แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 5
ปราณนต์ถามอวัศยาที่อยู่ในครัว
“ค่อยยังชั่วหรือยังครับ หายแสบหรือยังครับ”
“ก็...ยังแสบๆอยู่เลย..อีกสักขันก็แล้วกัน” อวัศยาบอก
“ครับๆ” ปราณนต์รีบเอาขันรองน้ำจากก๊อกน้ำ
ระหว่างรอลิปดาก็เข้ามาสะกิดไหล่ปราณนต์จึ๊กๆ ปราณนต์หันมาเห็นก็ตกใจ “บ...”
ลิปดารีบจุ๊ปาก “ชู่ว”
ปราณนต์รีบหุบปาก ลิปดามองอวัศยาแล้วก็เอาขันน้ำมาถือไว้เอง พร้อมทั้งพยักหน้าให้ปราณนต์ถอยไป
อวัศยาทำมารยาต่อ “โอ้ย แสบจังเลย...แสบหน้าไปหมดเลย”
อวัศยายังมารยาต่อไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ปราณนต์ถอยหนี ลิปดาถือขันและเข้ามาแทนที่ปราณนต์ ลิปดาปิดน้ำก๊อกแล้วก็เอาน้ำในขันราดลงที่หน้าอวัศยาพรวด น้ำกระจายเลอะเทอะลงมาถึงเสื้อ อวัศยาสะดุ้ง
“นี่ !! ทำดีๆสิ เปียกไปหมดแล้ว” อวัศยาว่า ลิปดาเอามือตัวเองปาดหน้าอวัศยาอย่างไม่ปราณี “ว้ายๆ” อวัศยาพูดไปก็เอามือก็ปาดป่ายไปทั่วหน้าตัวเองไปด้วย “เฮ้ย นี่ทำอะไรของเธอหะ”
อวัศยาสลัดตัวเองหลุดออกมาจากฝ่ามืออันหนาใหญ่ของลิปดาแล้วก็ลืมตาขึ้น
“ปราณนต์!” อวัศยาตกใจ “บอส !!”
ลิปดายืนอยู่แทนที่ปราณนต์ยิ้มแฉ่ง
อวัศยาเอามือลูบปาดน้ำบนหน้าตัวเอง “บอสมาได้ยังไง ? แล้ว..มาทำอะไร” อวัศยาเอามือลูบหน้าไปถามไป
ปราณนต์มองแล้วก็ถามซื่อๆ
“พี่ศยายังไม่ได้ล้างมือ เอามือปาดหน้าปาดตาแบบนี้...ไม่แสบหน้าแล้วเหรอครับ”
อวัศยาชะงักกึกแล้วรีบเอามือลงแต่พูดไม่ออก ปราณนต์รอคำตอบ ลิปดางง
ลิปดาพูดกับปราณนต์ “คุณหมายถึงอะไร ทำไมยังไม่ล้างมือ แล้วต้องแสบหน้า แล้วตกลงเมื่อกี๊ทำอะไรกัน”
ปราณนต์จะเล่า “คือ....”
อวัศยารีบแทรก “ระหว่างที่คุยกัน ฉันไปตามรันก่อนนะ จะได้ให้มารีบช่วยกันทำกับข้าว” อวัศยาเดินไปบ่นไป พร้อมกับทำหงุดหงิดกลบเกลื่อน “ดูสิ บอกว่าจะออกไปจัดโต๊ะ แล้วก็หายไปเลย นี่จะเที่ยงแล้ว อาหารยังไม่เสร็จสักอย่าง เดี๋ยวก็ไม่ทันกันพอดี”
อวัศยาเดินออกจากห้องครัวไป พอพ้นหลังสองหนุ่ม อวัศยาก็ทำหน้าเหยเกคิดในใจว่าซวยแล้ว
ลิปดาหันมาทางปราณนต์
“ว่ามา...”
อวัศยาลากรันมาคุยกันในมุมปลอดภัย
“ฉันว่าเธอคิดมากไปแล้ว บอสเค้าก็คงจะอยากมาร่วมกิจกรรม แล้วก็มาเห็นเหตุการณ์ ก็เลยเข้ามาแกล้ง ..” แล้วรันก็หลิ่วตา “แต่จะว่าไป..แผนการณ์หล่อนก็ “เหนือเมฆ” นะจ๊ะ แหมๆ เห็นแว่นๆ ติ๋มๆ มีมารยากับเค้าเหมือนกันนะเนี่ย”
“เฮ้ย ไม่ใช่เวลาจะมาชมกัน..นี่ฉันกำลังเครียด..บอสต้องเห็นตอนที่ปราณนต์ล้างหน้าให้ฉันแน่ๆ เลยทำไงดี”
“ก็ไม่เห็นต้องทำไง ปราณนต์เค้าก็คงจะบอกเหตุผลบอสไปแล้ว และมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ไม่ต้องคิดมาก แค่โดนบอสแกล้งนิดๆหน่อยๆ แลกกับได้คลุกวงในน้องณนต์..คุ้มจะตาย”
รันกระแซะๆ
“หรือว่าไม่ชอบ” รันยังพยายามกระแซะ
อวัศยาเขินแต่ทำเก๊ก “เยอะไปแหละ มันก็ไม่ได้จะนัวเนียอะไรกันขนาดนั้นสักหน่อย” อวัศยารีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่..ทำไมจู่ๆ บอสถึงได้โผล่มานะ ต้องมีอะไรในใจแน่ๆ”
อวัศยาคิดถึงลิปดาด้วยความไม่วางใจ
ตารางงานที่นิดากับรันแบ่งฝ่ายต่างๆ ติดไว้ที่ผนัง ลิปดายืนดู โดยมีนิดายืนอยู่ข้างหลัง
“นิดาดีใจจริงๆเลยนะคะพี่บอสตามมา ทุกคนก็ดีใจมากๆ นับเป็นปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติที่คาดไม่ถึงจริงๆ ทางอาจารย์นะจ๊ะที่ดีใจ เพราะบอสสนับสนุนแต่เงิน เพิ่งจะได้เห็นหน้ากันก็วันนี้” นิดาปลื้มปริ่ม
ลิปดาไม่ได้สนใจนิดา เขาหันมาถามหน้าตาเฉย “ใครเป็นคนจัด”
“คุณรันค่ะ”
“ผมว่า..มันไม่ค่อยเหมาะสม..ผมขอจัดใหม่” ลิปดาหันมาทางนิดา “ผมรู้ว่าคุณทำอาหารอร่อยมาก”
“ขอบคุณค่ะ” นิดายิ้มรับ
“คุณกับลิลลี่และพริบพราวไปดูแลครัว”
ลิปดาคิดๆ แล้วก็จัดใหม่แบบแอบเจ้าเล่ห์
พริบพราวดีใจมาก “เยส”
พริบพราวอยู่ในห้องครัว เธอมองรอบๆ ครัวราวกับสวรรค์เพราะดีใจที่ไม่ต้องล้างห้องน้ำ
ลิปดาพูดต่อ
“ผู้ชายส่งไปอยู่ฝ่ายทำความสะอาด .. ให้ปราณนต์ พีระ กับ รันล้างห้องน้ำ”
รันที่อยู่ในชุดทำความสะอาดเหมือนพริบพราวแทบกรี๊ด แล้วหล่อนก็วิ่งเข้าไปล้างห้องน้ำด้วยความสะอิดสะเอียน
“ไม่ปรุงแต่ง ไม่ปรุงแต่ง ไม่ปรุงแต่ง” รันท่อง
พีระกับปราณนต์มองงงๆ ทั้งสองคนเดินเข้าไปล้างห้องน้ำได้โดยไม่ต้องบิ้วใดๆทั้งสิ้น
ลิปดาพูดต่อ
“ส่วนกวาดลานด้านหน้า ก็คุณแสนดีกับคุณรุจน์”
รุจน์กวาดใบไม้ด้วยความเซ็งที่ไม่มีลิลลี่อยู่แล้ว รุจน์เศร้าโอเว่อร์เพราะมีแต่แสนดี พอหันมาเห็นแสนดีเขาก็ทำ
หน้าเซ็ง ถอนใจ แสนดีเห็นแล้วรำคาญ
“นี่ หน้าฉันมันชวนหดหู่ขนาดนั้นเลยหรือไงหะ จะว่าไป ฉันกับลิลลี่ก็ไม่ได้จะต่างอะไรกันนักหนา มีตาหามีแววไม่”
รุจน์ไม่ตอบแต่ถอนหายใจใส่หน้าอย่างไม่เกรงใจ ลิปดาพูดปิดท้าย
“ส่วน..ลานอีกด้านที่เหลือ..ผมกับศยาดูแลเอง”
ลิปดาอมยิ้มนิดๆ
อวัศยาเซ็งมาก เธอกำลังกวาดลานอยู่กับลิปดา อวัศยาทำหน้าเบื่อหน่ายมาก ลิปดาเหล่ๆแซวๆ
“กวาดลานกับผมมันน่าเบื่อขนาดนี้เลยหรือไง”
“ฉันไม่ได้เบื่อ..ฉันสำรวม” อวัศยาอ้าง
ลิปดาเลิกคิ้วแบบไม่เชื่อสุดๆ “ไม่จริงมั้ย .. ผมว่าเพราะไม่มีหนุ่มๆมาคอยล้างหน้า ล้างตาให้ เลยไม่กระชุ่มกระชวย” ลิปดาพูดลอยๆ
อวัศยาร้อนตัวจึงรีบทำขรึม “บอสพูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่องด้วยนะ”
“คุณรู้ รู้เต็มๆ ก็เป็นคนทำเองจะไม่รู้ได้ยังไง” ลิปดายิ้มแซว “แผนตื้นๆ ปราณนต์เล่าให้ผมฟังแป๊บเดียวผมก็รู้แล้ว .. ดีนะที่ปราณนต์เป็นเด็กใสซื่อ เลยตามไม่ทัน”
อวัศยาหันขวับแล้วทำดุ “บอสยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ ฉันไม่รู้ว่าบอสไปคุยอะไรกับเด็กนั่น แต่ฉันไม่ได้วางแผนอะไรทั้งนั้น”
ลิปดาทำเป็นพูดลอยๆ “ที่แกล้งทำเป็นมือเลอะพริก แล้วให้เด็กหนุ่มมาดูแล ..แน่ใจนะว่าไม่ใช่แผน”
อวัศยาปรี๊ด “ฉันจะบ้าทำแบบนั้นทำไม น่าเกลียด บอสก็รู้จักฉัน ฉันเป็นคนยังไง คนอย่างฉันจะคิดทำอะไรแบบนั้นได้ยังไง”
อวัศยาเผลอใส่อารมณ์เสียงดังลั่นไปทั้งสถานปฎิบัติธรรม ลิปดาได้แต่จุ๊ปากเตือน แต่อวัศยายังหน้ามืดจึงจัดอีกชุดใหญ่
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมบอสถึงคิดว่าฉันจะทำ แต่ฉันขอบอกเลยว่าฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้แกล้ง ไม่ได้วางแผนอะไรทั้งนั้น รู้ - ไว้- ซะ -ด้วย”
อาจารย์นะจ๊ะทนไม่ไหวจึงโผล่มาจากด้านบนของศาลาแล้วพูด
“ถึงที่นี่จะไม่ใช่วัด แต่คนมาเพื่อต้องการความสงบ กรุณาสำรวมด้วย”
อวัศยาหน้าเสีย ลิปดาอมยิ้ม นะจ๊ะพูดเสียงดุ
“เห็นที..อาจารย์คงจะต้องใช้กฎเหล็กเสียแล้ว”
ป้ายขนาดใหญ่ติดไว้ที่โรงอาหารว่า “งดพูด” ชาวนาราภัทรนั่งกระจายกันกินข้าวอยู่ตามมุมต่างๆ อวัศยากับรันนั่งกินข้าวแต่กัดฟันคุยกันโดยปากไม่ขยับแต่มีเสียงเบาๆ พอได้ยินกันสองคน
“บอสรู้เรื่องที่ฉันมารยาใส่ปราณนต์ด้วย ทำไงดีแก”
รันพูดปากไม่ขยับ “ไม่ต้องยอมรับ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น นิ่ง สงบ สยบข่าวเม้า”
ลิลลี่กับรุจน์นั่งกินข้าวกันเงียบๆ ทันใดนั้นรุจน์ก็ตักไข่ขาวใส่จานลิลลี่ ลิลลี่เงยหน้ามอง รุจน์กัดฟันพูดแบบปากไม่ขยับ
“พี่รู้ว่าลิลลี่ชอบกินไข่ขาว .. พี่ให้”
ลิลลี่หรี่ตามองรุจน์แล้วกัดฟันถาม “รู้ได้ไงว่าฉันชอบไข่ขาว”
“ก็แอบมองตอนลิลลี่กินข้าวมาตั้งหลายปี ทำไมจะไม่รู้ .. แล้วก็รู้ว่า ไม่ชอบเครื่องใน ไม่กินกระเทียม ไม่ชอบปลาเปียกน้ำ แล้วก็ไม่ชอบอาหารคาวที่มีผลไม้หวาน”
ลิลลี่อึ้ง “สุดยอดอ่ะ”
รุจน์ยิ้มเขิน ลิลลี่เริ่มมองรุจน์เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น รุจน์ยิ้มอายๆ
พริบพราวกับแสนดีนั่งคู่กันแล้วเม้าท์แบบไม่เปิดปากเหมือนกัน
“มีอะไรคืบหน้ามั๊ยคะน้องพราว ปราณนต์ยอมเปิดปากอะไรบ้างหรือยัง”
“ไม่มีเลยค่ะ ตอนเช้าล้างห้องน้ำกับพี่แสนดี ตอนกลางวันทำครัว พราวไม่มีโอกาสคุยกับปราณนต์เลยค่ะ ตอนบ่ายจะลองดูนะคะ แล้วพี่แสนดีเห็นอะไรผิดปกติมั๊ยคะ มีใครน่าสงสัยจะเป็น “แอบรัก” หรือเปล่า”
“มันก็มีแต่ไม่ชัด พี่ขอดูอีกสักนิด ถ้าชัดแล้วจะรีบบอก”
แสนดีพูดพลางชายตามาทางอวัศยา อวัศยานั่งกินข้าวไม่รู้เรื่อง ลิปดาแอบลอบมองอวัศยา แต่อวัศยาแอบปรายตาไปมองปราณนต์ที่กำลังนั่งกินอยู่คนเดียวอย่างสำรวม พริบพราวก็ลอบมองปราณนต์อยู่ทางด้านหลังตลอดเวลา
นะจ๊ะยืนอยู่กลางลานโดยมีคนอื่นๆ ยืนล้อมรอบ นะจ๊ะพูดอย่างสุขุมและสำรวม
“ช่วงบ่ายนี้เราจะแยกย้ายกันไปฝึกสติด้วยการเดิน..อาจารย์จะปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันไปเดิน ขณะเดินให้จิตจับอยู่ในทุกอิริยาบถของร่างกาย เท้ายกหนอ..เท้าย่างหนอ เท้าวางหนอ..ขอให้จิตกำหนดรู้ อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด”
นะจ๊ะพูดอย่างสำรวมแบบชวนหลับนิดๆ
อวัศยา ลิปดา แสนดี รุจน์ ลิลลี่ รัน นิดา พีระ นิดา และปราณนต์เดินอยู่ตามมุมต่างๆของลาน ปราณนต์จะ
เดินแยกออกไปจากคนอื่นพอสมควร พริบพราวเดินไปก็มองปราณนต์ไป พริบพราวมองซ้ายมองขวาพอเห็นไม่มีคนสนใจเธอก็ทำเป็นเดินจงกรมพุ่งไปหาปราณนต์
อวัศยากำลังเดินอย่างอิน พลันสายตาเหลือบไปเห็นพริบพราวที่เดินไปหาปราณนต์ อวัศยามองงงๆ ปราณนต์เดินอย่างสำรวมอยู่ พริบพราวเดินพุ่งมาหาพอถึงระยะที่พอจะคุยกันได้ก็รีบทำเป็นสำรวมขณะเดินอยู่ใกล้ๆ ปราณนต์
ก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ
“เฮ่อ...อยู่กับตัวเองแบบนี้บ้างก็ดีเหมือนกันเนอะ..รู้สึกสบายใจจัง นายว่ามั้ย”
พริบพราวทำเป็นชวนคุย แต่ปราณนต์ไม่ตอบอะไร เขายังคงเดินอย่างสำรวม พริบพราวชะงักที่ไม่สำเร็จจึงเอาใหม่
“ที่นี่สงบมากเลย ตัดจากโลกภายนอก สง๊บสงบ..นายว่ามั้ย”
ปราณนต์ไม่ตอบอะไร เขายังคงยังเดินอย่างสำรวมราวกับพริบพราวไม่มีตัวตน พริบพราวเริ่มรู้สึกจี๊ด
พริบพราวบ่น “จะเคร่งไปไหนเนี่ย”
ปราณนต์เดินแยกไปอีกทางเพื่อเลี่ยงการสนทนา พริบพราวมองตามแต่แล้วก็ไม่ยอมเดินตามไป พริบพราว
เดินไปพูดไป เธอพยายามแสวงหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง พริบพราวพร่ำเพ้อโดยไม่รู้เลยว่าปราณนต์เริ่มจะรำคาญและ
อยากให้ถึงเวลาพูดเต็มที บริเวณที่ปราณนต์เดินมีป้ายเขียนว่า “งดพูด” แขวนอยู่ด้วย
“ฉันว่ามาฝึกแบบนี้บ่อยๆเป็นผลดีกับชีวิตเรามากเลยนะ ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง มีสติ พอมีสติก็มีปัญญา เราก็จะทำงานได้ดีขึ้น ชีวิตเราก็ดีขึ้น .. มีความสุขจังเลยเนอะ นายว่า..” พริบพราวหันมาทางปราณนต์แล้วก็ชะงักกึก
ปราณนต์ถือป้าย “งดพูด” จ่ออยู่ที่หน้าพริบพราว
“นี่นายหาว่าฉันพูดมากหรือไง” พริบพราวถาม
ปราณนต์ไม่ตอบ แต่ยัดป้ายงดพูดใส่มือพราวแล้วก็เดินหนีไปทันที พริบพราวมองดูป้ายแล้วก็มองปราณนต์ที่เดินจากไปด้วยความแค้น พริบพราวกระทืบเท้าแล้วจะปาป้ายทิ้ง แต่เหลือบไปเห็นอาจารย์นะจ๊ะมองอยู่ก็จำต้องเอาป้ายไปแขวนไว้ที่เดิมด้วยความขัดเคืองใจ
อวัศยาที่แอบมองอยู่แอมยิ้มอย่างสมน้ำหน้าและสะใจ ลิปดาลอบมองอวัศยาแล้วก็คิด
จากเวลากลางวันที่มีแดดเปรี้ยงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเวลาเย็นย่ำที่มีลมพัดระเรื่อย อาจารย์นะจ๊ะพูดด้วยอารมณ์ขรึมขลัง
“เย็นนี้เราไม่มีอาหารเย็นนะคะ แต่เรามีน้ำปานะ ให้ดื่มแทน”
รุจน์กับแสนดีทำหน้าเลิ่กลั่กจะโวยวายมากกว่าคนอื่น
“ไม่มีอาหารเย็น” รุจน์เลิ่กลั่ก
“บ้าแล้ว เดี๋ยวก็ได้กินกันเองแน่เลยคืนนี้” แสนดีว่า
นิดารีบหันมาจุ๊ปากให้เงียบ แสนดีกับรุจน์จำต้องหยุดบ่น
นะจ๊ะพูดต่อ “และสำหรับผู้ที่ต้องการจะทดสอบจิตของตัวเอง คืนนี้อาจารย์แนะนำให้ไปทดสอบจิตที่บ้านทรงไทยด้านหลัง”
“ทำไมต้องไปทดสอบที่บ้านทรงไทยคะ ? ที่บ้านทรงไทย..มีอะไรเหรอคะ” ลิลลี่ทำหน้าตาอยากรู้มาก
นะจ๊ะหันมาพูดเสียงเย็นและมีแววตาเครียด “ในบ้านทรงไทยมีศพของคุณหญิงเจ้าของที่ดินผืนนี้”
ลิลลี่ รุจน์ แสนดี และรันถึงกับผงะ
นะจ๊ะพูดต่อ “เราเก็บศพคุณหญิงไว้เพื่อให้ผู้ปฎิบัติได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกจิต ถ้าเรามีกำลังจิตเข้มแข็งไม่ปรุงแต่ง ไม่หวั่นไหว เราก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ไม่โดนความกลัวครอบงำ..ใครที่อยากฝึกปฎิบัติขั้นสูง ..อาจารย์ขอเรียนเชิญ ระดับแอดว๊านซ์ รออยู่ที่บ้านทรงไทย...นะจ๊ะ”
นะจ๊ะลงท้ายอย่างท้าทายด้วยเสียงนิ่มๆ
รุจน์แอบมองลิลลี่แล้วก็แอบคิดแผนเจ้าเล่ห์ นิดากับพีระมองหน้ากันประมาณว่าจะไปลองแน่ ส่วนปราณนต์คิดแล้วก็อยากลอง พริบพราวมองปราณนต์แล้วคิดแผนบางอย่างจึงกระซิบบอกแสนดี
“พี่แสนดีคะ .. พราวมีแผนค่ะ”
แสนดีหันมาฟังด้วยความตั้งใจ
หม้อน้ำเต้าหู้ตั้งอยู่บนโต๊ะ นิดาตักใส่แก้วแจก รุจน์เกาะขอบหม้อดื่มเป็นชามๆ
“คุณรุจน์ใจเย็น นี่ซดไปหลายชามแล้วนะคะ เดี๋ยวก็ท้องแตกกันพอดี” นิดาว่า
“แตกก็แตก แต่ผมต้องตุนไว้ก่อน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยงดข้าวเย็น ถ้าไม่ตุนมีหวังเป็นลม” รุจน์บอก
แสนดียืนอยู่ข้างๆ ส่วนลิลลี่ยืนอยู่ถัดไป โดยมีพีระยืนอยู่ข้างหลังนิดา
แสนดีเริ่มแผน “นี่..ทุกคน..แสนดีคิดว่าคืนนี้..เราน่าจะไปลองทดสอบจิตกันที่บ้านทรงไทยตามที่อาจารย์นะจ๊ะแนะนำ นะคะ..ไหนๆเราก็มาถึงนี่กันแล้ว จะได้รู้กันไปเลยว่า จิตใครแข็ง จิตใครอ่อน” แสนดีกระซิบรุจน์ “คุณรุจน์โอกาสดีๆแบบนี้หายากนะคะ ถ้าคุณรุจน์ไป แสนดีชวนลิลลี่ให้เองค่ะ”
รุจน์หันไปมองลิลลี่ก็เห็นลิลลี่กำลังดื่มน้ำเต้าหู้ในท่วงท่าที่แสนจะเซ็กซี่
รุจน์คิดฝันไปไกลถึงภาพลิลลี่ที่กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและโผเข้ากอดเขาแน่น รุจน์ยิ้มเพราะฝันค้างไปไกล
“ได้เลยครับ..ไปครับ..คืนนี้ผมไปด้วยครับ ไปทดสอบจิตกันครับ” รุจน์ว่า
แสนดียิ้มที่แผนสำเร็จจึงหันไปทางนิดากับพีระ “คุณนิดา คุณพี..ไปด้วยกันนะคะ”
นิดามองหน้าพีระ “ไม่พลาดอยู่แล้วค่ะ เราสองคนฝึกจิตกันบ่อยๆ ดึกๆ เดินไปเดินมาในบ้านไม่ให้ตกใจหนังหน้ากันเองก็ถือว่าเป็นการฝึกขั้นสูงแล้วค่ะ”
นิดายิ้มเย็น พอหันมาเห็นหน้าสามีทั้งสองก็ผงะใส่กันเล็กน้อย
แสนดียิ้ม “เยี่ยม! งั้นคืนนี้เราไปเจอกันที่ลานหน้าศาลา แล้วเดินไปด้วยกันนะคะ”
ทุกคนพยักหน้า แสนดียิ้มพอใจก่อนจะหันมาส่งสัญญาณบอกพริบพราวว่าโอเค พริบพราวยิ้มรับแล้วหันไปมองปราณนต์ที่นั่งแยกออกไป ปราณนต์นั่งดื่มน้ำเต้าหู้ใต้ต้นไม้อย่างสำรวมและสันโดษ เขาเป็นคนเดียวที่เคร่งครัดสุดแล้ว พริบพราวหันไปดูมอเตอร์ไซด์เก่าๆ ที่จอดอยู่แล้วก็มองปราณนต์ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์
อวัศยาตอบสวนขึ้นมา
“ฉันไม่ไป บอสอยากไปก็ไปเอง ฉันไม่จำเป็นต้องทดสอบจิตตัวเอง ฉันไม่อยากรู้”
อวัศยากับลิปดานั่งคุยกันอยู่ที่มุมสงบๆ มุมหนึ่ง
“โธ่ ผมอุตส่าห์ตามมา ทั้งที่ไม่เคยคิดจะมา แค่นี้ไปด้วยกันไม่ได้เหรอ ผมอยากรู้ว่า..มีศพคุณหญิงเจ้าของที่ตั้งอยู่แบบนี้ เราจะเห็นอะไรๆ บ้างหรือเปล่า” ลิปดานึกสนุก
“นี่ เค้าให้ไปฝึกจิต ไม่ใช่ไปลองของ ! คิดแบบนี้ ฉันยิ่งไม่ไปด้วย ไม่อยากไปเจอดี บอสชวนคนอื่นเถอะ ฉันไม่ไป”
อวัศยาเดินชิ่งไปเลย ลิปดาคิดวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
ปราณนต์เดินเข้ามาในห้องพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ปราณนต์มองไปรอบๆห้องแล้วก็แปลกใจ
“หายไปไหนกันหมด”
ปราณนต์เหลือบไปเห็นกระดาษที่ถูกเขียนวางไว้
ปราณนต์อ่าน “ณนต์ พี่กับพี่พีไปทดสอบจิตที่บ้านทรงไทย ถ้าอยากไปเจอกันที่ลานหน้าศาลา อยากชวนใครมาด้วยก็ชวนมานะ .... รุจน์”
ปราณนต์คิด..
“ไปทดสอบจิต...ชวนใคร”
อวัศยากำลังหวีผม ทาครีม เตรียมเข้านอน เสียงกระดาษสอดเข้ามาทางใต้ประตูดังฟืด อวัศยาชะงักแล้วหันไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งสอดเข้ามาใต้ประตูห้องเธอ
อวัศยามองด้วยความแปลกใจมาก
อวัศยาเดินมาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน “พี่ศยาครับ..” อวัศยาตื่นเต้น “คืนนี้ผมจะไปทดสอบจิตที่บ้านทรงไทย..ถ้าพี่ศยาสนใจ ไปเจอกันที่หน้าศาลานะครับ ..ปราณนต์”
อวัศยาเงยหน้าจากกระดาษด้วยอาการตื่นเต้น
ปราณนต์หยิบไฟฉายเตรียมตัวเดินออกไป เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปราณนต์เปิดประตูก็เห็นพริบพราวยืนอยู่
ปราณนต์ตกใจ “คุณ .. มาทำอะไร นี่ห้องพักผู้ชายนะ คนอื่นมาเห็นน่าเกลียด”
“นี่ไม่ต้องมาทำหวงเนื้อหวงตัว ถ้าไม่จำเป็น ฉันไม่มาหรอก” พริบพราวว่า
ปราณนต์ถาม “คุณมีอะไร”
“คือ..” พริบพราวทำอึกอัก “ฉัน..ฉันมี ป.จ.ด.”
ปราณนต์งง “ป.จ.ด. คืออะไร”
“ก็ ป.จ.ด. ที่ผู้หญิงเป็นแต่ผู้ชายไม่เป็นไง .. ฉันเป็น ป.จ.ด. แต่ฉันไม่ได้เตรียม ผ.อ.น.ม. มา”
“หะ อะไร ผ.อ. อะไรนะ”
“ผ.อ.น.ม. ที่ใช้เวลาที่เป็น ป.จ.ด. ไง”
ปราณนต์เกาหัวเพราะเริ่มมึน “โอ้ย อะไรของคุณ ย่อจนงง พูดเต็มไม่ได้หรือไง ป.จ.ด. ผ.อ. ไรเนี่ย”
พริบพราวสวน “ป.จ.ด. ก็ ประจำเดือน ผ.อ. น.ม. ก็ ผ้าอนามัยไงเล่า วุ้ย แค่นี้ก็ไม่เก็ท”
“เออ ! ก็แค่นี้แหละ พูดมาตรงๆ ซะตั้งแต่แรกก็รู้เรื่องแล้ว จะย่อทำไม”
“ก็ฉันอายนี่” พริบพราวทำเขิน “ไม่อยากพูดตรงๆ นายก็ซื่อบื้อ ไม่เก็ทอยู่ได้”
“โอเค..ๆ ผมผิดเอง” ปราณนต์ขำ “แล้วไง.. คุณมาบอกผมทำไม”
“ก็ฉันจะมาขอความช่วยเหลือ ฉันถามพี่ๆแล้วก็ไม่มีใครมีเลย ฉันเลยต้องออกไปซื้อ แต่ฉันไม่อยากไปรถตู้ ไม่อยากทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ฉันเห็นที่นี่มีมอเตอร์ไซด์อยู่ เลยจะชวนนายออกไปด้วยกัน นายขี่มอเตอร์ไซด์เป็นหรือเปล่า”
ปราณนต์พยักหน้า “เป็น .. แต่...จะต้องไปตอนนี้เลยเหรอ”
“ใช่...นาย..ติดอะไรหรือเปล่า”
พริบพราวรอคำตอบด้วยแววตาอ้อนวอน ปราณนต์นิ่งคิด
อวัศยาถือกระดาษจดหมายเดินมายืนรอตรงที่ลานหน้าศาลาก่อนจะชะเง้อมองหาปราณนต์ด้วยอาการตื่นเต้นลึกๆ ทันใดนั้นมีมือยื่นมากสะกิดเธอ อวัศยายิ้มแล้วก็หันมาเพราะคาดว่าเป็นปราณนต์ แต่อวัศยาก็ต้องช๊อคเพราะคนที่ยืนอยู่คือลิปดาไม่ใช่ปราณนต์
“บอส”
ลิปดายิ้มกวน
“ใช่..ผมเอง”
“แล้ว...”
อวัศยามองกระดาษที่อยู่ในมือ
ปราณนต์ขี่มอเตอร์ไซด์เก่าๆ โดยมีพริบพราวซ้อนท้าย
“ขอบใจนายมากนะที่มาเป็นเพื่อนฉัน..ฉันนึกว่านายติดธุระ ไม่ยอมมาด้วย”
“ผมก็แค่สงสาร..แต่ซื้อแล้วต้องรีบกลับนะ ผมอยากไปทดสอบจิตที่ศาลาทรงไทยกับพี่ๆเค้า”
“เออน่า..ฉันไม่ไปนานหรอก ทำธุระเสร็จเรียบร้อย ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับคุณแล้ว”
พริบพราวยิ้มนิดๆ เพราะเข้าทาง
ลิปดากับอวัศยายังอยู่ที่เดิม ลิปดาดึงกระดาษมาจากมืออวัศยา
“ผมชวนไม่ยอมมา..แต่ปราณนต์ชวนคุณมา..หมายความว่าไง” ลิปดาถามกวนๆ
อวัศยางง “บอสรู้ได้ยังไง ว่าฉันมาเพราะปราณนต์” อวัศยาดึงกระดาษกลับคืน
“ก็ผมเป็นคนเขียนจดหมายลองใจคุณเอง” ลิปดาดึงมาอีกที “ปลอมลายมือนิดหน่อย”
อวัศยาเหวอ “นี่..เป็นจดหมายของบอส” ลิปดาพยักหน้า “นี่บอสว่างมากนักหรือไงหะ”
“ไม่ว่าง...แต่ถ้าทำแล้ว ทำให้รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่..ถึงไม่มีเวลาผมก็จะทำ และตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าคุณให้ความสำคัญกับปราณนต์มากจริงๆ”
อวัศยาหน้าเสียก่อนจะรีบพูดแก้ “บอสเข้าใจผิดแล้ว ที่ฉันมา ไม่ได้มาตามนัดของปราณนต์ แต่ฉันมาเพราะ..”
“เพราะอะไร ? แก้ตัวมาสิ..”
“เพราะ..เพราะ..”
ทันใดนั้นเสียงรันก็ดังขึ้น
“ศยา..ผมมาแล้ว..
อวัศยากับลิปดาหันไปเห็นเป็นรันวิ่งเข้ามาหาในท่าสุดแมน
“อ้าวบอส”
อวัศยารีบเดินมาหารัน “คนที่ฉันนัดไว้จริงๆแล้ว คือ รันค่ะ ไม่ใช่ปราณนต์”
อวัศยายิ้มเย้ย ลิปดาหลิ่วตาไม่เชื่อ อวัศยากับรันยิ้มโล่งอก
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ รันกับอวัศยายืนคุยกันอยู่ข้างๆ เรือนพัก
“เธอจะให้ฉันไปช่วยดูต้นทาง” รันถาม
“ใช่ ฉันว่า จดหมายฉบับนี้มันแปลกๆ” อวัศยาชูจดหมายขึ้น “ถ้าฉันไปตามนัด แล้วเกิดมีอะไรพลิกโผ ผิดพลาด เธอก็ปรากฏตัวออกมาเลยนะ ฉันจะได้บอกว่า..ฉันนัดกับเธอไว้”
“โอเค .. แต่ฉันบอกก่อนเลยนะ ฉันไม่ไปอีบ้านทรงไทยเก็บศพนั่นเด็ดขาด ฉันแค่ออกมารับหน้า แล้วกลับห้องนอน ฉันไม่ไป ฉันกลัวผี โอเค้”
“โอเค”
อวัศยารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ
เหตุการณ์ปัจุบัน อวัศยากับรันพยายามฝืนยิ้มยืนยันคำพูดตัวเอง ลิปดาหลิ่วตาเพราะไม่อยากจะเชื่อ
อวัศยารีบบอก “บอสจะไม่เชื่อก็ได้นะคะ แต่ที่ฉันมาอยู่ตรงนี้ เพราะรัน ไม่ใช่เพราะปราณนต์ ฉันแค่จะเอาจดหมายมาคืนเค้า และบอกเค้าว่า คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก เพราะฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น” รันทำเสียงเข้ม “ฉันขอย้ำ.ปราณนต์เป็นลูกน้องเหมือนกับทุกคน เค้าไม่ได้พิเศษกว่าคนอื่น .. รีบไปเถอะรัน”
อวัศยากับรันหันหลังให้ลิปดา พอทั้งสองหันหลังให้ลิปดาได้ก็ทำหน้าโล่งอกด้วยกันทั้งคู่ อวัศยากับรันกำลังจะเดินไป ลิปดาพูดขึ้น
“เดี๋ยว” ลิปดาเรียกไว้ สองคนชะงัก ลิปดาเดินมาแทรกกลางและโอบไหล่ทั้งสองคน “คุณสองคนจะไปทดสอบจิตที่บ้านทรงไทยกันใช่มั๊ย..ไหนๆผมก็มาแล้ว และแผนลองใจผมก็พังไม่เป็นท่า เพื่อไม่ให้เสียเวลา..ผมไปด้วย”
ลิปดาพูดแล้วก็ลากอวัศยากับรันไปด้วยเลย อวัศยาหน้าเครียด
“บอ..บอสจะไปจริงๆเหรอครับ”
“จริงสิ ไป !! น่าสนุกดีออก”
“ตะ..แต่” รันพูดไม่ออกเพราะกลัวผีมาก
ลิปดาลากรันกับอวัศยาไปเลย รันหน้าเสียและจะเป็นลม อวัศยามองหน้าเพื่อนด้วยแววตาขอโทษ
ปราณนต์นั่งรออยู่บนมอเตอร์ไซด์หน้าร้าน พริบพราวกำลังซื้อผ้าอนามัยแบบส่งๆ อยู่ในร้าน
“เอาอันนี้ก็ได้ค่ะ”
พริบพราวหยิบส่งให้คนขายก่อนจะจ่ายเงินแล้วก็มองปราณนต์ไปด้วย พริบพราวยิ้มพอใจที่แผนขั้นที่หนึ่งสำเร็จ ปราณนต์นั่งรอ
พริบพราวเดินออกมาจากร้าน ปราณนต์หันมาเห็นก็เตรียมจะคร่อมรถ
“เรียบร้อยแล้วนะ ไป.. กลับ”
พริบพราวจับรถไว้ “เดี๋ยวก่อน..” ปราณนต์มองหน้า “ฉันหิว” พริบพราวบอก
ปราณนต์งง “หือ”
“ก็ตอนเย็นฉันไม่ได้กินข้าวนี่ มันก็ต้องหิวเป็นธรรมดา ฉัน....หาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับนะ”
“แต่..ตามกฎเค้าไม่ให้กินข้าวเย็นนะคุณ”
“เอาน่า..กฎมันก็เป็นสิ่งสมมุติ อาจารย์ก็บอกเอง ว่าทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ กฎก็ไม่ใช่ของจริง ไม่ต้องไปยึดติด เราต้องปล่อยวาง”
“ไม่ใช่แหละ..คุณเข้าใจผิดแหละ อย่าเอาคำสอนมาตีความมั่วแบบนี้สิคุณ”
“เอาน่า..แค่วันเดียว มื้อเดียว นะๆ” พริบพราวลากแขนปราณนต์ไปทันที “ตลาดโต้รุ่งอยู่ตรงนี้เอง กินแป๊บเดียว ไป”
พริบพราวลากแขนปราณนต์ไปทันที ปราณนต์ไม่ค่อยอยากไปแต่ก็จำใจเพราะลึกๆ แล้วก็สงสาร พริบพราวอมยิ้มที่แผนสำเร็จ
หน้าบ้านทรงไทยมีบรรยากาศวังเวงและน่ากลัวอย่างแรง แสนดี รุจน์ ลิลลี่ นิดา และพีระยืนอยู่หน้าบ้าน นิดานิ่ง ส่วนพีระแอ๊บนิ่ง แสนดีกลัว รุจน์กลัวแต่ก็ต้องทำแมน ลิลลี่หวาดหวั่น
“บรรยากาศมัน..ใช่เลยนะคะ มันต้องมีพลังอะไรบางอย่างอยู่ข้างในแน่ๆ ลิลลี่รู้สึกได้ค่ะ”
“แสนดีว่า..เราเดินเข้าไปทีละคู่ดีมั้ยคะ คุณพีไปกับคุณนิดา ลิลลี่ก็ไปกับคุณรุจน์ ส่วนแสนดี..รออยู่ตรงนี้เอง”
ทุกคนหันมา
“ก็..แสนดีไม่มีคู่นี่คะ จะให้เดินไปคนเดียวก็กระไรอยู่”
ทันใดนั้นเสียงลิปดาก็ดังขึ้น
“ผมหาคู่ให้คุณได้แล้ว”
ทุกคนหันไปทางลิปดา ลิปดา รัน อวัศยาเดินมา
“บอส คุณศยา คุณรัน ... จะมาทดสอบจิตเหมือนกันเหรอคะเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย” นิดาว่า
“จริงๆคนที่จะมาคือ คุณรัน กับ ศยา ผมแค่บังเอิญมาเจอเค้านัดกัน ก็เลยตามมาด้วย”
รันมองอวัศยาคล้ายจะต่อว่าว่า “เป็นไงยะ เป็นเรื่อง” อวัศยาทำหน้ารู้สึกผิด
ลิปดาพูด “เมื่อกี๊คุณแสนดีไม่มีคู่ใช่มั้ย” ลิปดาดันรันออกมา “ผมหาคู่ให้” คุณรันไปกับคุณแสนดี ผมไปกับ ศยาเอง”
อวัศยาหันขวับมาทางลิปดา ลิปดายักคิ้วใส่กวนๆ
“งั้นก็ครบคู่แล้วนะคะ..ดีเลย..ลงตัวมากๆ .. เอ่อ.. ใครอยากเดินรอบบ้านเป็นคู่แรกคะ”
ทุกคนชี้มาที่นิดากับพีระทันที นิดากับพีระสะดุ้งแล้วมองหน้ากัน นิดายิ้มอิ่ม ทำให้พีระจำต้องยิ้มอิ่มไปด้วย
“พี่พี...พร้อมนะคะ” นิดาถาม
พีระหน้าตาโคตรไม่พร้อมแต่ก็จำต้องพยักหน้า นิดาจับมือเหมือนพากันเดินขึ้นเครื่องประหารคีโยติน
“ไปกันค่ะ” นิดาบอก
นิดากับพีระจับมือและหันหน้าหาบ้านทรงไทยที่หน้าบ้านมีรูปคุณหญิงกรอบใหญ่วางอยู่คล้ายข่มขวัญ พีระกลืนน้ำลายเอื๊อก อวัศยามองไปรอบๆ แล้วก็กระซิบถามรัน
“รัน..ฉันเพิ่งสังเกตว่า..ตอนนี้ทุกคนในบริษัทอยู่ที่นี่หมดเลย..ยกเว้น..พริบพราวกับปราณนต์ เธอว่า..มันแปลกๆหรือเปล่า”
อวัศยาเริ่มมีความหวาดระแวงเบาๆ
พริบพราวนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ตลาดโต้รุ่ง เด็กเสิร์ฟเอาก๋วยเตี๋ยวมาวางหน้าพริบพราว ปราณนต์นั่งนิ่งไม่กิน
พริบพราวกินไปหนึ่งคำ เธอรู้สึกว่าไม่อร่อยเลยจึงมองปราณนต์ “นายไม่กินจริงๆเหรอ” ปราณนต์ส่ายหน้า อร่อยนะ น้ำซุปหว๊านนนหวาน” พริบพราวซดน้ำซุปโชว์ “อ๊า ! เส้นก็นุ๊มมมมนุ่ม” พริบพราวสูดเส้นเข้าปากแล้วทำหน้าเหมือนอร่อยมาก “นี่ดูๆ เนื้อหมูก็แน่ ไม่มีมันเลยนะ” พริบพราวเอาเข้าปาก “อืมมม์ นุ่ม หวาน เคี้ยวง๊าย ง่าย” จริงๆ แล้วเส้นเหนียวโคตร “ไม่กินแล้วจะเสียใจนะ..” พริบพราวคีบหมูมาลอยตรงหน้า “กินมั้ย”
ปราณนต์ขำ “คุณนี่..โรคจิตเข้าขั้นเหมือนกันนะเนี่ย เป็นอะไรหะ ชอบเอาชนะอยู่ได้ จะชนะไปทำกันนักกันหนา” พริบพราวชะงักกึก “ถามจริง..มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
พริบพราวเขี่ยๆ แล้วก็สารภาพ “ฮึ ! น้ำซุปก็จืด เส้นก็แข็ง หมูก็มีแต่มัน เหนียวอีกต่างหาก”
ปราณนต์ขำ “แล้วทำไมจะต้องมายั่วยวนให้ผมอยากกินด้วย ทำไมต้องอยากเอาชนะด้วย”
ปราณนต์ถามตรงๆ พริบพราวคิดแล้วก็ตอบซื่อๆ
“ก็..ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็แค่ไม่อยากกินคนเดียว อยากให้นายกินด้วย ฉันก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้นายกินกับฉัน ก็แค่นั้นเอง”
ปราณนต์ชี้หน้าขำๆ “เค้าเรียกว่า “เอาแต่ใจตัวเอง” พริบพราวชะงัก “นี่ ไม่มีใครได้ทุกอย่างตามที่คิดหรอกนะ ถ้าคุณลดความเอาแต่ใจตัวเองลงได้ คุณจะเป็นคนที่น่ารักมากๆเลย”
ปราณนต์พูดตรงๆ ซื่อๆ พริบพราวชะงัก ในใจเธอแอบเขิน เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครชมมาก่อน
“น่ารัก ? นี่นายชมฉันว่าน่ารักเหรอ” พริบพราวถาม ปราณนต์พยักหน้า “โห ไม่อยากเชื่อเลย นี่คงเป็นผลบุญที่ฉันล้างห้องน้ำเมื่อตอนกลางวันแน่ๆ คนอย่างนายปราณนต์ชมว่าฉัน น่ารัก”
ปราณนต์ขำ “ผมก็ไม่ได้เกลียดอะไรคุณสักหน่อย รีบๆกินเข้าไป จะได้รีบกลับ”
พริบพราวยิ้มรับแล้วก้มหน้าจะกินต่อ แต่ก็ต้องชะงักคิดนิดนึง ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง “นี่..ระยะหลังฉันเห็นนายติดแชท ว่างเมื่อไหร่ เป็นต้องแชท .. ถามจริง.. แชทกับใคร”
ปราณนต์ชะงักแล้วก็พูดโกหก “ไม่มี๊ ไม่ได้ติดสักหน่อย”
“ไม่จริง ฉันเห็น แชทไปยิ้มไป..ตกลงใคร แฟนเก่า หรือว่า..แฟนใหม่”
พริบพราวถามหยั่งเชิงตรงๆ ปราณนต์ชะงักมองหน้าพริบพราวเพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี
อวัศยามองซ้ายมองขวาเพราะมองหาปราณนต์กับพริบพราวว่าจะมามั้ย แสนดี รัน รุจน์ ลิลลี่ และลิปดายืนอยู่ที่เดิมมองลุ้น นิดากับพีระเริ่มเดินเข้าไปในบ้านทรงไทยที่เต็มไปด้วยบรรยากาศวังเวง
นิดากับพีระเดินเข้าไปในบ้านทรงไทย นิดาเดินไปพูดไปแบบระดมทั้งสติ สมาธิ ข่มจินตนาการสุดฤทธิ์
“เราเดินวนสักรอบนะพี่พี..อย่าลืมนะคะ..ไม่ปรุงแต่ง..ไม่ปรุงแต่ง..ไม่ว่าเราจะเห็นอะไร มันก็คือสิ่งที่เราเห็น เห็นใบไม้ไหว เห็นนก เห็นหนู ก็คือนก คือหนู มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น จิตเราต้องไม่พุ่งพล่านนะคะ”
พีระฟังไปในใจก็สั่นดิกๆ ไป ทั้งสองคนเดินมาถึงด้านหลังของบ้าน เสียงหมาก็หอนดังขึ้น
พีระสะดุ้ง
“หมาหอน !! น้องนิดา หมาหอน”
“อย่าปรุงแต่งค่ะพี่พี..หมาหอนก็คือหมาหอน !! ไม่มีอะไรค่ะ เราต้องไม่ตีสติให้ฟุ้งนะคะ ก็แค่หมาหอน..มันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยค่ะ..ไม่มีค่ะ” นิดาว่า
นิดาเดินมาถึงหน้าต่างของเรือนไทยแล้วสายตาก็ไปสะดุดกึกกับหญิงสาวห่มสไบที่ยืนอยู่ที่หน้าต่าง”
นิดาเริ่มปากสั่น ขาแข็งเพราะก้าวเดินไม่ออก พีระสงสัยว่าทำไมจู่ๆเมียถึงหยุดพูด
“น้องนิดา..เป็นอะไร ? ทำไมอยู่หน้าซีด หรือว่า...” พีระมองตามสายตาเห็นสาวสไบก็สะดุ้งโหยง “เฮ้ย !!! ผะ..ผ..”
นิดารีบเอามือปิดปากพีระทันที
ลิลลี่ รุจน์ แสนดี รัน ศยา และลิปดาหันขวับไปที่หลังบ้านเรือนไทย
“เสียงพี่พีนี่..พี่พีร้องทำไม” ลิลลี่ถาม
รุจน์เอะใจ “หรือว่า ....”
นิดาก้มหน้าแล้วหันหน้าพีระออกมาจากหน้าต่างพร้อมกับพูดเสียงสำรวม
“พี่พีคะ..มีสติค่ะ เราต้องมีสติ ไม่ปรุงแต่งนะคะ...ไม่ปรุงแต่ง แต่เผ่นก่อนเถอะค่ะ”
นิดาพูดจบก็วิ่งพรวดออกไปทันทีพีระรีบวิ่งตามออกมา
“น้องนิดา รอพี่ด้วย”
พีระวิ่งพรวดตามมา
ทุกคนยังยืนรออยู่ พอนิดาวิ่งพรวดออกมาเห็นทุกคนเธอก็รีบแอ๊บสำรวมทันที ! พีระวิ่งออกมาเห็นเมีย
สำรวมก็รีบสำรวมตาม ทั้งสองคนเดินแอ๊บสำรวมออกมาทั้งที่ในใจโคตรจะสั่น
ลิลลี่รีบถาม “พี่พีร้องอะไรคะ มะ..มีอะไรหรือเปล่าคะ พี่พี พี่นิดา เห็นอะไรหรือเปล่าคะ”
นิดากับพีระปรายตามามองกัน นิดาชิงพูดก่อน
“ไม่มีหรอกค่ะ..เมื่อกี๊แค่เห็น..”หนู” นุ่งสไบ เอ๊ย หนูวิ่งผ่านไป .. พี่สองคนก็เลยตกใจแค่นั้น หล่ะค่ะ..ถ้าจิตเราไม่ปรุงแต่ง..เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร..” นิดาจับไหล่ลิลลี่กับรุจน์ “น้องรุจน์กับน้องลิลลี่..โชคดีค่ะ”
นิดาอวยพรเสียงจริงจังมาก ลิลลี่กับรุจน์มองหน้ากัน ลิลลี่แอบกลัว ส่วนรุจน์พูดเสียงแมนมาก
“พี่รุจน์จะดูแลน้องลิลลี่เองไม่ต้องห่วง”
“พี่รุจน์เอาตัวเองให้รอดเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงลิลลี่”
ลิลลี่พูดจบก็หันหน้ามองบ้านทรงไทยแล้วยกมือไหว้ท่วมหัวหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปทันที แม้จะกลัวแต่ก็อยากรู้ รุจน์รีบวิ่งตามไป
“น้องลิลลี่รอพี่รุจน์ด้วย”
รุจน์กับลิลลี่เดินเข้าไปโดยในใจก็แอบหวั่น แสนดีตื่นเต้น รันเครียด ลิปดาเฉยๆ แต่ก็นึกสนุก ส่วนอวัศยามองหาปราณนต์ตลอดเวลา
พริบพราวยื่นหน้ามาคาดคั้นปราณนต์ไม่ปล่อย
“ว่ายังไง ทำไมเงียบ บอกมาเถอะน่า ฉันเป็นคนเก็บความลับเก่ง ฉันไม่บอกใครหรอก..ตกลงนายแชทกับใครอยู่”
ปราณนต์นิ่งมองพริบพราวว่าจะบอกหรือไม่บอกดี
“บอกเถอะน่า..มองตาฉัน..” พริบพราวจับหน้าปราณนต์ให้มองตาเธอ “ใสซื่อขนาดนี้ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เห็นมั๊ย..ใสจะตาย” พริบพราวกระพริบตาปิ๊งๆ “ซื่อสุดๆ บอกมา”
ปราณนต์มองตาพริบพราว แล้วจู่ๆ เขาก็เขินขึ้นมาซะงั้น ปราณนต์ต้องดึงหน้าออกจากการจับของพริบพราว
“นี่คุณจะมาคาดคั้นไรเนี่ย รีบๆกินได้แล้ว จะได้รีบกลับ”
ปราณนต์ทำเป็นเข้มใส่ พริบพราวชักสีหน้าเพราะรู้สึกขัดใจ
อวัศยายืนอยู่หน้าบ้านร้างก่อนจะมองซ้ายมองขวาเพื่อหาปราณนต์ ลิปดาหันมาถาม
“คุณมองหาอะไร”
“เปล๊า ฉันไม่ได้หาอะไรสักหน่อย ก็มองไปเรื่อยเปื่อย”
ลิปดาหลิ่วตาอย่างไม่ค่อยเชื่อ
อ่านต่อหน้าที่ 2
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ลิลลี่เดินอย่างหวาดระแวงมองซ้ายมองขวาไปด้วย โดยมีรุจน์เดินประกบ
“ลิลลี่ว่าบ้านนี้ต้องมีพลังอะไรบางอย่างแน่ๆเลยค่ะ ลิลลี่รู้สึก..แน่นๆยังไงไม่รู้” ลิลลี่เดินมาถึงหน้าต่างบานเดิม “มันแน่นมากค่ะ..มันแน่นจริงๆ”
“หรือว่า..เสื้อจะคับไป..พี่รุจน์ช่วยปลดเสื้อให้หลวมๆเอามั๊ยครับ จะได้ไม่แน่น” รุจน์ถาม
ลิลลี่หันขวับมา “อีพี่รุจน์บ้า ทะลึ่ง มันไมได้แน่นแบบนั้นสักหน่อย แต่มันแน่นเพราะ...” ลิลลี่เหลือบตาไปที่หน้าต่างก็เห็นหญิงสวมสไบเดินออกมายืนที่เดิมอีกครั้ง ลิลลี่ช๊อค “.. อึ๊ก”
“ไม่มีหรอก..พี่ว่าน้องลิลลี่ใส่เสื้อคับมากกว่า มันจะไปมีได้ยังไง” รุจน์หันมองไปตามสายตาแล้วก็ถึงกับจุก
ทันใดนั้นทั้งรุจน์และลิลลี่ก็ร้องออกมาพร้อมกัน
“อ๊ากซ์”
รุจน์กับลิลลี่ผมตั้งฟึ่บขึ้นมาทันที
รุจน์ยังอุตส่าห์หันมาบอกลิลลี่ในสภาพปากสั่น “น้องลิลลี่ไม่ต้องกลัว มีพี่รุจน์อยู่ข้างๆ..เราจะวิ่งไปด้วย วิ่ง”
รุจน์พูดจบก็วิ่งพรวดออกไปเลย ทิ้งลิลลี่ไว้ซะงั้น ลิลลี่ร้อง
“ไอ้พี่รุจน์..ทิ้งกันได้ไง ระ ระ รอด้วย”
ลิลลี่รีบวิ่งหนีไปอย่างเร็ว
หน้าบ้านทรงไทยมีตุ่มวางอยู่ รุจน์วิ่งหัวตั้งมาอย่างไร้สติ พอเห็นตุ่มเขาก็รีบวิ่งลงไปซ่อนในตุ่มอย่างสิ้นคิด สักพักลิลลี่ก็วิ่งหัวฟูตามมา
“พี่รุจน์ ไอ้พี่รุจน์ หายไปไหนเนี่ย” ลิลลี่หันมาเห็นผมที่ตั้งชี้ออกมานอกตุ่มก็รีบวิ่งพรวดมาหาแล้วก็จิกผมที่ตั้งให้รุจน์ลุกขึ้น “ออกมาเดี๋ยวนี้เลย ตุ่มนี้มีเจ้าของหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็มีวิญญาณออกมาอีกหรอก รีบออกมาเดี๋ยวนี้เลย ไป”
ลิลลี่จิกรุจน์ออกจากโอ่งแล้วก็รีบลากกันออกไปจากบ้านทันที
พริบพราวยังพยายามเกลี้ยกล่อมปราณนต์ พริบพราวพูดตรงๆ และจริงใจมาก
“ฉันรู้ว่าการเก็บความลับ มันทำให้เราอึดอัด ถ้าเราได้ระบายออกมาบ้าง อาจจะรู้สึกดี .. ฉันรู้ว่าก่อนหน้านี้ ฉันทำไม่ดีกับนายไว้เยอะ..ฉันขอโทษ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่านายเป็นคนไม่มีอะไร ซื่อๆ บื้อๆ ด้วยซ้ำ .. ในความคิดฉัน..นายก็ถือได้ว่า เป็น “คนดี” คนนึง”
“คุณชมว่าผมเป็น “คนดี” เหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อ” ปราณนต์ว่า
“นายยังชมว่าฉันน่ารักได้ ทำไมฉันจะชมนายบ้างไม่ได้”
พริบพราวยิ้มสดใส ปราณนต์ชะงักนิดๆ เพราะเพิ่งเห็นว่าเวลาที่พริบพราวเป็นตัวของตัวเองนั้นเป็นธรรมชาติและน่ารักสุดๆไปเลย ปราณนต์มองพริบพราวแล้วก็ยิ้มตาม ความรู้สึกดีๆ ค่อยๆ เกิดขึ้นท่ามกลางตลาดโต้รุ่งแห่งนี้
แสนดีและรันยืนรอเป็นคู่ต่อไปอยู่ที่หน้าบ้านทรงไทย อวัศยาและลิปดายืนอยู่ข้างหลัง รุจน์กับลิลลี่ที่อยู่ในสภาพหัวตั้งลากกันวิ่งออกมา พอเห็นทุกคน ทั้งสองคนก็แอ๊บสำรวมทำเหมือนไม่ได้ไปเจออะไรมา ทั้งสองเดินหน้านิ่ง
“คุณรุจน์วิ่งหนีอะไรมา” แสนดีถาม
รุจน์ตอบเสียงสูง “เปล๊า ไม่มี๊ ไม่ได้หนีอะไรเลย ไม่มี๊ ไม่มี”
“ลิลลี่..ทำไมหัวตั้ง” รันถามต่อ
“หะ ? เหรอคะ” ลิลลี่รีบลูบผมลง “สงสัย...จะแน่นมากไปหน่อย คือ..ใส่เสื้อแน่นมากไปหน่อยน่ะค่ะ ก็เลยหายใจไม่ค่อยคล่อง หัวก็เลยฟู เชิญพี่แสนดีกับคุณรันเข้าไปได้เลยค่ะ เชิญค่ะ”
ลิลลี่กับรุจน์พูดจบก็รีบเดินไปสมทบกับนิดาและพีระ ทั้งสี่คนมองหน้ากันแล้วก็พยักหน้าให้กันด้วยความเข้าใจกัน แสนดีเดินนำเข้าไป รันยังขาแข็ง แสนดีจึงหันมาลากรันไปทันที
“ไปค่ะคุณรัน”
รันโดนลากไปทันทีในสภาพหน้าซีดและเตรียมกรี๊ดตลอดเวลา
อวัศยากับลิปดามองตามไป ลิปดาหันมามองหน้าอวัศยา
ลิปดาเอ่ยถาม “กลัวหรือเปล่า”
อวัศยาทำเชิด “ถ้ากลัวไม่ต้องมาเรียกฉันว่า “อวัศยา”
อวัศยาทำเก่ง ลิปดามองแล้วก็ขำ
แสนดีกับรันเดินมาถึงบริเวณหน้าต่างบานเดิม แสนดีเห็นก่อนจึงยืนตัวแข็งทื่อ รันเห็นหน้าแสนดีแล้วก็เครียด จึงด่าเสียงแมนมาก
“แสนดี..มองอะไรหะ ? นี่อย่ามาทำแบบนี้ ผมไม่ชอบ อย่ามาแกล้งกันนะ ไม่งั้นเจอต่อย” รันหันไปตามสายตา ของแสนดีแล้วก็เห็นสาวสไบ รันถึงกับกรี๊ดแตก “อร๊าย อร๊ายย อร๊ายยย”
แสนดีหันขวับมามองรันที่สาวแตก รันแอ๊บไม่อยู่วิ่งจิตกระเจิงออกไปเลย
“อร๊าย” แล้วรันก็กระโดดเข้าเอวแสนดีทันที
“อ๊าคซ์..... คุ..คุณรัน...ทำ..ทำไงดี” แสนดีถาม
“วิ่งสิวิ่ง...แสนดีวิ่ง” รันบอก
“วิ่งค่ะวิ่ง”
แล้วแสนดีก็รีบวิ่งหน้าเริ่ดในภาพที่มีรันเข้าเอวอยู่ไปด้วย ต่อมพลังมนุษย์จอมพลังเดือดพร่านทำให้วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
พริบพราวถามย้ำปราณนต์อีกครั้ง
“ตกลงจะบอกหรือไม่บอกว่า...นายแชทอยู่กับใคร”
“ผมก็อยากบอกนะ” ปราณนต์ว่า พริบพราวตาวาว “เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเป็นใคร”
พริบพราวทำหน้างงๆ ปราณนต์มองชามก๋วยเตี๋ยว
“ก๊วยเตี๋ยวอืดหมดแล้ว จะกินต่อหรือเปล่า ถ้าไม่กินจะได้กลับ” ปราณนต์ว่า
พริบพราวเลื่อนชามก๋วยเตี๋ยวออก “ไม่กินแล้ว”
“งั้นก็กลับ” ปราณนต์ลุกขึ้นไปเลย
“อ้าว..เดี๋ยวสิ..รอด้วย ปราณนต์รอด้วย”
พริบพราวควักเงินวางไว้ร้อยนึงแล้วก็รีบเดินตามไป
แสนดีวิ่งอุ้มรันมาอย่างไม่คิดชีวิต พอหลุดออกมาจากบ้านได้ รันก็รู้สึกตัวจึงรีบกระโดดลงจากเอวของแสนดีทันทีแล้วพยายามแอ๊บแมนแต่ก็ไม่ค่อยจะสำเร็จเท่าไหร่ แสนดีวิ่งตามมา
“รัน..เป็นอะไร ร้องอะไร”
รันไม่กล้าพูด “เธอ...ไปดูเองก็แล้วกัน”
อวัศยาเริ่มหวาดหวั่นใจ
รันแสนดีแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่ยืนหลอนๆ อยู่ข้างหลัง เหลือลิปดากับศยาที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ลิปดายื่นหน้ามาถามอีกที “ผมยังเรียกคุณว่าอวัศยาได้หรือเปล่า”
อวัศยาหันมาด้วยสีหน้าแอบหวาดหวั่น ลิปดารอฟังคำตอบหน้ากวน อวัศยาคิดในใจว่าเอายังไงดี สู้ไม่สู้
ปราณนต์เดินออกมา พริบพราวรีบวิ่งตามมา
“นายปราณนต์อย่าเพิ่งไป”
ปราณนต์หันมา “อะไรอีกคุณ นี่เราหนีออกมาตั้งนานแล้วนะ ผ.อ.น.ม. ก็ซื้อแล้ว ก๊วยเตี๋ยวก็กินแล้ว ยังจะอะไรอีก”
พริบพราวคิด “เอ่อ..ก็..ฉันว่าพี่ๆคนอื่นก็คงจะหิวเหมือนกัน ฉันว่าจะซื้ออะไรไปฝากเค้าหน่อย”
“หะ นี่คุณทำผิดกฎคนเดียวไม่พอ ยังจะชวนคนอื่นทำผิดด้วยเหรอ ผมไม่เอาด้วยนะ ผมจะกลับแล้ว”
ปราณนต์หันหลังเดินต่อไปที่มอเตอร์ไซด์ พริบพราวทำหน้าเลิ่กลั่กว่าจะเอายังไงดีก่อนจะตัดสินใจดราม่าใส่ทันที
“นายก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ มองฉันในแง่ร้าย ตีเจตนาฉันในทางลบตลอด ใช่สิ ฉันทำอะไรก็ผิด”
ปราณนต์ชะงักเท้า พริบพราวใส่ต่อ
“แค่เป็นห่วงว่าคนอื่นจะหิว จะซื้ออาหารไปเผื่อ ถ้าเค้าไม่อยากกินก็ให้ยาม ให้แม่บ้าน แต่ก็ถูกตีความไปในทางเสียหาย หาว่าไปดึงคนอื่นมาเดือดร้อนด้วย”
ปราณนต์ที่ยังยืนหันหลังให้มีแววตาอ่อนลง พริบพราวเล่นละครต่อ
“คนอย่างฉัน ไม่เคยทำอะไรดีเลยใช่มั๊ย ? ฉันเป็นคนที่แย่มากๆในสายตานายใช่มั้ย”
พริบพราวจัดหนัก ปราณนต์หันมาก่อนจะเดินมาหาพริบพราวแล้วทำเป็นหงุดหงิด พริบพราวลุ้น ปราณนต์พูดลอยๆ
“จะซื้อก็รีบๆ ซื้อ เสร็จแล้วจะได้รีบกลับ ยืนโวยวายอยู่ได้ ไม่อายคนอื่นเค้าหรือไง”
ปราณนต์ทำเข้มก่อนจะเดินกลับไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว พริบพราวพอใจสุดๆ แล้วเธอก็คิดต่อว่าจะล้วงความลับยังไงดี
อวัศยาพยายามเดินอย่างมีสติ ทั้งยก ย่าง วางหนอทำท่าสงบทั้งที่ในใจเต้นไม่เป็นส่ำ ลิปดาเดินอยู่ข้างๆ ชิว์มาก
“เดินช้าไปเปล่าเนี่ย” ลิปดาถาม
อวัศยารำคาญๆ “ฉันเดินอย่างมีสติ ถ้าช้าไป บอสก็เดินนำหน้าไปก่อนแล้วกัน”
“โอเค” ลิปดาไปจริง
อวัศยามองรอบๆ พอเห็นวังเวงก็รีบเรียก “เดี๋ยว !! บอสรอด้วย” อวัศยาเดินเร็วมาก “อย่าเพิ่งไป..รอด้วย”
ลิปดาหันมาขำ “อ้าว เดินเร็วๆได้ด้วย แล้ว..สติไม่หายเหรอ” ลิปดาแซว
อวัศยาค้อน “ฉันเดินเร็วก็ประคองสติได้”
อวัศยาเดินเร็วขึ้นเพื่อให้ทันลิปดา ทั้งสองคนเดินไปคุยไปจนเกือบจะถึงหน้าต่างบานเดิม โดยที่ลิปดาเดินด้านที่ติดกับบ้าน ส่วนอวัศยาเดินอยู่ด้านนอกที่พอหันไปจะเห็นหน้าต่างพอดี
“นี่ถามจริงเหอะ .. ถ้าเกิดเดินไปแล้วเจออะไรที่มันไม่คาดคิด..คุณจะมีสติจริงหรือเปล่า” ลิปดาถาม
“แน่นอนคนอย่างฉัน..มีสติเสมอ ทำอะไรรู้ตัว”
“แล้วถ้าไปมีหนุ่มหล่อ แสนดี ไม่มีแฟน มาปลื้มชื่นชม.. คิดว่ายังจะมีสติอยู่หรือเปล่า”
อวัศยาชะงักกึกแล้วรีบเก๊กหน้านิ่ง “คนอย่างฉัน ไม่เคยหวั่นไหว ปล่อยสติไปกับเพศตรงข้าม คุณสมบัติแค่นั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“แน่ใจนะว่าจะมีสติพอที่จะไม่ทำอะไรที่มันจะสร้างปัญหา หรือทำให้ตัวเองเสื่อมเสีย”
ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าต่างบานนั้นพอดี อวัศยาหยุดเดินหันขวับมาสวนเสียงแข็งด้วยความมั่นใจ
“แน่ใจและมั่นใจที่สุด คนอย่างอวัศยาไม่เคยทำตัวไม่มีสติ”
ทันใดนั้นสายตาของอวัศยาก็ปะทะเข้ากับสาวสไบที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างพอดี อวัศยาถึงกับผงะและตัวเย็นวาบ
“โอ๊ะ !!” อวัศยาช๊อค
ลิปดายังยืนอยู่ที่เดิมแต่หันหลังให้สาวสไบ “มั่นใจก็ดี..ผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” แล้วลิปดาก็จะเดินต่อ
อวัศยาขาแข็งจนก้าวไม่ออก “บ..บอส...รอ....ด้วย ขะ..ขา...ขา” อวัศยาลิ้นแข็ง ปากแข็ง จนพูดไม่ออก
ลิปดางงจึงหันมามองอวัศยา “ศยา..เป็นอะไร”
“ขะ...ขา...” ใจอวัศยาอยากจะไปมาก แต่ขาแข็งจนก้าวไม่ออก “ขะ..ขา..แข็ง”
“หะ ขาแข็ง” ลิปดางง
“ปะ..ไป...ไม่ได้” อวัศยาพยายามจะก้าว แต่ขาไม่ขยับ “กะ..ก้าว..ไม่ออก” อวัศยาปรายตาไปมองที่หน้าต่างแล้วหน้าซีด
ลิปดาเริ่มสงสัย “ขาแข็ง ก้าวไม่ออก” อวัศยาพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ปรายไปทางหน้าต่างบานนั้น ลิปดาค่อยๆหันตามไปมอง
ลิปดาปรายหางตาไปเห็นนางสไบยืนอยู่อย่างหลอนก็ร้องลั่น
“เฮ้ย” ลิปดาผงะด้วยความตกใจ
พีระมองไปทางบ้านทรงไทยอย่างปลงๆ
“บอส...โดนแล้ว”
นิดายืนสวดมนตร์อยู่ข้างๆ พีระ ส่วนรันหลบอยู่หลังนิดาไม่กล้ามองเข้าไปในบ้าน แสนดีกับลิลลี่เกาะกันกลม รุจน์ยืนตัวสั่นแล้วจะมาเนียนกอดลิลลี่ ลิลลี่สะบัดตัวใส่อย่างรู้ทัน รุจน์จ๋อย รันยกมือไหว้ประหลกๆ กลัวแต่ก็ยังห่วงเพื่อน
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองศยาด้วยเถิ๊ด”
อวัศยายังยืนตัวแข็งเพราะก้าวขาไม่ออก
“บะ....บอส...พาฉันไปหน่อย ..ป..ไปไม่ได้”
ลิปดาตั้งสติได้ก็ยกมือขึ้นแล้วพูด
“เดี๋ยวก่อน..รอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมมา”
“หะ”
ลิปดาพูดจบก็เดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของบ้าน อวัศยาแทบกรี๊ด
“บ...บอส !!! ยะ...อย่าเพิ่งไป....รอ...รอด้วย ไอ้บะ...บอส”
ลิปดาไม่ฟัง เขาเดินไปทันที อวัศยาปรายตามายังเห็นสาวสไบ อวัศยาใจเต้นระส่ำแล้วก็รีบก้มหน้าเพื่อจะไม่มอง แล้วเธอก็เอามือจับขาตัวเองที่แข็งเกร็งให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก
“พุทโธ ธรรมโม สังโฆ” อวัศยาเริ่มสวดมั่ว “นะโม ตัสสะ อิติปิโส ภควา”
อวัศยาอยากจะกรี๊ดแต่ก็กรี๊ดไม่ออก เธออยากจะวิ่งหนีแต่ขาก็แข็งทื่อ อวัศยาพยายามจะยกขาตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าโดยในใจก็ด่าลิปดาที่ทิ้งเธอไปต่อหน้าต่อตา
ลิปดาโผล่หน้าเข้ามามองซ้ายมองขวา แล้วก็เดินเข้าไปในบ้านทรงไทยอย่างไม่กลัว ลิปดากวาดสายตา
หาหน้าต่างบานนั้นแล้วก็เจอ ลิปดาเห็นนางสไบยืนอยู่อย่างหลอนตรงที่เดิม
ลิปดาผงะกึกเพราะใจหนึ่งก็กลัว แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้ ลิปดาตัดสินใจเดินเข้าหาทันทีแล้วก็จับไหล่นางสไบ ให้หันมาอย่างเร็ว “คุณ”
ทันทีที่นางสไบหันมา ลิปดาก็ผงะด้วยความตกใจ “เฮ้ย”
อวัศยายังพยายามยกขาตัวเองให้ก้าวออกมาแต่ก็ได้อีกแค่ก้าวสองก้าว เธอยังพยายามยกขาตัวเองต่อไปอย่างทุลักทุเล
“ชะ...ช่วยด้วย...” เสียงอวัศยาไม่ค่อยจะมี “ชะ..ช่วย”
ทันใดนั้นก็มีวิกผมยาวถูกโยนลงมาใส่หน้าอวัศยา อวัศยาถึงกับร้องออกมาอย่างเสียจริต
“แอร๊ย” อวัศยาล้มทันที เปลี่ยนจากขาแข็งเป็นขาอ่อนแทน
อวัศยาทรุดลงที่พื้นก่อนจะเอามือปัดป่ายวิกผมอย่างบ้าคลั่ง อวัศยาอยู่ในสภาพหลุดสุดๆ
เสียงกรี๊ดของอวัศยาดังออกมาที่หน้าบ้านทำให้ทุกคนหันขวับไป
“ศยา”
รันคิดในใจว่าเอายังไงดีเพราะกลัวก็กลัวแต่ก็เป็นห่วงเพื่อน เธอตัดสินใจคว้าแขนนิดากับพีระแล้วก็วิ่งเข้าไปในบ้านเพราะไม่กล้าไปคนเดียว
“ศยา !! ฉันมาช่วยแล้ว”
รันลากนิดากับพีระไปด้วยหน้าตาเฉย ลิลลี่กับแสนดีมองหน้ากันแล้วก็วิ่งตามไป
“รอด้วย”
ทั้งสองคนวิ่งตามไปจนเหลือรุจน์แค่คนเดียว รุจน์หน้าซีด
“น้องลิลลี่รอพี่รุจน์ด้วย”
ทุกคนวิ่งเข้าไปในบ้านทรงไทยอีกรอบ
อวัศยายังร้องโวยวายในขณะที่นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น
“อ๊าย ช่วยด้วยๆ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ เดี๋ยวฉันจะทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไหว้หล่ะ”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของลิปดาก็ดังขึ้น “ฮ่าๆ”
อวัศยาชะงักกึกก่อนจะเงี่ยหูฟังแล้วก็ลืมตา เงยหน้าขึ้นในสภาพที่วิกยังคาหัวอยู่
“บอส”
ลิปดายืนอยู่ที่หน้าต่างอย่างเท่
“ท่ามีสติของคุณนี่...สำรวมมากๆเลย” ลิปดาแซว
อวัศยากระชากวิกออกด้วยความแค้นก่อนจะลุกพรวด
“บอสแกล้งฉันเหรอ ? หะ ลงมาเลย ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
รัน นิดา พีระ ลิลลี่ แสนดี และรุจน์วิ่งพรวดเข้ามาพอดี
“ศยา ยืนด่าใคร” รันถาม
“หรือว่า..คุณศยาจะด่าผี คุณศยาหยุดค่ะ หยุดด่าเดี๋ยวนี้นะคะ” นิดาห้าม
ทุกคนรีบวิ่งไปห้าม
“พี่ศยา/คุณศยา”
อวัศยายังยืนด่าและปาวิกผมใส่ด้วยความโมโห
“ลงมาเดี๋ยวนี้เลย ฉันบอกให้ลงมา !! ลงมาเดี๋ยวนี้นะ”
ทุกคนรีบมาจับตัวอวัศยา โดยทุกคนยังกลัวๆ ไม่กล้ามองไปที่หน้าต่าง
“คุณศยาหยุดด่าเถอะค่ะ เดี๋ยวท่านจะยิ่งโกรธนะคะ” นิดาบอก
“ท่านที่ไหนหล่ะ ! ที่ยืนอยู่ตรงนั้นน่ะบอส !! ดูกันให้เต็มตา” อวัศยาบอก
ทุกคนหันไปเห็นลิปดายิ้มกอดอกยิ้มอยู่ “บอส”
รันลืมตัวร้องเสียงแหลม “ละ..แล้วบอสขึ้นไปทำอะไรหะ” รันรู้ตัวรีบปรับโทนเสียง “ครับ”
“ผมขึ้นมาจับผีให้พวกคุณ” ลิปดาบอก
ทุกคนหน้าซีด
“จะ..จับผี”
ลิปดาหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
เชิญครับ...คุณผี” ยังไม่มีใครออกมา ลิปดาส่ายหน้าแล้วก็ดึงแขนออกมาทันที “นี่คือคุณผีที่ทุกคนเจอ”
อาจารย์นะจ๊ะใส่ชุดสไบไม่สวมวิกยืนยิ้มแห้งๆให้กับทุกคน
“สวัสดีจ้ะทุกคน แหะๆ”
ทุกคนเหวอ
“อาจารย์นะจ๊ะ”
อาจารย์ยิ้มแห้ง “ใช่จ้ะ...อาจารย์เอง”
ทุกคนเหวอแตก รันเซ็งมาก เธอจิกหน้าด้วยความรู้สึกอยากตบอาจารย์สุดๆ
หม้อก๋วยเตี๋ยวเดือดพลั่กๆ คนขายยืนลวก ใส่ถุง โดยมีลูกค้ายืนออรออยู่ ปราณนต์กับพริบพราวก็ยืนรอด้วย
ปราณนต์ดูนาฬิกาแล้วก็แอบร้อนใจ “ทำไมไม่เลือกร้านที่มันคนน้อยๆ”
“จะซื้อของให้คนอื่น ก็ต้องเลือกที่มันดีๆสิ ร้านนี้คนเยอะ แสดงว่าน่าจะอร่อย จะให้พวกพี่ๆเค้ากินของไม่อร่อยเหมือนที่ฉันกินได้ยังไง”
ปราณนต์ส่ายหน้าในความเยอะของพริบพราว พริบพราวได้จังหวะรีบล้วงความลับต่อ
“นายก็ทำงานมาสักระยะแล้ว นอกจากพี่รุจน์ นายสนิทกับใครมากเป็นพิเศษหรือเปล่า” ปราณต์คิด “อย่างลิลลี่ไรเงี้ย เห็นแซวกันไปมา จริงๆแล้วสนิทกันมั้ย”
“ก็..ไม่นะ..ผมจะสนิทกับเค้าได้ไง พี่รุจน์เค้าชอบอยู่ ผมเป็นกองเชียร์ให้เค้าสองคน ลิลลี่เค้าไม่ได้จะชอบผมจริงจัง แค่พูดเล่น ขำๆ แกล้งพี่รุจน์”
“แล้ว..คนอื่นหล่ะ สาวๆคนอื่น มีคุยกันบ้างหรือเปล่า”
ปราณนต์มองหน้า “จะอยากรู้ไปทำไม คิดอะไรอยู่ บอกมาตรงๆ ไม่ต้องมาหลอกถาม”
พริบพราวชะงัก “ก็ถามตรงๆ อยู่นี่ไง..ไม่ได้หลอกเลยนะ ระแวงอีกตามเคย” พริบพราวแกล้งทำเป็นงอน “ไม่ถามก็ได้”
ปราณนต์ใจอ่อน “นอกจากพี่รุจน์..คนที่ผมสนิทด้วยก็คงเป็น..พี่ศยา”
พริบพราวชะงักแล้วหูผึ่งก่อนจะหันมาฟัง ปราณนต์พูดต่อแบบซื่อๆ
“จริงๆ เรียกสนิทก็มากไป แค่พี่ศยาเคยช่วยป้าผมไว้ ตอนเป็นลมหน้าบริษัท ป้าเลยชวนไปทานข้าวที่บ้านเป็นการตอบแทน ผมเลยได้รู้จักพี่เค้ามากขึ้น ได้รู้ว่าเค้าไม่ได้ดุอย่างที่เห็น”
พริบพราวคิดตามแล้วก็แอบจิกตา “ที่ยัยป้าแว่นไปบ้านนายก็เพราะเหตุผลนี้นี่เอง”
ปราณนต์มองหน้าพริบพราว “คุณรู้เรื่องที่พี่ศยาไปที่บ้านผมได้ยังไง”
พริบพราวเจ้าเล่ห์ “คิดว่าตัวเองมีความลับได้คนเดียวหรือไง .. คนอื่นเค้าก็มีความลับได้เหมือนกัน”
ปราณนต์จะอ้าปากถามต่อ คนขายก๋วยเตี๋ยวเรียก
“คิวต่อไปมาเลยน้อง จะเอาไร สั่งเลย”
คนขายเรียกด้วยเสียงดุ
พริบพราวขานรับ “ค่า”
พริบพราวถือโอกาสรีบเดินชิ่งไปเลยโดยทิ้งให้ปราณนต์ยืนอยู่ด้วยความค้างคาใจ
“รู้ได้ยังไง”
ภาพอดีตในตอนที่ปราณนต์พิมพ์ถาม “แอบรัก” ย้อนกลับมา
ปราณนต์ชะงัก
“บ้า.....ไม่จริง”
ปราณนต์มองตามพริบพราวที่สั่งก๋วยเตี๋ยวด้วยความสนุกสนาน พริบพราวสั่งเสร็จก็ยืนรอ ปราณนต์ยืนมอง พริบพราวหันมา สองคนสบตากัน ปราณนต์รีบหลบตาแบบแอบเขินนิดๆ พริบพราวงงว่าเป็นอะไรของเค้า
นะจ๊ะอยู่ในชุดนุ่งขาว ห่มขาวตามปกติ โดยมีพนักงานคนอื่นๆ นั่งล้อมวงกันอยู่ แต่ละคนเคืองมาก มีเพียงลิปดาที่ขำๆ
นะจ๊ะพูดอย่างสำรวม “จริงๆ อาจารย์ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้ง แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม..เพื่อไม่ให้พวกเราปรุงแต่งไปเอง..เห็นมั๊ย..จริงๆแล้ว ผีเผออะไรไม่ได้มีเลย ถ้าทุกคนมีสติเหมือน” นะจ๊ะหันมายิ้มให้ลิปดา “เจ้านายคุณ..คุณก็จะรู้ว่าเป็นอาจารย์ ไม่ใช่วิญญง วิญญาณอะไรเลย”
“แล้ว..ที่อาจารย์บอกว่า..ที่นี่เก็บศพคุณหญิง” นิดายังไม่จบ
นะจ๊ะพูดแทรก “โอ้ย ไม่มีหรอก คุณหยง คุณหญิงอะไร ไม่มี๊ ที่ดินผืนนี้เป็นของอาจารย์เอง บ้านนี้ก็มีอาจารย์อยู่คนเดียว ศพเศิพอะไรไม่มีหรอก อาจารย์ก็แต่งเรื่องให้มันดูน่าเชื่อถือไปอย่างนั้น ถ้าไม่เกริ่นแบบนี้ จะกลัวกันเหรอ ฮ่าๆๆ” นะจ๊ะขำอย่างสะใจ
ทุกคนเหวอไป รันหันมากระซิบพูดกับอวัศยา
“ฉันว่า..ปีหน้าบอกบอสว่าไม่ต้องบริจาคที่นี่แล้วนะ ดูท่าทางยัยอาจารย์นี่จะเพี้ยน”
ลิปดาช่วยสรุป
“แต่ผมเห็นด้วยที่อาจารย์ทำแบบนี้นะครับ อย่างน้อยก็ทำให้ทุกคน..ไม่ชะล่าใจ..โดยเฉพาะคนที่มั่นใจว่าตัวเอง “มีสติ” ลิปดามองอวัศยา
อวัศยาชะงักมองหน้าลิปดาเพราะรู้ว่าโดนแดกดันอยู่
ลิปดาพูดต่อ “ยิ่งเรามั่นใจว่ามีสติ..เรายิ่งพลาดได้ง่าย..เพราะฉะนั้น..ใครที่คิดว่า “รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่” .. บางทีอาจจะไม่รู้ตัวจริงๆก็ได้” อวัศยาจุก “ใช่มั้ยครับอาจารย์” ลิปดาหันมาถามนะจ๊ะ
“ใช่ ในภาวะมีสติ และตระหนักรู้ เราต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และไม่ชะล่าใจนะจ๊ะ อาจารย์รู้ว่าหลายคนตกใจ กลัว จากสิ่งที่ได้เห็นเมื่อกี๊ ขอให้เก็บไว้เป็นบทเรียนสอนใจเรา..และลองกลับไปพิจารณาสิ ..ว่าเรา.. “มีสติ” หรือ “ไม่มีสติ” กันแน่”
นะจ๊ะพูดจบแบบสวยๆ กระแทกใจหลายคน นิดากับพีระซาบซึ้ง ส่วนลิลลี่ แสนดี รุจน์ และรันจ๋อยๆ ลิปดามองอวัศยา อวัศยาคิดแล้วก็แอบเจ็บจี๊ด
ปราณนต์เข็นมอเตอร์ไซด์มาคืนรปภ. โดยที่หน้ารถมอเตอร์ไซต์แขวนถุงก๋วยเตี๋ยวเอาไว้ พริบพราวเดินมาข้างๆ
พริบพราวหันไปหยิบถุงก๋วยเตี๋ยวหนึ่งถุงส่งให้รปภ. “พราวซื้อมาฝากค่ะ มีเครื่องดื่มชูกำลังด้วยนะคะ”
รปภ.ยกมือไหว้ “ขอบคุณมากค้าบ”
พริบพราวรีบไหว้ตอบ “ไม่ต้องไหว้ค่ะ พราวก็ต้องขอบคุณที่ให้ยืมรถเหมือนกัน พราวเติมน้ำมันให้เต็มถังเลยนะคะ”
“คุณใจดีจริงๆ ขอบคุณมากครับ” รปภ. ยิ้มกว้าง
ปราณนต์มองพริบพราวที่คุยกับรปภ. ด้วยความเป็นกันเอง ไม่ถือตัวแล้วก็ยิ้ม พริบพราวหันมา ปราณนต์รีบหุบยิ้มทันที
“รีบกลับที่พักกันดีกว่า..ฉันว่าตอนนี้ต้องมีคนเริ่มหิวแล้วแน่ๆ”
“ผมว่าไม่...พี่ๆเค้าตั้งใจฝึก ปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่มีใครเค้าหิวแหกกฎเหมือนคุณหรอก”
ปราณนต์พูดด้วยความมั่นใจ
ภายในห้องพักชาย เสียงท้องร้องดังโครกคราก รุจน์หันมาโวยพีระ
“พี่พีกรนซะดังเลย”
“ไม่ได้กรน ยังไม่หลับเลย เมื่อกี๊เสียงท้องร้อง ! หิวจังเว้ย” พีระบอก
พีระรีบสวน “แต่เสียงนี้ไม่ใช่ของพี่นะ”
รุจน์หน้าเสีย “ของผมเอง แหะๆ หิวจัง..พี่พีมีอะไรกินมั้ยครับ”
“จะไปมีได้ไง” พีระหันขวับมาโวย “ไม่รู้ว่าเค้าจะให้งด เพิ่งมารู้พร้อมกันที่นี่แหละ เตรียมของกินไม่ทัน”
รุจน์มองหน้าพีระ “โอ้ว..ซาลาเปา” รุจน์จะพุ่งมากัดหน้าพีระ
พีระรีบเอาเท้ายันไว้ “เอ้ย หน้าพี่ไม่ใช่ซาลาเปา คุณรุจน์ๆใจเย็น อย่ามากินกันเอง ตั้งสติหน่อยๆ” รุจน์ยังตะกายจะมากิน พีระร้อนใจ “น้องณนต์หายไปไหนของเค้านะ ถ้าพี่โดนคุณรุจน์แดร๊กใครจะช่วยเนี่ย”
“เปา...ซาลาเปา” รุจน์ไขว่คว้าหน้าพีระแต่ก็คว้าไม่ได้ เพราะโดนพีระยันไว้
แสนดีนอนกระสับกระส่าย ส่วนลิลลี่นอนนิ่งแต่เพ้อถึงอาหาร
“กระเพราะไก่ ราดข้าว ไข่ดาวกรอบ...ก๊วยเตี๋ยวเรือน้ำข้นลูกชิ้นล้วนไม่ติดเอ็น..เสต็กปลาดอรี่ราดซอสเพสโต้..แผ่นข้าวโพด ซัลซ่า..โรตีบางกรอบราดน้ำตาลกับนมข้นหวาน..แตงโมเนื้อแดงๆซุยๆหวานๆ” ลิลลี่ซี๊ดน้ำลาย
แสนดีลุกพรวด “ไม่ไหวแล้วโว้ย” แสนดีเดินมาหาลิลลี่ “หยุดเพ้อถึงอาหารสักทีได้มั๊ย คนหิวจะแย่อยู่แล้วโว้ย”
ลิลลี่สะดุ้งตื่นขึ้นมาปาดน้ำลาย “อะไรๆๆๆ พี่แสนดีมาปลุกลิลลี่ทำไมเนี่ย กำลังฝันดีเลย โอ้ย หมดๆๆกัน..ยังไม่ทันจะได้ตักเข้าปากเลย โดนปลุกซะแล้ว”
“เมื่อกี๊ละเมอ ? ไอ้ที่ร่ายซะยาวเมื่อกี๊ ละเมอ” แสนดีว่า
ลิลลี่งง “เออมั๊ง..ลิลลี่พูดออกมาด้วยเหรอ ? ไม่รู้ตัวเลย แหะๆ..สงสัยจะละเมอเพราะหิวแหงๆ แล้วพี่แสนดี”
ทันใดนั้นเสียงท้องของทั้งสองคนก็ร้องขึ้นมาพร้อมกัน
“เฮ่ออ..นี่มันจะอะไรกันนักกันหนาเนี่ย หิว ๆๆ โว้ยย” แสนดีโวย
ทันใดนั้นลิลลี่ก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างจึงทำจมูกฟุดฟิดๆ
“พี่แสนดีหยุดก่อน!” ลิลลี่ทำจมูกฟุดฟิด “ลิลลี่ได้กลิ่นอาหาร ชัดเลย นี่มัน..บะหมี่เกี๊ยวชัดๆ กลิ่นหมูแดง ฉัน..ไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
พีระกับรุจน์หลับตาพริ้มพร้อมกับสูดกลิ่นที่ลอยมา
“ไม่ๆ ไม่ฝันแน่นอน” รุจน์ว่า
“กลิ่นมันชัดมาก..ใช่เลย..โอ้ว..กลิ่นน้ำซุป” พีระบอก
พีระกับรุจน์เดินตามกลิ่นออกไปจากห้อง
ลิลลี่กับแสนดีเริ่มเดินไปตามกลิ่นเหมือนโดนสะกด
“กระเทียมเจียว” ลิลลี่ปาดน้ำลาย
“หมูสับ”
ลิลลี่กับแสนดีเดินออกไปจากห้อง
ชามบะหมี่ในมือพริบพราวถูกถือร่อนมาหลบที่พุ่มไม้ ปราณนต์ยืนรออยู่พร้อมกับถุงก๋วยเตี๋ยวและชาม ช้อน
ที่วางรออยู่ ปราณนต์หันไปแล้วก็ถามเพราะไม่เห็นด้วย
“วิ่งถือชามก๋วยเตี๋ยวร่อนไปร่อนมา คิดเหรอว่าจะได้ผล ไม่มีใครตามกลิ่นมาหรอก”
ทันใดนั้น ด้านหลังพริบพราวก็มีทั้งลิลลี่ แสนดี พีระ และรุจน์เดินตามกลิ่นมาอย่างกับซอบบี้
ลิลลี่เพ้อ “บะหมี่ ...”
แสนดีเพ้อ “หมูแดง....”
พีระเพ้อบ้าง “น้ำซุป...”
รุจน์น้ำลายไหล “กระเทียมเจียววว”
ปราณนต์ตกใจรีบเรียกสติทุกคน
“พี่พี พี่รุจน์ คุณแสนดี ลิลลี่ !!”
ทั้งสี่คนตื่นจากภวังค์ “หะ” ทั้งสี่มองไปรอบๆ
“เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” แสนดีถาม
ลิลลี่เห็นชามบะหมี่ในมือพริบพราว “บะหมี่ !! บะหมี่จริงๆด้วย”
ลิลลี่รีบพุ่งมาคว้าทันที “ชามนี้ของลิลลี่ ห้ามแย่งเด็ดขาด”
ทั้งสามรีบโวย “เฮ้ย ได้ไง ทำไมไม่แบ่งเลย งกจริงๆ”
พริบพราวรีบบอก “ใจเย็นๆค่ะ ใจเย็นๆ..พราวซื้อมาเผื่อพี่ๆทุกคนค่ะ” พริบพราวหันไปทางปราณนต์ “อยู่ทางโน้นค่ะ เชิญพี่ๆ รับประทานกันให้เต็มที่เลยนะคะ เหลือเฟือค่ะ”
ทั้งสามคนหันขวับไปมองตาวาว
รุจน์ พีระ แสนดีพูดพร้อมกัน “บร๊ะหมี่”
ทั้งสามรีบพุ่งไปหาถุงบะหมี่ทันที รุจน์ชนปราณนต์จนกระเด็นไปแล้วก็รีบแหวกถุงเลือกมาเทใส่ชาม ส่วนลิลลี่ก็ยืนกินอย่างเอร็ดอร่อย ปราณนต์ยืนอึ้ง
“โห...หิวกันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
พริบพราวเดินมายิ้มๆ “เป็นไงหล่ะ..เชื่อหรือยังว่าไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่หิว”
พริบพราวยิ้มอย่างผู้ชนะ ปราณนต์ยิ้มรับแบบยอมแพ้ แล้วก็มองพี่ๆ สวาปามกันอย่างเอร็ดอร่อย
พีระ รุจน์ แสนดี และลิลลี่กำลังโซ้ยบะหมี่อย่างเมามัน โดยมีพริบพราวกับปราณนต์ยืนอยู่ไม่ห่าง
รุจน์ถามทั้งที่บะหมี่อยู่เต็มปาก “พี่พี...พี่พีว่า..ถ้าเมียพี่มาเห็นเรากินก๊วยเตี๋ยวกันตรงนี้ เมียพี่จะว่าไรเราป่ะ”
พีระซดน้ำแกงแล้วตอบ “โอ้ย เมียพี่ใจดีจะตาย ด่าใครไม่เป็น ธรรมะธรรมโม ใจกว้างดั่งมหาสมุทร ถ้าเค้ามาเห็นก็ต้องเข้าใจ ถ้าเค้าไม่เข้าใจ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
ทันใดนั้นเสียงนิดาก็แผดขึ้นมา
“ไอ้พี่พี มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หะ” ทุกคนชะงักแล้วค้าง
นิดาเดินออกมาท้าวเอวส่งเสียงดังลั่น
“แล้วเมื่อกี๊บอกว่าจะจัดการเอง จะจัดการใครหะ”
พีระหันมาหน้าซีด ชามบะหมี่หล่นจากมือของเขาแล้วก็มือเท้าอ่อนขึ้นมาทันที “มะ..เมียจ๋า..ยังไม่นอนอีกเหรอจ๊ะ”
พีระปากคอสั่น หน้าซีด คนอื่นๆ ก็ช๊อก นิดาจ้องทองหน้าดุและถมึงทึง
ยามเช้าวันใหม่แสนสดใส ไก่จิกกินอาหารตามพื้น นกกินผลไม้จากต้น และหมาก็กินอาหารหมาที่เตรียมไว้ เพราะทุกชีวิตก็ต้องกินอาหาร รุจน์ พีระ ลิลลี่ แสนดี ปราณนต์ และพริบพราวนั่งอยู่ตรงกลางหน้าอาคาร นิดา รัน อวัศยา ลิปดา และนะจ๊ะยืนอยู่อีกฝั่งดูราวกับกำลังคุมนักโทษที่ถูกลงโทษ
“ใครเป็นคนต้นคิด ออกไปซื้ออาหารมาเมื่อคืนนี้ ขอให้กล้าๆ เปิดตัวเลยค่ะ” นิดาว่า
นิดากวาดสายตาไปทั่ว รุจน์ พีระ ลิลลี่ และแสนดีก้มหน้างุดๆ แต่ปรายตามาทางพริบพราว พริบพราวจดๆจ้องๆ กำลังจะอ้าปากรับแต่ปราณนต์เห็นแล้วก็สงสารจึงยืดอกรับแทน
“ผมเองครับ ผมเป็นคนออกไปซื้ออาหารมาให้ทุกคนเองครับ”
พริบพราวหันขวับมาทางปราณนต์ ปราณนต์อ้าปากรับแบบแมนๆ
“ถ้าต้องการจะลงโทษ ลงที่ผมคนเดียวครับ คนอื่นไม่เกี่ยว”
พริบพราวมองด้วยความชื่นชม รุจน์ พีระ ลิลลี่ และแสนดีเริ่มรู้สึกผิด
พริบพราวหันมาทางนิดา “ไม่ใช่ค่ะ ทั้งหมดเป็นความคิดของพราวเอง” ทุกคนหันมาทางพริบพราว “คือ..พราวชวนณนต์ออกไปตลาด ไปซื้อของใช้ส่วนตัวที่มันจำเป็นมาก ณนต์มีน้ำใจไปเป็นเพื่อน พอดีพราวหิว ก็เลย..แอบหาอะไรทานที่ตลาด แล้วก็อยากซื้อมาฝากคนอื่นๆ ณนต์เตือนแล้ว แต่พราวไม่ฟังเอง ถ้าจะมีใครต้องโดนลงโทษ..คนนั้นต้องเป็นพราวค่ะ”
ปราณนต์มองหน้าพริบพราวที่รับอย่างมั่นใจ ปราณนต์แปลกใจและประทับใจในความกล้าหาญของพริบพราว อวัศยาเห็นพอดีก็แอบเคือง อวัศยาแอบร้อนใจและขัดใจที่ปราณนต์มองพริบพราวแบบปลื้มๆ ด้วยความรู้สึกหวงไม่รู้ตัว แล้วอวัศยาก็โพล่งออกมา
“แต่ฉันว่า...คนที่ผิดในครั้งนี้มีอยู่คนเดียว” ทุกคนหันมาทางอวัศยา อวัศยาพูดต่อ “คนนั้นคือ” ทุกคนลุ้น “บอส”
ทุกคนงง โดยเฉพาะปราณนต์และลิปดา
ลิปดางง “อ้าว”
อวัศยาพยายามอธิบายอย่างนุ่มนวล “บอสบังคับให้ทุกคนมาปฎิบัติธรรมทั้งที่ๆในใจอาจจะไม่ได้อยากมา..มาทำไมก็ไม่รู้ .. การปฎิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องที่จะมาบังคับกันได้นะคะ คนจะมาต้องมาด้วยใจ ด้วยความศรัทธาไม่ใช่มาเพราะโดนบังคับ เริ่มต้นแบบนี้ก็ผิดแล้ว”
อวัศยาตบท้ายทำให้ทุกคนอึ้งๆ เพราะเห็นด้วยแต่ไม่กล้าแสดงออก ลิปดาฟังแล้วก็ตัดสินอย่างแมนๆ
“โอเค..ผมเห็นด้วย .. ศยาพูดถูก” ลิปดาบอก อวัศยาแอบโล่งอก
อวัศยาแอบมองปราณนต์โล่งอกที่ช่วยไว้ได้ ปราณนต์มองอวัศยาอย่างรู้ว่าเธอช่วย ทั้งสองคนสบตากัน แสนดีเหลือบไปเห็นพอดี
“ผมคิดว่าครั้งต่อไปจะไม่มีการบังคับ ใครอยากมาต้องมาด้วยใจ ไม่งั้นก็..ไม่ต้องมา” ลิปดาว่า
นะจ๊ะหันมามองด้วยความปลาบปลื้ม แล้วก็ปรบมือแปะๆๆ
“ข้อนี้อาจารย์เห็นด้วยอย่างยิ่งนะจ๊ะ หลายบริษัทที่จัดกิจการทำนองนี้แล้วไม่ค่อยได้ผล ก็เพราะคนที่มายังไม่รู้ว่าจะมาเพื่ออะไร..ครั้งหน้าถ้าจะมา..มาด้วยใจ...อาจารย์คิดว่าดีที่สุด..สำหรับเรื่องเมื่อคืน ในเมื่อบอสพวกคุณไม่เอาผิด อาจารย์ก็ยึดตาม ตอนนี้ก็แยกย้ายกันไปทำงานในหน้าที่ของตัวเอง..นะจ๊ะ”
ทุกคนโล่งอก อวัศยามองปราณนต์ ปราณนต์มองตามแล้วก้มหน้ายิ้มๆ เหมือนอยากจะขอบคุณ แสนดีเห็นอีก
ก็เริ่มเอะใจ
นิดาเสริม “งั้นก็...เชิญค่ะ แยกย้ายกันไปนะคะ ทำงานต่อจากเมื่อวาน ทำงานด้วยความสำรวม จากนั้นมาทานอาหารเช้าพร้อมกัน แล้วก็เดินทางกลับค่ะ”
นิดาสรุป คนอื่นแยกไป แสนดีมองปราณนต์และพริบพราวพอดีด้วยความรู้สึกว่าสองคนนี้มีเคมีแปลกๆ ด้วยกันทั้งคู่
อ่านต่อหน้าที่ 3
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ใบไม้ถูกกวาดไปอย่างช้าๆ โดยรุจน์กับแสนดีที่กวาดกันอยู่สองคน แสนดีคิดแล้วก็ถามรุจน์
“คุณรุจน์..ถามหน่อยสิ..เมื่อวานตอนมาถึง แล้วแยกกันเก็บของที่ห้อง..เห็นหน้าณนต์แชทหรือเปล่า”
รุจน์คิดถึงตอนที่เก็บของและเห็นปราณนต์นั่งกดส่งข้อความ
รุจน์รีบบอก
“แชทๆ เห็นนั่งกดยิกๆ เลย ถามทำไม”
แสนดีคิดแล้วเหตุการณ์เมื่อวานก็แวบเข้ามาในหัว
ภาพเหตุการณ์ตอนที่แสนดีหยิบโทรศัพท์อวัศยาขึ้นมาจากพื้นแล้วก็มีข้อความเข้า อวัศยาก็มาคว้าไปอย่างหงุดหงิด
ตอนที่อวัศยาส่งสายตา แอบมอง และอมยิ้มกับปราณนต์ตลอดการปฎิบัติธรรม
แสนดีบรรลุทันที “หรือว่า”
พริบพราวย้อนถามด้วยความแปลกใจ
“แอบรัก คือ พี่ศยา”
แสนดีรีบจุ๊ปาก
“เบาๆค่ะน้องพราว” แสนดีมองซ้ายมองขวา
“พี่แสนดีแน่ใจเหรอคะ”
แสนดีทำหน้ามั่นแต่ตอบว่า... “ไม่แน่ใจ”
“อ้าว”
“ก็พี่ปะติดปะต่อเอาเอง จากหลายๆเรื่องที่มันเกิดขึ้น และพี่ก็คิดว่า..มันมีความเป็นไปได้ แต่เพื่อความชัวร์...เราต้องหาหลักฐานค่ะ..และหลักฐานนั่นก็คือ... “โทรศัพท์มือถือ” ของอวัศยา เราต้องหาทางเอาโทรศัพท์มือถือมาดูให้ได้ และเราต้องทำให้เร็วที่สุด เพราะถ้าคุณนิดาแจกโทรศัพท์คืน เราจะหมดโอกาสทันที”
พริบพราวฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยแบบเป็นไงเป็นกัน
ด้านหลังของทั้งคู่ รันยืนอยู่ในชุดทำความสะอาดห้องน้ำโดยในมือถือถุงขยะกำลังจะหย่อนทิ้งขยะที่ตั้งอยู่แถวนั้นถึงกับยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
แสนดียังคงคุยกับพริบพราว
รันพูดเบาๆ “ซวยแล้ว”
พริบพราวถามต่อ
“แล้วพี่แสนดีรู้เหรอคะว่าคุณนิดาให้เจ้าหน้าที่เก็บโทรศัพท์ไว้ที่ไหน”
รันเงี่ยหูฟังทันที
รันกับอวัศยาวิ่งพรวดเข้ามา อวัศยาถามด้วยความร้อนใจ ทั้งสองคนคุยกันไปเดินจ้ำกันไปอย่างรวดเร็ว
“ยัยแสนดีรู้ได้ยังไงนะ ฉันพยายามไม่แสดงออกแล้วนะ สาระแนจริงๆ”
“แหมๆๆๆ ไม่แสดงออกอะไรยะ ? ฉันเห็นสายตาเธอ โลมเลียปราณนต์ตลอดเวลา ถึงไม่สาระแนก็เห็นชัดจะตาย”
อวัศยาเครียด “จริงเหรอ ? นี่ฉันแสดงออกมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เออสิ !! นี่ไม่ต้องโวยวายแล้ว ที่ผ่านมาทำอะไรไม่ได้ ช่างมัน แต่ตอนนี้..ทำยังไงก็ได้ อย่าให้ยัยแสนดีเจอโทรศัพท์เธอ”
“แล้วเธอรู้เหรอว่าโทรศัพท์เก็บไว้ที่ไหน”
แสนดีตอบ
“พี่ไปแอบถามเจ้าหน้าที่มาแล้ว เค้าบอกว่า..เก็บไว้ที่ห้องเก็บของ”
พริบพราวถามต่อ “แล้วห้องเก็บของอยู่ไหนคะ”
“เค้าบอกว่า..จากลานหน้าอาคารแล้วตรงไป เจอบ่อน้ำเล็กๆ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย ห้องเก็บของอยู่นตรงนั้นแหล่ะค่ะ”
อวัศยาพยักหน้ารับแบบคนที่จำได้แม่นเว่อร์
“โอเค..รีบไปก่อนที่สองคนนั้นจะเจอ ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมให้สองคนนั้นมายุ่งกับโทรศัพท์ฉันเด็ดขาด” อวัศยาเดินมาเจอบ่อน้ำพอดี “นี่ไงบ่อน้ำ .. เจอบ่อน้ำแล้วเลี้ยวซ้าย”
อวัศยากับรันรีบเดินเลี้ยวไปทันที
พริบพราวกับแสนดีเดินอยู่อีกมุม ทั้งสองคนรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
อวัศยากับรันเดินเร็วจนแทบวิ่ง
ทั้งสี่คนรีบเดินไปด้วยความร้อนใจ
พริบพราวกับแสนดีมาถึงหน้าห้องเก็บของก่อน
“ห้องนี้หล่ะค่ะ” แสนดีบอก
แสนดีรีบเปิดประตูเข้าไปทันที พริบพราวมองซ้ายมองขวาพอเห็นทางโล่งก็รีบเดินตามไป
พริบพราวกับแสนดีเดินเข้ามาในห้องที่มีตู้วางเรียงรายเต็มกำแพง
“ตู้เพียบเลย จะรู้ได้ไงว่าเค้าเก็บโทรศัพท์ไว้ที่ไหน” พริบพราวว่า
“อยากรู้..ก็ต้องหาสิคะ แยกย้ายกันค่ะ”
แสนดีรีบพุ่งไปทันที
พริบพราวมองๆ พลางคิดในใจว่าเอาก็เอาวะ แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันหาไปตามส่วนต่างๆ ของห้อง
อวัศยากับรันเดินเร็วมาตามทาง อวัศยาท่องไปด้วย
“เลี้ยวซ้าย เจอห้อง”
อวัศยากับรันเลี้ยวซ้ายแล้วเจอประตูห้องหนึ่ง
“ฉันเอง” รันบอก
อวัศยายกมือจะห้ามรันว่าอย่าเพิ่งใจร้อน แต่ไม่ทันเพราะรันจับลูกบิดหมุนเปิดเข้าไปแล้วตะโกนน้ำเสียงขึงขัง โคตรแมน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
รันชะงักกึกที่ในห้องเต็มไปด้วยคนนุ่งขาวห่มขาวกำลังเดินจงกรมกันอยู่ เหล่าพุทธศาสนิกชนชะงักเท้าที่กำลังยกขึ้นแล้วหันมามองรันกับอวัศยาพร้อมกัน รันกับอวัศยาเหวอ ออาจารย์นะจ๊ะเดินโผล่ออกมาจากกลุ่มผู้ปฎิบัติ
“พวกคุณอีกแล้วเหรอเนี่ย ? มีอะไรกับอาจารย์หรือเปล่า ? แล้วมาสั่งให้หยุด..หยุดอะไร”
รันอึกๆอักๆ อวัศยารีบช่วย
“ไม่มีอะไรค่ะ อาจารย์คือ..เราสองคนมาผิดห้องน่ะค่ะ ไม่รบกวนนะคะ อนุโมทนาบุญทุกท่านค่ะ”
อวัศยายกมือไหว้แล้วก็รีบลากรันออกไปก่อนจะปิดประตูทันที
นะจ๊ะส่ายหน้า
รันกับอวัศยาปิดประตูห้อง
“เอาไงดี .. สงสัยจะผิดห้อง นี่ฉันจำผิด หรือ ยัยแสนดีพูดผิด หรือ..”
อวัศยาสวน “ฉันว่า..เราอาจจะเลี้ยวผิดไปหนึ่งเลี้ยว”
อวัศยาหันเดินไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แสนดีกับพริบพราวค้นหาของในห้องแต่ก็ยังหาไม่เจอ
อวัศยาเดินผ่านหน้าห้องเก็บของแล้วสายตาก็เหลือบมองไปที่กรอบกระจกหน้าห้อง อวัศยาอึ้งเพราะตกใจจนเบรกเอี๊ยดทำให้รันที่เดินตามหลังมาเกือบชนหลังอวัศยา
“จะเบรกก็ไม่บอก” รันว่า
อวัศยาทำสัญญาณให้เพื่อนเงียบ “ชู่ว์...”
อวัศยาบุ้ยหน้าเข้าไปในห้อง รันมองตามก็เห็นพริบพราวกับแสนดีกำลังค้นหาของในตู้
รันหรี่เสียงลง “หนอย...อีพวกชอบเผือก ต้องจับมากวนซะให้เข็ด”
รันขยับจะเข้าไปในห้อง แต่อวัศยาคว้าแขนรันไว้
“อย่าเพิ่ง”
“จะรอให้มันเจอมือถือก่อนหรือไง รีบเข้าไปตอนนี้ จับให้ได้คาหนังคาเขา”
“ฉันมีแผนเด็ดกว่านั้น” อวัศยาบอก
“แผนอะไร”
อวัศยายิ้มเจ้าเล่ห์
พริบพราวกับแสนดีค้นหาของในตู้ แสนดีก้มมองชั้นล่างของตู้ใบกลางห้อง ส่วนพริบพราวหาตู้ใบริมสุดที่อยู่ใกล้ประตู แสนดีมองเข้าไปในตู้แล้วก็ตาวาวด้วยอาการดีใจ
“เจอแล้วค่ะน้องพราว” แสนดีดึงกล่องมือถือออกมาวางที่พื้น
พริบพราวดีใจ เธอปิดตู้ใบที่ค้นอยู่พร้อมบอก
“พี่แสนดีจำได้มั๊ยคะว่ามือถืออันไหนเป็นของพี่ศยา” พริบพราวถาม
แสนดีรื้อๆ แล้วก็หยิบออกมา “อันนี้ !! พี่จำได้แม่นเลย รีบเปิดดูกันดีกว่า”
แสนดีกดเปิดเครื่อง แสนดีกับพริบพราวลุ้นระทึกตื่นเต้น ทันใดนั้นประตูเปิดเข้ามาฟึ่บ พร้อมกับเสียงอาจารย์นะจ๊ะ
“พวกคุณมาทำอะไรกันในนี้”
พริบพราวกับแสนดีตกใจจึงหันขวับไปหา
นะจ๊ะยืนจังก้าอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับเจ้าหน้าที่ชายอีก 2 คน
นะจ๊ะสั่ง “จับตัวไปส่งตำรวจ โทษฐานลักทรัพย์”
เจ้าหน้าที่ชาย 2 คนรีบเดินเข้าไปจะจับแต่พริบพราวกับแสนดีร้องโวยวายขึ้น
“ปล่อยฉัน ! มาจับฉันทำไม”
“อย่ามาจับฉันนะ ฉันไม่ได้เป็นขโมย”
พริบพราวกับแสนดีโวยวายลั่นที่ความซวยมาเยือน
อวัศยากับรันที่อยู่หน้าห้องปิดปากหัวเราะกันคิกคัก ทั้งสองแอบฟังอยู่ข้างนอก ภายในห้องนะจ๊ะส่งเสียงดุ
“หลักฐานอยู่คามือยังจะโกหกอีกเรอะ อย่างนี้ต้องให้ตำรวจจัดการ จับตัวส่งสถานีตำรวจด่วนเลย”
แสนดีตกใจ “ตำรวจ”
“ไม่ได้นะ ฉันไม่ไป พ่อแม่รู้ต้องด่าบ้านแตกแน่ๆ อาจารย์นะจ๊ะคะ” พริบพราวรีบสะบัดตัวออกมาขอร้องนะจ๊ะ “พราวขอโทษค่ะ” พริบพราวยกมือไหว้ “พราวทำผิดไปแล้ว แต่พราวไม่ได้คิดจะขโมยจริงๆนะคะ”
แสนดีรีบสะบัดมาเกาะแขนนะจ๊ะอีกคน “ใช่ค่ะ เราสองคนไม่มีเหตุผลจะต้องขโมยเลยนะคะ ของของเราก็มี เราไม่ได้อยากได้โทรศัพท์มือถือของคนอื่น”
“ถ้าคุณไม่ต้องการขโมยแล้วคุณมายุ่งกับสมบัติของคนอื่นทำไม” นะจ๊ะถาม
พริบพราวกับแสนดีมองหน้ากัน แสนดีตัดสินใจพูดความจริง
“จริงๆ มันก็เป็นเรื่องกะโหลกกะลาไร้สาระนะคะ คือ..อาจารย์จำน้องณนต์..หน้าใสที่สวดมนต์เก่งได้ใช่มั๊ยคะ”
“ปราณนต์..จำได้..ทำไม เกี่ยวอะไรกับเค้าด้วย” นะจ๊ะถามต่อ
อวัศยากับรันแอบฟังอย่างตื่นเต้น
แสนดีเล่าต่อ
“คือ..เรารู้มาว่ามีคนในบริษัทแอบชอบน้องณนต์ แล้วก็ส่งข้อความมาเกาะแกะ มาจีบ มาช่วยเหลือเรื่องงานด้วยนะคะ ช่วยจนเกินหน้าเกินตาคนอื่น แบบนี้เข้าข่ายลำเอียง และเราก็สงสัยว่า..อาจจะเป็น...คนที่ชื่อ...”
อวัศยาลุ้น
แสนดีพูดต่อ “อวัศยาค่ะ”
อวัศยาอึ้ง
เสียงแสนดีดังมาจากในห้อง “คนที่ใส่แว่นหน้าดุๆน่ะค่ะ แสนดีคิดว่าต้องใช่แน่ๆเลยค่ะ เพราะมีพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจหลายอย่าง แสนดีเห็นคุณศยาแอบมองปราณนต์ แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คอยช่วยเหลือโน่นนี่นี่นั่น แสนดีคิดว่าต้องใช่แน่ๆ แค่อยากจะได้หลักฐาน จะได้ไปรายงานให้บอสทราบ”
ระหว่างที่แสนดีเม้าอยู่นั้น อวัศยาก็หน้าซีดลงเรื่อยๆ รันมองด้วยความสงสาร นะจ๊ะแอบชะโงกหน้ามามองนิดๆ อวัศยาสบตานะจ๊ะแล้วเกิดความละอายใจจึงรีบเดินหนีไปเลย รันเลิ่กๆลั่กๆ แล้วก็รีบเดินตามไป
รันเรียกเบาๆ “ศยารอด้วย”
รันกับอวัศยาเดินหายไป
นะจ๊ะหันมาฟังแสนดีต่อด้วยความปลง
แสนดียังพล่ามไม่หยุด “เรื่องนี้อาจจะดูไร้สาระ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะคะ มันคือความอยุติธรรมไม่องค์กรแสนดียอมไม่ได้ค่ะ”
“อาจารย์เข้าใจ..แต่การตามหาความจริง กับการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล มันคนละเรื่องกัน แต่ไหนๆก็กำลังจะกลับแล้ว..อาจารย์ไม่เอาความ” ทั้งสองคนโล่งอก “รีบแยกย้ายกันไปเก็บของแล้วก็รีบกลับไปซะ” นะจ๊ะว่า พริบพราวกับแสนดีชะงักเพราะรู้สึกเหมือนถูกไล่ นะจ๊ะรีบบอก “อาจารย์ไม่ได้ไล่นะ..แค่..พูดเฉยๆ”
นะจ๊ะพูดจบก็พยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ขนตะกร้าโทรศัพท์เดินตามออกไป
นะจ๊ะบอกเจ้าหน้าที่ “เอาไปแจกคืนเจ้าของได้แล้ว”
“ครับ”
แสนดีกับพริบพราวมองด้วยความเสียดาย
อวัศยาโวยวายกับรันที่มุมปลอดภัยมุมหนึ่ง
“เธอได้ยินมั๊ย ยัยแสนดีสงสัยฉัน พวกนั้นรู้ว่าฉันเป็น” อวัศยาเบาเสียงลง “แอบรัก” ฉันจะทำยังไงดี เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว..ตาย ตาย ตาย ฉันตายแน่ๆ”
“นี่ใจเย็นๆค่อยๆคิด อย่าเพิ่งนอยด์” รันว่า
“ไม่ ฉันเย็นไม่ไหวแล้ว...” อวัศยาคิด “ฉันตัดสินใจแล้ว...ฉันจะหยุดแชท หยุดส่งข้อความหาปราณนต์ ฉันจะไม่ยุ่งกับเค้าอีกแล้ว”
“เฮ้ย! อย่าเพิ่งวู่วาม มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้”
“ฉันไม่ได้วู่วาม ฉันคิดอย่างมีสติ..” อวัศยาพูดหนักแน่น “ฉันจะต้องทำลาย “แอบรัก” ก่อนที่ “แอบรัก” จะมาทำลายชีวิตฉัน”
รันยืนกอดอกมองแล้วถามนิ่งๆ
“แน่ใจเหรอว่าจะทำได้ เธอสร้างแอบรักขึ้นมากับมือ และเธอก็มีความสุขกับการแอบคุยกับปราณนต์ จะหยุดคุย หยุดแชทได้จริงๆเหรอ”
อวัศยาพูดอย่างมั่นใจ “เมื่อก่อนอาจจะไม่ได้ แต่ตอนนี้.. ทุกอย่างมันวุ่นวาย บานปลายไปใหญ่แล้ว..ถ้าฉันไม่ตัดใจ กำจัดแอบรักออกไปจากชีวิตฉันตอนนี้ .. ชีวิตฉันต้องพังแน่ๆ ! ฉันต้องอับอายจนอยู่ที่บริษัทต่อไปไม่ได้ .. มันถึงเวลาที่ฉันต้องเลือกแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงลิปดาก็ดังขึ้น
“เลือกอะไร”
รันกับอวัศยาหันขวับไปด้วยความตกใจ “บอส”
ลิปดาที่อยู่ในชุดเตรียมกลับบ้านเดินเข้ามา
“คุยอะไรกันดูมีความลับ”
อวัศยารีบตอบเนียนๆ “ก็ไม่ลับนะ คุยเรื่องทั่วไป” อวัศยารีบเปลี่ยนเรื่อง “นี่บอสจะกลับแล้วเหรอ”
“ใช่ และคุณก็ต้องกลับกับผมด้วย โทษฐานที่มาโยนความผิดให้ผมเมื่อเช้า นี่ถ้าผมไม่รับมุก คุณหน้าแตกต่อหน้าทุกคนแน่ เพราะฉะนั้น..เพื่อเป็นการไถ่โทษ รีบเก็บของแล้วไปเจอกับผมที่ศาลาด้านหน้า”
ลิปดาสั่งแล้วก็เดินนำไปเลย อวัศยากับรันมองหน้ากัน
“ฉันกลับพร้อมบอสนะแก..ฉันไม่อยากอยู่แล้ว เจอกันที่กรุงเทพ”
อวัศยาพูดจบก็เดินกลับไปที่พักเพื่อเก็บของ รันมองตามด้วยความเป็นห่วง
นิดาถามย้ำด้วยความแปลกใจ
“อ้าวคุณศยากลับไปกับบอสเหรอคะ”
นิดายืนคุยกับรัน ขณะที่แสนดียืนกับพริบพราว ส่วนลิลลี่ถ่ายรูปตัวเองอัพสเตตัสอย่างบ้าคลั่ง โดยมีรุจน์คอยพยายามจะอยู่ในเฟรมด้วย พีระกับปราณนต์ช่วยคนขับรถขนกระเป๋าขึ้นรถ
“ครับ ออกไปได้สักพักแล้วครับ” รันบอก
“งั้นเราก็รีบไปดีกว่าค่ะ ถึงบ้านแล้วจะได้พักผ่อน” นิดาว่า
รันพยักหน้าเห็นด้วย
“พี่พีนิดาช่วยค่ะ” นิดาเดินแยกไปช่วย
นิดาเดินไปหาพีระโดยเดินผ่านพริบพราวกับแสนดีที่กำลังคุยกันเบาๆ อย่างมีลับลมคมใน
“พี่แสนดียังค้างคาใจอยู่เลยนะคะ ไม่ว่ายังไง ก็จะไม่ล้มเลิกเรื่องยัยแอบรักเป็นอันขาด จะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร ยิ่งมันทำให้เราซวย เรายิ่งต้องไม่ยอม ต้องเปิดโปงมันให้ได้”
พริบพราวแอบมองปราณนต์แล้วก็คิด
“พราวยังพอมีเวลาอีกนิดหน่อย..พราวจะลองพยายามดูอีกทีนะคะ”
พริบพราวมองปราณนต์ด้วยแววตาครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดีหนอ
รถมอเตอร์ไซด์ของลิปดาจอดอยู่ที่หน้าคอนโดฯ อวัศยาถอดหมวกกันน็อคแล้วก้าวลงจากรถ
"ขอบคุณมากค่ะบอส ฉันไปก่อนนะ"
ลิปดารีบเรียกไว้ "เดี๋ยวก่อนศยา" ลิปดาเดินมาหา "ผมถามหน่อย .. คุณเคยได้ยินเรื่องผู้หญิงปริศนาที่แฝงตัวเข้ามาคุยกับพนักงานในบริษัทเราหรือเปล่า" อวัศยาสะอึก "คุณรู้มั้ยว่าเค้าเป็นใคร"
อวัศยารีบสวน "ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ? โอ้ย ฉันไม่สนใจหรอก เรื่องไร้สาระแบบนั้น ลำพังงานที่ต้องทำก็แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว ผู้หญิงปริศนาอะไรฉันไม่สนหรอก" อวัศยาทำหงุดหงิดกลบเกลื่อน "ว่าแต่.. บอสรู้หรือเปล่าว่าเป็นใคร" อวัศยาสู้ตาท้าทาย
ลิปดามองหน้าอวัศยาเหมือนจะบอกว่า “เธอ” แต่เขากลับตอบว่า
"ผมไม่รู้...แต่คิดว่า ถ้าผมจะสืบจริงๆ ก็คงไม่ยาก.." ลิปดาบอก อวัศยาใจหายวาบ "ที่จริงผมไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของใคร แต่คราวนี้มันเกี่ยวกับเรื่องของบริษัท เรากำลังขยายงาน แต่ทีมงานเอาแต่สนใจเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ ผมอยากให้คุณสืบดูแล้วคอยรายงานผม ว่าผู้หญิงปริศนาคนนั้นเป็นใคร..ถ้ารู้แล้ว ก็เตือนๆเค้าหน่อย..เค้าจะได้ไม่ทำอะไรที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง"
อวัศยาใจหายวาบ เธอมองลิปดาด้วยความสงสัยว่าเขารู้หรือไม่รู้ ลิปดาส่งกระเป๋าให้อวัศยา
"ฝากของไว้ที่คุณหน่อยนะ ผมจะไปหาเพื่อนนัดคุยโปรเจคใหม่"
ลิปดาพูดจบก็เดินกลับไปที่รถแล้วขี่ออกไปเลย ทิ้งให้อวัศยายืนอึ้งว่าจะทำยังไงดี
รถตู้มาจอดเทียบที่หน้าบริษัท ลิลลี่ถลาลงจากรถเป็นคนแรกแล้วถ่ายรูปอัพเตตัสทันที
"กลับสู่โลกความเป็นจริงที่แสนวุ่นวายแล้วค่า..เอาบุญมาฝากทุกคนนะคะ สาธุ"
ลิลลี่กดรูปส่งทันที ด้านหลังรุจน์ ปราณนต์ แสนดี และพริบพราวทยอยลงจากรถคันแรก
แสนดีสะกิดพริบพราว
"พี่แสนดียังค้างคาใจอยู่เลยนะคะ ไม่ว่ายังไง ก็จะไม่ล้มเลิกเรื่องยัยแอบรักเป็นอันขาด จะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร ยิ่งมันทำให้เราซวย เรายิ่งต้องไม่ยอม ต้องเปิดโปงมันให้ได้"
พริบพราวแอบมองปราณนต์แล้วก็คิด
"พราวยังพอมีเวลาอีกนิดหน่อย..พราวจะลองพยายามดูอีกทีนะคะ" พริบพราวบอก
พริบพราวมองปราณนต์ด้วยแววตาครุ่นคิด
นิดากับพีระลงจากรถ ส่วนรันหลับอยู่บนรถ
นิดาพูดกับคนขับรถ "ไปส่งคุณรันเลยนะ"
แสนดีหูผึ่ง "ไปด้วยค่ะ บ้านแสนดีอยู่ทางเดียวกับคุณรันพอดีเลย ไปก่อนนะทุกคน" แล้วแสนดีก็วิ่งพรวดขึ้นรถไปเลย "บ๊ายบาย"
แสนดีปิดประตูรถทันที รถตู้ออกไป นิดากับพีระหันมาทางทุกคนที่เหลืออยู่
"นิดากลับก่อนนะคะ อ่อๆ ก่อนไป ... ตลอดเวลา ๒ วัน ๑ คืนที่เราอยู่ด้วยกัน หากมีอะไรที่กระทบกระทั่งกัน นิดาขออโหสิกรรมด้วยนะคะ" นิดายกมือไหว้รอบวง "อโหสิกรรมค่ะ อโหสิกรรมค่ะ อโหสิกรรมค่ะ อโหสิกรรมค่ะ"
ทุกคนยกมือรับไหว้งงๆ แต่นิดาหน้าอิ่มบุญมาก
"เรากลับกันเถอะค่ะพี่พีไปค่ะ" นิดายิ้มหน้าเรืองแสงแบบออร่ากระจายก่อนจะเดินจากไป
รุจน์รีบหันมาทางลิลลี่
"พี่รุจน์จำได้ว่าน้องลิลลี่ไม่ได้เอารถมา ... พี่รุจน์ไปส่งนะครับ เดี๋ยวพี่รุจน์จะไปส่งให้ถึงบ้านเลย ถ้าหิวมีแถมเลี้ยงข้าวด้วย"
"แน่ใจ ? กินจุนะ" ลิลลี่บอก
"กินแค่ไหนพี่ก็เลี้ยงไหว ไปครับ รีบไป ถึงบ้านจะได้พักผ่อน หน้าน้องลิลลี่ดูเพลียมาก" รุจน์จูงมือลิลลี่ไปเลย
"อ้าว .. แล้วคุณณนต์" ลิลลี่โดนลากไปแต่ก็ยังหันมาถาม "คุณณนต์ไม่ไปด้วยกันเหรอคะ"
รุจน์ชิงตอบแทน "โอ้ย ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไอ้ณนต์มันโตแล้ว มันกลับเองได้ ไปก่อนนะณนต์"
รุจน์ลากลิลลี่ไปทันที ทิ้งให้ปราณนต์อยู่กับพริบพราวแค่สองคน
ปราณนต์กับพริบพราวหันหน้ามามองหน้ากันแบบเหลือแค่สองคนจะเอายังไงดี
"ผม..กลับก่อนนะ" ปราณนต์เดินไป
พริบพราวคิดแล้วก็ตัดสินใจตะโกนเรียก
"ปราณนต์ เดี๋ยวก่อน นายณนต์"
พริบพราวรีบวิ่งตามไป
ปราณนต์เดินอยู่ พริบพราวรีบวิ่งตามมา
"ปราณนต์ !! รอก่อน"
ปราณนต์หันมา พริบพราวหอบ
"ดะ...เดี๋ยว...เดี๋ยวฉันไปส่ง" พริบพราวพูด
"หือ ไม่ต้องหรอกคุณ กลับมาเหนื่อยๆ ผมขึ้น รถแท็กซี่กลับเองได้ คุณกลับไปเถอะ"
"ไม่เป็นไร ฉันไม่เหนื่อย...ฉันอยากไปส่ง ก็...ฉันอยากขอบคุณที่นายช่วยรับผิดแทนฉันเรื่องที่หนีออกไปซื้อของ"
"เรื่องแค่นี้เอง ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย ผมกลับก่อนนะ"
ปราณนต์หันหลังเดินไปต่อ พริบพราวเลิ่กลั่กคิดหาทางออก ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือปราณนต์ก็ดังขึ้น ปราณนต์กดรับ
"พี่ปุ้ม ผมถึงออฟฟิศแล้ว กำลังจะกลับบ้าน" ปราณนต์ฟังแล้วตกใจ "หะ แม่ลื่นในห้องน้ำ"
ปราณนต์หน้าเสียเพราะตกใจแล้วเขาก็รีบถามต่อ พริบพราวชะงักฟังด้วยความสนใจ
ปุ้มคุยโทรศัพท์ด้วยความตกใจอยู่ที่หน้าห้องน้ำ โดยมีเปรี้ยวนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนปริมนอนอยู่ที่พื้น ทุกคนอยู่ในอาการตื่นตระหนก
"ยังนอนอยู่ที่เดิม พี่กับป้าเปรี้ยวไม่กล้าขยับ พี่เคยดูทีวีเค้าบอกว่า ต้องให้คนที่ปฐมพยาบาลเป็นหรือพยาบาลมาอุ้มใส่เปลไปโรงพยาบาล พี่กับป้าเปรี้ยวเลยไม่กล้าทำอะไรเลย เราจะทำยังไงดี ณนต์จะกลับมาถึงเมื่อไหร่"
ปราณนต์หน้าตาเลิ่กลั่ก ใจเต้นโครมครามเพราะเครียด
"โห ถ้ารอผมมันจะนานไปนะ ผมว่าโทร.ตามโรงพยาบาลครับ"
เสียงปุ้มพูดจากโทรศัพท์ "แล้วจะโทร.ไปโรงพยาบาลอะไร แล้วเบอร์อะไร"
"ก็เอาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านเราน่ะพี่ ส่วนเบอร์...เบอร์" ปราณนต์คิด "แป๊ปนะ เดี๋ยวผมรีบหาให้"
ทันใดนั้นเสียงพริบพราวก็ดังแทรกเข้ามา
"เดี๋ยวฉันโทร.หาคุณหมอลุงวินัย เจ้าของโรงพยาบาลแถวบ้านนายให้เอง"
ปราณนต์หันขวับมาทางพริบพราว พริบพราวพูดไปเปิดหยิบโทรศัพท์มาโทรออก
"คุณลุงหมอวินัยเป็นเพื่อนกับคุณพ่อฉัน ท่านเรียนรุ่นเดียวกัน" พริบพราวพูดไปรอสายไป "คุณแม่ฉันก็เป็นหมอที่โรงพยาบาลคุณลุง พี่ชายฉันตอนฝึกงานก็ไปฝึกงานที่โรงพยาบาลคุณลุง เดี๋ยวฉันขอให้คุณลุงส่งรถไปรับคุณแม่นายเอง"
ปราณนต์อึ้ง "เอ่อ...”
ปลายสายรับสายพอดีพริบพราวจึงพูด "คุณลุงหมอสวัสดีค่ะ พราวนะคะคุณลุง พราวมีเรื่องด่วนอยากจะขอความช่วยเหลือค่ะ"
พริบพราวเดินไป พูดไป และส่งสัญญาณมือบอกให้ปราณนต์เดินตามมา ปราณนต์รีบเดินตามไป
เสียงปุ้มพูดจากโทรศัพท์ "ณนต์ ณนต์ยังอยู่หรือเปล่า"
"อยู่ครับ พี่ปุ้มๆ เดี๋ยวจะมีรถพยาบาลไปรับแม่นะครับ"
ปราณนต์รีบบอกปุ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ
รถพยาบาลปราดเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาลเปิดเสียงหวอดังสนั่น เจ้าหน้าที่รีบเปิดประตู ปุ้มกับเปรี้ยวรีบลงจากรถ เจ้าหน้าที่ช่วยกันยกตัวปริมลงจากรถอย่างมืออาชีพ ปุ้มกับเปรี้ยวหันมาเห็นปราณนต์พอดี
"ณนต์! ป้าเปรี้ยวณนต์มาแล้วค่ะ"
เปรี้ยวหันมาเห็นปราณนต์ "ณนต์ๆ ทางนี้ๆ โอ้ย...ป้าตกใจมากเลย ใจยังสั่นอยู่เลยเนี่ย" ปราณนต์รีบมาประคองเปรี้ยว "ป้าเปรี้ยวใจเย็นๆครับ พราวบอกว่าคุณลุงเจ้าของโรงพยาบาลจัดคุณหมอมือหนึ่งไว้ให้แล้ว แม่ปลอดภัยแน่นอนครับ"
เปรี้ยวชะงักกึกก่อนจะหันมาทางปราณนต์
"พราว พริบพราวเนี่ยนะ" ป้าเปรี้ยวหันไปมองพริบพราวที่กำลังยืนส่งยิ้มให้
ปริมนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉิน โดยมีหมอยืนพูดอยู่ข้างๆ ปุ้ม เปรี้ยว ปราณนต์ยืนล้อมรอ ส่วนพริบพราวยืนห่างออกไป
หมออธิบาย "ผมดูฟิล์มเอกซเรย์แล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ สมองไม่ได้รับความกระทบกระเทือน ไม่มีเลือดคั่ง อาการชาที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากกระแทกบริเวณหลัง สักพักน่าจะดีขึ้น หมอให้นอนที่โรงพยาบาลดูอาการสักสองสามวันนะครับ"
ปุ้มกับปราณนต์รับคำ "ค่ะ/ครับ"
"ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ"
หมอยิ้มรับและเดินออกไป ปุ้ม เปรี้ยว และปราณนต์โล่งอก
"โชคดีจริงๆเลย ที่น้องพราวช่วยติดต่อกับทางโรงพยาบาลให้ ไม่งั้นพี่กับป้าเปรี้ยวก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ขอบคุณมากเลยนะคะ" ปุ้มบอก
ปุ้ม ปราณนต์ และเปรี้ยวหันมาทางพริบพราว ทั้งสามคนทำหน้าตาปลื้มปริ่มมาก แม้เปรี้ยวจะมีอคติอยู่แต่ก็ยังรู้สึกขอบคุณจนพริบพราวเขิน
"ด้วยความยินดีค่ะ .. พราวก็ดีใจที่คุณป้าปลอดภัยไม่เป็นอะไรมาก ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมบอกพราวได้เลยนะคะ พราวจะบอกคุณลุงให้"
เปรี้ยวพูดอย่างจริงใจ "ขอบใจหนูมากนะ ขอบใจจริงๆ"
เปรี้ยวพูดจริงใจโดยแอบเสียใจนิดๆ ที่เคยคิดไม่ดีกับพริบพราว พริบพราวยิ้มรับ เธอมองทุกคนแล้วรู้สึกใจอิ่มเอมอย่างประหลาดเพราะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"พราว..ขอตัวกลับก่อนนะคะ" พริบพราวยกมือไหว้ "สวัสดีค่ะ"
พริบพราวยิ้มแล้วมองหน้าปราณนต์ ทั้งสองคนสบตากัน ปราณนต์อยากขอบคุณแต่พูดไม่ออกเลยไม่ได้พูดอะไรออกมา พริบพราวเดินจากห้องไป ปราณนต์คิดๆ แล้วก็ตัดสินใจหันมาทางปุ้ม
"พี่ปุ้ม..เดี๋ยวผมมา"
ปราณนต์รีบวิ่งตามพริบพราวออกไป
พริบพราวเดินอยู่ในโรงพยาบาลแบบยิ้มนิดๆ เพราะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไป เสียงปราณนต์เรียกดังขึ้น
"พราว..พราว...เดี๋ยวก่อนพราว"
พริบพราวหันมา ปราณนต์วิ่งมาหา
"ผมยังไม่ได้พูดคำสำคัญเลย"
พริบพราวแปลกใจ
"ผม “ขอบคุณ” มาก...ขอบคุณที่เป็นธุระให้ทุกอย่าง คุณจะไม่ช่วยผมก็ได้ แต่คุณก็ช่วยอย่างสุดความสามารถ..ซึ้งมาก..ขอบคุณจริงๆ"
พริบพราวยิ้มรับ "ฉันน้อมรับคำขอบคุณ ด้วยความยินดี.. อ่อ แล้วถ้านายอยากจะพาคุณป้าไปรักษาที่ไหน รักษายังไงก็บอก" ปราณนต์ยิ้มรับ "พ่อ แม่ พี่ชายฉันเป็นหมอ..พวกเค้าน่าจะมีคำแนะนำดีๆให้ได้"
"ครับ..ขอบคุณมาก"
ปราณนต์รับคำอย่างสุภาพ พริบพราวยิ้มรับ ปราณนต์มองพริบพราวด้วยแววตาที่ต่างไปจากเดิม โดยมีความชื่นชมและเป็นมิตรอย่างที่ไม่มีความคลางแคลงใจ พริบพราวสัมผัสได้ก็รู้สึกดีเช่นกัน
"ฉัน..กลับก่อนนะ"
พริบพราวหันหลังจะเดินต่อไป ปราณนต์ตัดสินใจพูดขึ้น
"ผมรู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมา รวมทั้งตลอดเวลาที่ไปปฎิบัติธรรม คุณพยายามจะหลอกถามผมเรื่องของ “แอบรัก” ปราณนต์พูด พริบพราวขมวดคิ้ว ปราณนต์พูดต่อ "ผมไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร ..ผมรู้แค่ว่าผมสบายใจที่ได้คุยกับเค้า" พริบพราวสะดุดเล็กๆ "และเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่าคนที่ไม่รู้จักกัน"
พริบพราวตั้งใจฟัง ปราณนต์เล่าให้ฟังแบบเปิดอก
"ผมไม่รู้ว่าคุณจะอยากรู้ไปทำไป แต่ถ้าคุณกังวลที่เค้าช่วยผมเรื่องงาน คุณไม่ต้องห่วง ผมไม่ใช่คนที่จะเอาเปรียบคนอื่น .. และผมจะไม่ขอรับความช่วยเหลือของเค้าในเรื่องนี้อีกแล้ว .. ขอให้คุณสบายใจได้"
ปราณนต์พูดอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ พูดจบแล้วก็เดินกลับไป พริบพราวได้แต่มองตามอึ้งๆ งงๆ
พริบพราวพึมพำ "หลอกถามตั้งนานไม่ยอมพูดสักคำ อยู่ๆ อยากเล่าก็เล่ามาซะหมดเลย"
พริบพราวคิดแล้วก็ยิ้ม เธอรู้สึกว่าปราณนต์เป็นคนแปลกและมีเสน่ห์ในแบบที่เธอเองก็คิดไม่ถึง
พริบพราวกับปราณนต์หันหลังและต่างคนต่างเดินไปทางของตัวเอง แต่ทั้งสองต่างก็อมยิ้มและมีความสุขกับห้วงอารมณ์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น
ปุ้มเปิดประตูเดินออกมากับเปรี้ยว โดยที่ปราณนต์เดินมาพอดี
"ณนต์มาพอดีเลย ณนต์อยู่กับแม่ก่อนนะ พี่กับป้าเปรี้ยวกลับไปเก็บของใช้ส่วนตัวมาเตรียมนอนคืนนี้ เดี๋ยวเราค่อยสลับกัน"
"ครับ"
"พอแม่ปริมฟื้นแล้ว โทร.บอกป้าหน่อยนะ" เปรี้ยวบอก
"ครับ"
ปุ้มกับเปรี้ยวรีบเดินออกไป ปราณนต์เดินเข้ามาในห้องพักก็เห็นแม่นอนอยู่ เขาถอนใจเบาๆ ด้วยความโล่งอกที่แม่ไม่เป็นอะไรมาก ปราณนต์ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเฝ้าไข้แล้วก็หยิบโทรศัพท์มาเล่น ปราณนต์เข้าโปรแกรมแชทแล้วก็พิมพ์ไปยิ้มไป
"เงียบไปนะ .. หลับหรือเปล่าครับ หรือว่าทำโทรศัพท์หาย ถึงได้ไม่ตอบกลับ"
ปราณนต์กดส่ง
อวัศยากำลังรื้อของออกจากกระเป๋าด้วยสีหน้าเศร้าเซ็ง เสียงข้อความเข้าดังขึ้น อวัศยาสะดุ้งนิดๆ แล้วหันไปที่โทรศัพท์พลางคิดว่าจะเอายังไงดี
ปราณนต์ยังคงรอข้อความตอบ
อวัศยาหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วก็คิดถึงตอนที่ลิปดาเตือนเรื่องผู้หญิงปริศนา
อวัศยาเอานิ้วจ่อว่าจะกดอ่านดีไหม หรือจะทำยังไงดี อ่านไม่อ่าน สุดท้ายอวัศยาก็ตัดสินใจกด “Delete My Account”
ข้อความโปรแกรมไลน์ขึ้นว่า "ลบบัญชีของฉัน"
รูปแอบรักที่จอหายไปทันที ปราณนต์กระพริบตาปริบๆ เหมือนไม่อยากเชื่อ จากรูปของแอบรักกลายเป็น “Empty room”
ปราณนต์ตกใจ
"เฮ้ย !! คุณแอบรักหายไปได้ยังไง"
ปราณนต์รีบกดเข้าไปในข้อความก็เห็นว่าแอบรัก Left the chat
ปราณนต์หน้าเสียอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ไม่จริง" ปราณนต์พยายามจะกดส่ง
ปราณนต์รัวกดข้อความส่งไป "คุณแอบรัก คุณแอบรัก คุณแอบรัก !!”
นิ่งเงียบ ไม่มีอะไรตอบโต้กลับมา ปราณนต์อึ้งเหวอ
อวัศยากัดริมฝีปากแน่นขณะที่มองหน้าจอว่างเปล่า อวัศยาตัดใจกดปิดโทรศัพท์
"ขอโทษนะปราณนต์... ต่อจากนี้ไปจะไม่มีแอบรักอีกแล้ว"
อวัศยาพูดกับตัวเองด้วยความเศร้า
ปราณนต์อึ้ง "เกิดอะไรขึ้น"
ปราณนต์คิดถึงแอบรักด้วยค้างคาใจ
อวัศยาและปราณนต์ต่างคนต่างเศร้าและต่างก็วางโทรศัพท์ไว้ห่างจากตัว เพราะเมื่อไม่มีกันและกันโทรศัพท์เครื่องนี้ก็ไร้ค่าทันที
อ่านต่อหน้าที่ 4
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
จารวียกแก้วกาแฟมาวางหน้าลิปดาที่กำลังนั่งเซ็งๆอยู่ริมหน้าต่าง
"ปฎิบัติธรรมคืนเดียว กลับมาหงอยเลย อย่าบอกนะว่าปลงชีวิต ถึงกับจะบวชเลยหรือเปล่า"
ลิปดาขำ "อย่าเลย ผมไม่อยากทำให้ศาสนาแปดเปื้อน"
"แล้วเป็นไร"
ลิปดาคิดแล้วหันมาถามเพื่อนด้วยความอยากรู้ "ผมถามหน่อยสิ..ทั่วๆไป ผู้หญิงเค้าใช้เวลานานมั๊ยกว่าจะรู้ตัวว่าเค้ารักใครสักคน"
"หือ ?" จารวีงง
"ก็แบบว่า ... พอเค้าเจอผู้ชาย รู้จักกับผู้ชาย แล้วก็สนิทสนมกับผู้ชาย..มันต้องใช้เวลานานแค่ไหน ถึงจะรู้ว่า “รักผู้ชายคนนี้” ยังไม่ถึงกับรักก็ได้ แค่ชอบก็ได้"
จารวีคิด "มันก็แล้วแต่ว่า..ผู้ชายคนนั้นน่ารักแค่ไหน แสดงท่าทีว่าสนใจเรามากแค่ไหน แล้วววว...มันก็ขึ้นอยู่กับว่า...ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน มันเคมีกันหรือเปล่า"
ลิปดางง "เคมี คือไร"
"คือ ผู้ชายทั่วไปถูกใจผู้หญิงจากภายนอกก็จีบใช่มั๊ย สวย เซ็ก เอ็ก หมวยก็ว่าไปแต่กับผู้หญิงส่วนมากจะเริ่มรู้สึกชอบหรือรัก ผู้ชายก็ต่อเมื่อได้เห็น ได้รู้จักนิสัยใจคอ เห็นความดี ความใส่ใจ ความอบอุ่น ปลอดภัย และก็ค่อยๆพัฒนาเป็นความชอบ หรือความรัก"
ลิปดาฟังอย่างตั้งใจ
"ถ้าแค่ประทับใจภายนอก แต่พอรู้จักกันไป นิสัยใจคอไม่ได้สร้างความรู้สึกดีๆมันก็รักยาก ทางกลับกัน..ภายนอกอาจจะไม่ประทับใจ แต่พอรู้จักกันไป จริตที่มันโดนกันอาจจะกลายเป็นความรักสักวันก็ได้"
ลิปดาร้องอ๋อ จารวีหันมาถาม
"ถามทำไม"
"ก็..แค่อยากรู้ว่า..ผู้หญิงที่ไม่ได้เริ่มต้นจากการปิ๊งเรา..สุดท้ายแล้วเค้าจะรักเราได้หรือเปล่า"
จารวียื่นหน้าเข้ามา "ใครเหรอ ไปเจอใครหล่ะสิ เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ"
ลิปดาชะงักกึกแล้วก็รีบเฉไฉ "ไม่มี๊ !! ไม่ได้เจอ !! ก็แค่คิดถามไปเรื่อยเปื่อย"
ลูกค้าเดินมาพอดี ลิปดารีบบอก
"ลูกค้ามาแล้ว รีบไปขายของเร็ว !! ไปเลย" ลิปดาดันตัวให้จารวีไปรับลูกค้า
"แหม ได้ทีรีบไล่เชียวนะ" จารวีบ่นแล้วก็หันไปยิ้มกับลูกค้า "รับอะไรดีค๊า"
ลิปดามองจารวียิ้มๆ แล้วก็หันกลับมาคิดเรื่องตัวเองอีกครั้ง ลิปดามองแก้วกาแฟตรงนี้แล้วก็คิดถึงอดีต
เหตุการณ์ในอดีต แก้วกาแฟกระดาษมีกาแฟเหลืออยู่เล็กน้อย ลิปดายืนอยู่ในออฟฟิศเก่าๆ เล็กๆ ที่มีฝุ่นจับ เขาคุยโทรศัพท์บ้านสายยาวโดยเดินถือเครื่องไปมา
"แม่ครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้องแถวของคุณยาย มันก็ค่อนข้างโทรม สงสัยจะไม่ได้ให้ใครเช่ามานาน แต่น้ำ ไฟ" ลิปดาเดินไปเปิดไฟ "โทรศัพท์ มันก็ยังใช้ได้ ผมจะใช้ที่นี่เป็นออฟฟิศไปก่อน อนาคตค่อยว่ากัน"
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูกระจก ลิปดารีบตัดบท
"แม่ครับ แค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมโทร.หาใหม่"
ลิปดาวางสายแล้วหันมาที่ต้นเสียง พอหันมาแล้วเขาก็ชะงักกึกเมื่อเห็นอวัศยาอยู่ในชุดเรียบๆ ผมบ๊อบ ใส่แว่น หน้าตาเหมือนครูมาก
"คุณมาสมัครเป็นแม่บ้านใช่มั๊ยครับ" ลิปดาเอ่ยถาม อวัศยาอ้าปากจะแย้ง แต่ลิปดาพูดต่อทันที "ดี ผมอยากให้คุณเริ่มงานวันนี้เลย เริ่มจากทำความสะอาดห้องนี้แล้วก็ล้างห้องน้ำแล้วก็เคลียร์เฟอร์นิเจอร์ออกไปให้หมด ผมจะเอาเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้ามาวันพรุ่งนี้ โอเคมั้ย"
"ไม่โอเคค่ะ" อวัศยาบอก ลิปดางง "เพราะฉันไม่ได้มาสมัครเป็นแม่บ้าน"
"อ้าว..แล้ว ...”
อวัศยาส่งใบสมัครให้ "ฉันมาสมัครเป็นมาร์เก็ตติ้งค่ะ"
ลิปดารับใบสมัครมาดูงงๆ อวัศยาพูดต่อ
"ฉันได้ข่าวจากเพื่อนที่อเมริกา เค้าเป็นเพื่อนของคุณที่บอสตัน" อวัศยาบอก ลิปดางงหนักกว่าเดิม "เค้าบอกว่าคุณกลับมาเปิดบริษัทที่ไทย ฉันก็เลยมาสมัครงาน"
"แต่ผมยังไม่ได้เปิดรับมาร์เก็ตติ้ง"
อวัศยาสวนทันที "แล้วฉันมาสมัครไม่ได้เหรอ"
ลิปดาเหวอไป อวัศยาพูดต่อนิ่งๆ
"ฉันติดตามการทำงานของคุณมานานแล้ว ด้วยผลการเรียนที่ยอดเยี่ยม เป็นคนไทยไม่กี่คนที่สอบ Chartered Financial Analyst ได้ระดับ 3 แถมยังทำคะแนนดีเยี่ยม ประวัติการทำงานก็โดดเด่น ทำยอดสูงติดระดับท๊อปไฟว์ คนแบบนี้กลับมาเปิดบริษัทที่ประเทศไทย ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะไม่อยากร่วมงานด้วย" อวัศยายื่นแฟ้มให้
ความเด็ดเดี่ยวของอวัศยาทำให้ลิปดาอมยิ้มมองอวัศยาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปทันที
ลิปดาเปิดอ่านรายละเอียดในใบสมัคร "ผลงานคุณก็โดดเด่น ไปสมัครที่ไหนก็ได้ ทำไหมคุณคิดจะมาเริ่มต้นกับผม" ลิปดาชี้ให้ดูoffice "หุ้นตัวนี้มันเสี่ยงนะ ไม่กลัวเป็นแมงเม่าเหรอ"
“หุ้นตัวนี้ดูเหมือนเสี่ยง แต่ด้วยพื้นฐานต้องการ ‘การลงทุนระยะยาว’ หลังจากวิเคราะห์แล้ว..ดิฉันไม่กลัว และพร้อมเสี่ยงค่ะ …ดิฉันชื่ออวัศยา พร้อมเริ่มงานได้ทันที และในช่วงแรกที่คุณกำลังก่อร่างสร้างตัว ฉันยินดีจะทำทุกหน้าที่ ไม่ว่าจะทำความสะอาด ล้างห้องน้ำ หรือย้ายเฟอร์นิเจอร์"
ลิปดารู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
"โอเค..ผมรับคุณเข้าทำงาน ผมอยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะทำทุกอย่างได้จริงหรือเปล่า"
ลิปดามองอวัศยาแววตาท้าทาย อวัศยายิ้มรับนิดๆ อย่างไม่ยอมแพ้
อวัศยาช่วยลิปดาทำความสะอาดออฟฟิศอย่างตั้งใจ ทั้งปัด กวาด เช็ด ถูก ล้างห้องน้ำ ขนขยะไปทิ้ง ขนเฟอร์นิเจอร์ออก อวัศยาทำโดยไม่บ่นสักคำ ลิปดาลอบมองเก็บข้อมูลด้วยความประทับใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หลายวันผ่านไป รันยืนอยู่ในชุดทำงานด้วยท่าทางที่ดูแมนมาก ลิปดากับอวัศยายืนปรึกษากันอยู่อีกมุม
อวัศยาแนะนำ "รันเป็นเพื่อนเรียนของฉันเอง ตอนนี้เป็นนักวิเคราะห์อยู่ที่บริษัทคู่แข่ง บริษัทเรายังไม่มีนักวิเคราะห์ฉันก็เลยชวนรันมาทำงานด้วยกัน .. ถ้าบอสเชื่อในมุมมองของฉันในการเลือกเจ้านาย บอสก็ควรเชื่อความสามารถในการเลือกเพื่อนร่วมงานของฉันเช่นกัน"
อวัศยาพูดด้วยความหนักแน่นแต่ไม่โอ้อวด ลิปดามองหน้าแล้วก็ยิ้มอย่างยอมแพ้
"คุณรันพร้อมเริ่มงานกับเราได้เมื่อไหร่"
รันเดินอยู่ในออฟฟิศที่เริ่มดูดีขึ้น เป็นรูปเป็นร่างขึ้น มีเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้ามาตามลำดับ อวัศยาเริ่มแต่งชุดทำงานไม่ใช่ชุดแม่บ้านเหมือนที่ผ่านมา มีแม่บ้านมาทำงาน รันและพนักงานคนอื่นๆ นั่งประจำที่ อวัศยาทำงานอย่างหนักโดยหาลูกค้าตั้งแต่เช้ายันค่ำ ลิปดาจะกลับบ้านแต่ยังเห็นอวัศยานั่งทำงานอยู่
"ยังไม่กลับเหรอคุณ" ลิปดาถาม
"ฉันรอลูกค้าจากเยอรมันโทร.มา เรื่องแก้เอกสารนิดหน่อย บอสกลับไปเถอะ ฉันปิดออฟฟิศให้เอง"
ลิปดาพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปแต่ในใจยังเป็นห่วง ลิปดาหันมามองอวัศยาที่นั่งอยู่คนเดียวในออฟฟิศด้วยความประทับใจ
ยอดขายของบริษัทนารากรพุ่งขึ้นเรื่อยๆ พนักงานรับโทรศัพท์จากลูกค้ามากมายจนสายแทบไหม้ อวัศยา ลิปดา และรันทำงานหนักและประชุมดึกบางครั้งก็ประชุมถึงเช้า อวัศยาหลับคาโต๊ะ ลิปดากำลังจะกลับพอเห็นอวัศยาหลับอยู่ก็ชะงัก คิด แล้วเดินกลับมาเอาเสื้อคลุมให้แล้วก็เดินไปนั่งที่โซฟา ไม่ยอมกลับ ก่อนจะหลับไปด้วยกัน
บริษัทเริ่มขยายมากขึ้นจนกระทั่งมีพนักงานนั่งอัดแน่นอยู่ในออฟฟิศ ตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกัน ลิปดาลอบมองอวัศยาด้วยความชื่นชมเพิ่มมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ
ป้ายบริษัท “นารากร” อันใหม่ติดอยู่ที่ตึกใหม่ ลิปดา อวัศยา รัน และพนักงานคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่หน้าบริษัท ลิปดาเปิดประตูเดินนำเข้าไป อวัศยา รัน และพนักงานคนอื่นๆ เดินเข้ามา
บริษัทในปัจจุบันกว้างใหญ่เป็นทางการ และดูมั่นคงต่างจากออฟฟิศแรกอย่างสิ้นเชิง ลิปดามองด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะหันมามองอวัศยาที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา
"ศยา..ขอบคุณมากนะที่มั่นใจในตัวผมมาตลอด" ลิปดาบอก
"การได้ทำงานกับคนเก่ง เป็นสิ่งที่ฉันปฎิเสธไม่ได้"
อวัศยายิ้มนิ่งๆ แล้วก็เดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง ลิปดามองตามแล้วก็ยิ้มด้วยแววตาและรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าลิปดารู้สึกดีกับอวัศยามากจนเกินคำว่ารักไปแล้ว
“Behind successful man there’s a great woman. (เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชาย มักมีผู้หญิงเก่งอยู่เคียงข้างตรงนั้นเสมอ)” ลิปดาเปรยขึ้นมา
ลิปดานั่งอยู่ที่เดิม เขาบ่นกับตัวเอง "เพราะมีคุณผมถึงมีวันนี้"
ภาพอวัศยาอยู่ในมุมสุดเท่และทะมัดทะแมงแวบขึ้นมาในหัวลิปดา ตามด้วยภาพตอนที่อวัศยาเริ่มมีมุมกุ๊กกิ๊กๆ ส่งสายตาให้ปราณนต์
ภาพตอนที่อวัศยาพูดว่า “ฉันอาจจะมีหัวใจแต่ไม่ได้เอาไว้รักบอส”
ลิปดาหน้าเครียด ความหวาดหวั่นปรากฏเห็นได้ชัด “คุณคิดอะไรอยู่นะศยา”
อวัศยาหน้าเศร้า เธอดราม่าปรุงแต่งและสร้างเรื่องให้ตัวเองสุดๆ อวัศยาเก็บโทรศัพท์สำหรับแชทใส่กล่องแล้วก็ปิดฝายัดใส่ตู้ก่อนจะหันหลังไม่มองอีกเลย เสียงอวัศยาคุยโทรศัพท์กับรันดังแทรกเข้ามาในขณะที่อวัศยาประกอบพิธีกรรมอกหัก
"ฉันจะไม่แชทกับปราณนต์อีกแล้วรัน มันจบแล้ว"
อวัศยาดับไฟทั้งห้องเดินมาจุดเทียนที่วางอยู่ตามจุดต่างๆ คล้ายกะจะเศร้าให้ตายไปเลย
รัยถาม "แกทำอะไรลงไป"
"ฉันลบบัญชีของ “แอบรัก” ทิ้งไปแล้ว นับจากนี้ต่อไป จะไม่มีแอบรักอีกแล้ว"
อวัศยาเดินมารินเครื่องดื่มสีสดคล้ายเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ใส่แก้วหรู แล้วถือมาวางไว้ที่ริมหน้าต่าง พร้อมกับเอนตัวลงนอนเหมือนกะจะเศร้าให้เต็มที่
อวัศยาคุยโทรศัพท์กับรันประมาณ 10 นาทีที่แล้ว
"ฉันจะไม่คุยกับปราณนต์ในนามของแอบรักอีกแล้ว..ความสุขของฉัน จบแล้ว" อวัศยาพูดด้วยความเศร้า
เหตุการณ์ปัจจุบัน อวัศยานั่งเอนพิงโซฟาใต้แสงไฟสลัวๆ เพราะมีเทียนเต็มห้อง เพลงอกหักดังเข้ามา อวัศยายกเครื่องดื่มดื่มแล้วก็สำลักเพราะไม่ค่อยได้กิน เธอคิดในใจว่าขมฉิบ "แต่ก็ยังพยายามจะเศร้าต่อ"
ทันใดนั้นเสียงออดก็ดังขึ้น ปิ๊งป่อง อวัศยาชะงักว่าใครมาแต่เธอก็ยังไม่ลุก เสียงออดกดรัวปิ๊งป่อง ๆ จนความเศร้าในห้องกระจายหายไปหมด อวัศยาหงุดหงิด
"โอ้ย จะกดอะไรนักหนา ต้องเป็นบอสแน่ๆ"
อวัศยาเดินมาที่ประตูแล้วก็ส่องตาแมวจึงเห็นว่าเป็น “ยายอรุณ” ยืนอยู่หน้าห้อง พร้อมของมากมายที่กองอยู่ ทั้งชะลอม ทั้งกระเป๋า อวัศยาตกใจหน้าเสีย
"ยายมา !!”
อวัศยามองดูห้องที่กำลังเซ็ทถ่ายมิวสิค แล้วก็ทำหน้าตาเลิ่กลั่ก
"ให้ยายเป็นห้องในสภาพนี้ไม่ได้ เป็นเรื่องแน่ๆ"
อวัศยารีบวิ่งไปเก็บเทียน แต่ด้วยความมืดทำให้เธอเตะขาเก้าอี้ดังพลั่ก
"โอ้ย" อวัศยารีบปิดปาก
อวัศยาเดินกระเผลกๆ ไปเปิดไฟก่อนเป็นอันดับแรก
อรุณยังยืนอยู่หน้าห้องก่อนจะกดกริ่งอีก เธอแปลกใจว่าทำไมในห้องถึงเงียบ
"ศยาหายไปไหนของมันนะ"
อรุณกดออดอีกที
อวัศยารีบเก็บเทียน ดับเทียน บางอันรีบยกทำให้น้ำตาเทียนหยดใส่เท้าอีก อวัศยาจะร้องแต่ก็ร้องไม่ได้จึงต้องกระเผลกๆไปเก็บเทียน
อรุณยืนสักพักก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกแต่โทรศัพท์ของอวัศยาปิดเครื่อง อวัศยายังวิ่งเก็บของในห้องก่อนจะรวบแก้วเครื่องดื่มไปเททิ้ง พอกลิ่นแอลกอฮอร์ฟุ้งขึ้นมาเธอก็ต้องเอาสเปรย์มาฉีด
อรุณวางสาย "ปิดเครื่อง"
อรุณคิดว่าจะเอายังไงดี ลิปดาเดินมาเพราะกำลังจะไปที่ห้องตัวเอง แล้วเขาก็สะดุดเมื่อเห็นอรุณยืนอยู่ ลิปดามองด้วยความสงสัย อวัศยาเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ตั้งสติก่อนจะถอนลมหายใจออกมายาวๆ แล้วก็ชะงักกึก เธอพ่นลมหายใจพร้อมกับทดสอบกลิ่นอีกที
"อี๊ จิบไปแค่ทีสองทีเอง กลิ่นฟุ้งเลย"
อวัศยารีบวิ่งไปป้วนปากแล้วหยิบลูกอมขึ้นมาอมพร้อมกับทดสอบกลิ่นปากอีกที พอมั่นใจอวัศยาก็รีบวิ่งมาที่ประตูแล้วก็ปั้นหน้ายิ้มพร้อมกับเปิดประตูผัวะ
"สวัสดีจ้ะยาย"
อวัศยาชะงักกึกที่เห็นหน้าห้องว่างเปล่าเพราะไม่มีใครอยู่เลย อวัศยารีบวิ่งออกมามองซ้ายมองขวาก่อนจะวิ่งเข้าห้องแล้วลองเปิดใหม่แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่ดี
"ยายหายไปไหน ? ยาย.ยาย.." อวัศยาตะโกน "ยาย !!”
อวัศยาเดินเข้ามาในห้อง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทร.ออกแล้วก็เดินออกจากห้องด้วยความแปลกใจ ร้อนใจ โดยกดมือถือโทรหายายไปด้วย แต่ยายก็ไม่รับสาย อวัศยาวางสาย
อวัศยาตะโกนเรียก "ยาย ยาย ยาย!" ไม่มีเสียงตอบใดใด
อวัศยาแปลกใจและคิดว่าจะทำไงดี ..
"ยายหายไปไหนเนี่ย"
ทันใดนั้นประตูลิฟท์ก็เปิดออก
แก้วน้ำวางอยู่บนโต๊ะในห้องลิปดา ลิปดาหันมาพูดกับแขกผู้มาเยือน
"น้ำครับ คุณยาย"
อรุณนั่งมองลิปดาอย่างพิจารณา ลิปดายิ้มแหะๆ เพราะเดาใจไม่ถูก
"คุณเป็นเจ้านายศยาจริงๆเหรอ" อรุณถาม
"ครับ"
อรุณทำเข้ม "ตอบดังๆ"
ลิปดาสะดุ้งคิดในใจว่าโอ้โหดุจัง แล้วอรุณก็พูดต่อด้วยเสียงอ่อนลงพร้อมกับยิ้มๆ
“..... ฉันหูตึง"
ลิปดาอึ้ง
อรุณพูดต่อ "แก่แล้วก็อย่างเนี้ย หย่อนทู๊กอย่าง...หู “ตึง” อย่างเดียว ไม่รู้จะตึงทำไม นินทาคนข้างบ้านลำบากมาก นินทาทีได้ยินสามบ้านแปดบ้าน เซ็งสุดๆ" ลิปดามองอรุณอึ้งๆ เพราะจับอารมณ์ไม่ถูก อรุณหันมาว่า "เอ๊า! มองอยู่ได้..ตอบมาสิ คุณเป็นเจ้านายศยาจริงๆเหรอ"
ลิปดาพูดเสียงดังขึ้น "จริงครับ"
อรุณมองตั้งแต่หัวจรดเท้า "นี่ถ้ายายรู้ว่าศยามีเจ้านายหน้าตาแบบนี้ .."
อรุณยังพูดไม่จบลิปดาก็แทรกขึ้น "จะไม่ให้ทำงานด้วย"
“เปล่า" แล้วอรุณก็ยิ้มกว้าง "ยายจะแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ หล่อดี ยายชอบ" อรุณจริตหลุดราวกับสาวรุ่น เล่นเอาลิปดาฮาจนหัวเราะออกมา อรุณชอบใจ "ต๊าย หัวเราะที โลกหยุดหมุน .. น่ารักนะเนี่ย" อรุณเอียงหน้า "มีเมียหรือยัง"
ลิปดาปล่อยก๊ากออกมา "โห คุณยายแรงมากครับ"
“แหม...ยายก็ถามเผื่อลูก เผื่อหลาน ถ้าโสดจะได้แนะนำกันไป"
ลิปดามองอรุณแล้วก็ขำเพราะนึกถึงอวัศยา
“คุณยายนี่แอบฮานะครับเนี่ย ศยาน่าจะเอาดีเอ็นเอ “ความฮา” ของคุณยายมาบ้าง"
“โอ้ย รายนั้นน่ะ เค้าเป็นคนคิดเยอะ คิดมาก คิดละเอียด ละเอียดจนหาผัวไม่ได้"
ลิปดาปล่อยก๊ากออกมาอย่างถูกอกถูกใจ
อวัศยาจาม “ฮัดชิ้ว"
อวัศยาหยิบทิชชูออกมาเช็ดจมูก รปภ.เดินออกมาจากห้องวงจรปิด อวัศยาหันไปเห็นก็รีบเดินเข้ามาถาม
"เช็คกล้องวงจรปิดแล้วเป็นยังไงบ้างคะ ? เห็นยายฉันมั้ย ? ตกลงยายอยู่ไหน”
"เห็นครับ เอ่อ..แต่คุณยายอยู่ที่ไหนไม่รู้ครับ รู้แต่คนที่พาคุณยายไปครับ”
"หะ มีคนพายายฉันไป เฮ้ย ... ใคร”
อวัศยาเหวอ
ลิปดาหัวเราะร่วน
“ศยาเนี่ยนะครับเคยประกวดเทพี”
ลิปดากับอรุณนั่งเม้ากันอย่างเมามันโดยมีน้ำหวาน ขนมกรุบกรอบ ถั่วถุง วางอยู่เกลื่อนโต๊ะ ทั้งสองเม้าไปกินไปอย่างเพลิดเพลิน
“อือ !! เวทีประจำตำบล ที่ประกวดเพราะศยามันมีปมด้อย”
“คนเก่งอย่างศยาเนี่ยนะครับมีปมด้อย”
“มีสิคู๊นน..ยายจะเล่าให้ฟังเรื่องมันมีอยู่ว่า” อรุณหยุด ลิปดาตั้งใจฟัง “เด็กๆศยามันขี้เหร่มาก ตัวดำ ผมหยิก ฟันเหยิน .. เดินมานี่ฟันพุ่งมาก่อนเลย เมื่อก่อนฉันไม่ได้เรียกศยานะ แต่ฉันเรียก เหยินน้อย”
“เหยินน้อย” ลิปดาหัวเราะเอ็นดู “นี่ผมนึกภาพไม่ออกเลยนะครับเนี่ย” ลิปดานึกได้ “แล้วเรื่องประกวดเป็นยังไงบ้างครับ”
“นางเต็มที่มาก เก็บตัว ขัดผิว ยืดผม ตั้งใจจะลบคำสบประมาทให้ได้เชื่อไหม แค่ศยาก้าวขึ้นเวทีปุ๊บ .. คนดูกรี๊ด”
“สวยมาก” ลิปดาบอก
“เปล่า .. ผ้าถุงหลุด” อรุณตบมุก
ลิปดาหัวเราะ
"ดีนะที่ศยาจับชายผ้าถุงไว้ทัน ไม่งั้นได้ฮากันทั้งงาน”
“แล้วผลประกวดเป็นยังไงครับ”
“ตก…"
“ตกรอบ”
“เปล่า …ตกเวที !!! ยังไม่ทันประกาศผล ..ตกเวที ขาเดี้ยง ไม่ได้ประกวดต่อ”
ลิปดาหัวเราะก๊าก “ไอ้เรื่องโก๊ะๆเนี้ยต้องยกให้ศยา เรื่องนี้ศยาเขาแน่นอนจริงๆ....แล้วตกลงงานประกวดจบยังไงครับ”
“ขาหัก คนทั้งหมู่บ้านขำกันใหญ่ ศยาเลยคิดว่าความสวยไม่ใช่ทางของมัน มันเลยมุ่งเรียนๆๆๆ แล้วก็ทำงานๆ ดัดฟัน ลดความอ้วน สวยขึ้น ดูดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สนใจผู้ชาย”
ลิปดาฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
อรุณพูดต่อ “จนยายเครียดว่าชาตินี้นังเหยินน้อยของยายจะหาผัวได้ไหม ที่ยายมาครั้งเนี้ย! ก็ว่าจะมาคุยกับศยาเรื่อง “แต่งงาน” นี่แหละ”
ลิปดาชะงักกึกกับคำว่าแต่งงาน ลิปดาหันมาอ้าปากจะถามแต่เสียงออด ติ๊งต่อง ดังขัดจังหวะ อรุณหันขวับไปทางประตู
ประตูห้องเปิดออก อวัศยายืนหน้าเหวี่ยงอยู่
"บอสลักพาตัวยายฉันมาทำไม"
ลิปดายิ้มจะอธิบาย อรุณโผล่ออกมาจากด้านหลังลิปดาแล้วตอบเอง
"พ่อลิปไม่ได้ลัก..แต่ยายเต็มใจมาเอง"
อวัศยาขมวดคิ้วอย่างงงๆ
เหตุการณ์ในอดีต อรุณยืนรออยู่หน้าห้องอวัศยาสักพักใหญ่ๆ จึงกดอีกทีแต่ประตูก็ยังไม่เปิด ลิปดาเดินมาจากทางด้านหลัง พอเห็นอรุณเขาก็มองด้วยความแปลกใจก่อนจะเดินเข้ามาหา
“คุณยายมาหาศยาเหรอครับ" ลิปดาถาม อรุณไม่หันเพราะไม่ได้ยิน ลิปดาเร่งเสียงดังพอควร "คุณยายมาหาศยาเหรอครับ"
อรุณหันมา "อือ..คุณรู้จักหลานฉันด้วยเหรอ"
ลิปดายิ้ม "รู้จักครับ..ผมชื่อลิปดาเป็นเจ้านายของศยาน่ะครับ"
“อ๋อ เจ้านาย..นี่ดีเลย ฉันกดออดตั้งนานแล้วยังไม่เห็นเปิดสักที สงสัยจะไม่อยู่ ฉันขอไปนั่งรอที่ห้องคุณก่อนได้มั๊ย"
อรุณยิ้มอย่างแมน ๆ
อรุณยิ้มแฉ่ง อวัศยาที่ยืนอยู่ข้างๆ เหล่ยาย
“แหม่..ทำอะไรไม่คิดถึงหน้าหลานเลยนะ..ดีที่เป็นบอส ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น อยู่ๆขอไปห้องเค้า..อายตายเลย"
“เฮ่อ นิดๆหน่อยๆก็อาย มัวแต่อาย ถึงได้อยู่เป็นโสดมาจนป่านนี้ .. เค้าเรียกว่า “โสดไม่ปรึกษาสังขาร”
ลิปดาปล่อยก๊าก อรุณขำคิกคัก ทั้งสองคนหันมาตีมือ Hi five กัน อวัศยางงที่ทั้งสองสนิทกันขนาดนี้
“โห ตีมือ..หนิดหนมไปนะ .. ปกติยายไม่ซี้กับคนแปลกหน้าง่ายๆ บอสใส่ยาอะไรให้ยายฉันกินหรือเปล่าเนี่ย"
"ผมไม่ได้ใช้ “ยา” แค่เม้าเรื่อง “ศยา” ก็ซี้กันแล้ว" ลิปดาบอก
อวัศยางงจึงชี้หน้าตัวเอง "เม้าฉัน" อวัศยาหันมาทางอรุณ "ยายนินทา “หนู” ให้บอสฟังเหรอ"
“หนู” !!! นี่คุณแทนตัวเองว่า “หนู” กับยายเหรอ" ลิปดามองหน้าอวัศยา "น่าร๊อกอ่ะ"
อวัศยาหน้าหงิกพร้อมคิดในใจว่า อีบอส
ลิปดากับอรุณขำออกมาพร้อมกันก่อนจะตีมือกันอีกรอบ !!
อวัศยาอยากจะบ้า เธอหน้าหงิกก่อนจะเดินตรงไปคว้ากระเป๋ากับชลอมแล้วมาจูงมือยาย
"หมดเวลาเล่นแล้วค่ะ กลับห้อง"
"พ่อลิป .. วันหลังยายมาเที่ยวที่ห้องอีกนะ มีเรื่องเล่าให้ฟังอีกเย้อเลย"
"ยินดีต้อนรับครับคุณยาย" ลิปดาบอก
ก่อนจากไปอรุณก็หันมา Hi Five กับลิปดาอีกที ลิปดาหันจะ Hi Five กับอวัศยาแต่หน้าวีนของศยาก็ทำเอาลิปดาเบรกเอี๊ยด ลิปดาเปลี่ยนท่าจาก Hi Five เป็น Bye Bye พร้อมกับยิ้มกว้างล้ออวัศยา อวัศยาสะบัดหน้าพรึ่บแล้วพายายเดินออกไป ลิปดาตะโกนไล่หลัง
"ฝันดีนะเยินน้อย"
อวัศยาสะดุดกึก อรุณขำก๊าก อวัศยาหันมองหน้ายาย
"ยาย!!!เม้าหนูเรื่องนี้อีกแล้วนะ"
"อ้าววว เรื่องนี้มันระดับตำนาน ไม่เล่าไม่ได้" อรุณว่า
อวัศยาส่ายหน้าลากยายและหอบสัมภาระไปอย่างลักทุเลขณะเดินไปตามทาง ลิปดามองอวัศยาขำๆ อย่างอารมณ์ดีแล้วก็ชะงักกึก
"เออ ลืมถามเรื่องแต่งงานไปเลย" ลิปดาเพิ่งนึกได้
ลิปดากังวลกับ หัวข้อ "แต่งงาน" ของอรุณที่ทิ้งไว้เป็นปริศนา
อวัศยาโวยเสียงดังตรงหน้าอรุณที่นั่งหน้ายิ้มแป้นแล้นอยู่
"ยายจะให้หนูแต่งงาน”
“ใช่” อรุณตอบนิ่งๆ
“ยายคัดคนดีที่สุดในอำเภอมาให้เลือก ดังนี้”
อรุณหันไปหยิบรูปถ่าย 5 ใบจากกระเป๋ามาชูให้อวัศยาดู
“คนที่ 1” อรุณชูรูปชายวัย 50 กว่าๆ ขึ้นมา “เสี่ยหมง เจ้าของเงินกู้รายใหญ่ที่สุดในอำเภอ หม้าย เมียตาย ไม่มีลูก ถ้าได้เป็นผัว สบายไปสามชาติ”
อวัศยาส่ายหัว no. no. อรุณชูรูปใบที่ 2
“คนที่ 2” อรุณชูภาพนายตำรวจใหญ่ “พันตำรวจเอกประจักษ์ ตำรวจตงฉิน ประวัติดี มี ระเบียบ ลูกน้องเกรงขาม โจรยำเกรง ได้คนนี้ชีวิตตรงเป็นไม้บรรทัดแบบที่เราปลื้มแน่นอน”
อวัศยาหน้าหงิกพร้อมกับเอาแขนมาไขว้เป็นเครื่องหมายกากบาท อรุณเซ็งจึงเปลี่ยนรูป
“คนที่ 3” อรุณชูรูปนายอำเภอหนุ่มใส่แว่นหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมขึ้นมา “นายอำเภอวันชัย เพื่อนแกสมัยเรียนป.1 ตอนนี้ได้ดิบได้ดีเป็นนายอำเภอของบ้านเรา”
อวัศยาไขว้แขนอีก อรุณหยิบรูปต่อไป
“คนที่ 4” อรุณชูรูปหนุ่มมาดเท่ห์แต่งตัวเป็นนักเลงคนรวยบ้านนอกให้ดู “มะเดี่ยวศักดิ์ ลูกชายกำนัน ถ้าแกแต่งกับคนนี้ รับรองแกไม่ต้องกลัวโดนใครรังแก”
อวัศยาไขว้แขนบอกไม่ อรุณไม่ยอมแพ้หยิบมาอีกรูป
“คนที่ 5” อรุณชูรูปชายหนุ่มในชุดขาว “ทิดจืด บวชเรียนมาตั้งแต่เด็ก จบเปรียญธรรม 6 ประโยค... ..”
อวัศยาไขว้แขนโดยไม่ได้รอฟังให้จบ
“ไม่ค่ะยาย !! หนูไม่แต่งกับใครทั้งนั้น”
"แต่เราแก่แล้วนะศยา”
อวัศยาเซ็ง “หนูรู้ !! ยายไม่ต้องย้ำ”
"ถ้ารู้ ..ก็รีบแต่งงานมีลูก ก่อนมดลูกจะฟ่อ”
"ฟ่อก็ช่าง หนูไม่ได้อยากมีลูก หนูอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ก็มีความสุขอยู่แล้ว”
อรุณดราม่าใส่ “ใช่สิ..เรามีความสุข …แล้วยายล่ะ เคยคิดไหมว่ายายจะรู้สึกยังไง ยายอายุก็มากแล้ว จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ญาติฝ่ายอื่นเราก็ไม่มีถ้าไม่มียาย เราก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว แล้วยายจะนอนตายตาหลับได้ยังไง”
อรุณเล่นบทโศกใส่ อวัศยาหน้าเสียและเครียด
“ไม่รู้หล่ะ ถ้าศยาไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ยายหามาให้ ยายก็จะไม่กลับ และยายก็จะหาผู้ชายมาแต่งกับเราให้ได้”
"หะ เอาจริงเหรอยาย”
“จริง.. ไม่งั้นยายนอนตายตาไม่หลับ !! ว่ายังไง ดูสิ” อรุณเลื่อนรูปทั้ง 5 หนุ่มมาตรงหน้า “จะแต่งหรือไม่แต่ง”
อวัศยามองรูปแล้วก็เครียด “หนูแต่งกับผู้ชายที่ยายเลือกให้ไม่ได้”
"ทำไมแกถึงแต่งไม่ได้” อรุณถาม
อวัศยาคิดแล้วก็โพล่งออกไปเลย
"หนูแต่งไม่ได้...เพราะหนูมีแฟนแล้ว”
อรุณเหวอ “หะ ? มีแฟนแล้ว”
อวัศยาพยักหน้า
“มีตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเค้าเป็นใคร”
รันโวยวายเสียงดัง
“โนว !! ไม่ใช่ฉัน”
อวัศยาลุกขึ้นอุดปากรันจนทุกคนในร้านหันมามอง
“เอ่อ..ขอโทษนะคะ..ไม่มีอะไรค่ะ”
รันดิ้นพร้อมกับเอามืออวัศยาที่อุดปากออก
“แกปลุกฉันมาตั้งแต่เช้ามืด เพื่อจะบอกว่า ฉันต้องเล่นละครเป็นแฟนแกเพื่อตบตายายสุดที่รัก คำตอบคือ NO way ศยาดูปากศรัญญูนะคะ NO way หัวเด็ดตีนขาดฉันก็ไม่ทำ แกจะให้ฉันข้ามสปีชี่ส์ไปเป็นแฟนชะนี ฉันทำไม่ได้”
“แต่ฉันไม่มีใครแล้ว ถ้าฉันไม่หาแฟนกำมะลอมาหลอกยาย เรื่องนี้ไม่จบ ฉันต้องโดนจับแต่งงานกับใครสักคนที่ยายหามาให้แน่ๆ”
ศยาเครียด รันเห็นใจจึงช่วยคิด
“ฉันว่าเธอไปจ้างมืออาชีพดีกว่า พวกนายแบบ หรือ พวกตัวประกอบหล่อๆ อย่างน้อยก็แน่ใจว่า Acting เริ่ด รับรองยายแกจับไม่ได้ว่าแก Fake”
“ยายจับได้แน่นอน เพราะฉันไม่อิน ถ้าฉันต้องเล่นเป็นแฟนกับคนที่ฉันไม่รู้จักไม่ชอบ ไม่ปลื้ม แป๊บเดียวยายก็ดูออกแล้วว่ามันไม่จริง”
“ถ้าอย่างนั้นแกก็ต้องเอาคนที่แกรู้จัก แกชอบ แกปลื้ม มาเล่นละครเป็นแฟน..และคนนั้นก็คือ..”
รันหันมา อวัศยาฉุกคิดแล้วก็พูดออกมาพร้อมกัน
“ปราณนต์ ...”
รันพยักหน้า
“คนนี้แหละใช่ที่สุด” รันบอก
“แต่ฉัน..เลิกแชทกับเค้าไปแล้ว ฉันปิดบัญชี แล้วก็ทิ้งซิมโทรศัพท์ ฉันเป็นแอบรักต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
“ฉันก็ไม่ได้ให้แกไปขอความช่วยเหลือเค้าในฐานะ “แอบรัก” แต่ไปในฐานะ “อวัศยา” ผู้หญิงตัวเป็นๆบนโลกแห่งความจริง ถ้าปราณนต์ยอมช่วยก็เท่ากับแกได้ "สองเด้ง" หนึ่ง แกรอดตัวจากการแต่งงาน,และสอง แกได้พัฒนาความสัมพันธ์กับปราณนต์แบบปกติมนุษย์ไม่ต้องแอบอยู่หลังยัยแอบรัก”
“แล้วถ้า..เค้าไม่ยอมช่วยฉัน ฉันไม่หน้าแหกเหรอ” อวัศยาหวั่นใจ
“แหก !” รันว่า อวัศยาสะดุ้ง “แต่..” อวัศยายื่นหน้ามาย้ำ “แกมีทางเลือกแค่สองทาง หนึ่ง..แต่งกับคนที่ยายแกหามาให้ สอง..เสี่ยงขอความช่วยเหลือจากปราณนต์ จะไปทางไหนก็เลือกเอาเอง”
อวัศยาคิดหนักกับคำพูดของรันเพราะความจริงในใจมันเรียกร้อง แต่จะทำยังไงเพราะใจยังไม่กล้า
ปราณนต์นอนหลับอยู่ที่ส่วนห้องพักติดที่ติดกับห้องคนไข้ที่เป็นห้องวีไอพีซึ่งมีส่วนรับแขกและห้องผู้ป่วย โทรศัพท์มือถือคาอยู่ที่มือของปราณนต์ เสียงข้อความไลน์ดังขึ้น ปราณนต์ในสภาพหัวฟูสะดุ้งตื่นก่อนจะรีบเอาโทรศัพท์มาดู
“คุณแอบรัก”
หน้าจอขึ้นชื่อพริบพราวพร้อมด้วยข้อความ
"แม่นายเป็นไงบ้าง"
ปราณนต์แอบถอนใจด้วยความผิดหวังเล็กๆที่ไม่ใช่แอบรัก
ปราณนต์มองผ่านประตูเห็นปุ้มกำลังป้อนข้าวให้แม่อยู่ ปราณนต์พิมพ์ตอบกลับพริบพราวไป
"แม่โอเคแล้ว .. ขอบคุณที่เป็นห่วง" แล้วตามด้วยส่งสติ๊กเกอร์ แต้งกิ้ว
พริบพราวอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำกำลังเช็ดผมแลดูน่ารักใสๆ อมยิ้ม
"ถ้านายต้องลางาน ฉันจะช่วยดูงานในส่วนของนายให้ในฐานะเพื่อนร่วมงาน ไม่ต้องห่วง "
ปราณนต์แปลกใจ
"ใจดีจนน่ากลัวนะเนี่ย" ส่งสติ๊กเกอร์ ตกใจ
พริบพราวหน้างอ
"หรือจะให้ใจร้าย ก็ได้นะ เรื่องนั้น ฉันถนัด" ส่งสติ๊กเกอร์ เดวิล
ปราณนต์หัวเราะเบาๆ
"ไม่ดีกว่า สงบศึกดีแล้ว แต้งกิ้วมากนะ " ส่งสติ๊กเกอร์ โค้งคำนับอีกที
พริบพราวยิ้ม
“ดีมาก ที่รู้ตัว ไปก่อนนะ เจอกันที่ออฟฟิศ” ส่งสติ๊กเกอร์ บาย
พริบพราวยิ้มๆ เพราะรู้สึกดีที่ได้คุยกับปราณนต์
ปราณนต์ก็อมยิ้มนิดๆ อย่างรู้สึกดี เขาลุกเดินไปที่เตียงของปริม
“นอนกำโทรศัพท์ทั้งคืน ติดแชทสาวป่ะเนี่ย”
ปราณนต์สะอึก “เอ่อ..เปล๊า! ก็แค่เชคงาน ไม่ได้ติดช๊ง ติดแชทสักหน่อย”
“แน่ะ หลบตา..โกหก! คุยกับใครบอกมา”
“พอๆ พอแล้วปุ้ม แซวน้องอยู่ได้ ....ไปทำงานเถอะณนต์ ไม่ต้องห่วงแม่”
ปราณนต์อึกอักๆ เพราะเป็นห่วง ปุ้มพูดอย่างรู้ใจ
“ไปทำงานเหอะ พี่อยู่เอง ป้าเปรี้ยวกลับไปบ้าน เดี๋ยวแกก็มา”
จังหวะนั้นเองเปรี้ยวก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมของ
“มาแล้วจ้า...อ้าวณนต์!!! ดีเลย ป้านึกว่าจะกลับมาไม่ทันซะแล้ว อะนี่”
เปรี้ยวยื่นถุงขนมให้ปราณนต์ซึ่งเป็นขนมไทยง่ายๆที่ทำเอง เช่น ข้าวต้มมัด สาคูเปียกมะพร้าวอ่อน ฯ
เปรี้ยวพูดด้วยหน้าเก้อๆ ที่ต้องเอาของให้พริบพราว “ฝากให้หนูพราวหน่อย ขนมพวกนี้ป้าทำเอง เพิ่งทำสดๆเมื่อกี๊นี้เอง .. ขอบคุณที่เขาช่วยเราเมื่อคืน”
ปราณนต์รับกล่องขนมมาจากเปรี้ยว
"อูย ..หิมะจะตกเมืองไทย ขุ่นป้าทำขนมให้น้องพราว...เริ่มชอบน้องเค้าแล้วหล่ะสิ”
"คนช่วยเรา ..เราก็ต้องขอบคุณ ถึงฉันจะไม่ถูกชะตาแต่ฉันก็รู้จักแยกแยะเว้ย”
ปราณนต์ยิ้ม “ดีแล้วครับ พราวน่าจะดีใจ .. ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
ปราณนต์วางถุงขนมและเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือติดมือเข้าห้องน้ำไป ปุ้มเห็นก็เมาท์ต่อ
“แม่ดูดิ ขนาดเข้าห้องน้ำยังพกโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย .. ปุ้มว่าณนต์มันต้องติดแชทสาวแน่ๆ”
“ติดแชทสาว .. ใคร สาวที่ไหน” เปรี้ยวสงสัย
อ่านต่อตอนที่ 6