ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 7
ทิวัตถ์กับศักดิ์สิทธิ์เปิดประตูเข้ามาในห้องพักในรีสอร์ท ก่อนที่ฝ่ายแรกจะโยนเสื้อสูทลงบนเก้าอี้ พลางหันมาถาม
“รูปเป็นไงบ้าง? ฉันยังไม่ได้ดูเลยว่ะ”
“เยี่ยมมาก ฉันไม่รู้ว่าช่างภาพที่ฉันหามาฝีมือดี หรือนางแบบนายแบบของฉันเข้าถึงอารมณ์กันแน่”
ทิวัตถ์นิ่งไป เมื่อนึกถึงลิลิน
“นั่นแน่ะ มีทำเคลิ้มซะด้วย อย่าบอกนะว่านายติดใจคุณลินเข้าแล้ว”
“ไม่ตลกว่ะ แกจะทำอะไรก็ไปเลยไป”
“เออๆ งั้นฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อน เหนียวตัวมาทั้งวันเลยว่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มขำ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป พร้อมๆ กับที่เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น
“ครับ ใช่ครับ รถผมขวางเหรอครับ? ได้ครับ เดี๋ยวลงไปเลื่อนรถให้เดี๋ยวนี้ครับ”
ทิวัตถ์วางสาย พลางขมวดคิ้วแปลกใจ
พนักงานที่เคาน์เตอร์วางหูโทรศัพท์ ก่อนจะเดินมาหากฤษดา ที่ยืนอยู่ด้านหน้า
“ต้องขอประทานโทษคุณลูกค้าที่ให้รอด้วยนะครับ ทางเราได้โทร. ขึ้นไปแจ้งเรียบร้อยแล้ว คุณลูกค้าท่านนั้นกำลังลงมาแล้วครับ”
กฤษดาได้ยินอย่างนั้นก็เดินออกมา พร้อมกับยิ้มร้ายกับแผนการ
“นีเป็นอะไรหรือเปล่า? หรือว่าใครทำให้นีโกรธ”
ลิลินหันมาถามวิชนีขณะที่นั่งอยู่ในห้องพักด้วยกัน
“จะมีใครล่ะ ก็เจ้าของโรงแรมขี้เก๊กนั่นไง ลินคิดดูนะ ฉันทำอาหารในครัวเหนื่อยแทบตายไม่เคยเห็นหัวกัน ทีนี้พอฉันจะขอย้ายมาทำที่นี่ ก็เพิ่งมาเห็นคุณค่าไม่ยอมให้ไปทำที่อื่นอีก”
“นีเอ่ยปากขอคุณสิทธิ์ไปแล้วเหรอ?”
วิชนีส่ายหน้า พลางมองหากระเป๋าก่อนจะนึกได้
“ลืมได้ไงเนี่ย? ลิน เธอช่วยอะไรฉันหน่อยสิ ฉันดันลืมกระเป๋าเสื้อผ้าไว้บนรถอีตานั่นน่ะสิ”
“เธอก็ไปเอากุญแจรถที่คุณสิทธิ์ไปเปิดสิ คุณสิทธิ์อยู่ถัดไป 2-3 ห้องเอง”
วิชนีเบ้หน้า
“หูย ไม่เอาอะลิน ลินนั่นแหละไปเอากุญแจรถแล้วลงไปเอากระเป๋าให้ฉันหน่อยนะ ขืนฉันเจออีตานั่นอีกเดี๋ยวได้มีเรื่องรีสอร์ทแตกแน่ พูดแล้วยังหงุดหงิดไม่หาย”
ลิลินจำต้องรับคำ ก่อนจะรีบลุกเดินออกไป
ทางด้านทิวัตถ์ที่เดินเข้ามาที่ลานจอดรถ ก็สังเกตว่ามีคนเดินตามมา พอหันไปมอง ก็เห็นคนสวมหน้ากากถือไม้เข้ามาทำท่าจะหาเรื่อง เขาไม่ทันระวังตัว จึงถูกลูกน้องของกฤษดาที่แอบอยู่ด้านหลังเข้ามาเอาไม้ฟาดที่กลางหลังจังๆ จนเซถลาไป ก่อนจะลูกน้องคนหนึ่งพุ่งเข้ามาล็อกตัวไว้ เขาพยายามดิ้นอย่างอ่อนแรง ขณะที่อีกคนเข้ามาชกเข้าที่ท้อง และปาก
ทิวัตถ์ฉวยจังหวะกระโดดถีบลูกน้องคนที่ 2 เข้าที่ด้านหน้าจนล้มกลิ้งไป พลางขยับตัวจะหนี แต่ช้ากว่ากฤษดาที่ถือปืนเขามาจ่อที่หลัง
“ที่นี่จะเป็นที่ตายและที่ฝังศพของแก ไอ้วิน”
ลิลินที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ก็ร้องตะโกนออกมา
“ทางนี้ค่ะคุณตำรวจ ทางนี้ค่ะ”
กฤษดากับลูกน้องตกใจ ทิวัตถ์อาศัยจังหวะนั้นสวนกลับถีบเข้าที่ท้อง ก่อนจะคว้ามือลิลินวิ่งหนีมาที่รถที่จอดอยู่ ก่อนจะเปิดประตูข้างคนขับ แล้วผลักลิลินเข้าไป จากนั้นก็อ้อมไปยังที่คนขับ พร้อมทั้งขับเคลื่อนรถออกไป
กฤษดาเห็นทิวัตถ์กับลิลินขับรถออกไป ก็มองด้วยแววตาอาฆาตแค้น
“โธ่เว้ย! ตามสิวะ”
จากนั้นก็วิ่งนำลูกน้องที่ขึ้นรถ แล้วขับตามทิวัตถ์ออกไปทันที
“พวกนั้นเป็นใคร?” ลิลินหันมาถามทิวัตถ์ขณะที่ฝ่ายหลังขับรถวิ่งมาตามทาง
“ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ๆ มันก็โผล่มาทำร้ายผม”
จู่ๆก็มีแสงไฟรถส่องมาจากด้านหลัง เขามองทางกระจกหลังด้วยสีหน้าเครียด เธอหันมองตาม
“พวกมันตามมา”
ทั้งคู่สบตากันสีหน้าเคร่งเครียด ขณะะที่กฤษดาอาศัยช่วงที่ปลอดคน หยิบปืนออกมา ก่อนจะยิงไปที่รถทิวัตถ์ ที่รีบหักหลบซ้าย-ขวา ก่อนจะบอกลิลิน
“เปิดเก๊ะ เอาปืนให้ผม”
ลิลินเปิดลิ้นชักหน้ารถ ก่อนจะรีบหยิบปืนส่งให้ ทิวัตถ์โผล่ออกไปยิงปืนใส่รถกฤษดา ลิลินตกใจ รีบจับพวงมาลัยและคอยบังคับแทน
รถกฤษดาหักหลบเสียงเบรกดังลั่น ก่อนจะหมุนเข้าข้างทาง เพราะฝ่ายนั้นไม่คิดว่าทิวัตถ์จะมีปืน
ก่อนที่ลูกน้องจะถอยตั้งลำรถใหม่ แล้วรีบขับตามทิวัตถ์ต่อไป
ทิวัตถ์ส่องกระจกมองหลังดูเห็นว่ารถของกฤษดาไม่ตามมาแล้ว แต่แล้วอยู่ๆ รถก็เกิดอาการสะดุด
เขามองไปที่หน้าปัดก่อนจะเห็นไฟรูปเครื่องยนต์สว่างขึ้น
“มาเสียอะไรตอนนี้วะ”
ทิวัตถ์หน้าเครียด ก่อนจะหักรถหลบเข้าข้างทาง ทั้งคู่รีบลงมาจากรถ เขายืนมองข้างทางที่เป็นเหวลึก ก่อนจะหันไปบอก
“ลงไป ไม่มีเวลาคิดแล้ว ไปเร็ว”
ทั้งคู่รีบปีนลงข้างทางที่เป็นเหวลึกทันที
ทางด้านกฤษดาที่ไล่ตามมา ก็เหลือบไปเห็นรถของทิวัตถ์จอดอยู่ข้างทาง
“จอด”
ลูกน้องปราดรถมาจอดเทียบบริเวณรถของทิวัตถ์ที่จอดควันโขมงอยู่ กฤษดากับลูกน้องรีบลงไปดูภายในรถอย่างระวังตัว ก่อนจะพบว่าไม่มีใครอยู่ในรถ
กฤษดาหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินหยิบไฟฉายในรถแล้วเดินไปส่องที่ป่าข้างทาง
ทิวัตถ์กับลิลินที่ยืนหลบที่ใต้หินที่เป็นชะง่อน เห็นแสงไฟฉายของกฤษดากวาดดูไปรอบๆ เขารีบส่งสัญญาณให้เธอเงียบเสียง
กฤษดาชักปืนออกมาก่อนจะยิงกราดระบายอารมณ์ บังเอิญกระสุนไปโดนพื้นดินส่วนหัวของทิวัตถ์ทำให้พื้นดินสไลด์ลง จนลิลินเสียหลัก ร้องลั่น ทิวัตถ์ได้ยินก็รีบกระโดดคว้ามือไว้
“จับมือผมไว้”
กฤษดามองลงมาก็เห็นทั้งคู่ “คิดว่าจะพ้นหรือไง?”
พลางวาดปืนขึ้นมาเล็งที่ทิวัตถ์ก่อนจะสาดกระสุนใส่ กระสุนถากทิวัตถ์ห่างออกไปไม่ไกล ลิลินเห็น ก็เกรงว่าทิวัตถ์จะอันตรายเพราะเธอ
“ปล่อยฉัน ขืนคุณจับฉันไว้แบบนี้ คุณจะต้องโดนยิงแน่”
แต่ทิวัตถ์ไม่ยอม “ยังไงผมก็ไม่ปล่อย”
ทั้งคู่มองสบตากัน ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ลิลินสัมผัสได้ถึงความดีของทิวัตถ์ในแววตาคู่นั้น
กฤษดาและลูกน้องตามเข้ามาด้านหลัง พลางยกปืนเล็งมาที่ทิวัตถ์
“ตายซะ”
ขณะที่กฤษดากำลังลั่นไก ร่างของทิวัตถ์กับลิลินก็ลื่นไถลตกเขาไป ทำให้เขารอดพ้นจากกระสุน ไปได้อย่างหวุดหวิด
กฤษดาถอดหน้ากากออก พลางหัวเราะอย่างสะใจ
“เหวลึกขนาดนี้ พวกมันไม่รอดแน่”
ทางด้านทรงพลก็หน้าเครียด เพราะโทร. ติดต่อทิวัตถ์ไม่ได้ ศุภารมย์รีบบอกว่าเขาโทร. มาแจ้งแล้วว่าไปช่วยโปรโมทโรงแรม ทรงพลจึงค่อยเบาใจขึ้น ก่อนจะหันมาถามอีกฝ่าย
“เห็นเมื่อกี้ยอดบอกว่าคุณออกไปข้างนอกมาหรอ?”
“ไปหาป้าน้อยน่ะค่ะ ฉันไปยื่นข้อเสนอให้ป้าน้อยกับหนูณิตเลิกยุ่งกับวัน”
ทรงพลสังเกตจากท่าทางของศุภารมย์ก็พอจะคาดเดาได้
“ป้าน้อยคงไม่รับง่ายๆ ล่ะสิ”
“ค่ะ ป้าน้อยเป็นคนฉลาด เธอรู้ว่าวันกำลังหลงหนูณิต แล้วเธอก็คงรู้ว่าเราไม่อยากให้หนูณิตเข้ามาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเท่าไหร่เราก็ต้องยอม”
“นี่ตาวันชอบหนูณิตจริงๆ เหรอ?” ทรงพลถามย้ำ
“ฉันคิดว่าเป็นอย่างนั้น แต่ฉันว่าต้องเป็นการวางแผนของป้าน้อยแน่ๆ ค่ะ”
ทรงพลหน้าเครียด หนักใจ
“ถ้าอย่างนั้น ป้าน้อยจะเรียกเท่าไหร่ก็ให้แกไป ขออย่างเดียว เรื่องทุกอย่างจะต้องจบ ก่อนวินจะกลับมา”
“ได้ค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
ศุภารมย์พูดอย่างมั่นใจ
ทิวัตถ์กับลิลินนอนสลบอยู่กลางป่า ก่อนที่ฝ่ายแรกจะรู้สึกตัวก่อน เขาขยับตัวลุกขึ้น พลันก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลัง แต่ก็พยายามแข็งใจ พยุงตัวลุกขึ้น พร้อมกับมองหาลิลิน ก่อนจะเห็นเธอนอนสลบอยู่ จึงเข้าไปดูใกล้ๆด้วยความเป็นห่วง
“คุณ คุณ”
ลิลินค่อยๆ ลืมตา พอเห็นว่าเป็นทิวัตถ์ก็ตกใจ จึงต่อยเขาเข้าไปเต็มๆ
“โอ๊ย อะไรของคุณเนี่ย?”
“แล้วใครใช้ให้มาปลุกใกล้ขนาดนี้ล่ะ”
ทิวัตถ์ค่อยเบาใจ “แรงดีอย่างนี้ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ฉันไม่เป็นไร”
ลิลินพูดพลางลุกขึ้นนั่งปัดเศษใบไม้ออกจากเนื้อตัว พลางถามย้ำ
“พวกนั้นเป็นใคร?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกนั้นดักทำร้ายผม โชคดีที่คุณโผล่มา”
ลิลินมองค้อน “โชคดีของคุณ โชคร้ายของฉันซิ”
“นี่คุณ ผมก็ไม่ได้อยากให้คุณเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรด้วยหรอกนะ แล้วถ้าผมไม่พาคุณหนีมาอย่างนี้คิดเหรอว่าพวกมันจะปล่อยคุณ”
ลิลินเห็นจริงอย่างที่ทิวัตถ์พูด แต่ไม่วายเถียง
“ดีนะที่พวกมันไม่ได้จงใจเล่นงานฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงถูกใครบางคนมองว่าฉันมีปัญหาเรื่องการ
สับรางอีกแน่ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”
ทิวัตถ์มองไปรอบๆ เห็นมีแต่ความมืด ก็หนักใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ไม่รู้สิ โทรศัพท์?”
พูดพลางค้นหาโทรศัพท์ตามกระเป๋ากางเกง แต่ก็ไม่เจอ จึงหันไปหาลิลิน
“ของคุณล่ะ? ของผมหล่นหายไปไหนไม่รู้”
ลิลินล้วงกระเป๋า แล้วก็ตกใจ
“ของฉันก็หายเหมือนกัน”
ทั้งคู่นั่งพิงต้นไม้รอกันอยู่กลางป่าที่เงียบสงัดครู่ใหญ่ ก่อนที่ลิลินจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหว
“ขืนรออยู่อย่างนี้คงไม่มีใครมาเจอแน่ๆ เพราะตอนที่เราออกมาก็คงไม่มีใครเห็น”
“ผมขอโทษ”
ทิวัตถ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนลิลินนึกแปลกใจที่เขายอมขอโทษง่ายๆ แต่ก็ยังทำเป็นแข็งอยู่เพราะกลัวเสียภาพพจน์ พลางลุกขึ้นเดินห่างออกไปแล้วก็ตะโกน
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่า ช่วยด้วย”
แต่ทุกอย่างกลับเงียบสงัด
“ในป่ามืดๆ แบบนี้ใครเค้าจะได้ยินคุณ”
ลิลินมองค้อน “หรือคุณมีวิธีอื่น? ฉันว่าแถวนี้น่าจะมีบ้านคนนะ”
“แต่ผมว่าเราควรจะนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นจะยิ่งหลงกันไปใหญ่”
“แล้วทำไมฉันต้องเชื่อคุณ? ฉันจะไป”
ลิลินไม่สนใจจะเดินออกไป ทิวัตถ์รีบห้ามไว้
“คุณไม่จำเป็นต้องเอาชนะผมทุกเรื่องก็ได้ ในป่าตอนกลางคืนอย่างนี้ ขืนคุณเดินสุ่มสี่สุ่มห้าออกไป มีหวังได้พลัดตกเหวลึกกว่าเดิมแน่”
ลิลินชะงัก แต่ก็เดินออกไป เพราะอยากเอาชนะ ทิวัตถ์มองตามอย่างหมั่นไส้
“อยากไปก็ตามใจ ระวังจะเจออย่างอื่นที่ไม่ใช่คนล่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์เดินนุ่งผ้าขนหนูพันท่อนล่างเดินออกมาจากห้องน้ำ พลางตะโกนบอก
“ไอ้วิน ตาแกแล้ว อ้าว ไปไหนของมันวะ?”
พลันเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขารีบเดินไปเปิดประตูในสภาพเดิมเพราะคิดว่าเป็นทิวัตถ์
“แกหายไปไห.....”
แต่พอประตูเปิดออก เห็นเป็นวิชนี ทั้งสองฝ่ายต่างตกใจ
“กรี๊ด ไอ้ลามก”
วิชนีร้องลั่น พร้อมกับผลักศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในห้อง ส่วนตัวเองยืนหันหลังให้อยู่ที่ประตู เขารีบเข้าไปใส่เสื้อในห้อง ก่อนจะเดินกลับมาหาเธอที่ประตู
“มีอะไร?”
วิชนีค่อยๆ หันมา พอเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็โล่งอก
“ลินอยู่ไหน?”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า “จะไปรู้หรอ?”
“ก็ฉันให้ลินมาเอากุญแจรถที่นายเพราะฉันจะเอากระเป๋าฉัน นายซ่อนเพื่อนฉันไว้ที่ไหน?
บอกมานะ”
“อะไรของเธอเนี่ย ฉันบอกว่าฉันไม่รู้”
วิชนีไม่เชื่อ ชะเง้อมองเข้าไปในห้อง ศักดิ์สิทธิ์หนีให้พ้นทาง
“เข้าไปดูเลยมั้ย เป็นไง คุณลินบินเต็มห้องเลยสิ”
“แล้วลินหายไปไหน?”
วิชนียืนครุ่นคิดด้วยความสงสัย และเป็นห่วงลิลิน
ลิลินเดินมาเรื่อยๆ ตามทางเดินที่มืดมิด ก่อนจะสะดุดรากไม้ล้มลง ทำให้สติกลับมา พลางเริ่มคิดได้ตามที่ทิวัตถ์พูด เธอกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว ระหว่างนั้นได้ยินเสียงสวบสาบจากข้างหลัง เธอหันขวับกลับไปอย่างระวังตัว ก่อนจะเห็นว่าเป็นทิวัตถ์
“โธ่ คุณนี่เอง “
“ไหนบอกไม่กลัวไง?”
ลิลินพยายามทำเก่ง “ใครกลัว? ตามมาทำไม?”
“ผมปล่อยคุณไปไหนไม่ได้หรอก เดี๋ยวไอ้สิทธิ์มันจะว่าเอา”
ลิลินเบ้ปาก “เอาคนอื่นมาอ้าง จริงๆ แล้วคุณก็กลัว”
“ผมเนี่ยนะ เฮ้อ ตามใจ จะพูดอะไรก็พูด”
ขาดคำทิวัตถ์ก็เดินนำไป ลิลินแอบยิ้มแล้วก็เดินตาม ระหว่างนั้นทิวัตถ์ก็เป็นฝ่ายสะดุดรากไม้จนล้มลงบ้าง
“อะไรล้มแค่นี้มันจะเจ็บอะไรมากมาย นายไม่อยากไปจนต้องเล่นละครเลยเหรอ?”
ลิลินนึกว่าทิวัตถ์แกล้งสำออย ก็รีบพ฿ดเหน็บ แต่อีกฝ่ายกลับเอามือเอื้อมจับหลัง สีหน้าเจ็บปวด
จนเธอเริ่มเอะใจ รีบก้มลงไปดู
“คุณเป็นอะไร?”
พูดพลางมองตามมือ เห็นทิวัตถ์จับหลังอยู่ เธอดึงมือออก ก่อนจะเปิดเสื้อขึ้นดูก็เห็นรอยช้ำที่หลัง
“หลังคุณเจ็บ”
“สงสัยจะกระแทกกับหินตอนที่ตกลงมาเมื่อกี๊”
ทิวัตถ์นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
อ่านต่อหน้า 2
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 7 (ต่อ)
วิชนีกับศักดิ์สิทธิ์เดินมาตามทาง พร้อมกับโทรศัพท์หาลิลินและทิวัตถ์ แต่มือถือของทิวัตถ์ติดต่อไม่ได้
“ไอ้วินปิดเครื่อง แล้วคุณลินล่ะ?”
วิชนีคิ้วขมวด พลางเอานิ้วชี้แตะปาก
“เงียบก่อนซิ นายไม่ได้ยินเสียงเหรอ?”
วิชนีเอามือถือออกห่าง แล้วเดินตามเสียง ศักดิ์สิทธิ์เดินตาม จนไปเจอโทรศัพท์ลิลินตกอยู่ที่พื้น
“ทำไมมือถือลินมาตกอยู่ตรงนี้? หรือว่าลินจะถูกคุณวินจับตัวไป”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “จริงด้วย ไอ้วินต้องจับคุณลินไปที่กระท่อมปลายนา เพื่อแก้แค้นให้สาสม แล้วคุณลินก็จะต้อง ต้อง ต้องอะไรเล่า ฉันประชด คิดได้ยังไงว่าไอ้วินจะจับตัวคุณลินไป”
วิชนีหน้าเครียด
“เอ้า ก็คุณวินหายไปเหมือนกัน นายไม่สังเกตหรือไงว่าสองคนเนี่ยไม่ถูกกัน บางทีคุณวินอาจจะโมโหก็เลยจับลินไปสั่งสอนก็ได้”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า “ไม่มีทาง ไอ้วินไม่ใช่คนเล่นพิเรนทร์แบบนั้น”
ทั้งคู่หน้าเครียด นึกเป็นห่วงลิลินกับทิวัตถ์
ลิลินพยุงทิวัตถ์มานั่งพักที่ต้นไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงข้างๆ แล้วฉีกชายเสื้อตัวเองออก ทิวัตถ์ตกใจ
“คุณจะทำอะไร?”
ลิลินไม่พูดอะไร กลับเอาผ้าที่ฉีกมาพ่นลมร้อน ก่อนจะอังที่หลังให้อีกฝ่าย
“พ่อฉันเคยทำให้แบบนี้ตอนฉันตกต้นไม้หัวโน ถึงมันจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ความร้อนก็พอจะบรรเทาความปวดได้”
ทิวัตถ์นั่งเคลิ้มมองลิลินที่ประคบอุ่นหลังให้อยู่ก็ลืมเจ็บ เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ทั้งคู่สบตากันอย่างซึ้งๆ
“มองอะไร?” ลิลินถามแก้เขิน
“มองอะไร มือหนักขนาดนี้ ผมก็เจ็บสิคุณ”
ลิลินแกล้งกดแรงขึ้น “อย่างนี้เบาพอมั้ย”
ทิวัตถ์ร้องลั่น ขณะที่อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งทำตัวปรกติอยู่ข้างๆ
“พักตรงนี้ก่อนแล้วกัน เผื่อพรุ่งนี้จะมีคนมาเจอ”
“คุณจะทำอะไรก็คิดถึงใจเจ้าวันหน่อยก็แล้วกัน”
ทรงพลหันมาพูดย้ำกับศุภารมย์ขณะเดินลงมาจากชั้นบนด้วยกัน
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถ้าป้าน้อยแกรับข้อเสนอ หนูวรรณิตจะหายไปจากจังหวัดนี้ทันที”
ทรงพลหน้าเครียด เหมือนไม่อยากทำผิดอีกแล้ว ระหว่างนั้นเสียงกริ่งก็ดังขึ้น
“อิฉันไปดูเองค่ะ”
ป้าจวนรีบเดินออกไปดู ศุภารมย์กับทรงพลหันมามองหน้ากันอย่างแปลกใจ
พอทั้งคู่เดินเข้ามาที่โถง ก็เห็นวาสนาเดินเข้ามาจากหน้าบ้านพอดี ศุภารมย์แอบยิ้มดีใจ คิดว่าอีกฝ่ายมารับข้อเสนอ
“สวัสดีค่ะป้าน้อย”
ทรงพลรีบถามต่อ “ป้าน้อยมาทำอะไรแต่เช้าครับ?”
“ฉันว่า เรื่องอย่างนี้ เราน่าจะหาที่คุยที่เป็นส่วนตัวหน่อยนะ”
ทรงพลกับศุภารมย์มองหน้ากันอย่างรู้กัน ว่าวาสนามาเรื่องวรรณิตแน่ๆ
จากนั้นทั้งหมดก็เข้ามาคุยกันในห้องทำงานของทรงพล
“มีอะไรก็ว่ามาเลยครับ”
“แหมพ่อพล เข้าประเด็นเร็วดีจริง ฉันชอบ แม่ต่าย ฉันมาคิดๆ ดูแล้วนะ จำนวนเงินที่แม่ต่ายบอกฉันเมื่อวาน มันก็มากอยู่นะ เพียงแต่ว่า....”
วาสนาชะงักคำพูดไว้ เพื่อรอดูท่าที แต่ศุภารมย์กับทรงพลก็นิ่งเฉย เพราะรู้อยู่แล้ว
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เมื่อวันก่อนเพิ่งมีคนมาติดต่อให้แม่ณิตไปลงประกวดนางงามจังหวัด เขาบอกว่าได้เงินรางวัลเยอะด้วยนะ เพราะแม่ณิตน่ะรูปร่างหน้าตาผิวพรรณก็ดีไม่ใช่น้อย”
“แล้วทำไมป้าไม่ให้หนูณิตลงประกวดซะเลยล่ะครับ” ทรงพลย้อนถาม
“เพราะอะไรล่ะ? ก็เพราะว่าพ่อวันบอกจะแต่งงานกับแม่ณิต หล่อนก็เลยต้องพลาดโอกาสนั่นไป
นี่นะ แมวมองคนนั้นยังบอกอีกว่า ถ้าแม่ณิตไปประกวด รับรองชนะเลิศ ได้เงินรางวัลหลายล้าน เฮ้อ ฉันล่ะเสียด๊ายเสียดาย”
วาสนาทำทีเป็นสงสาร ทรงพลกับศุภารมย์มองหน้ากันอย่างรู้กันว่าฝ่ายนั้นเจตนามาขอเงินเพิ่มแน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้นป้าบอกมาเลยดีกว่าค่ะ ว่าป้าอยากได้เท่าไหร่?”
วาสนามองหน้าทั้งคู่แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าแม่ต่ายรักษาคำพูด ฉันก็เหมือนกัน” วาสนายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้กับศุภารมย์กับทรงพล ขณะที่ทั้งหมดเดินลงบันไดมาพร้อมกัน
“ป้าก็รู้ว่าฉันเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น”
แต่แล้วทั้งหมดก็ชะงักกึกเมื่อเห็นอนันยชยืนอยู่ วาสนาจำใจทักทายไปตามพิธี
“อ้าวพ่อวัน เพิ่งตื่นหรอ ยายกำลังจะกลับพอดี ฉันไปก่อนนะแม่ต่าย พ่อพล”
พุดจบก็รีบเดินออกไป อนันยชมองตามอย่างสงสัย
“ยายน้อยมาทำไมครับแม่?”
“แกมาเยี่ยมแม่น่ะ”
อนันยชรู้ว่าศุภารมย์คงวางแผนขัดขวางงานแต่งตัวเอง
“ไม่ต้องมาโกหกผม ผมรู้ว่าแม่กับคุณน้าคิดจะทำอะไร”
“วันคิดว่าแม่จะทำอะไร?”
ศุภารมย์ย้อนถาม ด้วยท่าที่นิ่งๆ อนันยชยิ่งโกรธ
“ทำไมแม่ต้องขัดขวางผมด้วย”
ทรงพลพยายามท้วง
“ถ้าวันพูดถึงเรื่องแต่งงาน น้าว่าวันลองคิดดีๆ อีกทีดีกว่านะ”
“ผมคิดดีแล้ว ยังไงผมก็ยืนยันว่าผมจะแต่งงานกับวรรณิต แล้วถ้ายังมีคนเข้ามาจุ้นจ้านอีก ผมจะพาณิตไปอยู่ที่อื่น”
ศุภารมย์โมโห “วันขู่แม่หรอ?”
“ผมไม่ได้ขู่ ถ้าแม่ยังคิดขวางผมอีก แม่จะไม่ได้เห็นผมอยู่ในบ้านหลังนี้แน่”
ขาดคำก็ผลุนผลันเดินออกไปอย่างหัวเสีย
ทางด้านทิวัตถ์ที่ยังคงอยู่กลางป่าลึกกับลิลิน ก็เริ่มตัวรุมๆ เหมือนจะมีไข้
“ตัวคุณเริ่มอุ่นๆ เหมือนจะมีไข้นะ แล้วนี่ยังปวดอยู่มั้ย?”
ลิลินถามอย่างเป็นห่วง ทิวัตถ์ส่ายหัวแล้วยิ้มน้อยๆ
“ฉันขอโทษ คุณช่วยฉันไว้ทำไม? ถ้าคุณปล่อยให้ฉันตกลงมาคุณก็ไม่ต้องมาเจ็บแบบนี้”
ทิวัตถ์หันมาสบตาลิลิน ด้วยแววตาอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็กลัวความรู้สึกตัวเอง จึงแกล้งพูดกลบเกลื่อน
“ขืนผมปล่อยให้คุณเป็นอะไร ไอ้สิทธิ์ได้เอาผมตายแน่”
ลิลินหมั่นไส้ “ปากดีอย่างงี้เดี๋ยวก็ปล่อยให้นั่งอยู่ที่นี่ซะเลย”
“เชิญ ผมก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใครเหมือนกัน”
ทิวัตถ์พูดจบ ลิลินก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที ทำเอาเขาถึงกับหน้าเหวอ
“กลัวคุณศักดิ์สิทธิ์บ้างล่ะ ไม่อยากติดหนี้บุญคุณบ้างล่ะ”
ลิลินบ่น พลางหันกลับไปมองทางที่เดินมา
“เรียนภาษาไทยที่ไหน ไม่คิดจะพูดดีๆ ให้เหมือนคนอื่นเลยรึไง?”
ทิวัตถ์พยายามยันตัวจะลุกขึ้น แต่ก็กลับเจ็บขาแปล๊บขึ้นมาอีก ขณะที่ได้ยินเสียงสวบสาบอยู่ข้างหลัง เขารีบมองหาอาวุธป้องกันตัว ก่อนจะเอื้อมหยิบท่อนไม้ที่อยู่ใกล้ตัวขึ้นทันที แต่พอหันกลับมา มือที่ถือไม้ ก็เงื้อค้าง เมื่อเห็นลิลินเดินถือกล้วยป่าเข้ามา
“คุณ?”
“ทำไม คิดว่าฉันเป็นตัวอะไรหรือไง? อะนี่ กินซะ”
พูดพลางยัดกล้วยใส่มือทิวัตถ์
“ถึงฉันจะเกลียดคุณมาก แต่ฉันก็ไม่ใจร้ายพอที่จะเห็นคุณตายไปต่อหน้าต่อตาหรอกนะ”
“ผมต้องขอบคุณคุณงั้นสิ” ทิวัตถ์ไม่วายพูดประชด
“ไม่ต้อง ที่ฉันทำฉันไม่ได้หวังอะไรทั้งนั้น แค่คุณไม่ตายก็พอแล้ว เรารอมาตั้งคืนนึงแล้ว ไม่เห็นมีใครออกตามหาอย่างที่คุณพูดเลย”
“รออีกหน่อยเถอะคุณ ยังไงก็ไม่น่าจะเกินพรุ่งนี้”
ลิลินหน้าเครียด
“พรุ่งนี้เลยหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีนอนฟุบหลับเอามือคล้องกอดกันอยู่ที่ล็อบบี้ของรีสอร์ท ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกของทีมงาน
“คุณศักดิ์สิทธิ์คะ”
ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีงัวเงียตื่น ก่อนจะเห็นกันและกันอยู่ตรงหน้า ทั้งคู่ต่างตกใจ รีบผละออกจากกัน พลางหันไปเห็นทีมงานที่กำลังยืนงงกันอยู่
“ตอนนี้ที่กองพร้อมแล้วนะคะ รอก็แต่คุณทิวัตถ์กับคุณลิลิน”
ศักดิ์สิทธิ์อึกอัก “เอ่อ รอแป๊บนึงได้มั้ยครับ”
“อีกนานมั้ยคะ? ไม่อย่างนั้นสงสัยเราต้องคิดอีกคิวนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ เดี๋ยวผมจะรีบขึ้นไปปลุกไอ้วินเดี๋ยวนี้เลยครับ คุณก็รีบไปปลุกคุณลินล่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปส่งสัญญาณให้วิชนี ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมายิ้มแหยๆ ให้ทีมงาน แล้วก็พากันเดินตามหา
ทิวัตถ์กับลิลินทั่วรีสอร์ท แต่ก็ไม่เจอ
“เก็บของ แล้วไปอยู่ที่อื่นซะ”
วาสนาหันมาบอกวรรณิตด้วยน้ำเสียงเข้ม จนอีกฝ่ายนึกแปลกใจ
“ทำไมอยู่ๆ ยายถึงไล่ณิตล่ะคะ?”
“ตอนนี้แผนที่จะให้แกแต่งกับพ่อวินมันไม่สำเร็จ แกก็กลับบ้านไปได้แล้วไป”
วรรณิตยิ้มดีใจที่ได้กลับบ้าน แต่ไม่วายเป็นห่วงเรื่องเงิน
“เอ่อ แล้วเรื่องเงิน”
วาสนาอารมณ์ขึ้นทันที
“แกเสียท่าให้พ่อวัน ทำให้ฉันเสียเงินไปตั้งเท่าไหร่ หล่อนยังจะมีหน้ามาขอเงินอีกเหรอ ไป รีบออกไปเลยนะ”
“ ไม่ต้อง” อนันยชพูดแทรก พร้อมกับเดินเข้ามา “ผมจะไม่ยอมให้ณิตไปไหนทั้งนั้น ณิต ไปเก็บเสื้อผ้า แล้วไปกับผม”
“อย่าเชียวนะพ่อวัน”
อนันยชหันมามองวาสนาด้วยแววตาเอาเรื่อง
“ยาย ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“แม่ให้เงินยายเท่าไหร่?”
อนันยชถามตรงประเด็น เมื่ออยู่กับวาสนาตามลำพัง แต่อีกฝ่ายกลับทำนิ่งเหมือนไม่รู้เรื่อง
“ผมรู้ว่ายายไปบ้านผมเพื่ออะไร”
“ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
“แล้วถ้าผมให้เงินมากกว่าแม่ ทีนี้ดูมีประโยชน์ขึ้นบ้างหรือยัง?”
วาสนาหันมองอนันยชที่ท่าทางจริงจัง ก็เห็นช่องทางทำเงิน
เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน เห็นวรรณิตกำลังเก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับไปอยู่บ้าน ก็รีบสั่งห้าม
“แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
วรรณิตงงและเริ่มโมโห ที่วาสนาเปลี่ยนไปมา ฝ่ายหลังจึงใช้ไม้อ่อนเข้าลูบ เดินยิ้มหวานเข้าหา
“โถแม่คุณ ยังตกใจอยู่เหรอจ๊ะ?”
“ยายจะเอายังไงกับณิตกันแน่? เมื่อกี้ไล่ณิตเหมือนหมูเหมือนหมา แต่ตอนนี้กลับไม่ให้ณิตไป”
“ฉันขอโทษ ลืมเรื่องเมื่อกี้ให้หมด ยายผิดเอง”
วรรณิตยืนนิ่งอย่างไม่เข้าใจ “คุณวันบอกอะไรกับยาย?”
วาสนายิ้มอย่างมีเลศนัย
ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีหน้าเครียด เพราะตามตัวทิวัตถ์กับลิลินไม่เจอ ครู่หนึ่งทีมงานก็วิ่งเข้ามา
“ยังไม่เจออีกหรอคะ? เรารอไม่ได้แล้วนะคะ เพราะมีงานต่อที่กรุงเทพฯ”
ศักดิ์สิทธิ์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนตัดสินใจ
“ไม่เป็นไรครับ ภาพที่ถ่ายไว้เมื่อวานก็น่าจะพอ ขอโทษด้วยนะครับ”
ทีมงานยิ้มรับ พลางรีบเดินออกไป วิชนีครุ่นคิด
“คุณวินกับลินหายกันไปค่อนคืนแล้วนะ นายว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจอย่างแป็นกังวล
“ฉันว่ามันชักจะแปลกๆ อยู่เหมือนกัน”
วิชนีทนรอไม่ไหว จึงตัดสินใจจะไปแจ้งความ
เวลาผ่านไป ทิวัตถ์กับลิลินก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ลิลินห็นทิวัตถ์ที่อาการแย่ลงทุกที ก็โพล่งขึ้นมา
“ฉันจะออกไปหาคนมาช่วย ก่อนที่คุณจะเป็นหนักไปกว่านี้”
พลางเอื้อมมือขึ้นจะแตะหน้าผากของอีกฝ่ายเพื่อดูไข้ ทิวัตถ์อึ้งไปเมื่อเห็นว่าเธอเป็นห่วงเขา แต่ไม่วายพยายามซ่อนความรู้สึกของตัวเอง
“ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องมาทำดีกับผมหรอก ยังไงผมก็ไม่มีทางติดเบ็ดคุณเหมือนผู้ชายพวกนั้น”
ลิลินมองอย่างน้อยใจ “คุณคิดอย่างนี้ซินะ?”
“ทำไม? หรือไม่จริง ออกไปหาคนมาช่วย หรือจะไปตามรถไฟขบวนไหนล่ะ อ๋อ นายวิทยาอะไรนั่นหรือไอ้คนที่ต่อยผม”
“ที่คุณโดนต่อยเพราะสิ่งที่คุณทำ ฉันกับคุณวิทหรือมัต เราไม่ได้เป็นแฟนกัน รวมถึงคนอื่นๆ ที่คุณกล่าวหาด้วย”
ลิลินพูดพลางเดินออกไป ทิวัตถ์แอบดีใจเล็กๆ รีบเดินตามไป แล้วก็ทำเป็นเจ็บหลัง
“โอ๊ย ช่วยพยุงผมหน่อยสิคุณ”
“แขนขาไม่ได้เจ็บซะหน่อย ลุกเองซิ”
ลิลินไม่สนใจ ทิวัตถ์แอบอมยิ้ม
ทั้งคู่เดินเรื่อยมาอย่างไร้จุดปลาย ครู่หนึ่งทิวัตถ์ก็ปวดหลังจนทนไม่ไหว ทั้งคู่จึงนั่งพักที่ก้อนหินใหญ่
“คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้พาหลง”
ทิวัตถ์หันมาถามย้ำ ลิลินส่ายหน้า
“แล้วมันมีอะไรให้ฉันมั่นใจมั้ยล่ะ?”
ทิวัตถ์พยักหน้าช้าๆ พลางมองไปรอบๆ ก็เห็นมีแต่ต้นไม้
“ผมลืมไปว่าคุณเป็นคน ไม่ใช่เสือสมิง”
ลิลินหน้าเสีย “เข้าป่าใครเขาให้พูดถึงเสือ เคยรู้เรื่องอะไรกับเขาบ้างมั้ยเนี่ย?”
“ท่าทางคุณรู้เรื่องต้นไม้ใบหญ้าดีเหลือเกินนะ”
“พ่อฉันชอบต้นไม้ ตอนเด็กๆ ฉันตามพ่อมาตั้งแคมป์ในป่าบ่อยๆ”
ลิลินเผลอหลุดปาก ก่อนจะรู้สึกตัว หันมองทิวัตถ์ แต่อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นยืนเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟัง
“คุณได้ยินเสียงอะไรมั้ย?”
ทั้งสองเงียบจนได้ยินเสียงน้ำไหล ลิลินยิ้มขึ้นมาทันที
“เสียงน้ำจริงด้วย”
ทั้งคู่หันมายิ้มให้กันอย่างดีใจ
“งั้นเราไปดูกัน”
ทิวัตถ์กำลังจะเดินไป ลิลินรีบห้าม
“ไม่เป็นไร คุณนั่งรอที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันเดินไปดูเอง ฉันไปแป๊บเดียว คุณเจ็บหลังอยู่จะได้พักด้วย”
ทิวัตถ์ยิ่งรู้สึกดีกับลิลินมากขึ้น
ลิลินเดินมาหยุดมองสายน้ำใสที่ไหลระเรื่อยในลำธารใหญ่ รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม เธอยิ้มกับภาพที่เห็น ก่อนจะรีบเดินไปกวักน้ำลูบเนื้อตัว
“ตัวเหนียวอยู่ตั้งนาน ค่อยยังชั่วหน่อย”
อีกด้านหนึ่ง ทิวัตถ์เดินมาตามทาง
“หายไปเล่นน้ำคนเดียวแน่ๆ”
พอเดินมาถึงลำธาร ก็เห็นลิลินกำลังกวักน้ำล้างตัวอยู่ใกล้ๆ ขอบลำธารมากขึ้นเรื่อยๆ
“รีบเลยนะคุณ”
ลิลินตกใจเสียงทิวัตถ์เลยพลาดท่าตกลงไปในน้ำ หัวกระแทกกับหินหมดสติไป
ทิวัตถ์รีบวิ่งอย่างยากลำบากมาที่ลำธารก่อนจะกระโดดลงไปทันที แล้วว่ายไปช้อนร่างของลิลินที่กำลังจะหมดสติอยู่ในน้ำ
ลิลินเห็นเงาของทิวัตถ์ว่ายเข้ามา ทำให้ภาพในอดีตย้อนกลับมา
ลิลินเห็นภาพตัวเองในวัยเด็ก กำลังนั่งอยู่ริมสระบัว ด้วยท่าทางซึมๆ พลางถอดสร้อยลีลาวดีที่ใส่อยู่ที่ข้อมือออกมาดู
“ไม่เป็นไรนะคะแม่ เดี๋ยวหนูกลับบ้านเมื่อไหร่ จะให้พ่อเอาดอกลีลาวดีที่แม่ชอบมาให้แม่เยอะๆ เลย
แม่ไม่ต้องสนใจคนพวกนั้นนะ พ่อไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาบอกหรอก”
พูดพลางลดสร้อยลีลาวดีลงก่อนจะมองทอดสายตาไปยังสระบัวที่อยู่เบื้องหน้า พลางลุกขึ้นยืนกำลัง
จะไปหาปองภพ แต่เพราะพื้นที่เป็นที่ลาดเอียงทำให้เด็กหญิงเสียหลัก จนปล่อยสร้อยลีลาวดีหลุดมือ แต่พอตั้งหลักได้ ก็รีบหันไปมองที่พื้น พลางไล่สายตาไปเห็นสร้อยลีลาวดีตกลงไปที่สระบัว
เด็กหญิงรีบไต่ลงไปที่ริมสระก่อนจะเอื้อมมือไปจะหยิบสร้อยลีลาวดีที่ลอยห่างอยู่แค่ปลายมือ แต่แล้วทันใดนั้น เธอก็เสียหลักตกลงไปในน้ำ
เธอพยายามตะเกียกตะกายด้วยความตกใจ จนเมื่อกำลังจะหมดแรง ก็เห็นร่างของใครบางคนกระโดดลงมาในสระบัวก่อนจะคว้าร่างของเธอเอาไว้
อ่านต่อหน้า 3
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 7 (ต่อ)
ทิวัตถ์อุ้มลิลินขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ก่อนจะวางเธอลง พลางพยายามเขย่าตัว แต่ลิลินกลับนอนนิ่ง
“ขอโทษนะ”
เขาตัดสินใจก้มลงผายปอดให้ สักพักลิลินก็สำลักน้ำ ฟื้นขึ้นมา พร้อมกับตีเขาอย่างแรง
“ฉวยโอกาส”
“เอ้า ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ คุณคงตายไปแล้วล่ะ”
ลิลินค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ทิวัตถ์คอยประคองอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง เธอนึกอยากจะขอบคุณเขา แต่ก็นิ่งไป ก่อนที่ภาพในอดีตจะผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ร่างของเด้กหญิงลิลินนอนนิ่งอยู่ที่พื้น โดยมีใครคนหนึ่งกำลังเรียกเธอ
“นี่ ได้ยินฉันมั้ย เธอ เธอ”
สายตาที่พร่ามัวของเด็กหญิงค่อยๆ ปรับ จนเห็นใบหน้าของทิวัตถ์ในวัยใกล้เคียงกันชัดเจน
“พี่เป็นใคร?”
“ฉันก็เป็นเจ้าของสระบัวที่เธอลงไปว่ายน้ำเล่นเมื่อกี้ไง”
เด็กหญิงนึกขึ้นมาได้เรื่องสร้อยลีลาวดี
“แม่”
พลางหันไปมองในสระบัว ระหว่างนั้นอีกฝ่ายก็ยื่นสร้อยลีลาวดีมาให้
“นี่ใช่มั้ย?”
เด็กหญิงเห็นสร้อยลีลาวดีแทนตัวแม่ในมือของทิวัตถ์ ก็รีบดึงเข้ามาแล้วกอดไว้
“ทำไมเธอเรียกสร้อยลีลาวดีนี้ว่าแม่ล่ะ”
“แม่เราชอบดอกลีลาวดีมาก”
เด็กชายมองอีกฝ่ายที่ทนุถนอมสร้อยลีลาวดีที่เป็นตัวแทนของแม่
“เราคงรักแม่เรามาก”
เด็กหญิงพยักหน้าอย่างงงๆ
“ก็ใช่สิ มีใครไม่รักแม่บ้าง? พี่นี่ก็ถามแปลกๆ หรือว่าพี่ไม่รักแม่”
เด็กชายชะงักไป ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“พี่ชื่อทิวัตถ์ เรียกพี่ว่าวินก็ได้”
“พี่วิน ?”
ลิลินมองทิวัตถ์ที่ช่วยชีวิตเธอไว้เป็นครั้งที่สอง
“หัวคุณมีแผล”
ทิวัตถ์เข้ามาดูแผลที่หัว ลิลินอึ้งไปที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายดีกับเธอ ก่อนจะรีบห้ามความรู้สึกตัวเอง
“ฉันไม่เป็นไร”
ลิลินพยายามลุกขึ้น ก่อนจะพาตัวเองค่อยๆ เดินออกไป ทิวัตถ์มองตามอย่างแปลกใจ
ลิลินนั่งหนาวสั่นอยู่ข้างลำธารไม่ยอมถอดเสื้อผ้า ส่วนทิวัตถ์ถอดเสื้อผ้าตัวเองออกเรียบร้อยแล้ว
“ใส่เสื้อผ้าเปียกอย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นไข้กันพอดี คุณก็เหมือนกัน ถอดเสื้อผ้าซะ”
“จะบ้าเหรอไง ฉันไม่ถอด”
“ผมบอกให้ถอด หรือจะให้ผมถอดให้?”
ทิวัตถ์พูดพลางปราดเข้าไปหา ทำเป็นจะถอดเสื้อลิลินออก เธอเอี้ยวตัวหลบ ก่อนจะผลักเขาเซถอยไป เธอรีบเข้าไปพยุงด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้าตัวมากอด
“มาให้ผมถอดซะดีๆ”
“ได้ๆ ฉันถอดแล้ว”
ทิวัตถ์มองหน้าลิลิน เธอรีบหลบตา เพราะหัวใจเริ่มหวั่นไหว
“แล้วเราจะเอายังไงต่อ?”
ทิวัตถ์เปรยออกมา ขณะที่ทั้งคู่นั่งหันหลังให้กันบนก้อนหินใหญ่ เพราะลิลินนั้นถอดเสื้อที่เปียกออกมาผึ่ง
“ถ้าเราเดินตามแนวลำธารนี้ไปก็อาจจะเจอบ้านคนก็ได้ เดี๋ยวรอเสื้อผ้าแห้ง แล้วฉันจะเดินไปเอง
ถ้าไปเจอชาวบ้านฉันก็จะได้เรียกให้มาช่วยคุณไง”
ทิวัตถ์รีบห้าม
“ไม่ได้ ถ้าคุณเป็นอะไรไปอีกผมจะทำยังไง? ยังไงเราก็ต้องไปด้วยกัน”
ลิลินยิ่งมองเห็นมุมดีๆ ของทิวัตถ์มากขึ้น
ขณะที่ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีก็มาแจ้งความที่โรงพักที่ทิวัตถ์กับลิลินหายตัวไป
“คือเราถ่ายงานอยู่ที่ชาโตว์ เดอ เขาใหญ่ เนี่ยค่ะ แล้วอยู่ๆ เพื่อนฉันที่ชื่อลิลิน แล้วก็เพื่อนนายนี่
ชื่อทิวัตถ์ เขา 2 คนหายไปจากรีสอร์ทพร้อมกัน ติดต่อก็ไม่ได้ รถก็หายไปค่ะ”
“เขาสองคนอาจจะออกไปขับรถเล่นรึเปล่าคุณ?” ตำรวจตั้งข้อสังเกต
ศักดิ์สิทธิ์มองเขม่น “ขับรถเล่นป่านนี้น้ำมันหมดไป 2 ถังแล้วคุณตำรวจ”
“แล้วหายไปเมื่อไหร่?”
วิชนีรีบบอก “เมื่อคืนค่ะ”
“อ้าว งั้นก็ยังแจ้งความไม่ได้ ยังไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยคุณ”
วิชนีโมโหลุกขึ้นทุบโต๊ะเสียงดัง
“แล้วถ้าเพื่อนฉันเป็นอะไรไปคุณจะรับผิดชอบยังไง?”
ศักดิ์สิทธิ์พยายามดึงแขนวิชนีห้ามไว้
“นี่เธอ ใจเย็นสิ เดี๋ยวก็โดนข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานหรอก”
ระหว่างนั้นสายตรวจเดินเข้ามาที่โต๊ะ
“มีชาวบ้านพบรถยนต์ตกอยู่ข้างทางครับ”
ตำรวจรีบถาม “ที่ไหน?”
“ห่างออกไปประมาณ 5 กิโลครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ชักเอะใจ “รถอะไรครับ”
“เรนจ์ โรเวอร์ 5 ประตู สีขาวครับ”
“รถไอ้วิน!!”
วิชนีกับศักดิ์สิทธิ์หันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างอึ้ง
ลิลินที่ใส่เสื้อผ้าบางส่วนแล้วยังนั่งเงียบอยู่คนละฝั่งของโขดหินกับทิวัตถ์เหมือนเดิม ก่อนที่ฝ่ายหลังจะถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“แผลที่หัวคุณเป็นยังไงบ้าง”
ลิลินยกมือแตะดูที่แผล “เลือดหยุดแล้ว”
พูดจบอาการก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอนั่งผิงต้นไม้อย่างหมดแรง สีหน้าก็ไม่ค่อยดี
“เสียใจละสิที่ฉันไม่เป็นไร คุณเกลียดฉันขนาดนี้ ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันตาย?”
ทิวัตถ์นิ่งไปสักพัก ก่อนจะยอมเปิดปากพูด
“ผมเคยเห็นคนตายมาแล้วครั้งนึง แล้วผมก็ไม่อยากเห็นใครต้องมาตายต่อหน้าผมอีก”ลิลินพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ฉันเข้าใจดี ว่าความรู้สึกของการสูญเสีย มันเจ็บปวดแค่ไหน?”
“คุณเคยสูญเสีย?”
ลิลินหน้าเศร้า “ฉันเสียพ่อไปตั้งแต่เด็กๆ”
ทิวัตถ์อยู่ในอาการไม่ต่างกัน “ผมก็เสียแม่เหมือนกัน”
ลิลินนิ่งไป ก่อนจะนึกถามเรื่องที่เป็นประโยชน์
“ฉันเคยได้ยินมาว่า แม่คุณถูกฆาตกรรม จริงรึเปล่า?”
ทิวัตถ์นิ่งไปแล้วคิดถึงอดีต ที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าถูกทุกคนหลอกให้เชื่ออย่างนั้น
“ผมเห็นผู้ชายคนนั้น ฆ่าแม่ผมต่อหน้าต่อตา แต่ผมไม่เข้าใจ ทำไมทุกคนถึงได้พยายามให้ผมลืมเรื่องนี้ บางทีผมก็แอบคิดว่ามันอาจมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ได้ ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไง?”
ลิลินนิ่งเงียบ หน้าเริ่มซีดหนาวสั่นสติเริ่มไม่อยู่กับตัว จนทิวัตถ์ต้องเรียกซ้ำ
“คุณ คุณ ถ้าคุณไม่ตอบ ผมจะข้ามไปแล้วนะ”
ลิลินยังเงียบอยู่ ทิวัตถ์จึงค่อยๆ ลุกขึ้นไปชะโงกมองอีกฝั่งของหิน แล้วก็เห็นเธอนั่งพิงต้นไม้หมดสติอยู่
“คุณ เป็นอะไรรึเปล่า? คุณ”
-ทิวัตถ์ตกใจที่ลิลินนั่งนิ่งรีบลุกเดินอ้อมไปดู พอเอามือแตะหน้าผาก ก็ตกใจ
“ตัวร้อนจี๋เลย”
ทิวัตถ์แบกลิลินที่หมดสติเดินมาตามทาง พร้อมกับพยายามเรียกสติไปด้วย
“คุณๆ ตื่นขึ้นมาก่อนอย่าเพิ่งหลับสิคุณ”
แต่เธอยังคงไม่ได้สติ เขากัดฟันทนความเจ็บเดินไปกระเผลกต่อไป พักใหญ่ก็เริ่มหมดแรง พลางหันไปเห็นชาวบ้านผัว-เมียคู่หนึ่งถือตะกร้าเก็บของป่าเดินนำหน้าอยู่ไกลๆ เขารีบตะโกนเรียก
“ช่วย ช่วยด้วยครับ”
2 ผัว-เมียหยุดหันกลับมา ทิวัตถ์เดินเข้าไปหา ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยร่างของลิลินลง 2 ผัว-เมียช่วยพยุงไว้
“อ้าวพ่อหนุ่ม แม่หนูนี่เป็นอะไร?”
“ช่วยเธอด้วย”
ทิวัตถ์พูดได้เพียงเท่านั้น ทุกอย่างก็ดับวูบลง
ทิวัตถ์นอนอยู่ในห้องที่โรงพยาบาล ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่ที่ข้างเตียง
“ไอ้สิทธิ์ ที่นี่ที่ไหน? แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“มีชาวบ้านเจอรถแกนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างทาง พอดีที่ฉันกับตำรวจกำลังออกตามหาแกอยู่ ฉันก็เลยไปดู แล้วก็เจอ 2 ผัว-เมียกำลังพาแกกับคุณลินออกมาเนี่ยแหละ”
ทิวัตถ์พยายามจะลุกขึ้น
“แล้วคุณลินล่ะ?”
“คุณลินเขาอาการหนักหมอเลยส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัด”
“เธอเป็นอะไร?”
ทิวัตถ์สีหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงลิลิน
หมอหันมาบอกกับวิชนีที่ยืนอยู่ด้วยความกังวล ขณะที่ลิลินนอนสลบอยู่ที่เตียง
“ตอนนี้หมอให้ยาลดไข้แล้ว ส่วนเรื่องแผลที่ศีรษะก็ไม่มีอาการติดเชื้ออะไร ที่น่าห่วงคงจะเป็นเรื่องไข้สูงอย่างเดียว ถ้าคนไข้ฟื้นเมื่อไหร่ก็เรียกหมอได้เลยนะครับ”
หมอยิ้มให้ แล้วเดินออกไป วิชนีหันมองลิลินที่นอนสลบอยู่ด้วยความเป็นห่วง
สลวยและป้าจวนกำลังเตรียมทำกับข้าวอยู่ในครัว ครู่หนึ่งยอดเดินเข้ามา ฉลวยออกปากไหว้วานให้ยอดไปรดน้ำต้นไม้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอม อ้างว่าไม่ใช่หน้าที่ ทำเอาฉลวยไม่พอใจ
“ป้า ว่างๆ ก็ช่วยเตือนไอ้พี่ยอดว่าให้ระวังๆ หน่อยล่ะ ถ้าพี่นพกรได้เข้ามาทำงานที่บ้านนี้ ไอ้พี่ยอดจะตกงานเอา”
ยอดสวนกลับทันที
“งั้นฉันก็ฝากป้าไปบอกนังหลวยมันด้วยเหมือนกัน ถ้าวันๆ มันไม่เอาแต่นั่งพร่ำเพ้อถึงพี่นพกรสุดหล่ออย่างนั้น สุดหล่ออย่างนี้ ป่านนี้งานมันคงเสร็จไปนานแล้ว”
ป้าจวนเห็นท่าไม่ดีรีบปราม
“พอเลยทั้ง 2 ตัวน่ะ นังสลวย แกก็เหมือนกัน เลิกคิดถึงนายนพกรอะไรนั่นได้แล้ว คุณท่านไม่มีทางรับตานพกรคนนี้หรอก พวกแกไม่เห็นหรือยังไง หน้าตาท่าทางไว้ใจได้ซะที่ไหน แล้วแกดูคนก่อนๆ ที่เข้ามาแต่ละคนซิ ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวซักกะคน”
ยอดเห็นด้วย
“จริงป้า นังหลวยแกดูไอ้แก้วคนก่อนหน้าสิ ฉันบอกให้มันเช็ดรถแทนฉัน ดันไปทำรถเป็นรอยกะว่าให้ฉันโดนไล่ออกมันจะได้เสียบต่อ”
ป้าจวนรีบเล่าต่อถึงคนอื่นๆ ที่วาสนาฝากเข้ามา ก่อนจะตบท้ายว่า
“แล้วอีกอย่าง ถึงจะเข้ามาได้แต่ก็คงทนคุณท่านไม่ได้นานหรอก พวกแกรู้มั้ยว่าเพราะอะไร?”
“แล้วเพราะอะไรล่ะ”
ป้าจวนมองข้างหลัง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นศุภารมย์ยืนอยู่
“คุณท่าน เอ่อ คุณท่านจะรับอะไรทำไมไม่สั่งเด็กมันล่ะคะ?”
“ก็อยู่กันแต่ในนี้ ฉันเรียกตั้งนานก็ไม่เห็นใครซักคน”
ทั้งป้าจวน สลวย ยอดพากันก้มหน้ากันงุด ก่อนที่ศุภารมย์จะถามถึงทิวัตถ์ แต่ป้าจวนรายงานว่าไม่ได้ติดต่อมา อีกฝ่ายพยักหน้ารับ พลางกำลังจะเดินออกไป ทุกคนทำหน้าโล่งใจ แต่แล้วศุภารมย์ก็หันกลับมาอีกครั้ง ทำเอาทุกคนตกใจ
“อ้อ ถ้าใครว่างก็ไปดูสวนหลังบ้านหน่อยนะ หญ้าขึ้นรกมากแล้ว”
“ครับคุณท่าน กระผมจะรีบไปดูเดี๋ยวนี้เลยครับ”
ยอดรับคำ สลวยรีบพูดเอาหน้า
“อ้าวไอ้พี่ยอด ไหงเมื่อกี้บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ไง เดี๋ยวหลวยไปดูให้เองค่ะ”
“แกไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปดูเอง”
ขาดคำทั้งยอดทั้งสลวย ก็รีบชิ่งออกไป ศุภารมย์หันมาทางป้าจวนทันที
“ป้า แล้วเรื่องคนที่ป้าน้อยเคยเอามาฝากเป็นอย่างที่ว่าจริงเหรอ? ”
ป้าจวนได้ทีจึงรีบเล่าเรื่องให้ศุภารมย์ฟังอย่างสนุกปาก
“แหม จวนก็ไม่อยากจะเม้านะคะคุณท่าน แต่มันจริงซะยิ่งกว่าจริงอีกค่ะ คุณท่านจำนายนิกรที่ถูกส่งมาเมื่อปีก่อนได้มั้ยคะ โอ๊ย รายนั้นไม่ต้องพูดถึง อะไรขึ้นชื่อว่าเลวมันทำหมด วันนั้นจวนจับได้คาหนังคาเขาว่ามันแอบขโมยเงินค่ากับข้าว แล้วก็สร้อยทองของนังเม็ดนุ่น จวนเองก็ไม่ได้ตั้งแง่อะไรกับยายน้อยหรอกนะคะ แต่จวนว่าคุณท่านอย่าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับยายน้อยน่ะเป็นดีที่สุด”
ระหว่างนั้นเม็ดนุ่นก็เข้ามา
“คุณท่านคะ คุณยายน้อยมาขอพบค่ะ”
ศุภารมย์ยิ้มออกมา ก่อนจะเดินออกไป
ศุภารมย์ยิ้มมีเลศนัยเข้ามาแล้วยกมือขึ้นไหว้วาสนา อีกฝ่ายรีบรับไหว้ประหลกๆ
“แม่ต่ายคงรู้อยู่แล้วสินะว่าฉันจะมาฆ”
“คนฉลาดๆ อย่างป้า ก็คงจะมารับข้อเสนอของฉันใช่มั้ยคะ”
วาสนายิ้มร้าย
“ที่ว่าฉลาดน่ะฉันไม่เถียง แล้วเรื่องข้อเสนอของแม่ต่ายเอาเป็นว่าฉันคงรับไว้ไม่ได้”
ศุภารมย์ตกใจแต่ยังเก็บอารมณ์
“หมายความว่าไงคะ?”
วาสนายังไม่ทันตอบ เสียงของอนันยชก็แทรกขึ้นมา
“เราสองคนจะแต่งงานกันครับ”
ศุภารมย์ยิ่งตกใจหนัก ขณะที่วาสนายิ้มอย่างเป็นต่อ
“ไอ้ฉันก็เห็นว่าเด็กมันรักกันชอบกันจริงๆ ไอ้ครั้นเราจะไปแยกคู่เขา มันบาปนะ”
“ใช่ครับแม่ ผมกับณิต เรารักกันมาก”
พูดพลางจับมือวรรณิตขึ้นมา เพื่อแสดงให้ศุภารมย์เห็นว่ารักกันจริงๆ
“แต่เรื่องอย่างนี้จะคิดเร็วทำเร็วไม่ได้ จะมาปุ้บปั้บอย่างนี้ได้ยังไง?”
อนันยชรีบแย้ง
“ผมเคยบอกแม่ว่าผมคิดดีแล้ว แล้วตอนนี้ผมก็เริ่มเตรียมทุกอย่างไปแล้ว แล้วที่ผมพาณิตมาวันนี้ ก็เพื่อให้เธอมากราบแม่”
อนันยชหันมาส่งสัญญาณ วรรณิตก้มลงกราบศุภารมย์ที่พยายามข่มความรู้สึกต่างๆ เอาไว้
วาสนาเห็นศุภารมย์นิ่งไปก็รีบตัดบท
“ดีแล้วแม่ต่าย เด็กเขารักกันชอบกันก็อย่าไปขวาง”
ศุภารมย์เหลืออด ลุกขึ้นยืน
“พอได้แล้ว วัน พาเธอออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้ จะไม่มีงานแต่งอะไรทั้งนั้น”
พูดจบเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างเร็ว วรรณิตหน้าชา น้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจ อนันยชหันมาเห็นก็รีบคว้ามือขึ้นมากุมไว้พลางพูดปลอบใจ วาสนามองวรรณิตอย่างไม่พอใจ
ศุภารมย์เดินออกมา พลางพยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ จังหวะนั้นศักดิ์สิทธิ์ก็โทร. เข้ามือถือมาพอดี
“ว่าไงศักดิ์สิทธิ์ อะไรนะ วินเป็นอะไร”
ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปช่วยพยาบาลประคองทิวัตถ์ลงนั่งรถเข็น ก่อนที่พยาบาลจะเข็นไปตามทาง
“คุณพยาบาลครับช่วยเข็นอย่างระมัดระวังที่สุดเลยนะครับ ผมกลัวว่าแผลจะได้รับความกระทบกระเทือน”
พยาบาลรับคำ ก่อนจะมองศักดิ์สิทธิ์กับทิวัตถ์ด้วยสายตาแปลกๆ ทิวัตถ์รีบบอก
“ไอ้สิทธิ์ ไม่ต้องมาดูแลฉันใกล้ชิดขนาดนี้ก็ได้ เดี๋ยวใครเห็นจะหาว่าฉันกับนายเป็นคู่เกย์กัน”
“ใคร ใครมองอย่างนั้น นายต้องมาเจ็บตัวก็เพราะมาช่วยงานฉัน ฉันจะดูแลนายมันผิดตรงไหน หรือนายอยากย้ายไปโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ เลย ฉันจะได้สบายใจ”
ทิวัตถ์รีบปฏิเสธ
“จะไปทำไม ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย โรงพยาบาลนี่ก็ดีอยู่แล้ว”
“ก็จริงของแก ดีเลย คุณลินก็อยู่ที่นี่ด้วย เวลามาเยี่ยมจะได้มาเยี่ยมคู่เลย”
ระหว่างนั้นศุภารมย์กับทรงพลก็เดินเข้ามา ทิวัตถ์มองหน้าศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่พอใจ
“เกิดเรื่องแบบนี้ทำไมไม่โทร. บอกพ่อ”
ทิวัตถ์หน้าเจื่อน “ขอโทษครับ แต่ผมไม่อยากทำให้เป็นห่วงน่ะครับ”
พูดพลางทำท่าจะลุกจากรถเข็น ศักดิ์สิทธิ์รีบเข้ามาห้ามไว้
“ไม่ต้องอวดเก่งเลยไอ้วิน”
ศุภารมย์เห็นด้วย “นั่นซิ แม่ว่านอนพักให้คุณหมอดูแลจนกว่าจะหายดี ดีกว่านะวิน”
ศุภารมย์กับทรงพลมองทิวัตถ์อย่างเป็นห่วง
ลิลินนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ก่อนจะขยับตัวตื่น ขณะที่วิชนีเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“นี ที่นี่ที่ไหน?”
วิชนีเห็นลิลินฟื้น ก็ยิ้มดีใจ
“โรงพยาบาล ลินมีไข้สูงอาการหนักมาก หมอเลยรีบส่งตัวลินมารักษาที่นี่”
ลิลินนิ่งคิดไป ก่อนจะนึกถึงทิวัตถ์ขึ้นมา
“นีแล้วคุณ....”
แต่วิชนีที่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ กลับพูดขัดขึ้น
“รอก่อนนะลิน เดี๋ยวฉันไปตามหมอก่อน”
ขาดคำก็รีบวิ่งออกไป ลิลินพยายามตั้งสติทบทวนเรื่องราว
อ่านต่อหน้า 4
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 7 (ต่อ)
ระหว่างที่ทิวัตถ์ ศักดิ์สิทธิ์ ทรงพล และศุภารมย์ยืนคุยอยู่ด้วยกัน ครู่หนึ่งวิชนีก็วิ่งโวยวายมาตามทาง
“หมอ หมอ”
“คุณนีจะรีบไปไหนเหรอครับ?”
วิชนีเหลือบมองทรงพลกับศุภารมย์ “แล้วนี่ใครน่ะ
ศักดิ์สิทธิ์รีบแนะนำ “พ่อกับแม่วินน่ะ”
วิชนียกมือไหว้ทรงพลกับศุภารมย์ ศักดิ์สิทธิ์มองอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ นี่เธอต้องอยู่เฝ้าคุณลินไม่ใช่เหรอ?”
ทิวัตถ์ได้ยินก็สนใจขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับทรงพลและศุภารมย์
“จริงด้วย ฉันต้องไปตามหมอก่อน”
ทิวัตถ์ตกใจ “คุณลิน คุณลินทำไม?”
“ลิน ลินฟื้นแล้ว”
พูดจบ ก็รีบวิ่งไปตามหมอ ทิวัตถ์แอบยิ้มดีใจที่รู้ว่าลิลินฟื้น ศักดิ์สิทธิ์รีบบอก
“ดีนะที่คุณลินฟื้นแล้ว ถ้าเกิดคุณลินกับนายเป็นอะไรไปจริงๆ ฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
“คุณลินเป็นอะไรเหรอ?”
ศุภารมย์หันมาถาม ศักดิ์สิทธิ์รีบบอก
“อ๋อ ก็ หลงป่ากับเจ้าวินน่ะครับ”
ศุภารมย์กับทรงพลได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
“เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่วินไม่อยากให้พ่อกับแม่ห่วงด้วยหรือเปล่า?”
ทิวัตถ์หน้าเจื่อน ทรงพลถามต่อ
“แล้วคุณลินเป็นอะไรมากมั้ย?”
“หมอบอกว่าคุณลินมีไข้สูงครับ แต่โชคดีที่ไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไร ผมขอตัวไปเยี่ยมคุณลินหน่อยนะครับ”
ศักดิ์สิทธิ์รีบเดินแยกไป ศุภารมย์เหลือบมองทิวัตถ์ที่มองตามไปด้วยความเป็นห่วงลิลิน
หมอกับพยาบาลตรวจอาการของลิลินเสร็จ ก็เดินออกจากห้องไป วิชนีรีบเบียดศักดิ์สิทธิ์กระเด็นออกไป แล้วเดินมาหาลิลินที่เตียง
“ขอบใจมากนะนี ขอบคุณคุณสิทธิ์มากนะคะ”
ศักดิ์สิทธิ์รีบโบกมือห้าม
“อย่าขอบคุณผมเลยครับคุณลิน คุณลินไม่เป็นอะไรผมก็ดีใจแล้ว”
วิชนีมองค้อน “ใช่ รู้ตัวก็ดี ที่ลินกับคุณวินต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะนาย”
ลิลินกวาดตามอง ก่อนจะถามขึ้นมา “แล้วคุณวินล่ะคะ?”
“คุณลินไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอกครับ ตอนนี้มันปลอดภัยแล้ว นอนอยู่ห้องใกล้ๆ คุณลินนี่เอง”
“อยากไปหามั้ยล่ะ? เดี๋ยวฉันพาไป”
แต่แล้วพยาบาลก็เข้ามาเชิญให้ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีออกไปก่อน เพราะอยากให้ลิลินพักผ่อน ทั้งคู่จำต้องเดินออกไป ลิลินมองตามยิ้มๆ พร้อมกับนึกเป็นห่วงทิวัตถ์ขึ้นมา
พยาบาลช่วยพยุงทิวัตถ์ขึ้นเตียงก่อน ก่อนจะเดินผละออกไป ศุภารมย์กับทรงพลรีบหันมาถามอย่างเป็นห่วง
“เจ็บแผลอยู่มั้ย?”
“ไม่แล้วครับ ผมบอกพ่อกับแม่ต่ายแล้วว่าผมไม่เป็นไรมาก ให้ผมกลับบ้านก็ได้นะครับ”
ทรงพลรีบห้าม
“ไม่ได้ ขืนกลับบ้านไปแล้วเป็นหนักกว่าเดิมจะทำยังไง พักที่นี่จนกว่าจะหายดีนั่นแหละ”
ศุภารมย์รู้ว่าทิวัตถ์พยายามจะคุยเรื่องอื่น จึงถามโพล่งขึ้น
“วิน แล้วทำไมลูกถึงไปหลงป่าอยู่กับคุณลินได้”
ทิวัตถ์ไม่อยากบอกความจริงเพราะกลัวเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้
“คือมีคนไล่ยิงผมครับ ยังดีที่คุณลินออกมาเห็น พวกมันเลยเสียจังหวะ ผมรีบพาคุณลินหนีได้ทัน
แต่พวกมันก็ขับรถไล่ตามมา ผมกับคุณลินลงจากรถ แล้ววิ่งหนีกระสุนของพวกมันจนพลัดตกเขาเข้าไปอยู่ในป่า มันคงคิดว่าผมกับคุณลินตายไปแล้วมันถึงเลิกตาม”
ศุภารมย์กับทรงพลตกใจ
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมวินไม่บอกพ่อกับแม่”
“รู้มั้ยว่ามันเป็นใคร?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า “ไม่รู้ครับ มันใส่หน้ากากเอาไว้”
ทรงพลกับศุภารมย์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
“ผมอยากรู้ว่าพื้นที่เขตรีสอร์ทนั่นใครดูแล ผมต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนทำวิน ต่อให้ต้องใช้ตำรวจทั้งจังหวัด ผมก็ไม่สน ต้องทำให้พวกมันรู้ว่า พวกมันเล่นผิดคนแล้ว” ทรงพลหันมาพูดกับศุภารมย์ด้วยน้ำเสียงขึ้งเครียด ขณะที่ทั้งคู่เดินพ้นออกมาจากห้องของทิวัตถ์
“แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะให้รองศัลย์ช่วยนะคะ ถ้าพวกมันใส่หน้ากากมาลงมืออย่างนี้ ก็หมายความว่าพวกมันต้องเตรียมตัวมาก่อนแล้ว”
ทรงพลเห็นตามที่ศุภารมย์ว่า
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยเรียกศัลย์มาพบผมหน่อย บอกว่าเรื่องด่วนที่สุด”
ทางด้านสิตาก็ปรี่ไปหาศักดิ์สิทธิ์ที่โรงแรม โดยมีปกติเป็นคนรับหน้า
“เจ้านายแกกลับมาหรือยัง?”
“แล้วคุณสิตาถามหาคุณศักดิ์สิทธิ์ทำไมครับ? . หรือว่าอกหักจากคุณวินเลยหันมาชอบเจ้านายผมแทนแล้วเหรอครับ”
สิตาหน้าตึง
“ที่ฉันถามหาเจ้านายเธอเพราะวินไปทำงานกับเขา แล้วตอนนี้วินก็หายตัวไปไหนไม่รู้ ที่บ้านก็ไม่มี
ที่ออฟฟิศก็ไม่อยู่ กลับมาหรือยัง?”
ปกติไม่รู้จะตอบยังไง จังหวะนั้นศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีก็เดินเข้ามาในโรงแรมพอดี สิตารีบปราดเข้าไปถามอย่างเอาเรื่อง
“วินอยู่ไหน?”
ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีที่กำลังอารมณ์ค้าง เพราะทะเลาะกันมาตลอดทาง หันไปตวาดพร้อมกัน
“อย่ายุ่ง”
แต่พอเห็นสิตาก็สะดุ้ง
“อุ้ย ! สิตามีอะไรหรือเปล่า?”
“วินอยู่ไหน?”
ศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้สิตาไปกวนทิวัตถ์จึงพยายามหาทางโกหก
“ไอ้วินน่ะเหรอ ตอนนี้มันถึงกรุงเทพฯ แล้วมั้ง”
วิชนีไม่รู้ว่าศักดิ์สิทธิ์พยายามจะปดสิตา ก็แย้งขึ้นมา
“กรุงเทพอะไร คุณวินเขาอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองไม่ใช่เหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์พยายามจะส่งสัญญาณปรามไม่ให้วิชนีพูด สิตาถามต่อทันที
“โรงพยาบาล ทำไม วินเขาเป็นอะไร?”
วิชนีรีบบอก
“อยากรู้จริงๆ เหรอ คุณวินเขาหลงป่า แล้วรู้มั้ยหลงกับใคร? ก็ลิลินไง อ้ะๆ ยังไม่หมดแค่นั้น รู้มั้ยตอนที่ชาวบ้านไปเจอ 2 คนนั้นน่ะ เขาบอกว่าคุณวินกับลินนอนกอดกันกลมเลยนะ”
“ ไม่ ไม่จริง”
สิตาโมโหจนตัวสั่นก่อนจะรีบเดินออกไปทันที วิชนียิ้มสะใจ จนศักดิ์สิทธิ์หวั่นไส้
“ถ้าวินหรือคุณลินเป็นไรไปอีกก็เพราะเธอ ก่อนพูดอะไรคิดบ้างมั้ย ฉันอุตส่าห์โกหกเพราะไม่อยากให้
สิตารู้เรื่อง แต่เธอก็ดันปากโป้งบอกสิตาไปหมดว่าไอ้วินกับคุณลินหลงป่าด้วยกัน”
วิชนีหน้าสลด
“อ้าว ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ทีหลังก็บอกกันก่อนซิ”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้าก่อนจะเดินออกไป วิชนีรีบเดินตามไปด้วย วิทยาที่ยืนอยู่ด้านหลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“คุณลินหลงป่า?”
ลิลินนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงคนไข้ พลางมองไปที่ประตูเหมือนรอคอยให้ทิวัตถ์เข้ามาเยี่ยม
ครู่หนึ่งเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เธอแอบยิ้มดีใจ แต่กลับกลายเป็นวิทยาที่ถือกระเช้าผลไม้เล็กๆ ที่เหน็บดอกลีลาวดีเข้ามา
“ผมเพิ่งรู้เรื่องคุณลินจากคุณศักดิ์สิทธิ์ คุณลินเป็นยังไงบ้างครับ?”
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่เป็นไข้นิดหน่อย”
วิทยายิ้มอย่างโล่งใจ
“ผมเก็บผลไม้ในสวนที่บ้านกับดอกลีลาวดีที่คุณลินชอบมาฝากด้วยนะครับ”
“ลีลาวดี? ขอบคุณนะคะ แต่คุณวิทไม่น่าลำบากเลย”
วิทยารีบบอก
“ลำบากที่ไหนล่ะครับ ของในบ้าน จะลำบากก็ตรงที่ผมจัดกระเช้าไม่เอาไหนเองต่างหาก”
ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กัน ระหว่างนั้นพยาบาลเข็นรถอุปกรณ์เข้ามา ขณะที่ประตูกำลังจะปิดลง ก็เห็นทิวัตถ์ที่ยืนอยู่หน้าห้องกำลังมองเข้ามาด้วยความปิดหวัง ก่อนที่ประตูจะปิดไป
อนันยชขับรถมาส่งวรรณิตกับวาสนาที่บ้าน ก่อนจะลงมาคุยกันที่หน้าบ้าน พร้อมกับพูดย้ำ
“คุณณิตไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจะพูดกับคุณแม่เอง อีกไม่นานเราก็จะได้แต่งงานกันแล้วนะ”
พูดก้มลงจูบที่มือ แต่วรรณิตรีบดึงมือออก
“แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้แต่งนี่คะ”
อนันยชรู้สึกขัดใจ แต่ก็ข่มอารมณ์ไว้ “งั้นผมกลับละครับ”
จากนั้นก็เดินกลับขึ้นรถ ก่อนจะขับออกไป วาสนามองวรรณิต พลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“ดีแล้วยัยณิต เล่นตัวเข้าไว้ พ่อวันจะได้รักจะได้หลงแกหัวปักหัวปำ”
“ยายคิดว่าน้าต่ายจะยอมให้คุณวันแต่งกับณิตเหรอคะ?”
วรรณิตไม่วายกังวลใจ
“พ่อวันน่ะเป็นเด็กเอาแต่ใจมาตั้งแต่เล็ก ถ้ามันมีปัญหามาก ก็แค่แต่งแล้วย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แกไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดอย่างเดียวว่าต้องจดทะเบียนกับพ่อวันให้ได้ ถามทำไม? อย่าบอกนะว่าแกไม่อยากแต่งอีกแล้วอย่าลืมซิว่าแกต้องการเงินไปทำไม? แม่แกดันเป็นโรคคนรวย เป็นอะไรไม่เป็นดันเป็นมะเร็ง แต่ก็ไม่แน่นะ เดี๋ยวนี้หมอเขาเก่งจะตาย ถ้าเงินถึง แม่แกก็รอด”
แววตาของวรรณิตที่เด็ดเดี่ยวแต่แฝงด้วยความเศร้าฉายขึ้น
“ยายไม่ต้องห่วงค่ะ ยังไงณิตก็ต้องแต่ง ถ้าเงินก้อนนั้นมันจะช่วยรักษาชีวิตแม่เอาไว้ได้”
วาสนายิ้มอย่างมีชัยก่อนจะเดินเข้าบ้านไป วรรณิตหน้าหมองเศร้า แต่พยายามอดทนไว้
อนันยชเดินกลับเข้ามาในบ้าน สวนกับศัลย์ที่เดินออกไปพร้อมกับศุภารมย์
“รองฯ มาทำอะไรครับคุณน้า? หรือว่าใกล้ฤดูโยกย้ายอีกแล้ว”
ทรงพลส่ายหน้า
“ไม่ใช่ วินโดนลอบทำร้ายที่เขาใหญ่”
อนันยชตกใจ “อะไรนะครับ วินโดนทำร้าย แล้วเป็นไรมากหรือเปล่าครับ?”
“บาดเจ็บนิดหน่อยน่ะ วัน น้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเราหน่อย น้าอยากให้วันชะลอเรื่องการแต่งงานออกไปก่อน ตอนนี้ทุกอย่างในบ้านมันวุ่นวายไปหมด วินก็บาดเจ็บ น้าอยากให้เรื่องวุ่นๆ นี่จบลงก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องการแต่งงานของเราอีกที น้าขอนะวัน”
อนันยชที่ทำท่าจะไม่ยอม แต่พอเห็นทรงพลสีหน้าเครียดจึงต้องยอมอ่อนลง
“คุณน้าไม่ต้องเป็นห่วงครับ กว่าจะพรีเวดดิ้งเสร็จก็นานอยู่ คุณน้าคงจัดการเรื่องวุ่นวายจบพอดี และที่สำคัญ ไอ้วินมันก็น้องผม”
“ขอบใจวันมากที่เข้าใจ”
ทรงพลพูดจบก็เดินออกไป อนันยชมองตามอย่างรู้สึกขัดใจ
พอวิทยาเดินออกจากห้องพักของลิลิน พยาบาลก็เดินเข้ามาพอดี พลางมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ
“เมื่อกี๊เห็นคุณทิวัตถ์อยู่หน้าห้องก็เลยคิดว่าคงจะมาเยี่ยมคุณ”
ลิลินถึงกับชะงักไปเมื่อรู้ว่าทิวัตถ์มาหาเธอ
“ไม่นี่คะ”
“ตายจริง แล้วอยู่ไหนเนี่ย? คุณศุภารมย์ยิ่งกำชับให้ดูแลคุณทิวัตถ์อย่างใกล้ชิดซะด้วย ขอโทษนะคะ”
พยาบาลรีบเดินออกไป ลิลินได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกหวิวใจขึ้นมาที่ทิวัตถ์แอบมาหาเธอ
ทางด้านทิวัตถ์ก็หลบมายืนอยู่ที่สวนหย่อมของโรงพยาบาล พลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับลิลิน พลางพยายามจะสลัดความคิดถึงนั้นออกไป ไม่เข้าใจตัวเอง จากนั้นก็กลับเข้ามาที่ห้องพัก ครู่หนึ่งลิลินก็เดินเข้ามา
“เห็นพยาบาลบอกว่าคุณไปหาฉันที่ห้อง”
ทิวัตถ์ตกใจที่ลิลินเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ปากก็รีบพูดแก้เขินไป
“เปล่านี่ พยาบาลคงจำคนผิดมั้ง ทำไมผมต้องไปหาคุณด้วย”
ลิลินมองค้อน “ถ้าฉันรู้คงไม่มาถามคุณอยู่แบบนี้หรอก”
“อ๋อ ผมไปหาไอ้สิทธิ์ นึกว่าไอ้สิทธิ์ยังไม่กลับก็แค่นั้น”
ลิลินแอบยิ้มที่ทิวัตถ์แก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“ไหนว่าไม่ได้ไป”
ทิวัตถ์ชะงักไปเพราะคำตอบของเขาดันมัดคอตัวเอง ระหว่างนั้นเสียงสิตาก็ดังขึ้น
“เอ๊ะ นี่ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง? ฉันถามว่าห้อง 1408 ไปทางไหน?”
ทิวัตถ์กับลิลินมองหน้ากันอย่างตกใจ ก่อนที่ฝ่ายแรกจะรีบบอกให้หาที่ซ่อน
“คุณไปซ่อนก่อน เร็วสิ”
ลิลินทำหน้างง “แล้วทำไมฉันต้องไปซ่อน ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”
“คุณไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ผมไม่อยากมีปัญหา”
ลิลินสวนกลับทันที
“หรือว่าคุณกลัวว่าคุณสิตามาเห็นฉันแล้วจะเข้าใจผิด คิดว่าฉันกับคุณ...”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ผมให้คุณไปซ่อนก็เพราะผมเป็นห่วงคุณ”
ลิลินได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไป
สิตาเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ทิวัตถ์ที่นอนอยู่บนเตียงแกล้งทำเป็นแปลกใจ ขณะที่ลิลินออกไปหลบอยู่ที่ระเบียง
“วิน เป็นไงบ้างคะ? พอตารู้ข่าวก็รีบมาเลยนะ ตาได้ยินว่าคุณหลงป่าจริงหรือเปล่าคะวิน? แล้วตายังได้ยินมาอีกว่าวินหลงป่าไปพร้อมกับนังลิลินเหรอคะ?”
สิตายิงคำถามเป็นชุด ทิวัตถ์ชะงักไป ลิลินเงี่ยหูฟัง อยากรู้ว่าเขาจะตอบว่ายังไง
“ผมโดนทำร้าย คุณลินเข้ามาช่วยผม แล้วหลงเข้าไปในป่า”
“หลงป่ากับนังนั่น แล้วตอนที่หลงป่า วินกับนังนั่นทำอะไรกันบ้างเหรอคะ? ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ตาแค่กลัวว่าเพราะความใกล้ชิดอาจจะทำให้วินพลั้งเผลอใจไปบ้าง แต่วินคงไม่รู้สึกอะไรกับนังนักร้องนั่นใช่มั้ยคะ?”
ลิลินได้ฟังคำถามก็แอบสะอึก ก่อนจะค่อยๆ เปิดม่านแอบมอง ด้วยความอยากรู้ว่าทิวัตถ์จะตอบว่ายังไง สิตาเหลือบเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่หลังม่าน ก็ค่อยๆ ลุกเดินไป ทิวัตถ์เห็น ก็ตกใจ
“จะทำอะไรน่ะตา”
“ตารู้สึกว่าในนี้มันอึดอัด เลยจะออกไปรับลมหน่อยน่ะค่ะ”
ลิลินพยายามคิดหาทาง ส่วนทิวัตถ์ก็รีบเดินไปขวางไว้
“เดี๋ยวก่อนตา”
“ทำไมคะ? หรือวินซ่อนใครเอาไว้”
ทิวัตถ์รีบปฏิเสธ
“ปะเปล่า ผมจะซ่อนใคร”
“ถ้าไม่มี แล้วทำไมตาถึงออกไปที่ระเบียงไม่ได้คะ?”
พูดจบก็รีบเบี่ยงตัวหลบทิวัตถ์ก่อนจะเดินตรงไปที่ระเบียง
ทิวัตถ์มองอย่างระทึก ลิลินที่หลบอยู่สูดลมหายใจพร้อมรับสถานการณ์ จังหวะนั้นพยาบาลเข้ามาพอดี
“ขอโทษค่ะ เดี๋ยวล้างแผลหน่อยนะคะ เชิญญาติด้านนอกก่อนดีกว่าค่ะ คุณคะ เชิญค่ะ”
สิตาฮึดฮัด “รู้แล้ว เดี๋ยวตามานะคะวิน”
พูดจบก็เดินออกไป ทิวัตถ์กับลิลินโล่งใจ
ลิลินกลับมาที่ห้องพักของตัวเอง แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นสิตานั่งรออยู่
“มาแล้วเหรอ? ไปไหนมา”
ลิลินสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันน่าจะเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่า ว่ามาทำไม?”
สิตาลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามามองหน้าลิลิน
“ดี ในเมื่อถามตรงๆ ฉันก็จะบอกเธอตรงๆ เหมือนกัน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นในป่านั่นบ้าง
แต่ถ้าเธอมีความรู้สึกอะไรขึ้นมากับวิน ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะวินเป็นของฉันคนเดียว”
“คุณจะคิดอะไรก็เชิญ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ฉันกับคุณวินแต่ก่อนเคยเป็นยังไงตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น”
ลิลินเชิดหน้ามั่นใจ แต่ซ่อนความหวั่นไหวอยู่ภายใน
“ดี ฉันจะจำคำเธอเอาไว้ เพราะถ้าเมื่อไหร่เธอคิดแย่งวินจากฉันขึ้นมาล่ะก็ คนของฉันคงไม่ซ้อมผิดคนเหมือนคราวที่แล้วแน่”
สิตายิ้มเยาก่อนเดินออกจากห้องไป ลิลินได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของอีกฝ่ายนั่นเอง
อนันยชแต่งตัวจะออกไปเที่ยว แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นศุภารมย์เดินเข้ามาพอดี
“คุณน้าบอกเรื่องวินแล้วใช่มั้ย?”
“บอกแล้วครับ แล้วผมก็บอกคุณน้าไปแล้วว่าผมจะเลื่อนงานแต่งออกไปก่อน พอใจหรือยังครับ”
ศุภารมย์ค่อยเบาใจที่ยังพอมีเวลาทำอะไรได้
“ดีแล้ว เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับวิน บางทีมันอาจจะทำให้เราต้องระวังตัวกันมากขึ้น”
อนันยชรีบแย้ง “มันอาจจะเป็นแค่การชิงทรัพย์ก็ได้นี่แม่”
“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ แล้วก็อย่าลืม เราเองก็มีคนมาดักทำร้ายเหมือนกัน จำไม่ได้เหรอ?”
อนันยชได้ยินอย่างนั้นก็นึกได้ทันที
“จริงด้วย แต่ใครมันจะกล้ามาเล่นกับเรา มันไม่รู้หรือไงว่าพวกเราเป็นใคร?”
“ตอนนี้เราไม่รู้ว่าคนที่ทำมันต้องการอะไร? ยังไงช่วงนี้ลูกระวังตัวหน่อยแล้วกัน”
ศุภารมย์หน้าเครียดอย่างเป็นกังวล
“อะไรนะ ไอ้วินมันไม่ตายเหรอ?”
กฤษดาถามย้ำอย่างหงุดหงิด ขณะที่นั่งอยู่ในผับกับวีระ มีผู้หญิงและลูกน้องรายล้อม ก่อนที่จะออกปากไล่ผู้หญิงให้ออกไปอย่างหงุดหงิด พลางยกเหล้าดื่มดับอารมณ์
“ไอ้วินมันยังไม่ตาย มันแค่บาดเจ็บ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
“ทำไมมันถึงได้หนังเหนียวอย่างนี้วะ?”
“มันน่ะหนังเหนียว แต่แกนี่ซิ แกคิดว่าคุณทรงพลกับคุณศุภารมย์จะอยู่เฉยๆ หรือไง?“
วีระไม่วายกังวล แต่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่แคร์
“กลัวอะไรวะ อย่างมากก็แค่รบกัน ดี จะได้รู้กันไปว่าจังหวัดนี้จะเป็นของใคร?”
อนันยชยืนดูเสื้อผ้าอยู่ภายในร้าน ครู่หนึ่งพนักงานก็พาวรรณิตที่แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนศุภิสราเดินออกมา เขามองอย่างตะลึงลาน
“สวยมากเลยครับ เป็นไรครับ?”
วรรณิตทำท่าเขิน
“คือณิตไม่เคยแต่งตัวอย่างนี้ ก็เลยไม่คุ้นน่ะค่ะ ไปเปลี่ยนกลับดีกว่าค่ะ”
พูดพลางทำท่าจะเดินไป แต่อีกฝ่ายรีบคว้ามือไว้
“เปลี่ยนกลับทำไมครับ เดี๋ยวคุณณิตใส่ไปเลยแล้วกัน เดี๋ยวเอาชุดเก่าทิ้งไปเลยนะ”
พนักงานรับคำ พร้อมกับที่เสียงวาสนาดังขึ้น
“อ้าว เสร็จกันหรือยัง? ต๊าย นางฟ้านางสวรรค์ชัดๆ แหม เห็นแล้วอิจฉาพ่อวันจริงๆ”
“คุณวันคะ ณิตว่าที่คุณวันซื้อให้มันเยอะไปนะคะ”
อนันยชรีบแย้ง “อย่าคิดมากเลยครับคุณณิต มากกว่านี้ผมก็ให้ได้”
จังหวะนั้นพนักงานอีกคน ก็เดินมาพร้อมกับกระเป๋า 3 ใบ วาสนายิ้มกระลิ้มกระเหลี่ย
“อย่าว่าอย่างโง้นอย่างงี้นะพ่อวัน ยายเห็นกระเป๋าพวกนี้แล้วมันเข้ากั๊นเข้ากันกับชุดแม่ณิต”
“ถ้าคุณณิตชอบ ผมไม่มีปัญหาครับ”
วาสนารีบตัดบท
“อ้ะ เอา 3 ใบนั่นแหละ ไปคิดเงินมาเลย”
อนันยชหยิบบัตรเครดิตส่งให้พนักงาน วาสนาแอบหยิกแล้วส่งสัญญาณให้วรรณิตอยู่เฉยๆ
จากนั้นทั้ง 3 คนก็เดินคุยกันออกมาจากในร้าน บังเอิญอนันยชเดินไปชนกับยงยุทธ ซึ่งเป็นแฟนเก่าของวรรณิตจังๆ จนหวุดหวิดจะมีเรื่องกัน วรรณิตตกใจ แต่ยงยุทธกลับจำเธอไม่ได้ วาสนารีบยกกระเป๋าขึ้นบังหน้าแล้วรีบชิ่งออกไปทันที
ยงยุทธมองวาสนาทางด้านหลังก็จำได้ ก่อนจะหันมาชี้หน้าอนันยช
“ฝากไว้ก่อนเถอะแก”
จากนั้นก็รีบตามวาสนาไป อนันยชมองตามอย่างเอาเรื่อง ขณะที่วรรณิตเองใจเต้นไม่เป็นระส่ำ
ยงยุทธวิ่งตามมาจนทัน และคว้ามือวาสนาไว้ได้
“ใช่จริงๆ ด้วย”
วาสนาปรายตาอย่างดูถูก “เอามือสกปรกๆ ของแกออกไปนะไอ้ยุทธ”
“อ้าว ทำไมผู้รากมากดีอย่างยายน้อย ถึงพูดจาไม่ให้เกียรติหลานเขยอย่างนี้ล่ะ?”
“ฉันไม่เคยมีหลานเขยจนๆ อย่างแก”
พูดพลางทำท่าจะเดินหนี แต่ยงยุทธก็เข้ามาขวางทางไว้
“จะหนีไปไหนล่ะ เก่งนักไม่ใช่เหรอ บอกฉันมาว่าแกพานังปรางไปอยู่ที่ไหน?”
“อะไร? ฉันไม่รู้เรื่อง”
ยงยุทธโวยวายใส่หน้า
“ไม่รู้เรื่องได้ยังไง ก็มีคนบอกว่าแกพามันไป หรือว่าต้องเจ็บตัวก่อนถึงจะยอมบอกฮะ”
“ทำไมไอ้ยุทธ แกจะทำอะไรฉัน? ฉันจะบอกให้นะ ที่ยัยปรางมันหนีไปจากแกไม่ใช่เพราะฉัน แต่เป็นเพราะแก ใครจะไปทนอยู่ในขุมนรกกับคนชั่วๆ อย่างแก”
“คำก็ชั่วสองคำก็ชั่ว คิดว่าตัวเองวิเศษมาจากไหนฮะ”
ยงยุทธกระชากแขนวาสนา แต่อีกฝ่ายกระชากกลับ ก่อนจะพยายามจบเรื่องโดยการหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมา
“ครั้งนี้ฉันจะไม่เอาเรื่องที่แกมาหาเรื่องฉัน แกจะไปไหนก็ไป แล้วก็ไม่ต้องมาถามฉันอีกว่ายัยปรางอยู่ไหน”
วาสนารีบชิ่งออกไปทันที ยงยุทธมองเงินตาวาว แต่ก็ยังไม่หายสงสัยในพฤติกรรมของอีกฝ่าย
อ่านต่อตอนที่ 8