฝืนไม่ไหว ร่วงลงกับพื้น ทุกคนหันไปมองอย่างตกใจ ทัพกำลังสะลึมสะลือ สังข์รีบเข้ามาเขย่าเพื่อน
"ไอ้ทัพ เอ็งอย่าหลับนะ"
"อ้าว ไหนเอ็งว่าไม่เชื่อไอ้ใจ" ช่วงถาม
หมู่เคลิ้มบอก
"โว๊ย พวกมึงจะหยุดกัดกันสักประเดี๋ยวได้มั้ยวะ ดูนั่น ไอ้ทัพไม่ได้จะตายเพราะพิษลูกดอก แต่จะตายเพราะมัวแต่ห้ามพวกมึงกัดกันนี่แหละ"

หมู่เคลิ้มพูดด้วยความโมโห ทุกคนหันไปมองทัพอย่างเป็นห่วง

เหล่าแม่ครัวกำลังพัดเร่งไฟ ควันฉุยบนเตา ต้มยาสมุนไพรด้วยหม้อดิน แฟงหอบฟืนวิ่งมา ช่วยสุมไฟด้วยเป็นห่วง เฟื่องกับจวง นั่งร้องไห้อยู่กับนางเฟี้ยม นางจันทร์ที่แคร่ใต้ต้นไม้ใกล้ลานครัว

แฟงถาม
"ยาได้หรือยัง พี่เอี้ยง ทำไมช้าจัง"
"นี่ก็รีบพัดจนมือจะหักแล้ว แฟง" เอี้ยงบอก
แฟงรีบแย่งพัด ปาดเหงื่อ จันทร์มองจวงกับเฟื่องที่เอาแต่ร้องไห้
จันทร์ถามลูกสาว
"ถ้าพี่ทัพเขาไม่เป็นอะไรมาก เอ็งจะมาร้องไห้กันอยู่ทำไม ให้แม่ไปดูมันหน่อย"
"พี่ทัพไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ แม่อย่าเพิ่งไปเลยนะ เดี๋ยวพี่ทัพฟื้นไข้เขาก็มาหาแม่เองแหละ"
"เอ๊ะ นังจวง กูไม่เจอลูกมาตั้งนาน ทางแค่นี้มึงจะมาห้ามกูทำไม มึงโกหกกูใช่ไม๊ว่าไอ้ทัพไม่เป็นอะไร"
"งั้นก็ไปเลย ไปสิ แม่ เป็นลมขึ้นมา ทีนี้หน้าพี่ทัพก็จะไม่ได้เห็น"
แฟงทิ้งพัด
"ยาได้แล้ว เดือดแล้ว"
จันทร์กับจวงหยุดเถียงกัน หันมามอง
แฟงวิ่งเข้ามา มีเศษผ้าในมือ จับหูหม้อดิน 2 ข้างขึ้นทันที
"ถือไปดีๆนะ แฟง"
แฟงมองทุกคนบอก
"ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ ยาหม้อนี้ต้องช่วยพี่ทัพได้"
แฟงถือหม้อยา กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทันที ทุกคนมองตามอย่างมีหวัง เฟื่องขยับจะเดินตามไปด้วยความเป็นห่วงทัพ
"เฟื่อง เอ็งไม่ต้องไป"
เฟื่องหันมาทางแม่
เฟี้ยมถาม
"มาเล่าให้แม่ฟังให้หมด เอ็งสองคนถูกไอ้สังข์ ไอ้ขาบจับไป มันทำอะไรเอ็งมั่ง เล่ามาเถอะ รู้ไม๊ แม่ร้องไห้คิดถึงเอ็งทุกคืนเลยนะ"
เฟื่องลงกอดแม่ร้องไห้หนักขึ้น
จวงมองเฟื่อง สีหน้าเจื่อนๆ นางจันทร์เองก็ถามขึ้น
"เอ็งด้วย จวง มาเล่าสิว่าไอ้ขาบ ไอ้สังข์มันทำอะไรเอ็งบ้าง แล้วทำไมพี่ทัพถึงตามไปช่วยเอ็งได้"
สองสาวสบตากัน ลำบากใจ อึดอัดใจเมื่อจะต้องเล่าความจริงที่ผ่านมาให้แม่ฟัง

ทัพเริ่มหนาวสะท้าน ทุกคนสีหน้าไม่ดี
"ไอ้ทัพแข็งใจไว้นะเอ็ง"
"ข้า...หนาว"
"ยาต้มคงจวนมาแล้ว"
ทุกคนสีหน้ามีหวัง

บริเวณทางเดินหน้าบ้านสังข์ ในค่าย สไบเดินเร็วมา ดอกรักเดินเร็วตามหลัง
"พี่จะไปไหนก็ไป อย่ามาเดินตามฉัน"
"สไบ พี่เตือนเพราะห่วงเอ็งจริงๆ"
สไบวิ่งหนี ดอกรักวิ่งตาม แต่ไม่ทันมอง แฟงถือหม้อยาต้มวิ่งมาเป็นอย่างห่วงทัพโดยไม่ทันดู
ดอกรักวิ่งปาดหน้าในระยะกระชั้น แฟงตกใจ
"เอ้ย"
แฟงผงะถอยหลัง มือหลุดจากหม้อที่ถือ สไบตกใจ
ดอกรักเข้าไปช่วยคว้าหม้อ แต่หม้อร้อน จนดอกรักปล่อยมือ สะบัดมือเร่า หม้อหลุดมือตกลงกับพื้น แตกกระจาย แฟงหน้าเสีย สไบวิ่งมาข้างแฟง ถามด้วยความสงสัย
"ยาของใครน่ะ แฟง"
แฟงตาวาวด้วยความโกรธ

ทัพกำลังดิ้นทุรนทุราย ทุกคนมองอย่างเป็นห่วง แฟงวิ่งเข้ามา สไบ ดอกรักวิ่งตามหลัง ฟักหันไปถามแฟงทันที
"ยาแก้ไข้ล่ะ แฟง"
แฟงหน้าไม่ดี ดอกรักก้าวเข้ามาบอกทุกคน
"ฉันเป็นเหตุให้แฟงทำหม้อยาตกแตก"
เอิบบอก
"ปัดโธ่ คนอย่างเอ็งนะไอ้ดอกรัก เคยทำอะไรดีๆบ้างวะ"
เอิบโมโห ดอกรักกำหมัด เถียงไม่ออกเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องความเป็นความตายของทัพ
แฟงถามขึ้น
"พี่ใจล่ะ"
สไบมองทุกคนอย่างพยายามจับความทั้งหมดให้เร็วที่สุด
สังข์บอก
"นั่นน่ะสิ ไอ้ใจมันไปหายาถอนพิษถึงไหน หรือจะปล่อยให้ไอ้ทัพมันตายเสียก่อน"
"คนที่อยากให้พี่ทัพตาย มันก็มีแต่ไอ้เพื่อนชั่ว สองคน"
แฟงหมายถึงสังข์กับขาบ
สังข์หันขวับมาทางแฟงทันที
"เออ ใช่ .. แต่ก่อนข้าอยากให้มันตาย แต่ตอนนี้ข้ารักนับถือน้ำใจไอ้ทัพเท่าชีวิตข้า"
"สันดานงูพิษ มันไว้ใจไม่ได้หรอก"
"เอ็งไว้ใจพวกข้าได้ แฟง ความดี ความเสียสละของไอ้ทัพมันเปลี่ยนสันดานชั่วของข้าสองคนไปแล้ว" ขาบบอก
แฟงมองสังข์ ขาบอย่างระแวง สไบมองกังวล

"พี่ทัพต้องไม่เป็นอะไร พี่ใจต้องหายามาช่วยพี่ทัพได้"

ในป่าลึก ลับตาคน ใกล้ค่ายระจัน เวลาเย็น ใจก้าวเข้ามา เจิดที่ยืนรออยู่พุ่งเข้ามากระชากคอใจ แต่ใจแววตานิ่ง

"ฉันรู้ว่าพี่ต้องมารออยู่แถวนี้"
"สยาโกรธมากนะอองนาย ทำไมแกต้องช่วยคนไทย ตามฉันกลับไปที่ค่าย"
"ยังไปไม่ได้พี่อูทินลิน ฉันต้องได้ยาแก้พิษไปช่วยเขาก่อน ฉันรู้ว่าพี่มี"
"ไอ้ทัพมันเก่ง ตายไปเสียได้จะดีกับเรา"
"ฉันปล่อยให้เขาตายไม่ได้ เขาเคยช่วยชีวิตฉัน"
"แต่พวกมันเป็นศัตรูของเรา"
"พี่อูทินลิน ที่เราแกล้งช่วยคนไทยเพราะต้องการสร้างบุญคุณ แล้วมันก็ได้ผล เขาถือเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทน คนไทยใจบุญ ถือนักหนาว่าใครเคยช่วยเหลือจะนับเป็นพี่เป็นน้อง"
เจิด มองใจที่เอ่ยอธิบายเหตุผล
"ทัพกับฉันสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ถ้าคราวนี้ช่วยให้เค้ารอด ฉันจะอยู่ในค่ายระจันได้อีกนาน คนอย่างไอ้ทัพจะพาฉันไปถึงตัวพ่อค่ายได้ทุกคน"
"กว่าจะถึงป่านนั้น แกก็คงใจอ่อนกลายเป็นคนไทย"
"ฉันรู้ว่าฉันเป็นใคร ไม่เคยลืมว่าฉันมาที่นี่เพื่อทำให้กองทัพของเรามีชัยเหนือกรุงศรี ขอยาแก้ให้ฉันเถอะพี่อูทินลิน แล้วแผนของเราจะสำเร็จ"
ใจแววตาแข็งกร้าว เจิดมองเห็นแววตาเพื่อนรุ่นน้องแล้วตัดสินใจล้วงลงไปในเสื้อ หยิบว่านอันเล็กที่ห่อไว้ด้วยแผ่นผ้าลงอักขระ ส่งให้
"สยาบอกว่า คนใจอ่อนอย่างแกต้องมาขอยาแก้พิษไปให้คนไทย"
ใจมองเจิดที่เดาได้มาแต่ต้น
"ยานี้ สยากำกับคาถาไว้ว่าเมื่อไหร่ที่แกผิดคำสาบาน สยาบอกว่าเมื่อนั้นคมดาบไอ้ทัพจะบั่นคอแกเอง"
เจิดส่งยาให้ ใจสีหน้าลังเล ก่อนจะตัดสินใจรับมากำไว้อย่างมีความหวังว่าจะต้องช่วยทัพได้

บริเวณหน้าเรือนฟัก ทัพที่หนาวสั่น ไข้ขึ้น เพ้อ แรงสั่นนั้นจนแคร่สะเทือน สังข์กับฟักช่วยกดไหล่ไว้คนละด้าน
"ปล่อยข้า ปล่อย ข้าจะไปฟันไอ้พวกศัตรู"
ทุกคนมองทัพที่เริ่มเพ้อไม่ได้สติ
"แผ่นดินนี้ ต้องเป็นของพวกเรา"
แฟงสีหน้าไม่ดี สังข์ทนไม่ได้
"ดึงไอ้ลูกดอกนี่ออกเถอะวะ"
"ดึงไม่ได้" ฟักบอก
"รออยู่อย่างนี้ ไอ้ทัพก็ตายเหมือนกัน"
เอิบหงุดหงิดบ่น
"ไอ้ใจ มันไปถึงไหนเนี่ยะ"
ทุกคนเริ่มกระวนกระวาย ใจถือหัวว่านแห้งอันเล็กวิ่งเข้ามา
"พี่ใจ มาเร็วๆ พี่ใจ" แฟงร้องเรียก
ทุกคนมองมีความหวัง ใจเดินเข้ามา ทัพกำลังสั่น ใจง้างปากทัพ แล้วเอาว่านชิ้นเล็กใส่เข้าไปในปาก ทัพไม่รู้สติ ถุยออกมา ใจหยิบว่านเอาใส่ไปใหม่แล้วปิดปากทัพไว้
"ทัพ ทัพ ฉันเอง"
ทัพแววตาเลื่อนลอยมองใจ
"อมไว้ทัพ อมยานี้ไว้ แล้วพิษจะออกมาทั้งหมด"
อยู่ๆทัพดิ้น สังข์ ขาบ ฟัก หมู่เคลิ้มต้องช่วยกันกดแขนขา แฟง เอิบ ช่วง สีหน้าไม่ดี ทัพยิ่งดิ้นแรง เพราะยากำลังเข้าไปขับพิษ จนปวดแสบปวดร้อนไปทั้งร่าง
"มึงเอาอะไรให้เพื่อนกูกิน"
ใจยังไม่ทันตอบ มองอาการทัพ ทัพเฮือกขึ้นทั้งตัว ดิ้นแรง ทุกคนกระเด็นไปคนละทาง
แฟงร้อง
"พี่ทัพ"
แฟงจะวิ่งเข้าไปดึงทัพ แต่ใจกระชากแฟงรั้งตัวไว้ ทัพพุ่งลง อาเจียนออกมา เห็นเลือดก้อนสีดำคล้ำบนพื้น ทุกคนผงะ ทัพอาเจียนออกมาอีกครั้ง ใจผละจากแฟงเข้าไปดึงลูกดอกออกหลังจากนั้นทันที
ทัพร้องลั่น ก่อนจะสลบไปกับพื้น สังข์พุ่งเข้ามากระชากคอใจทันที
"มึงทำอะไร เพื่อนกู"
ใจมองสังข์ แววตานิ่ง
"ทัพรอดตายแล้ว"
ใจสะบัดออกจากสังข์ ปาลูกดอกยาพิษลงพื้น
แฟงเข้าไปประคองทัพขึ้นมา สายตากังวล ใจหันไปมองสไบที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ใจยิ้มให้สไบ แต่สไบสีหน้าไม่ดี จนใจรู้สึกได้

เวลากลางคืน บริเวณลานประชุม พ่อค่ายกับชาวบ้านกำลังกินดื่ม พูดคุยกันถึงตอนไปรบกับอังวะ ทุกคนสีหน้าสดชื่น นายทองเหม็นกอดไหเหล้า พูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแห่งชัยชนะ
ทองเหม็นบอก
"ข้าล่ะสุขใจเหลือเกิน ที่ดาบชาวค่ายบ้านระจันได้ดื่มเลือดศัตรูทุกคน"
ชาวบ้านเฮ พ่อค่ายทุกคนยิ้มแย้มกับชัยชนะ พันเรืองเอ่ยขึ้น
"ศึกนี้ยังไม่จบ พวกมันต้องมาที่นี่อีก"
"เราจะไม่หนีไปไหน จะปักหลักสู้ตายที่นี่" ทองแสงใหญ่บอก
จันลูบหนวดโง้งเรียวงาม
"ขอให้ข้าศึกมันแห่กันมาเถิด พวกเราจะสู้"
แท่นดึงดาบ ชูขึ้น
"บ้านระจันจะรบ รบเพื่อแผ่นดินตัวเอง"
ทุกคนชูมือตามพ่อค่าย แววตาฮึกเหิม
ชาวบ้านบอก
"บ้านระจัน รบ รบ เพื่อพ่อแม่ลูกหลานเรา"
เสียงแห่งความกล้าหาญ หวงแหนแผ่นดินของทุกคนดังก้อง ใจยืนมองอยู่มุมหนึ่ง คิดหนักหันกลับมาเจอสายตาสไบจ้องมองอยู่แล้ว
"วันนี้พี่หายไปไหนมา"

สไบเอ่ยถามด้วยเสียงเคลือบแคลงใจ
 
อ่านต่อตอนที่ 7
กำลังโหลดความคิดเห็น