xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 5

ทั่วทั้งวังของท่านชายวสวัต แลดูน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน แม้ในยามกลางวันแสกๆ ยิ่งในห้องเก็บของโบราณยามนี้ บรรยากาศทึมทึบอึมครึมชวนขนลุก หลังฝาครอบแก้วฐานถูกปิดลงกับฐานรองกำมะหยี่แดง

ท่านชายมองหน้าชาลินีอย่างขรึมเคร่งเย็นชา ชาลินีหายใจแรง ตัวสั่น เหงื่อกาฬเต็มใบหน้า อิศรามองชาลินีแล้วหันกลับมามองท่านชายอย่างงุนงง
“เป็นอะไรไป ชา”
ชาลินีหอบหายใจแรง พยายามคุมสติฝืนยิ้ม “ชั้น หายใจไม่ออก เสียง...เสียงมันดูคุ้นหูเหลือเกิน นึกไม่ออกว่า..เคยได้ยินที่ไหน”
“ในหนังมั้ง” อิศราหันมาพูดกับท่านชาย “ท่านชายเล่นกลได้เนียนมากเลยครับ ผมยังจับไม่ได้เลยว่า ท่านเปิดเทปตอนไหน”
ท่านชายยิ้มแต่กลับดูดุ น่ากลัวขึ้นกว่าเคยตาคมเข้มขึ้น
ชาลินีรำพึงเสียงแผ่ว “ผู้หญิงคนนั้น...ใครคะ”
“นาง...ผู้นำความหายนะมาสู่กรุงศรีอยุธยา...นางผู้มีความงามเป็นเลิศที่จะบันดาลความลุ่มหลงให้ผู้ชาย แต่น่าเสียดายที่น้ำใจของนางไม่ได้งามเหมือนรูปร่างหน้าตา” ท่านชายวสวัตว่า
“ทำไมดิฉันเหมือนคุ้นๆ กับเสียงนั้นคะ แม้กระทั่งพอหลับตายังเหมือน...จะนึกภาพรูปร่างเธอได้รัวๆ รางๆ”
“อาจจะเพราะเธอเห็นนางผู้นี้ทุกวัน ในกระจก”
ชาลินีชะงักตกใจ มองจ้องท่านชายเขม็ง
ท่านชายกลับยิ้ม เสียงพูดมีแววแทะเล็มอย่างสุภาพ ระคนยกย่อง แต่แดกดันอยู่ในที
“เพราะเธอเอง ก็มีความงามไม่แพ้นางในประวัติศาสตร์คนนี้ ความงามที่ไม่มีใครเทียบ งามมากพอที่ผู้ชายจะยอมโง่ หลงใหลใฝ่หา...เสมอ”
ชาลินีได้สติ เป็นตัวเองมากขึ้น เพราะเข้าใจในแววเสียงแทะเล็มของท่านชาย
“แหม ท่านชายคะ อย่างนี้เขาเรียกว่า ลิ้นนักการทูตนะคะ”
อิศราขำปนรำคาญการจีบท่านชายไปมาของชาลินี
“นี่การแสดงจบแล้วเหรอครับท่านชาย เสียดาย ผมคิดว่าจะได้ยิน...”
“อะไร”
“เสียงคุณย่า” อิศราพูดอย่างท้าทายลองดี
ชาลินีค้อน “บ้าเหรอ อิศ”
“อ้าว ก็ถ้าท่านชายจะเล่นกลให้ดู ผมก็อยากพิสูจน์ได้ว่า เครื่องจับเสียงผีของท่านชายว่าแน่แค่ไหน”
“ถ้าอย่างนั้น...จงฟัง!”
มือท่านชายหงายที่ครอบแก้วอีกครั้ง เสียงที่ดังออกมาทำให้อิศราหน้าซีดเผือด
“นังหยก นังชาติไพร่ อีคางคกขึ้นวอ แกอย่าหมายนะว่า ลูกในท้องของแกจะทำให้แกมาตีเสมอข้าได้ ตายเสียเถอะ นังหยก”
ตามด้วยเสียงหยกกรีดร้องดังโหยหวน
อิศราผุดลุก หน้าเผือด พึมพำปากขมุบขมิบ “ไม่..ไม่ใช่”
ท่านชายเย้ยหยัน “ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ก็อย่างนี้สิ”
ท่านชายคว่ำที่ครอบแก้ว แล้วหงายใหม่อย่างรวดเร็ว
เสียงย่าอุ่นด่าอิศราดังขึ้น “แกมันโง่ โดนนังนี่มันหลอก แกนึกเหรอ ว่าย่าจะยอมให้แกเอานังคนใช้ทำเมีย เพื่อมาผลาญเงินของย่า”
อิศราร้องลั่น “พอแล้วครับ”
ท่านชายคว่ำที่ครอบแก้ว หัวเราะเบาๆ
“ตกใจอะไรกันอิศรา...นี่ฉันเลยทำให้เธอสองคนกลัวไปกันใหญ่ ไม่มีอะไรสักนิด...นี่ไง”
ท่านชายหงายที่ครอบแก้วอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงใดๆ ท่านชายหัวเราะ
“ห้องนี้มีไมโครโฟนซ่อนไว้ ภุมมะอยู่อีกห้อง ได้ยินทุกเรื่องที่เราคุยแล้วเขาก็เป็นคนคอยเปิดเสียงที่มีลำโพงมาห้องนี้”
อิศราคาใจ “แต่เรื่องที่คุณย่าพูด”
ท่านชายทำหน้าซื่อ “ทำไม บังเอิญไปตรงเข้าเหรอ นี่มันเสียงจากละครวิทยุที่ภุมมะไปอัดมานะ”
อิศราอ้ำอึ้งไปนิดแล้วพยายามคุมอารมณ์ “แต่เสียงคล้ายคุณย่าเหลือเกิน ผมใจหายหมด”
“เรา...เลิกเล่นดีไหมคะ ดิฉันอยู่ในห้องนี้มันอึดอัด หายใจไม่ค่อยออกเลยค่ะ”
“งั้นเราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า...เชิญ”
ท่านชายผายมือให้ชาลินีเดินนำไป ก่อนจะเดินตามหลัง อิศรายังคงงุนงง ขยับไปหยิบที่ครอบแก้วดู
ท่านชายเดินนำมาหยุดที่ประตู เหลียวกลับมามองอิศรา แล้วอมยิ้มอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินออกไป ปิดประตูตามหลังสายตามีเลศนัย ทิ้งอิศราอยู่คนเดียวในห้อง ก้มๆ เงยมองหา
“ลำโพงซ่อนตรงไหน เนียนชะมัด”
อิศราวางที่ครอบแก้ว เดินตามไปที่ประตู
เสียงเรียกย่าอุ่นดังแหบโหย แว่วมาเบาๆ “อิศ...รา”
อิศราชะงัก ยืนแข็งทื่อ ยังไม่กล้าเหลียวไปมองทางเสียง
วิญญาณย่าอุ่นเคลื่อนเข้ามายืนเบื้องหลังอิศรา หน้าหมองจัด เอ่ยขึ้นเสียงแหบโหยเบาๆ
“คืน...เขา...ไป...ไม่ใช่...ของ...เจ้า”
อิศราสะพรึงกลัวมาก ค่อยๆ หันหน้าช้าๆ มา ใบหน้าผีย่าอุ่นอยู่ในระยะใกล้ เศร้าและน่ากลัว
อิศราหันขวับมา แต่ไม่มีใคร สีหน้ายังหวาดระแวง มองรอบห้องช้าๆ แล้วถดตัวถอยสองก้าว ก่อนจะหันหลังกลับ
อิศราต้องขวัญกระเจิงอีกรอบ เมื่อพบภุมมะยืนจ้องอยู่ใกล้ๆ
“เฮ้ย”
“ท่านชาย...ให้มาตามครับ”
“โผล่มายังกะ...เฮ้ย”
อิศราหงุดหงิด ก้าวพรวดออกไป
ภุมมะปรายตามองตามอิศรา แล้วเหลียวมองไปยังมุมห้อง ผีย่าอุ่นยืนหงอค้อมตัวอยู่อย่างหวาดกลัว
“กลับไปได้แล้ว”

ผีย่าอุ่นทั้งเศร้า ทั้งหวาดกลัว ค่อยๆ ถอย แล้วหายไปในเงามืด ภุมมะมองนิ่ง

ท่านชายวสวัต นำชาลินีเข้ามายังอีกห้อง เป็นห้องสะสมของเก่า ในตู้ที่ตั้งเด่นอยู่มีของประดับเก่าแก่มากมาย จัดวางอย่างมีระเบียบ ชาลินีก้าวเข้ามองมาอย่างตื่นตาตื่นใจ

“ของเก่าพวกนี้ งามเหลือเกินค่ะ”
“เครื่องเพชร กับผู้หญิง มักจะไปด้วยกันเสมอ”
ชาลินีหันมองมา ท่านชายเยื้อนยิ้ม
“ของเก่าพวกนี้ เราจะเก็บรวบรวมไว้เฉพาะของที่ระลึกเกี่ยวกับบุคคลสำคัญ อย่างแหวนวงใหญ่นั่น ดูให้ดีจะเห็นว่าหินขาวๆมัวๆนั่นคือเพชร มีคนลักลอบขุดจากกรุวัดราชบูรณะก่อนที่กรมศิลปากรจะเข้าไปดูแล คนขุด...ตายไปแล้ว”
ชาลินีตื่นตา
อิศราก้าวพรวดเข้ามาในห้อง ยังคงมีสีหน้าตื่นๆ อยู่ ท่านชายกับชาลินีหันมอง
“อิศรา เป็นอะไร” ท่านชายสัพยอกเสียงกลั้วหัวเราะ “ทำท่าราวกับ หนีผีมา”
“เอ้อ...” อิศราปรับท่าทีตัวเองให้เป็นปกติเดินตามเข้ามา “ท่านชายเปิดกรุสมบัติให้ชมเหรอครับ”
“ท่านชายคะ..ปิ่นนั้น ถ้าพลิกดูที่พวงระย้านั้นให้ดี มันจะหายไปดอกหนึ่ง ดูสิคะ”
ท่านชายยิ้มมองชาลินี ดวงตามีเลศนัย
“ตาดีจริง”
“ขอดูใกล้ๆหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิ”
ท่านชายเปิดตู้ หยิบมาชาลินีมองปิ่นไม่วางตา เกิดอาการตื้นตันอย่างประหลาด แบมือออกไป ท่านชายวางปิ่นใส่มือชาลินี และระวังไม่ให้มือสัมผัสมือชาลินี
ชาลินีสะท้าน สีหน้าตื้นตัน
“ปิ่นนี่ ของใครคะ”
“สันนิษฐานกันว่า น่าจะเป็นของรักของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องราชทัณฑ์ถึงชีวิต ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะขุดได้จากโคกที่ฝังศพเจ้านายที่ต้องอาญาหลวง คนขุดไม่พบเครื่องประดับอื่น คิดว่าตอนถูกประหาร นางคงรักปิ่นนี้เหลือเกินจนขอประดับไว้ และขอให้ฝังไปพร้อมร่าง”
ชาลินีลูบไล้ปิ่นอย่างเบามือ
“คงเป็นอย่างนั้นค่ะ” หล่อนกำปิ่นแน่น ก่อนคลายมือ เหมือนตัดใจก่อนยื่นคืนท่านชาย
ท่านชายมองสีหน้าอาดูรของชาลินีก็ยิ้มบางๆ
“ถ้าเธออยากได้ ก็เอาไปสิ ฉันให้”
“คะ” ชาลินีทั้งพิศวงและตื่นเต้น
“แต่เตือนไว้อย่างหนึ่งนะว่า เขาว่าใครก็ตามที่ได้ปิ่นนี้ไปจะถึงความวิบัติ เพราะเจ้าของเขารักของเขามาก”
ชาลินีกำปิ่นแน่นดีใจจนเสียงสั่น
“ดิฉันไม่กลัวหรอกค่ะ ดิฉันกลับรู้สึก...คุ้นๆ เหมือนได้ของที่หายไปกลับคืนมา มากกว่า”
“สมบัติของผู้ใด ก็ต้องตกอยู่แก่ผู้นั้น ...ฉันหมายถึง เครื่องประดับๆ สวยๆ ก็ควรต้องอยู่ในมือของผู้หญิงมากกว่าฉัน”
ท่านชายยิ้มให้ชาลินีที่ตื่นเต้นก่อนหันมามองอิศรา
อิศราที่แยกมายืนดูอะไรบางอย่าง แต่สายตามองเลยไป ครุ่นคิดหาคำตอบกับเรื่องเมื่อครู่กับตัวเองอยู่ไม่คลาย ท่านชายอมยิ้ม

ไม่นานต่อมา อิศรา และชาลินีเดินมาหน้าวัง ท่านชายวสวัตตามมาส่ง
“วันนี้มารบกวนท่านชายเสียนาน”
“ขอบพระคุณสำหรับปิ่นนี่นะคะ”
“มีอะไรบ้างที่คนสวยๆ อย่างเธอ ปรารถนาแล้วจะไม่ได้”
ท่านชายยิ้ม เป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ จนชาลินีเดินสะดุด ขัดเขินนิดๆ
“วันหลังนะคะ จะขอตอบแทนน้ำใจของท่านชายให้สมเลย”
“ได้ ฉันจะตั้งใจคอยวันนั้น”
ชาลินีปรายยิ้มเสน่ห์มาให้
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวฝนจะตก” ท่านชายว่า
อิศราเงยหน้ามองฟ้าโปร่งแดดแจ๋
“ฟ้าโปร่งอย่างนี้ คงไม่หรอกมั้งครับ ลาละครับท่านชาย”
อิศราไหว้ลา ชาลินีไหว้หยอดตามหาเสน่ห์ใส่ท่านชาย ท่านชายก้มศีรษะรับและยิ้มเสน่ห์ใส่ด้วย
สองคนเดินไปขึ้นรถ
รถแล่นออกไปช้าๆ ท่านชายวสวัตคลายยิ้มทรงเสน่ห์ เปลี่ยนไปทีละนิด กลายเป็นดวงหน้าที่มีรอยยิ้มเยาะหยัน ถากถาง ดุดัน รังเกียจ จนสุดท้ายกลายเป็น โหดร้าย และน่ากลัวสุดจะประมาณ

รถอิศราแล่นมาตามถนนหน้าวัง ชาลินียังดูปิ่นในมือไม่วางตา อิศราหน้าเคร่ง งุนงงสงสัยไปทุกสิ่ง จู่ๆ ฝนตกลงใส่หน้ากระจกจนอิศราต้องเปิดที่ปัดน้ำฝน
“เฮ่ย ฝนตกอย่างทีท่านชายบอกจริงๆ แฮะ”
“เพราะท่านฉลาดกว่าเราน่ะสิ”
“จริงๆ นะ ผมรักท่านทุกอย่าง รักนิสัยใจคอ รักน้ำใจของท่าน แต่พอเข้าใกล้ ทำไมรู้สึกเกรงๆ ขึ้นมา เหมือนกลัวๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“คงเพราะท่านวางตัวดีไง แต่กับชาลินี...” หล่อนมองปิ่นในมือ “ท่านไม่น่ากลัวเลยสักนิดเดียว” พลางเยื้อนยิ้มแล้วบางอย่างนึกได้ “เออ แต่...แปลกจังเลยนะ”
“อะไร”
ชาลินียกมือมือที่จับท่านชายมาดู “ตัวท่านชายน่ะสิ ร๊อน ร้อนหรือท่านจะไม่ค่อยสบายนะ”
“ท่านอาจจะร้อน เพราะไฟรักไฟหลงของคุณมันแรงไปท่วมท่านชายมั้ง” อิศราสัพยอก
“บ้า” ชาลินีหัวเราะตาเป็นประกายวิบวับ

ท่านชายยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าภาพเขียนนรก ใบหน้างาม เคร่งขรึม ดุดัน ขณะลงนั่ง
“ภุมมะ สิริ”
“เจ้าข้า”
“วันนี้ ข้าทำอะไรหลายอย่างที่เสี่ยงมากไปหน่อย ข้าให้มนุษย์ ได้รู้ในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้...เพราะข้าอยากเห็นทุกคนทำความดี...แต่ดูท่าว่า จะเป็นไปไม่ได้”
ท่านชายถอนหายใจ เดินไปอีกมุมหนึ่ง แสงจับต้องร่างด้านข้างที่ยืนไขว้มือไว้ทางเบื้องหลัง จนเห็นเงาแจ่มกระจ่าง สีหน้าท่านชายหม่นหมองทุกข์ทนยิ่งนัก
“ข้าเห็นคนทำชั่วมากเหลือเกิน มากจนข้าสงสัย ว่าจะมีสักกี่คนที่ จะพ้นจากอำนาจของข้าไปได้ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน สิริ ภุมมะ..ข้าคงจะแก่มากแล้ว”
สิริ ภุมมะ น้อมก้ม
“หากอิศรา เดินก้าวล่วงเข้าเส้นทางแห่งอกุศลกรรมลึกขึ้น เขาก็อาจมาเป็นตัวตายตัวแทนของข้า...หาไม่...ข้าก็ต้องทำหน้าที่นี้ไปอีก...นานเท่านาน สิริ ภุมมะ...เรามาคอยดูกัน”

แสงฟ้าแลบปลาบ สายฟ้าฟาดเปรี้ยง ตามด้วยเสียงฟ้าคำรามครืนครัน จนแผ่นฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น

ชาลินีกลับถึงบ้าน โยนกระเป๋าถือบนโซฟาในห้องรับแขก ทรุดลงนั่งตาม ยกปิ่นที่ถือติดมือขึ้นมาชื่นชม

“งามจริงๆ ฝีมือประณีตมาก ราคาเห็นจะหลาย แล้วยังพวกของที่อยู่ในตู้นั่นอีก นี่แค่ที่เห็นในตู้นะ สมบัติอื่นๆของท่านชายอีกล่ะ”
อิศราที่ตามเข้ามา มองหมั่นไส้ “ยิ่งเห็น คุณก็ยิ่งอยากจับท่านชายมากขึ้นซินะ”
“คงไม่ถึงกับต้องตามจับละมั้ง” ชาลินีหัวเราะเสียงใส “วังหรือออกหรูหรา ถ้ามีผู้หญิงเข้าไปอยู่ จัดเสียใหม่ ให้ทันสมัยขึ้นอีก”
“แต่ก็ไม่แน่นะ ท่านอาจมีใครแอบเก็บไว้ในวังก็ได้ ใครจะรู้”
“อายุท่านขนาดนี้ ไม่มีก็ผิดล่ะ แต่ไม่เห็นแคร์ ทั้งรวยทั้งหล่อแบบนี้ ต้องรีบคว้าไว้ก่อน เรื่องอื่น จัดการทีหลัง”
“ยอมรับเต็มปากแล้วนะ คุณหญิงชาลินี”
ชาลินีหัวเราะ อิศราเปลี่ยนอารมณ์ หน้าเครียด ถอนใจแรง
“แต่ว่า เรื่องเมื่อกี้ ผมมั่นใจว่า นั่นเสียงคุณย่าแน่ๆ”
“เสียงคนแก่ก็คล้ายๆ กันหมดล่ะน่า ไม่มีอะไรหรอก”
“แต่ตอนที่คุณกับท่านชายออกไปก่อน...ผม…” ชาลินีมองจ้องอิศรารอฟัง อิศรามีท่าทีอึดอัดมาก “ผมได้ยินเสียงคุณย่า เรียกชื่อผม”
ชาลินีลุกพรวดไปนั่งข้าง “ไหน เธอว่ายังไงนะ”
“ผมได้ยินเสียงคุณย่าเรียกชื่อเกือบจะชิดใบหูเนี่ยว่า..อิศรา จริงๆ นะ แต่พอหันไปก็ไม่มีใคร แต่พอหันกลับมาก็เจอนายภุมมะ ตกใจแทบตาย”
“นึกว่าอะไร ชั้นว่า นายภุมมะ หน้าซีดนั่น คงแกล้งทำเสียงคนแก่แกล้งเธอมากกว่า”
อิศราหลับตา เสียงย่าอุ่นยังก้องอยู่ในหู
“เอา..คืนเขาไป..ไม่ใช่ของเจ้า...”
“แต่ผม” อิศราลืมตาช้าๆ สีหน้าเป็นกังวล “สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ บอกไม่ถูก”
ชาลินีปลอบ “คิดมากน่า”
ชาลินีไม่สนใจ นั่งดูปิ่นต่ออย่างมีความสุข ส่วนอิศราเครียด และกังวลใจมาก

อีกฟากหนึ่ง ขณะที่อรุณเปิดประตูเข้าห้องผู้ป่วยมาแล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่าเจริญขวัญเปลี่ยนจากชุดคนไข้ มาอยู่ในชุดธรรมดา และกำลังเก็บของลงกระเป๋าใบเล็ก
“อ้าว ขวัญ ทำอะไรน่ะ”
“เก็บของสิจ๊ะ วันนี้กลับบ้านได้แล้ว”
“จริงหรือเปล่า ไหนดูสิ” อรุณขยับใกล้ จับมือ แตะหน้าผาก “หายแล้วจริงเหรอ”
เจริญขวัญหัวเราะขำ “ไปวิ่งแข่งกันไหม”
“อย่าพูดเป็นเล่นน่าขวัญ รู้มั้ยวันที่ขวัญเป็นลมมันน่ากลัวขนาดไหน...เรามือไม้สั่นทำอะไรแทบไม่ถูก...เรากลัวว่าขวัญ จะ...”
เจริญขวัญต่อให้ “ตายเหรอ...โธ่ อรุณ ใครบ้างที่ห้ามความตายกันได้”
อรุณผวาจับสองบ่าของเจริญขวัญจากเบื้องหลัง ยืนชิดจากด้านหลัง
“อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ..ขอร้อง อย่าพูดเรื่องความตายอีก”
อรุณก้มหัวเอาศีรษะชนด้านหลังของเธอ
เจริญขวัญชะงักเข้าใจความรู้สึกของเขา เธอยิ้ม หันมาปลอบอรุณ
“นี่! เรายังไม่ทันเป็นอะไรเลยนะ ว่าแต่ตัวเองนั่นแหละ หนีเรียนมากี่วันแล้ว เมื่อไหร่จะกลับกรุงเทพฯ เสียที เดี๋ยวก็ไม่จบหรอก”
“สัญญาก่อน ว่าระหว่างที่เราไม่อยู่ ขวัญจะไม่เป็นไร”
“อรุณ อย่าเอาจิตใจ ความสุขทุกข์ตัวเองมาผูกติดกับคนอื่นแบบนี้สิ เรารู้ว่าเธอห่วง เพื่อน” เจริญขวัญยิ้ม “แต่เธอก็ต้องห่วงตัวเองมากกว่า นะ”
เจริญขวัญยิ้มบางๆ แทนคำสัญญา อรุณมองมาอย่างรักใคร่และเป็นห่วงอย่างจริงจัง

ค่ำนั้นเจริญขวัญทานอาหารคำสุดท้าย เช็ดปาก ดื่มน้ำ ดวงแก้วมองอยู่แล้ว
“พ่อรุณกลับกรุงเทพฯ แล้วใช่ไหมลูก”
“ค่ะ เมื่อตอนเย็นนี่เอง” เจริญขวัญอิ่มรวบจานช้อน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ล้างเอง”
“แม่...ขวัญทำได้ จะให้แม่มาล้างจานข้าวลูกได้ยังไง บาปแย่”
เจริญขวัญยิ้ม พลางเก็บจาน
ดวงแก้วแตะมือลูกเบาๆ “ขวัญ...หมอบอกว่า ถ้าไปหาหมอที่กรุงเทพฯ เราก็ผ่าตัดได้ เดี๋ยวนี้เทคนิคสมัยใหม่ ทำได้ไม่ยากนะ”
“แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนล่ะคะแม่”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนั้น แม่หาได้”
“แม่คะ ขวัญยังไม่อยากผ่าตัด ขวัญก็ยังไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย คราวนี้ขวัญแค่อดนอนมากไปเท่านั้นเอง”
ดวงแก้วท้วง “แต่ว่า...”
เจริญขวัญขัด “ไม่เอาอ่ะ ขวัญกลัวนี่นา”

เจริญขวัญเก็บจานชามลุกหนีไปทางครัวหลังบ้าน ดวงแก้วมองตามลูกสาวอย่างห่วงใย

หลังสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ เจริญขวัญกำลังนั่งมองรูปพ่ออยู่ในห้องพระ พูดกับภาพพ่อ

“พ่อคะ...ขวัญไม่ได้กลัวว่าขวัญจะตาย ตายไปขวัญก็จะได้ไปเจอพ่อใช่ไหมคะ แต่ขวัญห่วงแม่ บ้านเราก็มีหนี้เยอะ ขวัญไม่อยากให้แม่เหนื่อยมากไปกว่านี้ และถ้า ผ่าตัดแล้วไม่สำเร็จ หรือขวัญเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แม่จะอยู่ยังไงคนเดียว”
เจริญขวัญถอนหายใจยาว
ดวงแก้วยืนอยู่ที่ประตูหน้าห้อง ได้ยินทุกคำ สีหน้ากังวลใจ ตัดสินใจไม่ถูก

ค่ำวันเดียวกัน บ้านชาลินีทั้งหลัง ตกอยู่ในบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัว
ในห้องนอนที่มีเพียงแสงสลัว ม่านที่นิ่ง จู่ๆ วูบไหวอย่างแรง ชาลินีนอนหลับอยู่บนเตียง พลิกตัวไปมา กระสับกระส่าย เหงื่อผุดเต็มหน้า ปิ่นที่ท่านชายให้มา วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง มีแสงส่องกระทบเป็นประกาย สวยงาม
ชาลินี กระสับกระส่ายหนัก คล้ายฝันร้าย เห็นเปลวไฟมหึมาลามลุกฉายโชนขึ้น

ชาลินีในชุดนอนนั้น เดินเข้ามาในนรกภูมิ สีหน้าตื่นกลัว หวาดผวา งุนงงกับความมืด และความร้อนรอบตัว เสียงร้องโหยหวนประสมเสียงไฟดังครืดๆ
มีเงาร่างพุ่งผ่านหน้ามองไม่ชัดว่าอะไรแต่ก็ทำให้ชาลินีสะดุ้ง ชาลินีหมุนรอบตัว งุนงง และตระหนกตกใจมากขึ้น
เสียงพญามารดังขึ้น “นำนักโทษของเจ้าออกมาให้ข้าดู”
ชาลินีชะงักหันไปหาเสียง “เสียงใคร...คุ้นเหลือเกิน”

เงาร่างนายนิรยบาลสองตนลากสัตว์นรกพุ่งผ่านหน้าอย่างเร็ว ชาลินีชะงักถอยกรูด แล้วเหมือนเหมือนร่างวูบไปยัง อีกมุมหนึ่ง ที่ไฟสีแดงรายล้อมไปทั่ว ชาลินีก้าวเข้ามา สีหน้าหวาดหวั่น
เป็นทะเลนรก ที่บรรดา สัตว์นรก กำลังทนทุกข์ทรมาน น่ากลัว และน่าสังเวชในเวลาเดียวกัน
สีหน้าชาลินีตื่นกลัว เหลียวมองรอบกาย ก่อนหันมาอีกทางหนึ่ง
วิญญาณคุณหญิงอุ่นบิดกายในเปลวไฟร้อนล้อมลุกท่วมร่าง ร้องออกมาแต่ไม่มีเสียง คุณหญิงหันหน้ามองมายังชาลินี ยื่นมือออกมาในท่าทีวิงวอน
ชาลินีชะงักเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น “คุณยาย”
ย่าอุ่นทุกข์ทรมานแสนสาหัส พยายามพูด มือไม้เหมือนจะแสดงอาณัติเล่าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ปากเผยอพูด แต่ไร้เสียง
นายนิรยบาลหันขวับมามองชาลินี ด้วยสายตาดุร้าย น่ากลัว
“ใคร”
นายนิรยบาลอีกตน ร้องสั่ง “จับมัน”
ชาลินีตาเบิกกว้างกลัว นายนิรยบาลสองตนเข้าจับชาลินีแน่น ชาลินีดิ้นหนีร้องลั่น
“ปล่อยนะ ปล่อย”
ร่างชาลินีถูกโยนให้หมอบคู้ที่พื้นตรงลานตัดสินในนรก นายนิรยบาลสองตนคุมเข้ม
เสียงท่านชายดังขึ้น “ใครกันที่หลงเข้ามาแอบดูที่นี่”
แสงสีขาวสาดส่องเข้าที่ใบหน้าของชาลินี เมื่อเงยหน้ามองต้องหยีตา
ร่างท่านชายยืนเป็นเงาดำ พร่าเลือน มองไม่ชัดนัก ชาลินีพยายามหยีตามอง ร่างท่านชายยืนทะมึนอยู่กับวงแสงรัศมีเจิดจ้ารอบกายจนเห็นหน้าไม่ชัด ชาลินียกมือขึ้นบังแสงที่เจิดจ้านั้น สีหน้าหวาดกลัว
ท่านชายหัวเราะลั่น เปล่งเสียงเย้ยหยันดูแคลนออกมา
“อา...เจ้ากลับสู่ที่เดิมของเจ้าจนได้ สัญชาติญาณของสัตว์นรก ย่อมวนเวียนมาสู่แหล่งกำเนิดเสมอ!ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า ไสหัวมันกลับไป”
ลำแสงหายวับไป ร่างท่านชายหายไป
แสงจากใบหน้าชาลินีหายวับตาม ชาลินีถูกจับลุกมือสามสี่มือมาผลักบ่าไหล่ ชาลินีตื่นกลัว มองตามมือพวกนั้น
“ไสหัวไป ไสหัวไป” เสียงมือดังระงม
ชาลินีหวีดร้องอยู่อย่างนั้น
ท่านชายหัวเราะเย้ย เสียงไพเราะ ทว่าทรงอำนาจเหลือล้น “ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า กลับไป”
ชาลินียังร้องหวีด มีมือหลายมือผลักไสหล่อนจนหน้าหงายผงะไปข้างหลัง สติวูบดับไป

ชาลินีฝันร้าย ผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อซึมเต็มใบหน้า ตกใจมาก มือผลักผ้าห่มร่นไปกองที่ปลายเท้า ก่อนจะยกมือลูบหน้า เช็ดเหงื่อ กวาดตามองรอบๆ จนมั่นใจว่าฝัน
“ฝันบ้าๆ”
ชาลินีทบทวนความฝัน ภาพในความทรงจำที่ชัดแจ้ง กลับเป็นภาพคุณหญิงอุ่นที่ทุกข์ทรมาน ชาลินีออกอาการหวาดหวา
“บ้าจัง อยู่ดีๆ ฝันถึงคุณยายได้”
ชาลินียกมือลูบหน้า แล้วมีแสงประกายแวบหนึ่งมากระทบหน้า เล็กๆ ชาลินีเปิดหน้าหันไปดู
เห็นปิ่นท่านชายวางอยู่หัวเตียง ชาลินีคลายยิ้ม มือชาลินีไปหยิบปิ่นมาดู ชื่นชม แทนสายตาชาลินีที่ปิ่น
“ปิ่นท่านชายนี่เอง”
ชาลินีใคร่ครวญครุ่นคิด
นึกถึงร่างที่ยืนยืนเห็นเป็นเงาดำ ชาลินีเพิ่งนึกออกว่า ร่างนั้นเหมือนผู้ใด หล่อนรำพึงออกมา
“ท่านชายวสวัต” แต่แล้วกลับขำความคิดตัวเอง “บ้า..เก็บเอาท่านชายไปฝันอะไรไม่รู้บ้าๆได้
ชาลินีล้มตัวลงนอนตะแคง มือยังคงกำปิ่นวางแนบหมอน มองปิ่นแล้วลืมตาฝันหวาน ถึงท่านชายที่ยิ้มทรงเสน่ห์มาให้ และตอนท่านชายสอดหมอนรองให้นั่ง ตอนเข้ามาในห้องเก็บของโบราณ ตู้ที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับของเก่า ชาลินีตะลึง หันมองท่านชายที่ยิ้ม
นึกขึ้นมาแล้วชาลินียิ้มหวาน “ท่านชาย” ร่างงามระทดระทวย ระบายลมหายใจฝันหวาน ลูบคลำปิ่นเบาๆ
“ถ้าของทั้งหมดนั่นเป็นของเรา พร้อมๆ กับหัวใจของท่านชายเราจะมีความสุขสักขนาดไหน” หล่อนยกปิ่นมาจูบเบาๆ สุขล้น “ท่านชายวสวัต” ชาลินีระบายลมหายใจ หลับตาลงช้าๆ

ชาลินีนอนหลับตากำปิ่นแน่น เงาดำของนายนิรยบาลเข้ามาชะโงกหน้าเหนือร่างชาลินีที่เริ่มกระสับกระส่าย ใบหน้านายนิรยบาลตนหนึ่งชะโงกมองชาลินีจนใกล้ เปล่งเสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์
ชาลินีกระสับกระส่าย มีมือดำๆ มือหนึ่งกางมองเหมือนกรงเล็บเลื่อนเข้าจะขยุ้มหน้าชาลินี
เสียงท่านชายดังก้องขึ้น “กลับไป”
หมู่มือสีดำเหล่านั้นชะงัก ท่านชายก้าวออกมาจากมุมมืดดุเบาๆ “ยังไม่ถึงเวลา และไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า!”
เตียงที่ร่างชาลินีนอนอยู่ มีนายนิรยบาลและท่านชายยืนอยู่ปลายเตียง เงาร่างนายนิรยบาลสามคนนั้น ก้มหัว ถอยกายแวบหายไป
ท่านชายเดินสุขุมมาหยุดตรงหัวเตียงปรายตามองชาลินี แววตาเยาะหยัน กระซิบอย่างเหี้ยมเกรียมในสีหน้าอันเยือกเย็น
“หลับให้สบายใจ ฝันถึงความสุขสนุกสบายที่เจ้าปรารถนาให้เต็มที่ แล้ววันหนึ่งเราจะพบเจ้าโดยสมบูรณ์ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่า...เราคือใคร”

ชาลินีที่ขมวดคิ้วนิ่วหน้ากระสับกระส่ายหนัก เริ่มผ่อนคลายลง และแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มอิ่มเอม สุขสม

อ่านต่อหน้า 2

เงา ตอนที่ 5 (ต่อ)

ชาลินีฝันหวาน ว่าได้แต่งงานกับท่านชายวสวัตในวัง ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ทั้งอิศรา คุณหญิงเพ็ญ นายพลบัญชา และญาติคนอื่นๆ ยืนยิ้มอยู่สองข้างทางเดินในห้องโถง

ชาลินีก้าวเข้ามาในชุดเจ้าสาวแสนสวย ทุกคนปรบมือให้ตามรายทาง ชาลินีเดินขึ้นไป ท่านชายวสวัต ยืนยิ้มหล่อจัด รออยู่ เมื่อชาลินีใกล้ถึงท่านชายก็ยื่นมือมารับ ชาลินีเดินเข้าสู่วงแขนของท่านชายในขณะที่คนอื่นๆ ปรบมือให้อย่างยินดี

ชาลินียิ้มพรายอย่างมีความสุขล้น หลับลึก
ร่างท่านชายยืนตระหง่านค้ำหัว ยืดกายตรง หัวเราะเยาะหยันดังกึกก้องในความมืด ก่อนจะหายวับไป ชาลินีหลับพริ้มด้วยความสุข

ในวันต่อมา เสียงอิศราดังลั่นบ้าน “ผมไม่เชื่อ”
ไม่เท่านั้นอิศราทุบโต๊ะปัง ลุกยืนพรวดอาละวาด
ทนายวันชัยนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ญาติคนอื่นๆ นั่งถัดไป คุณหญิงเพ็ญเองก็ตกใจ ชาลินีกลับเฉยๆ
“ผมไม่เชื่อว่าคุณย่าจะเป็นคนเห็นชอบกับพินัยกรรมฉบับนี้”
อิศราเดินมาคว้ากระดาษพินัยกรรมชูอย่างเดือดดาล
“คุณย่าเป็นอัมพาต ใครจะพิมพ์ยังไง แล้วก็แค่ประทับรอยนิ้วมือคุณย่าลงไปก็ได้”
นายพลบัญชาปราม “พูดระวังหน่อยนายอิศ เดี๋ยวคุณวันชัยเขาจะฟ้องเอาได้นะ”
อิศราฮึดฮัด โยนเอกสารลงโต๊ะอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน เดินออกจากโต๊ะไปเท้าสะเอวหันหลังให้ทุกคน ร่างสูงสั่นสะท้าย ดูออกว่าโกรธจัดเพียงใด
“คุณแม่ตัดขาดคุณเล็กไปนานแล้ว แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ให้พูดถึง แล้วมันเรื่องอะไรคุณแม่ถึงจะยกบ้านและสมบัติทั้งหมดในบ้านให้คุณเล็ก” คุณหญิงไม่อยากเชื่อ
วันชัยเน้นคำ “หรือ ทายาทครับ...ผมว่าท่านก็ยุติธรรมดี เงินสด แบ่งกันไปในเครือญาติ เครื่องเพชรให้คุณหญิงและคุณชาลินี ที่ดิน ตึกแถวที่เก็บค่าเช่าให้คุณอิศรา แค่ยกเว้นแค่บ้าน และสมบัติข้าวของทุกอย่างในบ้านทุกชิ้น ยกให้คุณเล็ก...หรือทายาท”
อิศราหันขวับมาสวนคำอย่างรุนแรง “แค่บ้าน เฮอะ ที่ดิน บ้าน ข้าวของในบ้าน ราคาเท่าไหร่..” เขาจ้องหน้าทนายวันชัยเขม็ง “ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ก็ต้องมีคนเสี้ยมคุณย่า”
วันชัยดุ “ผมเป็นทนายของท่านไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรด้วย นอกจากทำตามหน้าที่ ท่านเป็นคนพูดว่า...ฉันบาปเหลือเกิน ขอให้ฉันแก้ความผิดที่ฉันเคยทำมาบ้าง ท่านทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ ท่านจึงไม่ยอมให้เปิดเผยพินัยกรรม จนกว่าจะสวดศพครบ 7 วัน และจะไม่ให้มีการแบ่งสมบัติใดๆ จนกว่าจะครบร้อยวันและคุณเล็กหรือทายาทมาเซ็นรับมรดก” อิศราสบถออกมาอย่างคับแค้นใจ “บ้าที่สุด”
คุณหญิงตกใจมาก “อะไรนะ สมบัติอื่นก็แบ่งไม่ได้จนกว่าคุณเล็กจะมารับมรดกบ้าน”
นายพลถามขึ้น “แล้วใครจะเป็นคนตามคุณเล็ก”
“ผมรู้จักบ้านคุณเล็ก” วันชัยเน้นคำตอนท้าย “และทายาทแล้ว”
“อ้อ รู้จักบ้านแล้วด้วย อย่าให้รู้นะว่าสมรู้ร่วมคิดกัน” อิศราเยาะ
วันชัยหัวเราะ “ถ้าผมทำอย่างนั้นได้ คงมีคนเสียใจยิ่งกว่านี้ ผมลาล่ะ”
ทนายวันชัยเดินออกไปเลย อิศราหงุดหงิดงุ่นง่าน พาลพาโล ร้องออกมาเต็มเสียง
“บ้าที่สุด คอยดูนะพ่อจะขนให้เกลี้ยงบ้าน เลาะฝาได้ พ่อจะเลาะออกให้หมด ให้เหลือแต่โครง อยากได้เอาไป”
อิศราเดินปึงปังออกไป คุณหญิงเพ็ญไม่พอใจพินัยกรรมเช่นกัน นายพลบัญชาและคนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมา
อิศราเดินออกมาในสวน โกรธเอามากๆ ก่อนจะหันไปดูตัวบ้าน สีหน้าคั่งแค้นและเจ็บในหัวใจจนน้ำตาคลอ ระบายออกมาอย่างกราดเกรี้ยว
“คุณย่า ทำกับผมอย่างนี้ได้ยังไง”
ชาลินียิ้มๆเดินตามหลังมา
ชาลินีเดินหัวเราะเข้ามาหา “เธอนี่อาละวาดไปได้ คุมสติหน่อยซี่”
“บ้านนี้ มันเป็นของผม คุณย่าประกาศด้วยปากท่านเองว่าจะให้ผม คุณก็รู้”
“ทุกคนก็รู้ทั้งนั้นแหละ แต่เธอจะโมโหโทโสไปก่อนทำไมเล่า เฉยๆก่อนสิ คุณเล็กอาจจะตายไปแล้วก็ได้” ชาลินีว่า
“แต่ก็คงมีทายาท ไม่งั้น ทนายวันชัยคงไม่ทำท่ามั่นใจซะขนาดนั้นคอยดูนะ ผมจะไม่มีวัน ยอมให้ใครหน้าไหนก็ไม่รู้ มาเชิดหน้าครอบครอง บ้านของผมไปได้หรอก”
อิศราพลุ่งพล่าน คับแค้นใจ และโกรธถึงขีดสุด
กายมทูตเกาะมองอยู่ ก่อนจะโบยบินออกสู่ท้องฟ้า

ท่านชายเดินออกมาหยุดยืนตระหง่าน สง่างามอยู่มุมหนึ่งในวัง กายมทูตบินมา ท่านชายมองกา เหมือนรับฟัง
“เลือกเส้นทางชีวิตของเจ้าให้จงดี...อิศรา”
ท่านชายแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

อิศราอยู่ในห้องน้ำ ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลราดรดร่างกำยำอันเปลือยเปล่าของเขา ชายหนุ่มยกมือเท้าผนังก้มหน้านิ่ง ใบหน้ายังคงหมกมุ่นครุ่นคิด ถึงชีวิตที่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติ ถูกคุณหญิงอุ่น กดขี่ข่มเหงน้ำใจตลอดเวลา ยิ่งคิด อิศราก็ยิ่งแค้นใจและเสียใจ หลายคำพูดบาดลึกเสียดแทงใจ ผุดพร่างขึ้นมาในห้วงคิด
“แกรู้ไหม ว่าไอ้เครื่องเพชรเหล่านี้ มันหมายถึงอะไร”
อิศราเอาแต่อึกอัก หญิงชราบอก
“เงินไง และเงินก็คืออำนาจ คือบารมี ที่จะทำให้คนต้องยกมือไหว้ ไอ้ใบปริญญากระดาษใบเดียวนั่นน่ะ ไม่ได้ช่วยให้ใครมานับถือแกหรอกนะ ถ้าแกไม่มีเงิน...ไม่มีสกุลรุนชาติ”
“เพราะงั้น แกต้องดูแลย่า ทำตามใจย่าให้เหมือนพ่อของแกถ้าแกไม่เชื่อฟังย่า ย่าจะเฉดหัวแกไปจากบ้านนี้”
อิศราตกใจ รู้สึกผิด “คุณย่าครับ ผม... ผมก็เชื่อฟังคุณย่าเสมอนะครับ”
“ย่ารู้ลูก...ย่ารู้” ย่าอุ่นดึงอิศรามาตบหัวเบาๆ เหมือนเขาเป็นสัตว์เลี้ยงกระนั้น “เพราะถ้าแกขาดย่าไปเสียคน แกก็เหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่งแล้วย่าจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับแกได้ยังไง...ย่ารักแกออก” ดวงตาหญิงชราแห้งผาก ไม่ได้รักอิศรานักหนา “แกก็รักย่าใช่ไหม อิศรา”
“รักสิครับคุณย่า”
อิศราคับแค้นใจ ปลดปล่อยด้วยการร้องไห้เสียงดัง แล้วชกกำแพงเปรี้ยง จนแผ่นหลังกระเทือนด้วยแรงสะอื้น
น้ำตาอิศราไหลรวมกับสายน้ำที่ไหลราดรดใบหน้า โดยที่กำแพงมีรอยเลือดจากกำปั้นไหลลงมาที่ผนังห้องน้ำ

เวลานั้น ดวงแก้วอ่านข้อความจากพินัยกรรมในมือ เงยหน้าขึ้นมาพิศวง เจริญขวัญชะโงกมา ดวงแก้วส่งให้เจริญขวัญอ่าน
ทนายวันชัยนั่งอยู่ตรงหน้าแม่ลูก
“คุณหญิงท่านตั้งใจว่าอย่างแน่วแน่ก่อนตาย ที่จะยกบ้านนี้ให้คุณเล็ก หรือทายาท” วันชัยมองเจริญขวัญ “ซึ่งก็คือ คุณเจริญขวัญ”
เจริญขวัญอ้ำอึ้ง มองมารดา

ดวงแก้วมองเจริญขวัญ คล้ายจะให้ลูกเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง เจริญขวัญประหลาดใจ แกมตื่นเต้น

ทนายวันชัย กลับมาถึง คุยอยู่กับสองคนในห้องโถงบ้านคุณหญิงอุ่น

คุณหญิงเพ็ญเอ่ยขึ้น “ว่าไงนะ เขาขอคิดดูก่อน”
ทนายวันชัยบอก “ครับ”
อิศรายืนกอดอกอยู่ มีพลาสเตอร์ปิดที่กำปั้น หัวเราะหึๆ เครียดหนัก
“ลูกเมียอาเล็กของคิดดูก่อน หรือว่า อาทนายยังหาตัวแสดงมารับบทนี้ไม่ได้กันแน่ครับ”
“คุณอิศรา อย่าอคติกับผมให้มากนักเลย”
“ก็มันน่าสงสัยไหมล่ะครับ อาเล็กตายไปแล้ว อาเองก็ทราบเรื่องมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ยักจะบอกตั้งแต่แรก แต่พอวันนี้ มาบอกว่า พบลูกเมียคุณอาเล็กแล้ว แต่เขายังยื้อรออยู่ จะให้ผมคิดยังไง”
“คุณจะคิดยังไงก็แล้วแต่ แต่ผมทำหน้าที่ของผมเรียบร้อยแล้วตอนนี้ก็แค่รอ” วันชัยวางกระดาษบนโต๊ะ “ขอเรียนว่าผมจะทำหน้าที่ให้คุณหญิงท่านเป็นครั้งสุดท้าย นี่ครับที่อยู่ของครอบครัวทายาทของคุณเล็ก ผมลาล่ะ”
ทนายวันชัยออกไป
อิศราหงุดหงิดหนัก คุณหญิงเพ็ญหยิบกระดาษมาดู
“อิศรา อาว่าเธอต้องติดตามสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเองนะ ถ้าเผื่ออีตาทนายคิดไม่ซื่อขึ้นมา เธอจะชวดได้บ้านที่ควรเป็นสิทธิ์ของเธอนะ”
คุณหญิงเพ็ญยื่นกระดาษให้ อิศราหน้าเครียด
ที่ไร่เจริญขวัญวันต่อมา
ผู้แสดงเจริญขวัญ ดวงแก้ว ตาพุด คนงานในไร่
เจริญขวัญกำลังเย็บเสื้ออยู่ชานบ้าน มองออกมา ดวงแก้ว อยู่ที่รถกระบะหน้าบ้าน สั่งการให้ตาพุดและคนงานยกลังผลไม้ขึ้นรถ ดวงแก้ว หยิบหมวกฟางที่สวมบนศีรษะมาพัดให้ตัวเองไล่ความร้อนและความเหนื่อย
เจริญขวัญมองแม่อย่างซาบซึ้งความรักและความลำบากของแม่ น้ำตาคลอ ครุ่นคิด

ท่านชายวสวัตให้การต้อนรับ และมองอิศราที่กระแทกตัวนั่งพิงพนักโซฟา ยืดขาเหยียดยาว หงายหน้ามองเพดาน
“ผมไม่มีที่จะซุกหัวนอนแล้วครับ มันไม่ยุติธรรมเลย”
“มนุษย์ชอบอ้างว่าอะไรๆ ก็ไม่ยุติธรรม ถ้าตัวเองไม่พอใจ”
“ผมต้องถูกเฉดหัวออกจากบ้านที่คุณย่าเคยบอกว่ายกให้ แล้วไอ้อีที่ไหนไม่รู้มันจะได้ครอบครอง มันไม่ยุติธรรมแน่ๆ อยู่แล้วครับ”
แววตาท่านชายวสวัตเปล่งประกายความโกรธขึ้นมาวูบหนึ่ง “ไอ้อีที่เธอว่า เขาเป็นญาติของ
เธอนะ”
“นั่นแหละครับ” อิศราแค่นหัวเราะ “แล้วยังมาทำเล่นตัว ขอตัดสินใจว่าจะเอาหรือไม่เอามรดกชิ้นนี้ ผมล่ะอยากจะเห็นหน้ามันนัก”
“แล้วเธอคงจะได้เห็น” ท่านชายวสวัตซ่อนความโกรธในใบหน้ายิ้มบางๆ “สิ่งที่ดีที่สุดมักต้องได้พบกับสิ่งที่เลวที่สุดเสมอ”
“ท่านชายว่าอะไรนะครับ”
“แล้วเธอคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะ”
อิศรานิ่งนึก แล้วลุก เหมือนคิดได้ “พรุ่งนี้ ท่านชายว่างไหมครับ”
ท่านชายหันมองหน้าอิศราเป็นเชิงถามแต่รู้ล่วงในใจอิศราอยู่แล้ว
“ไปเป็นเพื่อนผม ไปดูหน้าทายาทของอาเล็กกับผมได้ไหมครับ”
ท่านชายวสวัตมองหน้าอิศรา เหมือนความนัยว่าในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง ที่ทั้งคู่ต้องเจอกัน
อิศรามองท่านชายอย่างหมายเป็นที่พึ่งทางใจ ให้ไปช่วยดับอารมณ์ร้อนแรง สับสนของตน

รุ่งเช้า ชาลินีเดินคุยมือถือกับอิศราลงบันไดมา มีผ้าพันคอผืนสวย ที่มีเข็มกลัดติดกับผ้านั้นอยู่ สีหน้าหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อได้ฟัง
“ว่าไงนะ เธอจะไปบ้านอาเล็กกับท่านชาย มารับฉันไปด้วยสิ”
อิศราสวยแว่นดำ กำลังขับรถมาตามทาง คุยสายด้วยบลูทูธ
“ไม่ทันแล้ว ผมรับท่านชายออกมาแล้ว”
อิศราปรายมองที่นั่งข้างคนขับ เห็นท่านชายสวมแว่นดำนั่งนิ่งอยู่
“แหม เธอนี่นะ” ชาลินีแกล้งแหย่เล่น “โกรธนะเนี่ย”
อิศราหัวเราะขัน “น่า...เท่านี้นะ” กดปิดสายไป

ส่วนชาลินีเสียดาย หงุดหงิด
“บ้าจริง แทนที่จะชวนเราไปด้วย จะได้อวดปิ่น” ชาลินียกมือแตะปิ่น
สาวใช้เดินเข้ามาหา “คุณชาลินีคะ มีคนมาขอพบค่ะ”
ชาลินีหันมามอง คนใช้ขยับออกข้าง เผยให้เห็นร่างเอกดนัยที่ตามเข้ามาหยุดมองชาลินี
สภาพเอกดนัยทรุดโทรม ใบหน้าหมองเศร้า มองมายังชาลินีอย่างรันทด ชาลินีชะงัก ตกใจ

ไม่นานต่อมาชาลินีหน้าตึงเดินเร็วรี่ออกมาหยุดยืนในสวนหน้าบ้าน เอกดนัยตามมา
“เธอมาที่นี่ทำไม”
“ชา...เอก ทนไม่ไหว” เอกดนัยขยับจะจับแขน “ชา...”
“ปล่อยนะ นี่เอก พี่พูดด้วยดีๆ แล้วนะ ฟังกันบ้าง ต่อไปนี้ไม่ต้องมาที่บ้านนี้อีกเลยนะ” น้ำเสียงชาลินีกราดเกรี้ยวแล้ว
“ชา เอกจะไม่กลับ ถ้าชาไม่ยอมไปกับเอก”
“อะไรอีกล่ะ”
“เอกขอร้อง เอกมีอะไรจะอวดชา ให้โอกาสเอกอีกสักครั้ง นะครับ”

ชาลินีมองหน้าเอกดนัย อย่างหงุดหงิด

รถอิศราแล่นมาตามถนนย่านชานเมืองแล้ว อิศรามองสองข้างทางอย่างคุ้นๆ สายตา

“เอ แถวนี้ ผมเคยมากับทนายวันชัยหลายปีก่อนนี่นา งานนี้มีอะไรทะแม่งๆ แน่ๆ”
ท่านชายวสวัตถาม สายตามองไปเบื้องหน้า “ทำไม เธอไม่เชื่อว่าคนที่เราจะไปพบจะเป็นทายาทตัวจริง”
“หรืออาจไม่มีตัวตนก็ได้ครับ ไม่งั้นจะมายื้อรอเวลาอะไร ผมถึงต้องมาตามดูให้รู้เรื่อง”
“แล้วถ้าเขาพบเขาล่ะ”
“ผมก็ต้องหาทางหนีทีไล่ไว้”
“แปลว่ายังไงก็จะไม่ยอมยกบ้านให้เขา” ท่านชายถามอีก
“ท่านชายครับ จะว่าผมเห็นแก่ตัวก็ยอมล่ะ บ้านไม่ใช่ราคาล้านสองล้าน เรื่องอะไรผมจะยอมยกให้คนอื่น”
ท่านชายปรายมองอิศราที่ออกอาการหงุดหงิด ด้วยดวงหน้าเรียบเฉย

เวลานั้นดวงแก้วกำลังจะออกไปถวายเพลหลวงตาที่วัด เจริญขวัญตามมาส่ง
“หนูอยู่คนเดียวได้นะลูก แม่ไปวัดถวายอาหารเพลแล้วแม่จะรีบกลับ”
“ได้ค่ะแม่ ถ้าไม่เพลียหนูจะไปด้วย”
“พักอยู่บ้านน่ะดีแล้ว มีอะไรโทรหาแม่ทันทีนะ”
“ค่ะแม่”
ดวงแก้วเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย เจริญขวัญเดินมาตรงระเบียง ดูกระถางดอกไม้หน้าบ้าน หยิบกรรไกรตัดใบแห้งทิ้ง สีหน้าเจริญขวัญอิ่มเอม ตัดแต่งใบไม้อย่างมีความสุข
เสียงรถแล่นเข้ามา เจริญขวัญได้ยินนึกว่าเป็นรถแม่
“อ้าว แม่ลืมอะไร”
เจริญขวัญวางกรรไกรลุกขึ้น หันมา ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
รถอิศราแล่นมาจอด ประตูรถด้านคนขับเปิด อิศราสวมแว่นดำก้าวลงมา ดึงแว่นออกช้าๆ มองหน้าเจริญขวัญ
เจริญขวัญมองอิศราทั้งสองต่างนิ่งนึก
อิศรานึกถึงตอนที่เจริญขวัญลุกจากจักรยานหันมา ส่วนเจริญขวัญนึกภาพอิศราที่เป็นคนขี้หงุดหงิด
ทั้งสองคนต่างจำกันได้
“คุณ”
อิศราอึดอัดใจขึ้นมาทันทีเมื่อนึกว่าเธออาจเป็นทายาทคุณเล็ก
“เอ้อ ที่นี่บ้านของคุณ...เอ้อ คุณอาดวงแก้ว ใช่ไหม” เขาทอดเสียงสุภาพแต่ประหลาดใจในที
“ใช่ค่ะ แต่ แม่ไม่อยู่ค่ะ”
“แม่...คุณคือ...ลูกสาว คุณอาเล็ก...ที่ว่าชื่อเจริญขวัญ”
เจริญขวัญเริ่มเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น “ใช่ค่ะ”
อิศราอึ้งไปถนัดตา เมื่อรู้ชัดว่าทายาทคุณเล็กมีตัวตน ก่อนได้สติก้มบอกในรถ “ใช่บ้านนี้ อย่างที่ท่านชายเดาจริงๆครับ”
เจริญขวัญสะดุดใจกับคำว่าท่านชาย มองไปในรถ
ประตูรถเปิดออก ท่านชายวสวัตก้าวลงมา เจริญขวัญมอง
ท่านชายวสวัตสวมแว่นดำ แต่ดวงหน้าดูอ่อนโยนละไม เจริญขวัญมองอย่างพิศวง
แสงแดดกระทบเบื้องหลังท่านชายจนเหมือนมีแสงสะท้อนจากแผ่นหลัง
เจริญขวัญมองชายหนุ่มสองคนที่ยืนข้างรถ คนหนึ่งมีสีหน้าอึดอัดใจ อีกคนหนึ่งสง่างามอ่อนโยนยิ้มละมุน

สามคนผู้เคยมีชีวิตผูกติดยึดโยงกันแต่ชาติภพก่อนนิ่งงันกันไป สรรพเสียงดูสงัดเงียบไปในบัดดล

แว่นตาดำของท่านชายวางอยู่บนโต๊ะ ท่านชายนั่งอยู่แล้วตรงโต๊ะมุมระเบียงสวย อิศราพลุ่งพล่าน ขยับมากระซิบ

“ท่านชายครับ นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ” หันไปมองให้แน่ใจว่าเจริญขวัญจะไม่ได้ยิน “ผู้หญิงคนนี้ผมเคยเจอเมื่อหลายเดือนก่อน” อิศราถอนใจอย่างแรง “ไม่ค่อยน่าภิรมย์เท่าไหร่ด้วย”
ท่านวสวัตฉงน “ยังไง”
“ก็ตอนนั้น..รถผมเสีย ร้อนก็ร้อน ผมเลยหงุดหงิดมากไปหน่อย”
ท่านชายยิ้มบางๆ

เจริญขวัญพูดมือถืออยู่กับแม่ อย่างเป็นกังวล
“เขาบอกว่าเป็นญาติของพ่อค่ะแม่ ค่ะ แม่รีบกลับมาเร็วๆ นะคะ”
เจริญขวัญกดปิดมือถือ หันไปรินน้ำใส่แก้ว

เจริญขวัญยกถาดออกมาวางบนโต๊ะ หันมาทางท่านชาย หยิบแก้วน้ำจากถาดส่งให้
“เชิญค่ะ น้ำฝนนะคะ บ้านเรารองไว้ดื่ม”
ท่านชายยิ้ม รับแก้วน้ำโดยไม่ให้สัมผัสมือเจริญขวัญ
“ขอบคุณ”
เจริญขวัญยิ้มก่อนหยิบอีกแก้ว ส่งให้อิศรา
“เชิญค่ะ”
อิศราจะรับ เจริญขวัญยิ้ม พูดเย้า “รับรองว่าสะอาดค่ะ”
อิศราเก้อไปนิดๆ “เอ้อ...ขอบคุณครับ” แล้วเสหัวเราะ “ผมขอบคุณตอนนั้นด้วยที่เคยช่วยผมวันที่น้ำมันหมด”
เจริญขวัญยิ้ม ลงนั่งตรงข้ามสองหนุ่ม

สามคนเงียบไปชั่วครู่ เจริญขวัญ อิศรา เก้กังๆ ท่าทีอึดอัด ส่วนท่านชายกิริยาสบายๆ มองทั้งสองคน
“เอ้อ บ้านน่าอยู่นะครับ” อิศราถามแก้เก้อ
“ขอบคุณค่ะ คุณพ่อเป็นคนออกแบบค่ะ”
“อ้อ...” อิศราเริ่มลวงถาม “อาเล็กน่ะเหรอครับ”
“ค่ะ”
ท่านชายกลั้นขำท่าทีอิศรา เพราะเข้าใจความคิด
“ทำไมไม่ขยายความ แนะนำตัวเองอีกหน่อยล่ะอิศรา”
เจริญขวัญมองอิศราสีหน้าฉงน อิศราอึดอัดอยู่ครู่หนึ่งหาทางออก
“จริงของท่านชาย ผมขอแนะนำตัว ผมชื่ออิศรา คุณพ่อผม เป็นพี่ของคุณพ่อคุณ ผมก็น่าจะมีศักดิ์เป็นพี่ของคุณนะ”
ท่านชายหยอกเย้า “คือเป็นญาติอย่างถูกต้อง”
“ก็...น่าจะเป็นอย่างนั้นครับท่านชาย” อิศราบ่งบอกความนัยบางประการ
ท่านชายนึกสนุกแหย่อีก “สบายใจแล้วสินะ”
อิศรารู้ทัน จริงๆ คือไม่สบายใจ แต่ก็แนะนำ คล้ายประชดกลับ “ครับ! และท่านนี้คือ...ท่านชายวสวัต ท่านรอบรู้ทุกอย่างในหัวใจคน”
ท่านชายหัวเราะขัน “เธอรู้จักฉันดีทีเดียว อิศรา”
เจริญขวัญมองทั้งสองคนที่พูดเหมือนมีความนัยที่ตนไม่เข้าใจ แม้จะอึดอัด แต่ก็พนมมือไหว้ท่านชายอย่างสวยงาม
ท่านชายรับไหว้อย่างอ่อนโยน อิศรามองอยู่
“แม่..ไปวัดค่ะ เดี๋ยวคงกลับ”
“เลี้ยงพระเพล น่าจะเรียบร้อยแล้ว”
เจริญขวัญมองท่านชายกึ่งประหลาดใจ ว่าตนบอกตอนไหนว่าแม่ไปเลี้ยงพระ
“นี่เกือบเที่ยงแล้ว ใกล้หมดเวลาที่พระท่านฉันเพล” ท่านชายว่า
“อ้อ...ค่ะ”
เสียงรถแล่นเข้าทุกคนหันไปมองหน้าบ้าน
ดวงแก้วจอดรถ เปิดประตูลงมากับยายปลั่ง
เจริญขวัญผุดลุก ดีใจปนโล่งใจ “แม่มาแล้วค่ะ”
ดวงแก้วปิดประตูรถ มองเข้ามาตรงระเบียง
อิศรากำลังลุกขึ้นยืนมองมา ดวงแก้วมาถึง มองท่านชายเหมือนคลับคล้ายคลับคลาเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน

สามคนย้ายเข้านั่งในห้องโถง บนโต๊ะมีรูปคุณเล็กถ่ายกับครอบครัวคุณหญิงอุ่น อิศรารับมาดู อึ้งอีกหนึ่งรอบ เจริญขวัญเป็นทายาทชัดเจน
“ที่บ้านผมก็มีรูปนี้” ชายหนุ่มเสยิ้มชี้คุณใหญ่ในรูป “นี่คุณพ่อผมครับ”
ดวงแก้ว เจริญขวัญนั่งใกล้กัน ตรงข้ามอิศรา
บนโต๊ะตอนนี้มีจานใส่ข้าวเหนียวมะม่วง และจานแบ่งวางอยู่
“คุณใหญ่” ดวงแก้วยิ้ม “คุณเล็กเคยเล่าว่า คุณใหญ่เป็นคนใจดี คนที่คุณเล็กคิดถึงมากที่สุดอีกคน คือ พี่ใหญ่คุณพ่อคุณนี่ล่ะค่ะ”
อิศราอึ้ง อึดอัดขึ้นมาอีก รู้สึกผิดนิดๆ ยิ้มเก้อๆ
เจริญขวัญ มองอิศรา แล้วแลเลยไปที่ท่านชายวสวัต ที่ออกมายืนเอามือไขว้หลังมองธรรมชาติที่ระเบียงหน้าบ้าน เจริญขวัญมองด้านหลังท่านชายราวต้องมนต์อย่างพิศวงในความสง่างามและกระแสดึงดูดบางอย่างที่ประหลาด เสี้ยวหน้าของท่านชายแม้สง่างามแต่มีร่องรอยหมองเศร้า
“ขวัญ ตักแบ่งขนมใส่จานไปให้ท่านชายหน่อยสิลูก”
“ค่ะแม่”
เจริญขวัญตักขนมใส่จานแบ่ง

ต่อมาเจริญขวัญถือจานเล็กแบ่งใส่ผลไม้เดินมาหาท่านชาย ที่ยืนอยู่ เบื้องหลังยังคงเป็นอิศรานั่งคุยกับดวงแก้ว
“เอ้อ...ท่านชายคะ”
ท่านชายวสวัตหันมา แม้ดวงหน้าเรียบแต่มีแววอ่อนโยนละมุนละไมให้เห็น
“แม่..ให้นำ..ขนมมาให้ค่ะ”
“ปกติฉันไม่กิน..ของพวกนี้ แต่ก็ขอบใจจ้ะ”
แม้ไม่ทาน แต่ท่านชายรับจานมาถือไว้ ด้วยท่วงท่าเป็นสุภาพบุรุษ เจริญขวัญขัดเขิน
“ที่นี่น่าสบาย เธอคงมีความสุขดี”
เจริญขวัญยิ้มมองรอบๆ บ้าน สุขใจจริง “ค่ะ...เป็นเพราะแม่ค่ะ ที่ทำให้เรายังความสุขกันได้อยู่ แม้ว่า” ถึงตรงนี้เจริญขวัญคลายยิ้ม ชะงักว่าตัวเองพูดเยอะไป ยิ้มขัดเขิน
ท่านชายยิ้ม “เล่าต่อสิ ฉันอยากฟัง”
เจริญขวัญออกอาการขัดเขิน “เรื่องของขวัญ ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอกค่ะ”
“ใครว่า เรื่องของเธออาจจะสนุกที่สุด สำหรับคนที่มีทุกข์ที่สุดก็ได้”
เจริญขวัญมองท่านชายอย่างประหลาดใจ ถามด้วยสายตา
ท่านชายหัวเราะเบาๆ “เธอคงไม่คิด ว่าคนรูปลักษณ์อย่างฉันจะมีความทุกข์”
เจริญขวัญเก้อไป “เอ้อ...ไม่ทราบสิคะ”
ท่านชายยิ้ม “อย่าตัดสินคนจากรูปภายนอก สิ่งที่งามที่สุดอาจมีเรื่องไม่น่าชื่นชมเท่าไหร่นักภายใน...ใจคนต่างหากที่เป็นเครื่องตัดสิน”
“แต่ใจคนก็ปรับเปลี่ยนผันแปรตลอดเวลาไม่ใช่เหรอคะ ลุงพุด หัวหน้าคนงานที่ไร่เราแกชอบร้องเพลง ใจนางเหมือนดั่งทางรถ ช่างคดเหลือจะคะเน”
ท่านชายฟังนิ่งไปครู่ เจริญขวัญชะงัก หน้าแดงคิดว่าตัวเองพูดมากไป

แต่แล้วท่านชายก็หัวเราะขึ้น เสียงดังจนดวงแก้วและอิศราหันมองมา
อิศราจ้องท่านชายที่ยิ้มกวางหัวเราะเสียงดัง สีหน้าของเขาประหลาดใจ ด้วยไม่เคยเห็นมาก่อน
เห็นท่านชายยิ้มกว้าง เจริญขวัญพลอยยิ้มตามออกมา หายขัดเขินขึ้น กลายเป็นนึกขำตัวเอง

อิศรามองภาพนั้นอย่างประหลาดใจ

อ่านต่อหน้า 3

เงา ตอนที่ 5 (ต่อ)

อีกฟากหนึ่ง เอกดนัยเปิดประตูห้องพักในคอนโด เดินนำชาลินีเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ ในขณะที่ชาลินีตามมาอย่างเสียไม่ได้ ในห้องมีแจกันใส่ดอกลิลลี่วางเด่นอยู่กลางห้องโซนรับแขก

“เข้ามาสิจ้ะ ห้องนี้ เอกผ่อนไว้นานแล้ว ตกแต่งไปบ้างกะว่าจะอวดชาตอนมันเสร็จทุกอย่าง ตอนนี้เอกไม่ได้อยู่กับพี่อรแล้วนะ เอกย้ายมาอยู่ที่นี่” เอกดนัยดื่นเต้น ลนลนจับนั่นจัดนี่ให้เข้าที่ พยายามอวดจนดูน่าสงสาร “สวยถูกใจชาไหมจ๊ะ”
ชาลินีมองรอบห้อง และเผลอยกมือขึ้นแตะปิ่นล้ำค่าที่เป็นเข็มกลัดติดผ้าพันคอนั้น
“ก็...กะทัดรัด...ดี”
เอกดนัยหน้าเสีย “มันอาจจะเล็กไปหน่อยสำหรับชา แต่ว่า…”
ชาลินีสวนคำออกมา “เอกอยู่คนเดียวน่ะเหมาะแล้ว ไม่ต้องดูแลมาก”
เอกดนัยถูกความเศร้ากระแทกเข้าในใจอีก
“เอกต้องทำยังไงอีกเพื่อให้ชาพอใจ” ชายหนุ่มละล่ำละลัก “เอกจะไม่ให้พี่อรมายุ่งกับเรื่องของเราอีก”
“มันไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้นหรอกเอก มันอยู่ที่พี่ พี่คิดว่าพี่ควรปล่อยเอกไป เพราะว่า...พี่...พี่ไม่สามารถจะรักเอกได้มากขนาดที่พี่จะยอมแต่งงานด้วยได้”
เอกดนัยอึ้ง ตะลึงงัน
“เอกมีชีวิตใหม่ของเอกก็ดีแล้ว ต่อไปนี้ อย่ามายุ่งกับพี่อีก” ชาลีนีมองรอบห้องอีกที “โชคดีนะ”
ชาลินีหันตัว เอกดนัยที่อึ้งอยู่ได้สติ ผวาตัวเข้ากอด
“ไม่...ไม่จริง ชาจะลืมความรักของเราไปได้ยังไง”
ชาลินีฉุน “ปล่อยนะเอก”
“เรารักกัน” เอกอนัยยิ้ม พยายามจะจูบ “ชารักเอก”
เอกดนัยจะปล้ำจูบ ชาลินีผลักเต็มแรง มือของเอกดนัยควานคว้ากระชากผ้าพันคอดึงสุดแรง ผ้าส่วนที่ปิ่นกลัดไว้ถูกกระชากให้ขาดออกจากกัน ชาลินียิ่งตกใจ ยิ่งโกรธ กระชากผ้าที่มีปิ่นติดอยู่กลับคืนมา
“เธอจะพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้อีกนานแค่ไหน ชั้นพูดกับเธอดีๆ แล้วนะอย่าทำให้ชั้น...เกลียดเธอนะเอก”
ชาลินีด่าว่าอย่างรุนแรง หันตัวเดินจะออก เอกดนัยทรุดลงผวากอดเอวชาลินีร้องไห้โฮ
“ชา อย่าทิ้งเอก เอกรักชา ชาก็รู้ว่าเอกรักชามาแต่ไหนแต่ไร”
ชาลินีพยายามแกะมือออก “ปล่อย”
เอกดนัยครวญคร่ำ “ไม่มีวันที่ใครจะรักชาเท่ากับเอก เอกรักชา ตายแทนชาได้จริงๆ”
“ชั้นบอกให้ปล่อย”
มือของชาลินีกุมปิ่นที่ติดผ้านั้น ปิ่นทิ่มมือเอกดนัยจนมีเลือดซึมออกมา เอกดนัยสะดุ้งปล่อยมือ ชาลินีหลุดออกมา
“เลิกยุ่งกับชั้นซะที ได้ยินมั้ย ชั้นไม่ต้องการเธอ” ชาลินีกรี๊ดโกรธจนน้ำตาคลอ “อย่ายุ่งกับชั้นอีก”
หล่อนวิ่งพรวดออกไปเลย
เอกดนัยที่คุกเข่าอยู่ชะงักงัน โลกถล่มใส่หน้า ฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้น ยกมือข้างที่มีเลือดออกเสยผม ตะลึงงัน น้ำตาไหลเป็นทางโดยไม่รู้ตัว หมดสภาพ

เย็นย่ำ ท่านชายวสวัต อิศรา นั่งอยู่ในห้องอาหารแล้ว จานอาหารถูกวางบนโต๊ะตรงหน้าสองหนุ่มที่นั่งอยู่ เจริญขวัญ ดวงแก้ว ชวยกันวางเสิร์ฟ เป็นอาหารพื้นๆ ไข่เจียว น้ำพริกต้มจืด ปลาทอด และหมูทอด
“อาหารพื้นๆ นะคะ รับประทานกันได้ไหม” ดวงแก้มยิ้มแย้ม
“ได้ครับอาดวงแก้ว ฮื้ม...น่าทานนะครับ”
“งั้นเชิญนะคะ น้ำพริกนี่ อาทำเอง”
“อ้อ ครับ”
อิศราตักน้ำพริกช้อนโตใส่ข้าว เจริขวัญจะท้วงไม่ทันแล้ว อิศรากินเข้าไปคำแรก รสเผ็ดจัด เคี้ยวค้าง
เจริญขวัญเป็นห่วง “เตือนไม่ทันค่ะ ว่าเผ็ดมาก ทานนิดเดียวก็ได้”
อิศรายิ้มค้าง เก้ๆกังๆ เผ็ดมาก ต้องรีบยกน้ำดื่มรวดเดียว เจริญขวัญแอบขำ ดวงแก้วลอบมองท่านชายแวบหนึ่ง
ท่านชายเห็นจากหางตาว่าดวงแก้วมองจ้อง จึงเสยิ้มบางๆ ยกช้อนตักข้าวขึ้นเหมือนแตะริมฝีปากเท่านั้นก็วางช้อนช้าๆ ไม่ให้ดูผิดปกติมาก
อิศรากลืนหมดพูดได้ “เอ้อ...อร่อยครับ...ว่าแต่อาดวงแก้ว ทำไมถึงไม่ไปกรุงเทพฯ ไปดูบ้านคุณย่าเสียทีล่ะครับ”
“ที่นี่ก็ยังยุ่งๆน่ะค่ะ แล้วก็...บ้านนี้ คงเป็นของเจริญขวัญ...อาก็แล้วแต่ลูก”
ทุกคนมองเจริญขวัญเป็นตาเดียว จนเจริญขวัญขัดเขิน
อิศราปรายยิ้มทรงเสน่ห์มาให้ “คุณย่าอุตส่าห์ยกบ้านให้ทั้งที น้องขวัญ..จะไม่สนใจเลยเหรอครับ”
“นั่นสิ อิศรา อยากให้คุณไปดูบ้านใจแทบขาด” ทานชายแย้มยิ้ม
“เราไปดูกันหน่อยไหมคะแม่ ให้ลุงพุดช่วยดูไร่สักสองสามวัน” เจริญขวัญหันมาทางแม่
“ก็คงพอได้”
อิศรายิ้มกว้าง “อย่างนั้นอีกสักสองสามวัน ผมมารับนะครับ”

เจริญขวัญยิ้มกับแม่ ดวงแก้วยิ้มตอบ ลอบมองท่านชายอย่างพิศวงอยู่ ท่านชายยิ้มบางๆ แต่ดูสง่างามยิ่งนัก

ในรถที่แล่นมาตามทาง มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ สองคนคุยกันมา อิศราหน้ามุ่ย

“ได้พบทายาทที่แท้จริงเรียบร้อยแล้ว...แผนที่วางไว้จะเป็นยังไงต่อ” ท่านชายวสวัตถาม
“ตอนแรก ผมคิดว่าจะเจอแม่ลูก กะเร้อกะรัง พอเจอแบบนี้เข้า คงต้องเปลี่ยนแผนใหม่”
“เป็นแผนไหนล่ะ”
“แผนใหม่ที่สุด ถ้าท่านชายจะไม่ลงสนามด้วย” อิศรายิ้ม คล้ายนึกสนุก
ท่านชายมองออก แววชิงชัง โกรธขึ้ง ผุดขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ชั้นไม่มีวันลงสนามกับใครได้ นอกจากสนามแห่งความตาย”
อิศราหัวเราะ “งั้นก็เปิดโอกาสให้ผมนะครับ”
ท่านชายถอนใจ พูดเตือนเป็นนัย “โอกาส มีอยู่เสมอทั้งความดีและความชั่ว แต่คน ชอบเลือกโอกาสที่มักจะทำให้เสียใจในภายหลัง...ระวังแล้วกัน”
“สำหรับผม ตัดสินใจแล้ว ไม่มีวันจะเสียใจ”
ท่านชายปรายตามอง เห็นความเหิมเกริมในใจของอิศรา ทั้งจงชัง ทั้งเวทนาระคนกัน

เจริญขวัญเก็บจานบนโต๊ะ จนมาถึงจานของท่านชายวสวัต หญิงสาวเอียงคอมองประหลาดใจด้วยจานท่านชาย สะอาด มีข้าวพูน ช้อนส้อมวางเรียบร้อยเหมือนไม่เคยมีคนกิน
“สงสัยอาหารบ้านเราจะไม่ถูกปากท่านชาย”
“ทำไมลูก”
“ไม่พร่องเลยค่ะ เสียดายข้าว เดี๋ยวหนูเอาไปใส่ในหม้อข้าวอย่างเดิมดีกว่า”
ดวงแก้วชะงักคิด ประหลาดใจ นึกถึงภาพที่ท่านชายยกช้อนขึ้นแตะริมฝีปาก ดวงแก้วพิศวง แต่ไม่เอะใจมากนัก
“เอาไปให้เจ้าปุยหลังบ้านเถอะลูก อย่าเอาไปรวมกับข้าวใหม่เลย เอ้อ...เรื่องบ้านที่คุณย่าให้ หนูอยากไปดูจริงๆ เหรอลูก”
“ขวัญว่า คงเป็นบ้านเก่าอะไรสักหลังที่คุณย่าเหลือจากแบ่งให้คนอื่น เลยนึกถึงพ่อ ไปดูสักหน่อย เผื่อเราขายได้ จะได้เอามาช่วยแม่ใช้หนี้ไงคะ”
“ถ้ามีเงิน เก็บไว้เผื่อผ่าตัดลูกดีกว่า”
เจริญขวัญหน้าเบ้ “อี๋ย์..ค่อยคิดค่ะ เรื่องนั้น แม่คะ แม่ว่าญาติๆ ของพ่อเขาจะ...คิดยังไงกับเราคะ”
“ดูจากที่คุณอิศราอุตส่าห์ดั้งด้นมาหาถึงนี่ แม่ว่า...คนอื่นๆ ก็คงไม่ต่างกัน ตอนเด็กๆ คุณพ่อเล่าว่าติดพี่ชายคือคุณใหญ่มาก ตอนที่พ่อแม่แต่งงาน คุณใหญ่พ่อของคุณอิศราก็ยังแอบอุตส่าห์ส่งจดหมายมาแสดงความยินดี...เสียดาย เธอจากไปเร็ว”
“งั้น คุณพ่อกับคุณลูก ก็คงใจดีคล้ายๆ กันนะคะแม่”
เจริญขวัญฟังแม่เล่าด้วยหัวใจเบิกบาน คิดดีตาม

ความมืดโรยตัวทั่วสองข้างถนน ที่รถอิศราแล่นมา สองคนนั่งในรถ ต่างคนต่างเงียบ แสงไฟสาดส่องป้ายข้างทางว่า ทางโค้ง อันตราย
รถแล่นเข้าสู่ทางโค้ง ท่านชายมองไปนอกหน้าต่าง เห็นดวงวิญญาณโผล่ออกมายืนจากความมืด เหมือนรอคอย ระหว่างสองข้างทาง ราวสี่ห้าตน เรียงห่างกัน ท่านชายปรายมองอิศรา ที่ขับรถอย่างสบายอารมณ์
“ง่วงหรือเปล่าอิศรา จะให้ฉันเปลี่ยนมือไหม”
“ไม่เป็นไรครับ สบายมาก ถ้าท่านชายเพลีย หลับก็ได้นะครับ”
ท่านชายวสวัต นิ่ง ตามองตรงไปข้างหน้า เสมือนรับรู้อะไรบางอย่าง ดวงหน้างามสง่าเริ่มดุดันขึ้น

บริเวณริมถนน มีรถผ่านนานๆ คัน เห็นชายหนุ่มสองคน ออกมาจากพุ่มหญ้า คนหนึ่งถือถุงพลาสติกมา ลอบมองไปบนถนน
ชาย1 บอก “เฮ้ย เอาไข่มาดิ่”
ชาย2 ท้วง “เฮ่ย ปาไข่ไม่ถึงใจโว้ย นี่...มันต้องนี่ กูเตรียมมาแล้ว”
ว่าพลาง ชาย 2 ควักก้อนหินขนาดเหมาะมือออกมาจากถุงที่ติดมือมา ส่งให้ชาย 1 สองคนท่าทางเมายา

ท่านชายวสวัตนั่งนิ่ง สีหน้าเคร่งดุ ส่วนอิศราขับรถมาเรื่อยๆ ตามถนน ทันใดนั้น มีแสงไฟจากรถคันหลังไล่
“เอ้าๆ จะรีบแซงไปไหน...เอ้า อยากไปก็ไป”
อิศราเบี่ยงหลบให้รถตู้คันหลังแซงผ่านรถอิศราไปอย่างรวดเร็ว ท่านชายมองตามรถไป
ชายคนขับรถตู้ ที่กำลังขับผ่านรถอิศรา ผิวปากอย่างสบายอารมณ์ รถตู้ขับเลยรถอิศราไป
อิศรามองผ่านกระจกหน้า เห็นท้ายรถตู้ที่ขึ้นแซงนำหน้าไป
“ขับแข่งแซงปาดแบบนี้ เดี๋ยวมีรถสวนมาก็ยับพอดี”
ท่านชายวสวัตปรามเตือน “ระวังหน่อย อิศรา”
อิศราหันมา “ทำไมเหรอครับ”
ชายขี้ยาสองคน กำก้อนหินได้จังหวะ ขว้างออกมาสุดแรง
คนขับรถตู้ ขับเพลินๆ อยู่ ถูกหินปามาเข้ามาหน้ากระจก จนกระจกแตก คนขับโดนเศษกระจกเข้าหน้า ยกมือจับหน้าอย่างเจ็บ ร้อง
“โอ๊ย”
รถตู้เสียหลัก แกว่งอย่างรุนแรง
อิศรามองอยู่ สีหน้าตกใจ รถตู้เสียหลัก หมุนตัวจนเกือบมาปะทะกับรถอิศราที่ตามหลังมา อิศราหักพวงมาลัยหลบ
“เฮ่ย เฮ้ย เฮ้ย”
ท่านชายวสวัตยังวางหน้านิ่งเคร่งอย่างเก่า
รถตู้เสียหลัก หมุนคว้าง จนรถอิศราที่แล่นมาเกือบชนต้องหักพวกมาลัยหลบ มีรถยนต์อีกคันที่กำลังสวนมา คนขับรถยนต์ที่สวนมามองอย่างตกใจ รถตู้หมุนปะทะชนกับรถยนต์อย่างจัง
อิศราหมุนพวงมาลัยหลบสุดแรง รถจะพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง ท่านชายจ้องต้นไม้เหมือนเสกมนต์

รถอิศราที่พุ่งเข้าต้นไม้หมุนหักตัวจนจอดนิ่งเกือบถึงต้นไม้ อิศราตัวโยกอย่างแรงจนเด้งมาชนพนักเบาะ

ร่างอิศราคะมำฟุบคาพวงมาลัยหลับไปชั่วครู่ มือท่านชายเอื้อมมาทาบที่หัวอิศราเบาๆ อิศราขมวดคิ้วแม้ขณะหลับตา

ท่านชายกระซิบบอก น้ำเสียงแกมเยาะหยัน “อย่าตกใจ ยังไม่ตายหรอกน่ะ ชะตากรรมยังมาไม่ถึง”
มือท่านชายเลื่อนออก อิศราค่อยรู้สึกตัวขมวดคิ้ว ค่อยๆ ลืมตา เจ็บอก มึนหัว
“มันขับบ้าอะไรของมันวะ” อิศรานึกได้ “ท่านชาย”
ท่านชายวสวัตไม่อยู่ข้างตัว อิศราตกใจหันหารอบตัว “ท่านชาย”
ทันใดนั้นเอง ประตูข้างอิศราถูกท่านชายเปิดออก
ท่านชายยืนนิ่งท่าทีปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ลงมาก่อนสิอิศรา”
อิศราก้าวลงมา ลูบคลำแขนและเนื้อตัวอย่าง งงๆ
“ท่านชายเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เธอล่ะเป็นยังไง”
“ไม่เป็นไรครับ”
อิศราหันไปทางรถตู้ที่จอดชนกับเสาไฟฟ้า ไฟรถเปิดอยู่ และรถยนต์อีกคันอยู่ในสภาพถูกชนเช่นกัน
“ทางโน้นเป็นยังไงกันมั่งไม่รู้ครับ”
อิศราวิ่งผ่านหน้าท่านชายไปทันที ท่านชายมองตามกึ่งประหลาดใจ เห็นความตั้งใจดีของอิศรา

คนขับรถยนต์หายใจแผ่ว ร่างหลุดออกมาครึ่งๆ กับตัวรถที่ประตูเปิดอยู่ เลือดโทรม อิศราวิ่งมา ช้อนตัวคนขับสีหน้าตื่นเต้น
“คุณ เป็นไงมั่ง”
คนขับหรี่ตามองอิศรา แล้วแลเลยมาทางเบื้องหลัง เห็นร่างท่านชายวสวัตเดินเข้ามามองเขาด้วยดวงหน้าเรียบเฉย คนขับรถยนต์ตาเหลือกลานตกใจ
“คุณ ทำใจดีๆไว้”
ท่านชายสีหน้าเรียบเฉย เห็นความตายเป็นเรื่องปกติ
คนขับรถสะอึก เลือดออกจากปากตายคาอ้อมแขนอิศรา
อิศราตกตะลึงพรึงเพริด ด้วยไม่เคยเห็นคนตายต่อหน้า แทบจะเททิ้งร่างในอ้อมกอดนั้นกองลงพื้น ขยับตัวถอยหนีตามองศพตกตะลึง
“เขา...เขา...ตายแล้ว”
“ใช่” ท่านชายมองไปทางรถตู้ “คนนั้น เห็นทีจะไปตายโรงพยาบาล”
อิศรานึกได้ว่ามีอีกคัน ถลันลุกพรวด
อิศราวิ่งเข้ามาตรงรถตู้ ประตูด้านคนขับเปิดไม่ได้เบียดชิดชนกับอีกคัน ชายคนขับร้องโอดโอยเลือดสาดหน้ากับพวงมาลัย อิศราอ้อมไปอีกประตู
“คุณ คุณ...เป็นไงมั่ง”
คนขับดูไม่ได้สติ เลือดโทรมกาย อิศราพะวักพะวัน
ท่านชายมองอิศราอย่างนิ่งๆ ก่อนเหลียวขวับมาดูอีกทาง ทางถนนตรงข้ามอย่างดุดัน

อิศราเลื่อนตัวขึ้นไปจับร่างคนขับให้แหงนเงยขึ้น เห็นเลือดเต็มหน้า อิศรากลัวเลือดแต่ต้องช่วยคน เขย่าร่างเรียกสติ
“คุณ...คุณ”
“ออย” คนขับครางเสียงแผ่ว
อิศรากระเถิบออกจากรถ
“ท่านชายครับ ต้องช่วยกันดึงเขาออกมา” อิศราหันมาหาท่านชาย เงียบไม่มีเสียงตอบ และไม่เห็นท่านชายอีกแล้ว
“อ้าว” อิศรางง “ท่านชาย! ท่านชายครับ”
อิศรานึกได้ ลนลานลุกหยิบมือถือยืนกดเบอร์ โทร.ออก
“ฮัลโล หนึ่งเก้าหนึ่งใช่ไหมครับ”

มือปาหินสองคนวิ่งตามรถมา หลังจากปาหินใส่
ชาย 1 ดึงแขนชาย 2 “เฮ่ย มันมีคนอยู่ตรงนั้น ไปฉกของไม่ได้แล้วมั้ง”
ชาย 2 หัวเราะกิ๊กเมายา “แหม เสียท่า นึกว่าอย่างน้อยก็สร้อยแหวนนาฬิกา หรือมือถือซะหน่อย”
“ไปเหอะ เผ่นก่อนดีกว่า”
สองชายหันหลังวิ่งออกไป
ด้านหลังท่านชายในสูทชุดดำเดินเข้ามา ดวงหน้ามองตามแผ่นหลังสองชายแก๊งปาหินอย่างโกรธขึ้ง
“ภุมมะ..ข้าต้องการให้มันได้รับการลงทัณฑ์”
“เจ้าข้า”
เงาดำวูบผ่านท่านชายตามสองชายเมายาไป

ด้านคนขับรถตู้เริ่มหมดแรงได้แต่ครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์ อิศราตัดสินใจปีนเข้าไป และพยายามดึงร่างของคนขับให้หลุดออกมาอีกทางอย่างทุลักทุเล
ท่านชายวสวัตก้าวเข้ามามองอิศรา อย่างเงียบๆ เห็นอิศราพยายามดึงร่างของคนขับอย่างยากลำบากทุลักทุเล แต่ตั้งใจเต็มที่ น้ำมันยังหยดติ๋งๆ ดูตื่นเต้น
ท่านชายหายวับไป อิศราดึงร่างคนขับรถตู้ออกมาจากรถจนได้ ลากมาที่พื้น เขย่าตัว
“คุณ คุณ เป็นไงบ้าง ทำใจดีๆไว้นะ”
อิศราลุกขึ้นมองหารอบตัว แต่ไม่มีร่างท่านชาย มีศพคนขับรถยนต์นอนอยู่กับพื้น และร่างคนเจ็บใกล้ตายอีกคน

อิศราหันรีหันขวาง หน้าตามอมแมมจากการช่วยเหลือคน

อีกฟาก ชายเมายาทั้งสองเดินแกมวิ่งกันมา ทันใด คนหนึ่งก็ชะงัก ตะลึง พาให้อีกคนหยุด

“อะไรวะ”
ชาย 1 หันมองตามสายตาที่เหลือกลานของชาย 2 เห็นร่างๆ หนึ่งเดินออกมาจากแสงและควันเจิดจ้า จนร่างนั้นเป็นเงาดำ ร่างนั้นดูยืดสูงข้นทุกทีจนสูงเลยหัวมันทั้งสอง
ชายทั้งสองเงยหน้ามอง สีหน้าหวาดผวา และแล้วเงาปีกของท่านชายก็ขยายออกแผ่กว้าง ชายทั้งสองทรุดลงกอดกัน กรีดร้องะงม
ใบหน้าท่านชายในเงามืดนั้น ดวงตาเป็นสีแดง ปากแดงจัดราวดื่มเลือดมา หน้าซีดเผือด โกรธถึงขีดสุด แผดเสียงดังกังวาน
“พวกเจ้าทำอะไรมา.....”
ชาย 2 คนเหวอ “เฮ้ย”
ท่านชายยกมือขึ้นชี้นิ้วมาที่สองชาย
“พวกเจ้า เห็นชีวิตผู้อื่น ไร้ค่า นรกกำลังรอพวกเจ้าอยู่”
สองชายหวีดร้อง ได้สติ ออกวิ่งหนีลงพงหญ้าในความมืดข้างทาง ท่านชายวสวัตมองตามอย่างกราดเกรี้ยว
“ภุมมะ! ตามมันไป”

ล้อรถอิศราหมุนฟรีติดหล่มหญ้าและก้อนหินไหล่ทาง อิศราพยายามเร่งเครื่องถอยหลังแต่ไม่ได้ผล
เขาทุบพวงมาลัยอย่างหงุดหงิด ถลันออกจากรถวิ่งมาที่ร่างของคนขับรถตู้ที่นอนเจ็บหายใจพะงาบๆ อยู่
“คุณ..ใจดีๆ ไว้นะ”
อิศราเหลียวหา เห็นแสงรถคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกล อิศราลุกไปข้างถนน โบกสองมืออย่างบ้าคลั่ง
“จอดด้วยครับ จอดด้วย”
แสงจากหน้ารถสาดส่องเห็นอิศรา ใบหน้าขะมุกขะมอม รถยนต์จอดเห็นป้ายแดง อิศราถลาไปเคาะกระจกอย่างแรง
“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย”
กระจกถูกไขลง เผยให้เห็นหญิงสาวคนขับที่ดูตกใจ และชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ และตะคอกสวนออกมา
“อยากตายหรือไง มาวิ่งขวางหน้ารถแบบนี้
“มีคนตายตรงนี้จริงๆ คุณไม่เห็นเหรอว่าเกิดอุบัติเหตุ”
หญิงคนนั้นอุทาน “ตายแล้ว”
“แต่อีกคนยังไม่ตายครับ พอดีรถผมติดหล่ม คุณช่วยผม พาเขาไปส่งโรงพยาบาลที”
“ทำไมไม่โทร.เรียกตำรวจ หรือโรงพยาบาลล่ะ”
อิศราชักหงุดหงิด “โทร.แล้ว แต่ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่ ผมกลัวเขาตายก่อน คุณช่วยกันหน่อยสิ”
หญิงสาวชะเง้อดูร่างโชกเลือดที่กองอยู่ข้างถนน
“บ้าเหรอ รถชั้นใหม่ๆ เดี๋ยวก็เลอะเลือดแย่ ยี้”
“เฮ่ย คุณ..คนทั้งคนนะ” อิศราโมโหแล้ว
“ไม่เอาอ่ะ ชั้นไม่อยากยุ่งวุ่นวายไปโรงพักอะไรด้วย เดี๋ยวเกิดเขาหาว่าชั้นเป็นคนชนอะไรขึ้นมาด้วยล่ะ” หญิงสาวกดปิดกระจก
อิศราตกใจ ทุบกระจก “เฮ้ยๆ เดี๋ยวสิคุณ”
รถป้ายแดงของหญิงสาวคนนั้นพุ่งออกไปเลย อิศราเตะลมแล้งตามหลัง
“โว้ย คนเห็นแก่ตัว หน้าสวยใจร้าย ให้ตายสิวะ คนแบบนี้ก็มีด้วย”
ท่านชายวสวัตปรากฏกายขึ้นเบื้องหลังอิศรา เดินเข้ามาหา
“ยังมีคนแบบนี้อีกมาก ที่พวกเขาไม่คิด ว่าการไม่ช่วยเหลือคือบาปของการฆ่าการทางอ้อมเช่นกัน”
“ท่านชาย ไปไหนมาครับ แล้วเราจะช่วยเขายังไงดีครับ รถผมติดทั้งหล่มทั้งก้อนหิน ถอยมาไม่ได้”
“เราช่วยเขาไม่ได้หรอก นอกจากพาเขาไปให้...ถึงที่...เธอไปดูคนเจ็บ เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องรถเอง”
“เอ้อ...ครับ”
อิศราวิ่งไปที่ร่างคนเจ็บ ขณะที่ท่านชายวสวัตมองไปทางถนนที่รถของผู้หญิงขับไปสั่งด้วยจิต
“ทุกสิ่ง จะต้องได้รับการชดใช้...สิริ จดจำนางไว้ให้ดี ข้าต้องการให้ได้รับการตอบแทน”

“เจ้าข้า...” ยินเพียงเสียงสิริน้อมรับ

อ่านต่อหน้า 4

เงา ตอนที่ 5 (ต่อ)

อิศราประคองช้อนร่างคนขับรถตู้อยู่ ครู่หนึ่งท่านชายวสวัตขับรถอิศรามาหยุดใกล้ๆ ประตูด้านคนนั่งเปิดออก อิศราหันไป ท่านชายเป็นผู้ขับหันหน้ามา สีหน้าอิศราประหลาดใจได้เพียงครู่เดียว

คนขับรถตู้ปรือตามองเลยไปเห็นท่านชายตรงนั่งที่คนขับ ก็ผวาตัว พึมพำอย่างหวาดกลัวออกมา
“ไม่...ไม่...กลัวแล้ว...ยัง...ไม่อยากตาย”
“ทำใจดีๆไว้ คุณ” อิศราหันมาร้องขอ “ท่านชายครับ มาช่วยผมอุ้มเขาหน่อยได้ไหมครับผมอุ้มเขาคนเดียวไม่ไหว”
ท่านชายออกตัว “ขอโทษนะอิศรา ฉันแตะตัวเขายังไม่ได้จนกว่า...ฉันเชื่อว่าเธอ...อุ้ม...ไหว”
อิศราเกือบหลุดหงุดหงิดใส่ แต่พอลองช้อนอีกมือยก ปรากฏว่ายกขึ้นได้อย่างสบาย
ท่านชายลงมาเปิดประตูหลังให้อิศรายกร่างผู้ป่วยใส่รถ
“ผมขับให้เองครับ”
อิศรารีบร้อนวิ่งไปด้านคนขับก้าวขึ้น ผ่านหน้าท่านชายที่มองอิศราอย่างพิศวงและพึงพอใจลึกๆท่านชายขึ้นนั่งมองอิศราที่กำลังเข้าเกียร์ร้อนรน
เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดเจืออ่อนโยน “เธอนี่เป็นทั้งนักบุญและคนบาปได้พร้อมๆ กันเลยทีเดียว ฉันถึงได้”
อิศราไม่ทันฟัง “ห๊ะ...อะไรนะครับ”
ท่านชายนิ่งไม่ตอบ อิศราไม่มีเวลาสนใจ ขับรถออกไปทันที

อิศราขับรถมาอย่างรวดเร็ว ใจร้อนเป็นห่วงคนป่วยข้างหลัง ขณะที่ท่านชายนั่งนิ่ง ส่วนคนเจ็บเพ้อ กระสับกระส่าย
“ไฟ...ไฟนรก...ไม่...ไม่...ไม่เอา”
“เพ้อใหญ่แล้วครับ ท่าจะไม่ไหวแล้ว...เฮ้อ...โรงพยาบาลมันอยู่ไหนวะเนี่ย”
“ยังทัน...เขาต้องไปตายที่โรงพยาบาล”
“พระ ช่วยด้วย...พระ...อรหัง...ช่วยด้วย” คนป่วยเพ้อ
ท่านชายวสวัตเอ่ยสอนอิศราขึ้นมา “ฟังไว้นะอิศรา นี่คือ อวสานของมนุษย์ ยามใกล้ตาย คนมักคิดถึงพระ คิดถึงบาปบุญคุณโทษ แต่ตอนมีชีวิตอยู่มักไม่คิด ยามถูกพิพากษาก็มาเสียใจว่าสายไป...ดูไว้ อิศรา เผื่อเธอจะได้ข้อคิดอะไรบ้าง”
“อย่ามาขู่ผมเลยครับ” อิศราพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “เรื่องที่ผมคิดจะทำน่ะมันคนละอย่างกัน หรือถึงแม้มันจะผิด ผมก็จะยอมรับ แต่ผมต้องทำอย่างที่คิด”
ท่านชายมองแล้วถอนใจ รำพึง “บาปผิด...มนุษย์ พันพัวกันอย่างไม่มีวันสิ้นสุด”

อิศรามองไปเห็นโรงพยาบาลเบื้องหน้า หักเลี้ยวรถเข้าไปทันที

พอรถจอดตรงประตูรับผู้ป่วยฉุกเฉิน อิศราพรวดลงมาเพื่อไปเปิดประตูอีกข้างด้านหลังพร้อมกับร้องตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่เสียงดัง

“ช่วยด้วยครับ คนเจ็บหนัก จากอุบัติเหตุครับ”
พยาบาล บุรุษพยาบาล เข็นเตียงมาโดยเร็ว ท่านชายลงมาจากรถ ยืนหัวตียงรถเข็น มองอิศรา ช่วยกับบุรุษพยาบาล อุ้มร่างคนเจ็บมาวางบนเตียง ตรงหัวเตียงพอดีกับที่ท่านชายยืน ก้มมอง
คนขับรถตู้เหลือกตามองท่านชาย “นั่น ...ระวัง...”
นิ้วมือเปื้อนเลือดยกนิ้วชี้ สั่นระริกไปที่ท่านชาย
“เขาคือ...พระ...” คนขับรถตู้ตาเหลือกลาน
ท่านชายวสวัตแตะบ่าคนเจ็บ ก้มพูดเบาๆ “จงไปสู่ที่ของเจ้า”
คนขับรถตู้สะดุ้งเฮือก คอเอียงพับ ตาลืมโพลง
พยาบาลตรวจอาการ “สิ้นใจแล้ว”
แขนผู้ป่วยตกห้อยออกลงข้างเตียง อิศรามองอย่างตะลึง แม้ลึกๆ จะคาดว่าต้องตายแน่
วิญญาณของคนที่เพิ่งตาย มายืนข้างๆ อิศรามาทางเบื้องหลัง กำลังมองร่างของตนเองบนเตียงอย่างเสียใจและโกรธขึ้ง ท่านชายวสวัตหันมองมาทางวิญญาณอย่างดุๆ
วิญญาณ ส่ายหน้ากับท่านชายเหมือนปฏิเสธ แค้นเคืองใจ หันหลังวิ่งออกวูบหายไป ท่านชายขมวดคิ้วฉงนฉงาย
พยาบาลเดินมาหาอิศรา ที่ตะลึงทรุดนั่งอยู่
“สักครู่ ตำรวจจะมาขอสอบปากคำหน่อยนะคะ”
อิศรายังตะลึงอยู่ “เอ้อ...คะ..ครับ”

ผู้หญิงคนขับรถยนต์ที่ไม่ยอมช่วยอิศรา ขับรถมาตามถนนอย่างสบายอารมณ์ เปิดเครื่องเล่นซีดีฟังเพลง โยกตัวไปด้วย
นอกหน้าต่างมีวิญญาณคนขับรถตู้ยืนอยู่ข้างถนนมองมา ครั้งแรกรถแล่นผ่านเลยไป หญิงสาวยังไม่เอะใจ รถแล่นไปต่อ วิญญาณเดิมยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน โบกมือครั้งที่ 2 หญิงสาวเริ่มสังเกตเห็นและเริ่มหวั่นใจ
“ทำไม มันแต่งชุดเหมือนกัน หน้า..เหมือนกัน...อือย์”
เครื่องเล่นซีดีเพลงที่เล่นอยู่นั้น จู่ๆ ก็หยุดชะงัก มีเสียงดังออกมาจากเครื่องเล่นแทนเสียงเพลง
“ทำไมมึงไม่ช่วย ทำไมมึงไม่ช่วยกู”
“อะไรน่ะ...บ้าเอ๊ย”
หญิงสาวกดปิดอย่างหงุดหงิด
รถแล่นไป แสงไฟสาดไปบนท้องถนน หญิงสาวเห็นวิญญาณเดิมยืนข้างถนน บกมือโบกอีกเป็นครั้งที่ 3 คราวนี้หญิงสาวตกใจมาก มั่นใจ กรี๊ดลั่น
“ผี....”
หญิงสาวแตะคันเร่ง เกร็งตัวแทบหลับตาขณะเหยียบคันเร่งผ่าน ร่างวิญญาณไป
รถแล่นมาตามถนน หญิงสาวใจชื้นขึ้น หายใจหอบแรง
“บ้าเอ๊ย”
ทันใดนั้นใบหน้าเปื้อนเลือด ของชายขับรถตู้พรวดเข้ามาทางด้านข้างคนขับ ตะคอกอย่างรุนแรง
“ทำไมมึงไม่ช่วยกู”

“แอร๊ย...” หญิงสาวกรี๊ดเสียงหลง

ด้านชายปาหินทั้งสองคน หนีมาหลบในบ้านไม้กลางทุ่ง ทั้งสองกลัวตัวสั่นงันงก งงงวยกันอยู่

ชาย1 ถาม “มึง มึงว่าเมื่อกี้ มัน..อะไรวะ”
ชาย 2 บอก “ไม่ผี ก็พวกเราอ่ะ บ้า”
จู่ๆ หน้าต่างกระแทกเปิดปิดโครม!!
สองคนเหวอร้องไม่เป็นภาษา “เย้ย”
พวกมันผวากอดกันกลม และแล้วชาย 1 ผลักชาย 2 ออก
“บ้า ไม่มีอะไรสักหน่อย กูว่าพวกเราคงเมายา”
“แล้ว ทำไมถึงเห็นเหมือนๆ กันวะ คนมีปีกอ่ะ”
“เฮ้ย ไม่มีอะไรหรอก ...ผีอ่ะ ไม่มีในโลกหรอกเว้ย พ่อกูสอนไว้”
ชาย 2 สีหน้าหวาดหวั่น มองไปรอบๆ ห้อง แล้วหันมาทางชาย 1
“เออ..ก็ได้ๆ” พอหันมา ชาย 2 ก็อ้าปากค้าง ยกนิ้วชี้
ชาย 1งง “อะไรของมึง เฮ้ย ทำไม..บ่ากู...หนักๆ”
เท้าเปลือยเปล่าของภุมมะยืนเหยียบบ่า ชาย 1 อยู่ ชาย 2 ตัวแข็งทื่อ ตะลึงมองแล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมกับชาย 1 มองเรื่อยไล่ตามขาขึ้นไป เห็นใบหน้าซีดขาวของภุมมะน่ากลัว ก้มมองคำรามใส่
สองชายร้องลั่น ขาภุมมะบิดคอชาย 1 จนคอหักตายคาที่
ชาย 2 ร้องลั่น วิ่งถลาไปที่ประตูเปิดผลัวะออก
วิญญาณคนขับรถยนต์ยืนรออยู่ เลือดท่วมตัว
“มึง ฆ่ากู”
ชาย 2 ร้องลั่นไม่เป็นผู้เป็นคน ถลาเข้ามาทรุดนั่งชิดผนังพนมมือสั่นผับๆ
“กลัวแล้ว กลัวแล้ว ผมขอโทษ อย่ามาหลอกผมเลย”
ชาย 2 ร้องไห้ หันมาอีกข้าง เจอหน้าวิญญาณชาย 1 คอเอียงเลือดย้อยมุมปาก
“ห๊ะ...”
ชาย 2 มองไปยังร่างของชาย 1 ที่นอนกองอยู่ ก่อนหันมามองร่างวิญญาณ
ผีชาย1 บอกเพื่อนว่า ““กู...บอกแล้ว...ว่า..ผี..ไม่มีในโลก” พร้อมกับหัวเราะเสียงเนิบๆ ชวนขนลุก

อิศราขับรถมาตามทาง ท่านชายนั่งนิ่ง
“วันนี้มันวันอะไร ผมต้องมาเจอคนตายต่อหน้าพร้อมๆ กัน 2 คน” อิศราถอนใจยาว มองท่านชาย “ท่านชายเดาถูกเผงว่าเขาต้องมาที่โรงพยาบาล”
“เขาถึงที่”
“เมื่อกี้ เขา เพ้อว่า ท่านชายเป็นใครนะครับ...”
ท่านชายหัวเราะเบาๆ “ฉันจะเป็นใครดีล่ะ”
รถอิศราแล่นผ่าน เห็นรถยนต์หญิงสาวคนเดิมที่เขาขอความช่วยเหลือ อิศราจำได้
“เอ๊ะ นั่นมัน รถผู้หญิงคนนั้นนี่ครับ”
รถอิศราชะลอดู รถตกอยู่ข้างทาง มีตำรวจอุ้มร่างหญิงสาวมาวางที่พื้น หันหน้ามาทางรถที่ผ่านพอดี ดวงหน้าเหยเก เหลือกลาน กลัวสุดขีด ร่างยังกระตุกสั่นเทิ้ม
อิศรามองผ่านกระจก ก่อนขับบึ่งต่อไป สีหน้าตะลึงงัน
“รายที่สามในคืนเดียว คนนี้ยังไม่ตาย แต่ก็คงไม่รู้ตัวอีกเลย” ท่านชายว่า
“ไม่น่าเชื่อ เมื่อกี้ ยังดีๆ อยู่แท้ๆ”
ท่านชายสอนอีก “นี่ไง ที่เขาว่า มนุษย์นั่นแหละ เป็นผู้กำหนดกรรมของตนเอง หว่านพืชอย่างไรก็ให้ผลอย่างนั้น ผู้หญิงคนนั้น หว่านพืชแห่งความเห็นแก่ตัว ความใจดำอันโหดร้าย ใบหน้าสุดท้ายของเธอ จึงแสดงถึงนิสัยใจคอที่แท้จริง”
อิศราคราง “ท่านชาย...ท่านชายชอบพูดอะไรแปลกๆ เหมือนพระสอน...สงสัยอีกหน่อย ท่านชายคงบวช”
ท่านชายชะงัก เสียงเศร้าลง “ชั้นเหรอ...ฉันบวชไม่ได้หรอก อิศรา”

ท่านชายหันมาทางกระจกหน้าต่างข้างตัว เงาสะท้อนในกระจก เผยให้เห็นว่าดวงหน้าท่านชายหม่นเศร้าเหลือเกิน

ย่ำรุ่ง ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้า รถอิศราแล่นเข้ามาผ่านรูปปั้นกระทั่งไปจอดหน้าตึก อิศรา และ ท่านชายเปิดประตูลงมา

“ขอบใจมากที่มาส่ง” ท่านชายยิ้มอย่างจริงใจเป็นที่สุด
“ผมต่างหากครับที่ต้องขอบคุณท่านชาย วันนี้พลอยมาเหนื่อยกับผมจนถึงเช้า”
“อย่างน้อยฉันก็ได้รู้เห็นนิสัยที่แท้จริงของเธออีกด้านหนึ่ง” ท่านชายยิ้มอีก
“มันไม่ใช่เรืองใหญ่เรื่องโตอะไรเลยครับ ผมลาเลยนะ” อิศราปิดปากหาว “ครับ”

ท่านชายก้มศีรษะเป็นเชิงลา อิศราขึ้นรถขับออกไป ท่านชายยืนส่ง มองตามใบหน้าเคร่งขรึม

รถอิศราแล่นออกมาเรื่อยๆ อิศรามองกระจกส่องหลัง เห็นท่านชายยืนส่ง ละสายตาขับต่อ
อิศรามองกระจกส่องหลังอีกครั้ง ไม่เห็นท่านชายแล้ว
“ท่านชายเดินเข้าไปเร็วจริง” อิศราหาว ง่วงจัด

ท่านชายในชุดเดิม ยืนอยู่ตรงหน้าภาพเขียนนรกภูมิ สิริยืนอยู่ด้วย
“ภุมมะ เชลยคนใหม่ของเจ้าเป็นอย่างไร”
“ผู้รอรับคำพิพากษา คอยอยู่แล้วเจ้าข้า”
“นำมันมาที่นี่ก่อน”
แสงฉายเจิดจ้า ภุมมะ และวิญญาณคนขับรถตู้ ปรากฏขึ้น ภุมมะผลักให้มันนั่งทรุดที่พื้น
“เจ้าใช่ไหมที่ตามผู้หญิงคนนั้นไป เจ้าทำอย่างนั้นทำไม”
วิญญาณที่กลัวอยู่ กลายเป็นเคียดแค้น
“เพราะ ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นช่วยเหลือ..ผม ก็อาจจะไม่ตาย”
ท่านชายพูดเสียงเรียบ ปนเวทนา “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ...เจ้าคิดหรือว่าจะพ้นจากชะตากรรมได้ แล้วทำไม เจ้ายังก่อกรรมให้เขาได้รับทุกขเวทนา”
วิญญาณคนขับรถตู้แค้นไม่หาย ผมตามไปให้เขาดูหน้า ถามเขา ว่าทำไมถึงไม่ยอมช่วยผมอยากให้เขาเห็นให้เต็มตาว่าในที่สุด ผมต้องเป็นยังไง”
ท่านชายพญามารถอนใจ “ชะตากรรมของเขาจะส่งผลต่อเขาเอง แต่เจ้า..แม้การผูกกรรมกันในช่วงเวลาสุดท้าย ก็ต้องได้รับผลกรรมที่เจ้าทำ...ภุมมะ”
“เจ้าข้า”
“นำมันไป อโยทกา ตามผลแห่งวิบากกรรมอันทนมานสัตว์อื่นให้ทุกขเวทนา”
“เจ้าข้า”
ภุมมะหันไปยังวิญญาณ แสงสีแดงดุจเพลิงม้วนมารอบตัวสิริและวิญญาณนั้น ดูดดึงกลืนหายไปทั้งสองคน
ท่านชายยืนมองภาพนรกนิ่ง สะเทือนใจในกรรมของผู้คนที่ล้วนผูกกรรมต่อกัน ด้านหลังเป็นสิริที่ยืนอยู่
“สรรพสัตว์เป็นอย่างนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด...ผูกจิต ผูกกรรม ก่อบาป กันเรื่อยไป”
ท่านชายหันมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดส่อง ต้องร่างท่านชายเป็นแสงพิสุทธิ์ สีหน้าท่านชายรำลึกจดจำ
“ไม่นานนี้เอง ที่ข้าเคยได้ยินผู้กล่าวไว้ว่า ความสิ้นสุดแห่งกรรมคือการไม่ก่อกรรม หนทางแห่งการตัดห่วงกรรม คือเช่นนั้น..มีผู้แสดงธรรมข้อนี้ แต่ใครบ้างที่จะซาบซึ้ง...วงจักรแห่งวัฏสงสาร..จึงหมุนเวียนไป ไม่มีสิ้นสุด”

ท่านชายยืนหลับตารับแสงแห่งอรุณที่สาดส่องมากระทบใบหน้านิ่งนาน และเมื่อลืมตา ดูเหมือนมีหยาดน้ำตาคลอในดวงตาที่เศร้าหมองคู่นั้น

อ่านต่อตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น